กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3612)

เถรี 14-12-2012 12:25

"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่เกรงใจลูกศิษย์หรอก ท่านทดสอบหนัก ๆ อย่างนี้ทุกคนแหละ ปรากฏว่าพี่ชายของอาตมาตีความผิด ว่าตัวเองบวชไปก็ไม่ได้อะไร ก็เลยไปแต่งงานมีครอบครัวแทน ตั้งแต่นั้นมาก็หลุดวงโคจรไปไกล จนกระทั่งท้ายสุดเป็นมะเร็ง

ก่อนจะตายอยู่ที่โรงพยาบาล อาตมาเข้าไปไล่อารมณ์การปฏิบัติให้ จนกระทั่งไปถึงจุดที่ว่าเขาเข้าใจและเกิดความมั่นคงในอารมณ์แล้ว ก็บอกว่าให้รักษาอารมณ์ตรงนั้นไว้ หลังจากนั้นไม่กี่วันก็ตาย ถือว่ายังมีบุญอยู่"

เถรี 14-12-2012 12:31

ถาม : ในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลา หน้าตาเราจะไม่เหมือนกันในแต่ละช่วง มีอะไรมาแทรกมาสิงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่หรอก..อยู่ที่อารมณ์เรา อยากจะให้หน้าเหมือนกันทั้งวัน ต้องรักษาอารมณ์ใจให้มั่นคง ถ้าอารมณ์ไม่มั่นคงก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามรัก โลภ โกรธ หลง ลองไปภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว

จะมีอยู่ช่วงใหญ่ ๆ ของนักปฏิบัติภาวนา ที่อารมณ์ใจทรงตัวแล้วไม่อยากยุ่งกับใคร มีความสุขอยู่กับการภาวนา จะเป็นใบหน้าไร้อารมณ์ พอถึงเวลาก็คนอื่นจะเบื่อขี้หน้าไปเอง อาตมานี่โดนสาว ๆ เขาต่อว่ามาเยอะแล้วว่าไร้อารมณ์ ไม่ว่าเขาจะตื่นเต้นแค่ไหนอาตมาก็ “อ๋อ...หรือ ?” โดนไปเต็ม ๆ


คราวนี้ช่วงที่อารมณ์ใจทรงตัวจะทรงตัวจริง ๆ ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งหลับทั้งตื่นอารมณ์ใจเท่ากันหมด คราวนี้อยู่ยาวเป็นเดือน ๆ คนรอบข้างเลยเบื่อขี้หน้าหมด เพราะกลายเป็นคนไม่รู้ร้อนรู้หนาว

เถรี 14-12-2012 12:36

ถาม : คิดว่าสิ่งที่เจอเป็นบททดสอบทำให้เราตั้งมั่นในพระรัตนตรัยค่ะ ?
ตอบ : แปลว่าตอนนี้เราเริ่มหวั่นไหวแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาทำไปให้มากกว่านี้ จะได้มั่นคงในพระรัตนตรัย ไม่ใช่มาลังเลสงสัย ให้ตั้งใจเลยว่าไม่มีใครที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าคุณพระศรีรัตนตรัยอีกแล้ว ไม่ว่าใครจะมาสิงใคร จะมาแทรกอย่างไรก็ตาม เรายึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แล้วก็ภาวนาของเราไป แค่นั้นแหละ

บุคคลถ้าปฏิบัติไปแล้วเกิดความมั่นคงทางอารมณ์ คนอื่นจะพึ่งพามาก ถ้ามั่นคงมากเดี๋ยวก็มีเรือพ่วงเยอะ สมัยนี้ไม่ค่อยได้เห็นเรือพ่วงกันแล้วใช่ไหม ? เรือลำหนึ่งโยงไปอีกลำหนึ่ง มาก ๆ เข้าเรือลำที่นำก็แทบตายกว่าจะลากไปได้

แต่ในเรื่องของเรือพ่วงนั้นอัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเรือข้าว เรือที่ลากจูงลำนิดเดียว แรก ๆ นี่เร่งเครื่องแทบตายก็ไม่ไหว แต่พอเรือเริ่มเคลื่อนที่คราวนี้แรงเฉื่อยมี ก็ไปได้เรื่อย ๆ เหมือนอย่างกับมดลากช้าง เด็กรุ่นหลัง ๆ คงไม่ได้เห็นเรือข้าวแล้ว เป็นเรือไม้หลังคาโค้ง ๆ มีกระแชงคือแผ่นที่เขาสานคลุมไว้ แต่ละลำสามารถบรรทุกข้าวได้มากพอ ๆ กับรถสิบล้อ

เถรี 14-12-2012 12:55

สรุปว่านักปฏิบัติต้องพากเพียรพยายามอย่างสูง เพราะต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยชิน แต่การกระทำให้อยู่ในลักษณะผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่ใช่เห็นช้างขี้แล้วก็ไปขี้ตามช้าง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ พอปรับได้มุมที่ตัวเองถนัดแล้วเริ่มดี คราวนี้สิ่งขวางต่าง ๆ ก็จะเข้ามา ขอให้รู้ว่านั่นเป็นสิ่งปกติ

เขายิ่งขัดขวางเรารุนแรงเท่าไร ก็แปลว่าเราใกล้มรรคผลเท่านั้น ดังนั้น..แทนที่จะถอยให้บุกต่อไปข้างหน้า อีกไม่กี่ก้าวก็จะพ้นแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะโดนเขาหลอก ก็คือถอยมาเสียก่อน เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ค่อย ๆ ปฏิบัติไป พอมีประสบการณ์หลายครั้งเข้า เดี๋ยวก็รู้ว่าควรทำอย่างไร

พวกที่เขาขวางแรง ๆ ยังรู้ตัวง่าย พวกที่เขาขวางนิ่ม ๆ ด้วยการดึงให้ไปสนใจเรื่องอื่น อันนั้นนะยาก..ปัจจุบันแม่ชีเถรีโดนอย่างนั้นแหละ ไปอาศัยอยู่ที่วัดทางบ้าน วัดก็มอบหมายงานให้สารพัด กระทั่งเวลาหายใจยังไม่มี แล้วจะไปปฏิบัติอย่างไร ? นั่นก็คือการขวาง แต่เขาขวางอย่างมีชั้นเชิง ขวางแบบคิดว่าเรามีงานทำเต็มที่แล้ว ว่างเมื่อไรค่อยไปภาวนา แต่ปรากฏว่าเช้ายันค่ำไม่มีเวลาภาวนาเลย..!

เถรี 14-12-2012 20:37

พระอาจารย์กล่าวกับคนที่มาถามสูตรยารักษาโรคมะเร็ง แล้วจะทำแช่ตู้เย็นไว้ใช้นาน ๆ ว่า "คนที่ใช้มะเกลือเป็นยาถ่ายพยาธิ ตาบอดมาหลายรายแล้ว มะเกลือเขาให้ตำคั้นกับกะทิ ต้องกินตอนนั้นเลย ถ้าทิ้งไว้นาน จะแปรสภาพเป็นพิษที่ทำให้ตาบอด เพราะฉะนั้น..สำหรับยารักษาโรคมะเร็ง เมื่อบอกอย่างไรให้ทำอย่างนั้น ไม่ใช่ไปแหกคอก..!"

เถรี 14-12-2012 20:39

ถาม : เพื่อนผมสงสัยแหวนจักรพรรดิของหลวงพ่อวัดท่าซุง..?
ตอบ : มัวแต่สงสัย พวกที่ขี้สงสัยนี่แหละ..ของจริงก็เป็นปลอมได้

ถาม : ทำมาจากทองคำหรือชุบทองหรือครับ ?
ตอบ : พวกนี้ทองชุบตั้งแต่แรกแล้ว วงที่เป็นทองคำจริง ๆ ใต้ฐานจะมีลายเซ็นหลวงพ่ออยู่ ถ้าพวกท้องวงที่ง้างได้แบบนี้เป็นทองชุบทั้งนั้น

นึกถึงว่าหลวงพ่อเพิ่งจะล่วงลับดับขันธ์มา ๒๐ ปี วัตถุมงคลตอนนี้สับสนมากเลย เพราะคนสร้างประวัติขึ้นมาเองเสียเยอะ คาดว่าอีก ๒๐ ปีข้างหน้า เกิดอาตมาตายไปด้วย ก็คงไม่มีใครมานั่งยืนยันให้ เฉพาะสมเด็จคำข้าวอย่างเดียวมีแม่พิมพ์ ๑๓ ตัว เพราะฉะนั้น..ถ้าจะต่างกันถึง ๑๓ พิมพ์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่บางพิมพ์ก็เป็นที่นิยม อย่างพิมพ์แขนจุด พิมพ์ฐานจุด เกิดจากการที่เขาแกะแม่พิมพ์แล้วพลาด ตรงนั้นโดนจี้ลึกไปหน่อยหนึ่ง กลายเป็นหลุมขึ้นมา พอถึงเวลาจึงกลายเป็นเนื้อเกิน

เถรี 14-12-2012 20:56

ถาม : พระสุกขวิปัสสโกต้องละหมดหรือครับ ?
ตอบ : ทุกคนต้องละหมด ถ้ายังมีใจยินดีอยู่ก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ แต่คำว่า "สุกขวิปัสสโก" ไม่ได้แปลว่าคุณจะไม่ได้ฌาน เพียงแต่ว่าเป็นฌานที่ท่านทรงโดยไม่รู้ตัว เกิดจากการพิจารณาธรรมแล้วสมาธิทรงตัวขึ้น ถ้าทรงฌานไม่ได้ จะเป็นไม่ได้แม้กระทั่งพระโสดาบัน..!

ในเมื่อเราไม่ติดรูปแล้ว อรูปเราไม่ได้ปฏิบัติจะไปติดได้อย่างไร ในเมื่อไม่ได้ติดก็แปลว่าตัดได้

คนมักจะเข้าใจว่าสุกขวิปัสสโกไม่มีฌานไม่มีสมาบัติ เขาเข้าใจผิด ถ้ากำลังไม่พอถึงระดับปฐมฌานขึ้นไป จะตัดกิเลสไม่ได้สักอย่าง เวลาท่านพิจารณาธรรมไปเรื่อย ๆ อารมณ์ใจก็ค่อย ๆ ดิ่งลึกจนทรงตัวเป็นฌาน แต่ท่านไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีฌาน


ถาม : คนเป็นพระอนาคามีต้องทรงฌาน ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ฌาน ๔ เป็นพระอนาคามีไม่ได้ ดังนั้น..พระสุกขวิปัสสโกถ้าตะกายถึงพระอนาคามีได้นี่สุดยอดแล้ว แสดงว่าทรงฌานระดับสูงไปตั้งนานแล้ว

เถรี 14-12-2012 21:11

ถาม : อ่านหนังสือเจอ เลยทำให้รู้ว่าลูกศิษย์หลวงพ่อเป็นปัญญาธิกะเยอะ ก็เลยมีปัญญา ?
ตอบ : แล้วแต่วาสนาเดิมว่าใครทำมา ในเมื่อเขาทำมาทางด้านปัญญา ปัญญาก็เกิด ถ้าประเภทชอบตะเกียกตะกายด้วยตัวเองก็ต้องไปทางวิริยาธิกะ

ถาม : วิริยาธิกะจะย้ายมาเป็นปัญญาธิกะได้ไหมครับ ?
ตอบ : เดินคนละทางแล้ว อยากจะย้ายใหม่ก็เริ่มต้นใหม่ ที่คุณว่ามานี่มันสันดานมนุษย์ ไม่ใช่สันดานนักปฏิบัติธรรม หนอยแน่..จะโอนหน่วยกิตเสียแล้ว เขาให้โอนหน่วยกิตได้อย่างเดียว คือจากพุทธภูมิไปเป็นสาวก บุคคลผู้ปรารถนาพระโพธิญาณเขาไม่กลัวเหนื่อยกัน ถ้ากลัวเหนื่อยเขาไม่ปรารถนากันหรอก

ถาม : มีวิริยาธิกะพิเศษไหมครับ ?
ตอบ : นอกตำราเกินไป

ถาม : เคยได้ยินไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน วิริยาธิกะพิเศษ ถ้าจะมีก็พวกโง่เป็นพิเศษเท่านั้นแหละ..! ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปก็แย่แล้ว ยังจะมีวิริยาธิกะพิเศษอีก

สำหรับสมเด็จองค์ปฐมท่านนั้นนอกเหตุเหนือผล ไม่ได้อยู่ใน ๓ ประเภทนี้ เพราะเริ่มหลักสูตรด้วยพระองค์ท่านเอง ในเมื่อเริ่มปฏิบัติด้วยพระองค์ท่านเองจึงยังไม่จัดเป็นหลักสูตร แรก ๆ ก็ยังไม่รู้ว่าทำไปเพราะอะไร แต่อยากทำ..ขอยืนยันว่ามีแบบนี้องค์เดียว ที่เหลือถัดจากนั้นใครจะแหกคอกขนาดไหนก็แหกไปเถอะ รับประกันว่าไม่เกิน ๑๖ อสงไขยกับอีกแสนมหากัป เพราะมีหลักสูตรแล้ว

เถรี 15-12-2012 11:30

ส่วนใหญ่แล้วการปฏิบัติธรรม พอปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่ง ก็จะโดนหลอกว่าตัวเองมีความพิเศษอย่างนั้น มีความพิเศษอย่างนี้ กลายเป็นมานะถือตัวถือตน ก็เลยไม่หลุดพ้นเสียที เคยเจอเด็กอยู่คู่หนึ่ง โดนหลอกว่าเป็นมนุษย์พิเศษ เกิดมาเพื่อกู้โลก กู้ประเทศชาติโดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นควรจะสร้างมนุษย์พิเศษประเภทนี้ให้มาก ๆ เขาก็เลยไปมีลูกเสีย ๔ - ๕ คน หลอกได้แสบมากเลย คราวนี้มัวแต่เลี้ยงลูกอยู่ จะเอาเวลาที่ไหนไปปฏิบัติธรรม..!

ดังนั้นพวกกำลังใจดีอย่างหนึ่ง พวกสร้างบารมีมามากอย่างหนึ่ง เวลาทดสอบเขาก็ต้องทดสอบเจ็บ ๆ ถ้าฉลาดน้อย เจออะไรแล้วเชื่อเลยก็เป็นอันว่าเสร็จ ติดอยู่ตรงนั้น ไม่เป็นอันได้ไปไหนหรอก

เรื่องของข้อมูลศึกษาแต่พอสมควร แล้วก็รีบทำ..มุ่งลัดตัดตรงไป ไม่อย่างนั้นข้อมูลนั้นแหละ จะย้อนกลับมาทำอันตรายเราเอง เพราะรู้มากเกิน

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในอลคัททูปมสูตร ที่บอกว่าภิกษุบางรูปศึกษาพระไตรปิฎกเหมือนกับจับงูข้างหาง ไปคว้าหางงู งูจะแว้งกัดเอาเมื่อไรก็ได้ จะไม่อาศัยตำราหรือไม่อาศัยพระไตรปิฎกก็ไม่ได้ อาศัยตำราอาศัยพระไตรปิฎก ก็อย่ายึดติดมากเกินไป ศึกษาแค่ส่วนที่จำเป็นแล้วเร่งรัดปฏิบัติให้เกิดผล ไม่ใช่เรียนรู้ทุกเรื่องแล้วก็ดีแต่เอาไปคุยอวดชาวบ้าน เพราะถ้าเป็นลักษณะอย่างนั้นจะเป็นการจับงูข้างหาง ตำราหรือพระไตรปิฎกจะย้อนกลับมาทำอันตรายเราทีหลัง

โบราณเขาบอกว่ารู้มากยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ ก็เหลืออยู่อย่างเดียวคือต้องรู้พอดี ๆ

เถรี 15-12-2012 11:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐินทอดได้วันสุดท้ายคือ กลางเดือน ๑๒ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า กาลกฐิน กาละ คือเวลา

เวลาสำหรับกาลกฐิน เริ่มตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ คือวันที่เขานิยมตักบาตรเทโวฯ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๒ แค่ ๒๙ วันเท่านั้น เพราะว่าข้างแรมของเดือน ๑๑ มีแค่ ๑๔ วัน ข้างขึ้นมี ๑๕ วัน"

เถรี 15-12-2012 11:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้วัดท่าขนุนบวชพระ จากนาค ๑๓ ท่าน ค่อย ๆ หลุดกระเด็นไปทีละท่านจนเหลือบวชแค่ ๑๐ ท่าน ที่น่าขายหน้าที่สุดก็คือ ฝรั่งผ่านส่วนคนไทยตก..! อย่างท่านลุคต้องเขียนเป็นภาษาอังกฤษให้ท่านท่องทีละประโยค ๆ ท่านยังท่องได้ แต่ตอนนี้แม่ชีเคิ่ลกำลังสาหัส นั่งบ่นว่าทำไมวัดท่าขนุนสวดมนต์เยอะอย่างนี้ เขียนไม่ไหว เพราะต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษประโยคต่อประโยค

อาตมามีโครงการว่าจะทำหนังสือสวดมนต์เป็นภาษาบาลีโรมัน บาลีโรมันจะเป็นหลักการออกเสียงของนักภาษาศาสตร์ทั่วโลก ถ้าพวกที่เรียนภาษาศาสตร์มาจะออกเสียงถูกทุกคน เพียงแต่ว่าตัวหนังสือจะแปลก ๆ เพราะจะไม่ตรงกับภาษาอังกฤษ ใช้ตัวภาษาอังกฤษแต่มีเครื่องหมายกำกับ อย่างตัว N แล้วมีเครื่องหมาย คล้าย ๆ คลื่นเล็ก ๆ อยู่ข้างบน ซึ่งจะอ่านเป็นตัว ญ.

บาลีโรมันได้ความประณีต ไม่อย่างนั้นจะออกเสียงผิด อย่างเช่น ถ้ามีขีดข้างบนก็จะเป็นเสียงยาว ถ้าไม่มีขีดก็จะเป็นเสียงสั้น เช่น ตัว A เป็นเสียงอะ ถ้า A มีขีดข้างบนจะเป็นเสียงอา ค่อย ๆ ตรวจสอบทีละคำ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาทำ ถ้ามีจะค่อย ๆ ทำออกมา เผื่อฝรั่งมาจะได้สวดมนต์กับเราได้"

เถรี 15-12-2012 12:03

ต้องบอกว่าท่านลุคเป็นคนพิเศษ ก็คือเกิดอภิญญาขึ้นเอง รู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ครั้งแรกอยู่ ๆ ก็หลุดไปอยู่ข้างบน แล้วไม่อยากจะลง เพราะเห็นว่าร่างกายข้างล่างคบไม่ได้ ไม่ได้สวยงามเหมือนข้างบน พอถึงเวลาแล้วไม่ลง เขาเลยบรรจงถีบลงมา..!

ของพวกนี้แปลก ถ้าได้ครั้งหนึ่งแล้วจะได้ตลอด เพราะรู้วิธีไปแล้ว เขาก็พยายามเสาะหาช่องทางของตัวเอง จนในที่สุดก็รู้ว่าเมืองไทยของเรามีหลักการปฏิบัติแบบนี้ เขาจึงมาเมืองไทย เที่ยวไล่ไปสำนักนั้นสำนักนี้ แม้กระทั่งวัดท่าซุงหรือวัดเขาวงของหลวงตา เขาก็ไปมาแล้ว ท้ายสุดไปชอบใจวัดท่าขนุน เขาก็เลยขอบวช ลุคเป็นฝรั่งที่อารมณ์ดี ค่อนข้างจะกวนอีกต่างหาก

ฝรั่งเขาจะกล้าคิดกล้าพูด บิณฑบาตอยู่ด้วยกันก็บอกให้คุณลุคเขาคอยตอบ อาตมาจะถาม พอถาม “กุฏฐัง” แกก็ตอบว่า “สรณัง คัจฉามิ” อาตมาก็ “เฮ้ย..นี่ตูออกเสียงไม่ชัดใช่ไหม ?” กุฏฐัง เขาให้ตอบ นัตถิ ภันเต ถ้า มนุสโสสิ ก็ตอบว่า อามะ ภันเต

อุตส่าห์อธิบายให้เขาฟังว่า นัตถิ ภันเต คือ No, sir. ถ้าอามะ ภันเต คือ Yes, sir. เขาบอกว่า I see. เขารู้ก่อนแล้ว ตกลงอาตมาอธิบายเสียน้ำลายเปล่า..!

เถรี 15-12-2012 12:06

ถาม : บนเรื่องงาน ?
ตอบ : บนพระวิสุทธิเทพ รักษาศีล ๘ พร้อมเจริญกรรมฐาน ๗ วัน รีบไปจุดธูปกลางแจ้ง ๕ ดอก บอกท่านว่างานนี้ผมขอนะครับ โดยกติกาเขาเอาแค่ ๗ วัน รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ได้ พร้อมเจริญกรรมฐาน ของเราให้เอาศีล ๘ ไปเลย จะได้มีข้ออ้างหนีเมียไปวัดได้..! ..(หัวเราะ)..

ถาม : ถ้าเราบนไปแล้วรอบหนึ่งแล้ว..ก็บนซ้ำ ?
ตอบ : ถ้าซ้ำก็เจออีก ๗ วันนะสิ..!

เถรี 15-12-2012 12:09

ถาม : การจุดธูปตามพิธีต่าง ๆ ตามสายวัดท่าซุง ใช้กี่ดอกครับ ?
ตอบ : ปกติก็ใช้ ๕ ดอก แทนการบูชาพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ถ้าเขาไม่จำกัดเราก็ใช้ดอกเดียว จะได้ไม่เปลือง..!

ถาม : ในจำนวนที่เท่ากัน การถวายดอกบัวถือว่ามีอานิสงส์กว่าถวายดอกไม้อื่นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าถวายเฉย ๆ ก็เหมือนกับดอกไม้อื่น แต่ถ้าถวายดอกบัวแล้วเรานึกด้วยว่า ดอกบัวเป็นดอกไม้ที่เกี่ยวข้องกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาอย่างไร ถ้าอย่างนั้นจะเป็นการยกระดับความสำคัญขึ้นมาในใจของเรา อานิสงส์ที่จะพึงได้ก็เพิ่มพุทธานุสติขึ้นมา ได้อานิสงส์มากกว่าหลายเท่า แต่ถ้าเห็นดอกบัวเป็นดอกบัว สักแต่ถวายไป ก็ได้เท่ากับดอกไม้อื่น

ถาม : เรื่องการบวงสรวงศาลพระภูมิทำเป็นพิธี หรือถวายสังฆทาน ทำเฉพาะครั้งแรกครั้งเดียว ?
ตอบ : ถวายครั้งแรกแค่ครั้งเดียว ที่เหลือจะอธิษฐานถวายเครื่องสังเวยทุกวันพระใหญ่อะไรก็ว่าไป

เถรี 15-12-2012 12:13

ถาม : เดี๋ยวนี้มีการบอกว่ามีครูบาอาจารย์มาสอนในนิมิต เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจริงหรือไม่จริง ?
ตอบ : เทียบกับหนังสือวิสุทธิมรรค เทียบกับพระไตรปิฏก เทียบกับตำราของหลวงพ่อวัดท่าซุง แหกคอกไปเมื่อไรก็เลิกเชื่อ เมื่อครู่โยมก็เพิ่งจะถามเรื่องวิริยาธิกะพิเศษ ขนาดเรื่องนี้ยังไม่มีในพระไตรปิฎกเลย แต่ว่าอรรถกถาพุทธวงศ์ท่านเขียนเอาไว้ เขาถึงได้แยกประเภทเอาผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณมาเป็น ๓ ประเภท

แสดงว่าระดับพระพุทธเจ้ายังไม่สอนเลย เพราะทราบว่าคนจะเอาไปทะเลาะกัน อรรถกถาจารย์ท่านทราบก็อธิบายเพิ่มเติมมา พวกเราดันมีคนเก่งกว่า อธิบายเพิ่มขึ้นมาอีก

เพราะฉะนั้น..ถ้าไม่ตรงกับพระไตรปิฎก ไม่ตรงกับวิสุทธิมรรค หรือไม่ตรงกับตำราหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็ละไว้ก่อนว่าอย่าเพิ่งเชื่อ ต่อให้ตรงเลยก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะบางทีเท่าที่เจอมา เขาบอกตรงตั้ง ๘๐ - ๙๐% แล้วมาหลอกไว้ตอนท้ายนิดเดียว ทำให้เกิดผลก่อนแล้วค่อยเชื่อ แต่ผลนั้นก็เชื่อไม่ได้ เพราะหลายครั้งเขาเป็นคนทำให้ผลนั้นเกิดเอง พอถึงเวลาเขาถอนกำลังคืน เราก็กลายเป็นหมาเหมือนเดิม..!

เถรี 15-12-2012 12:18

ถาม : ถ้ามีเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา เราไม่สามารถมีสติแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ควรจะพัฒนาอย่างไร ?
ตอบ : ทำสมาธิให้เป็นฌานใช้งานให้ได้ ไม่ว่าจะอยู่อิริยาบถไหนก็ต้องทรงสมาธิได้ ไม่อย่างนั้นถึงเวลาดีแต่นิ่งเงียบไปเฉย ๆ เราก็เอากำลังสมาธิไปทำอะไรไม่ได้

เถรี 15-12-2012 12:24

ถาม : พระเวสสันดรท่านเป็นพุทธภูมิ ชาติสุดท้ายทำไมท่านไม่ได้ทำทานปรมัตถบารมี ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับโอกาสว่าชาตินั้นจะได้ทำอะไร บางรายปรารถนาพุทธภูมิชาติแรกก็ต้องสละสังขารเป็นอาหารคนอื่นแล้ว อยู่ที่โอกาสว่าจะได้ทำอะไร เพียงแต่ว่าทำให้จบก็แล้วกัน เหมือนกับทางโลก ถึงเวลาเขาให้เรียนระเบียบการทำวิจัยก่อน แต่เราดันไปเรียนวิชาอย่างอื่นจบก่อน แต่วิชานี้ไม่จบ ก็ต้องมาตามเก็บให้ได้

ถาม : ทานปรมัตถบารมี ไม่น่าทำเป็นชาติสุดท้าย ?
ตอบ : ก็บอกแล้ว บางคนเจอปรมัตถ์ตั้งแต่ชาติแรกที่ปรารถนาเลย ขึ้นอยู่กับโอกาสว่าจะได้ทำไหม ต่อให้คุณเรียนวิชาที่ยากที่สุดไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าระยะเวลาเรียนไม่ครบก็จบไม่ได้ เก็บหน่วยกิตไม่ครบก็จบไม่ได้ ต้องรอจนกว่าจะครบทุกวิชา

เราจะเห็นว่าในแต่ละชาติของท่าน มีหลายชาติที่สร้างเรื่องของปรมัตถบารมี กลายเป็นว่าชาติที่ท่านเป็นสัตว์ได้ทำก่อน ชาติที่เป็นคนก็ไปทำทีหลัง จริง ๆ เรื่องของพระโพธิญาณ พระพุทธเจ้าท่านไม่เสียเวลามาสอนพวกเราหรอก เพราะเป็นธรรมที่เนิ่นช้า คือต้องเกิดมาทุกข์แล้วทุกข์อีก พออาจารย์ระยะหลังท่านทราบ ท่านก็มาขยายความ แล้วก็ไปถูกจริตกับคนจำนวนมาก ก็เลยไปทำกันใหญ่

แบบเดียวกับสุขาวดีพุทธเกษตร ซึ่งก็คือสวรรค์ชั้นดุสิต มหายานเขาไปเห็นแล้วก็เอามาสอนไปเรื่อย เพราะเขานิยมการเกิดมาช่วยคน ในเมื่อเถรวาทไม่สอน ก็เลยกลายเป็นแยกไปคนละสาย

เถรี 15-12-2012 12:27

มีพวกนักวิชาการศาสนาหลายต่อหลายท่าน และส่วนมากด้วย ไปตีความว่าพุทธศาสนามหายานเกิดจากการปรับปรุง เพื่อที่จะได้ต่อสู้กับศาสนาฮินดู เพราะพระพุทธเจ้าของเราปรินิพพานแล้วไม่เหลืออะไรเลย แต่ของฮินดูยังมีเทวดาคอยช่วยศาสนิกชนเขาอยู่ ก็เลยต้องปรับให้เป็นพระโพธิสัตว์ อยู่เพื่อสงเคราะห์มนุษย์

ในเมื่อเขาอธิบายมา ปรากฏว่าทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล อาตมาเองก็ไม่กล้าเถียงอาจารย์ เดี๋ยวท่านจะให้ตก..ก็ได้แต่ตั้งคำถามในเชิงแย้งว่า “เป็นไปได้ไหมครับท่านอาจารย์ ว่าท่านที่เขียนตำรามหายาน จริง ๆ แล้วท่านไปเจอสถานที่แบบนั้นมา เพราะถ้าไม่ไปเจอมา ก็ไม่สามารถที่จะอธิบายอะไรที่เป็นเหตุเป็นผล สอดคล้องกันหมด โดยที่ไม่มีข้อบกพร่องให้เราติได้เลย" ท่านอาจารย์ก็บอกว่า “นี่ก็ถือว่าเป็นทฤษฎีหนึ่ง ซึ่งเราเป็นนักวิชาการ ควรจะเปิดใจให้กว้างแล้วก็รับฟังเอาไว้”

สรุปว่าสิ่งที่มีเหตุผลที่สุดของเขาก็คือ เอาไว้สู้กับศาสนาฮินดู ส่วนความเป็นจริงจะใช่หรือไม่ใช่...ไม่สนใจ ไปเรียนหนังสืออย่าเถียงอาจารย์เป็นอันขาด ไปเถียงแบบไม่มีชั้นเชิงนี่ติด F เอาง่าย ๆ..!

เถรี 15-12-2012 12:30

วิธีจะให้หายสงสัยคือไปดูเสียเอง ถ้ายังไปไม่ได้ก็ขวนขวายฝึกฝนให้ไปให้ได้ จะได้หายสงสัย ไปถามคนอื่นก็ไม่มีประโยชน์ พอถามเสร็จเราเอาไปคุยต่อ พอคนอื่นค้านขึ้นมา เราก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ก็ไปนั่งเถียงกันเปล่า ๆ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า เราไม่ควรพูดในสิ่งที่เป็นเหตุให้เถียงกัน เพราะว่าการถกเถียงกันจำเป็นต้องพูดมาก บุคคลที่พูดมากจิตใจจะฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ แปลว่ามีแต่เสียกับเสีย

ถ้าใครขี้สงสัยแต่ไม่สามารถไปดูได้ด้วยตัวเอง ให้หาใครก็ได้ที่ได้อภิญญาหรือได้มโนมยิทธิใหม่ ๆ พวกนี้จะคัน ขอให้ไปไหนได้ทั้งนั้น ถึงเวลาก็ใช้ให้ไปดู แต่อย่าไปใช้อย่างที่อาตมาเคยหลอกเด็ก โดนหลวงพ่อฝากด่ามา อาตมาก็อยากรู้ว่าเด็กทำได้จริงหรือเปล่า แต่คราวนี้เวลาให้เด็กไปดูเหมือนลักษณะไปหลอกใช้เขา อยากรู้ว่าตรงกันไหม ? เลยโดนหลวงพ่อฝากด่ามา..สะใจมาก ยังดีฝากมาแค่ด่า ถ้าฝากที่หนักกว่านั้นมานี่คงแย่..!

เถรี 15-12-2012 12:35

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง ถวายเป็นพุทธบูชา จะจุดไฟกันตอน ๖ โมงครึ่ง พอเวลา ๖ โมงเย็นกำลังทำวัตรฝนก็ตก ต้องกำหนดใจบอกกับพรหมบอกเทวดาท่านว่า พวกเราจะทำบุญใหญ่ ถวายประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวงเป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา อย่างไรก็ช่วยสงเคราะห์ให้หน่อย ท่านก็เลยหยุดให้

ของแบบนี้เราห้ามไม่ได้หรอก เพียงแต่แจกแจง
ว่าผลดีเป็นอย่างไร ถ้าฝนตกแล้วจะเสียอย่างไร เทวดาท่านยินดีในบุญกุศลอยู่แล้ว ท่านก็เต็มใจช่วย"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:08


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว