กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4586)

เถรี 09-09-2015 11:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "ก่อนทองขึ้นราคา อาตมาว่าจะซื้ออีกสักหน่อย แต่งวดนี้อาจจะแพง ช่วงจังหวะที่ถูกที่สุดเงินไม่พอซื้อ ตอนนี้กองทุนสร้างพระพุทธรูปทองคำยังติดลบอยู่ ๑๔ ล้านกว่าบาท"

เถรี 09-09-2015 11:41

ถาม : ของในโลกทุกอย่างประกอบขึ้นด้วยธาตุสี่ แล้วเราก็เรียกและยึดส่วนผสมของธาตุสี่ไปเป็นสมมติต่าง ๆ แล้วที่เราทำอะไรต่าง ๆ ให้เป็นชื่อเสียงหรือชื่นชมว่าเก่งก็ตาม เช่น การออกแบบของได้ จริง ๆ ก็เป็นความจำของคนหมู่มาก เราจะทำอะไรในโลกก็แค่ทำส่วนผสมใหม่เท่านั้นเอง ถ้าทำด้วยวิธีการที่คนส่วนใหญ่จำได้ ก็จะเรียกว่าวิชาการ แต่ถ้าสมมติว่าทำด้วยวิธีการที่แปลกไปจากเดิม อย่างเช่น เสกเอา...?
ตอบ : เขาก็ว่าบ้า..! ถ้าไม่เห็นว่าเราบ้าก็เห็นเราเป็นผู้วิเศษ

ถาม : เป็นส่วนของความจำที่เราเรียกว่าสัญญาไหมคะ ?
ตอบ : เป็น...แต่ขณะเดียวกันสิ่งที่มากระทบแล้วทำให้เกิดสัญญาก็มีส่วนด้วย คนเราก็เลยไม่ค่อยยอมรับอะไรที่ตัวเองไม่ค่อยรู้ ถ้านอกเหนือประสบการณ์ตัวเอง ก็มักจะโบ้ยให้เป็นเรื่องของผี ของเทวดาบ้าง ไอ้โน่นบ้า ไอ้นี่ดี ยุ่งไปหมด

ถาม : เป็นกิเลส ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นอวิชชา ต้นตอของกิเลสเลย

เถรี 09-09-2015 12:23

พระอาจารย์กล่าวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งว่า "หยงหยงอ่านหนังสือต้องจำให้ได้อย่างหลวงตานะ จำหน้าได้ยังไม่พอ ต้องจำบรรทัดได้ด้วย

ความจริงอาตมาไม่ได้คิดจะจำ แต่ไม่รู้เป็นอย่างไร อ่านหนังสือแล้วจำได้หมด ฝรั่งเขาบอกว่า บางคนมีความจำเหมือนภาพถ่าย น่าจะเป็นในลักษณะอย่างนั้น คือจะนึกออกเลยว่าหน้าตาเป็นอย่างไร คนที่มีความจำเหมือนภาพถ่าย ถึงเวลาจะให้รายละเอียดได้มากเพราะว่าจำชัดเจน บางคนก็ถามว่าทำไมบันทึกการเดินทางของอาตมาเขียนได้ละเอียดจัง ตามรอยได้ทุกก้าวเลย ก็นั่นแหละ..ดึงออกมาจากความจำตัวเองก็เขียนได้เรื่อย ๆ

เสียดายอย่างเดียวว่าวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกได้แค่ B+ ถ้าได้ A จะได้คุยอย่างเต็มปากเต็มคำเลย"

เถรี 09-09-2015 12:32

ถาม : กฐินปลดหนี้ที่เนปาล ไปอย่างไร ?
ตอบ : ไปจองที่คุณไพรินทร์ ไป ๔ วัน ตั้งแต่วันที่ ๕-๘ พฤศจิกายน เป็นวันพฤหัส-ศุกร์-เสาร์ วันอาทิตย์กลับ เขานับเป็นวันที่ ๔ เพราะเที่ยวครึ่งวันแล้วกลับ ค่าใช้จ่าย ๓๕,๙๐๐ บาท รายจ่ายทุกอย่างเป็นของเขา ยกเว้นอาหารมื้อเย็นไม่มี เพราะที่ไปส่วนใหญ่ไม่มีใครกินข้าวเย็น เขาพาไปเที่ยวก่อน ๒ วัน ทอดกฐินครึ่งวัน แล้วอีกครึ่งวัน ถ้าจำไม่ผิดไปนอนที่นากาก็อต คงจะได้หนาวตายกันบ้าง เพราะว่าช่วงปลายปีที่โน่นถึงติดลบเลย..!

รับแค่ ๒๕ คน ถ้าจะจองก็รีบจอง จะเด็กหรือผู้ใหญ่ถ้าคิดว่าสู้หนาวได้ก็ไปเถอะ ตอนนี้เหลือที่ให้จองแค่ ๑๒ คน

เถรี 09-09-2015 12:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ไปไกล ไปปลดหนี้ต่างประเทศ ปีหน้าไปไกลกว่าอีก ไปชายแดนพม่า ไปวัดตะเคียนงาม เป็นห่วงท่านเหมือนกัน ท่านอายุ ๗๐ เข้าไปแล้ว วัดวาอารามกำลังจะเสร็จเพราะว่างานปิดทองฝังลูกนิมิตกำลังดำเนินการอยู่ วันก่อนท่านมาขอยืมเงิน ก็เลยโอนไปให้ ๑ ล้านบาท เพราะว่าช่วงดำเนินการค่าใช้จ่ายจะสูงมาก เลยบอกว่าเอากฐินไปให้คุณก็ไม่มีประโยชน์ เพราะรับเสร็จคุณก็ต้องเอามาคืนผม ปลดหนี้เสร็จ เจ้าหนี้ก็เก็บเงินกลับมาด้วย"

เถรี 09-09-2015 12:39

พระอาจารย์กล่าวเตือนว่า “ถ้าทำงานโดยไม่ใช้เสียงได้ก็จะดี นี่เริ่มเสียงดังกลบข้างหน้าอีกแล้ว พวกเราส่วนใหญ่แล้วสติไม่พอ พอถึงเวลาก็จะเผลอเสียงดัง ก็เลยต้องโดนปฏักเป็นระยะ ๆ ไป

เคยนั่งอยู่ข้างวงคนกินเหล้าไหม ? คนกินเหล้าแล้วหูจะอื้อ คิดว่าตัวเองพูดเสียงเบา แล้วก็ต่างคนต่างดังใส่กัน อาตมาเองเกาะข้างวงเหล้าอยู่หลายปี มีหน้าที่กินกับ ใครบอกว่าทหารไม่กินเหล้าแล้วอยู่ไม่ได้..ไม่จริง ถึงเวลาในวงถ้ามีคนไม่เมาอยู่ คนอื่นเขาจะเกรงใจ เวลาเขาเมาเหมือนหมาเราก็แบกเขากลับได้ ฉะนั้น..ใครที่บอกว่าไม่กินเหล้าแล้วเพื่อนเขาไม่คบ ไม่ใช่หรอก มีแต่ต้องคบเรา เพียงแต่เขาเบื่ออยู่อย่างเดียวว่ากับแกล้มหมดเร็ว”

เถรี 09-09-2015 12:42

ถาม : ว่าจะซื้อทอง ๑๙,๐๐๐ บาทค่ะ ?
ตอบ : ซื้อไว้เถอะ ต่อให้ลดลงได้อีกเราก็ซื้อไว้ก่อน เพราะถ้าทองขึ้นงวดนี้จะขึ้นอย่างน่ากลัวมาก ไม่ใช่ขึ้นแค่หลักร้อยหลักพัน แต่ขึ้นเป็นหลักหมื่นเลย ไว้เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง บอกมากไปก็ไม่ดี รู้อะไรล่วงหน้า...ถ้าปล่อยไม่ได้วางไม่ได้ก็เครียด อย่าไปรู้เลย ไปเนปาลกินข้าวจานหนึ่งเกือบ ๒๐๐ บาท บ้านเราต่อไปก็เจอราคานี้แหละ..!

เถรี 09-09-2015 13:43

ถาม : ผมท่องพุทโธ แล้วไม่ค่อยเป็นสมาธิ ?
ตอบ : ก็ใช้อย่างอื่น การภาวนาเป็นเครื่องโยงใจให้ใจเป็นสมาธิ เราใช้อย่างไหนแล้วใจเป็นสมาธิให้ใช้อย่างนั้น ไม่ได้จำกัดว่าต้องพุทโธเท่านั้น

เถรี 09-09-2015 13:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อ ๒ อาทิตย์ที่แล้วมา อาตมาบังเอิญได้ลูกอมหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา มา ๑ ลูก พวกเราไม่เคยได้ยินชื่อท่านหรอก รู้จักแต่หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ใช่ไหม ? สมัยก่อนตอนกราบสนทนากับหลวงปู่บุดดา หลวงปู่บุดดาบอกว่า "อ๋อ...หลวงพ่อปานหรือ ? มีตั้ง ๓ องค์" หลวงพ่อปาน ๓ องค์ของหลวงปู่บุดดาก็มี หลวงพ่อปาน วัดตุ๊กตา จังหวัดนครปฐม, หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย จังหวัดสมุทรปราการ และหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

หลวงพ่อปาน วัดตุ๊กตา ท่านมีความสามารถทางไหน ? ประวัติท่านไม่ค่อยชัด เพราะว่าท่านเป็นอาจารย์รุ่นเก่ามาก ถ้าถามว่าเก่าระดับไหน ? เก่าขนาดเป็นพระอุปัชฌาย์ของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ถัดจากหลวงปู่บุญ มาเป็นหลวงปู่เพิ่ม จากหลวงปู่เพิ่มมาเป็นหลวงปู่เจือ ตอนนี้หลวงปู่เจือก็มรณภาพไปแล้ว นึกไล่ย้อนหลังไปแล้วกันว่าหลวงปู่ปานอยู่ในยุคไหน แต่ว่าลูกอมของท่านต้องถือว่าเป็นอันดับ ๑ ของประเทศไทย แต่ละคนที่มีอยู่จะหวงสุดชีวิต ไม่ยอมให้ใครง่าย ๆ

ถ้าเอาเป็นที่นิยมในท้องตลาดก็จะมีลูกอมของหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา, ลูกอมมหากัน หลวงปู่คง วัดบางกะพ้อม, ลูกอมผงยันต์เกราะเพชร หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค, ลูกอมผงอิทธิเจ หลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก, ลูกอมเมฆสิทธิ์ หลวงปู่ทับ วัดอนงคาราม เป็นต้น ถ้าใครมีอยู่รักษาให้ดี ๆ ไม่ใช่ของหากันง่าย ๆ ลูกอมลูกนี้หลุดมาอยู่ในเว็บหนึ่ง เขาลงราคาไว้เป็นหมื่น อาตมาคว้าหมับมาเลย บอกว่าไม่ต้องโอนเงิน ให้เอามาส่งแล้วรับเงินไปเลย"

เถรี 09-09-2015 13:54

"ลูกอมของหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา มีส่วนผสมของว่านสบู่เลือด เพราะฉะนั้น..จะมีสีสันอมชมพู ที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือผงที่ท่านทำ ไม่ทราบว่าใช้ส่วนผสมอะไร พอปั้นเป็นลูกอมแล้วเนื้อแกร่งเหมือนกับหินอ่อนเลย

ของดี ๆ บางทีก็มีหลุดมาในเว็บเหมือนกัน แต่คนต้องดูเป็น ถ้าดูไม่เป็นจะมองข้ามไปแบบน่าเสียดาย โดยเฉพาะหลวงปู่ปาน วัดตุ๊กตา ถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ในวงการจริง ๆ แทบจะไม่รู้จักท่านเลย ลูกอมผงยันต์เกราะเพชร ของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค อาตมาโดนเพื่อนอมไปแล้ว ในเมื่อเป็นลูกอมก็เลยโดนอมไป ตอนนี้ก็เหลือแต่ของหลวงปู่พริ้ง วัดบางปะกอก"

เถรี 09-09-2015 14:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตะกรุดมหาสะท้อนทองคำ รุ่น ๕ เพิ่งจะเข้าพิธีพุทธาภิเษกล่าสุดที่วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่มา ในงานก็มีตุ๊พ่อสิงห์กับหลวงตาวัชรชัยร่วมพิธีด้วย ต้องบอกว่านาน ๆ ทีจะมีตะกรุดมหาสะท้อนเข้าพิธีใหญ่สักครั้งหนึ่ง เพราะปกติเขียนเสร็จก็เสกในตัวใช้ได้เลย

ตะกรุดมหาสะท้อนบังคับเลยว่าต้องเป็นวัตถุมีค่า ต่ำสุดก็คือเงินแท้ หรือนาก หรือทองคำเท่านั้น น้ำหนักต้องไม่ต่ำกว่า ๑ บาท นี่เป็นวัตถุมงคลเนื้อทองคำรุ่นเดียว ที่อาตมาคิดราคาเท่ากับราคาท้องตลาด เพราะราคาวัตถุมงคลในตลาดที่เป็นเนื้อทองคำ คำนวณราคาทองคำที่ใช้ทำ
ออกมาเป็นเงินแล้วคูณด้วย ๓ ก็คือราคาที่เขาออกให้บูชากัน แต่อาตมาคิด ๓ บาทพอดี ถ้าหากจะเอา ๓ เท่าพอดีต้องเกิน ๓ บาทไปหน่อย ๆ เพราะว่าเราจะให้ตะกรุดหนัก ๑ บาทตรง ๆ ไม่ได้ ต้องให้เกินไว้นิดหนึ่ง..เผื่อขาด

ส่วนใหญ่แล้วพอนานไปก็จะมีการเพี้ยน ครูบาอาจารย์ท่านระบุไว้อย่างไรก็ไม่ทำตามนั้น ซึ่งถ้าต้องการให้เป็นมหาสะท้อน แปลว่าน้ำหนักต่ำสุดต้องหนักบาทหนึ่งขึ้นไป และเป็นโลหะมีค่า ก็คือเงิน นาก หรือทองคำ เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า โลหะมีค่าแต่ละชนิด ทำไมถึงต้องใช้ต่างกัน ? ท่านบอกว่า วัตถุมงคลยิ่งสร้างด้วยโลหะมีราคาสูงเท่าไร พรหม เทวดาที่รักษาก็ยิ่งมีอานุภาพหรือศักดานุภาพสูงเท่านั้น แล้วก็ไม่ต้องไปหาอีก เพราะว่าปกติอาตมาไม่เคยทำตะกรุดเนื้อทองคำเป็นสาธารณะ เพิ่งจะมีครั้งนี้ครั้งแรกและครั้งเดียว ถ้าพระท่านไม่อนุญาตก็ไม่กล้าทำ

ตอนนี้ถ้าใครจะซื้อทองคำ อย่าเพิ่งไปสนใจราคาที่ขึ้น ๆ ลง ๆ ให้ซื้อเอาไว้ก่อน จะขาดทุนกำไรเล็กน้อยอย่างไรช่าง เพราะอาตมายืนยันว่าอีกไม่นานราคาทองคำจะแพงหูดับ..!"

เถรี 09-09-2015 14:59

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ห้องเรียนวัดไร่ขิง กำหนดสอบโครงร่างสารนิพนธ์ปริญญาโทวันที่ ๑๔ กันยายน อาตมาก็เลยต้องโวย ถ้า ๑๔ กันยายน คุณก็หาคนอื่นคุมเล่มแทนเถอะ เพราะวันที่ ๑๔ กันยายน ตรงกับงานหลวงปู่สาย เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่อาตมาจะว่าง

ตอนแรกวันสอบโครงร่างฯ ตรงกับวันที่ ๑๑ กันยายน แต่ท่านเจ้าคุณพระราชวรเมธีท่านไม่ว่าง ก็เลยเลื่อนมาเป็น ๑๔ กันยายน อาตมาก็ได้แต่คิดว่า ถ้าอาจารย์คุมเล่มไม่ไปก็น่าเกลียดมาก ปรากฏว่าท้ายสุดเขาก็เลื่อนเป็น ๑๕ กันยายนให้ แปลว่า พองานหลวงปู่เสร็จ อาตมาต้องวิ่งตับแล่บเลย เพราะคุมอยู่ตั้ง ๙ เล่ม กำลังคิดว่าเรียนจบแล้วไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องอย่างนี้อีก กลายเป็นต้องมานั่งตรวจโครงร่างสารนิพนธ์ของเขา ดึก ๆ ดื่น ๆ โดนไปตั้ง ๙ เล่ม แล้วอาตมาก็มีนิสัยอ่านทุกตัวอักษรเสียด้วย

วันนั้นที่ตรวจไปมีผิดทุกหน้า ก็คิดขึ้นมาว่าสมัยตอนเราเรียนใหม่ ๆ เราก็คงจะทำให้อาจารย์ปวดกบาลแบบนี้เหมือนกันแหละ อาตมายืนยันนะ ถ้าใครไม่ได้เรียนปริญญาตรีงานวิจัยมาโดยตรง ก็จะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์หรือสารนิพนธ์สักเท่าไรหรอก จะมารู้เอาจริง ๆ ตอนที่เรียนจบแล้ว แล้วถ้าไม่ได้เรียนต่อให้สูงไปกว่านั้นก็ไม่ได้ใช้ต่อ จึงต้องมาแก้ให้เขาตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้าย แต่ที่น่าตายที่สุดก็คือ ชื่อตัวเองยังเขียนผิด ก็เลยบอกเขาว่า คราวหน้า
ถ้าชื่อตัวเองยังเขียนผิด อาตมาจะปรับตกตั้งแต่ก่อนสอบเลย"

เถรี 09-09-2015 15:56

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยที่ยังอยู่ที่บ้านอนุสาวรีย์ฯ มีสาววัยรุ่นคนหนึ่งชื่อมีมี่ น่าจะเรียนมัธยมปลายหรือไม่ก็มหาวิทยาลัยปีแรก แกถามปัญหาสารพัด อาตมาก็นั่งทำนั่นทำนี่แล้วก็ตอบไปเรื่อย ๆ เขาโกรธมาก เขาบอกว่า เขาต้องทุ่มเทความคิดและสติปัญญาทุกอย่างเพื่อถาม หลวงพ่อทำโน่นทำนี่แล้วก็ตอบไปเรื่อย ๆ พูดง่าย ๆ คือของอาตมาสบาย ๆ ขณะที่เขาต้องทุ่มสุดตัว

อาตมาก็บอกกับเขาว่า ถ้าเราฝึกไปถึงระดับหนึ่ง ความละเอียดของใจมีมากขึ้น จะทำงานหลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน นึกขำตอนที่เขาโกรธ เขาโกรธแบบเด็ก ๆ เลย ทุ่มเทสติปัญญาความรู้ความสามารถทั้งหมดตั้งคำถาม แต่หลวงพ่อเล่นทำงานไปตอบไป

ถ้าคนฝึกมโนมยิทธิมา มีความคล่องสักนิดหนึ่ง ก็ทำแบบนี้ได้ทุกคน เพราะว่าเรื่องของมโนมยิทธิ ใจของเราส่วนหนึ่งต้องอยู่กับพระ ใจของเราอีกส่วนหนึ่งต้องควบคุมการทำงานของร่างกายจนเคยชิน

วันก่อนที่วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ที่หลวงตาวัชรชัยท่านพูดว่า ในเรื่องของความชัดเจนของมโนมยิทธิ ต้องยกให้อาตมา ความจริงที่ได้มาก็เกิดจากการฝึกฝน ขอยืนยันว่าต้องฝึกหนักมาก หลังจากที่ฝึกมโนมยิทธิได้ก็ซักซ้อมครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะซ้อมอยู่ข้าง ๆ หลวงพ่อวัดท่าซุงกับหลวงปู่ธรรมชัย"

เถรี 09-09-2015 16:44

"ตอนอยู่ข้างหลวงพ่อวัดท่าซุง บารมีพระท่านสงเคราะห์ลงมา เวลาไปซักซ้อมการรู้เห็นอะไรก็จะชัดเจนมาก เมื่อมีโอกาสซักซ้อมอยู่บ่อย ๆ ก็มีความคล่องตัว แล้วก็ไปซ้อมที่หลวงปู่ธรรมชัย ก็แปลว่าเดือนหนึ่งอย่างน้อยได้ซ้อม ๒ รอบใหญ่ ๆ ก็คือ ตอนที่หลวงพ่อวัดท่าซุงมาบ้านสายลม กับหลวงปู่ธรรมชัยไปบ้านคุณประดิษฐ์ที่สมุทรปราการ

หลวงปู่ธรรมชัยจะต้องตรวจรักษาโรค เวลาคนมาหาท่านต้องจับสายสิญจน์ที่วางบนพาน หลวงปู่ก็จะบอกว่าเจ็บป่วยด้วยโรคอะไร เป็นมากี่วัน กี่เดือน กี่ปี ต้องใช้ยาอะไร ซึ่งพระเลขาต้องเขียนเร็วมาก เพราะหลวงปู่ท่านพูดไปเรื่อย ๆ อาตมาก็ไปนั่งซ้อม ปรากฏว่าป่วยมากี่ปีพอจะบอกได้ถูก แต่พอกี่เดือนกี่วันมักจะพลาด เพราะว่าวิสัยไม่ได้มาทางด้านนี้ ไม่ได้ละเอียดขนาดนั้น

ซ้อมไปอยู่เป็นปี ๆ มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็หัวเราะ ท่านบอกว่าทิพจักขุญาณของหลวงปู่ธรรมชัยเยี่ยมที่สุดในยุคนี้ ท่านบอกว่า "หลวงปู่เกิดมาเพื่อรักษาโรค ถ้ารู้สมมุติฐานไม่ละเอียดก็รักษาไม่ได้ เอ็งไม่ต้องไปแข่งกับท่านหรอก" เพราะฉะนั้น..ประเภท
ที่แพ้ยับเยินมาทุกงานนี่ไม่ใช่เรื่องแปลก ปัจจุบันที่คนโน้นก็บอกว่ารู้ชัด คนนี้ก็บอกว่ารู้ชัด อาตมาไปเจอหลวงปู่นี่เยินมาเยอะแล้ว ไม่ติดฝุ่นท่านเลย

หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่า แรก ๆ ท่านก็ต้องช่วยรักษาโรค เพราะคนเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมาก็จะมาพึ่งพา ตนเองเป็นพระก็ต้องสงเคราะห์เขา แต่พอเห็นหน้าหลวงปู่ธรรมชัยก็รู้ว่าเจ้าของงานมาแล้ว โล่งอกไปที ภายหลังเวลาใครเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านก็แนะนำไปหาหลวงปู่ธรรมชัยก่อน

หลวงปู่ธรรมชัยท่านเมตตาเหลือเกิน อาตมาต้องคอยอาละวาดไล่คนอยู่เรื่อย เพราะคนเราต้องการประโยชน์ของตัวเอง ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร หลวงปู่ท่านนั่งสงเคราะห์โยมตั้งแต่เช้าจนจะเที่ยงอยู่แล้ว เขาก็ยังรุมกันแน่นไปหมด ต้องไล่ไป..บอกว่าให้หลวงปู่ได้ฉันเพลก่อน ทางด้านคุณประดิษฐ์ก็บอกว่าเป็นอย่างนี้แหละ หลวงปู่อดฉันเพลประจำ"

เถรี 09-09-2015 16:52

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนเวลาหลวงปู่มหาอำพันมีอะไรก็มักจะถามอาตมา ท่านจะถามหลวงพ่อก็เกรงใจ เพราะหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ค่อยมีเวลา ถึงเวลาท่านรู้อะไรท่านก็จะใช้วิธีขอคำยืนยันกับอาตมา เป็นคนแก่ที่น่ารักมาก บางทีก็เขียนจดหมายถาม ถ้าเจอตัวก็ถามตรง ๆ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านให้ช่วยเขียนวิธีการฝึกและใช้มโนมยิทธิถวายท่าน อาตมาก็เขียนตำราถวายท่านไป ต้องบอกว่าเป็นตำราเล่มแรกของพระอาจารย์เล็ก เขียนใส่สมุดธรรมดา ๆ นี่แหละ แล้วท่านก็มาเน้นข้อความ คือท่านจะดูว่าตรงกับที่ท่านรู้มาหรือไม่ เพราะว่าจริง ๆ แล้วหลวงปู่ท่านทำได้ แต่ท่านไปติดตรงที่ว่าทิพจักขุญาณต้องเหมือนกับตาเห็น ท่านจะเอาแบบทิพยเนตร ไม่ใช่ทิพจักขุญาณ พอท่านเข้าใจว่าทิพจักขุญาณเป็นความรู้สึกแรก ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ไปลื่นเลย ถือเป็นโอกาสที่หาไม่ได้ในโลก คือได้ถวายความรู้แก่ครูบาอาจารย์ระดับนั้น

แล้วท่านก็ซื้อปากกาหมึกซึมพร้อมกับหมึกดำให้ขวดหนึ่ง บอกว่าต่อไปคุณใช้หมึกนี้นะ เพราะว่าปากกาของคุณสีจางมาก คนแก่มองไม่ค่อยเห็น ก็คือด้วยความที่จะเขียนถวายหลวงปู่ สมุดก็เอาเล่มใหม่ ปากกาก็เอาของใหม่ คราวนี้ปากกาหมึกซึมถ้าใช้ใหม่ ๆ แล้วสีจะจาง ต้องใช้ไปสักครึ่งหนึ่งแล้วสีจะค่อย ๆ เข้มขึ้น ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าต้นฉบับนั้นพี่มุกดาจะเก็บเอาไว้

ต้องบอกว่ามีโอกาสทำงานที่ไม่น่าจะได้ทำ เพราะว่าหลวงปู่ท่านมีหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นครูบาอาจารย์ มีหลวงปู่ธรรมชัย หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์เป็นสหธรรมิก กลับต้องมาคอยถามอาตมาอยู่ว่าเรื่องพวกนี้เป็นอย่างไร"

เถรี 09-09-2015 16:57

ถาม : ถ้าเดือนนี้กับเดือนตุลา จะย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่วันไหนดีครับ ?
ตอบ : ปกติแล้วในช่วงเข้าพรรษาเขาจะไม่ขึ้นบ้านใหม่กัน เพราะฉะนั้น..ให้ไปหาฤกษ์หลังออกพรรษา แล้วเป็นฤกษ์ วันศุกร์ ข้างขึ้น เดือนคู่ ก็ต้องเป็นเดือน ๑๒ หรือไม่อีกทีก็เดือนยี่คือปีหน้าไปเลย ถ้าจำเป็นต้องย้ายระยะนี้ ก็เอาตัวเข้าไปอยู่ก่อน พอหาฤกษ์ที่เราต้องการได้ก็ตั้งหิ้งพระ แล้วนิมนต์พระเข้าไป ถือว่าวันที่พระเข้าบ้านก็คือวันขึ้นบ้านใหม่

เถรี 10-09-2015 14:11

ถาม : คำว่า สุกขวิปัสสโก เขาบอกว่า เป็นผู้มีฌานอันแห้งแล้งครับ ?
ตอบ : อธิบายง่าย ๆ ว่า ไม่มีฤทธิ์ไม่มีอภิญญา คำว่า สุกขวิปัสสโก มีอธิบายว่า รู้แจ้งเห็นจริง เข้าถึงธรรมแบบง่าย ๆ โอ้พระเจ้า...ถ้าเข้าถึงธรรมได้ง่าย ๆ ก็ดีสินะ

พูดง่าย ๆ ว่า บรรลุมรรคผลโดยปราศจากความสามารถพิเศษด้านอื่น ๆ แต่เท่าที่อาตมาเจอมา ก็เห็นว่าท่านทำอะไรได้เหมือนกับพระอภิญญาดี ๆ นี่เอง ที่ยกตัวอย่างไปก็คือ หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส สมัยที่อาตมาอยู่กับท่าน ท่านมักจะซักซ้อมมโนมยิทธิด้วยการสอบถามเรื่องนั้นเรื่องนี้กับอาตมาว่าเป็นอย่างไร เวลาท่านรู้ท่านจะมาถาม ก็แปลว่าท่านรู้ยิ่งกว่าอาตมาเสียอีก เพียงแต่ท่านต้องการให้คนยืนยันเท่านั้นว่าเรื่องนี้ถูกไหม

ขณะเดียวกันก็เคยเห็นท่านเรียกฝนมาต่อหน้าต่อตาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..จะบอกว่าพระสุกขวิปัสสโกไม่มีฤทธิ์ก็ไม่จริง เพราะฤทธิ์ที่เราว่านั้นก็คืออิทธิวิธี การแสดงได้ด้วยอำนาจของกสิณ ๑๐ ที่เขาแยกแยะเป็นประเภทวิกุพพนาฤทธิ์ แต่ว่าฤทธิ์ด้านอื่น ๆ อย่างเช่นว่า ฌานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากฌานสมาบัติ อธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากความตั้งใจมั่นนั้นมีอยู่ คราวนี้พระระดับนั้นกำลังของท่านเหลือเฟืออยู่แล้ว ถ้าท่านตั้งใจอธิษฐานต้องการอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

เขาบอกว่าพระสุกขวิปัสสโกแสดงฤทธิ์ไม่ได้ แต่อาตมาเจอมาเต็ม ๆ พอท่านทำเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ท่านก็บอกว่า “อย่าบอกใครนะ”

ถาม : เป็นของเก่าหรือครับ ?
ตอบ : จะบอกว่าเป็นของเก่าไม่ได้หรอก เพราะว่าถ้าเป็นของเก่า ที่พื้นฐานเดิมถ้ามาทางวิชชา ๓ อภิญญา ๖ เวลากำลังถึงจะได้ของเก่าคืนมา แสดงว่าของท่านเป็นของใหม่จริง ๆ แต่ว่าเราไปเข้าใจผิดว่าแสดงฤทธิ์ไม่ได้ เพราะไปคิดว่าเป็นวิกุพพนาฤทธิ์ แต่ความจริงฤทธิ์ด้านอื่น ๆ มีรวม ๆ กันตั้ง ๑๐ อย่าง


ถาม : ประโยชน์อะไรที่จะไปแยกสุกขวิปัสสโกกับประเภทอื่น ๆ ?
ตอบ : แยกให้รู้เท่านั้นเองว่าคุณจัดอยู่ในประเภทไหน จะว่าไปแล้วก็จบปริญญาเหมือนกันนั่นแหละ เพียงแต่ว่าคนเรียนหมอมาก็มีความสามารถพิเศษทางหนึ่ง คนจบปริญญาด้านพลศึกษามา สมรรถภาพร่างกายของเราก็สู้เขาไม่ได้อยู่แล้ว แต่คราวนี้ตำรับตำราคำอธิบายมาฟังแล้ว แหม...บรรลุมรรคผลง่าย ๆ กว่าจะง่ายนี่ไม่รู้ล่อไปกี่แสนกัป..!

เถรี 10-09-2015 16:38

ถาม : พระสาวกต้องบำเพ็ญบารมีนานเท่าไรครับ ?
ตอบ : ถ้าตามในวิสุทธิมรรคกล่าวมาก็คือ ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป

ถาม : อัครสาวกล่ะครับ ?
ตอบ : อัครสาวก ๒ อสงไขย เท่ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า

ในบรรดาอัครสาวก มหาสาวก ระบุไว้ว่ามีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระนางพิมพา ท่านใช้คำว่าได้อภิญญาใหญ่จริง ๆ เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ระลึกชาติได้แบบไม่จำกัด พูดง่าย ๆ ก็คือเกิดมากี่ชาติก็สามารถที่จะนึกได้หมด ขณะเดียวกันสาวกคนอื่นอาจจะระลึกได้คนละ ๑ กัปบ้าง ๕ กัปบ้าง ๑๐ กัปบ้าง ๑๐๐ กัปบ้าง

ถ้าไม่ใช่พระอรหันต์ที่ท่านปล่อยวางได้แล้วจริง ๆ การระลึกชาตินี่คงเครียดน่าดู เกิดเป็นคนนี้คนนั้นสารพัดสารเพ เป็นพวกเราคงปวดกบาลตายชัก..!

เถรี 10-09-2015 16:42

ถาม : พระโสดาบันเกิดอีกกี่ชาติครับ ?
ตอบ : มากที่สุด ๗ ชาติ เป็นประเภทสัตตักขัตตุงปรมะ เป็นมนุษย์ชาติที่ ๑ ไปเทวดาชาติที่ ๒ ลงมาเป็นมนุษย์อีกชาติที่ ๓ ขึ้นไปเป็นเทวดาชาติที่ ๔ ลงมาเป็นมนุษย์อีก ๕ ขึ้นไปเป็นเทวดา ๖ ลงมาเป็นมนุษย์ ๗ แล้วไปพระนิพพาน

โกลังโกละ แปลว่า จากตระกูลสู่ตระกูล จากมนุษย์ขึ้นไปเป็นเทวดา ลงมาเป็นมนุษย์อีกที แล้วก็ไปพระนิพพาน เพราะฉะนั้น..การที่จะเป็นเทวดาหรือมนุษย์เขาเรียกเกิดทั้งนั้น ก็เท่ากับเหลือประมาณ ๓ ชาติ ส่วนเอกพีชี เขาแปลว่า ผู้มีพืชอันเดียว คือเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เข้าพระนิพพานไปเลย

เถรี 10-09-2015 16:43

ถาม : พระอนาคามียังมีคำว่า "เรา" คือ ถือว่าเป็นเรา ?
ตอบ : รอให้คุณเป็นก่อนดีกว่าแล้วค่อยมาถาม คือถ้ายังตัดไม่หมด อย่างไรตัวสุดท้ายก็ยังเกาะอยู่ ตัวสุดท้ายหรืออวิชชาที่เกาะอยู่ ก็คือเกาะตัวแรกที่เป็นสักกายทิฏฐิด้วย เพราะฉะนั้น..จะเป็นเราหรือเป็นเขาก็พอกันนั่นแหละ

เถรี 10-09-2015 16:55

ถาม : คำว่า อายตนนิพพาน ทำไมเป็นสถานที่ครับ ?
ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่าความยึดติดของเรา เรายึดว่า ถ้ามีก็ต้องเป็นสถานที่ คือความเคยชินของเรา

ถาม : ในคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงสถานที่ไว้ ?
ตอบ : ท่านใช้คำว่า ตะทายะตะนัง อายตนะนั้นมีอยู่ เป็นสถานที่ซึ่งเกินความเข้าใจของคนทั่ว ๆ ไป เกินกว่าที่สมมติจะก้าวล่วงเข้าไปถึง ก็เลยเป็นสิ่งที่พระองค์ท่านไม่ได้อธิบายเอาไว้ เพราะรู้ว่าอธิบายไป พวกเราก็มัวแต่ไปเปรียบเทียบกับสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ การที่เราไปเปรียบเทียบจะทำให้ยึดติด การยึดติดก็ทำให้หลุดพ้นยากขึ้นไปอีก บางคนก็เลยสงสัยว่า ในเมื่อพระนิพพานเป็นสุดยอดของพระพุทธศาสนา ทำไมพระพุทธเจ้าไม่อธิบายให้ชัดไว้ ก็ภาษามนุษย์จะไปอธิบายพระนิพพานได้อย่างไร ? พระนิพพานเป็นภาษาใจ ไม่สามารถที่จะใช้คำพูดหยาบ ๆ อธิบายได้

ถาม : ตราบใดที่กายสังขารยังไม่แตกดับ มนุษย์และเทวดาก็ยังไม่เห็นอายตนนิพพาน ?
ตอบ : ถ้าเราไม่ได้เข้าถึงในหลักธรรมของพระองค์ท่าน ก็ไม่สามารถจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วพระองค์ท่านคืออะไร ? ที่พระองค์ท่านตรัสไว้ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ก็คือเราต้องเข้าถึงความละเอียดระดับเดียวกันจึงสามารถที่จะรู้เห็นได้ มนุษย์กับเทวดายังอยู่ในภพภูมิที่หยาบเกินไป ไม่สามารถจะรู้เห็นอายตนนิพพานได้

เถรี 10-09-2015 16:59

ถาม : ที่พระสาวกบอกว่า พระพุทธเจ้าจะเสด็จนิพพานโดยไม่เห็นในวันนั้น ?
ตอบ : ไม่ได้เห็นสังขารอีกแล้ว กายสังขารนี้ได้แตกดับไป ก็คือ สายตานี้จะไม่ได้เห็นกายหยาบพระองค์ท่านอีกแล้ว ต้องแปลอย่างนี้ถึงจะชัด..ใช่ไหม ?

เถรี 10-09-2015 18:27

วันก่อนมีคนถามว่าพระราหุลปรินิพพานตอนอายุเท่าไร ? ต้องใช้คำว่าประมาณการ เพราะในพระไตรปิฎกไม่ได้ระบุอายุที่ชัดเจน แต่ว่าตอนที่พระโมคคัลลาน์กับพระสารีบุตรพิจารณาว่า อัครสาวกกับพระพุทธเจ้าผู้ใดควรจะปรินิพพานก่อน และควรจะปรินิพพาน ณ ที่ใด ทั้งสองท่านรำพึงว่าพระราหุลปรินิพพานที่ดาวดึงสเทวโลก ก็แปลว่าพระราหุลไปก่อนแล้ว

ถ้าตีเสียว่าพระราหุลไปในปีนั้น เป็นปีที่พระพุทธเจ้า ๗๙ พรรษา ถ้าลบ ๗๙ ออก ๒๙ ปีที่พระองค์ท่านเสด็จออกบรรพชา ก็เหลือ ๕๐ แสดงว่าพระราหุลไปนิพพานตอนอายุไม่ถึง ๕๐ แต่คราวนี้พระราหุลท่านเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เด็ก ถ้านับอายุว่า ๗ ขวบ ก็แปลว่าท่านไปตอนอายุ ๔๓ ถ้านับทั่ว ๆ ไปคนที่อายุ ๔๓ พรรษานี่ไม่ถือว่าน้อย เพียงแต่ว่าภาระหมดก็ไป ไปจำพรรษาที่ดาวดึงส์ก็เลยนิพพานบนนั้น

อายุที่น้อยที่สุดแล้วนิพพานในพระไตรปิฎกไม่ได้บอกไว้ แต่อายุที่มากที่สุดก็คือพระพากุลเถระ ๑๕๐ ปีแล้วค่อยไป ไม่ได้ตายด้วยนะ พูดง่าย ๆ ก็คือถอดจิตไปเลย ไม่อยู่แล้ว เบื่อเต็มทีแล้ว ใครลองอยู่ ๑๕๐ ปีดูสิ คนที่รู้จักก็ไปหมดเกลี้ยงแล้ว รุ่นหลัง ๆ ที่รู้จัก ความผูกพันก็ไม่มี คงเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากสำหรับคนทั่วไป แล้วท่านพากุละก็หมดภาระเพราะว่าเป็นพระอรหันต์ ท่านอยู่จนถึงขนาดนั้น

บาลีใช้คำว่า เข้าห้องปิดประตู แล้วก็นั่งกรรมฐานไปเลย อยู่ในพักกุลเถรัจฉริยัพภูตธัมมสูตร ก็คือพระสูตรที่แสดงออกซึ่งอัจฉริยภาพอันน่าอัศจรรย์ของพระพากุละ ประโยคนี้รับประกันว่าถ้าไม่ไปเปิดตำราดู ต้องถอดผิดแน่เลย เพราะเป็นเถระ + อัจฉริยะ + อัพภูตธรรม

เถรี 10-09-2015 18:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยจะดูกฎเกณฑ์ ไม่ดูกติกา เขาระบุให้จองตะกรุดมหาสะท้อนเนื้อทองคำได้คนละ ๑ ดอก ก็ตะบันจองไปคนละ ๒ ดอก ๓ ดอก นี่ถ้าปล่อยให้จองได้เกิน ๑ ดอก รับประกันได้ว่าจองได้แค่ไม่กี่คน"

เถรี 10-09-2015 18:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ฝนทิ้งช่วงเร็วมาก ปกติที่ทองผาภูมิช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม ฝนจะตกทั้งวันทั้งคืน ปรากฏว่าปีนี้ตกเป็นช่วง ๆ อย่างเช่นตกช่วงหัวค่ำหรือเช้ามืด ลักษณะนี้ปีหน้าจะแล้งจัดมาก ใครที่อยู่กรุงเทพฯ หาถังหาแท็งก์สำรองน้ำเอาไว้บ้างจะได้ปลอดภัย หรืออย่างน้อยให้มีใช้ไปสัก ๓ วัน ๗ วัน

ญาติโยมยุคนี้ไม่เคยเจอกรุงเทพฯ ในยุคที่ต้องตื่นมารองน้ำประปาตั้งแต่ตีหนึ่งยันสว่าง ถึงจะพอใช้งาน อาตมาขอยืนยันว่าเคยเจอมาแล้ว จะรองน้ำให้เพียงพอต่อการหุงข้าว ซักผ้า หรือว่าอาบ ต้องตื่นมาตั้งแต่ตีหนึ่ง รอให้บ้านอื่นเขาหลับแล้วไม่ได้เปิดน้ำก่อน น้ำถึงจะไหลแรงพอที่จะมาถึงบ้านเรา"

เถรี 10-09-2015 20:03

ถาม : ทำไมจึงใช้คำว่าปรินิพพาน ?
ตอบ : บาลีเขาใช้อย่างนั้น

ถาม : ปรินิพพานไม่ได้ใช้กับเฉพาะพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : จะใช้อะไรก็ตามก็ความหมายเดียวกันหมด ปริ แปลว่า รอบ, ทั่ว นิพพาน แปลว่า ดับ ปรินิพพาน แปลว่า ดับรอบ ดับทั่ว ดับไม่มีอะไรเหลือ

เถรี 10-09-2015 20:43

ถาม : ที่วัดจัดงาน มีฆราวาสท่านหนึ่งเอาใบไม้ใส่ลงไปในร่างกายแล้วก็ดึงของไสยศาสตร์ออกมา เกิดจากอะไรคะ ทำไมจึงดึงออกมาได้ ?
ตอบ : ก็มีอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือมีความสามารถจริง อย่างที่สองก็เล่นกล ระยะหลังเขาเล่นกลเยอะ ถ้าอยากรู้ว่าเล่นกลทำอย่างไร ? ถามทิดตู่ดู รายนั้นแหกตาชาวบ้านมาเยอะแล้ว

เถรี 11-09-2015 10:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มณฑปตั้งพระพุทธรูปทองคำประกอบเข้าไปแล้ว อาตมาลองขึ้นไปนั่งดู ปรากฏว่าขนาดตัวคนที่นั่งลงไป ถ้าไม่มีแท่นรองก็จะจมหายไปครึ่งตัว เนื่องจากว่าความสูงระดับแท่นนี้ เลยหัวอาตมาไปเกือบศอกแล้ว ถ้าแหงนขึ้นดูจะเห็นแค่ครึ่งตัว แล้วถ้าจะหนุนเอาพระทองคำขึ้นมา ก็คงต้องทำแท่นรองอีกชั้นหนึ่ง เข้าไปเห็นแล้วจะรู้ว่าใหญ่มาก แต่ตอนที่หน้าตาแค่นี้เรายังดูกันไม่ออก

ด้วยความที่คนออกแบบกับช่างคุ้นมือคุ้นงานกันมานาน ออกแบบเสร็จช่างก็ทำไปเรื่อย ปรากฏว่าช่างลงสีรองพื้นไว้แดงโร่เลย พอคนออกแบบไปถึงบอกว่าไม่เอา ของหลวงพ่อเล็กไม่เอาอย่างนี้ ต้องการให้ย้อมสีไม้อ่อนแก่สลับกัน จะได้โชว์ลายให้เด่นขึ้นมา พูดง่าย ๆ ก็คือส่วนหนึ่งจะโชว์เนื้อไม้ แต่รายโน้นเขาคิดว่าแกะสลักทีไรก็ปิดทองทุกที เขาก็เลยลงสีพื้นไว้ให้ สรุปแล้วช่างสีขาดทุน ต้องไปลอกสีออก เสียเวลาทำงานฟรี ๆ

ส่วนหอจ่ายน้ำประปา ตอนนี้ถังเทเสร็จแล้ว กำลังหาบริษัทอุดรอยรั่ว ครั้นจะให้ทำเองก็กลัวมือไม่ถึง เพราะส่วนใหญ่ช่างของเราไม่ใช่ผู้ชำนาญการ ก็เลยต้องการบริษัทที่เขารับทำทางด้านนี้ เผื่อมีอะไรผิดพลาดเขาจะได้รับประกันแก้ไขได้

ส่วนเมรุวัดท่าขนุนหายไปจากโลกนี้แล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่นอกจากพื้นเปล่า ๆ ช่างกำลังวางผังทำเมรุใหม่อยู่ ทองผาภูมิเป็นอำเภอที่มีผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้าใหญ่นายโตไปกันเยอะ งานศพแต่ละที รัฐมนตรี ส.ส. ส.จ. นายพล นายพัน ฯลฯ ไปกัน แต่ไม่มีเมรุที่เป็นหน้าเป็นตาให้แก่อำเภอเลยสักที่เดียว ท้ายสุดวัดท่าขนุนก็เลยต้องทำเอง แต่ประกาศบอกญาติโยมไปแล้วว่าเผาฟรีก็ได้ ไม่ใช่เห็นเมรุสวยแล้วไม่กล้าเข้าไปใช้

ช่วงนี้ก็ห้ามตาย..! ต้องรอสัก ๒ ปี เมรุเสร็จแล้วค่อยอนุญาตให้ตายได้ รวมทั้งเจ้าอาวาสด้วย ไม่อย่างนั้นไม่มีที่เผา ถ้าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนตายแล้วไปเผาวัดอื่นนี่น่าเกลียดมาก..!"

เถรี 11-09-2015 19:20

ถาม : คนที่เอาตะปูสังขวานรจากโบสถ์เก่ามาละครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่รู้จักชำระหนี้สงฆ์ก็ลงนรกไป ตะปูสังขวานรเป็นตะปูหล่อแบบโบราณ ส่วนใหญ่เอาไว้ยึดสิ่งที่ต้องการความแข็งแรง อย่างเช่น ประตูโบสถ์ ประตูวัง ถ้าโบสถ์ก็เป็นหนี้สงฆ์แน่ ๆ ถ้าวังก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปรื้อแล้วจะโดนอะไรบ้าง เขาถือว่าโบสถ์เป็นสถานที่ซึ่งพระภิกษุทำสังฆกรรมอยู่เสมอ โดยเฉพาะการสวดปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน พระภิกษุทุกรูปในพุทธศาสนาเกิดมาจากโบสถ์ มีการสวดญัตติ ประกาศยกเข้าเป็นอุปสัมบัน มีสิทธิ์ในการร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมสังฆกรรมทั่วทั้งสังฆมณฑล

ส่วนวังเป็นที่พักของผู้มีบารมีสูงสุดของประเทศ ประกอบไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่ต้องอ่อนน้อมค้อมเข้าไปหา ดังนั้น..สิ่งของที่เนื่องด้วยทั้ง ๒ อย่างนี้จึงถือว่าเป็นสิ่งที่มีอาถรรพ์ มีความเป็นมงคลอย่างสูง จึงเอามาใช้งาน หล่อพระบ้าง สร้างเป็นวัตถุมงคลบ้าง ทำเป็นมีดหมอบ้าง

เถรี 11-09-2015 19:22

ถาม : ทำไมสมัยพุทธกาลจึงมีการสร้างวัดไม่กี่หลังครับ ?
ตอบ : เหตุที่มีอยู่ไม่กี่หลังเพราะไม่ค่อยมีเงินพอจะสร้างอย่างหนึ่ง อย่างวัดบุพพารามของนางวิสาขาหมดไป ๒๗ โกฏิสมัยนั้น ตีเสียว่า ๑ โกฏิเท่ากับสิบล้าน ๒๗ โกฏิก็สองร้อยเจ็ดสิบล้านในสมัยนั้น เป็นสมัยนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าหมื่นล้านจะเอาอยู่หรือเปล่า ? แล้วจะมีใครสร้างถ้าไม่ได้ศรัทธาขนาดนั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือนักบวชเป็นผู้เว้นจากการครองเรือน นิยมอยู่ถ้ำอยู่ป่ากัน สมัยต่อมาไม่มีป่าให้อยู่ จึงต้องสร้างวัดให้พระอยู่อาศัยแทน

เถรี 11-09-2015 19:26

ถาม : ปราสาทเอาไว้ทำอะไรครับ ?
ตอบ : ปราสาทก็คือที่อยู่ เป็นที่อยู่ที่มีหลายชั้น อย่างเช่นสมัยนี้ ถ้าตึก ๒ ชั้น ๓ ชั้นขึ้นไป โบราณเขาเรียกว่าปราสาททั้งนั้น ส่วนโลหะปราสาทคือมีส่วนยอดหุ้มด้วยโลหะ เขาถึงเรียกว่าโลหะปราสาท

ที่อยู่ที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระอยู่ได้ ประกอบด้วย วิหาโร คือวิหาร อัฑฒโยโค แปลเป็นไทยว่า เรือนมุงซีกเดียว อย่างเพิงหมาแหงน ปาสาโท คือปราสาทหรือกุฏิหลาย ๆ ชั้น หัมมิยะ ท่านบอกว่าเรือนหลังคาตัด ฟังแล้วบ้าไปเลย รู้จักค่ายไหม ? ค่ายที่มีแต่รั้วรอบ ๆ นั่นแหละหัมมิยะ และ คูหา ก็คือถ้ำ

ในเรื่องของปราสาทที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ เพราะว่านางวิสาขาสร้างขึ้นเพื่อถวายพระสงฆ์ที่วัดบุพพาราม ในบาลีบอกว่ามีห้องพัก ๕๐๐ ห้อง สมัยนี้ก็คอนโดมีเนียมดี ๆ นี่เอง ยูนิตเบ้อเริ่มเลย..!

เถรี 11-09-2015 19:28

บางคนเข้าไม่ถึงรากศัพท์ แล้วก็แปลแบบโบราณมา ทำให้คนสมัยใหม่ฟังไม่รู้เรื่อง อย่างเรือนมุงซีกเดียว สมัยนี้เด็กรู้จักหรือเปล่าว่าเพิงหมาแหงนหน้าตาเป็นอย่างไร ? คือหลังคาลาดลงเหมือนหมากำลังแหงนหน้าขึ้น สมัยนี้ก็มีกันสาดข้างหน้ามาอีกหน่อยหนึ่ง ส่วนเรือนหลังคาตัด ถ้าใครนึกภาพไม่ออกก็ให้นึกถึงค่ายทหารสมัยโบราณ ก็แค่เอาไม้มาปักล้อมรอบ ๆ ไม่มีหลังคา

เหตุนี้นาน ๆ ไปถึงต้องมีบรรดาอาจารย์ต่าง ๆ มาอธิบายความเพิ่มเติม อาจารย์ที่อธิบายความในพระไตรปิฎกท่านเรียกว่า อรรถกถาจารย์ อาจารย์ที่อธิบายอรรถกถา เรียกว่า ฎีกาจารย์ อาจารย์ที่อธิบายฎีกาเรียกว่า อนุฎีกาจารย์ อาจารย์ที่อธิบายอนุฎีกาท่านเรียกว่า เกจิอาจารย์

คำว่า เกจิ แปลว่า ต่าง ๆ กันไป ก็คืออาจารย์หลาย ๆ สำนัก แต่สมัยนี้คำว่าเกจิอาจารย์ความหมายเปลี่ยนไป กลายเป็นผู้มีฌานสมาบัติ มีความขลังกว่าพระอื่น ๆ ความจริงตามรากศัพท์แล้วไม่ใช่เลย ความหมายเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่พระไตรปิฎกต้องจารึกไว้เป็นภาษาบาลี เพราะภาษาบาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลง กี่ปี ๆ คำนี้ก็ต้องแปลว่าอย่างนี้ ภุญฺชติ ก็ต้องแปลว่ากิน กตฺตวา ก็ต้องแปลว่าไป

เถรี 11-09-2015 19:39

ถาม : ตอนพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พอมารผจญ ทำไมเทวดาจึงต้องเผ่น ?
ตอบ : สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ท่านอธิบายต่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชว่า ถ้าพรหมเทวดาอยู่ การชนะด้วยอานุภาพของพรหมเทวดา พระมหาบุรุษก็จะไม่เด่นขึ้นมา เปรียบเหมือนบรรดาแม่ทัพนายกองที่ตามเสด็จพระองค์ท่านไม่ทัน พระองค์ท่านเข้ายุทธนาการกับพระมหาอุปราชแล้วชนะด้วยพระองค์เอง พระเกียรติยศจึงได้เกริกไกรขึ้นมา

แม่ทัพนายกองหัวจะขาดหมดอยู่แล้ว ...(หัวเราะ)... สมเด็จพระพนรัตน์ ซึ่งแต่เดิมก็คือพระมหาเถรคันฉ่อง เข้าไปกราบทูลขอชีวิตให้แม่ทัพนายกอง พระนเรศวรจึงเว้นโทษตายให้ แต่ให้ไปตีเมืองกัมพูชาเพื่อเป็นการแก้ตัว ไม่ต้องตายฟรี


ถาม : ช้างของพระองค์เผ่น ?
ตอบ : จะช้างหรืออะไรเป็นสาเหตุทหารก็ตามไม่ทัน โดนสั่งประหารหมดเลย พระองค์ท่านตีความว่า “มันเกรงกลัวข้าศึกมากกว่ากลัวโยม” ความจริงช้างของพระองค์ท่านตกมัน จึงวิ่งถลำไปโดยที่ไม่รอใครเลย สมัยก่อนที่เขาเอาช้างตกมันไว้ออกศึก เกิดจากช้างทั่วไปพอได้กลิ่นช้างตกมันก็จะหนี เหมือนอย่างกับรู้ว่าคนนี้กำลังบ้า เรื่องอะไรจะไปสู้กับมัน

เถรี 11-09-2015 19:44

ถาม : แต่ช้างตกมันก็ควบคุมไม่อยู่ ?
ตอบ : สมัยนั้นวิชาคชศาสตร์ของเขา ประเภทเอามือตบตะพองทีเดียวช้างตกมันหมอบกับพื้นเลย เขามั่นใจว่าคุมได้แน่นอน วิชาคชศาสตร์นี่รวมพวกไสยเวทย์อาคมเข้าไปด้วย

ถ้าหากพวกเราเล่นพระเครื่อง จะมีพระเครื่องอยู่ชุดหนึ่งที่เขาเรียกว่า พระหูไห หรือบางคนเรียกว่า พระหูช้าง นั่นคือพระเครื่องที่เขาหล่อขึ้นมาเพื่อที่จะแขวนคอช้างม้าโดยเฉพาะ พระเครื่องชุดนั้นจะหล่อแบบมีหูในตัว เอาไว้ร้อยเชือกแล้วแขวนคอช้างม้าเพื่อกันอาวุธ อย่างนั้นเหมาะสำหรับคนมาก เพราะว่าช้างม้าวัวควายอาราธนาพระไม่เป็น คนเสกต้องเสกให้คุ้มได้ทุกที่เลย แต่คนแขวนก็ไม่ค่อยไหว องค์ใหญ่จัด

เถรี 11-09-2015 19:50

ถาม : ช้างตกมันตรงไหนครับ ?
ตอบ : เป็นรูระหว่างหูกับตา จะมีรูเล็ก ๆ อยู่ ถ้าช่วงตกมันรูจะบวมและพองขึ้นมา น่าจะเป็นลักษณะของต่อมกลิ่นอะไรบางอย่าง เวลาบวมพองขึ้นมาแล้วน้ำมันไหล เจ้าของต้องคอยเช็ดให้ ตอนนั้นช้างจะซึมอยู่ตลอด อย่าให้น้ำมันนี้ไหลเข้าปาก ถ้าไหลเข้าปากทำให้เมา ถ้าอย่างนั้นแล้วช้างจะอาละวาด ถ้าเจ้าของช้างรู้จักดูแลคอยเช็ดให้ พอผ่านระยะนั้นไปก็จะเป็นปกติตามเดิม

เปรียบเหมือนอย่างกับผู้หญิงมีประจำเดือน พ้นไปแล้วก็หายเป็นปกติ ไม่อย่างนั้นแล้วมักจะหงุดหงิดงับหูคนใกล้ ๆ เป็นช่วงของระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง ลักษณะเดียวกับผู้ชายวัยทองนั่นแหละ แบบที่ทิดอู๋บอกว่า “อย่าไปถือสาอะไรอาจารย์เล็กเลย ที่ท่านด่า ท่านดุ เพราะท่านอยู่ในวัยทอง..!”

เถรี 11-09-2015 20:07

พระอาจารย์กล่าวว่า “เทคโนโลยีสมัยนี้ทำให้คนหมดความกล้า อย่างสมัยก่อนประเภทถือดาบเข้าไปลุยกัน ถ้าไม่เก่งจริง ใจไม่สู้จริง มีใครกล้าบ้าง ? สมัยนี้ห่างกันเป็นพันไมล์ จรวดนำวิถีระเบิดกระจายไปแล้ว เทคโนโลยีดีขึ้นแต่กำลังใจคนแย่ลง สมัยก่อนไปลุยกันซึ่ง ๆ หน้า สมัยนี้บางทีไม่รู้หรอกว่าข้าศึกหน้าตาเป็นอย่างไร รู้ว่าอยู่ตรงนั้นก็ตูมเดียวกระจายไปแล้ว

สมัยที่อาตมายังเป็นทหารอยู่ อาวุธที่ทันสมัยที่สุดก็คือจรวดดราก้อน ใช้ต่อสู้รถถัง จะมีเครื่องชี้เป้า ต้องไปรับการฝึกซ้อมกันจนกระทั่งเบ้าตาดำเป็นหมีแพนด้า เพราะต้องเอาตาประกบอยู่กับเครื่องเล็ง พอยิงทีก็จะมีแรงสะท้อนกระแทกถอยหลังที กว่าจะชำนาญก็เบ้าตาเขียวไปทุกคน

นั่นถือว่าทันสมัยมากเพราะถ้าล็อกเป้าได้ โอกาสพลาดมีน้อยกว่า ๑๐ เปอร์เซ็นต์ แต่สมัยนี้เขาก็หาทางป้องกัน อย่างพวกจรวดต่อสู้อากาศยานอากาศสู่อากาศ มีระบบล็อกเป้าอยู่ เขาก็จะปล่อยพวกแผ่นโลหะมาแทน อย่างเช่นว่าอยู่ ๆ ก็โรยแผ่นเคลือบตะกั่วออกมา ไอ้โน่นก็ไม่รู้ว่าเป้าไหนเพราะเครื่องบินเป็นโลหะเหมือนกัน พอเครื่องบินเลี้ยวทำมุมฉกาจหลีกออกไปจากเส้นทาง จรวดก็ไปตามแผ่นโลหะนั้นแทน”

เถรี 11-09-2015 20:14

ถาม : พญามารมารังควานพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไหมครับ ?
ตอบ : ทุกพระองค์ ใครต้องการไปพระนิพพานเจอทุกคน ไม่ใช่แต่พระพุทธเจ้า

ถาม : พญามารกลัวว่าพระพุทธเจ้าจะสำเร็จหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าตามที่ท่านบอกนอกตำรา ท่านบอกว่าคิดผิดไปหน่อย กลัวว่าพระพุทธเจ้าเก่งขนาดนั้นจะเอาคนไปพระนิพพานหมด

ถาม : พญามารท่านคิดอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นหน้าที่ของท่าน เมื่อท่านทำตามหน้าที่ก็ไม่ต้องไปใส่ใจว่าคิดอย่างไร

ถาม : พญามารไม่มีกรรม แต่มีเวรใช่ไหมครับ ต่อไปเขาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก็โดนแบบนี้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไปถามท่านเอง อาตมาคงอยู่ไม่ถึงหรอก ตำรวจจับโจรจะไปมีเวรมีกรรมอะไร เขาทำตามหน้าที่ ผู้พิพากษาตัดสินให้อาชญากรโดนจำคุก มีกรรมไหมเล่า ? ไม่ใช่ความโกรธแค้นส่วนตัว แต่ทำตามหน้าที่ ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่า กูหมั่นไส้ไอ้นี่ อย่างไรต้องเอาเข้าคุกให้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เถรี 11-09-2015 20:17

ถาม : มีโรคเกี่ยวกับตา มีอะไรพอจะแนะนำไหมครับ ?
ตอบ : วัดไหนที่เขาสร้างพระพุทธรูป ก็ไปขอสร้างพระเนตรถวาย แล้วอธิษฐานขอตัดกรรมตรงนี้

เถรี 11-09-2015 20:25

ถาม : คนจีนเขาชอบทำของปลอม เป็นเพราะเขาไม่มีคุณธรรมหรือครับ ?
ตอบ : เรื่องของคุณธรรมเกิดจากมโนธรรม ความรู้ผิดชอบชั่วดีในใจของตนก่อน รู้อยู่ว่าผงเมลามีนไปผสมนมผงให้เด็กกิน อย่างไรเด็กก็ตายแน่ เพราะทำให้ไตอุดตันแต่เขาก็ทำ แสดงว่ามโนธรรมไม่มีเลย

คนมีมโนธรรมจึงเข้ามาหาศีลธรรม ปฏิบัติตามศีลธรรมจึงมีคุณธรรม เมื่อมีคนเห็นความดีแล้วปฏิบัติตามแบบอย่างก็กลายเป็นจริยธรรม

เถรี 11-09-2015 20:40

ถาม : ถ้าผมโดนมารเล่นเรื่องผู้หญิง โดยผมคิดว่าจะไม่ไปพระนิพพานแล้ว ขอมีคู่ครองก่อน ผมจะโดนเล่นงานน้อยลงใช่ไหมครับ ?
ตอบ : หนักขึ้น...คุณเห็นคนมีครอบครัวภาระน้อยลงไหมเล่า ? แทนที่จะตัวคนเดียว คราวนี้ก็ไหนจะเมีย ไหนจะลูก ไหนจะพ่อตาแม่ยาย พูดง่าย ๆ ว่าเหยียบเราได้จมลึกเท่าไรเขาก็เอา

ถาม : หลอกเขาก่อนแล้วตอนหลังเราค่อยตั้งใจไปพระนิพพาน ?
ตอบ : ยังไม่มีใครหลอกมารได้ มีแต่โดนมารหลอกหลาย ๆ ชั้น ถ้าคุณหลอกได้ถือว่าเป็นคนแรกในโลก ลองดู..เผื่อจะสำเร็จ ไม่ใช่ว่าคิดแล้วเขาถึงรู้นะ คุณยังไม่ทันจะคิดเขาก็รู้แล้ว จะไปสู้กันอีท่าไหน ? ก็เหลือแต่กำลังใจอย่างเดียวที่จะต้องเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อต่อการทำความดี


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:01


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว