กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4240)

เถรี 15-11-2014 19:33

ถาม : ยอดเขาพระบาทกับยอดเขาพุทธเจติยคีรี อย่างไหนสูงกว่า ?
ตอบ : ยอดเขาพระบาทสูงกว่า มีคนแนะนำอาจารย์เล็กทำให้ดังไปเลย ทำกระเช้าจากฝั่งยอดเขานี้ข้ามไปฝั่งโน้น อ๋อ..ถ้าหากว่ากระเช้าขาด อาตมาจะดังกว่านั้นอีก..!

เถรี 15-11-2014 19:45

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนเริ่มเก็บประวัติตัวเอง เพื่อเตรียมทำหนังสือฉลองอายุ ๕ รอบ ไปไล่สายครูบาอาจารย์แล้ว ของอาตมานี่มีตั้ง ๑๐ กว่าสายเกือบ ๒๐ สาย นี่ตูศึกษามาเยอะขนาดนี้เลยหรือ ? เจอใครก็ขอวิชาท่านดะไปเลย ทำแบบนี้มาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ส่วนใหญ่พระปฏิบัติท่านใจดี ท่านไม่ค่อยหวงวิชา ขนาดหลวงพ่ออุตตมะออกปากว่าจะสงเคราะห์เป็นคนสุดท้าย ยังโดนอาตมาดึงเกมไว้จนอายุเกือบร้อย ไม่ยอมให้ท่านสงเคราะห์สักที

ในเมื่อท่านรับปากว่าจะสงเคราะห์เป็นคนสุดท้าย ถ้าตราบใดที่
ท่านยังไม่ได้สงเคราะห์ ท่านก็ไปไม่ได้ ความจริงอาตมาค่อนข้างโหดเหมือนกันนะ ดึงท่านเอาไว้จนกระทั่งอายุ ๙๐ กว่าปี"

เถรี 15-11-2014 20:05

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานไปสวดมนต์ที่วัดวีระโชติธรรมาราม ปรากฏว่าหลวงตาวัชรชัย หลวงตาชลอ ท่านไม่คล่องตัว ท่านไปกับจังหวะของเขาไม่ได้ อาตมาบอกว่า "ทำใจสบาย ๆ แล้วไหลตามจังหวะเขาไปเลย"ท่าน ก็ทำไม่ได้กัน ตกลงนี่ตูจะอธิบายอย่างไรดีวะ ? ก็เหมือนกับลงไปสวดมนต์ที่วัดรัตนานุภาพ อาตมาเคยสวดจังหวะแบบใต้เสียที่ไหน แต่นอกจากไหลตามเขาไปในจังหวะเดียวกันแล้ว กระทั่งหายใจยังจังหวะเดียวกันอีกด้วย ทำไมคนอื่นเขาไหลตามไม่ได้ก็ไม่รู้ ?

ไปสวดมนต์ที่พม่าก็เหมือนกัน จนท่านพระครูปลัดปรีชาบอกว่า “อาจารย์ไปเถอะ ผมไปอย่างอาจารย์ไม่ได้หรอก” ก็แปลกใจ ไปสวดกับใครจังหวะไหนก็ไปกับเขาได้ ทำใจสบาย ๆ แล้วปล่อยไหลตามเขาไปเลย ถ้าไม่มั่นใจจะสวดไม่เต็มปากเต็มคำ ส่วนอาตมามั่นใจว่าไหลตามเขาได้แน่ก็ใส่ไปดัง ๆ เลย

ขำที่สุดก็หลวงพ่อพระครูสถิตศีลขันธ์ ท่านก็พยายามช่วยประคองให้ ท่านรู้ว่าอาตมาไม่เคยชินกับจังหวะสวดของปักษ์ใต้ ท่านก็พยายามที่จะลากให้ยาวหน่อยแบบของภาคกลาง แต่อาตมาไปลื่นเหลือเกิน แสดงว่าเรานี่ปลาไหลชัด ๆ ปล่อยลงไปที่ไหนก็ลื่นไปกับเขาได้หมด งวดนี้ก็มีคนตายอีก เดี๋ยวรอดูครั้งหน้า ถ้ามีตายอีกเราก็อย่าไปให้เขาเดือดร้อนกันเลย"


ถาม : เป็นเพราะถึงฆาตใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ก็ใช่อยู่..แต่ถ้าพวกเราไม่ไป เขาอาจจะไม่ต้องมารับเคราะห์แทนขนาดนั้น ครั้งก่อนโน้นเครียดตั้งแต่ต้นทางเลย ยังไม่ทันจะเดินทาง มีคนโดนทับตายคารางไปแล้ว มางวดนี้กำลังจะกลับ ดูแล้วเขาเองก็มั่นใจว่าเขาไม่พลาดแน่ แต่พอโดดขึ้นรถไปแล้วพลาดได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? โดนรถไฟทับหัวหายไปเลย อาตมาไปชะโงกดูอยู่ตั้งนานว่าหัวไปอยู่ที่ไหน ? ตอนหลังหนังสือพิมพ์เขาถ่ายรูปมา เพิ่งเห็นว่ากระเด็นข้ามไป ๒ ราง แสดงว่าเลือดคนนี่ดันแรงจริง ๆ หัวกระเด็นไปหลายเมตรอยู่นะ

ตอนแรกที่ดูในคลิปวิดีโอ มีผู้ชายคนหนึ่งจะวิ่งไปดึงเขาออกมา แต่ว่าอีกคนหนึ่งกลัวว่าคนดึงจะโดนรถไฟลากเข้าไปด้วย เลยไปกระชากคนนั้นออกมาแทน คือเขามั่นใจว่าคนนั้นตายแล้ว ไม่ต้องไปช่วยเขาออกมาหรอก เดี๋ยวตัวเองจะตายไปด้วย

สรุปว่าขืนพวกเราไปบ่อย ๆ รับประกันได้ว่า คนแถวนั้นมีเท่าไรเขาก็ตามมายันวัดแน่ ๆ ยังบอกกับท่านนายอำเภอว่า คนใต้นี่เขารักใครรักจริง ก็คิดดู..ลองกองเป็น ๑๐ ไร่ไม่ยอมขาย ขนมาให้พวกเราหมด จริง ๆ วันแรกท่านนายอำเภอก็ชวนว่า "รุ่งขึ้นตอนเช้าไปเที่ยวพรุโต๊ะแดงก่อนไหม ?" เรียนท่านไปว่าดูแลกันลำบาก ขบวนใหญ่..การรักษาความปลอดภัยทำได้ยาก ไปแล้วจะสร้างความลำบากให้คนอื่นเขามากกว่า อย่าไปเลย

เถรี 15-11-2014 20:20

พระอาจารย์เล่าว่า "กฐินที่วัดรัตนานุภาพ มีสองคนผัวเมียมาทำบุญ ตาอายุ ๑๐๙ ปี ยายอายุ ๙๖ ปี ยังเดินตัวปลิวทั้งคู่เลย เขาแข็งแรงจริง ๆ สองคนผัวเมียรวมกัน ๒๐๑ ปี ดูท่าว่ายังอยู่ได้อีกนานด้วย ถ้าสร้างกรรมปาณาติบาตมาน้อย ก็จะอายุยืน พวกเรารบราฆ่าฟันมาเยอะ..ก็อายุสั้น"

เถรี 15-11-2014 20:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาโดนตะขาบกัดงวดนี้ พิสูจน์ให้พระท่านเห็นชัด ๆ ว่า ยันต์เกราะเพชรนี่กันได้จริง ๆ เพราะพิษมาแค่ข้อเท้า แล้วไม่สามารถที่จะขึ้นมาได้ ติดอยู่แค่นั้นแหละ เท้าอ้วนปี๋เลย ยังบอกกับพระว่า จริง ๆ แล้วโชคดีนะ ถ้าหากว่ากันไม่อยู่ ขึ้นมาถึงแล้วไข่ดันบวมนี่ อาตมาจะเดินไม่ได้แล้ว พอขึ้นมาแค่ข้อเท้าก็เดินได้ บิณฑบาตจนเสร็จ

กรรมเรื่องนี้ไม่แล้วไม่เลิกสักที เพราะทำมาชาติแล้วชาติเล่า ถึงเวลาก็ไปวางขวากดักข้าศึก ดักคนบ้าง ดักช้างบ้าง โดยเฉพาะช้างศึกเวลาเหยียบขวากก็ทรุดอยู่ตรงนั้นเลย ไปไหนไม่ได้ น่าสงสารมาก จะเห็นว่าอาตมาเองโดนทีไรจะโดนแต่เท้าซ้ายนี่แหละ แทบจะไม่โดนเท้าขวาเลย

ปีก่อนตอนเจริญกรรมฐานอยู่ที่วัดบางช้างเหนือ พวกผึ้งหลวงเข้ามาเล่นไฟกลางคืน จนหมดแรงตกลงกับพื้น อาตมาก็ยกหนอ..ย่างหนอ แล้วเหยียบเข้าให้พอดี ก็โดนผึ้งต่อยบวมแบบนี้แหละ แต่ก็ยังเดินหน้าตาเฉย จนกระทั่งประธานพระวิปัสนาจารย์ท่านมาเห็นก็บอกว่า “อาจารย์ไปนั่งเถอะ ไม่ต้องเดินแล้ว บวมเยอะขนาดนี้” ก็โดนในช่วงระยะนี้เหมือนกัน เพราะว่า มจร.ส่วนใหญ่ปลายปีก็เริ่มมีการปฏิบัติธรรมประจำปี วาระกรรมก็มาตอนช่วงจังหวะอย่างนี้พอดี

จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า กรรมเป็นของน่ากลัว อย่าคิดว่าเป็นกรรมดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ และอย่าคิดว่าเป็นกรรมชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ กรรมไม่ว่าจะเล็กน้อยปานใด ถ้าถึงวาระก็จะให้ผล"

เถรี 17-11-2014 12:41

ถาม : ชอบนั่งสมาธิแล้วสวดมนต์ต่อ แต่มีคนบอกว่าถ้านั่งขัดสมาธิสวดมนต์จะตกนรก ?
ตอบ : ไม่แรงถึงขนาดนั้นหรอก เพราะว่าการสวดหรือภาวนาคาถา กับการที่เราภาวนาคำภาวนาขณะนั่งสมาธิก็แบบเดียวกัน เพียงแค่เปลี่ยนท่าแค่นั้นเอง ในเมื่อเรานั่งภาวนาแล้วไม่ลงนรก เรานั่งสวดมนต์แล้วจะลงอย่างไรวะ ? เพียงแต่ว่าถ้าเป็นตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า ถ้าอยู่ต่อหน้าพระ ควรที่จะนั่งพับเพียบมากกว่า แลดูเรียบร้อยกว่า เราเองถ้าไม่ถนัดนั่งพับเพียบก็นั่งขัดสมาธิไป สำคัญตรงกำลังใจของเราต้องทรงอยู่ในความดีให้ได้

อาตมาเองนั่งขัดพับเพียบจนชิน มีบางวันฉันเช้าฉันเพลจนจะอิ่มอยู่แล้ว อ้าว..ตายห่..เรานั่งพับเพียบอยู่นี่ ถึงว่าวันนี้รู้สึกแปลก ๆ นั่งพับเพียบฉันจนจะอิ่มอยู่แล้ว ถ้านั่งเป็นแล้วจะสมดุล อาตมานั่งจนชินแล้ว เคยไปให้หมอเขาตรวจว่ากระดูกสันหลังคดไหม ? หมอบอกว่าปกติดี บอกหมอว่าอาตมาพับเพียบข้างเดียวมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว เขาบอกว่ายังไม่มีอะไรเสีย ถ้าจะมีปัญหาที่เป็นไปได้ก็เรื่องเส้น ไม่ใช่เรื่องกระดูก

เถรี 17-11-2014 12:45

ถาม : เวลาไปไหว้พระ จะขอพรพระว่าเวลาจะตายให้มีทุกขเวทนามาก ๆ จะได้เห็นทุกข์ชัด ๆ แต่ตอนนี้เริ่มกลัว..?
ตอบ : ก็ขอใหม่ ลักษณะนั้นเป็นอธิษฐานบารมีคือความตั้งใจ ความตั้งใจสามารถเปลี่ยนใหม่ได้ คราวนี้ถ้ากลัวแล้วไม่ต้องเอามากก็ได้ ถ้ากลัวให้เน้นทำสมาธิไว้ ถ้าอานาปานสติทรงตัว เรื่องของความเจ็บปวดจะทำอะไรเราไม่ได้เลย

วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตอนเช้าอาตมาเดินบิณฑบาต ไปเหยียบตะขาบตัวเบ้อเริ่มเลย ตะขาบตัวนี้ก็ซวยจริง ๆ ไม่ใช่อาตมาซวยนะ เพราะว่าปกติตอนสว่างตะขาบจะเข้าที่พักไปหมดแล้ว ตัวนี้น่าจะหาอาหารกินไม่ได้ เดินงุ่มง่าม ๆ ตรงทางที่ออกจากวัดจะเป็นป่าอยู่ช่วงหนึ่ง ไปเหยียบเต็ม ๆ ไถจนหงายท้องไปเลย พอพลิกกลับก็กัดเอาใต้นิ้วเท้าพอดี อาตมาเองก็เจ็บอยู่นะ แต่ก็เดินไปเรื่อย ยิ่งเดินก็ยิ่งปวด เหมือนมีเหล็กแหลมแดง ๆ แทงอยู่ที่ฝ่าเท้า แล้วมีเหล็กแดง ๆ ๒ แผ่นประกบบนล่าง รู้สึกว่า เอ๊ะ..ถ้าปวดมากกว่านี้นิดหนึ่งก็จะเป็นลมแล้ว ได้แต่สั่งตัวเองว่าอย่าเป็นลม เพราะว่าจะบิณฑบาต เอ็งอย่าเสือกทะลึ่งเป็นลม แล้วก็เดินไปเรื่อย

เดิน ๆ ไปเหมือนขาตัวเองไม่มีความรู้สึก เหมือนลูกตุ้มอะไรลูกหนึ่งถ่วงอยู่ เพราะพิษตะขาบน่าจะทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ก็เดินจนกระทั่งกลับมาถึงวัด ตกประมาณ ๕ ก.ม. พอฉันเสร็จถึงรู้ว่าที่จริงอาตมาบังคับขาไม่ได้แล้ว เพราะว่าจะขยับเปลี่ยนท่าเปลี่ยนอะไร ขาก็ไม่อยากจะตามมาแล้วจึง บอกกับพระท่านว่า "ถ้าคุณคิดจะทำหน้าตาเฉยอย่างผมได้ คุณต้องไปเล่นอรูปฌานเลย ไม่อย่างนั้นไม่สามารถทำได้ เพราะว่าปวดมาก" ส่วนใหญ่ก็ร้องโอดโอยกันเป็นวัน ๆ ส่วนอาตมาก็ทำงานทำการไปเรื่อย

ตอนแรกว่าจะเดินตรวจงานตอนเช้า ก็ปรากฏว่าเป็นแล้วเดินได้ยาก บังคับขาไม่ได้อย่างใจ เดี๋ยวไปล้มแล้วขายหน้าเขา เพราะต้องขึ้นไปดูงานที่ชั้น ๓ ด้วย ก็หยุดพักไปครึ่งวัน รู้สึกรำคาญตัวเองเต็มที เดินก็เดินวะ หลังเพลก็ไปเดินดูงาน เดินไปเดินมาเหมือนพิษเริ่มคลาย เดินได้คล่องขึ้น


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เจ็บก็เจ็บไป ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ถ้าเราจะทำอย่างนั้นโดยที่กลัวว่าเวทนาจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ต้องซักซ้อมอานาปานสติให้คล่องตัวไว้ จะช่วยได้เยอะมากเลย เราอาศัยตัวอานาปานสติระงับกายสังขาร ไม่ต้องกลัวเจ็บ ถือว่าความเจ็บเป็นคุณกับเรา ทำให้เห็นทุกข์ จะได้ไม่อยากมาเกิดอีก

เถรี 17-11-2014 12:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระของเรานี่น่าตายจริง ๆ..! คือหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกว่า อานิสงส์การบวชนั้นมหาศาลมาก แต่เพื่อความแน่นอน ตอนจะสึกให้คุณอธิษฐานว่า "ผลบุญในการบวชครั้งนี้ คุณปรารถนาอะไร ให้ขออย่างเดียวแล้วจะได้" ปรากฏว่าบรรดาไอ้ทิดของเรา สึกแล้วตามอาตมาลงไปกฐินปักษ์ใต้ ไปตักมัจฉาพาโชค ที่เป็นดวงลอยฟ่องเต็มน้ำนั่นน่ะ ไปอธิษฐานเอารางวัลใหญ่ เอาจักรยาน พัดลม เตียงนอนอะไรของเขามาหมดเลย จนกระทั่งเขาต้องปิดร้านไปเลย เออ..ดีเหมือนกัน มึงบวชทั้งทีขอแค่นี้เองนะ..! แต่ว่าเขาเอาไปเข้ากองกฐิน เพียงแต่อาตมาว่าเหลวไหลไปหน่อย ของแค่นี้ดันไปใช้บุญบวชของตัวเอง"

เถรี 18-11-2014 09:06

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องหวยว่า "ความจริงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีสูตรเด็ดที่เทวดาท่านบอกให้ แต่พอท่านห้าม อาตมาก็เลยบอกใครไม่ได้เลย ท่านจะให้เอาเลขคูณกัน แล้วเอามาตั้งบวกลบ ออกมาจะเป็นเลขท้าย ๒ ตัว อาตมาก็บอกว่า “เอ๊ะ..บางครั้งก็เป็นตัวเดียวนี่ครับ” ท่านบอกว่า “ตัวเดียวเอ็งก็ตัดท้ายเล่น หรือไม่ก็เติมหน้าเติมหลังเอาสิวะ” ก็คือถ้าไม่ได้ ๒ หลัก ท่านให้ไปเติมเอาเอง เคยลอง ๆ ดู ๔-๕ งวด ออกตรงจริง ๆ ด้วย

แต่เนื่องจากว่ารับปากท่านแล้วว่าจะไม่เล่น ก็เลยไม่ได้เล่น เสียดายที่หลวงพ่อท่านตัดทางทำกินไปเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นเรื่องสร้างวัดนี่ ให้หวยไปสัก ๒-๓ งวดคนก็ล้นวัดแล้ว"

เถรี 18-11-2014 09:12

ถาม : อนุโมทนา หรือโมทนา อย่างไหนถูกต้องคะ ?
ตอบ : อนุโมทนาเป็นคำที่ถูกต้องจ้ะ คำว่า อนุ แปลได้ ๓ ความหมาย แปลว่า น้อย อย่างเช่น อนุภรรยาคือเมียน้อย แปลว่า ภายหลัง อย่างเช่น อนุชนคือคนที่เกิดมาทีหลัง แปลว่า ตาม อย่างเช่น อนุโมทนาแปลว่ายินดีตามเขา เพราะฉะนั้น..อนุโมทนาเป็นคำเต็มที่ถูกต้อง เราพูดสั้น ๆ ว่าโมทนาก็ได้ บางคนใช้สั้น ๆ ว่า "โมนะ" คนอื่นทำก็หันมามอง เขา “โม” เอาไปแล้ว รู้สึกว่าคำพูดชักกร่อนลงเป็นชาวใต้ไปเรื่อย ชาวใต้เขาพูดอะไรกันสั้น ๆ

พวกศัพท์ชุดนี้เขาเรียกว่าอุปสรรค อุปสรรคคือสิ่งที่มาขวางอยู่ตรงหน้า อย่างเช่น อติ, อภิ, อนุ ฯลฯ จะต้องนำหน้าอย่างเดียว อยู่หลังก็ไม่ได้ อติพล...มีกำลังอันยิ่งใหญ่ อภินันท์...มีความยินดีอย่างยิ่ง อนุชน...บุคคลที่ตามหลังมา

อย่างพระครูหน่อยท่านเข้าใจว่าอนุแปลว่าน้อย ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นมหาโมทนา ? ก็บอกว่าไม่ใช่ อนุเขาแปลได้ ๓ ความหมาย ถึงบอกว่าศัพท์บาลีต้องดูบริบท ก็คือสิ่งแวดล้อมในช่วงนั้น ว่าความหมายควรจะเป็นอย่างไร ก็แปลตามนั้น ในเมื่อเป็นอนุโมทนาก็ต้องแปลว่ายินดีตาม เจ้าของยินดีทำบุญ เราก็ยินดีตามไปด้วย

อุป แปลตรงตัวว่า ใกล้ , สัค แปลว่า สวรรค์ เพราะฉะนั้น..ถ้าผ่านอุปสรรคไปได้ เหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าหากว่าแตกฉานบาลีแล้วจะสนุก แต่ก็อย่างว่า กว่าจะเรียนถึงระดับนั้นได้ ท่องหนังสือกันจนหน้ามืดตาลาย

เถรี 18-11-2014 13:44

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนเวลาอาตมาลงไปสุไหงโกลก ถ้าตรงกับวันศุกร์ เขาก็จะนิมนต์ให้ไปเทศน์ที่โรงเรียนมัธยมสุไหงโกลกหน้าวัดประชุมชลธารา ก็ถามว่าทำไมต้องเทศน์ทุกวันศุกร์ เขาก็บอกวันศุกร์เด็กอิสลามไปสุเหร่ากัน เด็กพุทธไม่มีอะไรจะทำ ก็เลยต้องนิมนต์พระไปเทศน์

คราวนี้ที่โน่นประชาชนส่วนใหญ่เป็นอิสลาม ไทยพุทธเป็นส่วนน้อย ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ถ้าหากให้สวดมนต์ไหว้พระแล้วกลับบ้านก็เหมือนเด็กได้อะไรน้อยไป ก็เลยนิมนต์พระไปเทศน์ อาตมาก็เลยไปยุให้เล่นคาถากันสนุกสนาน เด็กเขาอยากสอบได้กันทุกคน ก็ต้องภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์

แบบเดียวกับที่เขาให้ไปสอนนักโทษ อาตมาไปถึงก็บอกเลย “วันนี้จะมาสอนพวกเราแหกคุก เอาคาถาสะเดาะกลอนไปเลย” ตอนแรกไม่ค่อยฟังกันหรอก นั่งคนละทิศละทาง พอได้ยินว่าแหกคุกได้นี่หูผึ่งกันไปตาม ๆ กัน ปรากฏว่าเขาพาเข้าไป ๓ ครั้งแล้วไม่ให้ไปอีกเลย เพราะไปทุกครั้งเอาแต่ไปสอนให้นักโทษแหกคุก

เวลาเข้าไปนี่อาตมาไม่รู้สึกกลัวหรอก แต่เจ้าหน้าที่จะเครียดมากเลย รปภ.ล้อมกัน ๕-๖ คน เขาบอกว่า “ถ้านักโทษจับหลวงพ่อเป็นตัวประกัน พวกผมตายแน่เลย” อาตมาสอนนักโทษให้ฝึกวาโยกสิณ ถ้าคุณฝึกสำเร็จรับรองกำแพงแค่นี้เรื่องเล็ก ฝึกปฐวีกสิณเดินข้ามไปเลยก็ได้ นึกแล้วก็ขำดี ไปสอนได้แค่ ๓ ครั้ง ผบ.เรือนจำบอกให้เปลี่ยนตัวพระที่มาเทศน์เลย"

เถรี 18-11-2014 14:03

ถาม : วิธีป้องกันคุณไสย ?
ตอบ : ถ้ารักษาศีลบริสุทธิ์กันได้เกินครึ่งแล้ว ถ้าสร้างสมาธิได้อีกหน่อยก็รับประกันซ่อมฟรีได้เลย แต่ว่าห้ามขาดสตินะ

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ยิ่งใหม่ ๆ ยิ่งดีเลย เพราะศีลบริสุทธิ์แน่นอน เรื่องของคุณไสยเก่งขนาดไหนก็ตาม แต่ไม่ได้ถึงที่สุดของสมาธิ เพราะสภาพจิตมุ่งร้ายคนอื่นนั้นขาดอุเบกขา พอไปทำเขาก็เสื่อม เมื่อรวบรวมกำลังใจได้ใหม่ก็ทำใหม่อีก อาตมาก็สงสัยว่าทำไมหมอผีถึงทำได้ทุกวัน ? อ๋อ..ตอนทำเขาไม่ได้ผิดศีลนี่ สมาธิเขาทรงตัวได้ พอทำเสร็จแล้วปรากฏว่าให้ร้ายคนอื่นวิชาก็เสื่อม ต้องมารวบรวมกำลังใจใหม่ อภิญญาโลกีย์เป็นอย่างนี้เอง

เถรี 18-11-2014 14:08

ถาม : ผู้ชายสามารถบวชให้พ่อแม่ได้ แล้วผู้หญิงละคะ ?
ตอบ : รอไปเกิดเป็นผู้ชายสิจ๊ะ ...(หัวเราะ)... ทำตัวให้เป็นพระอริยเจ้า ยิ่งกว่าการบวชใด ๆ ทั้งหมด เพราะว่าการบวชเป็นแค่สมมติสงฆ์เท่านั้น ดังนั้น..ถ้าเราเป็นพระโสดาบันขึ้นไป กุศลนับเท่าไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น..เป็นผู้หญิงนี่ไม่ใช่บวชไม่ได้นะ บวชใจยากกว่าบวชกายเยอะเลย

เถรี 18-11-2014 14:15

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : คือช่วงที่เราฉุกเฉิน สิ่งที่เราสั่งสมมา เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ทั้งหมดจะมารวมตัวกัน ตอนนั้นเราจะรู้ว่ากำลังของเรามีเท่าไร นั่นคือกำลังที่เราจะใช้เผชิญหน้ากับความตายอย่างแท้จริง ถ้าลักษณะอย่างนั้นมั่นใจได้เลย เพราะว่าเรามีสติอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้หวั่นกลัว เหลืออีกอย่างเดียวก็คือเกาะความดีให้ได้ นึกถึงพระ นึกถึงพระนิพพาน ฯลฯ

ถาม : แต่กลัว ?
ตอบ : กลัวไม่เป็นไร ก็บอกแล้วว่าเป็นเรื่องปกติ แต่พอถึงเวลาต้นทุนทั้งหมดเรากวาดมารวมกัน ตอนนี้เราเหมือนเปิดร้านเซเว่นทั่วประเทศ อย่างเก่งก็ยอด ๕๐,๐๐๐ บาทต่อร้านต่อวัน ยังต้องกลัวอยู่ เขามาทวงหนี้ตั้งหลายล้าน แต่ลองเอา ๗,๐๐๐ กว่าสาขาทั่วประเทศมารวมกันสิ เงินตั้งเท่าไรต่อวัน เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมาผลบุญมารวมกัน เราจะรู้ว่าต้นทุนเรามีเท่าไร แต่ก็ไม่ควรประมาท ต้องเร่งทำให้มากไว้

เวลาจะตายจริง ๆ ช่วงนั้นเราจะเห็นว่าเราไม่ได้หวั่นไหว ไม่ได้หวั่นเกรงความตายอะไรเลย ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือเกาะความดีให้ได้


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : นั่นคือสภาพจิตที่เร็วกว่า สภาพจิตถ้าไม่เร็วขนาดนั้น กิเลสที่เข้ามาเร็วมากเราจะกันไม่ทัน สติ สมาธิ ปัญญาของเราจริง ๆ จะเร็วยิ่งกว่านั้นอีก ไม่อย่างนั้นแล้วกันกิเลสไม่ทัน

เถรี 18-11-2014 14:18

ถาม : วิธีหนีกรรม
ตอบ : ไปพระนิพพาน...จบ หนีหนี้ไปต่างดาว อย่างไรเขาก็ตามทวงไม่ไหว ยกเว้นว่าให้เขาสร้างจานบินตามไปเอง

เถรี 18-11-2014 14:29

ถาม : ตัดต้นไม้ใหญ่ไป ควรจะตั้งศาลไหมครับ ?
ตอบ : โดยปกติแล้วถ้าจะตัดต้นไม้ใหญ่ โดยเฉพาะต้นไม้ที่มีแก่น เขาให้สร้างศาลเพียงตาอย่างน้อย ๑ หลัง ตัดเอากิ่งสักกิ่งหนึ่ง ขนาดพอประมาณ เอามาตั้งไว้ในศาล โดยหันทางด้านปลายขึ้นบน แล้วจุดธูปบอกกล่าวเขาว่า ท่านใดที่อาศัยต้นไม้อยู่ ให้มาอยู่ที่ศาลนี่แทน แล้วก็ขออนุญาตโค่นต้น คือต้องทำตั้งแต่ก่อนที่จะตัด ไม่ใช่ตัดแล้วค่อยทำ ถ้าตัดแล้วค่อยทำก็ไม่ต้องไปกังวล เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา เป็นเรื่องของคนตัด

ถ้าหากว่าเป็นพื้นที่กว้างของส่วนรวม โดยเฉพาะอยู่ในลักษณะของต้นไม้ใหญ่ ให้ตั้งเป็นศาล ๔ เสาไปเลยดีกว่า จะเป็น ๔ เสา ๖ เสาอะไรก็ได้ ให้เกิน ๔ ไปได้ก็ดี เสร็จแล้วก็ทำพิธีบวงสรวงขอความคุ้มครองรักษาจากเจ้าที่เจ้าทาง ถ้าไม่เกินวิสัยขอให้ท่านช่วยให้กิจการของเรามีความเจริญรุ่งเรืองด้วย สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่คนอื่นทำผิดทำพลาดอย่างไร เราก็กราบขอขมาท่านแทนไป

เถรี 18-11-2014 14:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนพลเมืองน้อย พื้นที่มีมาก แล้วยิ่งเกิดศึกสงคราม ผู้ชายไปรบไปตายกันเยอะ เขาก็เลยนิยมมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง สมัยนี้คนมากขึ้น ๆ พื้นที่เหลือน้อยลง ๆ เดี๋ยวนี้บางแห่งราคาประเมินตารางวาละ ๘๐๐,๐๐๐ บาท แต่ขายจริงตารางวาละหลายล้าน ตารางวาเดียวพอสร้างศาลพระภูมิหลังหนึ่ง ขายตั้งหลายล้าน มีลูก ๒ คนนี่ก็แย่แล้ว"

เถรี 18-11-2014 14:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีงานที่วัดวีระโชติธรรมาราม มีหลวงตาชลอ หลวงตาวัชรชัย หลวงพี่วิรัช อาตมา และหลวงพี่องอาจ ฉันเพลไปก็มองหน้ากันไป อาตมาเตรียมงานฉลอง ๖๐ ปี หลวงพี่ชลอ หลวงพี่วิรัช หลวงตาวัชรชัยทะลุเลย ๖๐ ไปนานเนแล้ว ท้ายสุดมีแต่อาจารย์องอาจของเรานี่แหละ ยังสบาย ๆ ๔๘ อยู่คนเดียว แกก็มาโวยวาย “ทำไมผมหน้าแก่จังวะ ?” อาตมาบอกว่า “ไม่รู้..เรียกพี่มาแต่แรกแล้ว ผมไม่เปลี่ยนหรอก” ท่านเล่นเคี้ยวหมากไปด้วย ก็ยิ่งดูอาวุโสเข้าไปใหญ่"

เถรี 18-11-2014 15:08

ถาม : ผมมีโรคประจำตัวมา ๑๐ กว่าปีครับ ไม่ทราบว่าเป็นกรรมเก่าหรือเราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : โรคทุกชนิดเป็นผลจากกรรมเก่า ถ้าต้องการบรรเทาตรงนี้ก็ให้ปล่อยชีวิตสัตว์ทุกเดือน หมายถึงสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่น ปลาในตลาด ไม่ใช่ที่เขาจับมาให้เราปล่อยนะ ทำทุกเดือนต่อเนื่องกัน

ถาม : แล้วจะค่อย ๆ ดีขึ้นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ค่อยขนาดไหนไม่รู้ อาตมาปล่อยมา ๓๐ ปีกว่าถึงดีขึ้น

ถาม : จะต้องฝึกกรรมฐานช่วยเพิ่มเติมไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำได้ก็ดี แต่การคืนชีวิตให้เขาเป็นการแก้เรื่องปาณาติบาตโดยตรง อย่างอื่นก็เป็นส่วนเสริม ถ้าทำได้ก็เป็นกุศลให้แก่ตัวเอง

ถาม : แสดงว่ากรรมเก่าผมผิดศีลข้อปาณาติบาตกับข้อสุราเมรัยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ปาณาติบาตอย่างเดียวก็แย่แล้ว ฉะนั้น..ต้องปล่อยชีวิตสัตว์ให้สม่ำเสมอทุกเดือนอย่าได้ขาด

เถรี 19-11-2014 11:59

ถาม : พอนั่งสมาธิแล้วฟุ้งซ่าน จิตเราปรุงแต่งแต่เรื่องไร้สาระค่ะ ?
ตอบ : สังเกตว่าเราไปฟุ้งซ่านเกี่ยวกับอนาคต หรือว่าไปยุ่งเกี่ยวกับอดีต ซึ่งเป็นการส่งใจออกทั้งคู่ ต้องหยุดอยู่กับปัจจุบัน คือลมหายใจเข้าออกของเราเฉพาะหน้า เพราะฉะนั้น..ทันทีที่รู้ตัว ให้ดึงความรู้สึกทั้งหมดกลับเข้ามาที่ลมหายใจใหม่ ซักซ้อมทำอย่างนี้บ่อย ๆ จนสภาพจิตเคยชิน แรก ๆ ก็เหมือนกับลิง เผลอเมื่อไรก็เผ่นไปแล้ว เผลอเมื่อไรก็กระโดดไปทางโน้นทางนี้ แต่ถ้าเราเคยชิน ต่อไปเราก็สามารถผูกให้อยู่กับที่นาน ๆ ได้ ทันทีที่รู้ตัวว่าเราส่งจิตออกนอก ให้ดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกของเราใหม่ อยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ได้

ถาม : หายใจเข้าหรือหายใจออก รู้สึกว่ากลวง ๆ ค่ะ ?
ตอบ : อยู่ตรงนั้นแหละ จะรู้สึกอย่างไรก็ช่าง ถ้าอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ก็รอดตัวไปชั่วคราว

เถรี 19-11-2014 12:28

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อก่อนอาตมาไปแจกผ้าห่มกันหนาวทุกปี แจกไปแจกมา ชาวบ้านเขางอมืองอเท้ารออย่างเดียว รอว่าเมื่อไรจะมาแจกอีก ก็เลยต้องเลิกแจก ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ขวนขวายอะไรเพื่อตัวเองเลย นั่งรออย่างเดียว เรื่องของการให้ต้องมีขอบเขตเหมือนกัน ถ้าให้ไม่รู้จักแล้วจักเลิกก็จะเจอลักษณะเดียวกัน อย่างที่หลวงพ่อพระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงพ่อจันทร์ กุสโล) วัดเจดีย์หลวง ท่านบอกว่า “ถ้าเมตตาเกินประมาณ มักจะเจอคนพาลทั้งเมือง”

นัดให้เขามารับผ้าห่มเวลานั้นเวลานี้ เขาไม่มา เหมือนกับเป็นของตาย จะมารับเมื่อไรก็ได้ อาตมาไม่มีเวลารอ ก็เลยหอบไปให้หมู่บ้านอื่นเสียเกลี้ยง แล้วตอนเย็นเขาก็มาโวยวายว่า เขาจะมารับตอนเย็น อาตมาถามว่า "เจ็ดโมงเช้าของเอ็งแปลว่าเย็นใช่ไหม ?" แล้วอีกทีหนึ่งเอาผ้าห่ม ๗๐๐ ผืนไปแจกทางด้านพุน้ำร้อน ที่เป็นด่านทะลุไปทวาย ท่านอาจารย์เต้ก็นัดผู้ใหญ่บ้านทำรายชื่อมา นัดเวลาเสร็จสรรพเรียบร้อย ถึงเวลาอ่านรายชื่อไม่มีใครมา เพราะเขาถือว่าเขาได้แน่แล้ว

อาตมาเลยประกาศบอกชาวบ้านที่มากันเต็มไปหมด บอกว่าใครต้องการให้มาเอาเดี๋ยวนี้เลย แบกไปคนละผืน ๆ หมดเกลี้ยง พวกนั้นวิ่งตีนพลิกมา อาตมาบอกว่าหมดแล้ว เขาก็ตีโพยตีพายว่า "มีรายชื่อแล้วทำไมไม่ได้ ?" อาตมาบอกว่า "สำหรับอาตมาแล้ว คนที่มีรายชื่อไม่ได้แปลว่าได้ หากแต่ว่ามีสิทธิ์ที่แน่นอนกว่าคนอื่นเขานิดหนึ่ง แต่พวกเอ็งเสือกสละสิทธิ์เอง ไม่มาตามเวลานัดก็ถือว่าช่วยไม่ได้" พวกนั้นก็เปลี่ยนเป้าหมายไปต่อว่าท่านอาจารย์เต้แทน ว่ารับปากว่าจะได้แล้วทำไมไม่ได้ ? ท่านอาจารย์เต้ก็บอกว่า อาตมาก็รับผิดชอบไม่ได้ เพราะพระผู้ใหญ่ท่านมีความเห็นอย่างนั้น..สบายไป"

เถรี 19-11-2014 12:33

"ปัจจุบันที่ให้ทุนการศึกษา จะมีอยู่ทุนหนึ่งที่พวกชาวบ้านอยากได้มากเป็นพิเศษ ก็คือทุนปริญญาตรีต่อเนื่อง ซึ่งทางวัดจะให้ปีละ ๓๐,๐๐๐ บาท จนกว่าจะจบ ๔ ปี หรือ ๕ ปีตามหลักสูตรที่เขาเข้าเรียน หลายคนไม่ฟังเสียงหรอก มาถึงก็จะเอาทุนนี้ บอกเขาว่าต้องเป็นโรงเรียนที่ทางวัดไปให้เขาจัดการสอบให้ ในเมื่อคัดนักเรียนสอบแล้ว เด็กที่สอบได้ถึงจะให้ทุนนั้น

บางรายที่เป็นเพื่อนลูกหลานมาบอกว่า “ถึงสอบก็จะสอบ” แล้วจะสอบได้อย่างไร ลูกแกไม่ได้อยู่โรงเรียนนั้น คือเขาจะเอาให้ได้ เป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริง ๆ พอเห็นลูกคนอื่นได้บางทีก็โวยวาย “ทีบ้านโน้นทำไมได้ แล้วเด็กบ้านนี้อยู่ใกล้วัดแท้ ๆ ทำไมไม่ได้” ขืนไปฟังมากก็ประสาทกิน

ต้องถือคติโบราณ คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ หนังก็แค่หุ้มตัวเรา ส่วนเสื่อนี่หุ้มตัวเราทั้งหนังได้อีกทีหนึ่ง ก็แปลว่า คนรักเท่าผืนหนัง คือคนรักมีน้อยกว่า คนชังเท่าผืนเสื่อ คนไม่ชอบหน้ามีมากกว่า เป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ต้องไปใส่ใจอะไรมากมาย ตามหลักการปกครองเขาว่า "เราไม่สามารถทำให้คนทุกคนพอใจได้ แต่เราต้องทำให้คนส่วนใหญ่พอใจได้"

เถรี 19-11-2014 12:42

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้มีโยมปวารณาไว้ว่า ถ้าสร้างห้องน้ำเมื่อไรจะช่วยทำ โยมเขาอยากทำ ส่วนอีกคณะหนึ่งว่าถ้าปิดทองเมื่อไรจะช่วยทำ เขาอยากทำบุญอย่างนั้น อาตมาก็ เอ๊ะ..ทำไมไม่มีใครอยากสร้างเมรุบ้าง ? เพราะอาตมากำลังจะทำเมรุอยู่

วันนี้คุณวิภาคมาสอบถามรายละเอียดเพื่อออกแบบเมรุ กะว่าน่าจะจบถึง ๑๐ ล้านบาท ทำเสร็จจะได้เอาไว้เผาตัวเอง..! ทองผาภูมิต้องบอกว่าน่าอนาถ เจ้าใหญ่นายโตไปมาเป็นปกติ ถึงเวลาคนตาย คนโน้นก็เป็นญาติรัฐมนตรี คนนี้ก็มีญาติเป็น ส.ส. มีแต่เมรุเล็ก ๆ ไม่ได้สมเกียรติยศท่านประธานเลย ล่าสุดนี่ทั้งอดีต ส.ส.ทั้งอดีตรัฐมนตรีไปที่วัดท่าขนุน ก็เลยตัดสินใจสร้าง ประกาศบอกโยมไปแล้วว่า ช่วง ๒ ปีที่สร้างเมรุนี่ห้ามตายเด็ดขาด ตายแล้วไม่มีที่เผา"

เถรี 19-11-2014 12:52

พระอาจารย์กล่าวแนะนำโยมว่า "คุณไปซ้อมขับรถหลักสูตรสำหรับต่อสู้หรือว่าคุ้มกัน จะได้สมบูรณ์แบบหน่อย เพราะว่าส่วนมากทหารตำรวจที่เก่ง ๆ มักจะเป็นระดับประทวน ก็คือนายสิบ เขาจำเป็นต้องขวนขวายให้ตัวเองมีความสามารถสูง ๆ เพื่อที่จะได้ก้าวหน้าในการรับราชการ แต่พวกคุณเป็นนายร้อย อนาคตต่อให้ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏก็เป็นนายพลแน่ ๆ อยู่แล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องไปดิ้นรนไปทำไม

ถ้าวัดกันตัวต่อตัวเรื่องความสามารถ พวกคุณจะสู้พวกประทวนไม่ได้ ความรู้คุณสูงกว่า แต่ความสามารถส่วนตัว การเอาตัวรอด ฯลฯ จะน้อยกว่า เราจะสังเกตเห็นว่า บรรดามือปืน ที่จับได้แต่ละคนก็พวกจ่าหรือนายสิบทั้งนั้น สมัยอาตมาฝึกเสร็จใหม่ ๆ ผบ.โรงเรียน พลตรีสมคิด จงพยุหะ ให้โอวาทว่า “พวกท่านได้ผ่านหลักสูตรที่ถือว่าเป็นหลักสูตรโหดที่สุดอย่างหนึ่งของกองทัพไทยแล้ว ถ้าหากว่าพวกท่านเป็นรั้วของชาติที่ดี ก็จะเป็นรั้วที่เข้มแข็ง ข้าศึกทำลายได้ยาก แต่ถ้าเอาความสามารถนี้ไปใช้ในการก่อการร้าย หรือว่าอาศัยในการเลี้ยงชีพในทางมิชอบ ก็จะเป็นมหาโจรที่ปราบได้ยาก แต่ผมรับรองว่าอนาคตตายโหงทุกคน ในเมื่อคุณเก่งเขาก็ไม่กล้าจับเป็น”

ระดับล่างกว่าเขาห่วงความก้าวหน้า ต้องขวนขวายมาก ระดับบนรู้สึกว่าได้มาง่าย ทำไมต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วย ก็ลักษณะเดียวกับผู้ปฏิบัติธรรม คนที่อยู่ที่ทุรกันดาร เข้าถึงครูอาจารย์ได้ยาก เดินทางไปหาครูบาอาจารย์ลำบาก เจอหน้าแต่ละทีนี่เขากอบโกยสุดชีวิต ขณะเดียวกัน..พวกเราเหมือนกับหนูตกถังข้าวสาร จะกินเมื่อไรก็ได้ เอ้อระเหยลอยชาย โดนแมวตะครุบไปวันไหนก็ไม่ต้องกินหรอก"

เถรี 19-11-2014 19:44

พระอาจารย์เล่าว่า "ไปปักษ์ใต้ครั้งนี้ คุณหญิง (ณญาดา) จัด รปภ.หนาแน่นมาก ให้อาตมานอนกลางตู้ พระ ๕ รูปประกบรอบ ตามด้วยโยมผู้ชาย หัวท้ายที่เอาแต่ละคนน้ำหนักเกิน ๙๐ กิโลกรัมไปกันไว้หมดเลย แต่ละคนนึกดู อย่างทิดเก้ หมอเสือ คนหนึ่งไปยืนอุดประตูก็ไม่มีใครเข้าออกได้แล้ว เล่นยัดเอาไว้หัว ๔ คน ท้าย ๔ คน คงกะว่าจะมีการลอบสังหารประธานาธิบดีอะไรอย่างนั้น

เพียงแต่ขำทิดเก้เขาบอก “พวกผมเป็นจตุรังคบาทครับ” คือทหารที่มีหน้าที่รักษาเท้าช้างศึก จะต้องเป็นยอดฝีมือชนิดที่ใครก็ล้มไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะสามารถทำอันตรายช้างศึก เพื่อเล่นงานเจ้านายข้างบนได้ ก็เลยบอกว่า "ดูหุ่นของเอ็งแต่ละคน ไม่ใช่จตุรังคบาทหรอก น่าจะเป็น "ก้านกล้วย" มากกว่า..!"

ไปถึงที่โน่น ทั้งทหาร ทั้งชุดคุ้มครองรักษาหมู่บ้าน ทั้งทหารพราน ทั้งตำรวจเพียบเลย ตอนแรกก็ว่าจะไม่รบกวนเขา แต่พอหน่วยงานเขาทราบข่าว เขาจัดคนมาเองเลย เขาถือว่าอยู่ในพื้นที่ของเขา ถ้าเป็นอะไรไปเขาเฮงแน่ ท่านนายอำเภอคนใหม่ยังมีอารมณ์จะชวนไปเที่ยว เรียนท่านไปว่าคนหมู่มาก การรักษาความปลอดภัยลำบาก คนดูแลเขาจะเครียดกันเปล่า ๆ เอาไว้โอกาสหน้าถ้าสถานการณ์ดีขึ้นแล้วค่อยมาเที่ยวกัน

ขนาดนั้นขาออกรถยังติด ท่านปลัดจังหวัดที่เป็นอดีตนายอำเภอ รถติดอยู่ชั่วโมงครึ่งกว่าจะหลุดเข้ามาในวัดได้ ขาออกจะทำอย่างไร รถติดออกไม่ได้ ท้ายสุดก็เลยตัดสินใจเลี้ยวไปทิศตรงกันข้าม ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง เขาฆ่ากันมาหลายศพแล้ว เพราะต้องตัดผ่านพื้นที่ป่าเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร โดนซุ่มยิงมาหลายศพ ไม่เป็นไร..อาตมานำหน้าเอง รับประกันซ่อมฟรีว่าไม่มีใครคิดว่าพระอาจารย์จะอยู่รถคันแรก เขาต้องคิดว่าอยู่รถคันหลัง ๆ แน่ อาตมาหลุดไปไหนแล้วไม่รู้ ถ้าจะโดนซุ่มยิงก็คันหลังนั่นแหละ..!

ตอนแรกก็คิดว่าขากลับจะขึ้นรถไฟที่สุไหงปาดี ปรากฏว่าญาติโยมให้ทุเรียนกวนมาประมาณเข่งใหญ่ ห่อมาราว ๆ แท่งละครึ่งกิโลกรัม แล้วก็ลองกองประมาณ ๒๐ ลัง บอกว่ารถจอดสถานีสุไหงปาดีแค่ ๓ นาทีจะขนขึ้นได้อย่างไร ? คนขึ้น ๘๐ คนก็หมดเวลาแล้ว ท้ายสุดก็เลยแนะนำให้ไปขึ้นต้นทางที่สุไหงโกลก แห่กันไปขึ้นที่สุไหงโกลก บรรดาชุดรักษาความปลอดภัยก็ต้องแห่ตามไปสุไหงโกลกด้วย เราเปลี่ยนที่ขึ้น เพิ่มระยะทางมา ๒๖ กิโลเมตรต้องเสียเงินเพิ่ม ปรากฏว่านายสถานีเขาถามว่า “คณะกฐินใช่ไหมครับ ? ถ้าคณะกฐินไม่เป็นไรครับ อนุญาตให้ขึ้นได้เลย ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม”

เถรี 19-11-2014 19:46

"เราเหมาตู้นอนรถไฟเขาไป ๒ ตู้ เขาต้องต่อตู้พิเศษเพิ่มขึ้นมา แต่ว่าเหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มีคนตายอีกแล้ว ครั้งก่อนโน้นลงไป โดนรถไฟทับตายตั้งแต่ต้นทางที่หัวลำโพง ครั้งนี้โดนทับตายที่ปลายทางสุไหงโกลก กำลังรอว่างวดต่อไปถ้ามีคนตายอีกก็จะไม่ลงไปอีกแล้ว ไปทีไรมีคนตายทุกที เขากระโดดขึ้นตอนที่รถไฟเคลื่อนตัวแล้ว ซึ่งปกติแล้วเขาไม่เคยพลาด แต่งวดนี้พลาด หัวหายไปเลย..! เจ้าหน้าที่ก็พยายามห้าม “อย่าถ่ายรูปครับ ๆ” ไม่ทันหรอก สารพัดคลิปเพียบ ทุกคนมีมือถือ ทุกคนพร้อมที่จะถ่ายคลิป

ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่แปลกมาก เพราะว่าอุบัติเหตุทางรถไฟเกิดขึ้นติด ๆ กัน วันรุ่งขึ้นวันที่ ๒๗ พวกเรามาถึงนี่ไม่นาน ทางด้านโน้นก็เกิดเหตุแถว ๆ เพชรบุรี ที่รถไฟชนรถเก๋ง Camry ถังแก๊สระเบิดย่างสดไป ๒ คน มาเมื่อวานก็รถไฟชนสิบล้อ ครั้งนี้พนักงานขับรถไฟตาย ชนรถเก๋งไม่เป็นไร เพราะรถเก๋งเตี้ย ไปชน ๑๘ ล้อคันใหญ่ อัดเข้าไปเต็ม ๆ ตัวเองตายเหมือนกัน"

เถรี 19-11-2014 19:48

"ขาไปประมูลวัตถุมงคลตั้งแต่รถยังไม่ออกจากสถานี ว่ากันจนหมดเนื้อหมดตัวไปตาม ๆ กัน ต้องปิดประมูล ได้ไป ๒ แสนกว่าบาท รอจนกระทั่งถึงหาดใหญ่ พวกเราลงไปกดเงินจนตู้เอทีเอ็มล่มไปตู้หนึ่ง ตู้ปฏิเสธการจ่ายเงินเพราะเหลือเงินไม่พอจ่าย แล้วก็ไปดวลกันต่อ ก็มีทั้งคหบดี มีทั้งข้าราชบริพาร มีทั้งแบบประเภทเสนอราคาพร้อมกับ “ขอน้องไปใช้เถอะ” อีกคนก็ “หลานก็จะเอา” อีกคนก็ “หนูเกิดวันเสาร์ พระนาคปรกเป็นพระประจำวัน ขอหนูเถอะ” ไม่มีการปรานีกัน บี้กันจะตายอยู่บนรถไฟ

ที่ขำที่สุดก็คือเหมือนกับแกล้งกัน ปกติก็ขึ้นกันที ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ บาท เขาเสนอ ๕,๐๐๐ อีกคนเสนอ ๕,๐๒๐ บาท อีกคนก็เลื่อนไป ๕,๐๕๐ บาท ต้องบอกว่ากวนกันสนุกมาก"

เถรี 19-11-2014 19:50

"ถ้าวันก่อนไปกฐินแล้วเต้ยไปด้วย คาดว่าที่เป็นผีหัวขาดคารางนั่นน่าจะเป็นเต้ยนะ อุตส่าห์ห้ามไม่ให้ไปแล้วรอดมาได้ รู้อย่างนี้ปล่อยให้ไปดีกว่า"

เถรี 19-11-2014 19:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครจองวัตถุมงคลไว้ให้รีบมารับ เจ้าหน้าที่จ่ายเดือนนี้เป็นเดือนสุดท้าย หลังจากนั้นจะตัดยอดคืนวัด ไม่ต้องมาคร่ำครวญ จนป่านนี้อาตมายังถือพระกริ่งพิชัยสงครามอยู่ ๖ องค์ จำชื่อคนจองได้ชัดเจนมากเลย แต่ไม่มารับสักที

เมื่อ ๒-๓ ปีก่อนพยายามติดต่ออีกหลายรอบ มีคนแจ้งว่าเขาสละสิทธิ์แล้ว ตอนจองราคาพันเดียว ตอนนี้องค์หนึ่งถึง ๒๐,๐๐๐ บาท สบายเลย มีตั้ง ๖ องค์ เดี๋ยวเอามาลงเว็บกันดีไหม ? แล้วก็ยังเหลือตะกรุดมหาสะท้อนอีก ๔ ดอก เอามาทำมีดหมอดีไหม ? อาตมาเก็บเสียจนตะกรุดเริ่มดำปี๋แล้ว

มีดหมอเพชราวุธรุ่นนี้ ตัวมีดบรรจุตะกรุดพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ตะกรุดแก้วสารพัดนึก ตะกรุดมหาอำนาจ ส่วนด้ามมีดบรรจุตะกรุดมหาสะท้อน แค่นี้ก็เหลือเฟือแล้ว ไม่ต้องอะไรมากมาย แต่ทำยากมาก เพราะว่าแค่เจาะรูฝังตะกรุดที่สันมีดก็ยากแล้ว ถ้าช่างทำ
ผิดองศานิดเดียวใบมีดก็ทะลุเสียของไปเลย ตะกรุด ๓ ดอกแรกจะเป็นดอกเล็ก ๆ เหมือนตะกรุดกำลังพระแม่ธรณี ให้ช่างเขาฝังลงไป แล้วก็เหลางาช้างเป็นไม้จิ้มฟันตีอัดลงไปอีก ประเภทห้ามหลุดเด็ดขาด หลังจากนั้นค่อยขัดเรียบ

ส่วนตะกรุดมหาสะท้อนก็ลักษณะเดียวกัน แต่บรรจุที่ด้าม อันนี้จะเหลาไม้มะเกลืออัดไส้ไว้ ถึงเวลาตอกอัดแน่น ทำทิ้งทวน คาดว่าไม่อยากจะยุ่งอะไรกับมีดหมออีกแล้ว ขอทำครั้งนี้ครั้งสุดท้าย ถ้าหลวงพ่อสมคิดผูกพัทธสีมา สวดถอนโบสถ์พอดีก็เอาเข้าพิธีไป ถ้าไม่มีก็ไม่ต้อง เพราะท่านบอกว่าพอแล้ว แค่นั้นก็มากเกินไปแล้ว

ว่าแต่ว่ามีดให้เขาบรรจุกล่องแทนจะดีไหม ? ให้เขาเซาะร่องกำมะหยี่ ก็ลองถามเขาว่ากล่องลักษณะอย่างไรจะเข้าท่า กล่องไม้ไปเลย ลงทุนคืนกำไรให้เขาหน่อย เหลือเงินน้อยหน่อยจะได้ไม่ต้องทำอะไรมาก แบบเดียวกับเหรียญพุทธบารมี ใคร ๆ ก็อยากได้กล่องไม้ เลิกอยากได้เหรียญไปเลยเพราะกล่องสวยมาก"

เถรี 19-11-2014 19:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้อาตมากำลังรอช่างยื่นราคามณฑปตั้งพระพุทธรูปทองคำ จะเป็นมณฑป ๓ ยอด ตรงกลางเป็นพระพุทธรูปทองคำ ด้านข้างซ้ายขวาเป็นพระพุทธรูปที่รัชกาลที่ ๗ พระราชทานให้วัดท่าขนุน ด้านหน้าเป็นมณฑปเล็ก เป็นที่ตั้งพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว แล้วยังตั้งพระสำคัญ ๆ เล็ก ๆ ได้อีก ๒ - ๓ องค์

เพิ่งจะคุยรายละเอียดกันไป แล้วก็รอช่างประเมินราคามา คาดว่าไม่น่าจะเกิน ๑๓ ล้านบาท ได้ยินแล้วตกใจ แต่ทำเสร็จให้คนเห็นจะร้อง “โอ้โฮ..สวยจัง” หมดเท่าไรก็ช่าง สตางค์ไม่ใช่ของอาตมา ถึงเวลาก็ขอหลวงพ่อเอา

เมื่อวานหลวงพี่องอาจบอกว่า “วัดก็อยู่ไกล ญาติโยมก็ไม่ค่อยมา พระผู้ใหญ่ก็สงสัยว่าไปปล้นใครมาวะ ? สร้างวัดได้ขนาดนี้ ไม่รู้หรือ ? พอถึงเวลาเราก็ไปจุดธูปบอก หลวงพ่อครับ..เขามาเก็บค่าไอ้โน่นแล้ว ไอ้นี่แล้ว ถ้าไม่มีให้เขาก็ขายหน้าลูกหลวงพ่อนะครับ” เล่นจับหลวงพ่อเป็นตัวประกันเลย ตูว่าตูแสบแล้ว หลวงพี่องอาจท่านแสบกว่าอีก อาตมายังไม่เคยจับหลวงพ่อเป็นตัวประกัน แค่บอกว่า “ถ้าจะต้องขอใครแม้แต่บาทเดียว ผมจะไม่ทำอะไรเลย” แต่โบสถ์ของหลวงพี่องอาจน่าจะบรรจุพระได้สัก ๓๐๐ รูป สร้างเสียใหญ่ปานนั้น ถึงเวลาหาพระบวชไม่ได้ พวกจะได้โห่เอา

เมื่อวานเอาฎีกานิมนต์ไปส่ง มหาโรจน์เพิ่งมาแจ้งว่า ฎีกายังไม่ได้เซ็นชื่อสักฉบับเดียว เนื่องจากว่าพออาตมาพิมพ์ฎีกาเสร็จ ก็ส่งให้น้องเล็กพิมพ์ซอง แล้วก็ต้องดูตามรายชื่อ ปรากฏแม่เจ้าประคุณพิมพ์ซองเสร็จ ก็พับฎีกาใส่ไปเลย อาตมาก็เลยพลอยลืม ไม่ได้เซ็นสักใบ ส่งไปหลายรายแล้ว ไม่เป็นไรหรอก พี่ ๆ น้อง ๆ กันท่านรู้ แก่แล้วก็ต้องลืมบ้างแหละ นึกถึงเมื่อวานยังนั่งหัวเราะกัน ตกลงว่าหลวงพี่องอาจอายุน้อยที่สุด อายุน้อยแล้วมานั่งบ่น “ทำไมกูหน้าแก่จังวะ ?”

จะหล่อสมเด็จองค์ปฐมเป็นพระประธานในศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย กำหนดงานไว้วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ก็เลยต้องส่งฎีกาล็อกตัวไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเผลอไปรับงานของคนอื่นเขา แล้วไม่ได้ไปงานของอาตมา"

เถรี 19-11-2014 20:01

"ตอนนี้ท่านอาจารย์สุชาติกำลังปั้นองค์พระหน้าตัก ๔ ศอกให้ แล้วท่านจะย่อแบบลงมาเหลือ ๙.๙ นิ้ว ถ้าญาติโยมอยากจะร่วมสร้างก็เตรียมไว้บูชาพระ ๙.๙ นิ้ว ส่วนของอาตมาไว้รอสร้างองค์เล็กขนาดห้อยคออีกที"

เถรี 19-11-2014 20:06

พระอาจารย์ท่องโคลงให้ฟัง "ในโคลงโลกนิติเขาว่า
จามรีขนข้องอยู่..........หยุดปลด
ชีพบ่รักรักยศ............ยิ่งไซร้
สัตว์โลกซึ่งสมมติ........มีชาติ
ดูเยี่ยงสัตว์นั้นได้.......ยศซ้องสรรเสริญ

ถ้าขนจามรีไปติดอะไร เขาจะค่อย ๆ หยุดแกะ ต่อให้ศัตรูตามล่ามาถึงก็ไม่หนี จามรีรักขนของตัวเองยิ่งกว่าชีวิต เหมือนกับคนที่รักเกียรติยิ่งกว่าชีวิต คนที่รักเกียรติยิ่งกว่าชีวิต กลัววงศ์ตระกูลจะเสียหาย ก็ไม่กล้าทำอะไรผิดพลาด ได้รับคำสรรเสริญจากคนอื่นเขา แบบเดียวกับในพาลีสอนน้อง ที่ว่า

เลือดพี่มีค่า................กว่าตน
เสียเลือด...................เสียชนม์ ดีกว่า
โลหิตติดปลาย.............โลมา
อับอาย ขายหน้า............ฟ้าดิน

พาลีไม่เคยรบแพ้ ไม่เคยเสียเลือดให้ใคร โดนศรพระรามเลือดออกแค่แมลงวันกินอิ่มเท่านั้น ยอมฆ่าตัวตายเพราะถือว่าเสียศักดิ์ศรี นักเลงโบราณเขาลักษณะอย่างนั้น คนสมัยก่อนถึงจะดุแต่ไม่ค่อยฆ่าแกงกันหรอก เอากันแค่พอได้อาย เอาแค่หัวแตกให้รู้ หัวแตกก็เท่ากับของคุ้มกายไม่ได้ ครูบาอาจารย์ก็เสียหายไปด้วย

ดังนั้น..ครูบาอาจารย์สมัยก่อนเวลาจะประสิทธิ์ประสาทวัตถุมงคลให้กับลูกศิษย์นี่ ต้องมั่นใจเต็มที่แล้วถึงให้ อย่างสายหลวงปู่ม่วง วัดบ้านทวน ถักแหวนพิรอดด้วยสายสิญจน์จูงศพ โยนลงเตาไฟเลย ถ้าไฟไม่ไหม้แล้วค่อยเอามาใช้ เป็นไปได้อย่างไร ? ด้ายหรือผ้าจะไม่ไหม้ไฟ แต่ก็เป็นไปแล้ว"

เถรี 19-11-2014 20:24

พระอาจารย์กล่าวสอนโยมว่า "สำหรับทิดโอต้องมั่นใจนะ คำว่ามั่นใจก็คือพระไม่ได้อยู่ไกลหรอก แค่หัวเรานี่เอง ถ้าคิดว่าพระอยู่ไกล บางทีสมาธิน้อยก็ส่งไม่ถึง เพราะขาดความมั่นใจ ฉะนั้น..พอถึงเวลานึกถึงภาพพระทีไร พระก็อยู่แค่บนหัวเรานี่เอง แล้วพระอยู่เฉพาะพระนิพพาน เพราะฉะนั้น..พระนิพพานก็อยู่แค่บนหัวเรา

ถ้าสรุปเป็นก็ง่าย ถ้าสรุปไม่เป็นก็ยาก สำคัญตรงที่ต้องมั่นใจ การกำหนดภาพพระไม่ใช่ตาเห็น เป็นการเห็นในห้วงนึก ซึ่งสมัยนี้ฮิตกันมากที่ว่า “มโน” ถ้าถามว่าเห็นในห้วงนึกเห็นอย่างไร ก็เหมือนเรานึกถึงบ้าน นึกถึงคนที่เรารู้จัก เราสามารถนึกได้ชัดเจน แต่ไม่ใช่การเห็นด้วยสายตา ดังนั้น..การเห็นอย่าไปเน้นเอารายละเอียด ให้มั่นใจว่ามีภาพพระอยู่ก่อน หลังจากนั้นก็จับลมหายใจภาวนา พร้อมกับนึกถึงภาพพระ

สำคัญตรงที่ว่าต้องมั่นใจ ถ้าไม่มั่นใจทำอย่างไรก็ไปไม่รอด ต่อให้เขาบอกว่าเห็นเราอยู่ที่นั่น แต่ถ้าขาดความมั่นใจก็เท่านั้น มัวแต่ไปอาศัยคนอื่นให้เขาบอกแล้วค่อยมั่นใจ แล้วชาตินี้จะไปเองได้อย่างไร ?"

เถรี 20-11-2014 16:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "จำไว้ว่า..การตัดสินใจไม่มีใครถูกไม่มีใครผิด เพราะเป็นไปตามประสบการณ์และกำลังใจของเขาในตอนนั้น ตัดสินใจไปแล้วจะดีจะชั่วไม่ต้องมาดีใจเสียใจ นอกจากตั้งสติแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไป

ส่วนใหญ่แล้วมักไปหลงประเด็น อุตส่าห์ไปเก็บมะม่วงมาได้ ๕ ลูก เน่าไป ๒ ลูก ก็มานั่งเสียใจ จะเสียใจทำไมในเมื่อยังดีอยู่ตั้ง ๓ ลูก ทำอย่างกับเสียเงินซื้อ คนเรามักจะหลงประเด็นอยู่เรื่อย หลงประเด็นก็เพราะว่าขาดสติ ในหนังสือเพชรพระอุมา หลวงพ่อพระธุดงค์ท่านสอนแงซายว่า “เจ้าจงตื่นขณะที่โลกหลับ” แงซายก็ถ่างตาทั้งคืน ตกลงว่าโง่หรือฉลาดกันแน่วะ ? ความจริงแงซายแกล้งกวนรพินทร์เล่น รพินทร์สงสัยว่าทำไมแงซายไม่ค่อยหลับไม่ค่อยนอน ความจริงคนที่ภาวนาอยู่ไม่ค่อยจะหลับ ขนาดแอบเดินไปใกล้ ๆ แล้วเตะ แงซายยังกันได้ทัน"

เถรี 20-11-2014 16:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนที่อาตมาโดนตะขาบกัดนั้น โดนกัดตั้งแต่ต้นทางบิณฑบาต ก็ยังเดินไปเรื่อย ๒ กิโลเมตรกว่าร่วม ๓ กิโลเมตร แล้วก็วนกลับรวม ๆ แล้วราว ๕ กิโลเมตร คนเขาสงสัยว่าเจ็บปวดขนาดนั้นแล้วทนได้อย่างไร ? ก็ต้องบอกว่า “ถ้าหากว่าเรายังต้องทนอยู่ก็จะเจ็บ ถ้าเราไม่ต้องทนก็ไม่เจ็บ” ฟังดูงง ๆ ไหม ?

อาการเจ็บปวดเป็นเวทนา เป็นเรื่องของกาย อย่าให้เข้ามาถึงใจของเรา ของอย่างนี้ต้องเกิดจากการรู้เห็นจริง ๆ ว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา แล้วแยกแยะได้ แต่ถ้าความรู้เห็นยังไม่ถึงตรงนี้ ต้องใช้กำลังสมาธิช่วยอย่างมาก ต้องเข้าสมาธิในระดับที่กำลังใจทรงตัว จนจิตกับกายแยกเป็นคนละส่วนกัน ถ้าอย่างนั้นเวทนาจะกวนไม่ได้

แต่เนื่องจากว่าการเข้าสมาธิระดับสูงขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่คล่องตัวจริง ๆ ก็จะเดินไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องใช้ปัญญามาช่วย ต้องเห็นว่าสภาพของเวทนา สภาพของกาย สภาพของจิตเป็นคนละส่วนกัน จิตส่วนจิต กายส่วนกาย เวทนาส่วนเวทนา ถ้าสามารถแยกแยะได้ชัดเจนอย่างนี้ โดนอีกกี่ทีก็เท่านั้นแหละ"

เถรี 20-11-2014 17:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลักการปฏิบัติต้องโลกไม่ช้ำ ธรรมไม่เสีย เราอาจจะเห็นว่าไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจในโลก แต่ไม่ใช่ เพราะถ้าตัวเรายังเป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่น แสดงว่าเรายังขาดเมตตา ต้องระมัดระวังไม่ให้ กาย วาจา ใจ หรือสิ่งที่เรากระทำ เป็นทุกข์เป็นโทษกับคนอื่นเขา

ของบางอย่างมีขอบเขตกั้นอยู่ เรื่องระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายก็ดี ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ก็ดี เราก็ยังต้องถือ ต้องเคารพตามสมมติทางโลก ไม่อย่างนั้นแล้วยุ่งตายชัก จะไป "ช่างมัน" อย่างเดียวไม่ได้หรอก อาตมาเคยบอกว่าวางได้ แต่โปรดระมัดระวังอย่าไปวางใส่หัวคนอื่น ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติส่วนหนึ่ง พอถึงระยะที่เห็นชัดว่าเรื่องทางโลกไม่มีประโยชน์ ไร้สาระ ก็จะเน้นหนักเอาเรื่องทางธรรมอย่างเดียว แล้วลืมไปว่าตัวเองยังอยู่กับโลก นอกจากจะเป็นโทษกับคนอื่นแล้ว ท้ายที่สุดโดนคนอื่นเขากีดกันเพราะเขาไม่เห็นด้วย ก็กลายเป็นโทษกับตัวเองไป

อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า โยมไปปฏิบัติกรรมบถ ๑๐ ขณะทำงาน เจ้านายถามก็ไม่พูดด้วย กลัวผิดกรรมบถ ๑๐ เพื่อนถามก็ไม่พูดด้วย กลัวผิดกรรมบถ ๑๐ แล้วเกิดอะไรขึ้น ก็อยู่ไม่ได้นะสิ อยู่ในโลกไปปิดวาจาแล้วจะไปสื่อสารกับใคร ?"


ถาม : ถ้าทำถูกแล้ว ?
ตอบ : ทำถูกแล้ว แต่ถูกแค่นั้น ถึงได้บอกว่า การปฏิบัติมักจะยึดมั่นถือมั่นว่าตัวเองทำดีแล้ว ทำถูกแล้ว แต่ให้ถามตัวเองด้วยว่าดีแค่ไหน ? ถูกแค่ไหน ? ถ้าดีแค่นั้นถูกแค่นั้น แล้วที่ดีกว่านั้น ถูกกว่านั้นยังมีอยู่ไหม ?

เถรี 20-11-2014 18:27

ถาม : ที่เขาบอกว่าสมัยก่อน พ่อแม่หรือผู้เฒ่าผู้แก่วาจาสิทธิ์ ถ้าท่านว่ากล่าวอะไร ก็จะเป็นจริงตามนั้น ?
ตอบ : สมัยก่อนคนเราอยู่ในศีลกินในธรรมจริง ๆ เขาอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา ตลอด ก็เกิดความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา เพราะคนสมัยก่อนสภาพจิตสงบกว่าเรามาก การปรุงแต่งที่จะเป็น รัก โลภ โกรธ หลง มีน้อย ในเมื่อตั้งใจบำเพ็ญกุศล สร้างความดีมากขึ้น ๆ ก็เกิดความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเอง ฉะนั้น..ที่เขาพูดมานั้นถูกแล้ว

แต่สมัยนี้คนเราไม่ค่อยมีอะไรที่จะยึดถือ โดยเฉพาะสัจจะหรือคุณความดีข้อใดข้อหนึ่ง ก็เลยทำให้ไม่ขลัง ไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนแต่ก่อน ถึงได้บอกว่า อย่าทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ด่าว่า ถ้าคนเป็นพ่อเป็นแม่ด่าว่า ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปตามนั้น คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องระมัดระวัง อย่าไปแช่งไปด่าลูกตัวเอง ก็แปลว่าบังคับให้ตัวเองต้องมีสติ

เถรี 20-11-2014 18:33

ถาม : ผมฟังปฏิปทาท่านผู้เฒ่า หลวงพ่อวัดท่าซุงไปเรียนวิชากับหลวงปู่เนียม แล้วทำไมเขาบอกว่า หลวงปู่เนียมมรณภาพก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุง ?
ตอบ : ใครบอกว่าปฏิปทาท่านผู้เฒ่าเป็นประวัติหลวงพ่อฤๅษี ? อย่ามั่วสิ..คือสมัยที่หลวงพ่อท่านเล่าเรื่องนี้ คนที่จ้องจับผิดท่านมีเยอะ ถ้าท่านเล่าเป็นประวัติตัวเอง เขาจะว่าท่านอวดอุตริมนุสสธรรม ท่านก็เลยเล่าประวัติหลวงปู่ปาน ประวัติหลวงปู่เล็ก ประวัติของท่านและเพื่อนอีก ๓ คน รวมเป็นเรื่องเดียวกัน คราวนี้หายโง่หรือยัง ? ว่าเป็นเพราะอะไรถึงไปเรียนกับหลวงพ่อเนียมทัน ที่ไปเรียนกับหลวงพ่อเนียมคือหลวงปู่ปาน แม้กระทั่งสมัยนี้ก็เถอะ อาตมาก็จะโดนข้อหาพวกนี้เข้าสักวัน

ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านต้องเล่าประวัติหลวงปู่ปาน หลวงพ่อเล็ก หรือว่าตัวท่านกับเพื่อน ๆ รวมกัน เพื่อถึงเวลาคนเขาไปว่าท่านอวดอุตริมนุสสธรรม ท่านจะได้บอกว่าไม่ใช่ประวัติของท่าน แต่ว่าลูกศิษย์จำนวนมากต่อมากด้วยกันไปเข้าใจว่า ท่านผู้เฒ่าคือหลวงพ่อวัดท่าซุงเท่านั้น

เถรี 20-11-2014 18:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาเห็นเด็กคิดอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรกคือเกิดมาทำไมวะ ? ทุกข์ฉิบหา..เลย อย่างที่สองก็ เฮ้อ..ต้องทนอีกนานเลย"

เถรี 20-11-2014 18:40

พระอาจารย์บอกกลุ่มโยมที่กำลังคุยอย่างออกรสว่า “พอเผลอสติก็จะคุยเสียงดังกัน แปลว่าขาดสติอยู่เรื่อย แสดงว่าการปฏิบัติที่ทำมา ยังไม่สามารถที่จะใช้งานจริงได้สักคน..!”


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:45


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว