กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4305)

เถรี 10-01-2015 18:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่ผ่านการฝึกในรั้วในวังมา ไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจา อากัปกิริยาอะไร ล้วนแล้วแต่บอกถึงความเป็นผู้ดี อย่างที่เล่าว่าเคยเจอคุณยายคนหนึ่ง พูดจา "เจ้าคะ เจ้าขา" ตลอด พูดเป็นธรรมชาติมาก ๆ เลย ไม่ใช่ดัดจริตนะ พูดแบบธรรมชาติแบบเป็นตัวคุณยายเองเลย

คุณยายทำขนมขาย สมัยเป็นฆราวาสอาตมาก็ชอบซื้อ
ที่ซื้อนี่ไม่ได้อยากกินขนมหรอก..ชอบคุยกับยาย มารู้ทีหลังว่าแกเคยทำงานอยู่ในวัง พอแต่งงานแล้วก็ขอเกษียณตัวเองออกมา ถูกฝึกเสียจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว

อย่างหลวงปู่สายก็เหมือนกัน หลวงปู่สายท่านเกิดในวังบ้านดอกไม้ของเสด็จในกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เพราะว่าโยมแม่เป็นนางกำนัลอยู่ในวัง หลวงปู่สายก็ได้รับการอบรมมา การทำงานทุกอย่างของท่านจะเรียบร้อยมาก ขนาดเงินโยมถวายสังฆทานมา หลวงปู่นั่งนับจับธนบัตรรีดทุกใบเลย ใบไหนมีมุมพับหลวงปู่รีดตรงหมด ไม่มีให้พับแม้แต่ใบเดียว ผู้ชายโบราณถ้าผ่านการฝึกมาลักษณะนั้นจะเรียบร้อยมาก

แม้กระทั่งหลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ดูรูปท่านนั่งพับเพียบสิ ผู้หญิงยังนั่งไม่ได้เลย นั่งพับเพียบเรียบร้อยมาก ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้ชาย ท่านเป็นมหาดเล็กในพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ ๖ ตอนที่ท่านนั่งชุนสนับเพลาถวายรัชกาลที่ ๖ ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มีนิสัยชอบกวนผู้ใหญ่ ก็เข้าไปถามว่า “เจ้าคุณนั่งเย็บกางเกงอยู่หรือ ?” ท่านบอกว่า “นี่สนับเพลาในหลวง เอ็งกราบเสียดี ๆ” เจอแบบนี้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เลยต้องกราบ

ตอนแรกท่านอาจารย์คึกฤทธิ์คิดว่าเป็นกางเกงของหลวงปู่ ท่านชุนไปก็บ่นไป “ดู..ใครขออะไรก็ให้เขาหมด ทีตัวเองสนับเพลาต้องปะแล้วปะอีก” เวลาในหลวงพระราชทานบ้านให้หลวงปู่เจ้าคุณนรฯ ท่านจึงไม่รับ เพราะสงสารในหลวง ให้เขาจนหมด จนตัวเองไม่มีอะไร ขนาดกางเกงยังต้องปะแล้วปะอีก"

เถรี 10-01-2015 18:59

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้หลวงตาชลอเป็นพระครูสาครสิทธิวิมล เทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก ถือว่าเป็นพี่น้องออกจากวัดท่าซุงที่ได้ช้าไปหน่อย ทั้ง ๆ ที่ผลงานเยอะมาก เพราะว่าต้องรอจนกระทั่งวัดได้รับการตั้งเป็นวัดอย่างเป็นทางการ ส่วนตุ๊ป้อสิงห์ชีวิตนี้คงไม่ทัน เพราะวัดท่านยังอยู่ลักษณะสำนักสงฆ์อยู่เลย ต้องเป็นวัดมาตรฐานที่สำนักพุทธฯ รับรอง เป็นที่น่าเสียดาย ท่านก็ทำงานไว้เยอะ แต่ถ้าไปนึกถึงหลวงปู่หลวงพ่อสมัยเก่า ๆ ลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง อย่างหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ไม่เห็นท่านจะเป็นอะไรเลย เพราะท่านไม่เอา"

ถาม : หลวงตาก็เล่าให้ฟังว่าไม่ได้อยากจะได้ตำแหน่งจากเจ้าคณะจังหวัด ?
ตอบ : เรื่องของการคณะสงฆ์ พอถึงเวลาถ้ามาถึงตัว ต่อให้ไม่คิดก็ต้องทำ เพราะไม่อย่างนั้นการบริหารงานคณะสงฆ์ก็ไปไม่ได้ ผู้บังคับบัญชาต้องเล็งว่าใครสามารถช่วยงานได้ จึงแต่งตั้งคนนั้น

ถาม : มีประโยชน์ในการดูแลปกครองสงฆ์อย่างถูกต้องด้วย ?
ตอบ : นั่นก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า ในสายตาของคนจำนวนหนึ่ง เขาดูเรื่องยศเรื่องตำแหน่ง ในเมื่อเขาดูเรื่องยศเรื่องตำแหน่ง ก็เลยกลายเป็นว่าอย่างน้อย ๆ ก็ควรมีไว้ให้เขาเห็น อาตมาถึงได้ให้นโยบายบรรดาลูกศิษย์ไว้ว่า "ถ้าหากว่าได้มาก็รับไว้ ถ้าไม่ได้มาก็ไม่ต้องไปดิ้นรนไขว่คว้า"

เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ อาตมาพาท่านตั้มไปรับฐานานุกรมพระปลัด ของท่านเจ้าคุณพระวิสุทธิพงศ์เมธี พระผู้ใหญ่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรู้กันหมดว่า อาจารย์เล็กขอทีไรไม่เคยให้ตัวเอง ขอให้ลูกน้องหมด เดือนกุมภาพันธ์ก็ขอให้ท่านกอล์ฟอีก ๑ ตำแหน่ง ไปไถเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิรูปใหม่เอาไว้แล้ว

เถรี 10-01-2015 19:12

พระอาจารย์เล่าว่า "ถ้าหิมะตกที่ทองผาภูมิจะต้องลงที่ยอดเขาช้างเผือกก่อน เขาช้างเผือกสูงจากระดับน้ำทะเล ๑,๒๐๐ กว่าเมตร ส่วนทองผาภูมิสูง ๖๐๐ กว่าเมตรแล้ว ก็แปลว่าเขาช้างเผือกอุณหภูมิอย่างน้อยก็ต้องต่ำกว่าข้างล่าง ๒ องศาเซลเซียส

เหมือนอย่างที่เกาะพระฤๅษี อุณหภูมิต่ำกว่าข้างนอก ๔ องศาเซลเซียส ที่เกาะพระฤๅษีหนาวมากเพราะทองคำเยอะ เทวดาเอาไปยัดไว้ใต้โบสถ์เยอะเลย พวกแร่โลหะดูดความร้อนเร็ว คายความร้อนเร็ว คนไปอยู่ที่เกาะนี่บ่นทุกรายเลย ทำไมหนาวขนาดนั้น นอนกันอยู่บนกองเงินกองทองยังไม่รู้ตัวอีก..!"

เถรี 10-01-2015 20:13

พระอาจารย์เล่าว่า "คุณนิรัตน์ เลาหสุรโยธิน ก่อนนั้นเป็นผู้รับเหมาทำงานอยู่ที่วัดท่าซุง ทำสมเด็จคำข้าวสมเด็จหางหมากถวายหลวงพ่อเสร็จก็ไป เป็นคนแรก ๆ เลยที่ช่วยออกความเห็นเกี่ยวกับการสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อ ให้อยู่ในลักษณะที่ลูกหลานต้องการ ได้ยินว่าแกไปเปิดร้านแดรี่ฮัทอยู่ริมถนนพหลโยธินแถว ๆ อ่างทอง แต่ก็ไม่เคยไปแวะไปกินสักที รู้จักกันมา ๓๐-๔๐ ปีแล้ว นั่นเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุง อยู่ด้วยกันตั้งแต่สมัยอาตมายังไม่ได้บวช

ลูกศิษย์เก่า ๆ บางทีมาเจอกันจะมีวีรกรรมอะไรคุยกันเยอะ วันที่ ๓๑ ส่งท้ายปีเก่า คุณยายทองชุบพาหลานไป ๗-๘ คน เขาบอกว่า “๓๐ ปีพอดี เจอท่านครั้งสุดท้ายตอนพระองค์ที่ ๑๐” ก็เลยบอกยายว่า หลังจากนั้นอาตมาก็บวช คุณยายเขาใช้คำพูดว่า “ท่านดูไม่แปลกตาเลย” แสดงว่า ๓๐ ปีผ่านไปยังเหมือนเดิม ยกเว้นว่าได้แว่นมาอันหนึ่ง

อาตมามักจะเสียเปรียบบรรดาญาติโยมเพื่อนฝูงเสมอ เพราะว่าเป็นนักเรียนก็ผมสั้น เป็นทหารก็ผมสั้น เป็นพระก็ผมสั้น เขาเห็นปุ๊บก็จำได้ ด้วยความที่ยังอ้วนไม่ขึ้น ก็เลยทำให้เขาจำง่าย พออ้วนขึ้นมักจะจำกันไม่ค่อยได้ ต้องร้องเพลง "ต้องมีสักวัน ต้องมีสักวัน" เดี๋ยวต้องอ้วนจนได้แหละ

ไปนั่งปรกที่สำนักสงฆ์เจโตวิมุตติ พระครูยุคลธรณ์ ท่านอ้วนได้ขนาดนั้น แล้วคิดดู..ท่านอายุประมาณ ๓๐ กว่าอายุจะมาถึงอาตมาก็ยังอ้วนได้อีกเยอะ ของอาตมานี่หุ่นไม่น่าเชื่อถือ ถ้าจะอ้วนต้องอ้วนอยู่ตัวแบบหลวงพ่อวิชัย วัดถ้ำผาจม ไม่ขยับเลย อยู่ประมาณนั้น แต่ตอนหนุ่ม ๆ ท่านผอมนะ แต่พอท่านอ้วนแล้วอยู่ตัว ก็ประมาณนั้นมาตลอด

หลวงพ่อวิชัยนี่พอหลวงพ่อวัดท่าซุงสิ้นท่านมาถึงวัดเลย ถามว่าทำไมมาเร็ว ? ท่านบอกว่า หลวงพ่อไปหาเมื่อคืน บอกว่าจะไปแล้ว เลยรีบมา ปรากฏว่าไปจริง ๆ ด้วย จากเชียงรายวิ่งถึงอุทัยธานีเลย ทันรับศพพอดี"


ถาม : เคยไปกราบท่าน ท่านก็สอนไปตามสายของท่าน สักพักหนึ่งท่านมองหน้าแล้วเอ่ยถึงหลวงพ่อฤๅษี ?
ตอบ : พวกเราไปไหนนี่ครูบาอาจารย์ท่านมักจะไปด้วย คนที่รู้ก็ต้องเอ่ยถึง

เถรี 10-01-2015 20:19

ถาม : ตอนนี้เครียดหลายอย่าง ?
ตอบ : อย่าแบกมาก แบกมากแล้วเครียด บางทีคนอื่นก็เอาความเครียดมาแบ่งให้อาตมา ถึงได้บอกกับพระที่วัดท่านว่า คุณรู้ไหม..ผมบวชมาจนป่านนี้ ผมกลับบ้านครั้งเดียว ประมาณ ๑๕ นาทีเท่านั้น แล้วผมไม่เคยไปบ้านอีกเลย เพราะว่าไปทีไรจะมีคนเอาเรื่องมาให้ แล้วเราก็จะเครียดไปด้วย พอเครียดไปเครียดมา เดี๋ยวแบกมาเป็นงานของเราก็อยู่ไม่ได้ ต้องสึกอีก เตือนพระท่านให้รู้ เพราะท่านกลับบ้านไปแล้ว พอกลับวัดมาก็มานั่งเครียด ทางบ้านมักจะเอาปัญหามาหมกให้

เถรี 10-01-2015 20:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้หล่อพระ ๒ องค์ ก็คือหล่อสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๔ ศอกในศาลา เสร็จแล้วก็หล่อถวายสมเด็จพระเทพฯ เป็นสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๙.๙ นิ้ว ด้วยเนื้อเงินทั้งองค์ ก็เท่ากับได้ฉลองอายุ ๕๖ หล่อพระสำคัญ ๒ องค์

เป็นเรื่องอัศจรรย์ คนออกแบบที่ประดิษฐานพระองค์นี้โดยไม่ได้สั่ง เขาออกเผื่อเอาไว้ ก็เลยว่าจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมถวายสมเด็จพระเทพฯ เพราะว่าที่มีอยู่ก็คือที่ประดิษฐานพระทองคำที่จะสร้าง แล้วก็พระที่ในหลวงรัชกาลที่ ๗ พระราชทานมา ๒ องค์ และหลวงพ่อพระแก้วน้อยกับหลวงพ่อนาก เขาเพิ่มมาให้อีกที่หนึ่งพอดีลงได้เลย"

เถรี 10-01-2015 20:29

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้เป็นปีของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี คาดว่าคงจะมีพระราชกรณียกิจแล้วก็รูปเก่า ๆ ออกมาเยอะ เก็บ ๆ เอาไว้หน่อยนะจ๊ะ

ตอนนี้พระองค์ท่านทำตัวเป็น "ป้า" เต็มที่เลย ไม่เสริม ไม่แต่ง อะไรกับใครทั้งนั้น ไปไหนยินดีเป็นคุณป้าเลย ใครเรียกป้าจะยิ้มชอบใจ ต้องบอกว่าคน ๆ หนึ่งเสียสละเพื่อส่วนรวมได้ขนาดนั้น ในหลวงท่านทำเป็นตัวอย่างก็จริง แต่ถ้าลูกไม่เอาก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่พระองค์ท่านเอา เท่ากับแบกภาระของคนทั้งชาติ"

เถรี 11-01-2015 10:01

พระอาจารย์พูดถึงพระปิดตาเนื้อนวโลหะรุ่นแรก "ต่อให้สร้างพระปิดตาอีกกี่รุ่น อาตมาก็ไม่บ้าขนาดนั้นแล้ว เขาต้องการให้ใส่ทองแค่ ๙ บาท อาตมาใส่ไป ๑๐๐ บาท..! องค์ที่หัวช่อบางองค์นี่สีทองชัด ๆ เลย"

เถรี 11-01-2015 10:01

พระอาจารย์กล่าวว่า “หลวงพี่นิลท่านทำงานทุกอย่างประณีตมาก ทำแล้วเหมือนกับจะทำครั้งเดียวในชีวิต”

เถรี 11-01-2015 10:04

พระอาจารย์กล่าวว่า “งานสวดพระคาถาเงินล้านเมื่อวาน อาตมาไม่ได้ลงไปดูข้างล่าง เห็นว่าแม้กระทั่งห้องน้ำเขายังนั่งกันเลย มาได้เยอะกว่าที่คิด ต้องบอกว่าเยอะกว่างานทำบุญบ้าน งานทำบุญบ้านนี่พวกโรงทานมาก กินที่ไปเยอะ

ทางคุณชยาคมน์เห็นคนมาขนาดนั้นก็คงหายเหนื่อยไปเองแหละ สงสารแต่พวกสาว ๆ ชุดไทย เข้าชุดตั้งแต่กี่โมงก็ไม่รู้ ? แล้วชุดอย่างนั้นก็ไม่รู้จะเข้าห้องน้ำได้หรือเปล่า ? เข้าไม่ได้ใช่ไหม ? ต้องอั้นเอา ฉะนั้น..อย่าให้อาตมาต้องใส่แบบนั้นเลย เพราะต้องเข้าห้องน้ำบ่อย

เวลาแต่งชุดไทยแล้วก็ดูเรียบร้อยดี ชุดไทยมีไทยจักรี ไทยเรือนต้น ไทยบรมพิมาน ไทยจักรพรรดิ ลองไปหาในกูเกิ้ลดู ถ้าเป็นโบราณเขาเน้นสีตัดกัน นุ่งสีไหนห่มสีไหน อย่างเช่นว่านุ่งตองห่มจำปา ตัดกันให้ยุ่งไปหมด”

เถรี 11-01-2015 12:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในกระทู้บูชาวัตถุมงคลเพื่อร่วมหล่อพระพุทธรูปทองคำ ฉลอง ๖๐ ปีพระครูวิลาศกาญจนธรรม มีของที่คนมองข้าม อย่างหลวงพ่อวัดไร่ขิงลอยองค์ เขารู้หรือเปล่าว่าอาตมาเอาเข้ากรรมฐานนั่งเสกไปตั้ง ๑๐ วัน ? ปกติเคยเสกวัตถุมงคลไม่เกินชั่วโมงเท่านั้น"

เถรี 11-01-2015 12:47

พระอาจารย์กล่าวว่า “อาตมามีเวลาอีก ๓ เดือนจะต้องจบปริญญาเอก แต่ขอโทษเถอะ..ไม่มีเวลาแก้วิทยานิพนธ์เลย อาจารย์ท่านให้เพิ่มโน่นเพิ่มนี่ไปเรื่อย ขอสอบตั้งแต่ปลายปีที่แล้วก็ไม่ยอมให้สอบ บอกว่าเรียนยังไม่ครบ ๓ ปีจะรีบสอบไปไหน รุ่นพี่เพิ่งจบแค่คนเดียวเอง ตอนนี้คงเห็นว่าเข็นรุ่นพี่ไม่ไปแล้ว จะเอารุ่นน้องมาแซงหน้ารุ่นพี่ ให้รุ่นพี่ไล่ตามดูบ้าง

วิชาโลกเรียนเท่าไรก็ไม่จบ เรียนแล้วกว้างออกทะเลไปเรื่อย จบปริญญาเอกมาก็รู้แค่เรื่องเดียว เพราะปริญญาเอกเน้นเฉพาะสาขาวิชา รู้เรื่องเดียว เรื่องอื่นก็ไม่ได้รู้อะไรสักหน่อย ถ้าถามเรื่องที่ตรงสาขาวิชาแล้วแค่สามารถอธิบายได้มากกว่าคนอื่นเท่านั้น สรุปแล้วสู้วิชาพระพุทธเจ้าไม่ได้สักอย่าง

จริง ๆ แล้วถ้านับวิชาพระพุทธเจ้านี่ พวกโยคีที่อินเดียควรได้ปริญญาเอกกันทุกคน น่าจะเป็นพวกพาราไซโคโลจี หรือพวกปรจิตวิทยา “ปร” แปลว่าอื่น “อปร” แปลว่า อื่นอีก ท่องบาลีกันสนุกสนาน “ปรโลก” คือ โลกอื่น “ปรภพ” คือ ภพอื่น”

เถรี 11-01-2015 13:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "อากาศที่ทองผาภูมิช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาทำเอาประสาทกิน วันนี้ ๑๔ องศาเซลเซียส พรุ่งนี้ ๒๐ องศาเซลเซียส วันมะรืน ๑๘ องศาเซลเซียส เล่นเอาอาตมาไข้จับตลอดทั้งอาทิตย์เลย

ที่ทองผาภูมิว่าเย็นแล้ว ที่เกาะพระฤๅษีจะเย็นกว่า ๔ องศาเสมอ ถ้าที่ทองผาภูมิ ๑๔ องศา เกาะพระฤๅษีจะเหลือแค่ ๑๐ สาเหตุที่เย็นจัดเพราะว่าเทวดาเขาเอาทองคำยัดไว้ใต้โบสถ์หลายตัน พวกแร่โลหะดูดความเย็นเร็ว ประเภทรวมตัวกันมาก ๆ เวลาร้อนดูดความร้อนเร็วก็ร้อนจัด เวลาเย็นคายความร้อนเร็วก็เย็นจัด ใครอยากได้ไปขุดเอาเองนะ แล้วมาแบ่งกันบ้าง

วันนั้นกำลังทำวัตรกันอยู่ มีพระ ๔-๕ รูป เสียงครืน ๆ โบสถ์ไหวทั้งหลังเลย อาตมาก็สงสัยว่าอะไร กำหนดใจดูเห็นเทวดา ๘ องค์ยืนล้อมโบสถ์อยู่ ถามว่ามาทำอะไร ? “เอาของมาฝากครับ” ๘ องค์ขนมาฝากไว้บาน เลยถามว่า “ฝากแล้วว่างงานใช่ไหม ? ช่วยหาสตางค์ให้ด้วย” แค่คิดค่าฝากเท่านั้น ทำหน้าแหะ ๆ กันทุกองค์

ทองพวกนี้ประเภทปีนี้อยู่นี่ ปีหน้าไม่รู้อยู่ที่ไหน เจ้าของเขาย้ายไปเรื่อย ถ้าที่ไหนปลอดภัยก็อยู่นานหน่อย ที่ย้ายเข้าวัดเพราะว่าพระดูแลอยู่ ชาวบ้านเขาไม่ไปยุ่งไปขุดในวัดอยู่แล้ว"


ถาม : ทองพวกนี้เป็นสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะว่าไปแล้วก็ใช่ทั้งนั้นแหละ ถือว่าเป็นทรัพย์แผ่นดิน ทรัพย์แผ่นดินนี่ถ้าสมัยไหนมีพระเจ้าจักรพรรดิ ก็เอาขึ้นมาใช้กันครึกครื้นไปเลย

ถาม : ของกลางหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ทรัพย์แผ่นดินเป็นของกลาง สำหรับผู้มีบุญ

เถรี 11-01-2015 14:02

ถาม : ผมเบื่อ ๆ เมื่อไรจะไปสักที พิจารณามาตั้งแต่ตอนบวช ตอนนี้ไม่เห็นเข้าใจเหมือนเดิมเลย ?
ตอบ : แสดงว่ารักษาเอาไว้ไม่ได้ ความเบื่อเป็นของดี แต่ต้องรักษาให้เป็น ก้าวพ้นไปได้ก็สบาย ถอยหลังลงมาก็เป็นหมาเหมือนเดิม นิพพิทาญาณไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นง่าย เกิดขึ้นแล้วส่วนใหญ่คนจะเบื่อสุด ๆ แล้วก็ผลักไสไปเรื่อย ความจริงแล้วต้องรักษาเอาไว้

รักษาอารมณ์ให้คงตัวเอาไว้ ถ้ามีโอกาสสัก ๓ วัน ๗ วัน พิจารณาไปเรื่อยว่า “ถึงเบื่ออย่างไรเราก็ยังมีชีวิตอยู่ ในเมื่อชีวิตนี้ถ้าตายลงไปแล้วเราไปพระนิพพาน ก็เป็นการตัดชาติตัดภพทั้งหมด ถ้านับการเวียนว่ายตายเกิดที่นับกัปไม่ถ้วน กับการดำรงชีวิตอยู่ไม่ถึงร้อยปีแล้วตาย ก็แค่ชั่วแวบเดียวเท่านั้น ทำไมเราจะอยู่ไม่ได้” สภาพจิตจะก้าวข้ามไป กลายเป็นสังขารุเปกขาญาณ จะเห็นว่าธรรมดา ช่างมัน ธรรมดาเป็นอย่างนั้น เห็นเด็กซนก็ธรรมดาเพราะเด็กต้องซน เห็นผู้ใหญ่ทะเลาะเบาะแว้งกันก็ธรรมดา คนไม่มีปัญญา ไม่รู้โทษก็เป็นอย่างนั้นแหละ พอปล่อยได้ เห็นอะไรเป็นธรรมดาหมดก็อยู่ได้อย่างสบาย กลายเป็นมีความสุข แต่ตอนแรกเบื่อจนอยากจะมุดดินหนี

นิพพิทาของอาตมาดันไปขึ้นกลางห้างพอดี ...(หัวเราะ)... กำลังเดินหอบของตามสาวอยู่ พาสาวไปช็อบปิ้ง เขามีหน้าที่ซื้อของ อาตมามีหน้าที่หอบของ ถุงหนึ่งก็แล้ว สองถุง สามถุง สี่ถุง แทบจะต้องเอาปากคาบยังไม่หยุดซื้ออีก อยู่ ๆ เกิดคำถามกับตัวเองว่า “นี่เอ็งกำลังทำอะไรอยู่ ? ทำไมเหลวไหลไร้สาระอย่างนี้” ความเบื่อพุ่งขึ้นสุดขีดเลยตอนนั้น ถ้าเป็นไปได้ก็คือดำดินหนีไปเลย คราวนี้ผู้หญิงเขาความรู้สึกไว หันขวับมาถามว่าเป็นอะไร ? “เป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้เบื่อหน้าเธอฉิบหา..เลย” เขาก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นก็กลับ

กลับไปอาตมาก็ “โหย..ทำไมเบื่ออย่างนี้” อยากจะหนีเข้าป่าไปเดี๋ยวนั้นเลย พยายามพิจารณาว่าจริง ๆ แล้ว อารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ที่เราต้องการ แล้วเราจะไปผลักไสไล่ส่งได้อย่างไร ก็พยายามประคับประคองไว้ไปเรื่อย ท้ายสุดก็มาสรุปลงตรงที่ว่า “ถ้าเอ็งยังเกิดอยู่ชีวิตก็น่าเบื่อหน่ายอย่างนี้แหละ แต่ถ้าเราตายไปพระนิพพานได้ ชาตินี้ดำรงชีวิตอยู่อย่างไรก็ไม่เกิน ๑๒๐ ปี เปรียบกับการเวียนว่ายตายเกิดนับกัปไม่ถ้วน ก็แค่แวบเดียวเท่านั้นเอง เหมือนอย่างกับหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้น ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้” พอคิดมาถึงตรงนี้สภาพจิตก็ปลดออกหมด เห็นอะไรเป็นธรรมดาหมด

ปกติจะเป็นคนเบื่ออะไรที่ได้มามาก ๆ เบื่อชนิดประกาศเลยว่า ถ้าเกิดใหม่นี่จะไม่ทำบุญอีกแล้ว ...(หัวเราะ)... เพราะทำแล้วได้เยอะ ในเมื่อเห็นธรรมดาก็ทน ๆ นั่งไป เป็นเนื้อนาบุญให้เขาหน่อย แปลงจากโลกียทรัพย์เป็นโลกุตรทรัพย์ เป็นอริยทรัพย์ให้กับเขาไป อาตมาเองเดี๋ยวก็หาทางไปให้คนอื่นเขาต่อ วัดอื่นมีที่เขาต้องการอีกตั้งเยอะตั้งแยะ

เถรี 12-01-2015 11:31

พระอาจารย์กล่าวถึงมีดหมอในหนังสือวัตถุมงคลว่า "ทำไมของเขาถึงได้ซกมกขนาดนั้น ยังสงสัยว่าชักออกจากฝักไหวหรือเปล่า ? ดูความต่างสิ..ทำไมคนอื่นเขาไม่ดูแลรักษากัน หรือว่าดูแลรักษากันไม่เป็น ?"

ถาม : บางทียังสงสัยว่าเป็นที่เหล็กต่างกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เหล็กชนิดเดียวกันนั่นแหละ เพียงแต่ต้องหมั่นเช็ดหมั่นถูไว้ โดยเฉพาะใครที่ได้มีดหมอเพชราวุธเนื้อนวโลหะไป ถ้าไม่เช็ดแค่ไม่กี่วันก็ดำปี๋แล้ว เพราะว่านวโลหะมีส่วนผสมของเงินมาก ออกไซด์ของเงินจะจับใบมีดทำให้ดำอยู่เรื่อย ต้องหมั่นเช็ดหมั่นถูทุกวัน แค่เอาผ้าแห้งเช็ด ๆ ถู ๆ เท่านั้นเอง ถ้าขึ้นมาก ๆ ก็ลงบรัสโซ ไม่กี่ทีก็เงาวับแล้ว แต่ถ้าลงบรัสโซบ่อย ๆ ก็ใบมีดบางหมด

เถรี 12-01-2015 12:36

ขณะที่พระอาจารย์กำลังเช็ดน้ำมันมีดบ้านจ่าตุ่มอยู่ ท่านก็ชักออกจากฝักแล้วเฉือนแขนของท่านเองให้ดู “ต้องเชื่อมั่นนะ ถ้าไม่เชื่อมั่นก็แหว่ง คุณเชื่อแล้วหรือยัง ? ถ้าเชื่อมั่น..ที่ไม่เหนียวก็พลอยเหนียวไปด้วย

ความจริงพวกคาถามหาอุตม์คงกระพันพวกนี้ จะเอาบทไหนก็ได้ สำคัญที่ว่ากำลังใจของเราเชื่อมั่นหรือเปล่า ? ต่อให้คาถาผิดก็เถอะ ถ้าเรามั่นใจว่าใช้ได้ก็ใช้ได้ อย่างคาถาของหลวงปู่ศุขที่ว่า "เฑาะว์รันตันโต สีละสมาธิฯ " สมัยนี้เขียนผิดกันทั้งนั้นแหละ มั่วไปหมด จาก “เฑาะว์” กลายเป็น "ท้อ" ไปบ้าง แต่ท้ออย่างไรก็ใช้ได้..ถ้ามั่นใจ”

เถรี 12-01-2015 12:37

พระอาจารย์กล่าวว่า “พวกคาถามหาอุตม์เขาต้องการแค่อุปจารสมาธิต้น ๆ เท่านั้นเอง แต่สำคัญตรงที่ว่าต้องรักษาระดับเอาไว้ให้ได้ อย่าถอย..เห็นของมีคมแล้วอย่าใจหายแวบ ถ้าใจหายแวบก็เสร็จ”

เถรี 12-01-2015 12:46

พระอาจารย์กล่าวว่า “เป็นอาจารย์เล็กนี่น่าสงสาร รับเงินทีละเยอะ ๆ แต่ตัวเองไม่ค่อยจะมีใช้หรอก แบบเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุง วันหนึ่งอยู่ ๆ ท่านก็นั่งหัวเราะ กราบเรียนถามท่านว่าอะไรครับ ? ท่านบอกว่า “เอ็งดูสิ..ข้าสร้างวัดจนใหญ่ปานนี้ ก็มีที่นั่งแค่นี้แหละ” ท่านคงนึกขำ ๆ เหมือนกัน สร้างไว้ใหญ่โตขนาดนั้น ที่มีนั่งแค่หน่อยเดียวเอง”

เถรี 12-01-2015 12:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครมีธนบัตรใบละ ๕๐ บาท ที่เป็นรุ่นกาญจนาภิเษกให้เก็บ ๆ ไว้บ้างเพราะว่าเขาเลิกผลิตไปแล้ว และใบละร้อยบาท เคยสังเกตกันหรือเปล่าว่าปกติจะเป็นรูปในหลวงรัชกาลที่ ๕ แต่ว่ามีใบละร้อยรุ่นใหม่ที่เป็นรูปสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ตอน ๖๐ พรรษา ถ้าเคยเห็นก็เก็บไว้บ้าง แสดงว่าไม่ค่อยจะสังเกตกัน"

เถรี 12-01-2015 14:46

ถาม : มีหลายครั้งที่เห็นตามสภาพความเป็นจริง ?
ตอบ : จะค่อย ๆ เห็นลึกไปเรื่อย ๆ บางทีเราคิดว่าใช่แล้ว ที่ไหนได้..มีที่ใช่กว่านั้นอีก อย่าเพิ่งไปยึดมั่นถือมั่น

ถาม : เพราะ ?
ตอบ : เดี๋ยวจะกลายเป็นเอาแสงหิ่งห้อยไปประชันกับพระจันทร์วันเพ็ญ

เถรี 13-01-2015 15:26

พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า "ปีใหม่ขอให้แข็งแรงมาก ๆ นะจ๊ะโยม อาตมาเองไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนี้ก็เลยต้องการพลัง สุขังไม่ค่อยอยากได้หรอก อายุ วัณโณ สุขัง พลัง อายุบอกชัด ๆ แล้วว่าเป็นอายุ วรรณะไม่ใช่ผิวพรรณ วรรณะในที่นี้คือชาติตระกูล สุขะ คือ ความสุข พละ คือ กำลัง

ถ้าไม่มีกำลังก็ไม่มีความสุข ทำอะไรไม่ได้หรอก ต้องมีกำลังด้วย มีความสุขด้วย ส่วนใหญ่เขาไปแปลวรรณะว่าผิวพรรณ ไม่ใช่หรอก ผิวพรรณช่วยให้ชีวิตดีขึ้นไม่ได้หรอก ยกเว้นว่าจะไปประกวดนางงามผิวเนียน"

เถรี 13-01-2015 15:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาบวชวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ พอวัน ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ ก็ต้องลงฟังปาฏิโมกข์ ก็แปลว่าบวชแค่ ๗ วันก็ลงปาฏิโมกข์แล้ว ปรากฏว่าตอนนั้นหลวงตาวัชรชัยเป็นองค์แสดงพระปาฏิโมกข์ อาตมาเห็นการสวดที่ไม่ได้หายใจหายคอครึ่งชั่วโมงติดต่อกัน..เหนื่อยมาก เห็นแล้วปฏิญาณตนเลย ชีวิตนี้จะไม่สวดปาฏิโมกข์เด็ดขาด

อาตมาเป็นคนความจำดี ฟังอะไรไม่กี่เที่ยวก็จำได้หมด ทุกวันนี้เวลาลูกศิษย์สวดปาฏิโมกข์ติดขัด สามารถทักท้วงเขาได้ อย่างที่ทิดเฟิร์สเขาบอกว่า "หลวงพ่อท้วงไม่เห็นต้องเปิดตำราเลย" ก็จำได้..ต้องไปเปิดตำราทำไม ? แต่ให้สวดปาฏิโมกข์ ไม่เอา...เหนื่อย

รุ่นอาตมาท่องปาฏิโมกข์ภาษาไทย ๒ คน แข่งกับหลวงพี่สมาน หลวงพี่สมานเป็นรุ่นพี่อยู่ ๓ พรรษา ท่านบวชปี ๒๕๒๖ อาตมาบวชปี ๒๕๒๙ ท่องปาฏิโมกข์ภาษาไทยแข่งกัน ท่องนวโกวาททั้งเล่ม จะขึ้นด้วยอนุศาสตร์ ๘ นิสสัย ๔ อกรณียกิจ ๔ นิสสัยปัจจัยซึ่งเป็นเครื่องอาศัยของบรรพชิต มี ๔ อย่างคือ เที่ยวบิณฑบาต นุ่งห่มผ้าบังสุกุล อยู่โคนไม้ ฉันยาดองด้วยน้ำมูตรเน่า อกรณียกิจ ๔ กิจที่ภิกษุทำไม่ได้ ๔ อย่าง ได้แก่เสพเมถุน ลักของเขา พูดอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน และฆ่ามนุษย์ให้ตาย ฯลฯ ท่องกันจนจำได้ทั้งเล่ม"

เถรี 13-01-2015 15:40

ถาม : หนูนั่งสมาธิวันละสามเวลา ....(ไม่ชัด)....?
ตอบ : เอาใจจดจ่ออยู่กับคาถา อย่างชนิดที่ตั้งใจว่า เราจะต้องรู้ทุกคำ ไม่ใช่สักแต่ว่าท่องให้คล่อง ๆ ปากไป ถ้าท่องให้คล่อง ๆ ปากไป สมาธิไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็เลยไม่นิ่ง หรือไม่ก็ใช้วิธีภาวนาโดยเอาตัวคาถาเป็นบทภาวนา เช่น ขึ้นต้นด้วย สัมปะจิตฉามิ พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะลายันติ..ฯลฯ ใช้เป็นคำภาวนาไปเลย

ถาม : ตามดูลมหายใจเข้าออกไปด้วย ?
ตอบ : จ้ะ...ต้องตามดูลมหายใจเข้าออกไปด้วย ไม่อย่างนั้นสมาธิจะไม่ทรงตัว

เถรี 13-01-2015 15:49

ถาม : เวลา.....เอาไปแทงหวย จะเป็นอะไรไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ อย่าไปแทงพุงใครก็พอ

ถาม : ถ้าเอาเงินนั้นไปทำบุญจะได้บุญไหมคะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ

ถาม : เงินที่ได้จากการพนันจะได้อานิสงส์เต็มไหมคะ ?
ตอบ : เงินจากส่วนนี้เป็นลาภจากการพนัน ถ้าจะเอาให้ได้อานิสงส์เต็มร้อยเหมือนน้ำพักน้ำแรงของเราก็ไม่ใช่ แต่ว่าได้บุญแน่จ้ะ ทำไปเถอะ

เถรี 13-01-2015 15:58

ถาม : เราสามารถไปเกิดเป็นมนุษย์ต่างดาวได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ..ถ้าอยากไปเกิดก็ตั้งใจทำบุญ แล้วก็อธิษฐานจะไปเกิดดาวไหนก็ตั้งใจไป เพียงแต่ว่าจะขาดทุนเสียกระมัง ? ทำความดีทั้งทีก็ไปสูง ๆ หน่อย ไปแค่ต่างดาวจะไปทำไม ?

ถาม : ไปได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไปได้จ้ะ ไปเกิดที่นั่นได้ เพียงแต่ว่าเป็นการเกิดที่อาตมาเห็นว่าขาดทุน

เถรี 13-01-2015 16:07

ถาม : เวลาที่หนูท้อง ต้องเอาเข็มกลัดติดชายเสื้อเอาไว้จริง ๆ หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นเคล็ดลับจ้ะ ถ้าหากว่าทำแล้วสบายใจก็ทำไปเถอะ แต่ใกล้คลอดต้องเอาออกนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะคลอดไม่ได้

เถรี 13-01-2015 16:10

ถาม : ถ้าเราฝันเห็นว่าคนที่รู้จักตาย ?
ตอบ : ก็ดูสิ ถ้าหากว่าเป็นญาติหรือใครที่เราสามารถพูดคุยบอกกล่าวได้ ก็เล่าให้เขาฟัง บอกให้ไปทำบุญเสียหน่อย ถ้าได้ทำบุญก็คงจะต่ออายุได้บ้างแหละจ้ะ ถ้าหากว่าไม่มีบุญต่อเลย ก็ไปไหนไม่รอดเหมือนกัน โดยเฉพาะในส่วนของการปล่อยชีวิตสัตว์ แจ้งเขาให้ทราบว่า เราฝันไม่ดีว่าคุณตาย เพราะฉะนั้น..ไปทำบุญเสียหน่อย

ถาม : คนที่ทำนายเขาบอกว่า ถ้าฝันว่าฟันหักแปลว่าญาติตาย ?
ตอบ : อันนี้แม่นเฉพาะบางคน จัดอยู่ในพวกกรรมนิมิต ก็คือความดีความชั่วที่ทำมาแสดงเหตุขึ้น พอถึงเวลาฝันว่าฟันหัก เราก็ระมัดระวังหน่อย สังเกตสักนิดหนึ่งว่าญาติผู้ใหญ่มีอันเป็นไปจริงหรือเปล่า ถ้าหากว่ามีก็จดจำเอาไว้ แต่ว่าไม่ต้องไปทุ่มเทใจเชื่อเสียทั้งหมด เพราะว่าอาจจะฝันเพราะคิดมาก เป็นความฟุ้งซ่านของเราก็ได้

เถรี 13-01-2015 16:11

ถาม : เวลาที่เราไปงานศพ เขาห้ามชมพวงหรีดว่าสวย ?
ตอบ : งานศพสมัยนี้ส่วนใหญ่อยู่ที่วัด..ก็ชมไปเถอะ ที่เขาห้ามชมเพราะอยู่ที่บ้าน ไปชมพวงหรีดว่าสวย กลัวว่าจะมีพวงหรีดมาอีก เพราะฉะนั้น..ถ้างานศพไม่ได้ตั้งที่บ้านก็ชมไปเถอะ ถ้าตั้งอยู่ที่วัดจะศพใครมาเพิ่มก็ปล่อยเขาไป

เถรี 13-01-2015 16:12

ถาม : ปีที่ผ่านมา มีเครื่องบินตก ?
ตอบ : ปล่อยให้เขาหากันเองจ้ะ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย

ถาม : คนที่เครื่องบินตก เพราะสร้างกรรมร่วมกันมาหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่สร้างกรรมร่วมกันมาถึงได้อยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน ต้องบอกว่าชุดนี้ทำกรรมมาหนัก ตายแล้วจะเก็บศพยังเก็บยากเก็บเย็น ทะเลมีแต่คลื่นกับลม แรงจนกระทั่งงมศพก็ยาก

เถรี 13-01-2015 20:06

เมื่อนำวัตถุมงคลของหลวงปู่จ้อย วัดศรีอุทุมพร ออกให้บูชา พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงหลวงปู่จ้อยท่านเก่งทางมีดหมอนะ ถือว่าเป็นเกจิอาจารย์รุ่นล่าสุดที่ดังทางด้านมีดหมอ ถ้าหลวงปู่จ้อยไม่มรณภาพไปก่อน หลวงพ่อสะอาด วัดเขาแก้ว ไม่ได้เกิดเรื่องมีดหมอหรอก ไปลงที่หลวงปู่จ้อยหมด"

เถรี 13-01-2015 20:16

ถาม : ที่เขาบอกว่า มีวิญญาณมาเฝ้าศพ ต้องรอให้คนไปขุดก่อนแล้วจึงไปเกิดได้ ?
ตอบ : บางศพมีความห่วงความกังวลบางอย่างอยู่ ก็เท่ากับผูกพันอยู่ตรงนั้น ไปไหนไม่ได้ ถ้าเขาหมดห่วงหมดกังวล เขาก็ไปเกิดได้ เป็นต้น

เรื่องนี้ขออนุญาตยกตัวอย่างครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง คือหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านเล่นแร่แปรธาตุ เอาโลหะมาผสมกันแล้วทำเป็นทองได้ ท่านทำทองคำได้ประมาณ ๒๕ บาท และท่านมีลูกอมวิเศษอยู่ลูกหนึ่ง ที่อมแล้วสามารถย่นระยะทาง เดินน้ำ ดำดินได้ ท่านก็ฝังอยู่ด้วยกัน คราวนี้ใจไปผูกอยู่หน่อยเดียว

หลวงปู่ศุขท่านเป็นพระทรงอภิญญา ปกติท่านจะต้องไปเกิดเป็นพรหม แต่ท่านไปไม่ได้ ก็เลยมาหาหลวงพ่อวัดท่าซุง มาบอกว่าช่วยไปขุดเอาลูกอมกับทองคำขึ้นมาทำประโยชน์ให้กับพระศาสนาหน่อย ท่านจะได้ไปเป็นพรหมเสียที ไม่อย่างนั้นก็ติดอยู่แค่เทวดา หลวงพ่อบอกว่า "หลวงปู่ยังติดอยู่แค่นั้น แล้วผมจะเอามาทำไม ? เดี๋ยวผมก็ติดไปด้วย" หลวงปู่ศุขท่านเลยเฉา ขอให้ช่วยแล้วไม่ช่วย

พอรุ่งขึ้นมาใหม่ คราวนี้หลวงปู่ศุขไปพาหลวงปู่ปานมาด้วย ให้ช่วยพูดกับลูกศิษย์ท่านหน่อย หลวงปู่ปานมาถึงก็ “เฮ้ย..ช่วยหลวงปู่ศุขเขาหน่อยสิ” หลวงพ่อท่านก็เลยต้องรับปาก แล้วก็บอกว่า "ให้ผมช่วย แล้วถ้าผมไปติดอยู่ตรงนั้นแทนจะทำอย่างไร ?" หลวงปู่ปานก็บอกว่า “เอ็งก็ตั้งใจสิว่า รับมาแล้วตั้งใจถวายเป็นของสงฆ์ในพระพุทธศาสนาไปเลย ไม่ต้องไปยุ่งไปเกี่ยวก็จบแล้ว” หลวงพ่อบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็ได้ ท่านจึงรับปากช่วย พอหลวงปู่ศุขจิตปลดจากตรงนั้น ว่าไม่มีของต้องห่วง ท่านก็ไปเป็นพรหม นี่เป็นตัวอย่างอย่างหนึ่งว่า ถ้าจิตมีกังวลอยู่ ก็ไม่สามารถที่จะไปได้อย่างที่ตัวเองต้องการ

เพราะฉะนั้น..ที่ว่าทำไมบางศพต้องรอให้คนไปขุดก่อน แล้วถึงจะไปเกิดได้ ก็เพราะว่าเขายังมีบางอย่างที่ห่วงกังวลอยู่ คือห่วงตามประสามนุษย์ ถ้าตัดความเป็นมนุษย์ได้ก็ไปนานแล้ว


ถาม : เขารอเป็นพันปีค่ะ ?
ตอบ : ๑,๐๐๐ ปีของเราเทียบเวลาเป็นนิดเดียวของเขานะ ถ้าเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ๑,๐๐๐ ปีของเราก็แค่ ๑๐ วันของเขา เวลาเดี๋ยวเดียวเท่านั้น

ถาม : แล้วคนที่มาขุดก็ต้องเกี่ยวเนื่องกันมา ?
ตอบ : ต้องมีกรรมบางอย่างเนื่องกันมา ถ้าไม่มีก็คงไม่ต้องถึงขนาดมาไล่ขุดศพให้เขาหรอก พูดถึงหลวงปู่ศุข อาตมาเพิ่งจะเจอกับท่านเมื่อวันเสกมีดหมอเพชราวุธนี่เอง

เถรี 13-01-2015 20:24

ถาม : เวลาเราสวดคาถาให้นึกถึงอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก่อน หลังจากนั้นก็นึกถึงพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้มา แล้วจะภาวนาอย่างไรก็ว่าไปให้เต็มที่ หลังจากนั้นก็อุทิศส่วนกุศลถวายท่านด้วย

ถาม : ที่บอกว่าให้ยกใจขึ้นไปกราบข้างบน ?
ตอบ : ก็ลักษณะเดียวกันจ้ะ นึกว่าเราไปอยู่ที่ตรงนั้น แล้วก็ตั้งใจกราบลงไป

ถาม : บางทียกใจมาก ๆ ก็ปวดหัว ?
ตอบ : อาจจะเผลอใช้สายตาไปเพ่ง คลายสมาธิออกมาหน่อยหนึ่ง เมื่อหายปวดหัวแล้วก็ยกใจไปใหม่

เถรี 13-01-2015 20:41

พระอาจารย์เล่าว่า "วันปลุกเสกมีดหมอเพชราวุธ อาตมาโดนหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านปลุกขึ้นมาตอนเที่ยงคืน ปกติเมื่ออาตมาได้มีดหมอมาก็ต้องเสกทุกวัน อย่างเช่นวันพฤหัสบดีก็เน้นคาถาพระเจ้า ๕ พระองค์ วันศุกร์เน้นเรื่องลาภ วันเสาร์เน้นเรื่องการป้องกัน ฯลฯ ปรากฏวันนั้นเป็นคืนวันอังคาร ท่านปลุกขึ้นมาเที่ยงคืน จัดพิธีกรรม จัดสถานที่ แล้วพระท่านก็เสด็จมา

พระท่านกำหนดครูบาอาจารย์มา ๖ รูปด้วยกัน มี ๑. หลวงปู่รุ่ง วัดหนองสีนวล ถ้าไม่รู้จักหลวงปู่รุ่งก็ให้รู้ว่า ท่านเป็นลูกพี่ลูกน้องของหลวงปู่เดิม วัดหนองโพ บวชก่อน ๑๑ พรรษา เรียนวิชาทำมีดหมอมาจากหลวงปู่เทศ วัดสระทะเลก่อน ส่วนหลวงปู่เดิมบวชทีหลัง ก็เรียนวิชาจากครูบาอาจารย์ท่านเดียวกัน เพราะฉะนั้น..มีดหมอสายหลวงปู่เดิม วัดหนองโพ จริง ๆ ก็คือสายหลวงปู่เทศ วัดสระทะเล ซึ่งถ้าหากว่าจำไม่ผิด หลวงปู่เทศ วัดสระทะเล เรียนไปจากหลวงปู่ขัน วัดเขาแก้ว แล้วที่ตลกที่สุดก็คือ ตอนหลังหลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว ต้องไปเรียนคืนมาจากหลวงปู่เดิม วัดหนองโพ วนเป็นงูกินหาง ก็เท่ากับว่าสองท่านนี้ก็เป็นสายของหลวงปู่ขัน วัดเขาแก้ว ๒. หลวงปู่เดิม วัดหนองโพ

๓. หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า แล้วก็มา ๔. หลวงปู่เก็บ วัดสวนลำใย อาตมาได้ยินชื่อท่านครั้งแรกจริง ๆ หลวงปู่เก็บท่านยืนยันว่า วัดของท่านต้องใช้สระใอ ไม้ม้วน ปรากฏว่า ๒ ท่านนี้ก็เป็นศิษย์เป็นอาจารย์กัน คือจากหลวงปู่ศุข ก็ถ่ายทอดวิชาต่อให้หลวงปู่เก็บ วัดสวนลำใย ๕. หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ๖. หลวงพ่อวัดท่าซุง นี่ก็เป็นศิษย์เป็นอาจารย์กัน รู้สึกว่าท่านจะกำหนดลักษณะเป็นสาย ๆ มา ก็เท่ากับว่ามีดหมอรุ่นนี้รวมครูบาอาจารย์ถึง ๓ สายด้วยกัน"

เถรี 13-01-2015 20:45

"ในจุดที่อาตมามึนมากก็คือ ครูบาอาจารย์ทั้ง ๖ ท่าน มีทั้งพระอรหันต์ มีทั้งพรหม มีทั้งเทวดาพระโพธิสัตว์ อาตมานั่งกุมขมับเลย ต้องบอกว่าของท่านประเภทครบถ้วนสมบูรณ์จริง ๆ จะเอาระดับพระอรหันต์ก็มีให้ ระดับพรหมก็มีให้ ระดับเทวดาก็มีให้ ทุกวันนี้มานึกภาพแล้วก็ขำ คนไม่เคยชินจะแยกออกไหมว่าแต่ละท่านเป็นอะไรกันบ้าง ? แล้วความสวยก็ค่อนข้างจะใกล้เคียงกันอยู่

แต่ละท่านก็มาแนะนำวิธีว่า ต้องวางกำลังใจอย่างไร ใช้คาถาบทไหนในการภาวนา แล้ววิธีใช้ตามสายครูบาอาจารย์เป็นอย่างไร บทนี้คาถาสับสนเกินไป ต้องปรับใหม่เรียงใหม่ให้ยุ่งไปหมด สรุปอย่างที่อาตมาลงไว้ในเว็บนั่นแหละ คราวนี้พอทำพิธีเสร็จ พระท่านก็สอนวิธีว่า ให้ทำกำลังใจลักษณะอย่างนี้ ก็คือกวาดกำลังใจไปยังวัตถุมงคลทั้งหมด ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำ เพราะว่ารออย่างเดียวว่าพระท่านจะสั่งทำอะไรบ้าง ส่วนใหญ่พอบารมีท่านคลุมลงมาครบ วัตถุมงคลสว่างครบถ้วนทุกชิ้นก็ถือว่าใช้ได้แล้ว

อันนี้ท่านสอนให้กวาดกำลังใจลงไปยังวัตถุมงคล ก็ทำตามที่ท่านว่า ไม่ได้คิดอะไร พอเสร็จพิธีกราบลาพระเสร็จลืมตาขึ้นมา ปรากฏว่ามีดหมอกระจัดกระจายหมดเลย ต้องมานั่งจัดใหม่เรียงใหม่ เพิ่งเข้าใจว่า อ๋อ...สมัยก่อนที่ครูบาอาจารย์บางท่านพุทธาภิเษกหรือปลุกเสกวัตถุมงคล แล้ววัตถุมงคลดิ้นได้ คือลักษณะอย่างนี้นี่เอง พอเวลาใช้กำลังใจกวาดไป วัตถุมงคลก็ดิ้นได้เลย แต่อาตมาไม่ได้เห็นตอนดิ้นหรอก เพราะตอนนั้นหลับหูหลับตาอยู่ไม่รับรู้ข้างนอก ก็คิดว่าเรากวาดกำลังใจไปตามปกติ ที่ไหนได้..มีดหมอหัวก่ายท้ายเกยเกลื่อนกลาดไปหมด ต้องมาจัดเรียงใหม่

เสียดายอาตมาเป็นคนโลว์เทค ไม่ใช่ไฮเทค ลืมไปว่ารู้อย่างนี้เราตั้งกล้องโทรศัพท์ถ่ายไว้ก็ดี มัวแต่รีบร้อนกลัวจะทำไม่ทันตามที่หลวงพ่อท่านสั่ง เสร็จพิธีลืมตาขึ้นมาเกือบ ๆ ตีหนึ่ง ๔๐ นาทีได้ แปลว่านานทีเดียว แล้วก็เลยนอนไม่หลับ เพราะทรงกำลังใจแน่นไปหน่อย ทำให้ตาค้าง มาง่วงเอาตอนกำลังจะทำงาน ไม่เป็นไร..เดี๋ยววันที่ ๒๔ นี้ท่านก็คงจะย้ำให้อีกทีหนึ่ง"

เถรี 14-01-2015 18:43

ถาม : เรื่องงาน ตอนนี้มีอยู่สองทางให้เลือกค่ะ ยังไม่แน่ใจว่าอันไหนจะมาก่อน ?
ตอบ : เอาเป็นว่าไปอธิษฐานกับพระว่า งานไหนที่เหมาะกับเราที่สุดให้มาก่อนก็แล้วกัน

เถรี 14-01-2015 18:46

ถาม : (เด็กถาม) ทำอย่างไรถึงจะคุยกับสัตว์ได้ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าใจนิ่งได้ ต่อไปก็จะเข้าใจไปเอง เพราะฉะนั้น..ที่สำคัญเลยคือทำอย่างไรให้ใจของเรานิ่งและไม่ฟุ้งซ่าน ถ้าใจนิ่งแล้วไม่ฟุ้งซ่าน คนกับสัตว์ก็ภาษาเดียวกัน คนเราคิดเป็นสัตว์ก็คิดเป็น พอถึงเวลากระแสความคิดตรงกันก็รู้เรื่องกัน เหมือนกับคุยกันได้

เถรี 14-01-2015 19:25

ถาม : ของที่ได้มาในระหว่างบวช ของนี้ถือว่าเป็นของส่วนตัวหรือของสงฆ์ครับ ?
ตอบ : ถ้าใช้เงินส่วนตัวซื้อของเพื่อสงฆ์ (เพื่อใช้ในการบวช) ก็เป็นของสงฆ์ไปแล้ว

ถาม : ถ้าของที่ได้มาในระหว่างบวช นำไปจำหน่ายหลังจากสึกไปแล้ว ?
ตอบ : ภิกษุห้ามซื้อขายด้วยรูปิยะ แปลว่าเดี้ยงตั้งแต่ก่อนสึกแล้ว..!

ถาม : มีเพื่อนที่รู้จักกันเขาเป็นพระครู เขาทำแบบนี้ครับ ?
ตอบ : ช่วยบอกเขาว่าขอให้เจริญ ๆ เถอะ..! ชีวิตคงจะราบรื่นมากเลย ถ้าอย่างของอาตมานี่ทำได้ ซื้อทองเก็บไว้ แล้วก็เขียนไว้ชัด ๆ เลยว่า ‘ซื้อด้วยเงินมรดกส่วนตัว’ เป็นเงินที่แม่ให้ ถึงเวลาใครจะมาอมไม่ได้หรอก เพราะอาตมาเขียนแปะเอาไว้แล้ว ต้องอย่างนั้นจึงเป็นเงินของฆราวาสจริง ๆ

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้มรดกมาเยอะทีเดียว แค่ตอนท่านบวชยายก็ให้ทอง ๒๐ บาทแล้ว หลังจากนั้นก็ยังมีโยมหลายรายที่รักท่านมาก ถึงเวลาก็ทำพินัยกรรมยกสมบัติให้ท่าน ยกให้เป็นส่วนตัว ไม่ได้ยกให้เป็นของสงฆ์ แล้วก็มีคนไปดำเนินการให้เกิดดอกเกิดผลขึ้นมา พอเขามารายงานหลวงพ่อก็ตกใจ “เฮ้ย..ข้ามีเงินเยอะขนาดนี้เลยหรือ ?” สรุปแล้วท่านก็เอาเงินไปสร้างวัด หลวงพ่อบอกว่า "ปกติมีแต่คนเป็นหนี้สงฆ์ แต่สำหรับข้า สงฆ์เป็นหนี้ข้า เพราะเอาเงินส่วนตัวไปใช้เพื่อสงฆ์เสียเยอะ"


ถาม : แสดงว่าต้นเป็นส่วนตัว กลางเป็นส่วนตัว ออกไปก็เป็นส่วนตัว ?
ตอบ : ถ้าต้นเป็นส่วนตัวแล้วไปแปลงเป็นสงฆ์ ก็เท่ากับว่าเจตนาของเราเพื่องานบุญนี้ ในเมื่อเจตนาเพื่องานบุญนั้น แสดงว่ากลายเป็นของสงฆ์ไปแล้ว ถึงเวลาเราจะไปคิดว่าเราใช้เงินส่วนตัวซื้อไม่ได้แล้ว เพราะว่าตัดช่วงไปแล้ว

มีของใช้บางอย่าง เช่นรองเท้าสมัยฆราวาสติดเท้าไป เพราะว่าไม่อยากได้คู่ใหม่ คู่เก่าใช้ถนัดแล้ว บวชไปก็ใช้คู่เก่า สึกก็เอากลับบ้านไปเถอะ เพราะยังเป็นของเราอยู่ แต่ถ้าไปซื้อรองเท้าใหม่มาเพื่อใช้ในตอนบวช นั่นเป็นเพื่อสงฆ์ไปแล้ว

เถรี 14-01-2015 20:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ได้ยินว่ามีดโต้น้อยขาดตลาด ทั่วประเทศไทยไม่มีเหลือ โดนกว้านเพื่อเอาไปเข้าพิธีวัดท่าขนุนกันหมด เขาคงแปลกใจว่าซื้ออะไรกันนักหนา ถ้าหมดก็ไปอรัญญิกต่อ กวาดให้หมด ถ้าอรัญญิกหมดก็ไปทองแสนขันต่อ ทองแสนขันเขามีพวกเหล็กน้ำพี้เหลืออยู่บ้าง จะน้ำพี้จริงน้ำพี้ปลอมอะไรก็เอาเถอะ เข้าพิธีแล้วก็ใช้ได้เหมือนกัน

แหล่งมีดอีกแหล่งหนึ่งก็ค่ายพระราม ๖ อาตมาไปดูมีดค่ายพระราม ๖ มาก่อนบ้านจ่าตุ่มอีก แต่ปรากฏว่ามีดค่ายพระราม ๖ เขาทำมีดเป็นมีด โลหะอาจจะดีหน่อย การออกแบบอาจจะสวยหน่อย แต่ว่าความเฉียบคมของลวดลายหรือเส้นสายไม่เหมือนของบ้านจ่าตุ่ม ของบ้านจ่าตุ่มที่มีดออกมาสวยมาก เพราะช่างส่วนใหญ่เป็นช่างที่ทำปืนเถื่อนมาก่อน

คราวนี้ทางด้านจ่าตุ่ม ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ไปกวาดล้างพวกทำปืนเถื่อน กวาดเท่าไรก็กวาดไม่หมด เพราะแถวนั้นมีบึงมีหนองที่ขวางทางเข้าออก เป็นพวกพงอ้อสูงท่วมหัว พอถึงเวลากว่าจะเข้าไปถึง เขารู้ตัวก่อนก็ขนเครื่องมือใส่เป้หนีไปแล้ว เพราะมีเครื่องมือแค่ไม่กี่ชิ้นนี่ มีพวกเลื่อยเหล็ก มีสว่าน มีตะไบอะไรแค่นั้นเอง เขาก็ไปผลิตกันต่อ จนกระทั่งท้ายสุดจ่าตุ่มใช้วิธีไปขอร้องเขาให้เลิกทำ เขาบอกว่าถ้าเลิกทำก็ไม่รู้จะกินอะไร จ่าตุ่มก็เลยต้องมาแนะนำการทำมีด ทำเครื่องมือเครื่องใช้การเกษตรด้วยเหล็กแทน

พวกนี้เวลาเขาทำปืนนี่ถอดแบบฝรั่งมาเลย ถ้าวางเทียบกันกระบอกต่อกระบอก ของไทยสวยกว่าด้วย เพียงแต่ที่ชัดที่สุดก็คือ ลำกล้องของไทยไม่มีเกลียว อาตมาเคยจับปืนเถื่อนสมัยเป็นทหารอยู่หลายกระบอก เจ้านายขอเอาไปใช้ ปรากฏว่าใช้ได้แค่ ๒-๓ อาทิตย์บ่นแล้ว “ไอ้ห่..สนิมขึ้นโว้ย” อ้าว..ก็ของไทยนี่ครับ แล้วลำกล้องก็ไม่มีเกลียว ท่านแก้ปัญหาโดยการเอาไปเปลี่ยนกับลำกล้องปืนฝรั่งในคลัง เข้ากันได้ทุกมิติเลย ประเภทที่เรียกว่ามิลลิเมตรต่อมิลลิเมตร ไม่มีพลาดเลย

กลายเป็นว่าพอพวกนี้ออกมาทำงานเกี่ยวกับมีดและเครื่องมือเครื่องใช้
ฝีมือจึงค่อนข้างประณีตมาก สู้ฝรั่งเขาได้สบาย ไม่ว่าจะสัน จะคม จะร่องมีด จะใบมีด จะออกมาคมชัดเลย"

เถรี 14-01-2015 20:33

ถาม : ใช้วิธีกลึงหรือว่าอะไรคะ ?
ตอบ : มีทั้งกลึง มีทั้งไส มีทั้งขุด มีทั้งถาก มีทั้งเจาะ เพราะฉะนั้น..เขาจึงทำได้ทุกอย่าง แค่เปลี่ยนจากโลหะทำปืนมาเป็นทำมีดแค่นั้นเอง ก็เท่ากับว่าสามารถแก้ไขปัญหาปืนเถื่อนที่บ้านอีเติ่งไปได้ เพราะว่าเอาช่างชุดนั้นมาหมด ปัจจุบันช่างชุดนี้ก็เกษียณเกือบหมดแล้ว ที่ตายไปก็หลายคน

สมัยก่อนที่ทำอยู่กับจ่าตุ่มก็จะมีช่างเปี๊ยก ช่างทิน ช่างเดือน ช่างชู ช่างหมี ฯลฯ ตอนนี้ช่างเปี๊ยกก็ไปแล้ว ช่างทินก็ไปแล้ว ช่างเดือนเกษียณตัวเอง ช่างหมีกำลังจะเกษียณตามไปด้วย พวกช่างแขก จ่ามังกร พวกนี้มาทีหลัง พอเห็นมีดจ่าตุ่มติดตลาด ต่างประเทศต้องการมาก ก็ทำตาม แต่คราวนี้ของช่างแขกขายแพงมาก ตั้งใจขายตลาดฝรั่ง

ส่วนใหญ่ฝีมือของช่างจะอยู่ตัวก็ตอนใกล้ ๆ จะเกษียณแล้วทั้งนั้น ตอนนี้บ้านจ่าตุ่มก็จะมี "อาร์ค" ลูกชายคนเล็กรับช่วงต่อ แต่ก็ยังทำมีดเป็นมีดอยู่เลย คือไม่สามารถที่จะผลิตออกมาเป็นงานศิลปะได้ ทางบ้านช่างเปี๊ยกก็มี "ช่างกบ" ช่างกบทำงานมีดหมอเพชราวุธคนเดียวไปเกือบ ๖๐ เล่ม คาดว่าต่อไปถ้าเป็นทรงเปอร์เซียนนี่ช่างกบคงเอาอยู่เลย

ส่วนใหญ่พวกช่างเขาจะเป็นประเภทศิลปิน สมัยก่อนบางทีอาตมาไปรอมีดเล่มหนึ่ง ๒-๓ ปีกว่าจะได้ อย่างเล่มของทิดเก้าที่แกะเป็นเศียรพญานาค เล่มนั้น ๒ ปีกว่าเกือบ ๓ ปี พอถึงเวลาไปก็เห็นช่างเขาว่าง ๆ ยืนรดน้ำต้นไม้ ลากสายไปลากสายมา รดอยู่นั่นแหละ ถามป้าสุว่า "เมื่อไรเขาจะทำงานสักที ?" ป้าสุบอกว่า "มันไม่มีอารมณ์ มันกำลังสร้างอารมณ์อยู่" ปรากฏว่าพอสัก ๓-๔ โมงเย็นก็มีอารมณ์ทำขึ้นมา คว้าตะไบคว้าเหล็กมาเข้าเครื่องหนีบได้ คราวนี้ก็ใส่ไปเถอะ ๒-๓ ทุ่ม บางทีมืดจนมองไม่เห็นแล้ว ก็ยังทำไปเรื่อยนั่นแหละ เกิดอารมณ์ทำแล้วหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดเดี๋ยวหมดอารมณ์ที่จะทำอีก

เสียดายงานฝีมือรุ่นเก่า ๆ ไม่ว่าจะเรื่องของวัสดุ เรื่องของฝีมืองาน เขาพยายามคัดเลือกที่ประณีตมากที่สุด ช่างเดือนเกษียณตอนทำพระขรรค์โสฬส ทำพระขรรค์อย่างเดียวจนหมดอารมณ์ไปเลย พวกนี้เขาเป็นศิลปินที่ไม่อยากทำงานซ้ำ ต้องปล่อยเขาทำตามอารมณ์ ให้เขาออกแบบไปเรื่อย ๆ จะไม่ซ้ำของเดิม นี่ต้องมาทำของเหมือน ๆ กันทีหนึ่งหลาย ๆ สิบเล่ม จึงหมดอารมณ์ไปเลย

งวดนี้ช่างหมีเจอมีดหมอเพชราวุธ ขอเลิกเหมือนกัน บอกว่าทำแล้วเครียด แต่ละเล่มแกจึงพยายามใส่โน่นใส่นี่ ให้ต่างกันนิด ๆ หน่อย ๆ จะได้ไม่เครียด ถ้าของช่างกบที่บ้านช่างเปี๊ยกนั่น
จะทำออกมาแบบเดียวกันหมด แต่ของช่างหมีนี่ บางทีวัสดุคั่นคอมีดบ้าง อะไรบ้างจะเปลี่ยนไปเรื่อย เพื่อจะได้ไม่รู้สึกว่าทำงานซ้ำ

เถรี 14-01-2015 20:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมายืนยันกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว บอกว่าเรื่องของชื่อ ถ้ายังไม่เปลี่ยนความประพฤติ เปลี่ยนชื่อไปก็เท่านั้นแหละ สำคัญตรงความประพฤติ ถ้าความประพฤติเปลี่ยนได้ ชื่อไม่ต้องเปลี่ยนก็ประสบความสำเร็จเอง"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:07


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว