กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1482)

เถรี 15-01-2010 07:32

ถาม : วิชาฮวงจุ้ยเชื่อได้กี่เปอร์เซ็นต์?
ตอบ : น่าจะ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะว่าเราเชื่อกรรม บุคคลที่ทำกุศลกรรมทำความดีมามาก ย่อมได้ฮวงจุ้ยที่ดีไปเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปเสียเวลาปรับแก้ ส่วนบุคคลที่สร้างอกุศลกรรมทำความชั่วเอาไว้มาก ก็ได้ฮวงจุ้ยเฮงซวยไป บางทีปรับแก้แล้วแก้อีก หมอรวยเป็นราย ๆ ไป ก็ยังแก้ไม่ตกสักที

ถาม : พี่ชายเขาให้หมอดูเรื่องฮวงจุ้ยบ้าน เขาสั่งให้ทุบบ้านทิ้ง
ตอบ : แล้วเขาทำไหม ?

ถาม : ทำค่ะ
ตอบ : แสดงว่าหมอไม่เก่ง ถ้าหมอเก่งอาจจะเปลี่ยนแค่ประตูรั้วประตูบ้านเท่านั้น เพราะว่าสามารถที่จะหันไปในทิศทางที่ดีได้

อาตมามีไฝดำ หรือสมผุสดำอยู่ในมือ บังเอิญหมอดูเห็นเข้า เขาบอกว่าให้ไปเอาออกซะ ไม่อย่างนั้นชีวิตจะต้องเสี่ยงอันตรายอยู่ตลอด เราก็บอกว่าชาตินี้ตูไม่เอาออกเด็ดขาด เอาออกแล้วชีวิตหมดรสชาติ..! เขาบอกว่าถ้าไฝเป็นสีแดงจะดี สีดำจะไม่ดี เรื่องพรรค์นี้สำหรับคนทั่วไปนั้นได้ แต่สำหรับเราจะแดงจะดำก็ดีทั้งนั้น ก็บอกแล้วว่าใจของเราเป็นพลังงาน และเป็นพลังงานที่มหาศาลมาก ถ้าเราคิดว่าดี..ก็จะดีไปเอง

เถรี 15-01-2010 10:47

ถาม : สมัยหลวงปู่ครูบาธรรมชัยท่านรักษาโรค แล้วเจอประเภทโรคสุดท้าย ประมาณว่ารักษาหรือไม่รักษาก็ตาย ท่านทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็สงเคราะห์เขาไป โดยแนะนำในเรื่องของบุญกุศลแทน ก็คือ จะให้ท่านรักษา...ท่านก็รักษา แต่ว่าให้เขาสร้างบุญกุศล เพื่อให้ใจเขาได้มีที่เกาะที่ดี

ถาม : แล้วที่ท่านรักษานี่คือ ?
ตอบ : ท่านจะบอกว่าป่วยเป็นโรคอะไร เป็นมากี่ปี กี่เดือน กี่วัน ต้องใช้ยาอะไรรักษา พระเลขาฯ ท่านมีหน้าที่จด ถึงเวลาก็ให้คนไข้เอาไปซื้อยาตามนั้น

ถาม : แล้วน้ำมันสังคโลกของหลวงปู่ปานเล่าครับ ?
ตอบ : บอกแล้วบางอย่างรักษาก็หาย บางอย่างรักษาก็ตาย บางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็ตาย บางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย ถ้าหากว่าใช้แล้วได้ผลอย่างเดียว คนก็ไม่ตายกันแล้วสิ..!

เถรี 15-01-2010 12:36

ถาม : ที่บอกว่าภิกษุณี หรือสามเณรีขาดหายไป รู้สึกว่าเสียดาย
ตอบ : แล้วทำไมต้องไปเสียดาย การบรรลุมรรคผลไม่จำเป็นต้องเป็นนักบวช เป็นนักบวชบางทีถ้าปฏิบัติไม่ถูก บรรลุยากขึ้นเสียด้วยซ้ำ

เถรี 15-01-2010 15:23

ถาม : ในนรกมีนายนิรยบาล คอยลงโทษคนที่ทำกรรมชั่ว แล้วอย่างนี้เขาทำให้เขาเจ็บปวด ไม่บาปหรือครับ ?
ตอบ : นั่นเป็นหน้าที่ เหมือนกับตำรวจ ตำรวจมีหน้าที่จับโจร ส่วนโจรจะเสียใจหรือไม่เสียใจนั่นเป็นเรื่องของโจร เพราะเป็นวาระกรรมของเขา ถ้าไม่ทำชั่วเขาก็ไม่จับหรอก

ถาม : แล้วอย่างนี้คนที่จะเกิดเป็นนายนิรยบาล
ตอบ : คนที่ทำความดีความชั่วเท่ากัน พอดี ๆ จะไปรับความดีก็ไปไม่ได้ จะไปรับความชั่วก็ไม่เพียงพอ ก็ไปทำหน้าที่นายนิรยบาล ตัวเองก็ไม่ต้องเดือดร้อน แต่ต้องเหนื่อยยากในการลงโทษคนอื่น

ถาม : หมายถึงว่าเขาสมัครใจไปเองหรือครับ ?
ตอบ : เป็นไปตามวาระ ถ้าเกิดความดีความชั่วบวกลบแล้วเท่ากันเป๊ะพอดี

เถรี 16-01-2010 08:23

ถาม : เวลาเราอ่านหนังสือ แล้วตัวหนังสือลอยขึ้นมาเหนือกระดาษ ถือว่าเป็นอารมณ์ขนาดไหน ?
ตอบ : เป็นลักษณะของกสิณ

ถาม : แสดงว่าของเก่าเรามีตรงนั้น ?
ตอบ : มี

ถาม : แล้วเราสวดคาถาเงินล้านอยู่ เราเพ่งภาพพระด้วยการลืมตา แล้วภาพจะมีหมอกสีขาวมาปิดบังหมด เหลือแต่อกพระ อารมณ์ขนาดไหน ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นกสิณ ก็ไม่แน่ว่าจะทำถูก เพราะว่าเรายังไปสนใจกับสิ่งรอบข้างอยู่ ถ้าหากว่ากำหนดเป็นภาพกสิณ จะเป็นภาพติดตาไปเลย ถ้าลักษณะภาพติดตาที่เราทำ ต้องสนใจในภาพที่เราทำเท่านั้น ไม่สนใจในส่วนรอบข้าง

ถาม : อย่างนี้ผมทำไม่เป็นใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่ทำไม่เป็น แต่ยังทำไม่ถูก ทำเป็นแล้ว แต่ยังทำไม่ถูก

ถาม : ทำอย่างไรจึงจะทำถูกครับ ?
ตอบ : ก็ให้กำหนดแต่ภาพพระอย่างเดียว โดยไม่ต้องสนใจสิ่งรอบข้าง มองในลักษณะหลับตา..นึกเห็นภาพ พอภาพหายไปแล้วลืมตาดูใหม่ ไม่ใช่ไปจ้องอยู่ตลอด ถ้าจ้องอยู่ตลอดจะเป็นลักษณะอย่างที่คุณเห็น

ถาม : ผมเล่นเกมส์ลูกโซ่ จะเป็นสีสันต่าง ๆ พอเล่นจนชินแล้ว จะมีภาพติดตาขึ้นมา ทุกวันนี้กลายเป็นสีขาวหมดเลย
ตอบ : นั่นเป็นส่วนหนึ่งของกสิณ บางคนเล่นไพ่นี่ พอหลับตาลง โพธิ์ดำ โพธิ์แดง ดอกจิก ข้าวหลามตัด มาครบเลย แสดงว่าเคยมีพื้นฐานของกสิณมา เพียงแต่เอาไปใช้ผิด

เถรี 16-01-2010 21:18

ถาม : บางคนฝึกมโนฯ แล้วก็มาเล่าให้ฟังว่า เขาอธิษฐานเก็บดอกบัวมาจากวิมานบนนิพพาน นำไปถวายพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน อย่างนี้ได้อานิสงส์ของทานด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : ในส่วนของทานไม่ได้อานิสงส์ แต่ถ้าในส่วนของพุทธบูชาได้แน่นอน

ถาม : ทำไมตรงส่วนของทานจึงไม่ได้อานิสงส์ครับ ?
ตอบ : เพราะอยู่ในลักษณะของการไม่ได้สละออก ทานนี่เขาสละออกเพื่อการตัดความโลภ อยู่ข้างบนนั้นความโลภไม่มีแล้ว จะไปตัดอะไร ? อานิสงส์ของทานก็เลยพลอยไม่มีไปด้วย แต่อานิสงส์ของพุทธบูชาคุณได้แน่

ถาม : อย่างนี้ไม่จัดเป็นอามิสบูชา แต่จัดเป็นปฏิบัติบูชาได้ใช่ไหมครับ?
ตอบ : ใช่

เถรี 17-01-2010 19:25

ถาม : หลวงพ่อเคยบอกว่าคนที่ได้อภิญญาสมาบัติ สามารถที่จะไปบังคับหรือสู้กับเทวดาได้ เพราะว่ากำลังอภิญญาสมาบัติเป็นกำลังพรหม แล้วอย่างนี้ต้องได้ถึงระดับใดครับ? แม้แต่ท่านท้าวมหาพรหมท่านก็เป็นเทวดาอยู่
ตอบ : ต้องดูด้วย...ดูด้วยว่าเทวดาท่านนั้นทรงฌานสมาบัติได้หรือเปล่า ? ถ้าทรงฌานสมาบัติได้ในความเป็นทิพย์ของท่าน...ท่านคล่องตัวโดยอัตโนมัติ อย่างของเรามัวแต่มาขยับทรงฌานสี่ เสร็จแล้วคลายกำลังใจไปอธิษฐาน ก็แบนอยู่ตรงนั้นแหละ เพราะเทวดาทั้งหมดนั้นไม่ใช่แค่เทวดาในความคิดของเรา...ว่าไม่ใช่พรหม หลายท่านมีความสามารถถึงขนาดเป็นพรหมอนาคามี แต่ท่านต้องการอยู่แค่นั้น

เคยมีพระภูมิเจ้าที่เป็นพระอนาคามี ปกติท่านต้องไปเป็นพรหมชั้นสุทธาวาสด้วย ถือว่าสุดยอดของพรหมเลย แต่ท่านอยู่แค่ภุมมเทวดาไม่ใช่อากาสเทวดาด้วย หลวงพ่อฤๅษีไปถามว่าทำไมท่านอยู่แค่นี้ ท่านบอกว่าพอใจอยู่แค่นี้ เพราะว่าเคยเจอเพื่อนอยู่ตรงนี้ เพื่อนท่านเคยเป็นภุมมเทวดา ถึงเวลาท่านก็เลยอยู่แค่ตรงนี้ คราวนี้ไปห้ามท่านก็ไม่ได้ด้วย เหมือนไปห้ามเศรษฐีไม่ให้อยู่กระต๊อบ ท่านมีเงินท่านจะอยู่กระต๊อบก็ได้

ถาม : อย่างนี้เทวดาผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าใช้งานท่านสิครับ ?
ตอบ : เทวดาท่านมีมารยาทมากกว่าเราเยอะ ไม่ต้องถึงพระอริยเจ้าระดับนั้นหรอก แค่เทวดาชั้นยามาที่ท่านสวดมนต์เป็นประจำ เขาก็ไม่เรียกใช้แล้ว

ถาม : แล้วอย่างนี้เทวดามีการสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิเข้าฌานด้วยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มีเป็นปกติ

ถาม : แล้วทำไมท่านไม่เข้าฌานแล้วกลายเป็นพรหมไปเลยเล่าครับ ?
ตอบ : ในตัวของเขา สมาธิจิตที่ดำเนินไป ระยะเวลานั้นต่างกับโลกมนุษย์มาก อาจจะชั่วไม่กี่ลมหายใจของเขา แต่อาจจะหลายสิบปีของเรา เพราะฉะนั้น..กว่าที่เขาจะสร้างเสริมคุณสมบัติให้ครบว่าเป็นฌานในระดับไหน บางทีเราตายไปแล้วสองรอบ แต่พอคุณสมบัติของท่านครบ ต้องดูด้วยว่าท่านอยากไปไหม ถ้าไม่อยากไป อานิสงส์ที่อยู่ตรงนั้นก็จะยืดยาวไปอีก ประเภทที่ว่าขึ้นไปข้างบนแล้วนั่งเซ็ง อยู่ข้างล่างดีกว่าเพราะพวกเยอะ ถ้านิสัยท่านชอบเฮฮาอยู่ด้วยท่านก็ไม่ไป

เถรี 18-01-2010 07:28

ถาม: เรื่องผู้มีบุญมาก อย่างสมัยพุทธกาล เมื่อก่อนเราจะเห็นว่าสายท่านมีผู้มีบุญมาก จนต้องเดือดร้อนเทวดา อย่างท่านโชติกเศรษฐีหรืออย่างท่านที่มีมหาปุริสลักษณะมากมาย ซึ่งผมสงสัยว่า มีบุญมากบุญน้อยอย่างนั้นเขาวัดอย่างไร หรืออย่างหลวงพ่อท่านต้องมีบุญญาธิการมากกว่าโชติกเศรษฐีแน่ แต่ทำไมพระอินทร์ไม่เดือดร้อน ท่านไม่มาสร้างบ้านให้ ?
ตอบ : หลวงพ่อท่านไม่มีความจำเป็น ในเมื่อท่านไม่มีความจำเป็นแล้วท่านจะเอาทำไม ?

พระอินทร์ท่านดูหนังจบแล้ว ในเมื่อท่านดูหนังจบว่าพระองค์นี้ตอนท้ายท่านบวชแน่ แล้วพระท่านก็จะสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตรเอง อย่างนี้พระอินทร์ท่านจะไปสร้างทำไมให้เสียเวลา ? ของเราเองดูหนังไม่จบแล้วไปกังวลว่า เอ..ตอนหลังอวตารนี่พระเอกมันจะรอดหรือเปล่า ? แต่กราฟฟิกมันสุดยอดนะ..!

ถาม : พูดเหมือนดูมาแล้ว
ตอบ : เคยดูที่ไหน ไม่ได้ดูหนังมา ๓๐ ปีแล้ว แต่อยากรู้เรื่องไหนมาถามได้

ถาม : แล้วคนสมัยนี้ก็มีบุญมาก พอ ๆ กับคนสมัยก่อนหรือเปล่า ?
ตอบ : จะว่าไปแล้วบุญไม่เท่าคนสมัยก่อน ถามว่ามีบุญมากเหมือนคนสมัยก่อนไหม...เหมือน เพราะว่าอย่างน้อยก็เกิดมาเป็นมนุษย์ ต้นทุนจะต้องเพียงพอ แต่ว่าในส่วนของปัญญาบารมีจะน้อยกว่าเขาเยอะ คนสมัยนี้เวลาฟังธรรมแล้วโอกาสที่จะบรรลุเลยนั้น..ยาก แต่สมัยนั้นปัญญาบารมีท่านเสริมสร้างมาจนเพียงพอเหลือเฟือแล้ว ท่านบอกว่าเหมือนกับดอกบัวที่พ้นน้ำแล้ว พอกระทบแสงแดดก็บานเลย

ถาม : อย่างโชติกเศรษฐีท่านจะมีภรรยา เทวดาต้องไปเอาจากดาวอื่นมาให้ เพราะว่าท่านเป็นคนมีบุญมาก ไม่เข้าใจว่าท่านพิเศษกว่าคนอื่นอย่างไร ?
ตอบ : ก็ท่านสร้างของท่านมา ทำไมต้องเข้าใจ...ก็ทำให้ได้อย่างท่านเดี๋ยวก็เหมือนท่านเอง ของคุณมีโอกาส เพราะยังเกิดอีกเยอะ..!

ถาม : บางคนเป็นกษัตริย์ เป็นเจ้าเมือง ยังมีบุญไม่เท่าท่านเลย ทั้งที่ท่านโชติกะเป็นแค่เศรษฐี
ตอบ : ของท่านนั้นเป็นชาติที่ต้องบวช บรรดาวาระกรรมวาระบุญต่าง ๆ จะลงตัวในสภาพนั้น ท่านจึงมาเกิดในสิ่งแวดล้อมนั้น ถ้าหากว่าท่านไปเกิดเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ อาจจะต้องไปรบทัพจับศึก ทำสงครามกับเมืองอื่น อกุศลอาจจะชักพาให้ไกล ไม่ได้บวชเป็นพระอรหันต์ก็ได้

เถรี 18-01-2010 07:37

ถาม : ผมเห็นหลายคนบอกว่า พอลาพุทธภูมิแล้วทิพจักขุญาณแจ่มใส แต่ทิพจักขุของพุทธภูมิกลับมืด ทำไมเป็นอย่างนั้น ?
ตอบ : ไม่รู้ อาตมาลาแล้วก็ยังอืดเป็นเรือเกลือเหมือนเดิม เพราะว่าโดยวิสัยต้องไปเป็นครูเขา วิสัยที่จะไปเป็นครูเขา ของเดิมที่ควรจะได้ตอนนั้นเลย ก็ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ทวนแล้วทวนอีกจนกว่าจะครบทุกแง่ทุกมุม เพื่อถึงเวลาคนอื่นเขาถามจะได้บอกเขาได้ ก็เลยยังช้าเหมือนเดิม

เถรี 18-01-2010 07:48

ถาม : เคยมีพระคาถาหนึ่ง เป็นคาถาเพื่อขอลาภ
ตอบ : ทำ...อยากรู้ก็ทำ

ถาม : ผมสงสัยว่าต่างกับคาถาเงินล้านอย่างไร ?
ตอบ : ต่างตรงที่คาถาไม่เหมือนกัน คนให้คนละคนกัน

ถาม : มีอานิสงส์เหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : อานิสงส์เหมือนกันตรงที่หาลาภให้ได้ แต่คราวนี้มากน้อยต่างกัน ขึ้นอยู่กับคาถาเหมือนกันว่าใครเป็นคนให้มา ผู้ที่ให้มาถ้าบารมีมากกว่า ท่านก็สามารถที่จะส่งเสริมให้ได้มากกว่า ขณะเดียวกันตัวเราทำคาถา ถ้าหากทำอย่างนี้แล้วสมาธิจิตทรงตัวได้มากกว่า มีความสะอาดของจิตมากกว่า ผลก็มากกว่า

ถาม : เท่าที่ลองปฏิบัติมา รู้สึกคาถาเงินล้านจะช่วยในเรื่องความคล่องตัว หรือถ้าจะตายจริง ๆ ก็จะรอดตลอด แต่ถ้าคาถาขอลาภก็จะเห็นผลทันตามากเลย
ตอบ : ทำต่อไป อยากได้เร็วก็เอาคาถาขอลาภ อยากได้เรื่อย ๆ ก็คาถาเงินล้าน

เถรี 18-01-2010 07:54

ถาม : คาถาที่ขอดูบารมีพระครับ อย่างปลุกพระ ผมก็ลองจนเป็นฌานแล้วก็ยังไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย ?
ตอบ : ก็เพราะเป็นฌาน เขาต้องการแค่อุปจารสมาธิ กติกามันเกิน เขาต้องการความรู้แค่ ป. ๑ คุณทำข้อสอบดันเอาความรู้ปริญญาตรีไปตอบ เขาก็ปรับตก ภาษาพระเรียกว่า "เกินครู" ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "เสือกรู้เกินรู้อาจารย์..!"

ถาม : ก็เห็นบางคาถาหลวงพ่อก็บอกว่าทำให้เป็นฌานก็ได้เลย
ตอบ : นั่นไม่ใช่คาถาธรรมดา การทดสอบถ้าคุณไม่ทรงฌาน ๔ ไปเลย ก็ต้องอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ

เถรี 18-01-2010 09:53

ถาม : อ่านในหนังสือหลาย ๆ เรื่องของวัดท่าซุง ท่านบอกว่าถ้าอยากมีลูกให้ไปล้างห้องน้ำวัด?
ตอบ : เฮ้ย..ตายแล้วหว่า ตูแย่แล้ว เพราะล้างห้องน้ำวัดบ่อย อันนี้อ่านมาผิดแน่

ถาม : อ๋อ ถ้าอยากมีลูกนี่ ต้องบวงสรวงขอพระอินทร์อย่างเดียวใช่ไหมครับ?
ตอบ : ไม่ใช่ขอพระอินทร์อย่างเดียว อยู่กับเมียด้วย ไปขอพระอินทร์อย่างเดียวท่านก็คงกลุ้มใจ บอกแล้วว่าไม่ใช่แฟนทำแทนไม่ได้

ถาม : แล้วแต่วาระด้วย
ตอบ : แล้วแต่วาระเหมือนกัน อย่างโพธิราชกุมาร บวงสรวงครบ ๑๐๘ รอบก็คงไม่ได้ สมัยที่เรือแตก พระโพธิราชกุมารท่านไปติดเกาะ เกาะนั้นมีนกเยอะ ท่านก็กินไข่นก กินไข่นกหมดก็ยังไปไหนไม่ได้ ท่านก็เลยกินลูกนก กินลูกนกหมดก็ยังไปไม่ได้อีก ก็เลยกินพ่อนกแม่นกอีก กว่าเรือจะแวะผ่านมาเจอก็ปาไปหลายปี

พอมาเกิดชาติใหม่ท่านเป็นเจ้าเมือง มีสนมเป็นร้อยเป็นพันแต่ไม่มีลูก ท่านได้ยินว่าพระพุทธเจ้ารู้ทุกเรื่อง ก็เลยนิมนต์พระพุทธเจ้ามา แล้วก็ปูผ้าขาวตั้งแต่ประตูวังเข้าไป อธิษฐานว่า ถ้าท่านจะมีลูกขอให้พระพุทธเจ้าเหยียบลงมาบนผ้าขาว พระพุทธเจ้าสั่งพระอานนท์รื้อเกลี้ยงเลย ท่านก็เลยนั่งร้องไห้ เพราะรู้แล้วว่าตนเองไม่มีลูกแน่ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเล่าบุรพกรรมให้ฟังว่า ถ้าเธอกินแต่ไข่นก...ในวัยหนุ่มสาวไม่มีลูก อาจจะไปมีลูกในวัยกลางคน ถ้ากินไข่นกและลูกนก..ในวัยหนุ่มสาวในวัยกลางคนไม่มี จะมีลูกในวัยชรา นี่เธอกินทั้งไข่นก ลูกนก พ่อแม่นกเกลี้ยง...เลยไม่มีลูกแน่นอน กรรมมันตัดไป เพราะฉะนั้น...ไม่ใช่ขอแล้วได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับวาระบุญวาระกรรมที่เราสร้างด้วย แต่จริง ๆ คนไม่มีมันสบายจะตาย จะตะกายไปขอทำไม

ถาม : แล้วไปบวงสรวง ขอให้ไม่มีลูกได้หรือเปล่าครับ?
ตอบ : ไม่ต้อง ไปหาหมอง่ายกว่า

ถาม : มันเสียเงินเยอะครับ
ตอบ : ของพระทำหมันไม่ได้ ท่านห้าม ถ้าทำหมันมาแล้วไม่เป็นไร แต่ถ้ายังไม่ได้ทำก็อย่าไปทำ อันนี้รายละเอียดจะอยู่ในเรื่องของจุลศีล มหาศีล มัชฌิมศีล ต้องไปอ่านในพรหมชาลสูตร

เถรี 18-01-2010 12:04

ถาม : อารมณ์ของฌานสาม ฌานสี่ ที่มีหยาบละเอียด ผมหาช่องไม่ได้เลยว่า หยาบเป็นอย่างไร ละเอียดเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ไม่ต้องหา..ทำ

ถาม : มันแยกไม่ออก
ตอบ : พอถึงแล้วเดี๋ยวชัดเอง จำไว้ว่าถ้าหยาบยังมีความหนักอยู่ ถ้าละเอียดจะมีความเบา เอาแค่นั้นแหละ แบบที่เราบอกว่ารู้สึกแห้งแล้งแข็งทื่อ ถ้าละเอียดแล้วจะเบาสบาย

เถรี 18-01-2010 14:20

ถาม : หลวงพี่เคยได้ยินเรื่องวิธีสวดตัดญาติไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เคย แล้วทำไมต้องไปตัดด้วย ? การตัดอยู่ที่การวางกำลังใจ ไม่ได้อยู่ที่การสวด

ถาม : ในบ้านเพิ่งมีคนเสียชีวิตติด ๆ กัน เขาบอกว่าต่างฝ่ายต่างดึงกันไป ก็เลยต้องสวดตัดญาติ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวดึงกันหมดบ้าน
ตอบ : ถ้าหากเป็นวาระจริง ๆ สวดไปเท่าไรก็ตาย..! เรื่องแบบนี้อาตมาไม่เคยได้ยิน ถ้ามีคนทำได้ บอกช่วยทำให้หน่อย ตอนนี้ญาติเยอะเหลือเกิน โดยเฉพาะญาติธรรม สวดตัดให้ทีเถอะ ตูเบื่อมันแล้ว..!

เถรี 18-01-2010 15:18

ถาม : เมื่อกี้ที่น้องเขาถามไป เป็นความคิดของผมเอง คุณแม่ผมเพิ่งเสีย และเพิ่งเผาไปเมื่อวันที่ ๒๐ แล้วพี่ชายผมกำลังจะหมดลม ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรแนะนำเพิ่มเติมไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่ากลัว ก็ไปปล่อยชีวิตสัตว์ โดยเฉพาะถ้ากรรมหนัก ก็ปล่อยพวกวัวควายไปเลย ซื้อจากโรงฆ่า อย่างนี้ตัดได้ทุกอย่างของกรรมหนักประเภทจะถึงตาย

ถาม : ถ้าพี่น้องหลายคนร่วมกันทำ
ตอบ : ทำพร้อมกันได้ ปล่อยวัวตัวหนึ่งก็ราคาหมื่นห้าถึงสองหมื่น แล้วแต่ว่าตัวใหญ่หรือเล็ก
วาระกรรมเขาสร้างมาใกล้เคียงกัน จึงมาเกิดเป็นครอบครัวเดียวกัน เมื่อมาเกิดเป็นครอบครัวเดียวกัน ถึงวาระก็ไปใกล้ ๆ กัน ถ้าช่วงนั้นเราไม่ได้ทำร่วมด้วยก็ไม่เป็นไร

ถาม : แล้วอย่างนี้ไถ่ชีวิตโคกระบือ สู้พวกนั้นได้หรือเปล่า ?
ตอบ : ได้ แต่ว่าบางคนกำลังใจเขาไปอยู่ตรงที่ว่า ถ้าได้ทำเองแล้วจะรู้สึกว่าดีกว่า พาไปปล่อยได้เลย ที่โรงฆ่าสัตว์ปทุมธานี เพราะฝั่งตรงข้ามโรงฆ่าสัตว์จะเป็นธนาคารโคกระบือของในหลวง เราก็ซื้อตรงนั้นจูงข้ามถนนไป เจ้าหน้าที่เขาก็จะลงทะเบียนรับ

เถรี 18-01-2010 21:19

ถาม : ตอนเด็ก ๆ ผมเคยตอบปัญหาธรรมะ แข่งมาหลายที่เหมือนกัน ผมรู้สึกว่าการแข่งขันตอบธรรมะ บางทีก็เป็นการปรามาสพระธรรม การแข่งขันก็ใช้ความรู้พระพุทธศาสนา พวกพุทธประวัติเอามาแข่งขันกัน บางทีเราอาจจะคิดว่าข้อนี้ง่าย การคิดแบบนี้เป็นการปรามาสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าคิดก็เป็น

ถาม : อันนี้ผมก็เผลอคิดเยอะมากเลย
ตอบ : เขาเรียกว่า เรื่องไม่น่าจะลงนรก..ก็คิดจนลง..!

เถรี 19-01-2010 06:09

ถาม : เวลาจะจับลมหายใจ เมื่อตั้งใจจะจับ ลมมันก็หายไปแล้ว ?
ตอบ : ถ้าหากคล่องตัวระดับนั้น เราก็แค่กำหนดรู้ต่อไปแค่นั้นเอง ว่าตอนนี้มันหายไปแล้ว

ถาม : มันจะไปตะกายหาเอา ?
ตอบ : ดีจังเลย..ขึ้นไปครึ่งค่อนบันไดแล้ว กลับไปตั้งต้นนับหนึ่งขั้นแรก..!

ถาม : นั่นคือตัวฌาน ๓ ละเอียด หรือว่าเป็นฌาน ๔ ?
ตอบ : ไม่แน่ อาจจะเป็นแค่ปฐมฌานละเอียด ขึ้นอยู่กับสภาพจิตของเราตอนนั้น ถ้าจิตหยาบมากก็จะรู้สึกได้น้อย บางทีแค่ทรงปฐมอย่างกลางหรืออย่างละเอียด ลมหายใจก็หายไปเลย

ถาม : เมื่อก่อนเวลาเหนื่อยมาก ๆ ผมจะอาศัยไปเข้าฌาน ๒ แล้วพัก ให้พอรู้สึกอิ่มเอิบ ตอนนี้พอมาพักแล้วก็รู้สึกเฉย ๆ ไม่ได้อะไรมาก เป็นเพราะว่าเราขาดวิปัสสนาหรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นเพราะเราเคยชิน ใหม่ ๆ เรายังตื่นเต้น ยังแยกแยะได้ง่าย พอทำไป ๆ ชินแล้วตายด้าน เลยไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรแตกต่างไปจากเดิม คราวนี้เราต้องมาจับความรู้สึกทางร่างกายว่า ทำแล้วหายเหนื่อยไหม ? สามารถที่จะทำงานต่อไปได้ในลักษณะร่างกายสดชื่นมีกำลังไหม ? ไม่ใช่ไปจับแค่อาการอย่างเดียว

เถรี 19-01-2010 06:11

ถาม : มีพระคาถาหนึ่ง คนที่เขาให้มา บอกว่าสามารถตัดกรรมได้ ให้ภาวนาว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ หลวงพ่อ ปภัสโร นะโมพุทธายะ
ตอบ : คาถาไหนก็ตัดกรรมได้ ขอให้ทำจริง ๆ เถอะ เพราะว่าบุญใน ทาน ศีล ภาวนา เป็นบุญใหญ่มาก โดยเฉพาะบุญการภาวนา ถ้าให้ทานมีผลเป็นร้อย รักษาศีลมีผลเป็นหมื่น ภาวนาจะมีผลเป็นล้าน เราทำความดีใหญ่ขนาดนั้น ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวจริง ๆ กรรมอื่นจะตามได้ยาก คาถาอะไรก็ได้ เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ทำต่อเนื่องเท่านั้นเอง

เถรี 19-01-2010 06:13

ถาม : ทำไมหลวงพ่อบอกว่า ถ้าคิดพิจารณาอย่างนี้ทั้งวันจึงดี ?
ตอบ : อารมณ์ใจที่ทรงตัวอยู่ในความดีได้โดยอัตโนมัติ แสดงว่าเป็นโดยธรรมชาติแล้ว ไม่ต้องไปบังคับ เท่ากับว่าเราทรงความดีอยู่ทั้งวัน

เถรี 19-01-2010 06:14

ถาม : ถ้าเราจริตเราชอบจับภาพพระสงฆ์ แต่ใจเราชอบพุทโธ ถ้าเราทำทั้งคู่นี่..?
ตอบ : จับภาพพระพุทธเจ้าที่มีลักษณะเป็นพระสงฆ์ อย่างภาพวาดของคุณคำนวณ ชานันโท อาตมาใช้ลักษณะนั้นมาก่อน

ถาม : แต่ถ้าจับภาพพระพุทธรูป ให้เป็นกสิณจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้ ต้องการกสิณสีไหนก็ใช้พระพุทธรูปสีนั้น เขาเรียกประกันความเสี่ยง ถึงทรงกสิณไม่ได้ แต่พุทธานุสติได้แน่นอน

เถรี 19-01-2010 06:19

ถาม : ผมเห็นมีคำภาวนา และวิธีฝึกที่จะให้ทิพจักขุญาณแจ่มใสอยู่หลายแบบ ทั้งอาโลกกสิณ พระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า หรือพระคาถาปราโมทย์ ทีนี้ตัวไหนจะเป็นตัวที่ทำให้ทิพจักขุญาณแจ่มใสที่สุด ?
ตอบ : ทำ...ถ้าไม่ทำก็เท่านั้นแหละ..!

ถาม : ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า วิธีไหนก็ได้ผลเหมือนกัน ?
ตอบ : วิธีไหนก็ได้ เพียงแต่ว่าเราต้องนึกว่าใครให้มา แล้วขณะเดียวกันเราก็ต้องภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัวด้วย

ถาม : ขึ้นอยู่กับผู้ทำด้วย ว่าทำคาถาไหนขึ้น ?
ตอบ : ไม่ใช่ ของเรานี่จะเห็นว่ามีคาถาหลายอย่าง แต่ของหลวงพ่อท่านได้ทีละอย่างและท่านทำทีละอย่าง ท่านจะไม่มาเสียเวลาสงสัย

สมบัติพ่อวางไว้หลายชิ้น...เราก็มานั่งสงสัย คว้าอันไหนขึ้นมาก็ทำไปสิ ข้าวอยู่ตรงหน้าสามจาน แทนที่จะกิน ก็มานั่งสงสัยว่าจานไหนอร่อยกว่า ก็สมควรอดต่อไป..!

เถรี 19-01-2010 06:22

ถาม : ตอนนี้งานทางโลก ผมกำลังทำเกมออนไลน์อยู่ แต่กลัวว่าจะเป็นการมอมเมา เป็นอาชีพที่ไม่ดี ผมก็พยายามจะสอดแทรกข้อดีเข้าไป เป็นต้นว่า การรักษาความสมดุลให้เกม ให้มีตัวระบบกฎแห่งกรรมขึ้นมา โดยการจำลอง พบว่ากรรมก็มีความแรงหลายระดับ มีความเร็วหลายระดับอย่างนี้ครับ
ตอบ : ถ้าอย่างนี้ถือว่าเป็นธรรมทานเสียด้วยซ้ำ อย่างในเกม ถ้าเขาปฏิบัติถูกต้องตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เราก็เพิ่มโบนัสพิเศษให้ สิ่งไหนปฏิบัติไม่ถูกก็อดไป หรือแทนที่จะระเบิดจนเลือดกระจาย เราก็ให้อภัยก็ได้

ถาม : ในเกมนี้ให้ทำดีทำชั่วได้หมด แต่ว่าให้ตัวเองเป็นตัวควบคุมอีกที จำลองระยะเวลาเข้าไปตายเกิด ๆ ในเกมแทน
ตอบ : เสร็จแล้วเอามาให้เล่นบ้างนะ..!

เถรี 19-01-2010 12:05

ถาม : การออกมโนฯ ไปแบบเต็มกำลัง กับการที่ได้ภาวนาแล้วได้อภิญญาใหญ่เพราะของเก่ารวมตัว อันไหนเป็นเรื่องยากกว่ากัน ?
ตอบ : อภิญญาเป็นเรื่องยากกว่า แต่ว่ามโนมยิทธิเป็นส่วนหนึ่งของอภิญญาอยู่แล้ว ในเรื่องของอภิญญา..โดยเฉพาะอภิญญา ๖ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะว่าข้อที่ ๖ ต้องตัดกิเลสให้ได้อย่างน้อยพระโสดาบันขึ้นไป แต่ถ้าหากเป็นอภิญญา ๕ ก็ยังยากกว่าอยู่ดี เพราะต้องไปเริ่มต้นนับหนึ่งขึ้นมาจากกองกสิณ ในเรื่องของมโนมยิทธิเหมือนกับคนรวย ควักกระเป๋าไปก็ซื้อบ้านสำเร็จรูปเลย แต่เรื่องของอภิญญาเริ่มตั้งแต่คำนวณ เขียนแปลน ผูกเหล็ก เทโครงขึ้นมา อันไหนจะยากกว่ากันเล่า ?

ถาม : เคยนั่งคิดเล่น ๆ ว่าพระอรหันต์อภิญญากับพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ พระอรหันต์อภิญญาต้องรู้มากกว่าแน่เลย เพราะไม่มีตัวปฏิสัมภิทาญาณมาคุม การคิดแบบนี้เป็นการปรามาสท่านหรือเปล่าครับ ? แล้วที่คิดแบบนี้ถูกหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องเป็นพระอรหันต์แล้วจะรู้ ว่าคิดถูกหรือเปล่า ? แต่ขอบอกว่าผิดไปหลายลี้เลย อย่าลืมว่าพระอรหันต์ตัวปัญญาท่านต้องเลิศที่สุดแล้ว โดยเฉพาะตัวสติ มีมากกว่าเรานับประมาณไม่ได้ ผู้ที่ประกอบด้วยสติปัญญาขนาดนั้น จะบู๊อะไรท่านต้องตรองรอบคอบครบถ้วนแล้ว

ถาม : แล้วที่ผมคิดปรามาสไหม ?
ตอบ : ไม่ถึงกับปรามาสหรอก แต่ขณะเดียวกันคิดแล้วเสียเวลาเป็นบ้า ไปสงสัยเรื่องที่ไม่ควรสงสัย..!

เถรี 19-01-2010 12:08

ถาม : การที่เราใช้มโนมยิทธิ เราสามารถยกจิตไปที่หนึ่งที่ใดได้ ทำไมร่างกายเราจึงไม่สามารถไปได้ ?
ตอบ : ทำได้ แต่ต้องยกระดับขึ้นไปใช้อภิญญาใหญ่แทน ถ้าได้อภิญญาใหญ่ ใช้กสิณ ๑๐ ยกร่างกายไปเลย แต่ที่หลวงพ่อฤๅษีท่านชอบใช้มโนมยิทธิเพราะว่าไม่เหนื่อย เอาตัวไปก็คือ ลากซี่โครงตัวเองไป เหนื่อยจะตายชัก..!

ถาม : แล้วอย่างการ..(ได้ยินไม่ชัด)
ตอบ : คนที่มีความคล่องตัวแล้ว ก็เป็นส่วนของอากาสกสิณเท่านั้นเอง เขาไม่เสียเวลามาอธิษฐาน แค่คิดก็ไปแล้ว

ถาม : อันนี้เป็นเพราะว่าด้วยความที่ท่านได้ หรือด้วยเพราะจิตของท่านยอมรับ ?
ตอบ : ถ้าไม่มีของเก่าก็ไปไม่ได้ หรือถ้าไม่ได้ฝึกใหม่ก็ไปไม่ได้เหมือนกัน

ถาม : แล้วคนที่มีอภิญญายังอยู่กับลูกกับเมีย เสพกามอะไรอย่างนี้ อภิญญาเขาไม่เสื่อมหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ทำผิดศีล อภิญญาไม่เสื่อม เพราะว่าเรื่องของโลกียอภิญญา เขายังสามารถมีครอบครัวได้เป็นปกติ

ถาม : แต่มันก็มีตัวกามฉันทะมาขวาง ?
ตอบ : มี..แต่ตอนที่ท่านใช้อภิญญาท่านไม่ได้ไปนั่งทำอะไรกับเมียนี่หว่า แปลว่าของคุณแบ่งเวลาไม่เป็นนะสิ..!

เถรี 19-01-2010 17:48

พระอาจารย์ท่านกล่าวให้ฟังว่า "สมาธิ..เป็นได้ทั้งสัมมาสมาธิที่พระพุทธเจ้าต้องการ ฝ่ายมิจฉาสมาธิก็มีได้ แล้วความดีความชั่วก็ดึงดูดในสิ่งที่เป็นพวกของตัวเองได้ง่าย

เราอยู่ในสถานที่ดี คนตั้งหน้าตั้งตาทำดี พอไปถึงกำลังใจเราทรงตัวในด้านดีได้ง่าย บรรดามือปืนหรือเจ้าพ่อ ก็ดึงดูดแต่คนประเภทเดียวกันเข้าไปหา ฉะนั้น...ดีก็ดึงดี ชั่วก็ดึงชั่ว ถ้าหากกำลังใจเราไม่มั่นคง ไม่ทรงตัว ก็จะโดนอีกฝ่ายหนึ่งดึงไปได้ง่าย ถ้าโดนฝ่ายดีดึงไปก็ถือว่ากำไร ถ้าโดนฝ่ายไม่ดีดึงไป เราขาดทุนเยอะมาก"

เถรี 20-01-2010 00:28

ถาม : เราใช้กำลังฌานในการตัดกิเลสได้ไหมครับ ?
ตอบ : กำลังฌานยังไม่พอ ทำได้แค่กดกิเลสให้นิ่ง ตัวที่จะตัดจะละได้จริง ๆ เป็นปัญญา กำลังฌานเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้ปัญญาแข็งกล้าพอ กำลังฌานเป็นเหมือนกับคนเพาะกายจนแข็งแรง ส่วนปัญญาเป็นเหมือนกับอาวุธที่มีความคม มีกำลังมีอาวุธนั่นแหละ จึงจะตัดได้ มีกำลังอย่างเดียวไม่ไหวหรอก

เถรี 20-01-2010 00:30

ถาม : ถ้าในระดับการทรงฌานแล้ว ยังมีตัวกิเลสในช่วงที่กดอยู่หรือเปล่า?
ตอบ : มี เพียงแต่มันยังไม่โผล่ คิดเมื่อไหร่มันโผล่เมื่อนั้น

เถรี 24-01-2010 14:58

พระอาจารย์เล่าเรื่องกะลาให้ฟังว่า "กะลามหาอุด มันจะอุดหมด ไม่มีหน้าไม่มีตา หาได้ประมาณหนึ่งในหมื่น ถ้ากะลาตาเดียวหาได้ประมาณหนึ่งในสองพัน ถ้ากะลาสามตาพอมีเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าประมาณเท่าไร

สมัยก่อน กะลาตาเดียวเขาเอามาจารึกชื่อคู่บ่าวสาว เขาเชื่อว่าจะทำให้ครอบครัวร่มเย็นเป็นสุข นี่เป็นแค่ความเชื่อเท่านั้น ถ้าหากว่าความจริง..ก็ต้องตามพระพุทธเจ้าท่านบอก ครอบครัวจะอยู่เย็นเป็นสุขก็ต้องมีสมชีวิธรรมและฆราวาสธรรม

สมชีวิธรรม ประกอบด้วย สมสีลา มีศีลเสมอกัน สมจาคา มีการให้ทานเสมอกัน สมสัทธา มีศรัทธาเสมอกัน สมปัญญา มีปัญญาเสมอกัน แต่ก็ไม่แน่นะ บางทีก็ขึ้นอยู่กับบุพเพสันนิวาสด้วย เจอคู่เวรคู่กรรมเข้านี่ อย่างไรก็จะต้องอยู่ด้วยกันแน่ แต่ถ้าความคิดเห็นในด้านต่าง ๆ ไม่ลงรอยกัน อย่างไรก็อยู่ด้วยกันไม่ได้ ดังนั้น..สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนมา ถือว่าเที่ยงแท้เแน่นอน

ส่วนในเรื่องของฆราวาสธรรม ก็คือ สัจจะ จริงใจต่อกัน ไม่โกหกหลอกลวงทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทมะ มีความข่มใจ อดออม ถนอมปากเอาไว้ ขันติ มีความอดทนต่อการดำเนินชีวิต การมีครอบครัวต้องเหนื่อย ต้องทำงานหนักกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งงานในบ้านและงานนอกบ้าน โดยเฉพาะต้องเลี้ยงดูลูก ต้องดูแลครอบครัว ต้องดูแลญาติผู้ใหญ่ ต้องมีความอดทนอดกลั้น ยอมยากลำบาก เพื่อที่จะรอสบายตอนปลายมือ จาคะ เสียสละต่อกัน เสียสละที่สำคัญที่สุดนั้น คือ การเสียสละความสุขตนเองเพื่อคนอื่น ก็คือ สละความสุขของตนเอง เพื่อลูก เพื่อเมีย เพื่อครอบครัว

เพราะฉะนั้น..ต่อให้มีกะลาตาเดียว หรือกะลามหาอุดสักสิบใบ เขียนชื่อบ่าวสาวเอาไว้ ถ้าไม่มีหลักธรรมกำกับในการดำเนินชีวิต ครอบครัวก็ไม่แน่ว่าจะไปรอด จะว่าไปแล้วพวกกะลาตาเดียวหรือกะลาสามตา เป็นการผิดปกติทางพันธุกรรม แต่คนเรามักจะคิดว่าขลังไว้ก่อน เพราะไม่เคยเห็น"

เถรี 24-01-2010 15:03

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อายุขัยของหลวงพ่อนั้น จริง ๆ คือ ๑๒๐ ปีเศษ ๆ แต่ท่านไปเสียตั้งแต่ตอนอายุ ๗๘ เพราะฉะนั้น..อย่าประมาทนะ ต่อให้มีอายุเหลืออยู่ แต่ถ้าร่างกายไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องไป เพราะทำงานต่อไม่ได้ ไปทำในลักษณะที่คนทั่ว ๆ ไปมองไม่เห็นดีกว่า

ฉะนั้น..ถ้าหากใครเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อตั้งแต่รุ่นเก่า ๆ จะรู้สึกชัดที่สุด คือ หลวงพ่อมรณภาพแล้ว แต่เราไม่รู้สึกว่าท่านจากไปเลย รู้สึกเหมือนเดิมทุกอย่าง เพราะว่างานของท่านยังไม่หมด ท่านยังต้องทำหน้าที่เดิมต่อไป วาระอายุขัยของหลวงพ่อจริง ๆ อยู่ถึงปี ๒๕๗๙ แต่คราวนี้ก็ไปมั่นใจมาก ๆ ว่าท่านจะอยู่ไหว พอท่านตรากตรำงานมาก ๆ สังขารท่านไม่ไหวก็ไปเลย"

เถรี 24-01-2010 15:16

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อสุรินทราหู เป็นหนึ่งในมหาอำมาตย์ยักษ์ ๒๔ ตน มีเวปจิตตาสูร สาตาครียักษ์ กระทั่งอาฬวกยักษ์ ฯลฯ พระราหูท่านปรารถนาพระโพธิญาณ จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล มีพระนามว่า สมเด็จพระนารทสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในบทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยว่า นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ผูกขึ้นมาจากคำสรรเสริญพระพุทธเจ้า ของบรรดาเทวดาต่าง ๆ นะโม สาตาครียักษ์เป็นผู้สรรเสริญพระพุทธเจ้า ตัสสะ อสุรินทราหูเป็นผู้สรรเสริญพระพุทธเจ้า ภะคะวะโต ท้าวมหาราชทั้งสี่เป็นผู้สรรเสริญพระพุทธเจ้า อะระหะโต พระอินทร์เป็นผู้สรรเสริญ สัมมาสัมพุทธัสสะ ท้าวสหัมบดีพรหมเป็นผู้สรรเสริญ

เขาผูกเป็นบาลีว่า นะโม สาตาคิรายักโข ตัสสะ จะ อะสุรินทะโก ภะคะวะโต มะหาราชา สักโก อะระหะโต ตะถา สัมมาสัมพุทธัสสะ มะหาพรัหมา ปัญจะ เอเต นะมัสสะเร

แต่ถ้าจะเอาสุดยอดในการผูกกลอนสรรเสริญพระพุทธเจ้า ต้องเป็น พระวังคีสเถระ ท่านสามารถจับเอาเหตุการณ์รอบข้างต่าง ๆ มาผูกเป็นโคลงเป็นกลอน แล้วสรรเสริญพระพุทธเจ้าได้ทุกครั้งที่ต้องการ ถ้าใครเรียนประโยค ๘ ประโยค ๙ คงจะต้องบูชาพระวังคีสะเถระเป็นพิเศษ เพราะประโยค ๘ ประโยค ๙ ต้องแต่งฉันท์เป็นภาษาบาลี แต่งโคลงแต่งฉันท์เป็นภาษาไทยก็แย่แล้ว นี่ต้องแต่งเป็นบาลีอีก"

เถรี 24-01-2010 15:30

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน ท่านบอกว่า ความไม่พอพาจนเป็นคนเข็ญ พอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาล จนทั้งนอกจนทั้งในไม่ได้การ ต้องคิดอ่านแก้จนเป็นคนพอ

ถ้าคนไม่รู้จักพอ ต่อให้เขามีเป็นพันล้าน ก็ยังคงต้องไขว่คว้าหาต่อไป ก็เท่ากับว่ายังไม่รวยสักที แต่คนที่รู้จักพอ มีพอสมควรแล้ว ก็ไม่ดิ้นรนมาก รู้จักแบ่งปันคนอื่นเขา ก็เหมือนเป็นคนรวย

ฉะนั้น..คนมีเงินมาก ไม่แน่ว่าจะรวยนะ ถ้าว่ากันตามแนวคิดของหลวงปู่ มีเงินก็ยังจนอยู่เลย เพราะยังดิ้นรนหาไปเรื่อย แต่คนมีเงินน้อย ๆ แล้วมีความสุข รู้สึกว่าบ้านเราจะหายาก แต่ที่ภูฏาน บ้านเขาบริหารประเทศโดยกำหนดความสุขมวลรวมประชาชาติ บ้านเรานี่กำหนดโดยรายได้มวลรวมประชาชาติ"

เถรี 25-01-2010 12:07

พระอาจารย์เล่าเรื่องมะเมียะให้ฟังว่า "สมัยก่อน เชียงใหม่ของเราเป็นเมืองขึ้นของพม่าบ่อย พอตอนหลังพม่าเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ความเจริญต่าง ๆ ก็ไหลไปอยู่ที่พม่าหมด สมัยนั้น บรรดาลูกเจ้าลูกนาย ถ้าไม่ส่งไปเรียนที่อินเดียหรือยุโรป ก็จะส่งไปเรียนที่มะละแหม่ง

เจ้าน้อยศุขเกษม เป็นลูกของเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ท่านส่งไปเรียนที่มะละแหม่ง เพราะเดินทางไม่ไกลเกินไป ปรากฏว่าเจ้าน้อยศุขเกษมไปพบรักกับมะเมียะ ที่มะละแหม่ง พอเรียนจบเจ้าน้อยก็พามะเมียะกลับมาด้วย เจ้าพ่อท่านไม่พอใจ เพราะว่าตอนนั้นกรุงเทพฯ ที่เขาเรียกว่าสยาม ปกครองล้านนาอยู่ และสยามกับพม่ายังถือว่าเป็นศัตรูกันอยู่ ในช่วงนั้นยังห่างจากสงครามกับพม่าครั้งสุดท้ายไม่นาน พูดง่าย ๆ ว่ายังอยู่ในช่วงชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่ยังฝังใจอยู่ว่าพม่าเป็นศัตรู ตัวเองอยู่ใต้การปกครองของสยาม ดันไปเอาสาวพม่ามาแต่งงานด้วย ลองคิดดูถ้าหากว่าเป็นผู้ครองนครที่เขามองการณ์ไกล เขาจะมองอย่างไร ? กำลังเอาความเดือดร้อนมาให้แล้ว ถ้าเกิดสยามเขาเอาเรื่องขึ้นมา ล้านนาก็ตายพอดี ก็เลยบังคับให้ส่งมะเมียะกลับ

เจ้าน้อยศุขเกษมก็จำเป็นต้องจัดขบวนช้าง ส่งมะเมียะกลับ คราวนี้การแสดงออกความเคารพของผู้หญิงพม่า ผู้หญิงพม่าเขาจะไว้ผมยาวแล้วม้วนเป็นมวยขึ้นข้างบน ถ้าเขาคลี่ผมมาเช็ดเท้าให้ใคร แสดงว่าเคารพคนนั้นเท่ากับชีวิตตนเอง อาตมาไปอยู่พม่า บางทีเจอแม่ออกแม่ขาว เขาเคารพเรามาก เขาคลี่ผมมาเช็ดเท้าให้เราเลย ยังต้องมาคิดว่า ความดีเรามีพอหรือนี่ ?

ฉากที่มะเมียะเขาคลี่ผมมาเช็ดเท้าให้เจ้าน้อยศุขเกษม ทำให้คนที่ใจแข็งขนาดไหน ก็มีความรู้สึกว่า เราไม่น่าจะไปพรากชายหญิงคู่นี้ออกจากกัน

เมื่อมะเมียะกลับไปมะละแหม่ง เจ้าน้อยกินไม่ได้นอนไม่หลับ ป่วยตายเลย ถ้าเป็นสมัยก่อน เขาเรียกว่าตรอมใจตาย แต่มะเมียะกลับไปมะละแหม่ง ไปบวชชีอยู่ที่วัดไจ๊ซานลาน ยังดีที่อาตมามารู้เรื่องนี้ทีหลัง ไม่อย่างนั้นจะไปเดินดูว่ามีประวัติตรงนี้อยู่หรือเปล่า ? ถ้ามีโอกาสไปใหม่ จะลองไปสืบประวัติดู เรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือในราชสำนักฝ่ายเหนือมาก ทางพม่าเขาก็นิยมพวกจดหมายเหตุ น่าจะมีบันทึกเอาไว้บ้าง"


หมายเหตุ : รูปเจ้าน้อยศุขเกษมค่ะ http://www.oknation.net/blog/home/bl...ic1/jonas3.jpg
ส่วนรูปมะเมียะหาไม่ได้

เถรี 26-01-2010 17:54

พระอาจารย์ท่านได้เหรียญเก่า ๆ หลายประเทศมา นำมาให้พวกเราดู หลังจากนั้นท่านก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับเหรียญให้ฟังว่า "มีพ่อค้าของเก่าอยู่คนหนึ่ง เขาขึ้นเครื่องบิน เอามือกุมกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา แอร์โฮสเตสเห็นผิดสังเกตก็เลยถาม เขากระซิบบอกว่า กำลังเอาเหรียญไปส่งลูกค้า เพราะว่ามีคนประมูลเหรียญเอาไว้ประมาณ ๗ เหรียญ ราคา ๔ แสนกว่าดอลลาร์ ที่เอามือกุมกระเป๋าเพราะกลัวเหรียญจะหาย"

แล้วท่านก็เล่าเรื่องที่สองให้ฟังว่า " มีคุณยายอยู่คนหนึ่ง ฐานะยากจนมาก ไม่มีเงินจะซื้ออาหาร ก็เลยไปงัดเอาเหรียญเก่า ๆ มา ไปถามร้านขายขนมปัง ว่าเหรียญนี้ยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า เจ้าของร้านเห็นแล้วตาโตเลย บอกให้ยายไปอีกร้านหนึ่ง ร้านนั้นเป็นพวกรับซื้อเหรียญเก่า ปรากฏว่าเหรียญที่ยายหอบมานั้น ยายแลกได้เงินเกือบล้าน..!

ตอนยายยังเด็ก ยายก็เก็บเหรียญสะสมไปเรื่อย ไม่รู้ว่าพอถึงรุ่นนี้กลายเป็นของสะสมราคาแพง ต้องบอกว่าบุญมีแต่กรรมมันบัง นั่งทับขุมทรัพย์อยู่ แต่ตัวเองไม่รู้ ถ้าหากว่าไม่ไปเจอเจ้าของร้านขายขนมปังที่เขามีศีลมีธรรม อาจจะโดนเขาหลอกได้"

เถรี 26-01-2010 17:56

ถาม : ถ้าเจ้าของร้านขนมปังเขาหลอกเอาเหรียญนั้นจากยาย จะผิดศีลหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ นึกถึงเรื่องที่พระเทวทัตกับพระพุทธเจ้าจองล้างจองผลาญกันมาตั้งแต่ชาติแรก ต่างคนต่างเป็นพ่อค้าเหมือนกัน ไปหาซื้อของเก่า มีคุณยายคนหนึ่งเคยอยู่ในครอบครัวเศรษฐีมาก่อน ยายไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรที่เหลือ นอกจากถาดอยู่ใบหนึ่ง ตั้งใจจะไปแลกเป็นเครื่องประดับให้หลานสาว ก็เลยเอาไปยื่นให้กับพ่อค้าที่เป็นพระเทวทัตในชาตินั้น

พระเทวทัตลองขีดถาดใบนั้นดู ก็รู้ว่านี่เป็นถาดทองคำแท้ ราคาได้แสนกหาปณะ แต่พระเทวทัตบอกกับยายว่า "ไม่มีราคาหรอก ไม่สามารถที่จะแลกได้" พระเทวทัตก็ทำเป็นไม่สนใจ เดินไปที่อื่น กะว่าเดี๋ยวจะกลับมาเอาถาดใบนี้ ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าในชาตินั้นท่านเป็นพ่อค้าเหมือนกัน พอยายเอาถาดไปให้พระพุทธเจ้า ท่านลองขีดถาดดู ทราบว่าเป็นทองคำแท้ จึงตีราคาให้หนึ่งแสนกหาปณะ ยายดีใจมากจนเป็นลม เพราะตอนแรกตั้งใจแค่จะแลกเครื่องประดับเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าในชาตินั้นก็มอบเงินให้ยายแสนกหาปณะ แล้วเอาถาดกลับไป

ทีนี้ท่านเป็นพ่อค้าสำเภา ท่านก็ขึ้นเรือไป ทางด้านพระเทวทัตที่เป็นพ่อค้า เมื่อได้ยินข่าวว่ายายขายถาดใบนั้นไปแล้วก็เป็นลมเหมือนกัน สำหรับยายนั้นเป็นลมเพราะดีใจ แต่พระเทวทัตเป็นลมด้วยความโกรธ ก็เลยตามพระพุทธเจ้าไป ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าที่เป็นพ่อค้าออกเรือแล้ว พระเทวทัตก็เลยกอบทรายที่ชายหาดขึ้นมา บอกว่า "จะตามจองล้างจองผลาญพระพุทธเจ้าให้เท่ากับจำนวนเม็ดทรายที่กอบขึ้นมา"

เรื่องของพระพุทธเจ้าและพระเทวทัตเริ่มต้นจากเรื่องอย่างนี้ แล้วเรามาดูว่าผิดศีลไหม ? เจตนาโกงอย่างชัดเจน ของพระท่านมีขโมย ฉ้อโกง ลักสับ ซ่อนเร้น อย่างเช่นว่า เห็นทรัพย์ตกอยู่แล้วเอาใบไม้กลบไว้ ถึงเวลาเจ้าของหาไม่เจอ เราก็แอบมาเอา หรือว่าตัวเองได้สลากเบอร์นี้ รู้ว่าได้ของไม่ดี ก็แอบสลับกับสลากของเพื่อน ถ้าเป็นอย่างนี้พระพุทธเจ้าปรับปาราชิกหมด


ถาม : ยายเขาตั้งใจจะแลกเครื่องประดับเท่านั้น ถ้าได้เงินไม่ถึงมูลค่าสิ่งของ มันผิดด้วยหรือคะ ยายเขาไม่รู้ราคานี่คะ ?
ตอบ : ยายเขาไม่รู้ แต่พ่อค้ารู้

ถาม : ผิดหรือคะ ?
ตอบ : ผิดสิ เพราะรู้ ถ้าหากจะแลก ต้องแลกตามมูลค่า

เถรี 26-01-2010 18:02

ในเรื่องคำพูดของคน พระอาจารย์ท่านบอกว่า "ท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านบอกว่า ดีแสนดี...ถ้าเขาจะติ เขาก็หาเรื่องมาติ ชั่วแสนชั่ว..ถ้าเขาจะชมมัน มีลูกคุณช่างติคนหนึ่ง ไปกราบพระพุทธชินราช ที่ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่งามที่สุดของประเทศไทย กราบแล้วก็ดู ดูแล้วดูอีก เดินดูจนรอบ ในที่สุดเขาก็บอกว่า สวยอยู่หรอก เสียอย่างเดียวพูดไม่ได้..! เขาหาที่มาติจนได้"

เถรี 26-01-2010 18:18

ถาม : ธรรมใดที่ทำให้พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง สามารถอยู่ในนรกโดยที่ไม่มีความทุกข์ในการที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ในนรกได้ ?
ตอบ : กำลังใจอย่างเดียวเลย

ถาม : ท่านต้องภาวนาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือเปล่าครับ หรือท่านอยู่ในระดับที่หลุดพ้นการภาวนาไปแล้ว ?
ตอบ : ถ้าถึงระดับนั้นอภิญญาเป็นเรื่องเล็กแล้ว จะไปไหนก็ไปได้ จะอยู่ไหนก็อยู่ได้

ถาม : แล้วพระโพธิสัตว์องค์นั้นเกิดมีการแบ่งภาคมาจุติ แล้วเขาต้องทำขนาดไหน ?
ตอบ : ไม่มีการแบ่งภาค

ถาม : ระดับนั้นไม่มีการแบ่งภาคหรือครับ?
ตอบ : มาก็คือมาเลย

ถาม : ถ้ามาก็ต้องมาเริ่มต้นใหม่หรือครับ?
ตอบ : ต่อของเก่าสิวะ..!

ถาม : ทำสมาธิอย่างไรจึงจะต่อของเก่าได้ครับ ?
ตอบ : เหมือนเดิม

ถาม : ก็คือ ตัวสังโยชน์ ๑๐ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : นั่นยิ่งต้องทำให้หนักเลย เพราะว่าถ้าไม่รู้แล้วจะไปสอนเขาได้อย่างไร เพียงแต่ว่ารู้ แต่กำลังใจไม่ได้ตัด

เถรี 26-01-2010 18:21

ถาม : พระโพธิสัตว์นี่ บารมีท่านต้องถึงที่สุดหรือครับ ท่านจึงจะได้เจอพวกนางแก้ว ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงที่สุดหรอก แค่ในระดับกลาง ๆ ก็พอแล้ว เพราะส่วนใหญ่ช่วงอุปบารมีเป็นช่วงที่เขาสร้างบารมีเข้มข้นมาก มักจะเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ และก็ได้สร้างสมบุญกุศลใหญ่ ๆ อาจจะได้สละอวัยวะ ควักดวงตา ตัดศีรษะถวายพระ ถ้ายังไม่ถึงอย่างนั้นตัดไปก็ไม่มีประโยชน์ นางแก้วก็นางแก้วเถอะ อาจไปอยู่กับคนอื่นก็ได้

เถรี 26-01-2010 18:22

ถาม : เด็กเกิดมาแล้วจะมีความจำเดิมอยู่ไหมครับ?
ตอบ : เป็นบางคน บางคนนี่จำได้หมดเลย แล้วก็ขัดใจด้วยว่าทำไมตอนนี้ทำอะไรไม่ค่อยได้

พวกที่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคนเลยจะจำได้ เพราะไม่โดนคั่นด้วยระยะเวลาอันยาวนานของสุคติหรือทุคติ เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นเด็กบางคนไม่กี่ขวบก็จบด็อกเตอร์ นั่นก็แค่เอาความรู้เดิมมาใช้เท่านั้น

เถรี 26-01-2010 18:24

ถาม : ถ้าฝันเห็นครูบาอาจารย์ เป็นเรื่องยาวเลย อย่างนี้ใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นเรื่องธรรมดา

ถาม : แล้วถ้าชอบฝันเรื่องเดิมบ่อย ๆ
ตอบ : อาจจะเป็นสัญญาเก่า

เถรี 26-01-2010 18:27

ถาม : ยุคนี้พวกหญิงที่เป็นชาย มีอยู่เยอะ
ตอบ : มันเป็นช่วงที่พวกนี้เขาเกิดมาสร้างบารมี

ถาม : สมัยก่อนมีอย่างนี้ด้วยหรือครับ ที่ผู้หญิงเริ่มเป็นผู้ชาย ?
ตอบ : นาน ๆ ทีจึงจะมี

ถาม : จำเป็นจะต้องเป็นทุกคนไหมครับ ?
ตอบ : เป็นทุกคน เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้พวกบารมีเข้มเขามาเกิด ก็จะเป็นเพศชัดเจนมาเลย นาน ๆ จึงมีแทรกมา พอระยะหลังพวกบารมีปานกลางเขาจะมากันเยอะ เพราะพวกบารมีเข้มเขากวาดไปหมดแล้ว


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:07


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว