กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5466)

เถรี 07-03-2017 22:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางคณะกรรมการที่ดูแลบ้านเติมบุญอยู่ อาจจะมีการออกกฎหรือระเบียบการปฏิบัติอะไบางอย่างออกมา เพื่อความสงบเรียบร้อยของที่นี่ ความจริงไม่จำเป็นต้องมีกฎก็ได้ เพราะว่าโดยสามัญสำนึกแล้ว แต่ละคนที่มต้องการในส่วนของบุญกุศล อาจจะมีอะไรที่ชี้แจงเป็นคราว ๆ ไปเท่านั้น

มีส่วนหนึ่งที่อาตมามองเห็นแล้วไม่อยากให้เป็นกฎ แต่อยากไปกระทืบ...! ก็คือพวกที่ไปนอนอืดอยู่ชั้นล่างเหมือนกับผีตายลอยน้ำ โดยเฉพาะทิดเต้ย จะทำตัวอะไรก็ให้รู้จักเกรงใจสถานที่บ้าง คนเข้ามาทำบุญ เขามาถึงเห็นอย่างนั้นก็ถอยหลังแล้ว นึกว่าผีตายขึ้นอืดมาหลายวัน จะไปแจ้งตำรวจมาดู

คนใหม่เดินเข้ามาถึงเห็นลูกศิษย์เป็นอย่างนี้ ครูบาอาจารย์ต้องใช้ไม่ได้แน่เลย
ดีไม่ดีก็หันหลังกลับ แต่ไอ้ตัวเองก็โง่เขลาเบาปัญญาจนกระทั่งไม่รู้ว่า การกระทำของตนเองทำให้คนอื่นเขาเสียหายหรือเดือดร้อนอย่างไร ก็ยังคงทำตามใจตัวเอง อาตมายืนยันว่าไม่ต้องตั้งกฎหรอก แต่ถ้าเห็นแล้วช่วยกระทืบให้ที..!"

เถรี 08-03-2017 09:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องใหญ่ในวงการสงฆ์ปัจจุบันนี้คือวัดพระธรรมกาย อย่าทำตัวเป็นกองเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะว่าถ้าทำตัวเป็นกองเชียร์เมื่อไร เราจะสร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว

ถ้าใครลองไปอ่านเรื่อง "อัศจรรย์โลกใบนี้" ในเว็บวัดท่าขนุน จะมีเปรตอยู่ตนหนึ่ง ด่าบุคคลที่ต้องอาบัติปาราชิก แล้วตัวเองไปเกิดเป็นเปรต ต้องทนทุกข์ยากหิวโหยอยู่เป็น ๑,๐๐๐ ปี อย่าลืมว่าแม้บุคคลนั้นจะต้องอาบัติปาราชิก แต่จากการที่เราด่า เราไม่ได้ด่าตัวบุคคล เราใช้คำว่า พระ ซึ่งคำว่า พระ แปลว่า ผู้ประเสริฐ โดยเฉพาะสมัยนี้เห็นในโซเชียลมีเดียมีการคอมเมนต์ต่าง ๆ ใช้คำพูดรุนแรงมาก ด่ากันหยาบ ๆ คาย ๆ โดยใช้คำว่าพระ แต่ละคนตายเมื่อไรจะรู้ว่าตนเองจะได้รับโทษอะไรบ้าง..!

เรื่องของเรื่องจะจบง่าย ถ้าฝ่ายท่านเจ้าคุณธัมมชโยมอบตัว แต่ท่านคงกลัวว่าเรื่องจะจบ ก็เลยไม่ยอมมอบตัวสักที"

เถรี 08-03-2017 09:47

"เหตุการณ์จากการที่พระรูปหนึ่งทำความผิด ได้รับการวินิจฉัยจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆมหาปริณายก อดีตสมเด็จพระสังฆราชว่าต้องอาบัติปาราชิกแล้ว ขาดความเป็นพระ แต่ไม่มีใครกล้าดำเนินการให้เด็ดขาดลงไป ก็เลยกลายเป็นฝังรากลึกมาหลายปี สร้างความเสียหายบอบช้ำให้กับพระศาสนามาก เพราะว่าบุคคลที่เกิดศรัทธาอยู่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น

บุคคลที่ศรัทธาส่วนใหญ่เป็นอธิโมกขสัทธา คือศรัทธาโดยขาดปัญญาประกอบ มองไม่เห็นว่าท่านสอนผิดไปจากพระธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดนเปลือกนอกที่ท่านจัดเอาไว้อย่างสวยงามเป็นระเบียบเรียบร้อย บดบังสายตาไป โดนเปลือกนอกที่ท่านจัดงานใหญ่ ๆ ดึงคนเป็นแสนเป็นล้านมาทำบุญที่วัดบดบังสายตาไป

ในเมื่อบุคคลเกิดศรัทธาเลื่อมใสขึ้นมา เวลาคนอื่นพูด ก็ไม่มีสติยั้งคิด คิดอยู่อย่างเดียวว่าไปใส่ร้ายใส่ความหลวงพ่อของตนเอง โดยที่ลืมคิดไปว่า ถ้าหลวงพ่อของตนเองบริสุทธิ์จริงอย่างที่ย้ำกันอยู่ทุกวัน ทำไมถึงไม่มอบตัวสู้คดี ?"

เถรี 08-03-2017 09:53

"เราจะไปอ้างว่ารัฐบาลปัจจุบันนี้มาโดยไม่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย เรื่องนี้เกิดก่อนจะมีรัฐบาลนี้ตั้งนาน ถ้าหากว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดพลาดจริง ๆ ทำไมถึงไม่มอบตัวให้หมดสิ้นเรื่องราวไป ? กลายเป็นไปดึงยื้อเอาไว้ ใช้กำลังคนในการปกป้องตนเอง ซึ่งถ้ามั่นใจว่าไม่มีความผิด ทำไมต้องให้คนมาปกป้อง ?

ส่วนในการจัดการของรัฐบาลที่บอกว่าใช้มาตรา ๔๔ ของเผด็จการ อย่าลืมว่าสิ่งที่ดำเนินการไปนั้นถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่แรก ก็คือมีหมายค้น มีคำสั่งศาล ต่อให้เราไม่เคยทำผิดอะไรเลย ถ้าอยู่ในบ้านเติมบุญหลังนี้ มีตำรวจมาพร้อมกับหมายค้นที่ถูกต้อง อาตมาเองอย่างเก่งก็ขอตรวจสอบดูบัตรประจำตัวว่าเป็นตำรวจจริงหรือเปล่า ถ้าเราไม่ทำผิดอะไร ก็มีอย่างเดียวคือต้องให้เขาตรวจค้น โดยที่เราเองก็คงจะต้องกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการกลั่นแกล้งเท่านั้น

พวกเราทั้งหมดถ้าหากว่ามีสติ เรื่องจะไม่ใหญ่โตไปขนาดนี้ ทุกวันนี้เขาพยายามจะทำเรื่องให้ใหญ่ เพื่อที่จะปกปิดความผิดพลาดของบุคคล เราจะสังเกตว่ามีการฟ้องชาวโลก เพื่อที่จะกดดันรัฐบาลไทย ถามว่าฟ้องอย่างไร ? ก็ป้ายแต่ละป้ายที่เขียน ภาษาไทยก็มีทำไมต้องใช้ภาษาต่างประเทศ ? เจตนาเห็นอย่างชัดเจน แล้วไปเที่ยวโทษรัฐบาลว่าต้องใช้อำนาจของมาตรา ๔๔ ขนาดใช้มาตรา ๔๔ เขายังไม่ยอมรับกันเลย"

เถรี 08-03-2017 09:57

"พระพุทธเจ้าตรัสว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชูนํ อนุวตฺติตุํ แปลว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจำเป็นต้องคล้อยตามพระราชาทั้งหลาย คำว่าพระราชาของสมัยก่อนก็คือกฎหมาย เพราะว่าสิ่งที่รับสั่งทุกอย่างเท่ากับเป็นกฎหมาย ในเมื่อปัจจุบันนี้กฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรแบบนี้ ก็คือให้เราทำตามกฎหมายบ้านเมือง

ในส่วนของการคล้อยตามกฎหมายบ้านเมือง อะไรก็ตามที่ว่าไปตามกฎหมาย โอกาสที่จะกลายเป็นที่โจมตีของคนอื่นก็ไม่มี ส่วนขณะเดียวกันบุคคลที่เข้าไปจัดการในเรื่องนี้ ควรที่จะเป็นบุคคลที่รู้เรื่องของพระภิกษุสามเณรเป็นอย่างดี ในการที่เรารู้เรื่องพระภิกษุสามเณรเป็นอย่างดี ย่อมสามารถหักล้างในสิ่งที่เขากล่าวหากันอยู่ทุกวันได้

ปัจจุบันนี้บุคคลที่อาตมาสงสารที่สุด มี ๒ คน คนแรก คือ พระสนิทวงศ์ที่ออกมาให้ข่าวอยู่ทุกวัน อาตมาเป็นห่วงว่าท่านได้หลับได้นอนบ้างไหม ? ถ้าอยู่ ๆ ล้มตึงลงไปก็จะกลายเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมาอีก บุคคลที่ ๒ ก็คือท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่านจะจัดการเด็ดขาดแบบทหารก็ไม่ได้ เพราะว่านั่นคือพระ

อย่าลืมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระธรรมวินัยหรือศีลต่าง ๆ ขึ้นมา ข้อหนึ่งท่านว่า ทุมมังกูนัง ปุคคะลานัง นิคคะหายะ เปสะลานัง ภิกขูนัง ผาสุวิหารายะ แปลว่า เพื่อกดข่มผู้เก้อยาก คือไอ้พวกหน้าด้าน ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด"

เถรี 08-03-2017 10:00

"ประการที่ ๒ ก็คือ เพื่อความผาสุกของภิกษุที่มีศีลอันเป็นที่รัก ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลคนเดียวทำให้เดือดร้อนกันไปทั้งประเทศได้ ในส่วนนี้ทางรัฐบาลขาดทีมงานอยู่ทีมหนึ่ง ก็คือทีมงานที่รู้กฎหมายและเรื่องราวตั้งแต่ต้นโดยละเอียด รู้เรื่องของศีลของพระโดยละเอียด แล้วทำการชี้แจงว่าทางวัดธรรมกายทำอะไรผิดบ้าง เขาออกข่าวรายวันได้ เราก็ต้องทนออกข่าวรายวันให้ชาวบ้านได้รับรู้ เพราะว่าปัจจุบันนี้ใครคุมสื่อไว้ได้คือถืออำนาจไว้ในมือ

รัฐบาลจะคิดว่าไปปิดทีวีธรรมกายแล้ว ตัดสัญญาณโทรศัพท์แล้ว ไม่แน่นัก เพราะว่าสมัยนี้เทคโนโลยีก้าวหน้าไปไกลมาก หากว่าปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งช่วงชิงสนามข่าวอยู่ตลอดเวลา แล้วในส่วนของสื่อมวลชนที่ปราศจากจรรยาบรรณ มีแต่จะโหมกระพือเพื่อขายข่าว ก็จะทำให้รัฐบาลทำงานยากขึ้น

ถ้าถามอาตมาว่าเห็นด้วยไหมในการจัดการกับเจ้าคุณธัมมชโยอยู่ที่ผิดพระธรรมวินัย ดัดแปลงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาเห็นด้วย แต่วิธีการที่จัดการยังไม่ถูกต้อง ควรที่จะมีการปรับปรุงเสียใหม่ โดยเฉพาะว่าหลวงพ่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ อดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชยังอยู่ ถ้าเป็นอาตมาจะนิมนต์หลวงพ่อนั่งลีมูซีนเข้าไปหาเลย บอกให้ลูกศิษย์ออกมามอบตัวเพื่อแสดงความบริสุทธิ์เสีย

ถ้าหากว่าระดับพระอุปัชฌาย์อาจารย์เข้าไปอย่างนั้นแล้วยังไม่ยอมมอบตัว ก็แปลว่ามีความผิดติดตัวอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นทำไมถึงไม่ยอมมอบตัว จะมาอ้างว่ารัฐบาลนี้เผด็จการ ถึงเวลารับคดีไปคนโน้นตับแตกตาย คนนี้ถึงขนาดติดคุกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด นั่นเป็นการกล่าวหากันเกินไป เรื่องใหญ่ที่ทั่วโลกให้ความสนใจแบบนี้ สะกิดสะเกาแม้แผลถลอกแค่รอยแมวข่วนก็เดือดร้อนกันหมดแล้ว ใครจะไปโง่ทำให้เรื่องแบบนั้น"

เถรี 08-03-2017 10:02

"เพราะฉะนั้นในส่วนนี้ถ้าเป็นไปได้ วิธีการจัดการเพื่อให้เรื่องสงบลงไปมีมาก เพียงแต่ว่าทำกันแบบขาด ๆ เกิน ๆ กลายเป็นช่วยกันโหมไฟใส่ประเทศชาติ ส่วนที่เสียหายที่สุดก็คือบ้านเมืองของเรา เพราะว่าตอนนี้แบ่งแยกกันเป็นฝักเป็นฝ่าย ท่านที่ให้ความศรัทธาก็ไม่ฟังเสียงคนอื่น เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อ ส่วนหลวงพ่อผู้มั่นใจในความบริสุทธิ์กลับไม่ยอมมอบตัว เพราะกลัวว่าจะไม่บริสุทธิ์ เรื่องก็เลยไปกันใหญ่

แต่ว่าโทษใหญ่ที่จะเกิดขึ้น ก็คือ
ถ้าเราไปเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กาย วาจา ใจ ของเรานั่นแหละที่จะเป็นทุกข์เป็นโทษ เพราะฉะนั้น...ควรที่จะอยู่ในความสงบ แล้วก็คอยดูว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดโทษแก่ตนเอง อย่างต่ำ ๆ ก็ไปเป็นเปรต อย่างเรื่องที่อยู่ในเว็บวัดท่าขนุน ลองไปค้นอ่านกันเอาเอง"

เถรี 08-03-2017 10:08

"หลวงพ่อวัดท่าซุงเคยกล่าวเตือนไว้นานแล้วว่า ถ้าพูดถึงตัวบุคคลที่เป็นนักบวชอย่าใช้คำว่าพระ เพราะคำว่าพระเหมารวมตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา กลายเป็นจะสร้างโทษใหญ่ให้เกิดแก่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว

อาตมาเห็นแต่ละคนแล้ว ในปัจจุบันนี้เหมือนกับว่าถ้าสามารถแสดงความเห็นในลักษณะด่าพระได้แล้ว รู้สึกว่าโก้หรือว่าเท่มาก อยากจะบอกว่าอาตมารู้สึกหวาดกลัวแทนพวกเขา แต่ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร ถ้าหากว่าตายลงไปวันไหน มาขอร้องให้อาตมาไปช่วยก็คงไม่ทันแล้ว

โซเชียลมีเดียมีดีตรงที่ว่าข่าวคราวทุกอย่างไปได้เร็ว แต่พอไปเร็ว การแสดงความเห็นนั่นแหละ ที่ไปกระพือเรื่องราวให้ร้ายแรงแล้วก็รุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ ควรที่จะได้สติหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำการทำงาน ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เรื่องจะจบอย่างไรเรามีโอกาสได้ดูได้เห็นแน่ ๆ อย่าไปใส่อารมณ์ตาม แล้วทำให้ใจของเราเศร้าหมอง

นักปฏิบัติธรรมที่ดี ถ้าสภาพจิตใจของตนเองเศร้าหมองจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะว่าทำให้ผลการปฏิบัติของเราถอยหลังไปอีกนาน กว่าจะขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสคืนมาได้ก็เสียเวลามาก ถ้าตายลงไปตอนนั้นก็ขาดทุนอีก เพราะจิตใจที่เศร้าหมองย่อมพาลงสู่อบายภูมิ"

เถรี 08-03-2017 10:11

"ทำใจไว้ว่าถึงจะเชียร์ฝ่ายไหนเราก็ต้องกิน ในเมื่อเราต้องกินก็ต้องทำมาหากิน ทำมาหากินแล้วไม่ดี ก็แปลว่าเราทุ่มเทความพยายามไม่พอ หน้าที่การงานถึงไม่ก้าวหน้า กิจการถึงไม่ก้าวหน้า

ให้ทุ่มเทใช้ความพยายามทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจของเราไปลงทำงานตรงหน้า ถ้าว่างเว้นจากกิจการงานของเราเมื่อไร ก็หันมาอยู่กับการภาวนาของเรา อยู่กับศีล สมาธิ ปัญญาของเรา ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่จะก้าวหน้าทั้งทางโลกทางธรรมก็จะมีได้


ถ้ามัวแต่ไปเชียร์เขาอยู่ก็ลำบาก สภาพจิตเศร้าหมองโกรธแค้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขึ้นมา ก็จะกลายเป็นเกิดโทษแก่ตัวของเราเอง"

เถรี 08-03-2017 20:30

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนลืมง่ายมี ๒ ประเภท อย่างแรกคือไม่ทุกข์ ประเภทที่สองคือ ลืมง่ายแต่ดันลืมทุกเรื่องยกเว้นเรื่องทุกข์ ก็เลยกลายเป็นแบกความทุกข์อยู่ตลอดไม่ยอมลืม

ต้องลืมง่ายให้ทุกเรื่อง อย่าจดจำในส่วนความเลว แต่ให้จดจำในส่วนที่เป็นความดี ตั้งหน้าตั้งตาสร้างความดีใน ทาน ศีล ภาวนา ของเราไป ผิดพลาดเมื่อไก็แก้ไขพัฒนา กาย วาจา ใจ ของตัวเองไปเรื่อย ๆ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติมีมากขึ้นไปเรื่อย โอกาสที่จะล่วงพ้นจากกองกิเลสก็มี"

เถรี 08-03-2017 20:34

ถาม : เส้นแบ่งระหว่างดันทุรังกับความพยายาม ?
ตอบ : ความพยายาม ก็คือ ถ้าหากว่ายังไม่สำเร็จเราก็ทำไปเรื่อย ๆ ส่วนดันทุรังนี่เกิดจากอารมณ์แค่ชั่ววูบ ห้ามใช่ไหม...? กูจะทำ

วายเมเถว ปุริโส เกิดเป็นคนพึงพยายามร่ำไป นี่เป็นพระพุทธดำรัสเลยนะ ไม่สำเร็จไม่เลิก ดูอย่างเอดิสันสิ...ทดลองมา ๒๐๐ กว่าวิธีแล้วไม่สำเร็จ ถ้าเขาเลิกเราก็ไม่มีหลอดไฟใช้มาจนทุกวันนี้ แต่ว่าท่านก็ทำจนสำเร็จ

เถรี 08-03-2017 20:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีที่แล้วเตือนญาติโยมว่าปีนี้ให้ระวังภัยแล้ง ยังไม่ทันจะเข้าหน้าแล้งจริง ๆ เลย แล้งจนขนาดนี้แล้ว"

เถรี 08-03-2017 20:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ หล่อหลวงพ่อพุทธสิหิงค์เนื้อเงินไปแล้ว ปรากฏว่ามีเหตุซึ่งไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเหตุอัศจรรย์ดีหรือไม่ ? เพราะว่าช่างหล่อคำนวณเนื้อเงินที่ใช้ในงานว่าประมาณ ๑๔๐ กิโลกรัม จากตอนแรกว่าเฉพาะพระองค์ ๑๒๐ กิโลกรัม แล้วอีก ๒๐ กิโลกรัมขอให้เป็นชนวน อาตมาก็เลยแถมให้อีก ๑๐ กิโลกรัม ก็แปลว่ารวมแล้วทั้งสิ้นใช้เม็ดเงินไป ๑๕๐ กิโลกรัม

แต่พอหล่อเสร็จแล้วเหลือน้ำเงินอยู่เยอะมาก เท
ออกมาเป็นแท่งแล้วชั่งได้ ๕๐ กิโลกรัมกับอีก ๒ ขีด เกินมาจากไหนก็ไม่รู้ ? เพราะด้วยความชำนาญของช่างที่กะจากขนาดหน้าตักพระ ออกมาเป็นน้ำหนักทองเหลือง แล้วคิดคำนวณออกมาเป็นน้ำหนักเงิน โอกาสพลาดมีนิดเดียว แต่คราวนี้ของเราแค่น้ำเงินที่เหลือก็ ๕๐ กว่ากิโลกรัมแล้ว ยังไม่ได้นับชนวนเลย ไม่ทราบเหมือนกันว่างอกมาจากไหนมากมายมหาศาลขนาดนั้น ?

ถ้าหากเราคิดว่า ๑๒๐ กิโลกรัมตามที่เขาต้องการ ส่วนที่คืนมาก็ต้องไม่เกิน ๓๐ กิโลกรัม แล้วส่วนที่คืนมาต้องรวมชนวนด้วย แต่ปรากฏว่านี่ยังไม่ทันจะรวมชนวน เป็นแค่ส่วนที่เหลือติดก้นเบ้าก็ ๕๑ กิโลกรัม ๒ ขีดไปแล้ว"

เถรี 08-03-2017 20:51

"อาตมาก็ยังสงสัยเหมือนกันว่าถ้าชั่งองค์พระได้ ๑๒๐ กิโลกรัม แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? หวังว่าตอนหล่อองค์ทองคำคงจะเป็นอย่างนี้บ้าง จะได้เหลือทองคำเยอะ ๆ หน่อย ทางช่างขอเวลาตกแต่งองค์หลวงพ่อเงิน ๑ เดือน ก็แปลว่าหลวงพ่อสามกษัตริย์ทองคำ นาก เงินของเรา สำเร็จไปแล้ว ๑ องค์

ตอนนี้คณะช่างที่ทำฝ้าเพดานกับพวกลวดลายประดับเสาและคาน กำลังติดตั้งลายกันอยู่ เขาบอกว่าลวดลายพวกนี้น่าจะเสร็จทันงานเป่ายันต์เกราะเพชร วันที่ ๑ เมษายนนี้ ก็คาดว่าหลวงพ่อเงินน่าจะนิมนต์ขึ้นมณฑปได้ภายในก่อนงานเป่ายันต์ฯ เหมือนกัน

พอนิมนต์ขึ้นไปแล้วอาตมาก็ปล่อยทิ้งไว้เลย ถ้าใครแน่จริงให้มายกไปเถอะ ของน้ำหนักเป็นร้อยกิโลกรัมแถมยังอยู่บนมณฑปด้วย มีอย่างเดียวก็คือต้องประเภทที่เอารถเครนมายก"

เถรี 09-03-2017 16:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้ามืดมีมอเตอร์ไซค์แว้นผ่านหน้าบ้าน ๒ ชุดใหญ่ ๆ ได้ยินแล้วสงสารพ่อแม่เด็กจัง มีใครได้ข่าวลูกเทพบ้าง ที่ทุบรถไป ๑๓ คัน เพราะขอเงินซื้อบิ๊กไบค์แล้วแม่ไม่ให้

พวกบรรดาปัญหาสังคมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นเด็กแว้นหรือว่ายาเสพติดก็ตาม เกิดจากพ่อแม่เลี้ยงลูกผิดวิธี เลี้ยงจนกลายเป็นลูกเทวดา...ตีไม่ได้

การที่เราจะเลี้ยงลูกแบบเพื่อน หรือเลี้ยงลูกด้วยความรักความเข้าใจ พื้นฐานของเด็กต้องมีด้วย ถ้าพื้นฐานของเด็กไม่มีไปเลี้ยงแบบนั้นก็ "เสียหมา" หมด โบราณถึงได้บอกว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ถ้าไม่ผูกวัวอาจจะโดนขโมยหรือเดินหนีหายไปเอง ส่วนลูก ๆ ถ้าไม่ค่อยเจอไม้ก็ไม่เกรงใจพ่อแม่ ว่ายากสอนยาก กลายเป็นทำผิดทำพลาด สร้างความเสื่อมเสียให้แก่วงศ์ตระกูล ท้ายที่สุดก็เสื่อมเสียถึงประเทศชาติไปหมด"

เถรี 09-03-2017 17:01

"มีผู้คาดการณ์ไว้ว่า ถ้าเด็กไทยเรายังติดโทรศัพท์มือถือไม่เลิก อีก ๒๐ ปีข้างหน้าจะต้องเป็นคนงานมีเจ้านายเป็นมอญ เป็นพม่า เป็นเขมร ถามว่าทำไม ? เพราะว่าเด็กมัวแต่เล่นโทรศัพท์อยู่ ไม่สนใจการเรียน ในเมื่อไม่สนใจการเรียน ก็ไม่มีวิชาความรู้ที่จะไปทำมาหากิน เมื่อไม่มีวิชาความรู้ที่จะไปทำมาหากินจะทำอย่างไร ? ก็ต้องขายสมบัติของพ่อแม่กิน

คราวนี้ตัวเองไม่มีวิชาความรู้ รุ่นลูกก็ยิ่งไม่มีหนักเข้าไปใหญ่ เพราะคงจะติดมือถือมากกว่าพ่อกับแม่ ต่อไปรุ่นลูกไม่มีสมบัติที่จะขายกิน ก็ต้องไปทำงานเป็นลูกจ้างเขา เพราะว่าความรู้ไม่มี คราวนี้พวกมอญ พวกพม่า พวกเขมร เข้ามาบ้านเราเขาขยันทำงาน ส่วนใหญ่ก็มีกิจการเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นของตัวเองแล้ว อีกไม่นานก็จะอยู่ในลักษณะเดียวกันกับคนจีนสมัยก่อน ที่มาแบบเสื่อผืนหมอนใบ ท้ายสุดก็กลายเป็นเถ้าแก่ใหญ่กันหมด พวกนี้ก็ต้องไปเป็นลูกจ้างเขา

ฟังแล้วรู้สึกดีจริง ๆ ได้มีเจ้านายเป็นมอญ เป็นพม่า เป็นเขมรบ้าง เพราะฉะนั้น...ให้ก้มหน้าก้มตาจิ้มมือถือกันต่อไป ลูกหลานจะได้เป็นลูกน้องต่างด้าวเขาบ้าง...!"

เถรี 09-03-2017 17:06

"ดูจากการวิเคราะห์ของเขาแล้ว มี แนวโน้มความเป็นไปได้สูงมาก เพราะว่าตอนนี้ในเรื่องของการศึกษา เฉพาะแค่ในอาเซียน ของเราสู้เขาไม่ได้สักประเทศเดียว คนอื่นเขามีการศึกษามากกว่า มีความรู้มากกว่า ทรัพยากรมีเท่าเดิม คนที่มีความรู้มากกว่า มีความสามารถมากกว่าก็ไขว่คว้าไปหมด หรือไม่ต้องเรียนอะไรมาก พอถึงเวลาก็ “ชิตัง เม โป้ง...รวย…!” เรียบร้อย ตูไปแซวใครอีกหรือเปล่าวะนี่ ?

เมื่อเดือนก่อนแม่พลอย (เว็บมาสเตอร์กระโถนข้างธรรมาสน์) พาลูกสาวมาจากญี่ปุ่น บอกว่าทางด้านญี่ปุ่นมาลงทุนในประเทศไทย อยากได้คนที่จะติดต่อกับทางด้านเมืองไทยให้ ก็เลยเอาลูกสาวแม่พลอยที่เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น ซึ่งมีเลือดแม่อยู่ประมาณเสี้ยวหนึ่ง ที่เหลือเขาก็เลี้ยงดูมาแบบญี่ปุ่นทั้งหมดนั่นแหละ แปลว่าต่างประเทศเข้ามาลงทุน เขาก็ต้องการคนที่รู้จักและเข้าใจวัฒนธรรมประเพณีของบ้านเขา การติดต่อประสานงานทุกอย่างจะได้ราบรื่นคล่องตัว แล้วถ้าตัวเราเป็นลูกหลานยังก้มหน้าก้มตาจิ้มโทรศัพท์มือถืออยู่ แล้วงานดี ๆ จะเหลือไหม ?

อาตมาไม่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ไม่มี Facebook ไม่มี Skype ไม่มี Instagram ขอยืนยันว่าไม่ตาย อยู่ได้สบายดีด้วย คนโบราณ...ไม่ต้องโบราณมากหรอก เอาแค่สมัย ๓๐ - ๔๐ ปีที่แล้ว ทำไร่ทำนาเป็นส่วนมาก พอถึงเวลาดำนาเสร็จก็เข้าเดือน ๗ พอต้นเดือน ๘ ก็บวชลูก ว่างไม่มีอะไรทำ...จึงเอาลูกเข้าวัด ให้บวชศึกษาเล่าเรียนไป ครบพรรษาสึกหาลาเพศออกมาหลังรับกฐินแล้ว รับกฐินเดือน ๑๒ ออกมาพักผ่อนได้อีกพักใหญ่เลย เพราะกว่าจะเกี่ยวข้าวได้ก็เดือนยี่เดือน ๓ พ่อแม่ช่วงนั้นไม่มีอะไรทำ ก็ชนไก่ กัดปลา ทำน้ำตาลเมา โอ๊ย...สนุกสนานเฮฮา มีเวลาว่างเยอะมาก

รุ่นของเราอะไร ๆ ทุกอย่างสะดวกคล่องตัวไปหมด สมัยก่อนลูกบวชแต่ละทีเดินข้ามทุ่งไปบอกข่าวญาติพี่น้องตัวเอง เดินกันเป็นวัน บางบ้านญาติอยู่ไกลหน่อยกลับไม่ทัน ก็ต้องค้างคืน ๒-๓ คืน สมัยนี้ยกโทรศัพท์ ๓ วินาทีไปทั่วโลก แต่เวลาหายไปไหนหมด ? ก็ไปอยู่กับการนั่งจิ้มโทรศัพท์บ้าง นั่งอัพ Facebook บ้าง ขยันกันจริง ๆ เลย ขยันทำไอ้เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องไม่เป็นราว ทำแล้วไม่ได้ประโยชน์ ทำแล้วไม่ได้สตางค์"

เถรี 09-03-2017 17:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมท่านนี้หยอดเหรียญทำบุญวันละ ๒๐ บาท ถ้าทำได้สม่ำเสมอแบบนี้ถือว่าเป็นทั้งทานบารมี เป็นทั้งสัจจบารมี

สัจจบารมี คือ การที่เราจริงจังจริงใจ ทำอะไรสม่ำเสมอทุกวัน ถามว่าจะดูตัวอย่างสัจจบารมีที่ชัดเจนดูอย่างไร ? ดูจากในหลวงรัชกาลที่ ๙ พระองค์ท่านได้ตรัสในวันบรมราชาภิเษกว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ตลอดระยะเวลา ๗๐ ปี พระองค์ท่านทำได้ตามที่ตรัสไว้ ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะความสุขสบายส่วนพระองค์ เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนชาวไทย

ตัวอย่างที่ชัด ๆ อีกก็คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านนั่งลงที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตั้งพระทัยว่า จะไม่ลุกขึ้นถ้าไม่บรรลุธรรม ในบาลีว่า แม้เลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไป ชีวิตินทรีย์นี้จะสิ้นไป ถ้าไม่บรรลุธรรมแล้วพระองค์ท่านจะไม่ลุกขึ้น พระองค์ท่านก็บรรลุธรรมที่ทรงค้นคว้ามาตลอด ๖ ปีเต็ม

ในเรื่องของการทำบุญ บุคคลที่มีสัจจบารมี ก็คือใช้ความพยายามกระทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างที่โยมหยอดกระปุกวันละ ๒๐ บาท ถ้าจะให้ดีควรภาวนาคาถาเงินล้านไปด้วย ทำทุกวันผลพิเศษที่จะพึงได้ก็คือ มีความคล่องตัวในความเป็นอยู่ของเรามากขึ้น เราทำจริงมาแล้วก็เพิ่มขึ้นอีกนิดหนึ่ง เสียเวลาไม่มาก ภาวนาสักจบหนึ่งก็ได้ ถ้ามีเวลาก็เอาสัก ๙ จบ"

เถรี 09-03-2017 17:48

ถาม : ในบางครั้งเรานั่งสมาธิใจแกว่ง ไม่รวม ?
ตอบ : เขาเรียกว่าฟุ้งซ่าน ใจไม่รวมเป็นหนึ่ง ให้เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ากำหนดรู้ตามเข้าไปจนสุด หายใจออกกำหนดรู้ตามออกมาจนสุด เผลอคิดเรื่องอื่นเมื่อไรก็ดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจใหม่ แรก ๆ ก็ต้องสู้กันอย่างนี้อยู่พักหนึ่ง จนกว่ากำลังเราจะมากกว่า ก็สามารถอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้

ถาม : ทำถูกไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าทำถูกไม่กี่นาทีก็นิ่งแล้ว คำว่าทำถูกก็คือ ให้สติสมาธิทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจ ไม่ต้องไปคิดเรื่องอื่น โดยเฉพาะไม่ต้องไปคิดอยากให้สงบ ถ้าเราอยากให้สงบนั่นคือตัวฟุ้งซ่าน เรามีหน้าที่ภาวนา จะสงบไม่สงบไม่ใช่เรื่องของเรา

ถาม : อย่างวิญญาณ....?
ตอบ : เรื่องของมัน...! เรื่องของเราก็ยุ่งมากพอแล้ว จะไปสนใจอะไรกับวิญญาณ ตัดใจไม่ได้ก็ให้ทนทุกข์ทรมานของมันไป

เถรี 10-03-2017 09:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้วันที่ ๑ เมษายน เป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ซึ่งเป็นวันที่ค่อนข้างจะหายาก ถ้าเป็นวันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรงด้วยยิ่งดีใหญ่เลย เพราะเท่ากับเป็นปีที่ ๕ ด้วย แต่ว่าได้แค่ขึ้น ๕ ค่ำเดือน ๕ ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว

วันเสาร์ ๕ นี้ วัดท่าขนุนออกวัตถุมงคล ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ สร้างจากเนื้อยาจินดามณี อย่างที่ ๒ ก็คือ กำไลนวหรคุณ อันนี้มีแต่เนื้อเงินอย่างเดียว

เนื้อยาจินดามณีตามตำรับหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วนั้น สืบทอดมาจากสมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว สมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนผสมหลายอย่างหายากมาก อย่างเช่นอำพันทอง บางคนบอกว่าอำพันทองเป็นไขมันปลาวาฬ บางคนบอกว่าเป็นน้ำเชื้อของปลาวาฬ ซึ่งพอแข็งตัวแล้วโดนคลื่นซัดมาติดฝั่ง ชาวประมงที่โชคดีมาเจอก็รวยไป ถามว่าแพงขนาดไหน ? ก็น่าจะแพงพอ ๆ กับทองคำจริง ๆ เพราะว่าแค่เอามาทำส่วนผสมหน่อยเดียว ราคาตั้ง ๘๐,๐๐๐ บาท...!

อีกส่วนหนึ่งก็คือนอแรด สมัยนี้ไม่ต้องไปหวัง มีอยู่อย่างเดียวก็คือต้องมีของเก่าที่หลงเหลือมา ยังโชคดีว่ายังพอที่จะหาได้ งาช้างกำจัดกลับหาไม่ยาก เพราะอาตมามีอยู่หลายชิ้น ที่หายากในสมัยก่อนอีกอย่างก็คือน้ำนมเสือ สมัยนี้หาไม่ยากหรอก...ตามฟาร์มเสือมีเพียบ ขอให้มีเงินเท่านั้น ส่วนผสมอื่น ๆ
อย่างพวกบรรดาสมุนไพรนั้นยังพอหาได้อยู่"

เถรี 10-03-2017 09:37

"ยาจินดามณีรักษาโรคที่หาสาเหตุไม่ได้เกือบทุกโรค บางคนสงสัยว่าสร้างเป็นรูปพระแล้วจะทำเป็นยาอย่างไร ? ถ้าคิดว่ากลืนทั้งองค์ได้ก็เอา...! โบราณเขาใช้ฝนกับฝาละมี ยาจินดามณีใช้น้ำมะนาวเป็นกระสาย ฝนกับฝาละมี อาตมาก็สงสัยว่าที่ฝนออกมานั่นเป็นยาหรือว่าเป็นผงจากฝาละมี ฝาละมีก็คือฝาหม้อดิน สมัยนี้ไม่ได้หุงข้าวด้วยหม้อดินกันแล้ว ก็เหลือแต่ฝาหม้อยาเท่านั้น

ใช้อธิษฐานรักษาโรค ถ้าไม่ใช่เพราะหมดอายุขัยจริง ๆ เท่าที่พบมาก็สามารถอยู่รอดมาได้จนหมอเองก็ยังงง เพราะส่วนใหญ่หมอมักจะบอกว่าอยู่ได้อีกไม่กี่วัน แต่พอเจอยาจินดามณีเข้าไปกลับอยู่ต่อมาได้อีกเป็น ๑๐ ปี แต่ที่อาตมาเจออย่างหลวงพี่มหาทรงกลด ฉันยาจินดามณีไปเป็นกำก็ยังมรณภาพ แสดงว่าหมดอายุจริง ๆ

เนื่องจากส่วนผสมต่าง ๆ หายาก โอกาสที่จะทำได้จึงมีน้อย โดยเฉพาะว่าสมัยนี้ที่ทำได้เต็มสูตรจริง ๆ หาได้ยากมาก สมุนไพรหลายชนิดก็หายากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าป่าหมดไปทุกวัน"

เถรี 10-03-2017 09:40

"ในส่วนของอำพันทองนี่ได้จากลูกศิษย์ คือ พระครูสมุห์อานนท์ อานนฺโท วัดบึงลาดสวาย ท่านอุตส่าห์เสาะหามาได้ ท้ายสุดอาตมาเองก็จ่ายสตางค์น้อย เพราะลูกศิษย์บอกว่าที่เหลือจะทำถวาย จึงบอกว่าพยายามเอาให้ได้มากที่สุดเท่าที่ส่วนผสมจะอำนวยให้ ท่านคำนวณมาให้แล้วว่าน่าจะได้สัก ๖,๐๐๐ องค์ แต่ ๖,๐๐๐ องค์นี้ ถ้าคนรู้คุณค่าจริง ๆ อาตมาเชื่อเลยว่าไม่พอ

คิดว่าตัวอาตมาเองก็ต้องเก็บเอาไว้บ้าง เพราะสุขภาพชำรุดไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาหมอสมัยใหม่รักษาไม่ได้ก็ต้องอาศัยยาจินดามณี สมัยก่อนเขารักษาด้วยตัวยาและคุณพระ
อย่าลืมคำว่า "คุณพระ" อำนาจของพลังจิตบวกกับบารมีครูบาอาจารย์ ตลอดจน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำให้สามารถรักษาโรคที่หาสาเหตุไม่ได้

แต่จะว่าหาสาเหตุไม่ได้ก็ไม่ใช่หรอก สาเหตุใหญ่คือเราสร้างกรรมปาณาติบาตเอาไว้ แต่คราวนี้หมอสมัยใหม่หาสาเหตุไม่ได้ ก็บอกว่าโรคไม่มีสาเหตุ โดยเฉพาะสมัยนี้เชื้อโรคพัฒนาเร็วมาก พัฒนาจนกระทั่งยาสมัยใหม่เอาไม่อยู่ สมัยก่อนเรามีเพนิซิลินก็มั่นใจว่าเอาอยู่ทุกโรค ที่ไหนได้...ปัจจุบันนี้เพนิซิลินอาศัยไม่ได้เลย"

เถรี 10-03-2017 09:49

"ส่วนกำไลนวหรคุณ คำว่า นวหรคุณ ก็คือ คุณอันยิ่งใหญ่ ๙ ประการ หมายถึง คุณของพระพุทธเจ้า ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ?

๑. อะระหัง ๒. สัมมาสัมพุทโธ ๓. วิชชาจะระณะสัมปันโน ๔. สุคะโต ๕. โลกะวิทู ๖. อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ ๗. สัตถา เทวะมะนุสสานัง ๘. พุทโธ ๙. ภะคะวา

คุณพระพุทธเจ้า ๙ ประการ
อะระหัง เป็นผู้ไกลจากกิเลส คือสามารถละกิเลสได้โดยสิ้นเชิง
สัมมาสัมพุทโธ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
วิชชาจะระณะสัมปันโน ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติที่ดีงามทั้งปวง
สุคะโต เสด็จไปไหนก็นำความสุขความเจริญไปให้เขา และโดยเฉพาะมีสุคติคือพระนิพพานเป็นที่ไป
โลกะวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก โลกในที่นี้หมายถึงโลกภายในร่างกายของเรา โลกคือสรรพสัตว์ทั้งปวง และโลกคือดวงดาวต่าง ๆ พระองค์ท่านรู้แจ้งทุกอย่าง
อะนุตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ เป็นสารถีคือผู้ฝึกสอนที่ไม่มีใครเหนือกว่า บุคคลถ้าหากว่าไปถึงพระองค์ท่านที่สอนไม่ได้นั้นไม่มี
สัตถา เทวะมะนุสสานัง เป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้วจากกิเลสทั้งปวง
ภะคะวา เป็นผู้จำแนกแจกธรรม สั่งสอนสรรพสัตว์"

เถรี 10-03-2017 09:56

"ในส่วนที่เป็นอัตตหิตสมบัติ คือคุณเฉพาะของพระองค์เอง คือ อะระหัง เป็นผู้ไกลจากกิเลส สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติที่ดีงามทั้งปวง สุคะโต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว นำความสุขความเจริญไปทุกที่ โดยเฉพาะมีพระนิพพานเป็นที่ไป โลกะวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก ทั้งโลกภายในคือร่างกาย โลกภายนอกคือหมู่สัตว์ โลกคือดวงดาวต่าง ๆ อะนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ เป็นผู้ฝึกสอนที่ไม่มีใครเหนือไปกว่านี้อีกแล้ว

ในส่วนของปรหิตสมบัติ คือคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ก็คือ สัตถา เทวะมะนุสสานัง เป็นครูของทั้งมนุษย์และเทวดา ส่วน พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สอนผู้อื่นเพื่อให้รู้ตามได้ ภะคะวา เป็นผู้จำแนกแจกธรรม ไปไหนก็นำเอาโชคคือความดีใหญ่ไปให้เขาในที่นั้น

ส่วนนี้ทั้งพุทโธและภะคะวา เป็นทั้งอัตตหิตสมบัติ คือคุณเฉพาะตน และปรหิตสมบัติ คือคุณสำหรับบุคคลอื่นด้วย"

เถรี 10-03-2017 09:59

"กำไลนวหรคุณ อาตมาสร้างขึ้นมาตามตำราของหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) พุทธสรมหาเถระ วัดอนงคาราม ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง

หลวงปู่ท่านทำเป็นแหวน ส่วนอาตมาทำเป็นกำไล อาจารย์ปู่ท่านทำเป็นแหวน ใส่ง่ายดี มารุ่นลูกศิษย์ถ้าทำเป็นแหวนซ้ำไป เดี๋ยวจะกลายเป็นซ้ำรอยครูบาอาจารย์ จึงดัดแปลงเป็นกำไลแทน โดยเฉพาะว่ามีการถือเคล็ดว่า คำว่า “กำไร” คือ ไม่มีขาดทุน

กำไลนี้ทำเฉพาะเนื้อเงินเนื้อเดียว ใครที่ประเภทยักกระสายรออยู่ว่าจะมีเนื้อทองคำหรือเนื้ออื่น ๆ ไหม ? ไม่มีนะ แค่ทำเนื้อเดียว ควักเงินค่าเม็ดเงินไปแล้ว ๙๐ กิโลกรัม ถามว่ากิโลกรัมละเท่าไร ? ๒๐,๔๐๐ บาท คูณเอาเองก็แล้วกัน ถ้าหากว่านับเฉพาะน้ำหนักเงิน กำไลวงเดียวก็เกือบ ๒ บาทไปแล้ว อย่าบอกให้ทำมากกว่านั้น ไม่มีสตางค์...ทำแค่นั้นแหละ...ไปแบ่งกัน ถ้าไม่พอก็ไปตีกันเอาเอง"

เถรี 10-03-2017 20:36

ถาม : ท่านที่ได้พระโสดาบันตั้งแต่สมัยพุทธกาลที่ยังไม่เข้าพระนิพพาน เป็นเพราะกำลังท่านยังไม่พอ หรือเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : สงสัยแล้วได้อะไร ?

ถาม : จะมาเทียบกับกำลังใจตัวเองครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องเทียบหรอก ทำตัวเป็นพระโสดาบันให้ได้ก่อน

คนสมัยพุทธกาลบรรลุมรรคผล เพราะส่วนใหญ่แล้วแลกกันด้วยชีวิต คนสมัยเราลำบากหน่อยก็ถอยหลัง แล้วจะไปสู้เขาได้อย่างไร ?

คนสมัยพุทธกาลที่ได้พระโสดาบันแล้วปัจจุบันยังไม่เข้าพระนิพพาน มาจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือขึ้นไปเป็นเทวดานางฟ้าอยู่ข้างบน ระยะเวลาข้างบนกับข้างล่างต่างกันมาก เรารู้สึกว่านาน ๒,๐๐๐ กว่าปี แต่เวลาข้างบนไม่กี่วัน ประการที่ ๒ คือยังมีภารกิจที่ตัวเองจะต้องกระทำอยู่ ติดอยู่ด้วยภารกิจ ต้องลงมาเกิดใหม่ ถ้าหากว่าสูงไปกว่านั้นไม่สามารถที่จะเกิดได้ ก็จำเป็นที่จะต้องอยู่แค่พระโสดาบันเพื่อทำภารกิจของตัวเอง

เถรี 10-03-2017 20:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา เห็นการเจ็บป่วยเป็นทุกขลาภก็แล้วกัน คือทำให้เราเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรดีเลย ถ้ายังอยากจะเกิดอีกก็แปลว่ายังอยากจะเจ็บป่วยอย่างนี้อีก"

เถรี 10-03-2017 20:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "ทางคณะกรรมการดูแลบ้านเติมบุญอยากจะทำบุญบ้านที่นี่ อาตมายังสงสัยว่าพื้นที่พอให้ทำบุญไหม ? ถ้าจะทำบุญบ้านก็คงจะเป็นเดือนพฤษภาคม น่าจะเป็นวันเสาร์ เพราะว่าญาติโยมหยุดงานมาร่วมบุญกันได้ มีวันอาทิตย์ให้อาตมาฟื้นตัววันหนึ่ง ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดทำบุญวันอาทิตย์ อาตมาก็คงจะต้องคลานไปสอนหนังสือ..!

โดยเฉพาะเทอมนี้โหดมาก
เฉพาะที่วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาฯ อาตมาเจอไป ๕ ห้องด้วยกัน มีปริญญาตรีรัฐประศาสนศาสตร์ ปี ๑ พุทธศาสนา ปี ๑ การจัดการเชิงพุทธ ปี ๒ รัฐประศาสนศาสตร์ ปี ๒ และ การจัดการเชิงพุทธ ปี ๓ รวมทั้งหมด ๕ ห้อง ของปี ๓ นี่ ๓ หน่วยกิต คูณเข้าไปแล้วกันว่าใช้เวลากี่ชั่วโมงต่อวัน วันอังคารต้องสอนที่วัดใต้ วันพุธเผื่อไว้สำหรับวัดป่าเลไลยก์ที่มาแบบไม่ได้นัดหมายอยู่เรื่อย

หลังจากที่ใคร ๆ เขาบอกกันว่าพระอาจารย์เล็กใจดี...ปล่อยเกรด เจอปล่อยเกรด F ไป ๒๐ กว่าคน เข็ดไปตาม ๆ กัน วันก่อนยังเดินหน้าเหี่ยว ๆ มาถามว่า “แล้วผมจะแก้ F อย่างไร ?” “อ๋อ...ไม่ยาก ถ้าปีหน้ามีวิชานี้ก็มาลงเรียนใหม่” เกรด F ที่ไหนเขาแก้กันวะ ? เรียนด้วยกัน ๑๖ อาทิตย์ ๓๒ ชั่วโมง ได้เห็นหน้าไม่ถึง ๑ ชั่วโมง แล้วจะปล่อยให้สอบได้อย่างไร ?"

เถรี 10-03-2017 20:54

"อาตมาสอนวิทยาลัยสงฆ์ ส่วนที่สบายใจที่สุดก็คือการเรียนของพระภิกษุสามเณร พระภิกษุสามเณรที่ไปเรียนวิทยาลัยสงฆ์ส่วนใหญ่อยากเรียน ถึงขนาดต้องลงทุนบวชเข้ามาเพื่อจะได้มีโอกาสเรียน เพราะฉะนั้น...แต่ละท่านจะตั้งใจเรียนกันมาก

แต่ขณะเดียวกันบรรดาฆราวาสที่มาเรียนรัฐประศาสนศาสตร์บ้าง บริหารรัฐกิจบ้าง มาเรียนเพราะสภาพสังคมบังคับ ทางบ้านบังคับให้เรียนบ้าง การทำงานต้องใช้วุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปบ้าง ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจมาเรียนก็ใช้วิธีนั้นแหละ ก็คือมาเรียนบ้าง ไม่มาเรียนบ้าง อาตมาก็แจกเกรดไปตามความประพฤติ ถือว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชฺชติ กรรมย่อมเป็นเครื่องจำแนกสัตว์ กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ใครทำอะไรก็ได้อย่างนั้นแหละ"

เถรี 15-03-2017 08:59

พระอาจารย์สนทนากับพระที่เรียนบาลี "เรียนให้รู้ไว้ว่าที่ผมบอกว่ายากก็คือยากจริง ๆ ผมยืนยันว่าใครจบประโยค ๙ นี่จบด็อกเตอร์ได้ ๓ ใบเลย แต่ส่วนใหญ่พอผมบอกแล้วมักจะไม่ค่อยเชื่อ ต้องไปเจอเองแบบนี้แหละ

ไปเรียนทั้งทีก็เอาคำว่า "มหา" ติดมือมาหน่อย อย่างน้อย ๆ ก็ยังเป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ อย่าลืมว่านั่นเป็นสมณศักดิ์พระราชทาน ถ้าหากว่าจบประโยค ๙ ถึงขนาดมีรถยนต์หลวงรับไปส่งถึงวัด ไหน ๆ ไปเรียนแล้ว เอาให้ได้สัก ๓ ประโยคก็ยังดี"

เถรี 15-03-2017 09:09

ถาม : อยากทราบประวัติแม่นางกวักครับ
ตอบ : ไปค้นเอาในอินเทอร์เน็ต มีเยอะแยะไป

ถาม : มีที่เชื่อถือได้ไหมครับ ?
ตอบ :ถ้าไม่เชื่อเสียอย่าง จะมีอะไรเชื่อถือได้วะ ?

ไปหาหนังสือพุทธสาสนสุวัณณภูมิปกรณ ของหลวงปู่อ่ำ (พระราชกวี) วัดโสมนัสวรวิหาร มาอ่านดู จะมีประวัติของนางกวักที่ละเอียดมาก อาตมาเคยมีอยู่หลายเล่ม หนังสือเล่มใหญ่ ๆ นึกว่าไม่มีคนสนใจ ปรากฏว่าโดนเขาหยิบไปเกลี้ยงเลย อ่านแล้วจะได้รู้ต้นกำเนิดลายสือไทย ความเป็นมาของชนชาติไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สรุปแล้วนางกวักเป็นคนไทยด้วยนะ

เถรี 15-03-2017 09:14

พระอาจารย์กล่าวกับโยมชาวภูเก็ตว่า "อาตมาจะหาเวลาไปภูเก็ตยังปลีกตัวไม่ออกเลย เจ้านายเรียกใช้หูดับ วันนี้ยังอุตส่าห์โทรมาทวง สำคัญตรงที่ว่าท่านสั่งอาตมาแล้วงานเสร็จ สั่งคนอื่นแล้วงานไม่เสร็จ ในเมื่อสั่งแล้วเสร็จท่านก็ใช้อาตมาไปเรื่อย

เมื่อครู่ที่ท่านโตโต้ถามว่าดันทุรังกับพยายามต่างกันอย่างไร ? ก็คือ เวลาเจองานยาก อาตมาสู้จนกว่าจะจบ แต่คนอื่นเจองานยากก็จะตีลูกมึน ทำไม่รู้ไม่ชี้...ไม่ทำ ความพยายามจึงต่างกัน ส่วนใหญ่พอถึงเวลาเขามักจะทำไม่สำเร็จ ส่วนของอาตมาเท่าที่ผ่านมาก็คือสำเร็จ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เลยกลายเป็นว่าท่านเรียกใช้แต่อาตมา

เจอหลวงพ่อพระพรหมดิลก วัดสามพระยา ท่านถามว่า "เป็นอย่างไรบ้างวะเล็ก ?" "เหนื่อยฉิบหา..เลยครับหลวงพ่อ ขออภัยที่พูดคำหยาบ ตอนหลวงพ่อเป็นเจ้าคณะภาค ผมไม่เห็นจะเหนื่อยอย่างนี้เลย มาสมัยนี้คำสั่งไม่ผ่านจังหวัด ไม่ผ่านอำเภอหรอก ยิงมาลงตรงที่วัดเลย” ท่านก็อุตส่าห์ปลอบใจว่า “ดี...เจ้านายเรียกใช้แสดงว่าเขาเห็นความสามารถ” โอ้โฮ...ขอได้ไหมครับเรื่องนี้ ไม่ต้องเห็นความสามารถของผมหรอก

พวกเราส่วนใหญ่กว่าจะหนีงานมาถึงบ้านเติมบุญนี่ได้ก็สาย ต้องเข้าที่ทำงาน ต้องเซ็นชื่อ ต้องอยู่ให้เจ้านายเห็นหน้า พอเจ้านายเผลอแล้วค่อยแวบมา ก็เลยมาสายกันแทบทั้งนั้น"

เถรี 15-03-2017 09:17

"ปีนี้ทางอำเภอทำประวัติเพื่อเลื่อนสมณศักดิ์ให้ ถ้าเป็นไปตามที่ท่านให้ ก็แปลว่าได้เลื่อน ๖ ขั้น โอ้โฮ...๖ ขั้นนี่ถ้าเป็นเงินเดือนราชการก็รวยตายเลย แต่ขอโทษ...ของพระเลื่อน ๖ ขั้นได้เงินเพิ่ม ๒๐๐ บาท..! ถามว่าประวัติหนาเท่าไหร่ ? ๒๗๘ หน้า เฉพาะเซ็นรับรองประวัติอย่างเดียวก็มือหงิกแล้ว แล้วต้องเซ็นตั้ง ๓ เล่มอีกด้วย

ถามว่าทำไมมากขนาดนั้น ? ก็แค่เรื่องการให้ทุนการศึกษานักเรียนอย่างเดียว อาตมาให้ทุน ๘ โรงเรียน โรงเรียนละ ๒๐ ทุน ๒๐ ทุนนี้ต้องใช้กระดาษ ๒ หน้าเพื่อทำรายชื่อ ๘ โรงเรียนเท่ากับ ๑๖ หน้า แล้ว ๕ ปี เป็น ๘๐ หน้า..! ยังไม่ต้องคิดถึงอย่างอื่น นี่แค่ทุนนักเรียนอย่างเดียว ยังไม่นับทุนอุดมศึกษา ทุนของพระภิกษุสามเณร แล้วไหนจะงานก่อสร้าง งานบูรณปฏิสังขรณ์งานสาธารณสงเคราะห์
อะไรอีก ทำโน่นทำนี่ให้ประโยชน์แก่ข้างนอกเขาอีกเยอะแยะ

ส่วนใหญ่แล้วญาติโยมจะคิดว่าพระฉันแล้วนอน นับเป็นภาพพจน์ที่แย่มาก ความจริงแล้วพระเราทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติแต่ละปี ๆ มากมายมหาศาล แต่ไม่มีหน่วยงานที่ช่วยประชาสัมพันธ์ให้ ก็เลยกลายเป็นว่าทำดีไม่มีคนชม แต่ถ้าหากว่ามีไอ้พวกชั่วโผล่มาหน่อยนี่โดนด่าเช็ดไปเลย แล้วก็เหมารวมกันไปทั้งหมด"

เถรี 15-03-2017 09:19

"โดยเฉพาะสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน วันก่อนท่านบอกกับญาติโยมที่ไปหาว่า อย่าไปถวายเงินพระ เพราะว่าจะทำให้พระศีลขาดต้องอาบัติ ท่านพูดถูก แต่ว่าต้องไปใช้สำหรับสมัยพุทธกาล เพราะว่าสมัยก่อนไม่ว่าจะที่อยู่ ที่อาศัย ปัจจัยต่าง ๆ ญาติโยมให้การสงเคราะห์พระทั้งหมด แต่พอมาถึงยุคพัฒนาประเทศของเรา ญาติโยมมัวแต่ทำมาหากินเพื่อสร้างบ้านแปลงเมือง ให้เจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยประเทศ ก็ทิ้งภาระให้พระดูแลบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามด้วยตัวเอง ก็คือถวายเป็นปัจจัยไปให้พระท่านจัดการเอง

สมัยนี้ไม่ว่าจะขึ้นรถ ลงเรือ เข้าร้านอาหาร ก็ต้องใช้เงินใช้ทองทั้งหมด น้อยคันที่จะถวายพระให้ขึ้นฟรี ปัจจุบันนี้คงจะหาไม่ได้แล้ว ร้านอาหารก็น้อยแห่งที่จะถวายพระฟรี เพราะฉะนั้น...เรื่องของเงินทองก็เลยกลายเป็นว่า ปัจจุบันนี้แม้เป็นพระก็ต้องรับ เพียงแต่ว่ารับแล้วอย่าให้เงินทองมีอำนาจอิทธิพลเหนือเรา หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า เมื่อใช้ให้สมควรแก่สมณสารูปแล้ว ส่วนที่เหลือให้ผลักลงในกองบุญการกุศล จะเป็นสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทานก็ได้ เพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้แก่ผู้ถวาย"

เถรี 15-03-2017 09:21

"ถ้าเราสังเกตดูจะเห็นว่า สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เป็นสมเด็จพระสังฆราชที่ดำรงตำแหน่งนานที่สุดคือ ๒๔ ปี พระองค์ท่านไม่เคยตรัสเรื่องอย่างนี้ เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องจำเป็น แต่ว่าสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ท่านเคร่งครัดในเรื่องของศีลมาก....เรื่องเงินนี่ท่านไม่แตะเลย

อาตมาเองก็อยากจะกราบทูลว่า อาตมาไม่ใช่สมเด็จพระราชาคณะ ไม่ใช่สมเด็จพระสังฆราช ไปไหนจะได้มีรถยนต์หลวงมารับ ไม่ว่าเสด็จไปไหนจะได้มีลูกศิษย์หิ้วย่ามตามคอยจ่ายแทน พระองค์ท่านตรัสอย่างนั้นถูกต้อง แต่ว่าต้องย้อนหลังไปสมัยโน้น สมัยที่อาตมายังแก้ผ้าวิ่ง ไม่ใช่บริบทของสังคมสมัยนี้ที่เปลี่ยนไป

ฉะนั้น...บางอย่างต้องดูด้วย ถ้าหากว่าญาติโยมไม่ให้การสนับสนุนสงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ วัดวาอารามอยู่ไม่ได้ พระเราก็มีความผิดทั้งทางโลกทั้งทางธรรม ก็คือไม่ได้ดูแลพัฒนาวัดให้สะอาด สว่าง สงบ และคู่ควรแก่การที่ญาติโยมจะเข้าไปทำบุญ จะพัฒนาอย่างไรก็ในเมื่อปัจจัยไม่อำนวยให้ จะให้ไปอยู่กระต๊อบแบบสมัยก่อนก็ได้ แต่ว่าญาติโยมก็คงไม่เข้าวัดเข้าวา ศาสนาอยู่ไม่ได้ คงจะสูญพันธุ์ไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว

ได้ยินว่าลูกศิษย์สายวัดป่า ซึ่งก็คือสายของสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน ออกมาเคลื่อนไหวในเรื่องกฎหมายใหม่นี้แล้ว บอกว่าเป็นการทำลายพระธรรมวินัยในการที่จะเอาฆราวาสมาควบคุมพระ อาตมาขอฝากเฉพาะเรื่องห้ามพระรับเงินรับทอง ให้ปฏิบัติธรรมอย่างเดียว คนคิดออกมานั่นบ้าชัด ๆ"

เถรี 15-03-2017 20:00

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องเก็บลายมือครูบาอาจารย์ อาตมาก็เคยเก็บลายมือหลวงพ่อวัดท่าซุง มีอยู่ฉบับหนึ่งที่หลวงตาวัชรชัยอยากได้มากเลย

วันหนึ่งอาตมาเข้าเวรอยู่ หลวงพ่อท่านก็เรียก แล้วก็ส่งกระดาษให้แผ่นหนึ่ง บอกว่า "ไปตามตัวมา" มีเขียนรายชื่อพระอยู่ ๓-๔ รูป รวมทั้งชื่อหลวงตาวัชรชัยด้วย อาตมาก็ไปตามตัวมา

หลวงตาวัชรชัยก็นั่งใจเต้นแล้วเต้นอีก "เรื่องอะไรวะ ?" ปรากฏว่าพอได้เวลาหลวงพ่อท่านก็ออกมา “เฮ้ย...ไม่ใช่ไอ้นี่ ช่างไฟน่ะ..ช่างไฟ” “อ๋อ...หลวงพี่ธวัชชัยครับ” “เออ...นั่นแหละ” ชื่อคล้าย ๆ กันท่านเขียนเป็นวัชรชัย ...(หัวเราะ)... ลองคิดดู คนที่งานก็ไม่มี ทำอะไรผิดก็ไม่ได้ทำ ทำไมอยู่ ๆ โดนเรียก ? หลวงตาวัชรชัยบอก "หัวใจจะวายตาย นั่งรออยู่ ๑๕ นาที กูคิดแล้วคิดอีกว่าจะโดนอะไรวะ"

เถรี 15-03-2017 20:06

ถาม : ตอนนี้พยายามไม่ให้คิดไม่ดี หรือทำไม่ดี พยายามไม่ "พอใจ" หรือถ้า "ไม่พอใจ" ก็พยายามรักษาไม่ให้ "ไม่พอใจ" รักษาใจไว้ตรงกลาง อย่างนี้ทำถูกต้องหรือไม่ และควรทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : รักษาศีล ทำสมาธิ ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นถึงความไม่ดีของร่างกายนี้และโลกนี้ อารมณ์ใจต่าง ๆ เกิดขึ้นได้ เกิดขึ้นแล้วรับรู้ รับรู้แล้วปล่อยวาง สิ่งที่ดีเกิดขึ้นก็รักษาไว้ สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นก็ขับไล่ออกไป มีเท่านั้นแหละ

ถาม : พอหลังจากประคองอย่างนี้แล้ว กลายเป็นคนโกรธง่ายครับ พอตั้งใจว่าจะทำแบบนี้ทีไรก็เป็นครับ ?
ตอบ : การปฏิบัติจะมีสิ่งที่มาทดลองเสมอ เราตั้งใจจะละสิ่งไหนสิ่งนั้นจะมาลอง ถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าชนะได้ก็จดจำไว้ว่าชนะได้ด้วยวิธีไหน ถ้าหากว่าแพ้ก็ตัดสินใจว่าเราจะเริ่มต้นใหม่ ก็เท่านั้นเอง

เถรี 15-03-2017 20:09

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนก่อนรัฐบาลบอกว่าอัตราการเกิดตายของเราเท่ากัน ในเมื่ออัตราการเกิดกับตายเท่ากัน จำนวนประชากรจะลดลง เขาขอร้องให้มีลูกเพิ่มขึ้น แต่รู้สึกว่าแต่ละคนจะขวัญหนีดีฝ่อ ไม่อยากมีลูกกันทั้งนั้น

การมีลูกสมัยโบราณของเราบอกว่า “มีลูกหนึ่งคนจนไป ๗ ปี” สมัยโบราณนั่นในน้ำมีปลาในนามีข้าว สมัยนี้ “มีลูกหนึ่งคนจนไป ๒๒ ปี” กว่าลูกจะเรียนจบปริญญามาทำงาน
ถ้า ๒๒ ปีแล้วลูกไม่ทำงานก็จนต่อไป

อาตมาเป็นคนไม่เคยตกงาน ที่ไม่เคยตกงานเพราะว่าไม่เคยเลือกงาน ถ้ามีงานให้เลือกจะเลือกทำอย่างที่ยากเสมอ เพราะว่างานนั้นไม่มีใครแย่งกับเรา ในเมื่อเป็นอย่างนั้นพอถึงเวลาแล้วก็มีงานทำอยู่เรื่อยแหละ คนอื่นเขาเลือกงาน ลำบากเขาไม่เอา เขาก็ตกงาน ส่วนอาตมาชอบ
ลำบากจึงกลายเป็นไม่ค่อยตกงาน

ปัจจุบันนี้เวลาของตัวเองแทบจะไม่มี วิ่งไปวิ่งมาเรื่องงานหลวงงานราษฎร์อยู่ตลอด วันก่อนเพิ่งจะไปส่งพระอุปัชฌาย์รุ่นน้อง บริจาคเงินสนับสนุนงานอบรมกรรมฐาน เขาบอกว่าเพื่อนร่วมรุ่นไม่ไปก็ได้ แต่อาตมาไม่ไปไม่ได้ คนอื่นไม่ไปไม่เป็นไร อาตมาเป็นประธานรุ่นไม่ไปไม่ได้

ในรุ่นที่ไปอบรมมาด้วยกันมีเจ้าคุณหลายรูป มีรองเจ้าคณะภาค ๔ รูป แต่เขานึกอย่างไรก็ไม่รู้เลือกให้อาตมาเป็นประธาน ก็คือเกิดจากการที่ทำงานโดยไม่เกี่ยง ช่วงระยะเวลาที่อบรมอยู่ด้วยกัน ๑๗ วัน ปฏิบัติธรรมด้วยกันอีก ๑๕ วัน มีงานอะไรหนักเบาอาตมาทำหมด อาจจะเป็นเพราะเขาเห็นว่าใช้ง่ายกระมัง ? เขาก็เลยช่วยกันเลือกให้เป็นประธานรุ่น"

เถรี 15-03-2017 20:11

"การทำงานมีแต่กำไรไม่มีขาดทุน เป็นการสั่งสมประสบการณ์ เมื่อสั่งสมประสบการณ์ มีความชำนาญ มีความคล่องตัว ต่อไปงานระดับเดียวกันก็ไม่มีอะไรที่เราต้องหนักใจ

พวกเราสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้วก็คือ ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำงานก็หวังว่าเขาจะเห็นผลงาน พอคนอื่นได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนขั้นเงินเดือนแล้วเราไม่ได้ ก็เฉาหมดสภาพ ไม่คิดที่จะทำต่อ

เราลองมานึกถึงในหลวง ร.๙ ทรงงานสิ พระองค์ท่านทุ่มเททำงานเพื่อประชาชนมาตลอด ๗๐ ปีที่ครองราชย์ แม้กระทั่งเคลื่อนไหวลำบากก็ยังทรงงาน คิดงาน มีพระราชดำริให้คนอื่นไปทำแทน ระดับของพระองค์ท่านไม่ต้องทำก็ได้ แต่ก็ยังคงทำอยู่เป็นปกติ เราลองมานึกดูว่าการทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหนื่อยยากตลอด ๗๐ ปี ไม่มีวันพักผ่อน หรือมีวันพักผ่อนน้อยมาก ถ้าไม่ใช่หัวใจที่ทุ่มเทให้กับประเทศชาติและประชากร แล้วใครจะทำได้ ?

เราจะเห็นว่าสมัยนี้พอไปถึงระดับหนึ่งก็ทำเพื่อพวกพ้องหรือตัวเอง แต่ในหลวง ร.๙ ของเราไม่เคยทำอย่างนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนั้นต่างประเทศเขาถึงไม่เข้าใจเรา ถ้าพูดในสายตาของเขาก็คือคนตายไปคนหนึ่ง ทำไมต้องร้องไห้กันทั้งประเทศ ? เพราะว่าเขาไม่มีโอกาสที่จะมีในหลวงอย่างนี้ ส่วนใหญ่ราชวงศ์ของต่างประเทศครองราชย์ก็อยู่ในลักษณะของการเสวยสุข โอกาสที่จะทำเพื่อประชาชนมีน้อยมาก"

เถรี 15-03-2017 20:13

"เมื่อเช้ามีโยมถามว่า ทำไมบุคคลที่บรรลุโสดาบันตั้งแต่สมัยพุทธกาลยังไม่เข้าพระนิพพานยังมีอยู่เยอะแยะ ? ส่วนหนึ่งก็คือติดสุข เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมอยู่ ติดอยู่กับความสุขในทิพยสมบัติ ก็เลยไม่ได้ขวนขวายหาความก้าวหน้า

แต่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้เปรียบพวกเราตรงที่ว่า อบายภูมิปิดสำหรับท่านแล้ว โอกาสพลาดลงต่ำไม่มีแล้ว มีแต่เจริญขึ้น ช้าอย่างไรก็ก้าวไปข้างหน้า
ส่วนพวกเรานี้โอกาสถอยหลังมีเยอะ ต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง

เราต้องไปดูว่าสิ่งที่เราทำ ถ้าเรารู้สึกว่าเหนื่อย รู้สึกว่าท้อ ต้องนึกถึงว่าสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทำคืออะไร ? หลายอย่างพระองค์ท่านไม่มีโอกาสเห็นตอนที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะเกิดดอกออกผลในรัชกาลนี้ แล้วคำทำนายโบราณที่บอกว่า "ชาววิไล" ก็คือช่วงรัชกาลที่ ๑๐ เกิดจากดอกผลที่พระองค์ท่านทุ่มเทเงินต้นด้วยกำลังกายกำลังใจตลอด ๗๐ ปีที่ผ่านมา

อาตมาถือว่าโชคดีเป็นคน ๒ แผ่นดิน ในเมื่อเหยียบแผ่นดินเก่าด้วย แผ่นดินใหม่ด้วย ก็จะเห็นชัดเจนถึงความแตกต่าง ถ้าคนไม่ได้อยู่ในรุ่นเก่านานพออาจจะมองความต่างไม่เห็น สมัยก่อนทางบ้านของอาตมาเป็นทางลูกรัง ไม่มีคลองชลประทาน ไม่มีสาธารณูปโภค โครงการพระราชดำริต่าง ๆ เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านเห็นว่าสิ่งที่พระองค์ท่านทำ พระองค์ท่านสอน เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผล
ได้จริง ๆ "


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:24


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว