กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2023)

เถรี 06-08-2010 13:52

พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "ปีนี้ปิดบัญชีกฐินปลดหนี้หลวงพ่อ ๔๐ ศอกที่วัดหนองหญ้าปล้อง แล้วจะมาขยับมากฐินปลดหนี้หลวงพ่อ ๕๐ ศอก ที่วัดพระพุทธบาทเขาน้อยต่อ

พระอาจารย์วันชาติท่านบอกว่า "หางบให้ผมหนึ่งล้านพอ" แล้วที่เหลือท่านจัดการได้ ของท่านมาพร้อมโดยเฉพาะที่เป็นพระเป็นเณร ฝีมือเยี่ยมยอดมากเลย ทำพระออกมาแต่ละองค์เห็นแล้วจำติดตาไปเป็นเดือน"

เถรี 06-08-2010 16:13

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เรื่องเสกพระต้องยกให้หลวงตาเจิม วัดบางนมโค

หลวงตาเจิม วัดบางนมโค เคยเป็นเจ้าอาวาสอยู่พักหนึ่ง เพราะหลวงปู่ปานท่านไม่ยอมเป็นเจ้าอาวาส เนื่องจากท่านเห็นว่าต้องมาเสียเวลาเกี่ยวกับงานตามสายบังคับบัญชา หลวงตาเจิมก็ต้องเป็นเจ้าอาวาสแทน

คราวนี้หลวงตาเจิมท่านมีความสามารถพิเศษ คือ เขียนยันต์สวยมาก ถึงเวลาใครอยากได้ยันต์ก็ให้หลวงตาเจิมเขียน แล้วเอาไปให้หลวงปู่ปานเสก ในเมื่อหลวงตาเจิมเป็นเจ้าอาวาส ก็มีคนศรัทธามากเหมือนกัน เขาไปให้หลวงตาเจิมรดน้ำมนต์

โดยเฉพาะถ้าเป็นช่วงหลวงปู่ปานไม่อยู่วัดเป็นเดือน ๆ อย่างไปสร้างวัดที่เขาสะพานนาค หรือไม่ก็ไปสร้างวัดที่เขาวงพระจันทร์ ลพบุรี บางทีไป ๒-๓ เดือนกว่าจะกลับ หลวงตาเจิมก็ต้องรับบทหนัก

ชาวบ้านนั้นแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าคุณเป็นเจ้าอาวาสต้องทำได้ทุกอย่าง ต้องเป็นหมด หลวงตาเจิมก็ปรารภกับหลวงพ่อฤๅษีว่า ท่านเองไม่เก่งเรื่องน้ำมนต์ หลวงพ่อท่านบอกว่ามีวิธี

ถ้าหลวงตาอยากจะทำน้ำมนต์ให้ขลัง ก็เอาพระพุทธรูปมาองค์หนึ่ง จับท่านวางนอน หลับตานึกถึงท่าน แล้วก็ภาวนาขอให้ท่านลุกขึ้นนั่ง ถ้าทำสำเร็จเมื่อไร หลวงตารดน้ำมนต์อย่างไรก็ขลัง

หลวงตาเจิมก็เห็นว่าเข้าท่า ก็ไปเอาพระมา ตกกลางคืนก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ หลับตาภาวนาบนชานกุฏิ เอาพระตั้งไว้บนขอบระเบียง หลับตาภาวนาไปเรื่อย ๆ หลวงพ่อท่านอยากจะแกล้งหลวงตาเจิม ท่านก็ย่องไปจับองค์พระตั้งขึ้น"

เถรี 06-08-2010 16:21

"พอหลวงตาเจิมลืมตาขึ้นมาเห็นพระตั้งขึ้น ก็ดีใจว่าตนเองทำได้ เอาอีกครั้ง จับพระวางนอนลงใหม่ คราวนี้กำลังใจของท่านได้ที่แล้ว พอหลับตาลงพระก็ตั้งขึ้นทันทีเลย

ท่านมาบอกกับหลวงพ่อว่าทำได้แล้ว หลวงพ่อก็บอกว่า ต้องทำให้ได้หลายองค์พร้อม ๆ กัน หลวงตาเจิมก็เอาใหม่ เอาพระมาหลาย ๆ องค์ ตอนแรกกำลังใจยังไม่มั่นใจก็ไม่ตั้ง หลวงพ่อกับเพื่อนก็แอบไปยกตั้งให้ พอหลวงตาเจิมลืมตาขึ้นมาพระตั้งอีก กำลังใจก็ฟู คราวนี้วางกี่ร้อยองค์ตั้งได้หมดเลย

หลวงพ่อก็แนะนำหลวงตาเจิมว่า ต่อไปจะรดน้ำมนต์ให้ใคร ให้เขาอธิษฐานขอพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วก็เอามาวางไว้ตรงหน้าตัวเอง ถ้าหากรดน้ำมนต์แล้วหาย ขอให้พระพุทธรูปตั้งขึ้น ทีนี้ก็เหลือแต่ฝีมือหลวงตาเจิมที่จะอธิษฐาน

พอคนป่วยจับพระพุทธรูปวางนอนแล้วพระตั้งขึ้นมา กลายเป็นว่าหลวงตาเจิมไม่ต้องรดน้ำมนต์ก็แทบจะหายดีแล้ว ต่อมาหลวงตาเจิมเลยรดน้ำมนต์ให้ชาวบ้านกันอุตลุดเลย

กลายเป็นว่าของบางอย่างตั้งใจที่จะแกล้งเอาสนุก ๆ กลายเป็นว่าทำแล้วได้ประโยชน์

เจ้าอาวาสสมัยก่อนเขาเรียกว่า สมภาร มาจากสม+ภาระ แปลว่า เสมอด้วยภาระ ต้องแบกทุกเรื่องในวัดเอาไว้หมด หลวงพ่อท่านไปเป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโคอยู่ ๕ - ๖ ปี เหนื่อยใจเต็มทีก็ลาออก"

เถรี 07-08-2010 23:04

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องภัยพิบัติว่า "เรื่องของภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศของเรา วาระนั้นเลื่อนแล้วเลื่อนอีก เพราะว่ามีพระที่ทรงความดีท่านสละตนเอง เพื่อเปลี่ยนวาระกรรมนั้น พูดง่าย ๆ ว่ายืดเวลาให้เราทำความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

เพราะฉะนั้น..เราจะไปคิดว่าภัยยังไม่เกิดแล้วไปประมาทเข้า เกิดเมื่อไรเดี๋ยวจะตั้งหลักไม่ทัน ยิ่งปีนี้แล้วพระผู้ใหญ่ขนาดหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ นอนโรงพยาบาลยาวเลย ท่านเป็นโรคใหม่ที่หมอเองก็เกือบจะหมดปัญญา เป็นเชื้อหวัดนี่แหละ แต่ทำลายปอดด้วย กว่าจะรู้ตัวท่านก็หมดสภาพ หมอบอกว่าถ้าไปช้าสักสิบนาทีหรือยี่สิบนาทีก็อาจจะไปเลย ประมาณสองเดือนแล้วท่านเพิ่งจะเริ่มฟื้นตัว หมอบอกว่าถ้าจะเอาให้เหมือนเดิมต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณสี่เดือน

ฉะนั้น..ในเรื่องวาระกรรมต่าง ๆ พระที่ท่านทรงคุณความดี ท่านสละตัวของท่านเองเพื่อส่วนรวม แต่ถ้าเราไม่คิดจะช่วยท่านทรงความดีไว้เลย ก็จะกลายเป็นภาระของท่านคนเดียว ถ้าท่านแบกไม่ไหวเมื่อไร เราก็รับเละไป

เพราะฉะนั้น..มีโอกาสให้เร่งทำในเรื่องของศีล สมาธิ และปัญญาให้กำลังใจเราสูงเข้าไว้ ถึงแม้จะช่วยเหลือคนอื่นไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ให้รักษาตัวเองได้ จะได้ไม่เป็นภาระแก่คนอื่นเขา เตือนได้เท่านี้แหละ บอกได้คำเดียวว่า "มาแน่" จะช้าจะเร็วก็มาแน่"


ถาม : ถ้าปฏิปทาที่เราร่วมแรงร่วมใจกันทำความดี จะมีผล...?
ตอบ : อย่างนั้นแหละดีแล้ว อย่างน้อย ๆ ได้ร่วมกันสร้างความเย็นให้เกิดขึ้นสักจุดก็ยังดี จะได้แบ่งเบาภาระของพระไปจุดหนึ่ง

เป็นพระแล้วพูดเกินวาระกรรมไม่ได้ ได้แต่ใบ้ ๆ ให้ฟัง ใครตีหวยถูกก็โชคดีไป ถ้าตีหวยไม่ถูก ไปรู้เอาตอนหวยออกก็ตั้งหลักไม่ทัน

เถรี 07-08-2010 23:57

ถาม : เพื่อนเป็นมะเร็งลำไส้ จะผ่าตัดวันพรุ่งนี้ ควรจะทำบุญอย่างไร ?
ตอบ : บอกให้เขารีบปล่อยชีวิตสัตว์เยอะ ๆ พวกปลาหรือสัตว์อะไรที่เขาขายให้ฆ่าโดยเฉพาะ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ขออานิสงส์นี้ส่งผลให้ปลอดภัย

ถาม : ทำวันนี้ได้เลยหรือคะ ?
ตอบ : ต้องรีบทำก่อนผ่าตัด

ถาม : ต้องปล่อยกี่ตัว ?
ตอบ : กี่ตัวก็ทำไปเถอะ ถ้าเป็นอาตมาก็เหมาแม่ค้าหมดเป็นราย ๆ ไปเลย

เถรี 08-08-2010 00:29

พระอาจารย์เล่าเรื่องผีให้ฟังว่า "สมัยแรก ๆ ที่บวชอยู่วัดท่าซุง ด้วยความที่ตั้งใจจะเจริญกรรมฐานให้ได้มากที่สุด ทุกวันก็ต้องรีบตื่นแต่เช้า ตอนนั้นใช้นาฬิกาปลุกสามเครื่องวางไว้เครื่องละมุม ไกลจากจุดที่ตัวเองนอน กะว่าถ้านาฬิกาดัง พอเราคลานไปกดให้เงียบ จะต้องหายง่วงแน่เลย แต่ถ้าอยู่ใกล้ ๆ มือ เรายกมือไปปิดเครื่องนิดเดียวก็ได้แล้ว อาจจะทำให้ไม่ยอมตื่น

แต่วันหนึ่งนาฬิกาปลุกเหลืออยู่แค่สองเครื่อง สาเหตุมาจากผี ตอนนั้นผีมาแกล้ง วางมวยกับผีกันอุตลุด เราเตะผีเสียเต็มที่ แต่ไปโดนนาฬิกาปลุกพังไปเลย ตอนเตะก็ว่าเตะผีนะ แต่ไปโดนนาฬิกาแทน พวกนี้เขารู้ความคิดของเรา ในเมื่อรู้ความคิดของเรา เราจะทำอะไรเขารู้หมด เขาจึงหลบทัน

ตอนไปอยู่ที่ตึกกองทุน ชอบใจตรงที่ว่าห้องพักมีเยอะ มีอยู่ ๘ ห้องใหญ่ ๆ ส่วนตรงกลางเป็นโถงใหญ่ สามารถเดินจงกรมได้สบาย เราก็เดินจงกรมไปจนกระทั่งหมดแรง ถ้าเหนื่อยไม่ไหวตรงไหนก็นอนตรงนั้น ซึ่งแถวนั้นไม่ต้องห่วง ผีดุทุกห้อง..!

มีอยู่คืนหนึ่งประมาณตีสองกว่า ๆ กำลังนอนตะแคงขวาสีหไสยาสน์อย่างดีเลย แต่ว่านอนหันหลังให้ประตูทางเข้า ปรากฏว่ามีนักเลงดีย่องมาตอนไหนไม่รู้ เดินทีตึกไหวทั้งหลัง..! ยวบ..ยวบ ตามจังหวะเดินเลย ตึกคอนกรีตเสริมเหล็กไหวทั้งหลังนี่ก็เกินไปนะ ก็รู้ว่าเขาแกล้งเราอีก

อาตมานอนภาวนาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ กะว่าพอจังหวะยวบสุดท้าย เท้าเราถึง ก็หมุนตัวเตะเลย..! ปรากฏว่าที่เดินมาเป็นลูกแมวตัวเล็กนิดเดียว เขากระโดดข้ามเท้าเราอย่างนิ่มนวล แล้วเดินออกไปประตูหลัง หันกลับมายิ้มให้ เคยเห็นแมวยิ้มไหม ? เห็นแล้วจะสยอง..! แล้วเขาก็เดินทะลุประตูหลังหายไป..!

น่าเตะจริง ๆ เลย ลูกแมวบ้าอะไรเดินทีตึกไหวทั้งหลัง เขาแกล้งอย่างนั้นทุกวัน เกิดมาเป็นที่รักของผีก็อย่างนี้แหละ ถูกผีแกล้งได้ทุกวัน"

เถรี 08-08-2010 13:06

"แรก ๆ ที่ไปอยู่ก็ขอเขาว่า ให้ช่วยปลุกเวลา ๐๒.๕๕ น. ด้วย จะได้ตื่นขึ้นมาเจริญกรรมฐานก่อน ปรากฏว่าวันนั้นเพลียจัด ทำงานมาทั้งวัน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะไปกว้านเรือแม่ใหญ่ขึ้นคาน

พี่ชลอ (พระครูปลัดชลอ วิมโล วัดศาลพันท้ายนรสิงห์) ท่านโหนจนหมดแรงแล้ว เราก็ต้องไปช่วยทำต่อ กว้านมาได้ทีละนิ้ว ๆ ขึ้นมาเรื่อย ๆ กว่าจะเชิญท่านแม่ขึ้นแท่นได้ก็เหนื่อยจนหมดแรง

หมดสภาพ กลับไปนอนแผ่หลาอยู่ที่ห้อง เวลา ๐๒.๕๕ น. เขาก็ปลุกตามเวลาของเขา พอเขาปลุกตามเวลา เราก็บอกว่า "ไม่ไหวโว้ย ขอนอนอีกหน่อยเถอะ" ได้เลย..เขาให้กระบองอันเบ้อเร่อ ฟาดมาเต็ม ๆ กลางศีรษะ..! บอกให้ปลุกก็ปลุกตามเวลา ปลุกแล้วไม่อยากจะตื่นพ่อเลยฟาดซะ..! โหดจริง ๆ

พวกนี้เวลาปลุกเขาจะจับขากระตุก ถ้าคนไม่รู้จะคิดว่ากล้ามเนื้อขาเกร็งแล้วขาสะบัดเอง แต่จริง ๆ แล้ว เขาจับกระชากขึ้นมา อย่างไรก็ต้องตื่น แต่ตื่นแล้วจะลุกหรือเปล่านั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง"

เถรี 08-08-2010 13:15

ถาม : อ่านหนังสือเจอ เขาบอกว่าถ้าจะชำระหนี้สงฆ์ในชาตินี้ ให้สร้างพระ ๑๒ นิ้ว..?
ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ แค่ ๑๒ นิ้วยังชำระไม่ได้ การสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ต้องสร้างพระอย่างน้อยหน้าตัก ๔ ศอก ก็แปลว่า ๒ เมตร หรือ ๘๐ นิ้วขึ้นไป แล้วถ้าไม่ได้ปิดทองพระ ก็ชำระหนี้สงฆ์ได้เฉพาะเจ้าภาพคนเดียว แต่ถ้าสร้างแล้วปิดทอง กี่คนที่ร่วมบุญมาก็ถือว่าเป็นเจ้าภาพทั้งหมด มีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ได้ทุกคน

ถาม : ขอร่วมบุญสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ด้วยค่ะ
ตอบ : ห้ามเป็นหนี้สงฆ์ใหม่นะ..ชำระหนี้สงฆ์แล้วก็พยายามระมัดระวังไว้ อย่าไปทำเข้าอีก

เถรี 08-08-2010 13:46

ถาม : อยากได้ลูกเจ้าค่ะ
ตอบ : ลองไปบนท่านปู่พระอินทร์ดูสิจ๊ะ ตั้งเครื่องบวงสรวงเข้าสักชุดหนึ่ง บอกกับท่านปู่พระอินทร์ว่า "เทวดาหรือนางฟ้าท่านใดที่ต้องการจะเกิดมาเพื่อสร้างบารมี ขอให้มาเกิดกับเรา และขอให้ช่วยครอบครัวของเราเจริญรุ่งเรืองขึ้นด้วย"

ถาม : เครื่องบวงสรวงมีอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : ในหนังสือสมบัติพ่อให้ของวัดท่าซุงน่าจะมี ลองไปดูเอาในนั้นแหละจ้ะ

เถรี 08-08-2010 13:56

ถาม : ผมกำหนดจิตไปรับยันต์เกราะเพชรที่วัด ตอนนี้ยังอยู่หรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ได้ผิดศีล ยันต์ก็ยังอยู่ ถ้าคุณไม่กินเหล้า ไม่ลักขโมย ยันต์ก็ยังอยู่แน่ ๆ

เถรี 08-08-2010 14:05

พระอาจารย์กล่าวถึงทรัพย์แผ่นดินว่า "จริง ๆ แล้วพวกบรรดาทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ในบ้านเมืองเรามีเยอะมาก แต่ที่ยังขึ้นมาไม่ได้เพราะคนของเรายังมีศีลมีธรรมไม่พอ ถ้าขึ้นมาก็จะเป็นของคนที่มีอำนาจแค่ไม่กี่คน

อย่างนั้นก็ไม่ใช่สมบัติของคนทั้งประเทศ ทรัพย์แผ่นดินจะต้องเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งประเทศ

จะเห็นได้ว่า อาตมาไปดูเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว จนป่านนี้ยังเอาออกมาไม่ได้ รอไปเถอะ พอน้ำท่วม คนไทยเหลือสัก ๗ - ๘ ล้าน จะได้ดูแลกันง่ายขึ้น ถึงเวลานั้นอาจจะเอามาใช้ประโยชน์ได้ เพราะพวกก้างขวางคอตายไปหมดแล้ว..!"

เถรี 08-08-2010 14:36

ถาม : หนูเพิ่งเข้าใจที่ท่านบอกในเรื่องของการยอมรับกฎแห่งกรรม คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นทำ เป็นไปโดยลีลากรรมเท่านั้น พอเห็นอย่างนี้ ก็ไม่เกิดเป็นการเพ่งโทษ หรือไปว่าร้ายตำหนิใคร เพราะไม่มีใครดีหรือไม่ดีอย่างไร พอเห็นตรงนี้แล้วทำให้เรารู้สึกสงบ ลดความวุ่นวาย เห็นความดับของเหตุนั้น อย่างน้อยหนูก็ยังเห็นและยืนยันได้ในส่วนที่ท่านทำมา
ตอบ : ชื่นใจ..อาตมาพูดปากเปียกปากแฉะมานาน อย่างน้อยก็มีคนเห็นบ้างแล้ว

พอวาระสุดท้ายก็ไม่มีใครดีใครชั่ว ทุกคนกำลังเป็นไปตามกรรม ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ไม่มีใครให้ตำหนิ ในเมื่อไม่มีใครให้ตำหนิ เราก็ไม่ต้องไปสร้างเวรสร้างกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ กับใคร

ไปนั่งมองต่อ พอนาน ๆ แล้วจะสนุก บางทีก็นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว คนอื่นเห็นว่าบ้าชัด ๆ เพราะเหมือนกับว่า ในขณะที่เรานั่งอยู่สบาย ๆ แต่คนอื่นกระโดดโลดเต้นของเขาไป กลายเป็นอะไรที่ตลก ๆ ไป


ถาม : ในขณะที่คนอื่นมองเห็นว่าสิ่งนี้แปลก เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น แต่เรากลับมองว่าธรรมดาที่เป็นอย่างนั้น เหมือนคนหมดความตื่นเต้นไปเลย
ตอบ : เมื่อวานบอกไปแล้วว่า ที่แปลกเพราะเรายังไม่เคยเจอ เจอแล้วก็เลิกแปลก

พอนาน ๆ ไป ความเป็นชายเป็นหญิง เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุธาตุสิ่งของก็จะไม่มี จะเห็นเหมือนกันหมด คือ สักแต่เป็นรูป เป็นนาม เป็นธาตุที่สมมติขึ้นมา

ที่มีจิตวิญญาณครองอาศัยก็แสดงอาการต่าง ๆ ออกไปตามแต่จิตวิญญาณที่ประกอบไปด้วยกรรมมาบงการ ที่ไม่มีจิตวิญญาณก็แสดงธรรมชาติของเขาให้เห็นว่า มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด

พอเห็นอย่างนั้นแล้ว ก็จะไม่มีผู้หญิง ไม่มีผู้ชาย ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ทุกอย่างเป็นเหมือนกันหมด คือสักแต่ว่าเป็นรูปเป็นนาม สักแต่ว่าเป็นธาตุ เมื่อเป็นดังนั้น พวกราคะ โทสะ โมหะ ก็เลยเกิดไม่ได้ เพราะการปรุงแต่งไม่มี ทุกสภาพเหมือนกันหมด


ไปทำต่ออีกหน่อย ทำ ๆ ไป แล้วโลกนี้จะตีลังกากลับ เพราะเห็นอะไรในมุมที่เราไม่เคยเห็นเยอะแยะ ความเป็นธรรมดาในส่วนที่ปัญญาเรายังไม่ถึง เราก็จะมองข้ามไป พอถึงแล้ว มองเห็นแล้ว ทุกอย่างก็จะปรากฏเด่นชัดขึ้น ทีนี้เราก็ก็เลือกเอา อันนี้เพชร อันนี้พลอย อันไหนราคาแพงสุด เราก็คัดเลือกเอา จะได้ไม่ต้องแบกเยอะ

เถรี 08-08-2010 23:45

พระอาจารย์กล่าวต่อในเรื่องทิฏฐิให้ฟังว่า "ในเรื่องทิฏฐินั้นก็แบบเดียวกับที่พระเจ้าปายาสิถามพระกุมารกัสสปะ แล้วพระกุมารกัสสปะท่านเปรียบเทียบให้ฟัง แต่พระเจ้าปายาสิก็ไม่ยอมละทิฏฐิ ท้ายที่สุดท่านก็เถียงข้าง ๆ คู ๆ ว่า ที่ไม่ยอมละทิฏฐิเพราะใคร ๆ ก็รู้ว่าท่านมีทิฏฐิอย่างนี้ ถ้าไปละคนอื่นเขาก็ว่าเอาสิ..!

พระกุมารกัสสปะจึงบอกว่า "ดูก่อน..มหาบพิตร ชายสองคนไปเจออุจจาระแห้ง คิดว่าเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ก็เลยห่ออุจจาระแห้งกับผ้า แล้วทูนหัวไป พอเดินไปเจอกองปอมัดอยู่ ชายคนหนึ่งทิ้งอุจจาระแห้งแล้วแบกกองปอไป ส่วนชายอีกคนกลับไม่ยอมทิ้งอุจจาระแห้งนั้น

เดินไปอีกเจอกองป่าน ชายคนนั้นก็ทิ้งปอแล้วเอากองป่านไป ส่วนชายอีกคนก็ยังแบกห่ออุจจาระไว้ พอเดินไปอีกก็เจอป่านที่ทอเป็นผ้าแล้ว ชายอีกคนก็ทิ้งป่านแล้วแบกเอาผ้าไป ส่วนชายอีกคนก็ยังแบกกองอุจจาระไปตลอดทาง จนกระทั่งท้ายสุด เจอเงิน เจอทอง ชายอีกคนก็เอาเงินเอาทองไป

ส่วนชายที่แบกอุจจาระ พอเดินไปแล้วฝนตก อุจจาระก็ละลาย ทำให้ชายคนนั้นเหม็นไปทั้งตัว แต่ก็ยังไม่ยอมทิ้งอีก"

พระกุมารกัสสปะเปรียบเทียบว่า เหมือนกับพระเจ้าปายาสิ ที่ไม่ยอมละทิฏฐิ พระเจ้าปายาสิทรงพระสรวล ตรัสว่า "โยมเชื่อแต่แรกแล้ว แต่ที่ว่าดังนั้นเพราะอยากฟังท่านสมมติไปเรื่อย ๆ.." เพราะว่าพระกุมารกัสสปะสามารถที่จะสมมติได้วิจิตรชัดเจนมาก ฟังแล้วเห็นภาพพจน์ เข้าใจได้ทันทีเลย.."

เถรี 08-08-2010 23:56

"พระเจ้าปายาสิเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นมาก เช่น ตายไปแล้วมีนรกมีสวรรค์จริงหรือไม่ ลองไปอ่านดูในปายาสิราชัญญสูตร ในพระสุตตตันตปิฎก

พระเจ้าปายาสิบอกว่าไม่เชื่อว่านรกมีจริง เพราะถ้าคนตายไปแล้วไปนรกจริง ให้กลับมาบอกด้วย รอคนแล้วคนเล่า ก็ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกท่าน

พระกุมารกัสสปะบอกว่า "ดูก่อน..มหาบพิตร ถ้าหากนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ พระองค์ท่านจับได้แล้ว ตัดสินประหารแล้ว ถ้าเขาขออนุญาตกลับไปบอกญาติหรือสานุศิษย์ต่าง ๆ แล้วจะกลับมาให้ประหาร พระองค์ท่านจะยอมปล่อยไปหรือไม่ ?" พระเจ้าปายาสิก็ตรัสว่า "ปล่อยไปไม่ได้หรอก มีแต่จะเร่งประหารเสียก่อน.."

พระกุมารกัสสปะกล่าวว่า "ลักษณะเดียวกัน ในนรกเขาลงโทษหนักกว่านี้อีก ใครเขาจะปล่อยออกมาให้มาบอกข่าวได้.." แล้วพระเจ้าปายาสิจึงกล่าวถึงพวกที่ไปสวรรค์ ไปสบายแล้ว "เราบอกแล้วว่าใครไปสวรรค์ให้กลับมาบอกข่าว แต่ก็ไม่เห็นมีใครกลับมาบอกเลยสักคน.."

พระกุมารกัสสปะก็เปรียบเทียบว่า "เหมือนกับบุรุษตกลงไปในหลุมคูถ (หลุมอุจจาระ) พระองค์สั่งให้ราชบุรุษเอาตัวขึ้นมา อาบน้ำให้ตัวสะอาดเอี่ยม เปลี่ยนผ้าใหม่ให้ ประด้วยแป้งหอม น้ำมันหอม เอาพวงมาลัยสวยสดงดงามคล้องคอ แล้วบอกให้กระโดดลงไปในหลุมคูถตามเดิม จะมีใครกระโดดลงไปไหม ? ลักษณะเดียวกัน คนไปสวรรค์แล้ว เขามองเห็นว่าโลกนี้น่ารังเกียจประดุจหลุมอุจจาระ จึงไม่มีใครคิดที่จะย้อนกลับมา"

ท่านค่อย ๆ เปรียบทีละอย่าง..ทีละอย่าง ลองไปหาอ่านดู สำนวนโวหารท่านสุดยอด ในบาลีว่ากุมาระกัสสโปเถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก แปลว่า พระกุมารกัสสปะ ผู้เป็นใหญ่ในทางใช้ถ้อยคำอันวิจิตร คือ สามารถเปรียบเทียบได้สุดยอดมาก"


ถาม : มเหสีแปลว่าอะไร ?
ตอบ : แปลว่า เป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น..ผู้หญิงต้องเป็นใหญ่กว่า โบราณเขารู้ดี..! (หัวเราะ)

เถรี 09-08-2010 09:58

พระอาจารย์เล่าเรื่องพระเจ้าปายาสิให้ฟังอีกว่า "พระเจ้าปายาสิอยากจะหาวิญญาณของคน ก็คือ ดวงจิต ถึงขนาดจับโจรมาใส่หม้อทั้งเป็น เอาหนังรัด เอาดินเหนียวพอกแล้วตั้งไฟจนกระทั่งเขาตาย เปิดดูก็ไม่เห็นมีวิญญาณ

บางทีก็จับมาเชือดทีละชิ้น ๆ รัดคอจนตายก็มี แล้วหาว่าวิญญาณอยู่ตรงไหนก็หาไม่เจอ พระเจ้าปายาสิก็เลยไม่เชื่อว่าจิตหรือวิญญาณมี ไปเกิดโลกใหม่ได้ก็ไม่เชื่อ

พระกุมารกัสสปะก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า อาจารย์ที่เป็นนักบวชสั่งลูกศิษย์ให้ก่อไฟเพื่อต้มน้ำ ลูกศิษย์ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า แค่สีไฟให้ติดก็ก่อไฟได้ แต่ลูกศิษย์ก็ผ่าฟืน ผ่าเพื่อหาว่าไฟมาจากไหน เพราะเห็นไฟมันติดมาจากฟืนเลยพยายามผ่าฟืนหาไฟ

ท่านเปรียบแต่ละอย่างภาพพจน์จะชัดเจนมาก ไปหาอ่านให้ได้ ถ้าไม่อ่านพระไตรปิฎกเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต"

เถรี 09-08-2010 10:06

มีผู้หญิงคนหนึ่งมาจากประเทศอังกฤษ เธอเป็นคนไทยที่ไปเรียนอยู่ที่นั่น พระอาจารย์จึงสอบถามว่าไปอยู่ที่ไหนมา แล้วท่านจึงกล่าวว่า "ไปอยู่ต่างประเทศ นาน ๆ ไปบุคลิกจะเป็นฝรั่ง จึงได้ถามว่าไปอยู่ที่ไหนมา ?

ที่ว่าบุคลิกเป็นฝรั่ง ไม่ใช่ว่าหน้าตาเหมือน คือ บ้านเขาเราจะรู้สึกว่าเขากล้าแสดงออก ตรงไปตรงมา เคารพกฎหมายและความมีระเบียบ บุคลิกพวกนี้จะติดตัวมา จนกลายเป็นสมบัติของเราไปแล้ว

ต่อไปเราจะอยู่ประเทศไทยยาก เพราะเราจะทนความไม่มีระเบียบไม่ได้แล้ว ประเภทนัดตอนนี้แล้วอีกชั่วโมงยังไม่มา ได้ทะเลาะกันบ้านแตกแน่ แต่ต่างประเทศเขาตรงเวลาชนิดนาทีต่อนาที

บ้านเขามีส่วนดีของบ้านเขา บ้านเรามีส่วนดีของบ้านเรา แต่ทีนี้พอเราเคยชินกับที่หนึ่ง แล้วเอาไปวัดกับอีกที่หนึ่ง ก็จะเกิดข้อเปรียบเทียบที่ต่างกันมาก

ตอนที่ไปพม่าเมื่อ ๕ - ๖ ปีก่อน แรก ๆ อาตมารับเขาไม่ค่อยได้ เพราะเขาทำอะไรยืดยาดมาก เราต้องการจะเช่ารถตอนนี้ เขาบอกว่าวันนี้เป็นวันไม่ดี ออกรถไม่ได้ ให้รอก่อน พอถึงเวลารถวิ่ง เขาก็วนไปรับคนก่อน คือ ไหน ๆ ออกแล้วก็รับคนให้เต็มที่ นั่นเราเช่ารถเขามาแล้วนะ

วนแล้วหมู่บ้านนี้ไม่มี ก็วนไปหมู่บ้านอื่นอีก วนเสร็จย้อนกลับมาหมู่บ้านเดิม ถามว่ามีใครเปลี่ยนใจไหม ? คนเขาก็บอกว่ายังไม่ได้เตรียมตัวเลย คนขับรถก็บอกว่าไม่เป็นไร..รอได้..! สรุปแล้ววันทั้งวันเขาพาเราวิ่งไปได้แค่ ๒๒ ไมล์ แล้วเราก็ต้องไปค้างคืนกลางทาง

ถ้าสภาพจิตยอมรับ ไม่ดิ้นรนมาก เราก็จะอยู่ได้ แต่ถ้าดิ้นรนมาก เดี๋ยวก็เตลิดกลับไปต่างประเทศอีก"

เถรี 09-08-2010 16:30

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องศรัทธาว่า "ในเรื่องของศาสนาทุกศาสนา ตัวศรัทธาจะต้องมาก่อนทุกอย่าง ถ้าขาดศรัทธาก็จะไม่เข้ามาสอบถาม ไม่เข้ามาศึกษา

ในเมื่อไม่มาสอบถาม ไม่มาศึกษา ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่รู้ว่าศาสนาดีอย่างไร ฉะนั้น..เรื่องของศรัทธาจะต้องมาก่อน"

เถรี 09-08-2010 16:41

ถาม : ช่วงนี้ผมดวงไม่ค่อยดีครับ
ตอบ : ภาวนาเยอะ ๆ แล้วจะดีเอง บุญของการภาวนาเป็นบุญใหญ่ จะช่วยให้ดีขึ้นได้เร็วที่สุด เร็วกว่าบุญอื่นทุกอย่าง

เถรี 09-08-2010 17:03

ถาม : เวลาจะสอนเด็ก บางทีก็รู้สึกแน่น ๆ อึดอัด พอรู้สึกแน่น ๆ อึดอัด กลายเป็นว่าเนื้อหาที่สอนไป เด็กไม่เข้าใจ แต่พอสอนด้วยอารมณ์เป็นสุข เด็กก็เข้าใจในเนื้อหาที่สอน ตอนแรกหนูก็งง คิดว่าตนเองคงกินข้าวมากเกินไป
ตอบ : ไม่ใช่หรอก ถ้าอาการอย่างนั้นเกิดขึ้นแสดงว่ามีใครสักคนที่สงเคราะห์

ถาม : สงเคราะห์เขา ?
ตอบ : ใช่..อาจจะสงเคราะห์เด็กทั้งหมดก็ได้

ถาม : แต่ทำไมเราจึงรู้สึกอึดอัด ?
ตอบ : ถ้าคนไม่ช่างสังเกตจะไม่รู้สึก เพียงแต่สงสัยว่า ตั้งใจพูดอย่างหนึ่งแต่ทำไมกลายเป็นอีกอย่าง

ถาม : เป็นทุกคนหรือเปล่า ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็เป็นเรื่องเฉพาะคน แต่ถ้าคนช่างสังเกตก็จะรู้สึก ถ้าไม่ช่างสังเกตก็จะไม่รู้สึก ว่าทำไมวันนี้เราพูดอะไรไปเยอะแยะ ความจริงแล้วไม่ใช่เราพูด ใครก็ไม่รู้ยืมปากเราพูด

ถาม : บางทีอยู่เฉย ๆ แล้วง่วงมากเลย ปรากฏว่าเด็ก ๆ นั่งอยู่ก็ง่วง พอขึ้นเรื่องใหม่เด็กหายง่วง หนูก็หายง่วงไปด้วย
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก สอนเด็กได้ก็ใช้ได้

ก่อนเข้าพรรษาโรงเรียนอนุบาลเฟื่องฟ้าพาเด็กไปวัดท่าขนุนประมาณ ๑๐๐ คน เพิ่งจะรู้ว่าครูสอนเด็กอนุบาลต้องมีความอดทนมาก ๆ คือ พูดอะไรเด็กก็ไม่ฟังสักอย่าง เขาจะทำแต่สิ่งที่เขาชอบ ขนาดแบ่งเด็กออกเป็นสี ๆ แล้ว ก็ไม่ฟังหรอก เขาจะไปกับเพื่อนอย่างเดียว สีไหนก็จะไป

เถรี 09-08-2010 17:22

มีโยมถวายของให้พระอาจารย์ วันต่อมาเขามาขอของคืน ในลักษณะผาติกรรมไป

พระอาจารย์เลยบอกว่า "แบบนี้เขาเรียกว่า ถวายแล้วตัดใจไม่ได้ เป็นพวกศรัทธาแบบหัวเต่า เดี๋ยวหดหัวเข้า เดี๋ยวโผล่หัวออกมา ศรัทธายังไม่แน่นอน"

เถรี 09-08-2010 20:53

ถาม : ชักเริ่มไม่เหมือนคนอื่นเข้าทุกวันแล้ว เพราะไม่เอาเรื่องกับใคร ไม่อยากยุ่งกับใคร เหมือนอยู่ตัวคนเดียว
ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป พอไปอีกระดับหนึ่งก็จะเห็นว่า จริง ๆ แล้วคนเราไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว มีแต่คนที่เป็นไปตามวาระกรรมเขา แล้วเราก็จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับอนาคตของเขา

มีอะไรที่เราสามารถช่วยเหลือได้ก็ช่วยเหลือตามหน้าที่ของเรา พ้นจากนั้นแล้วเราก็ไม่ยุ่งกับเขา เราก็จะไม่แบกอารมณ์ของคนอื่น


ถาม : แล้วเราจะช่วยตัวเราเองอย่างไร เวลาที่อารมณ์ปรี๊ดขึ้นมา ?
ตอบ : หยุดไว้ให้ได้ก่อน

ถาม : รู้สึกว่าชอบเป็นอารมณ์ "ใช่" กับ "ไม่ใช่" ตลอดเวลา ท่านบอกให้มองเป็นกลาง ๆ บางครั้งก็มองออก บางครั้งก็มองไม่ออก ใช่อย่างนี้หรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องเป็นอย่างนี้ไปก่อน พอนาน ๆ ไปแล้วก็จะเริ่มกลมกลืน ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา

เถรี 09-08-2010 21:10

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องอุเบกขาให้ฟังว่า "พระพุทธเจ้าของเราพระองค์ท่านเป็นสุดยอดของอัจฉริยะจริง ๆ

พรหมวิหาร ๔ ถ้าเรามีแต่เมตตากรุณาอาจจะแย่ เพราะว่าส่วนใหญ่เวลาช่วยคนอื่นไม่ได้แล้วใจจะหมอง พระองค์ท่านก็เลยประทานอุเบกขามาให้ด้วย แต่คราวนี้ คนที่จะใช้อุเบกขาเป็นต้องมีปัญญาจริง ๆ มีปัญญาอย่างเดียวไม่พอ จะต้องเด็ดขาดด้วย

เด็ดขาดในระดับตัดกิเลสฉับได้เลยยิ่งดี เพราะว่าถ้าไม่มีอุเบกขา คาดว่าคนดี ๆ คงจะบ้าอีกเยอะ ช่วยเขาไม่ได้แล้วก็มานั่งเสียอกเสียใจ ตีอกชกตัวเอง เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา ว่าทำไมเราช่วยเขาไม่ได้ ?

ในเมื่อมีตัวอุเบกขา แสดงว่าทุกอย่างมีคำตอบ เราเข้าใจแล้วว่าวาระเป็นอย่างนั้น แบบเดียวกับเมื่อวานที่โจเซฟ เขาบอกว่า กรรมเฉพาะตัวเขารู้ เขาเข้าใจ ว่าใครทำใครได้ แต่ประเภทที่โดนสึนามิ ตายทีเป็นแสน เขาทำกรรมอะไรกันมา ?

อาตมาก็บอกว่า พวกนี้เมื่อก่อนยกทัพไปตีบ้านตีเมืองเขา ถึงเวลาก็รับกรรมพร้อม ๆ กัน นั่นฝรั่งเขาถามนะ โจเซฟเขาเป็นชาวเยอรมัน มาครั้งนี้เขาลืมพาสปอร์ต ก่อนเดินทางก็ท้องเสีย มารเขาทดสอบกันขนาดนี้เลย

ในเรื่องของอุเบกขา จำเป็นต้องใช้ปัญญาช่วยเยอะมาก ๆ เพราะว่าถ้าไม่มีปัญญา เราก็ไม่รู้ว่าจะหยุดจะควรในวาระที่เหมาะอย่างไร"

เถรี 09-08-2010 22:18

พระอาจารย์เล่าถึงภาพยนตร์เรื่อง ไต่เป็นไต่ตาย ( Vertical Limit ) ให้ฟัง ถึงการเสียสละของพ่อพระเอก ที่ยอมตัดสายเชือกในขณะปีนยอดเขา เพื่อให้ลูกของตนเองได้มีชีวิตรอด แล้วตนเองตกลงไปเสียชีวิตข้างล่าง เช่นเดียวกับเพื่อนของพระเอกในตอนท้ายเรื่อง ที่ยอมตัดสายเชือกเพื่อให้คนในคณะได้มีชีวิตรอดเช่นกัน

พระอาจารย์บอกว่า "ให้ลองไปหาหนังเรื่องนี้มาดู ดูแล้วคิดเป็นจะได้อะไรเยอะมาก เพราะลักษณะของการเสียสละตัวเองเพื่อผู้อื่นนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก เราจะต้องมีอุเบกขาให้ได้ระดับนั้น ยอมตัดใจ"ฉึบ" เดียวขาดเลย

เมื่อวาน ดร.เก้า (ดร.ชาญวิทย์ ทัศน์แก้ว) เขาบอกถึงสาเหตุที่พระพุทธเจ้าของเราตรัสรู้ก่อนพระศรีอาริยเมตไตรย โดยมีตำนานหนึ่งระบุไว้ชัดเลยว่า ตอนที่แม่เสือจะกินลูกตัวเอง พระพุทธเจ้าของเราตัดสินใจกระโดดลงไปให้เสือกินแทน ขณะที่พระศรีอาริย์ลังเลใจอยู่นิดเดียว ตัดสินใจไม่ทัน พระพุทธเจ้าท่านก็เลยตรัสรู้ก่อน

ตำนานพวกนี้บางทีในเถรวาทไม่มี ไปมีอยู่ในมหายาน แต่ ดร.เก้าเขาจบมาทางนี้โดยตรง เขาสืบค้นมาหมดทุกรูปแบบเลย"

เถรี 10-08-2010 00:05

พระอาจารย์กล่าวต่อในเรื่องอุเบกขาว่า "อุเบกขา..ปล่อยได้..วางได้ ปล่อยวางด้วยปัญญานั้นหายาก ส่วนใหญ่แล้วปล่อยวางแบบหลวงพ่อชาท่านว่า "วางแบบควาย" คือ ใครจะอึดกว่ากัน

แต่ถ้าปล่อยวางด้วยปัญญาก็คือ ได้พยายามทุกวิถีทางแล้วแต่ไม่สามารถแก้ไขได้ ก็ต้องยอมรับ"


ถาม : ถ้าเรามีปัญญาในตัวอุเบกขา แล้วตัวที่เหลืออย่างเมตตา กรุณา มุทิตา กำลังจะเท่ากันกับตัวอุเบกขาหรือเปล่า ?
ตอบ : เท่ากันและผสานเป็นเนื้อเดียวกัน อุเบกขาก็ยังมีอุเบกขาด้วยความเมตตา อุเบกขาด้วยความกรุณา

ถาม : แล้วอุเบกขานั้น จะเลือกเอาตัวไหนมาใช้อย่างไร?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตอนนั้นว่าเป็นอย่างไร สมควรที่จะงัดตัวไหนขึ้นมาใช้

ถาม : บางทีรู้สึกว่าอุเบกขามากเกิน ก็ต้องไปดูตัวเมตตา กรุณา มุทิตา เมื่อวานเพิ่งเห็นว่าเป็นเรื่องที่ยากเหมือนกัน บางทีก็ต้องอาศัยสถานการณ์พาไป
ตอบ : สถานการณ์พาไปก็ยังดี ถ้าอารมณ์พาไปมักจะเละ..!

เถรี 10-08-2010 00:18

ถาม : มีผู้มาทำบุญกุศลถวายสังฆทานในสามวันนี้ แต่ละครั้งเรานั่งอนุโมทนาทุกครั้ง ๆ กับพอครบสามวันแล้วเราขออนุโมทนาทีเดียวหมด จะได้เหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเอ็งมีชีวิตอยู่ไม่ถึงสามวันก็แปลว่าขาดทุน อย่างเช่นนั่ง ๆ อยู่เป็นลมตายไปเสียก่อน..ก็อด..!

ถาม : เห็นมีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงพ่อบอกว่า คนเป็นพระอรหันต์ แล้วขออนุโมทนาบุญท่าน ก็พ้นจากอบายภูมิ ก็เลยคิดว่าทำอย่างนั้นได้
ตอบ : รู้ทีหลังก็อนุโมทนาได้ จำไว้นะ..อย่าประมาท ถ้าเราประมาทคิดว่าโมทนาเย็นนี้ทีเดียว ถ้าวันนี้เราอยู่ไม่ถึงเย็นก็ได้

เถรี 10-08-2010 00:48

พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "เป็นธรรมดาของทุกสิ่งที่จะต้องไม่เที่ยง ถ้าอารมณ์ที่เราปฏิบัติได้ไม่ทรงตัว ก็แปลว่าเขากำลังแสดงความไม่เที่ยงให้เราเห็น

แต่คราวนี้จุดที่ต้องพึงสังเกตเลยก็คือว่า ที่ไม่ทรงตัวจริง ๆ เป็นส่วนของสมาธิหรือเป็นกำลังใจที่เราทรงได้ ? ถ้ารู้จักสังเกตก็จะเห็นว่า ส่วนใหญ่เกิดจากสมาธิตก สมาธิตกถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าเวลาเหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ หรือเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา สมาธิก็ต้องตกอยู่แล้ว แต่กำลังใจที่เราทำได้จะไม่ตก

ฉะนั้น..ถ้าใครจับจุดตรงนี้ได้ ก็จะไม่เสียเวลาไปคร่ำครวญอยู่กับของที่ไม่เที่ยง ความหนักแน่นหายไป แต่ความมั่นคงยังอยู่ ความหนักแน่นเกิดจากสมาธิ ความมั่นคงนั้นเป็นพื้นฐานของกำลังใจที่ปฏิบัติได้แล้ว

ฉะนั้น..ถึงจะสมาธิไม่หนักก็ช่าง ให้กำลังใจมั่นคงก็แล้วกัน หลายต่อหลายคนไปนั่งคลุ้มคลั่งว่าไม่น่าเลย หายไปอีกแล้ว ความจริงหายแค่สมาธิเท่านั้นเอง"

เถรี 10-08-2010 13:28

ถาม : ถ้าผมอุปสมบทเป็นพระภิกษุ จะต้องเอาสร้อยพระออกใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องเอาออกก่อน เพื่อเป็นการป้องกันว่า เราขอถึงซึ่งไตรสรณาคมน์ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ ไม่ใช่บวชเข้ามาโดยที่ยังพกเครื่องรางของขลังที่ไม่ใช่พระอยู่ ซึ่งแปลว่าเรายังไม่ถึงไตรสรณาคมน์อย่างแท้จริง หลังจากที่บวชแล้วค่อยซุก ๆ เข้าไปใหม่ วันก่อนที่บวชทิดเก้า อุปัชฌาย์บอกว่า "ที่มือ ๆ" เขาจึงนึกได้ว่าที่มือเขายังใส่สายสิญจน์อยู่

ก็คือ ในเมื่อเราประกาศตนยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ท่านต้องการให้ยึดจริง ๆ จึงให้เอาของอื่นออกให้หมดก่อน แต่หลังจากนั้นเราค่อยไปยึดกันทีหลัง

นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง ที่พึ่งอื่นใดของเราไม่มียิ่งไปกว่า พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง ที่พึ่งอื่นใดของเราไม่มียิ่งไปกว่า พระธรรมเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง ที่พึ่งอื่นใดของเราไม่มียิ่งไปกว่า พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้า

ท่านต้องการให้เข้าถึงคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ก็เลยให้ปลดซะเกลี้ยง..!

เถรี 10-08-2010 13:30

ถาม : ก่อนหน้านี้ก็กลัว ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราทำได้หรือพิจารณาได้จะหายไปหรือเปล่า ก็เลยลองคลายสมาธิออกมาดู ดูแล้วกลับเข้าไปใหม่
ตอบ : ลองได้ แต่ให้ลองด้วยความระมัดระวัง เพราะถ้าตกพรวดไป คราวนี้เราจะซมซานอยู่พักหนึ่ง รู้ทั้งรู้ว่าอันตรายแต่ก็ยังทำ..!

เถรี 10-08-2010 13:36

พระอาจารย์ท่านกล่าวถึงความต้องการอาหารของร่างกายว่า "บางทีในสิ่งที่ร่างกายต้องการกับกิเลสต้องการ เป็นคนละอย่างกัน

บางครั้งธุดงค์อยู่ในป่านาน ๆ ร่างกายเราขาดสารอาหาร ต้องใช้คำว่า "โหย" ไม่ใช่ "หิว" หิวนี่กินแล้วหายหิว แต่ถ้าโหยกินแล้วไม่หาย เพราะร่างกายยังได้ไปไม่พอ

ตอนที่ไปธุดงค์อยู่ ๓๐ กว่าวัน เดินจากทุ่งใหญ่ ขึ้นอุ้มผาง แล้วลงไปห้วยขาแข้ง จากนั้นวนกลับมาอีกทีหนึ่ง ออกมาที่ริมเขื่อนศรีนครินทร์ มีโยมเขาเลี้ยง เขาหุงข้าวหม้อหนึ่ง มีปลาทอด มีน้ำพริกผักต้ม มีต้มยำ สามคนพ่อแม่ลูกคงจะรอกินต่อจากพระนั่นแหละ แต่ปรากฏว่าพระกวาดเกลี้ยงหม้อไม่เหลือข้าวสักเม็ด..!

เวลาร่างกายเราขาดสารอาหารมาก ๆ กินเข้าไปเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม กินไปได้เรื่อย ๆ ชูชกที่ท้องแตกตายก็เพราะอย่างนี้

มีอยู่เที่ยวหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านฉันเพลอยู่ ท่านบอกว่า "เฮ้ย..เล็ก ไปบอกป้านนทา ทำน้ำปลาพริกมาถ้วยหนึ่ง เร็ว ๆ" เราก็ไป ป้าแกอายุมากแล้ว แกก็ช้า กว่าจะซอยพริก กว่าจะทำเสร็จ เสียงหลวงพ่อมา "เร็วหน่อยโว้ย..อยากจนน้ำลายยืดแล้ว..!"

เราก็สงสัยว่าหลวงพ่อยังอยากอยู่หรือ ? เพิ่งมารู้ไม่นานนี้เองว่า ตอนนั้นร่างกายท่านต้องการ เพราะขาดสารอาหารไปเยอะ ใจท่านไม่ได้อยากหรอก"

เถรี 10-08-2010 13:42

ถาม : เราจะจับสัญญาณความต้องการของร่างกายได้อย่างไร ?
ตอบ : ถ้ายกตัวอย่างอื่น ๆ ก็จะเห็นได้ยาก เอาคนที่อดบุหรี่ก็แล้วกัน กินข้าวเท่าไรไม่รู้จักอิ่มหรอก เพราะร่างกายโดนทำลายวิตามินต่าง ๆ ไปเยอะ โดยเฉพาะวิตามินซี เพราะฉะนั้น..คนที่อดบุหรี่จึงมักจะกินเอา ๆ กินจนอ้วน

แต่จริง ๆ ถ้าหากเขารู้ว่า ร่างกายโดนบุหรี่ทำลายวิตามินซีไปเยอะ ก็ซื้อวิตามินซีสักเม็ดละ ๒ มิลลิกรัม มาอมเล่น ๆ ไปทั้งวัน ก็จะไม่หิว เพราะร่างกายได้ของตรงกับความต้องการ แต่ในเมื่อไม่ได้ตรง ถึงเวลาก็ต้องไปเค้นเอาจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย

คนที่กินข้าวมีหรือที่จะกินมะนาวไปเป็นลูก ? ก็ไม่มี.. ในเมื่อไม่มีก็ไม่อิ่มสักที โหยอยู่ตลอดเวลา เลยต้องกินจนอ้วน

ฉะนั้น..ที่ร่างกายกับใจต้องการเป็นคนละอย่างกัน ใจต้องการบางทีเป็นกิเลสพาไป ร่างกายต้องการมีให้กินตามมื้อก็พอ แต่ถ้ากิเลสต้องการเราจะกินจุบกินจิบไปเรื่อย

จริง ๆ ถ้าไปต่างประเทศจะมีวินัยในการกินขึ้นอีกเยอะ บ้านอื่นเมืองอื่นเขาขายอาหารเป็นเวลา บ้านเรามีขายเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า มีกินได้ทุกตรอกทุกซอกทุกซอยเลย

บ้านเราถือว่ากินล้างกินผลาญ ที่เขาชอบเมืองไทยเพราะจะกินตรงไหนก็มี บ้านเขานี่เลยเวลาแล้วเขาปิดร้านไปเลย ต้องไปรอให้ร้านเขาเปิดถึงจะได้กิน

เถรี 17-08-2010 09:53

ถาม : อย่างกรณีหลวงพ่อฤๅษีที่ท่านต้องการน้ำปลาพริก ?
ตอบ : ใจท่านไม่ได้อยาก เพียงแต่ร่างกายท่านขาดเยอะ ท่านอาจจะถ่ายท้องมาก ร่างกายก็เลยขาดธาตุเกลือ ขาดความเค็ม

มาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงเรื่องในพระไตรปิฎก ที่ผู้ไปปฏิบัติธรรมในป่า พอถึงเวลาอยากเค็มอยากหวาน ก็ออกมาสู่โลกมนุษย์ นั่นคือร่างกายขาดสารอาหารมาก แต่บาลีแปลเป็นไทยว่า อยากเค็ม อยากเปรี้ยว อยากหวาน ก็เลยออกมาสู่โลกมนุษย์ ก็คือ เข้ามาในบ้านในเมือง เข้ามาเพื่อจะหาของกิน

ถาม : เราจะสามารถรู้ความต้องการของร่างกายได้อย่างไร ?
ตอบ : รู้ได้ ถ้าจิตมีความละเอียดพอ

ถาม : ต้องได้ระดับไหน ?
ตอบ : แค่ปฐมฌานละเอียดก็พอ

เถรี 17-08-2010 11:00

ถาม : ในเรื่องการถือศีลแปด ถ้าเราเป็นครูสอนดนตรี หรือจำเป็นต้องฝึกซ้อมดนตรี จะผิดศีลหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าฟังเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนาน แล้วทำให้ขาดสติเพลิดเพลินไปกับดนตรีก็ผิดศีล ส่วนของเรานั้นเป็นอาชีพ ทำไปเถอะ..เวลาที่เหลือค่อยมารักษาศีลให้บริสุทธิ์

เถรี 17-08-2010 12:05

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยนั้นพระที่มีความสามารถรองจากหลวงพ่อปาน ก็คือ หลวงพ่อเล็ก เกสโร วัดบางนมโค หลวงพ่อเล็ก วัดบางนมโค ท่านเป็นพระอาจารย์ ๑ ใน ๑๐๘ องค์ ที่เขานิมนต์มาพุทธาภิเษกพระ ๒๕ พุทธศตวรรษ

หลวงพ่อเล็กโดยศักดิ์แล้วเป็นลุงของหลวงพ่อฤๅษี (เป็นพี่ชายของแม่) ตอนที่แม่คลอดหลวงพ่อฤๅษี หลวงพ่อเล็กบอกว่า หลานคนนี้มาจากพรหม ให้ตั้งชื่อว่า "พรหม" ตอนหลังพอไปแจ้งนายทะเบียน นายทะเบียนบอกว่าชื่อสูงเกินไป เลยเปลี่ยนให้เป็นสังเวียน

พอหลวงพ่อฤๅษีไปอยู่วัดช่างเหล็ก เพื่อนร่วมรุ่นของท่านชื่อสำเนียง ส่วนหลวงพ่อชื่อสังเวียน ถึงเวลาอาจารย์เรียกมักจะขานรับผิดอยู่บ่อย ๆ ดังนั้น..พอได้ประโยคสามหลวงพ่อเลยเปลี่ยนเป็น พระมหาวีระ"

เถรี 17-08-2010 12:09

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระพุทธเจ้าได้บัญญัติศีลพระข้อหนึ่งว่า ห้ามพระทำผีหลอก ถ้าทำปรับอาบัติศีลขาด เพราะสมัยนั้นจะมีสามเณรที่บวชตั้งแต่อายุ ๗ ขวบอยู่หลายรูป พระท่านก็ไปทำผีหลอก จนเณรร้องไห้เพราะกลัวผี แสดงว่าเรื่องแกล้งกันในวงการนักบวชมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้ว

อาบัติอีกข้อก็คือ ห้ามซ่อนของใช้ส่วนตัวของพระ มีการระบุไว้เลยนะ..ซ่อนกล่องเข็ม ซ่อนประคดเอว ฯลฯ ใครซ่อนก็โดนปรับศีลขาด แสดงว่าสมัยนั้นแกล้งกันอย่างครึกครื้น

ในพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะเป็นพระวินัยปิฎกหรือพระอภิธรรมปิฎก ถ้าอ่านดี ๆ จะได้อะไรเยอะมาก อ่านแล้วต้องคิดให้เป็น อย่าอ่านแล้วทิ้งเฉย ๆ อย่างเช่น ทำไมต้องห้ามข้อนี้ ถ้าห้ามแสดงว่าเขาทำกันมาก ถ้าทำกันมากแล้วไม่ห้ามเดี๋ยวจะเสียหาย เป็นต้น"

เถรี 17-08-2010 12:13

พระอาจารย์เล่าเรื่องไม้ค้ำให้ฟังว่า "ทางล้านนาเรานิยมการดูแลต้นโพธิ์ เขาถือว่าเป็นไม้ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า คราวนี้ต้นโพธิ์บางต้นแผ่กิ่งออกไปกว้างมาก กิ่งก็อาจจะหัก เขาจึงเอาไม้ไปช่วยค้ำ ทำไม้ไปค้ำไว้ ทำไปทำมาจึงเป็นความนิยมว่า ถ้าหากใครดวงไม่ดี ไปถวายไม้ค้ำโพธิ์จะได้ค้ำดวงชะตาตัวเองไว้ด้วย นานไปก็กลายเป็นความนิยมในเรื่องไม้ค้ำ กลายเป็นไม้ค้ำเงินไม้ค้ำทองอย่างในปัจจุบัน"

เถรี 17-08-2010 12:57

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นสหชาติ เกิดพร้อมพระพุทธเจ้า

สหชาติที่เกิดพร้อมกันมีอยู่ ๗ อย่าง ก็คือ พระนางยโสธราหรือพระนางพิมพา พระอานนท์ นายฉันนะ กาฬุทายีอำมาตย์ ม้ากัณฐกะ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และขุมทรัพย์ทั้ง ๔ นี่เป็นสหชาติที่เกิดในวันเดียวกัน

มีใครสงสัยบ้างหรือไม่ ว่าม้าอายุยืนที่สุดเท่าไร ? เจ้าชายสิทธัตถะออกมหาภิเนษกรมณ์ ออกบวชโดยขี่ม้ากัณฐกะที่เป็นสหชาติไป มีใครระแวงหรือไม่ว่าม้าอายุ ๒๙ ปี จะมีแรงวิ่งไหวหรือเปล่า ? ม้าไม่น่าจะมีอายุเกิน ๓๐-๔๐ ปี นั่นถือว่าเป็นบั้นปลายของอายุม้ากัณฐกะเลย

ในอรรถกาท่านกล่าวเอาไว้ว่า เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกมหาภิเนษกรมณ์ ปรากฏว่าประตูเมืองปิดแล้ว เจ้าชายคิดว่าประตูเมืองปิดก็ไม่เป็นไร เราจะใช้เท้าหนีบม้ากัณฐกะและจูงนายฉันนะกระโดดข้ามกำแพงไป นี่พระพุทธเจ้าท่านคิด ส่วนนายฉันนะท่านก็คิดว่า ประตูเมืองปิดไม่เป็นไร เราจะแบกม้ากัณฐกะพร้อมพระลูกเจ้ากระโดดข้ามกำแพงไป

ส่วนม้ากัณฐกะก็คิดว่า ประตูเมืองปิดก็ไม่เป็นไร เราจะแบกพระลูกเจ้าพร้อมนายฉันนะเกาะท้ายและกระโดดข้ามกำแพงไป แปลว่าทุกคนทำได้เสมอกันหมด กำลังดีขนาดนั้น

เป็นไปได้หรือ ? ก็ต้องดูตอนที่พันธุลเสนาทดสอบฝีมือ ฟันไม้ไผ่หนึ่งพันลำขาดในดาบเดียว แต่ความจริงไม่ใช่ไม้ไผ่อย่างเดียว เขาแอบเอาเหล็กสอดไว้ด้านในด้วย คนที่กำลังมากขนาดนั้นไม่ต้องแปลกใจ..เขาทำได้แน่ คราวนี้ม้ากัณฐกะวิ่งจากกบิลพัสดุ์ไปจนถึงเขตของแคว้นมคธ ระยะทางไกลเอาเรื่องเลย

พอเจ้าชายสิทธัตถะตัดพระเมาลี อธิษฐานเพศบรรพชิตและให้นำเครื่องทรงกลับ นายฉันนะก็นำเครื่องทรงพร้อมกับจูงม้ากัณฐกะกลับ อรรถกาบอกว่าม้ากัณฐกะอาลัยรักเจ้าชายสิทธัตถะมาก เดินยังไม่ทันจะลับสายตาก็อกแตกตาย

เราต้องมานึกว่าอกแตกตายหรือเหนื่อยตาย ? วิ่งไปคืนหนึ่งกับวันหนึ่ง น่าคิดเหมือนกันนะ ถ้าใครเรียนวิจัยเกี่ยวกับพุทธศาสนาให้ทำวิจัยเรื่องนี้หน่อย เผื่อจะได้คำตอบอะไรดี ๆ อีกเยอะ"

เถรี 17-08-2010 14:10

พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "สมัยก่อนเวลาเด็กตกใจหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ตกใจ เขาเชื่อว่า "ขวัญ" หรือ "มิ่งขวัญ" ประจำตัวจะเตลิดหนี ถึงเวลาก็ต้องไปทำพิธีเรียกขวัญ มีการนำกระด้งไปตักด้วย มีการฟ้อนรำเรียกขวัญด้วย

เมื่อเชิญขวัญกลับมาสู่ตัวแล้วก็จะมีการผูกขวัญ มัดข้อมือไว้ กันขวัญหนี

ถ้าหากมากล่าวถึงในแง่ของนักปฏิบัติ คนที่ขวัญหาย ขวัญหนี ขวัญอ่อน คือ คนที่กำลังใจน้อย ก็จะต้องให้คนที่กำลังใจเข้มแข็งกว่า มาทำพิธีผูกขวัญรับขวัญให้ เพื่อเป็นกำลังใจแก่คนที่ได้รับการผูกขวัญ เขาจะรู้สึกดีว่า ตอนนี้เป็นปกติแล้ว มีความมั่นใจกลับคืนมา สามารถที่จะทำมาหากินตามปกติได้

จริง ๆ แล้วในเรื่องของประเพณีโบราณ จะแฝงหลักธรรมทางพุทธศาสนาเอาไว้มาก หลักจิตวิทยาต่าง ๆ ก็มี เพียงแต่ว่าเราคิดถึงหรือมองเห็นหรือเปล่า ?

ยกตัวอย่าง บายศรีสู่ขวัญ ทำพิธีต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เหมือนลักษณะเชื้อเชิญ ในเมื่อเจ้าของสถานที่เชิญแล้ว บรรดาเทวดา หรือผีปู่ย่าตายายซึ่งรักษาที่ทางบ้านช่อง จะได้ไม่ขัดขวาง เขาจะได้อยู่เย็นเป็นสุข อยู่ร่วมกันกับเจ้าของสถานที่นั้น ๆ ได้"

เถรี 18-08-2010 10:56

ถาม : ไม่รู้มีเวรมีกรรมอะไร จึงเจ็บไข้ได้ป่วย ?
ตอบ : การป่วยไข้ทุกอย่างมีผลมาจากเศษกรรมจากปาณาติบาตในอดีต เราทำเขาไว้ถึงเวลาก็ต้องชดเชยคืนเขาไป ให้ตั้งใจว่าเราขอชดใช้แค่ชาตินี้ชาติเดียว พ้นจากนี้เราก็ไปนิพพานแล้ว ถ้าตามทวงได้ก็เชิญ..!

เถรี 18-08-2010 11:17

ที่บ้านอนุสาวรีย์จะมีเด็ก ๆ น่ารักหลายคนที่พ่อแม่พามากราบพระอาจารย์

ท่านอธิบายให้ฟังว่า "กุมาร มาจากศัพท์ ๒ คำ คือ กุ = ความเกลียด และ มาระ = ผู้ฆ่า กุมาร จึงแปลว่า ผู้ฆ่าซึ่งความเกลียด เป็นธรรมชาติของสัตว์โลกที่จะต้องเอาตัวรอด ถ้าลูก ๆ ไม่น่ารัก เดี๋ยวคนหรือสัตว์ที่ตัวโตกว่าก็จะกัดหรือทำร้ายให้ถึงตายได้"

นอกจากนี้แล้ว มีเด็ก ๆ บางคนเวลาเกิดอาการไม่พอใจอะไรนิดหน่อย ก็จะแสดงอาการโมโห ร้องไห้เอะอะออกมา พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้ว แม้กระทั่งเด็กเพิ่งอายุนิดเดียว ยังไม่ถึงขวบเท่านั้นเอง รัก โลภ โกรธ หลง ก็มีอยู่เต็มแล้ว เพียงแต่ว่าเขามีโอกาสแสดงออกหรือเปล่าเท่านั้นเอง

อย่างเด็กเมื่อวาน แสดงว่าพื้นฐานโทสะจริตร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม สะกิดนิดเดียวไม่ได้ ระเบิดตูมเลย เขาเปลี่ยนจากปฏิฆะ (การกระทบ) เป็นโทสะ (ความโกรธ) เร็วมาก น่ากลัว"

เถรี 19-08-2010 10:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานทำบุญครบรอบวันมรณภาพปีที่ ๑๘ ของหลวงปู่สาย วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓ จะจัดให้มีการบวชเนกขัมมะถือศีลแปดสามวัน ก็คือบวชวันอาทิตย์ที่ ๑๒ วันจันทร์ที่ ๑๓ และวันอังคารที่ ๑๔ ทำบุญเสร็จก็สึก พร้อมรับประกาศนียบัตรของศูนย์ปฏิบัติธรรมจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน)

ถ้าใครอยากถือศีลแปดที่วัด ก็หาวันลาเอาไว้ แล้วก็แห่ไปนุ่งขาวห่มขาวกันสักหน่อย ถือว่าบวชถวายกุศลให้หลวงปู่และถวายให้ในหลวงด้วย

นี่เป็นครั้งแรกที่เปิดสำหรับฆราวาส ถ้ามีเวลาก็จะสอนกรรมฐานให้"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:41


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว