กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2447)

เถรี 09-02-2011 16:04

ถาม : อ่านหนังสือจีนกำลังภายใน จะมีพวกงำประกาย ซ่อนฝีมือตัวเองไว้มิดชิดมาก พวกนี้เขาตั้งใจไหมคะ ?
ตอบ : ตั้งใจสิจ๊ะ

ถาม : ทำไมเขาต้องซุกฝีมือไว้ด้วย ?
ตอบ : เอาอย่างนี้ ถ้าเป็นการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาของเรา บุคคลพอเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็คือคนธรรมดาที่ยิ่งกว่าธรรมดา

ถ้าคุณแสดงความสามารถให้เขาเห็น ก็มีอยู่สองอย่าง คนที่เขาหาว่าบ้าก็เท่ากับปรามาสพระรัตนตรัย ส่วนคนที่ไม่เห็นว่าบ้า แต่เขาเชื่อแล้วมาหาแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น ถ้าเป็นเราจะรับไหวไหมเล่า ? นั่นแหละที่ทำให้เขาจำเป็นต้องงำประกาย

แค่ว่าสมมติว่าเราเป็นคนเก่ง คนเขาอยากรู้จักเรา เพื่อที่จะเอาไปอ้างกับคนอื่นว่ารู้จักเรา แค่พวกนี้พวกเดียวมาก็แย่แล้ว ยังไม่ต้องคิดถึงพวกที่มาเพื่อขอความช่วยเหลือนะ

ถาม : จะต้องเป็นอย่างนี้เสมอเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : พอไปถึงตรงนั้นแล้ว เราจะมีความสำนึกตัวดีว่าจะต้องทำอย่างไร ไม่อย่างนั้นคุณแย่แน่

ถาม : แล้วใช่อารมณ์เดียวกับอารมณ์ที่เป็นอุเบกขาในการเข้าถึงอะไรสักอย่างไหมคะ ?
ตอบ : จะมีบางประเภทที่ปล่อยวางได้อย่างนั้น ประเภทนี้จะไม่สนใจชื่อเสียงเกียรติยศอะไรในวงยุทธจักรเลยก็มี ส่วนน้อยจะเป็นอย่างนั้น

ส่วนมากจะเป็นพวกเบื่อ รำคาญเรื่องราวต่าง ๆ ประเภทขี้หมูราขี้หมาแห้งที่จะมาถึงตัวเอง จึงจำเป็นต้องปิด

ถาม : แต่ถ้ากรณีอย่างนี้ พอถึงคราวจะเปิด ก็ต้องอยากจะเปิด แบบว่าได้จังหวะก็แสดงเลย
ตอบ : ใช่..ต้องรองานประเภทงานชุมนุมเจ้ายุทธจักรอะไรอย่างนั้น พอแสดงให้คนเขาเห็นเสร็จแล้วก็หายหัวไปเลย

เถรี 09-02-2011 16:11

ถาม : ถ้าถึงสุดยอดแล้วเป็นอุเบกขา ก็คือมีโอกาสจะแสดงแต่ไม่แสดง ?
ตอบ : ส่วนมากจะไม่แสดงออก ต้องดูในเรื่องฤทธิ์มีดสั้น ผู้เฒ่าลิขิตฟ้าเป็นคุณปู่หรือคุณตาของนางเอก เป็นผู้ที่ได้รับการจัดให้เป็นสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งในคัมภีร์ศาสตราวุธ แต่ไม่เคยแสดงฝีมือเลยตั้งแต่ต้นยันปลาย มีอยู่อย่างเดียวก็คือ คอยไปเตือนสติ หรือไม่ก็ไปนั่งให้คนเห็น เขาจะได้ไม่กล้าทำอะไร แค่นั้นเอง

แต่ท่านไม่มีโอกาสแสดงฝีมืออะไร ในสายตาคนอื่นเห็นเขายืนมองกัน แต่ความจริงก็คือ เขาหยั่งเชิงกันว่า ถ้าลงมือไปแล้วจะคุ้มค่าไหม ? ลักษณะแบบเดียวกับพวกเสือ เสือจะรักษาตัวมากที่สุด จะไม่ยอมให้บาดเจ็บด้วยเหตุใด ๆ เด็ดขาด เพราะเขารู้ว่า ถ้าบาดเจ็บขึ้นมา อันดับแรก..อาจจะถึงแก่ชีวิต อันดับที่สอง..ถ้าพิการแล้วจะหากินไม่สะดวก ทำให้อดตายได้

เพราะฉะนั้น..สัตว์จำพวกเสือ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ จะไม่ปะทะกับอะไรอย่างเด็ดขาด ต่อให้ล่าเพื่อเป็นอาหาร ก็จะเลือกสัตว์ที่ล่าง่ายที่สุด ถ้าจำเป็นจริง ๆ หาอะไรไม่ได้แล้ว จึงจะยอมลงทุนล่าสัตว์ที่ล่าได้ยาก เราเองก็อย่าไปชนกับกิเลส ต้องทำตัวเหมือนเสือ ต้องรู้จักรักษาตัวให้รอด กิเลสไม่เคยปรานีเรานะจ๊ะ ถ้ามีโอกาสเขาตีเราตายเลย เพราะฉะนั้น..เราต้องรู้จักรักษาตัวของเราเอง

เถรี 09-02-2011 16:15

พอปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่เราทำจะไปฝืนกระแสโลก ในเมื่อฝืนกระแสโลกคนเขาจะมองเป็นสองแง่ แง่แรกก็คือเราบ้า เพราะทำอะไรไม่เหมือนคนอื่นเขา สิ่งที่เขาอยาก เราก็ไม่อยาก สิ่งที่เขาต้องการ เราก็ไม่ต้องการ สิ่งที่เขาเห็นเป็นของยาก เรากลับทำได้ทำดี

ส่วนอีกประเภทหนึ่ง จะเห็นเราเป็นผู้วิเศษ หวังพึ่งพา ซึ่งไม่ดีทั้งสองแง่ เพราะฉะนั้น..มีอยู่ทางเดียวก็คือ ต้องทำเป็นโง่ ๆ เซ่อ ๆ ของเราต่อไป

ถาม : แบบนี้ก็เหมือนกับในชีวิตเราทั่วไป
ตอบ : มนุษย์อยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเรื่องในยุทธจักรของเขา ก็จะเป็นรูปแบบของเขา แต่ก็เจอรัก โลภ โกรธ หลง ในลักษณะของเขา พวกเราดำเนินชีวิตของพวกเรา ก็เจอรัก โลภ โกรธ หลงในรูปแบบของพวกเรา

แต่กิเลสหน้าตาจะเหมือนกันหมด ถึงเวลาเราอ่าน บางทีจะรู้สึกว่าตัวละครนี้คือเราชัด ๆ เลยนี่นา..!

เถรี 09-02-2011 23:30

ถาม : อารมณ์ที่นิ่ง ๆ เป็นอุเบกขาหรือเปล่า ?
ตอบ : มีสองอย่าง อย่างแรกเป็นอุเบกขาในสมาธิระดับใดระดับหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งเป็นอารมณ์อทุกขมสุขเวทนา กำลังใจที่ไม่รับทั้งสุขและทุกข์

ถาม : เป็นสังขารุเปกขาญาณหรือยัง ?
ตอบ : อาจจะเป็นสังขารุเปกขาญาณก็ได้ แต่ขณะเดียวกัน ถ้าปัญญายังไม่ถึง บางทีก็เหมือนกับคนที่หมดสติไปเฉย ๆ ไม่รับรู้อะไร แล้วจะไปสุขไปทุกข์อะไรได้

ถาม : อารมณ์จะนิ่ง ลงมากองที่แกนกลางของร่างกาย ดิ่งลงไปเรื่อย ๆ
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นเป็นเรื่องของสมาธิ เป็นอุเบกขาในสมาธิ

ถาม : อยู่ ๆ ก็เป็นนะคะ มาเอง
ตอบ : ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ แล้วเป็น แต่มีสาเหตุ บางทีเราลืมคิดย้อนไปว่า ก่อนที่จะเป็นอย่างนั้นเราคิดอย่างไร ? เราพูดอย่างไร ? เราทำอย่างไร ? ถ้าเราคิดย้อนกลับไปแล้ว สามารถย้อนได้ชัดเจนว่า เป็นเพราะเราคิด เราพูด เราทำอย่างไร ? ถ้าเราทำใหม่ ผลนั้นก็จะเกิดกับเราใหม่อีก

พอเราซ้อมบ่อย ๆ ผลนั้นเกิดกับเราจนทรงตัว ก็ไม่ต้องไปชนกับรัก โลภ โกรธ หลง เท่ากับว่าเราใส่เกราะไว้ ปลอดภัยหน่อย

ถาม : เราก็มองทุกอย่าง เห็นทุกอย่าง รับรู้ทุกอย่างได้ตามปกติ
ตอบ : แต่เราก็ไม่ไปแตะต้องด้วย ถ้าอะไรจำเป็นต้องแตะ เราก็คลายกำลังใจออกมาหน่อยหนึ่ง รับรู้ด้วยความระมัดระวัง พอรับรู้เสร็จหมดเรื่องก็ปิดทันที ไม่ยุ่งด้วยอีกแล้ว ก็จะปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าวันไหนเผลอให้เกราะหลุด ก็โดนเล่นงานไม่เลี้ยงเหมือนกัน

เถรี 09-02-2011 23:39

ถาม : เราก็อยู่อย่างนี้ของเราเองได้ และเราก็รับรู้ทุกอย่างได้อย่างรอบตัว มีความคล่องตัว
ตอบ : นั่นเป็นฌานใช้งาน ลักษณะของฌานใช้งาน ก็คือ คุณทรงสมาธิอยู่ แต่คุณก็สามารถทำทุกอย่างได้เหมือนกับคนทั่วไป แต่ถ้าเป็นคนที่เพิ่งฝึก จะนั่งนิ่งอย่างเดียว ทำอย่างอื่นจะไม่เป็น

ถาม : แล้วอย่างนี้คนที่เขาได้สังขารุเปกขาญาณ เกิดจากปัญญาที่เขาเห็น เขาไม่เอาอะไรแล้ว อารมณ์นี้จะไม่นิ่ง แต่จะเบา..?
ตอบ : อารมณ์จะเบา..นิ่ง..จะไม่ยุ่งอะไร โดยที่มีปัญญารู้เห็นว่า ถ้าหากเราทำอย่างนี้ จะมีประโยชน์อย่างนี้ ถ้าเราทำอย่างนี้ จะมีโทษอย่างนี้ แล้วก็เลือกทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ ละเว้นในด้านที่เป็นโทษ

โดยเฉพาะถ้าถึงระดับนั้นจะรู้ละเอียดว่า ทำอย่างไรถึงจะออกมาดีที่สุด ความพอเหมาะพอดีจะมีอยู่ ก็จะเลือกทำในสิ่งที่พอเหมาะพอดีเท่านั้น บางอย่างเราอาจทุ่มกำลังไปเต็มร้อย หรือเกินไปร้อยยี่สิบ แต่บางอย่าง เราอาจจะใช้แค่หนึ่งหรือสองเท่านั้น แล้วแต่เหตุการณ์ ซึ่งตอนนั้นสภาพจิตจะรายงานว่าควรจะทำแค่ไหนจึงจะเหมาะ

ถาม : ความเบาเกิดจากการที่เรา...
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นสมาธิเราดีแค่ไหน ยกเว้นว่าเป็นสังขารุเปกขาญาณที่เกิดจากการยอมรับแล้วปล่อยวาง ถ้าอย่างนั้นจะเบาตลอดไป

ถาม : จะเบาเป็นบางเรื่องหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าเบาได้ทุกเรื่องจึงเป็นของแท้ ถ้าเบาเป็นบางเรื่องก็เกิดจากสมาธิล้วน ๆ เลย

ถาม : ถ้าเกิดจากสมาธิก็ทำให้เกิดปัญญา แต่ไม่ใช่ปัญญาแท้ ?
ตอบ : ยังไม่ยอมรับจริงก็ยังไม่ใช่ปัญญาแท้ ถ้ายอมรับจริงแล้วต้องยอมรับได้ทุกเรื่อง

ถาม : แล้วเรายอมรับในบางเรื่อง เรื่องที่ยอมรับได้ก็จะยอมรับได้ไปตลอด ?
ตอบ : ใช่ จนกว่าสติ สมาธิ ปัญญา จะก้าวล่วงไปในอีกระดับหนึ่ง พอไปอีกระดับหนึ่งก็จะปล่อยวางได้มากขึ้น เราก็เพิ่มระดับของเราไปเรื่อย ๆ

เถรี 09-02-2011 23:46

ถาม : ตอนที่เราตกอยู่ในอารมณ์นิ่ง ๆ ที่ท่านบอกว่าเป็นอุเบกขา จะเกิดเป็นพัก ๆ เราจะรู้สึกนิ่ง ๆ เหมือนกับเราโผล่มาจากพลาสติกอะไรสักอย่างที่กดเราอยู่ พอเราโผล่มา จะรู้สึกว่าไม่เอาแล้ว ความรู้สึกว่า โลกนี้เราไม่เอาอะไรสักอย่าง นั่นคือปัญญาหรือคะ ?
ตอบ : เป็นปัญญาที่เกิดจากสมาธิของเรา ที่นิ่งอยู่ในระยะเวลาที่ยาวนานพอ ความสะอาดของจิตจะมี พอคลายจากสมาธินั้น ปัญญาจึงเกิด เห็นชัดว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เหมาะกับเราแล้ว เราไม่ได้มีความปรารถนา ไม่ได้มีความต้องการอีกแล้ว

อย่าลืมว่าศีลทำให้เกิดสมาธิ สมาธิทำให้เกิดปัญญา ปัญญาจะไปคุมศีลกับสมาธิอีกทีหนึ่ง คราวนี้เราอยู่ในลักษณะนิ่งก็คือ เป็นอุเบกขาในฌาน ในเมื่อเราทรงสมาธิในระดับที่ยาวนานพอ กิเลสถูกกดนิ่งไประยะหนึ่ง ความสะอาดของจิตก็มี พอเราโผล่ขึ้นมาจากสมาธิ คลายออกมา ที่หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้คลายออกมาแล้วพิจารณา

พอของเราคลายออกมาแล้วสภาพจิตบอกตัวเองเลยว่า เราไม่เอาแล้ว อย่างนี้ไม่ต้องพิจารณาแล้ว เห็นชัดแล้วว่าไม่ดีแน่ เราไม่เอา แต่ว่าก็เกิดจากการที่เราตอกย้ำของเก่าซ้ำแล้วซ้ำอีกมาจนนับครั้งไม่ถ้วน จึงเป็นปัญญาที่เริ่มคิดเองได้ว่า ไม่เอาแล้ว

ถ้าเราทำบ่อย ๆ จิตใจปลดวางได้จริง ๆ ต่อไปใจจะไม่เอาอะไร ก็จะเบาสบายไปตลอด

ถาม : จำอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่เอานี้ได้
ตอบ : จำได้แล้วก็เริ่มทำใหม่

ถาม : หนูข้ามขั้นได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าสามารถทรงได้เลยก็ข้ามไปได้ สำคัญที่ว่าพอถึงเวลาแล้วจะใช่ของจริงไหม ?

เถรี 09-02-2011 23:51

ถาม : แล้วความรู้สึกที่เป็นสังขารุเปกขาญาณละคะ คือความรู้สึกที่เราหยุดแล้ว ?
ตอบ : ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอะไรก็ไม่ปรุงแต่งแล้ว จึงจะเป็นสังขารุเปกขาญาณ

ถาม : ได้เป็นช่วง ๆ
ตอบ : ไม่เป็นไร จะได้เป็นช่วงช่วง เป็นหลินฮุ่ยหรือเป็นหลินปิงก็ได้..!

ถาม : แล้วต่างอย่างไรกับการที่เราได้รับการกระทบแล้วไม่ปรุงแต่งต่อ คือไม่รู้สึกอะไรเลยหรือคะ ? สมมติเราได้ยินอะไรมา อาจจะเป็นคำพูดที่เขาพูดมา แล้วเราไม่ปรุงแต่งกับคำพูดเขา คือ เราไม่รับรู้ถึงคำพูดที่เขาพูดมา เป็นความรู้สึกแบบไหนหรือคะ ?
ตอบ : ต้องสังเกตตัวเราเองว่า ตอนนั้นเป็นเพราะทรงสมาธิทรงอยู่หรือเปล่า ? ถ้าเราทรงสมาธิอยู่ กำลังสมาธิจะกันรัก โลภ โกรธ หลง ไม่ให้เข้ามาได้ แต่ว่ากันได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น ถ้าหลังจากนั้นเราเก็บเอาไปคิดใหม่ ก็แปลว่าตอนนั้น เป็นอารมณ์ที่เกิดจากอำนาจสมาธิที่กั้นไว้จริง ๆ

แต่ถ้าเป็นสังขารุเปกขาญาณ จิตจะไม่คิดต่อ สักแต่ว่าได้ยินเฉย ๆ รู้อยู่ว่าเขาว่าอะไร แต่ใจก็ช่างมัน ไม่ได้รับเข้ามาเลย ก็แค่นั้น ต้องสังเกตเอง

ถาม : จะใช่อารมณ์ที่ว่าเราโตแล้ว เราเห็นเด็กเล่นกันอะไรอย่างนี้ เด็กจะทำอะไรของเขาก็แล้วแต่เรื่องของเด็ก ประมาณนี้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : คล้าย ๆ อย่างนั้น เราหมดสนุกแล้ว เบื่อแล้ว ไม่อยากจะไปเล่นด้วยแล้ว

เถรี 10-02-2011 00:27

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "แรก ๆ อาตมาเปิดเสียงตามสายที่วัด โยมเขาโทรมาด่า นอกจากด่าแล้ว เขายังบอกว่า ถ้าไม่เลิก เขาจะแจ้งความว่าเราทำเสียงดังรบกวนในที่สาธารณะ ซึ่งมีโทษตามกฎหมาย อาตมาต้องรีบไปทำหนังสือขออนุญาตใช้เสียงในที่สาธารณะ

พอเขาโทรมาด่าใหม่ อาตมาก็บอกไปว่า "ตอนนี้โยมไปแจ้งความได้ตามสบาย อาตมาไปทำหนังสือขออนุญาตใช้เสียงไว้แล้ว" หลังจากนั้นมาเขาก็เงียบไปเฉย ๆ พอฟังไปฟังมาก็กลายเป็นเคยชิน และมีโยมหลายรายที่มาปรารภว่า ในระหว่างที่คนอื่นนอนสบายกันอยู่ ตอนตีสามตีสี่ พระเณรท่านแหวกกิเลสขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์กันได้อย่างไร ?

ขณะเดียวกัน เขาเอาเสียงตามสายเป็นสัญญาณนาฬิกาปลุก พอพระสวด..โยโส ภะคะวา.. ก็แปลว่าได้เวลาตื่นแล้ว บ้านนี้จะใส่บาตรก็เตรียมตัวหุงข้าว บ้านนั้นจะไปทำงานก็เตรียมตัวอาบน้ำ หาข้าวหาปลากินกัน พอฟัง ๆ ไปก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว

อย่างสมัยที่อาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษี พอคนงานคิดว่าจะทำงานต่อ เสียงตามสายของหลวงพ่อดังขึ้น แปลว่าหมดเวลาแล้ว ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือ พอเปิดเสียงตามสายตอนเย็น เราจะเลี้ยงอาหารหมา พอหมาได้ยินเสียง..โยโส ภะคะวา.. เขาก็จะวิ่งมา เพราะรู้ว่าเป็นเวลากินของเขา กลายเป็นว่าหมูหมากาไก่ทุกตัว ไม่รู้ว่าเสียงสวดนี้คืออะไร แต่เขารู้ว่า ถึงเวลานี้แล้วเขาต้องมา ก็เป็นผลที่เห็นชัด ๆ เหมือนกัน ว่าสิ่งที่เราทำเป็นความดีนั้น เมื่อตอกย้ำเรื่อย ๆ ก็จะฝังลึกลงไปในใจเอง"

เถรี 10-02-2011 01:00

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยก่อนพี่ ๆ ที่วัดท่าซุง พอหลวงพ่อท่านสร้างรูปหล่อองค์ยืนในวิหารร้อยเมตร คนนั้นก็ไปอธิษฐาน คนนี้ก็ไปอธิษฐาน เช่น บางคนขอเป็นไม้เท้า บางคนขอเป็นรองเท้า ส่วนอาตมาไม่เอาอะไรเลย..!

พออาตมาไปอยู่ที่ทองผาภูมิ วันหนึ่งกำลังนั่งรถทัวร์อยู่ ได้ยินเสียงเป่ายานัตถุ์ดัง "ฟืดดดดด...!" อยู่ข้าง ๆ หู ได้กลิ่นยานัตถุ์ รู้สึกอยากแทบน้ำลายยืดเลย ตกใจรีบบอกกับท่านว่า "หลวงพ่อครับ หมากก็ไม่เอา ยานัตถุ์ก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอานะครับ" ท่านก็บอกว่า "ไม้เท้าจะเอาไหม ?" งานนี้ตอบว่าเอาหรือไม่เอาก็โดนแน่ ก็เลยเงียบ

พี่คนนั้นก็หมาก พี่คนนี้ก็ยานัตถุ์ จะต้องมีสักอย่างที่อาตมาโดนจนได้ แต่อย่างไรชาตินี้ไม่เอาเด็ดขาด พอปี ๒๕๔๘ อาตมาเริ่มเรียนหนังสือ ปรากฏว่าเวลาอ่านหนังสือต้องยื่นไปสุดแขน อ่านหนังสือได้ไม่นาน เมื่อยมือก็เลิก จึงตัดสินใจใส่แว่น

พอไปวัดสายตา ตัดแว่นเรียบร้อย หยิบแว่นลองใส่ จำได้แม่นเลย หลวงพ่อท่านหัวเราะใส่หู "คราวนี้เอ็งรู้แล้วใช่ไหม ว่าที่ข้าใส่แว่น ข้าอยากได้มันนักนี่..!" สรุปง่าย ๆ ก็คือ ถ้าแก่จึงจำเป็นต้องใส่ ไม่ใช่ใส่เพราะอยากจะใส่"

เถรี 10-02-2011 01:03

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "บางคนเขาเห็นหลวงพ่อป่วย เขาจึงอธิษฐานขอป่วยแทน ปรากฏว่าอาการปางตายเลย และหลวงพ่อก็ไม่ได้อาการเบาไปกว่าเดิมด้วย

เขาจึงไปถามหลวงพ่อว่า เขาป่วยขนาดนี้ ทำไมอาการหลวงพ่อยังไม่เบาลงกว่าเดิม ? หลวงพ่อบอกว่า "เขาแค่อยากให้แกรู้ว่า ข้าเป็นอย่างไรเท่านั้น เรื่องของกรรมนั้นใช้แทนกันไม่ได้" ในเมื่ออยากป่วยแทน เขาก็แค่อยากให้รู้ว่าเวลาท่านป่วยเป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นเราเองจะไหวไหม ?"

เถรี 10-02-2011 10:04

ถาม : ตอนเด็ก ๆ ผมทำกสิณไฟ ตอนนั้นยังทำไม่เป็น ก็จุดเทียนตั้งไว้ข้างหน้าในห้อง ทีนี้อยู่ดี ๆ ก็วูบไปครับ แล้วมือไหม้ พอตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นแผลเหวอะอย่างที่เห็น ไม่ทราบว่าอารมณ์นั้นเป็นอารมณ์เซ่อหรือครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก พอจิตเราทรงฌาน สภาพร่างกายกับจิตจะแยกกันเป็นคนละส่วน อะไรที่เกิดกับร่างกายจิตจะไม่รับรู้ หรือว่าถึงรับรู้แต่ก็ไม่สนใจ อาตมาเองก็เคยทำน้ำมนต์จนไฟไหม้ถึงนิ้วมือ แต่ไม่เป็นอะไรเพราะสมาธิคุ้มไว้ได้

ถาม : ผมพยายามตัดใจเรื่องกสิณไฟมาหลายรอบแล้วครับ แต่ตัดไม่ขาด
ตอบ : ก็ฝึกสิ..ทำให้ได้เป็นเรื่องได้ราวไปเลย พอเราทำกสิณกองหนึ่งได้ กสิณอีกเก้ากองก็จะกลายเป็นของง่าย เพราะอารมณ์ใจเท่ากัน เพียงแต่เปลี่ยนวัสดุนิดเดียวเท่านั้น ถ้ากสิณกองแรกคุณทำได้คล่องตัวจริง ๆ ที่เหลืออีกเก้ากอง คิดว่าอย่างช้าไม่เกินครึ่งเดือนก็ได้หมดแล้ว

ถาม : ผมทำคาถาเงินล้าน มีครั้งหนึ่งผมไปถ่ายน้ำมันเครื่อง ปกติราคา ๑๐๐ - ๓๐๐ บาท วันนั้นผมไปถ่ายน้ำมันเครื่องเขาคิด ๒๐ บาท ถือว่าเป็นผลของคาถาไหมครับ ?
ตอบ : ถือว่าเป็นผลอย่างหนึ่ง อาตมาเองก็นั่งรถฟรีมาเยอะแล้ว แปลกถึงขนาดที่แท็กซี่ยังให้นั่งฟรี นั่งจากรถทัวร์จากอุทัยธานีมาหมอชิตเก่า นั่งแท็กซี่ไปทำธุระในกรุงเทพฯ ต่อ จนกระทั่งกลับไปถึงวัดท่าซุง เสียค่ารถตั้ง ๓ บาท..!

๓ บาทนี่เป็นเงินที่ยัดให้สองแถวที่ท่ารถมโนรมย์ เขาไม่ยอมเก็บเงิน อาตมาบอกว่า "ช่วยเก็บหน่อยเถอะพ่อคุณ อยากจ่ายว่ะ..!" แล้วก็ยัดเงินให้เขา เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าเราไม่ได้จ่ายเลย เรื่องของคาถาให้ความคล่องตัวได้ขนาดนั้น แต่ที่อัศจรรย์ก็คือ มีพระนั่งรถทัวร์ไปด้วยกันอยู่ ๔ รูป เขาเก็บค่ารถไป ๓ รูป พออาตมาส่งเงินให้เขากลับเดินหนี ไม่ยอมรับ เป็นเรื่องแปลกมาก จนกระทั่งพระ ๓ รูปท่านสงสัยว่า อาตมารู้จักกับกระเป๋ารถหรือเปล่า ? เขาจึงไม่เก็บ สมัยนั้นเขายังให้ไปตีตั๋วบนรถได้ ไม่ต้องซื้อจากห้องตั๋วเหมือนกับสมัยนี้

ถาม : ตอนผมบวชที่วัดอัมพวัน ผมนอนภาวนาอยู่ที่กุฏิ ภาวนาคาถาเมตตา ทีนี้พอนอนไปรู้สึกตัวหมุน แต่ไม่ทราบตัวจริงหมุนหรือเปล่า ? ผมก็เลยรีบออกมา
ตอบ : เขาเรียกว่ากลัวดี..! การหมุนมีอยู่สองอย่าง อาจจะเป็นปีติในลักษณะของโอกกันติกาปีติ อีกอย่างหนึ่งหมุนในลักษณะที่จิตควบแน่นเข้า..ควบแน่นเข้า สภาพร่างกายอาจจะมีการหายใจเร็วขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น ลักษณะอย่างนั้นจิตจะดิ้นหลุดออกจากร่างกายไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าหลุดออกไป เราจะนึกไปนรกสวรรค์อย่างไรก็ไปได้เลย..ไปทำใหม่

เถรี 10-02-2011 10:12

ถาม : ถ้าเกิดอาการนั้นอีก ?
ตอบ : ทำเฉย ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ คิดว่าตอนนี้เราทำความดีอยู่ ถึงเราจะตายลงไป เราก็ไปดีแน่นอน ถ้าเป็นปีติ เต็มที่แล้วก็จะเลิกไปเอง แต่ถ้าหากสมาธิที่รวบรวมกำลังเพื่อสลัดให้กายในหลุดออกไป ก็จะหมุนมากขึ้น ๆ แล้วก็หลุดออกไปเลย

ถาม : เมื่อวันก่อนผมภาวนาคาถาเงินล้าน แล้วตัวแข็ง เหมือนกับตัวชา เป็นเพราะ ?
ตอบ : สมาธิทรงตัวมากขึ้น ยิ่งทำไปเรื่อย ๆ สมาธิทรงตัวมากเท่าไร ผลก็จะเกิดมากขึ้นเท่านั้น

ถาม : อัยการกับผู้พิพากษาอย่างไหนมีโอกาสลงนรกมากกว่ากัน ?
ตอบ : ตามนิทานของฝรั่ง เขาเล่าว่า ซาตานขยายโครงการของนรก ทีนี้มีเฟสหนึ่งไปทับที่ของสวรรค์ จอมเทพก็เลยลงมา บอกให้ซาตานรื้อบริเวณนี้เสีย ไม่อย่างนั้นจะฟ้องร้อง ซาตานบอกว่า "คุณแน่ใจหรือที่จะฟ้องร้องผม ? ทนายเก่ง ๆ อยู่กับผมหมดเลยนะ..!" คือ ทนายไปอยู่ในนรกกับซาตานเสียเยอะ อันนี้เป็นนิทานฝรั่งนะ

ถาม : จริง ๆ แล้ว คือ..?
ตอบ : ต้องดูว่าเขาปฏิบัติหน้าที่ตรงไปตรงมาหรือเปล่า ? ถ้าตรงไปตรงมา ทุกอย่างว่าไปตามกฎหมาย ก็ไม่เป็นอะไร ถ้าไม่ตรงไปตรงมา มีการเรียกร้องผลประโยชน์ จะมีนรกขุมหนึ่งเอาไว้รองรับโดยเฉพาะเลย รับพวกคอร์รัปชั่น

ถาม : ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ อย่างฤกษ์อมฤตโชค ทราบว่าวันนั้นดีทั้งวันหรือครับ ?
ตอบ : ใช้ได้ตั้งแต่ตะวันขึ้นจนตะวันตกดิน ไม่จำกัดเวลา เวลาไหนก็ได้

เถรี 10-02-2011 10:25

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อาตมาเองเป็นคนมีเวรมีกรรมในเรื่องการนอนมาก ไม่ว่าจะนอนเวลาไหนก็ตาม จะโดนกวนทันที ไม่ให้หลับไม่ให้นอนมาโดยตลอด

ก็ย้อนไปดูสมัยก่อน เวลาไปรบทัพจับศึก เราคอยไปก่อกวนข้าศึกไม่ให้เขาหลับเขานอน เขาจะได้ไม่มีเรี่ยวแรง พอข้าศึกไม่ได้นอนมาหลายวัน เราก็เข้าตีได้สบาย พอมาชาตินี้โดนจึงเต็ม ๆ จะนอนเมื่อไรจะมีคนปลุกทุกที..!"

เถรี 10-02-2011 11:14

ถาม : บางทีพิจารณาไปรู้สึกว่าเย็น เหมือนกับว่าง เบา ๆ แล้วไม่ได้ทำอะไรต่อ ก็ตัดว่าเราเกาะพระนิพพานแทน เอาความปลอดภัยไว้ก่อน
ตอบ : คิดต่อไปนิดเดียวว่า ถ้าหากเราตายไปตอนนี้ เราขอไปพระนิพพาน แล้วจับภาพพระไว้เลย เอาเป็นหลักไว้ก่อน เกาะในสิ่งที่ดีไว้ก่อน ถึงเวลาถ้ากำลังใจทรงตัวก็จะปล่อยวางไปเอง

เถรี 10-02-2011 11:35

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "มีอยู่ปีหนึ่ง หลวงพ่อท่านบอกเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของจังหวัดกาญจนบุรี อาตมาเป็นคนประเภทได้ยินแล้วต้องพิสูจน์ ก็เลยตามไปดู จนกระทั่งหาเจอว่าอยู่ที่ไหน ตรงนั้นเป็นภูเขาทอง หลวงพ่อท่านบอกว่า จากศูนย์กลางออกไป ๑๕ กิโลเมตร เป็นทองทั้งหมด

พอหลวงพ่อท่านปรารภจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๔ ศอก ก็คือ องค์ที่อยู่ตรงมณฑปสมเด็จองค์ปัจจุบันที่วัดท่าซุง คุณหมอนพพร (พ.อ. น.พ.นพพร กลั่นสุภา) ก็มาปรึกษาว่า "หลวงพี่ครับ..ในเมื่อจะมีพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จองค์ปฐมปรากฏครั้งแรกในโลก เราควรจะสร้างด้วยวัสดุที่มีค่าที่สุดเท่าที่เราจะหาได้"

อาตมาจึงถามว่า "คุณหมอคิดว่าควรจะสร้างด้วยอะไร ?" คุณหมอบอกว่าควรสร้างด้วยทองคำ "คุณหมอจะไปเอาที่ไหน ?" หมอตอบว่า "ก็ของหลวงพี่สิครับ..!" หมอเขาเอาแผนที่ทหารมากาง ให้อาตมาช่วยมาร์กจุดให้ อาตมาก็อาศัยความสามารถในการสอบวิชาแผนที่เข็มทิศได้ที่หนึ่งมา มาร์กจุดให้เขาไปเรียบร้อย

กล่าวว่า "คุณหมอ...อาตมาวิ่งไปนะ..ใช้เวลาสองวันกับสองคืน หมอคิดดูก็แล้วกันว่าเป็นระยะทางเท่าไร ?" เพราะอาตมาเป็นพระวัดท่าซุงรูปเดียวที่โดนหลวงพ่อท่านตัดวันลาเหลือแค่ ๗ วัน ออกจากวัดได้ไม่เกิน ๗ วัน คิดดู..วิ่งไปสองวันกลับสองวัน รวมวันเดินทาง ๗ วันนี่หวุดหวิดเลยนะ

คุณหมอหายไปไม่นาน ก็กลับมาแจ้งว่าใช้เครื่องบินในการเดินทาง ตอนนั้นคุณหมอเป็นผู้บังคับกองพันเสนารักษ์จึงมีสิทธิ์ใช้เครื่องบินได้

คุณหมอไปที่กองร้อยบินเบา ขอเครื่องบินเขาขึ้น โดยขีดเส้นทางให้เขาบิน โดยที่ไม่ได้บอกนักบินว่าแอบเอาเครื่องมือวัดแร่ไป พอผ่านจุดนั้นคุณหมอก็ใช้เครื่องวัดดู ท่านบอกว่าเข็มมันตีจนยันเกจ์เลย..!"

เถรี 10-02-2011 12:47

"คุณหมอก็เลยไปใหม่ แทนที่จะเอาเครื่องบินปีกแข็งไปเหมือนเก่า คราวนี้ก็เอาเครื่องบินปีกหมุน(เฮลิคอปเตอร์)ไป ตั้งใจว่าจะหย่อนเครื่องลง ตอนที่เครื่องลอยอยู่กลางฟ้า เข็มก็ตียันเกจ์อีกเหมือนกัน แต่พอหย่อนเครื่องลงเกือบถึงภูเขา กลับเหลือแค่ศูนย์..!

คุณหมอบอกว่า "ผมลองถามเจ้าที่ดูแล้ว เขาว่ามีส่วนของหลวงพี่ด้วย ผมขอสักส่วนหนึ่งของหลวงพี่ก็แล้วกัน" อาตมาบอกว่า "เอาสิ..แล้วคุณหมอต้องการสักเท่าไร ?"

หมอจึงไปปรึกษาช่างจำเนียรกับช่างประเสริฐ ว่าในการหล่อสมเด็จองค์ปฐมหน้าตักสี่ศอก ถ้าใช้ทองคำล้วน ๆ ต้องใช้ในปริมาณเท่าไร ช่างเขาคำนวณออกมาว่าตันครึ่ง คือ ๑,๕๐๐ กิโลกรัม..!

อาตมาก็บอกว่า "เอาอย่างนี้ คุณหมอเอาทหารในกองพัน ๕๐ คนมา ทหารที่แข็งแรง ๆ ให้เขาแบกคนละ ๓๐ กิโล เขาแบกไหว คนละ ๓๐ กิโลเราจะได้ตันครึ่งพอดี อาตมาใช้เวลาวิ่งสองวัน คาดว่าทหารคงใช้เวลาเดินไม่เกินห้าวัน บอกให้ทหารแบกสเบียงไปห้าวันพอ"

พอตกลงกันเรียบร้อย ปรากฏว่าคุณหมอนพพรหายไปหนึ่งอาทิตย์ กลับมารายงานใหม่ "หลวงพี่ครับ..เราคงทำไม่ได้หรอกครับ เวลาคน ๕๐ คนต่างคนต่างถือปืน ผมคุมไม่ได้แน่..เวลาเราไปขออะไรกับเทวดาเจ้าที่เจ้าทาง เราต้องมีสัจจะ เราบอกตันครึ่ง จะเอาเกินไปครึ่งขีดก็ไม่ได้นะครับ ถ้าเกิดพวกนั้นไม่ฟังผม กำมาคนละกำสองกำ ผมก็ตายสิครับ เพราะผมเป็นหัวหน้าคณะ เขาจะเล่นหัวหน้าคณะก่อนที่ผิดสัจจะ เขาจะไม่เล่นลูกน้องหรอก"

สรุปแล้ว งานนั้นคุณหมอบอกว่า "คงต้องปล่อย..แล้วแต่หลวงพ่อก็แล้วกัน" ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ยังไม่ได้ไปอีกเลย เพราะฉะนั้น..ใครต้องการให้บอก จะชี้จุดให้ แต่ไปเสี่ยงตายเอาเองนะ..!"

เถรี 10-02-2011 14:59

ถาม : วันนี้หนูไปหาพี่ที่โรงพยาบาล พี่เขาบอกว่า ถึงเวลาแล้วบุญทุกอย่างที่ทำมาจะรวมตัว ทำให้กำลังใจสามารถที่จะตัดไม่เอาอะไรในโลก ?
ตอบ : ตอนที่เกิดเหตุฉุกเฉิน จะรู้เลยว่าต้นทุนตัวเองมีเท่าไร พอฉุกเฉินขึ้นมา ความดีที่เราว่าทำมาเล็กทำน้อย เหมือนกับว่าไม่พอใช้ พอรวมกันเข้าจริง ๆ แล้วเหลือเฟือเลย พร้อมที่จะตัดจะวางได้ทุกอย่าง ถ้าหากกำลังใจปลดได้ตอนนั้นก็ไปเลย

อาตมาเองป่วยบ่อย และป่วยหนักปางตายมาหลายครั้ง เวลาที่ใกล้ตาย เห็นต้นทุนตัวเองแล้วสบายใจ สบายใจว่าต้นทุนขนาดนี้เราไปได้แน่ แต่ถ้าไม่ได้ป่วยหนัก ๆ หรือไม่ได้เกิดเหตุฉุกเฉิน ก็ยังไม่แสดงต้นทุนออกมา เราก็ไม่รู้ว่าเราสะสมได้เท่าไรแล้ว

ถาม : ต้องรอให้คับขันจริง ๆ หรือคะ กำลังที่เราทำมาจึงจะส่งผล ?
ตอบ : ถ้าหากไม่ใช่พระอริยเจ้าก็ต้องรอ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าต้นทุนจะแสดงออกชัดเลย แต่ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าต้องรอตอนคับขันหรือตอนใกล้ตาย กำลังใจจึงจะรวมตัว ถึงจะเห็นว่าเรามีทุนเท่าไร

เถรี 10-02-2011 15:05

ถาม : เวลาที่จิตรวมจริง ๆ ไม่อยากจะแตะกายเลย
ตอบ : รู้สึกว่าน่ารังเกียจจนบอกไม่ถูก

ถาม : จริง ๆ จะไปก็โดนรั้ง
ตอบ : ท่านย่าเคยบอกเอาไว้ว่า "บางคนย่าจะรั้งเอาไว้ไม่ให้เกินอรหัตมรรค" อาตมาก็ถามว่า "ทำไมย่าต้องรั้งเอาไว้ด้วย ?" ท่านย่าบอกว่า "เอาไว้เป็นตัวอย่าง"

ลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงมีหลากหลายขนาดไหน ตั้งแต่สูงสุดจนถึงต่ำสุด ล้วนแต่มีสิทธิ์ที่จะเป็นพระอริยเจ้าได้ ท่านจึงอยากจะเก็บบางคนไว้เป็นตัวอย่างว่า หน้าตาอย่างนี้ ฐานะอย่างนี้ ก็เป็นพระอริยเจ้าได้เหมือนกัน

ถาม : การเข้าใจในธรรมะแต่ละขั้น จะอ๋อ..ในทีละขั้น..?
ตอบ : ปกติก็เป็นอย่างนั้น แต่จะมีตัวยึดมั่นถือมั่นอยู่ตัวหนึ่งว่า อ๋อ..ที่แท้พระพุทธเจ้าสอนเราคืออย่างนี้ แต่พอเราก้าวสูงขึ้นไป อ้าว..ตรงนี้ยังไม่ใช่ ยังมีที่ใช่กว่า เราก็จะไปอ๋อตรงนั้นอีก

จริง ๆ แล้วตัวนี้เป็นตัวมานะ ยึดมั่นถือมั่น ไปคิดว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนคือสิ่งที่เรารู้ แต่ความจริงคือไม่ใช่หรอก ของเราแค่แสงหิ่งห้อยหรือหางอึ่งเท่านั้น

เถรี 10-02-2011 15:08

ถาม : ฆราวาสที่ปฏิบัติอริยสัจ ๔ จนเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน นั่นคือท่านสั่งสมมาเยอะพอหรือคะ ?
ตอบ : สติ สมาธิ ปัญญาทุกอย่างจะต้องพร้อม ถ้ายังไม่พร้อมก็ต้องรอวาระ รอการสั่งสมต่อไป

ถาม : แล้วทำไมคนธรรมดาจึงต้องรอเวลาคับขันจึงตัดได้คะ ?
ตอบ : ลองคิดดูว่า ปกติเวลาธรรมดาเวลาเขาสั่งเราให้ยกมือ เราจะเชื่อไหม ? แต่ถ้าเขาเอาปืนมาจ่อเรา แล้วบอกให้ยกมือ เรารีบยกมือทำไม ?

ถาม : กลัวตาย...
ตอบ : ก็เหมือนกันแหละ พอความตายมาถึงตัว ก็ต้องรีบโกยแล้ว จึงจะเห็นต้นทุนตัวเอง

เถรี 10-02-2011 15:16

ถาม : จำเป็นด้วยหรือคะ ที่ทุกคนต้องเจออย่างนี้แล้วถึงจะไปได้ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น..หลายท่านก็ไปได้แบบง่าย ๆ เลย เพราะท่านสั่งสมบุญญาบารมีมาเพียงพอ แต่ท่านที่ยังสั่งสมมาไม่พอ ต้องเจอเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงจะเห็นต้นทุน เช่น นั่งรถไปชนโครม แทนที่เราจะขาดสติ ตกอกตกใจเหมือนคนอื่น เรากลับกำหนดใจแน่วแน่ รู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด พร้อมที่จะแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบาให้ได้มากที่สุด นั่นคือต้นทุนของเรา

ขณะเดียวกันคนที่ป่วย กำลังใจที่ปล่อยวางไม่ยึดเกาะร่างกายจะเห็นต้นทุนชัด ในเมื่อเห็นชัดก็จะรู้ว่าเรามีเท่าไร ? ไปได้หรือยัง ?

ถาม : ถ้าเราเป็นคนที่ไม่ประมาทในความตาย เราจำเป็นที่จะต้องป่วยไหมคะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น คำว่าไม่จำเป็น ไม่ได้หมายความว่า ต้องไม่ป่วย

คำว่าไม่จำเป็นในที่นี้ คือ ไม่จำเป็นที่จะต้องป่วยแล้วรู้ต้นทุน อาจจะรู้ก่อนก็ได้

ถาม : รู้ต้นทุนก็ไม่แน่ว่าจะไม่ป่วยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : การป่วยเกิดจากเศษกรรมปาณาติบาต ไม่เกี่ยวกับการรู้หรือไม่รู้ต้นทุน ถึงรู้ต้นทุนก็ไม่แน่ว่าจะไปรอด เพราะถ้าเผลอเมื่อไร กิเลสก็จะดึงเราลงต่ำ มีวิธีเดียวก็คือ ต้องก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเท่านั้นจึงจะปลอดภัย

เถรี 10-02-2011 15:58

ถาม : อารมณ์ที่หยุดการปรุงแต่ง เป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณ หรือว่าเป็นปัญญา ?
ตอบ : เป็นปัญญาในสังขารุเปกขาญาณ เพราะเห็นโทษของการปรุงแต่งแล้วว่าจะเป็นอย่างไร จึงเลิกทำ ตัวเห็นโทษนี่แหละ..จะทำให้ปัญญาของเราเกิดง่ายที่สุด ถ้าเรายังไม่เห็นโทษ เราก็ยังทำชั่วไปเรื่อย ๆ

ถาม : อย่างนี้เราก็พิจารณาไปเรื่อย ๆ ถึงโทษของการเกิด ก็เหมือนกับบังคับย้ำไปเรื่อย ๆ
ตอบ : แรก ๆ จะเป็นสัญญา (จำได้) ก่อน ต้องบังคับให้คิดก่อน พอท้าย ๆ แล้วจิตยอมรับก็จะเป็นปัญญา (ทำได้)

ถาม : อันนี้เป็นทางหนึ่ง ?
ตอบ : ไม่ใช่ทางหนึ่ง แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องทำอย่างนี้ก่อน หลังจากที่ทำย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก คิดแล้วคิดอีก จนกระทั่ง สติ สมาธิ ปัญญา พอเพียง จิตก็จะยอมรับในความเป็นจริง แล้วเริ่มที่จะปล่อยวางได้ การปรุงแต่งก็น้อยลง จนในที่สุดก็เลิกการปรุงแต่งไปเลย

เถรี 10-02-2011 16:05

ถาม : ผมเคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อปาน เกี่ยวกับการสะเดาะกุญแจ ผมก็เลยลองซื้อลูกกุญแจมาสิบดอก แม่กุญแจตัวเดียว ในนั้นจะมีแม่กุญแจอันเดียวที่จะไขได้ ผมก็เดา พร้อมกับทายไพ่ พอทายไพ่จนถูก ผมก็เอามือไปหยิบกุญแจมาไข แล้วก็ไขออก ทำได้สองครั้งแล้ว..?
ตอบ : คนละเรื่องกันโว้ย..! คุณทายไพ่แล้วหยิบกุญแจนั่นเป็นทิพจักขุญาณ แต่ที่สะเดาะกุญแจเป็นกำลังของอภิญญา คนละอย่างกัน การใช้งานเป็นคนละแบบกัน

เรื่องของการทายไพ่แล้วหยิบกุญแจเพื่อเดาว่าเป็นดอกไหน แล้วทำได้ถูก ถ้าทำคล่องตัวมาก จะเป็นทิพจักขุญาณ เราสามารถรู้เรื่องอื่นได้ด้วย แต่ในเรื่องการสะเดาะกุญแจจะเป็นพื้นฐานของอภิญญา ต้องใช้กำลังสูงกว่านิดหนึ่ง

ถาม : ผมทำได้แค่สองครั้ง
ตอบ : ต้องทำให้ได้ทุกครั้ง ต้องได้เต็มร้อยจึงจะเชื่อได้ว่าเป็นของจริง

เถรี 10-02-2011 16:12

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อตอนที่อาตมาอยู่ที่เกาะพระฤๅษี เวลาออกไปตลาด มีอยู่อย่างหนึ่งที่ต้องซื้อคือขนมหมา ขนมชนิดนี้ทางเราเอาไว้เลี้ยงหมา ก็เลยเรียกขนมหมากันมาตลอด

พอทิดตู่ซึ่งตอนนั้นเป็นเณรอยู่ไปถึงร้านแล้ว ดันไปบอกกับคนขายว่า "เอาขนมหมา ๒๐ ถุง..!" อาตมาต้องรีบตะครุบปากเอาไว้ "คนอื่นเขากินกันนะมึง..ดันไปเรียกขนมหมา..!" ต้องคอยเตือนสติไว้ ไปเรียกต่อหน้าคนอื่น เดี๋ยวเขาจะด่าเอา"

เถรี 10-02-2011 16:17

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "งานนิโรธกรรมของครูบาเหนือชัยครั้งนี้ ครูบาไปอยู่ในถ้ำสูงเกือบถึงยอดเขา อาตมาต้องปีนเขาและไต่เชือกขึ้นไปอีก ๒ ช่วง ช่วงสุดท้ายต้องปีนบันไดไม้ไผ่อีก พอไปถึง ครูบาท่านก็ดีใจบอกว่า "งานนี้น่วมเลย ตลอด ๗ วันมีแต่สารพัดไสยศาสตร์ เล่นจนเดี้ยงไปหมด"

ท่านกราบแล้วกราบอีก บอกว่า "พี่ไม่เคยทิ้งน้องเลยตลอด ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา" อาตมาก็บอกว่า "ก่อนหน้านี้อยู่เบื้องหลังก็สบายดีหรอก แต่ตอนนี้คุณถีบผมออกข้างหน้ามา ผมจะโดนอีกเท่าไรก็ไม่รู้ ?"

เถรี 10-02-2011 16:24

ถาม : แล้วเวลาท่านรักษาตัว นอกจากน้ำมนต์แล้ว ท่านมีอะไรป้องกันอีกหรือคะ ?
ตอบ : ตอนนี้ท่านอาศัยมีดหมอของหลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นหลัก ครั้งแรกจริง ๆ ที่อาตมาไปพบท่าน ก็เพื่อเอามีดหมอของหลวงพ่อไปให้

ท่านให้ลูกศิษย์มาแจ้งว่า อาการอัมพฤกษ์เริ่มเกิดแล้ว เคลื่อนไหวแขนขาบางส่วนไม่ได้แล้ว เพราะว่าโดนไสยศาสตร์มากเกินไป ท่านอยากได้มีดหมอชาตรีของหลวงพ่อวัดท่าซุง ทราบว่าอาตมามีอยู่

อาตมาเอาไป ๒ เล่ม ไปให้ท่านเลือก ปรากฏว่าท่านเลือก Rambo III ไป เหมาะสมกับตัวท่านมากเลย หนังเรื่องแรมโบ้ภาค ๓ ที่มีดใหญ่ประมาณฝ่ามือและยาวเป็นศอก เล่มนั้นอาตมานำไปเข้าพิธีชาตรีครั้งแรก สั่งตรงมาจากอเมริกาเลยนะ เพราะเป็นของที่มีลิขสิทธิ์

นึกว่าเอามีดหมอไปให้แล้วจะจบ ท่านถอดประคำที่คอกับวัตถุมงคลมาอีกพวงหนึ่ง บอกว่า "หลวงพี่ช่วยเสกให้ผมด้วย" เราอุตส่าห์นั่งเสกให้ท่าน พอเสกเสร็จนึกว่าจะจบ "หลวงพี่ช่วยสอนมวยให้เณรด้วย..!"

ตอนช่วงนั้นมีเณรที่ร่วมเป็นร่วมตายอยู่กับท่านประมาณ ๓ - ๔ รูปเท่านั้น ทั้งวัดมีม้าอยู่แค่ ๕ - ๖ ตัวเท่านั้น ไม่ใช่ ๒๐๐ - ๓๐๐ ตัว เหมือนทุกวันนี้ ก็เลยบอกว่า "มวยที่ผมเรียนมา มีแต่ประเภททีเดียวอยู่นะ" ท่านบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นแสดงท่าให้เขาดูก็แล้วกัน"

พอบอกให้เณรลงมือจริง ๆ เณรก็กลัว ๆ กล้า ๆ เกรงใจไม่กล้าเตะต่อย อาตมาจึงต้องบอกเณรให้ลงมือจริง ๆ ถึงจะรู้ว่า เวลาที่เขาแก้ไขปิดป้องแล้วตอบโต้จะต้องทำอย่างไร

เถรี 10-02-2011 16:50

ถาม : ในขณะที่ร่างกายเคลื่อนไหวในท่าของมวย การทรงอารมณ์นี่อยู่ที่จิตตลอดไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสมาธิยิ่งคล่องตัวมากเท่าไร เราจะรู้เลยว่าจังหวะไหนควรจะทำอะไร และถ้าหากรู้ละเอียด จะรู้ด้วยว่าตอนนี้เขาจะมาท่าอะไร รู้ก่อนเดี๋ยวนั้นจะกันได้หมด แก้ได้หมด

แต่ไม่ต้องถึงระดับนั้นหรอก แค่รู้ว่าตัวเองควรจะเคลื่อนไหวอย่างไรจึงจะเหมาะสม ก็หาคนเล่นกับเรายากแล้ว

ถาม : ถ้าคนที่ไม่เคยฝึกในชาตินี้มาก่อนละคะ ?
ตอบ : ถ้าของเก่ามีเดี๋ยวก็มาเอง แต่ถ้ากำลังใจไปไม่ถึงระดับหนึ่ง ของเก่าก็ยังไม่ฟื้น

ถาม : ระดับหนึ่งที่ว่าคือระดับไหนคะ ?
ตอบ : ทรงฌานให้ได้คล่องตัวสักฌานหนึ่ง เอาแค่ปฐมฌานก็ได้ เพียงแต่ต้องให้เป็นฌานลักษณะใช้งานได้ ถ้าประเภทที่ต้องนั่งเฉย ๆ แล้วถึงจะทรงฌานได้ แบบนั้นยังใช้งานอะไรไม่ได้

ถาม : แค่ปฐมฌาน ของเก่าก็กลับมาแล้วหรือคะ ?
ตอบ : เราลองนึกถึงว่า เวลาเราทรงปฐมฌานละเอียด เราจะรู้ลมหายใจได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องบังคับก็ภาวนาได้เอง ตอนนั้นสัญชาตญาณเดิมจะกลับมา เพราะว่าการฝึกอาวุธหรือการต่อสู้ต่าง ๆ ต้องมีสมาธิเป็นเครื่องรองรับ

ถ้าไม่มีสมาธิเป็นเครื่องรองรับ ใครจะเดินเข้าไปหาดาบขาววับของอีกฝ่ายหนึ่งเล่า ? ถ้ากำลังใจสู้กันไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้ว เข้าไปก็ตายเปล่า..! เมื่อกำลังใจไปถึงช่วงนั้น ของเก่าก็จะคืนมา เพราะเราเคยฝึกมาแล้ว

ถาม : แล้วถ้าหากว่ากำลังใจเลยปฐมฌานละคะ ?
ตอบ : ก็ได้มากขึ้น ที่บอกว่าให้ได้ ก็คือให้ได้อย่างน้อยปฐมฌาน

ถาม : ที่มากขึ้นหมายถึงความละเอียดหรือคะ ?
ตอบ : สิ่งที่เรารับรู้มีมากขึ้น ของที่ได้คืนมาก็จะมากขึ้นไปด้วย

เถรี 10-02-2011 16:54

ถาม : เรื่องบวงสรวงท้าวมหาราชที่ว่าต้องใช้หมูต้ม ถ้าหาหมูต้มไม่ได้ เอาหมูทอดได้ไหมครับ ?
ตอบ : อย่าแหกคอกมากจนเกินไป..! เรื่องของพรหมเทวดา ท่านขออะไรต้องใช้อย่างนั้นท่านจึงจะช่วยสงเคราะห์ ปกติเขาใช้หัวหมู ถ้าไม่ได้หัวหมู เขาจึงยอมให้ใช้หมูชิ้น แต่หมูชิ้นหนึ่งต้องไม่ต่ำกว่าครึ่งกิโล

ในเมื่อเอ็งเอามาทอดได้ แล้วทำไมทะลึ่งเอามาต้มไม่ได้วะ..!

ถาม : ไม่มีครัว และไปหาซื้อที่เขาต้มไม่ได้ แต่เขามีหมูทอดขาย
ตอบ : เจริญ..!

ถาม : พอจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าสำหรับอาตมาได้ เพราะสมัยนี้หมูทอดก็ราคาแพง น้ำมันขึ้นราคา..! แต่สำหรับท้าวมหาราชท่านไม่ได้แน่...

ถาม : แล้วกรณีข้าวปากหม้อล่ะครับ ถ้าหากว่าหาไม่ได้ จะใช้ข้าวที่เขานึ่งขายเป็นถ้วย ๆ ใช้แทนได้ไหมครับ ?
ตอบ : จะทำอะไรทำให้ตรงไปตรงมา เรื่องของธรรมะเขาตรงไปตรงมา ถ้าจะแหกคอกต้องมีความสามารถพอหรือว่าเป็นที่เกรงใจพอ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะได้รางวัลโดยที่ไม่รู้ตัว..!

เถรี 10-02-2011 17:26

อาตมาเคยเจอมาแล้ว บอกว่าเอาปลาช่อนแป๊ะซะ เขาเอาปลากะพงนึ่งมะนาวมาแทน ส่วนอีกที่หนึ่ง คือบ้านหนองบัว อาตมาสั่งหัวหมู ๓ หัว คุณรู้ไหมว่าจากหนองบัวต้องนั่งเรือไปขึ้นที่สองแคว เรือหางยาววิ่งไปครึ่งค่อนชั่วโมงกว่าจะถึงสองแคว แล้วต้องนั่งสองแถวอีกเป็นชั่วโมง เพื่อไปถึงเมืองมุด่ง แล้วจากมุด่งจะต้องต่อรถไปที่เมืองมะละแหม่ง จึงจะหาซื้อหัวหมูได้

เขาซื้อหัวหมูมา ๑ หัว ทั้ง ๆ ที่อาตมาให้เงินไปเหลือเฟือ อาตมาถามว่า "สั่งหัวหมู ๓ หัว ทำไมเอ็งเสือกทะลึ่งซื้อมาหัวเดียว ?" เขาบอกว่า "หัวเดียวก็พอกินแล้ว เอามาทำไมตั้ง ๓ หัว..!"

ครั้งที่ ๑ ผ่านไป อาตมาก็กัดฟัน เอาวะ..ใช้บวงสรวงชุดเล็กก็ได้ บอกกับเขาว่า ให้ผ่าหัวหมูแล้วต้ม ปรากฏว่าสักพักหนึ่งเดินลงไปดู เขาเผาซะดำปี๋เลย กำลังเอาช้อนขูด ๆ อยู่ อาตมาบอกว่า "ให้เอ็งต้มแล้วทำไมเสือกทะลึ่งเผา ?" เขาบอกว่า "เผาอร่อยกว่า" ตูไม่รู้จะร้องเพลงอะไรดีเลยตอนนั้น..!

เขารู้ดีกว่าทุกเรื่อง สั่งอะไรนี่ไม่ได้สักอย่างเลย แล้วท้ายสุด เขาถึงยอมไปต้มปลาช่อนให้ แต่เขาต้มซะเปื่อยจนแทบจะหลุดเป็นชิ้น ๆ หมดแล้ว จากนั้นยกข้าวปากหม้อขึ้นมา เพราะอาตมาจะเอาข้าวไปอัดใส่กรวยบายศรี ยกหัวหมูขึ้นมา ยกปลาช่อนขึ้นมา ยกไก่ขึ้นมา ก็ดันมีคนสงสัยตะโกนถามขึ้นมาว่า "เอาไปไสนะ ?" เขาบอกว่า "อาจารย์เพิ่นสิฉันมื้อแลง" คือ อาจารย์จะกินข้าวเย็น..! เขาเห็นว่ามีทั้งหมู ทั้งไก่ ทั้งปลา แถมข้าวอีกหม้อหนึ่ง เขาสรุปเสร็จสรรพว่าอาจารย์จะกินข้าวเย็น เจอเข้าไปแบบนี้ ไม่รู้จะตีหน้าอย่างไรเลย

ปรากฏว่างานบวงสรวงนั้นยังดี อุตส่าห์มีเทวดามาทั้งหมด ๑ องค์..! คือ ของบวงสรวงนอกจากจะไม่ครบแล้วยังผิดอีก

ถาม : เทวดามาแค่ ๑ องค์หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าท่านไม่ได้เป็นเจ้าที่อยู่แถวนั้น ท่านก็คงไม่มาหรอก เป็นภาระที่ท่านเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องสงสัยว่า พออาตมาเลิกช่วยแล้วทำไมวัดหนองบัวถึงได้โทรมทันตา ก็สั่งอะไรเขาไม่ทำตามสักอย่าง

เถรี 13-02-2011 08:15

ในส่วนของเครื่องบวงสรวงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ใช้ระยะเวลาเตรียมการนาน แต่เวลาใช้จริงน้อยนิดเดียว อาตมาบอกให้เตรียมเครื่องบวงสรวงก่อนเพื่อน ครูบาน้อยก็ "ครับ ครับ ครับ" อย่างเดียว แต่ไม่ได้ทำ จนกระทั่งใกล้เวลาบวงสรวงแล้ว อาตมายังต้องไปปีนต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าวอ่อนเอง เพราะถ้าเรายังไม่ปีน เขาก็คง "ครับ ครับ" อยู่นั่นแหละ

บางทีก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า เราบอกเขาไปแล้วทำไมเขาไม่ฟัง เขาคิดว่าเขาคิดได้ดีกว่าหรืออย่างไร ? เคยเจอรายหนึ่ง เครื่องบวงสรวงใช้หัวหมูเจและไก่เจ ที่ทำด้วยแป้งแล้วก็มีงา หน้าตาเหมือนหัวหมูดี ๆ นี่แหละ แต่เป็นแป้งโรยงา ไก่ก็ใช้แป้งอัดเป็นรูปไก่มาทั้งตัว

ถาม : ผลเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : เทวดาที่ไหนเขาจะมา ? เพราะไม่ตรงกับกติกาที่ท่านกำหนดเอาไว้ การที่ทำอะไรตามใจตนเอง โดยที่ไม่ได้ยึดหลักที่ครูบาอาจารย์หรือบรรพบุรุษเขาทำสืบ ๆ กันมา ถึงเวลาแล้วพรหมเทวดาท่านไม่สงเคราะห์ ก็ไม่รู้จะไปโทษใคร เพราะตัวเองแหกคอกเอง

เถรี 13-02-2011 08:20

ปัจจุบันนี้เครื่องบวงสรวงที่เห็น มีจำนวนมากต่อมากด้วยกันที่เกินมาเยอะ เกินจนอาตมาเองก็ยังงง ๆ ว่ามาจากไหน ? อย่างบนโต๊ะบวงสรวงมีทองหยิบ ฝอยทอง ขนมจีน น้ำพริก นั่นเป็นเครื่องบวงสรวงเฉพาะของเสด็จในกรมหลวงชุมพร

มีถั่วลาชมาศ นั่นเป็นเครื่องบวงสรวงที่ใช้เวลาเราตั้งศาลพระภูมิ เขาเคยได้ยินอะไรก็จับมาใส่หมด โดยเฉพาะขนมต้มขาว ขนมต้มแดง สมัยนี้ก็มั่วกันไปหมด มีอยู่รายหนึ่ง ขนมต้มขาวกับขนมต้มแดงเหมือนกัน ยกเว้นแต่แป้งที่ทำขนมต้มแดง เขาใส่น้ำหวานสีแดงผสมลงไปหน่อยหนึ่ง

บางที่เขาบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ แต่ปรากฏว่าผลไม้บนโต๊ะกลับไม่ใช่กล้วยน้ำว้า มะพร้าวอ่อน ส้มโอ กลายเป็นผลไม้ ๙ อย่าง อาตมาก็ได้แต่นั่งเกาหัว ตกลงว่าตูจะทำให้ดีไหม ? เอาเป็นว่า ถ้าไปงานไหน เห็นอาตมายื่นไมค์ให้คนอื่น ก็แปลว่าใช่เลยว่า งานนั้นต้องมีอะไรบกพร่องเสียอย่าง แต่ถ้างานไหนยอมทำบวงสรวงให้เขา แปลว่ายังพอที่จะรับได้อยู่

ถาม : ถั่วลาชมาศ คือถั่วเขียวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นถั่วเขียวแกะเปลือก คำว่า ลาชะ คือข้าวตอก , มาศะ แปลว่าทอง ทีนี้ข้าวตอกทองนั้นไม่มี เลยใช้ถั่วเขียวแกะเปลือกแทน จะออกสีเหลือง ๆ คั่วให้สุก

ถาม : ก็คือต้องเอาถั่วเขียวมาคั่ว ?
ตอบ : ไปตลาดแล้วบอกว่า ขอซื้อถั่วที่ใช้ทำเต้าส่วน เขาจะกระเทาะเปลือกไว้ให้เราให้เรียบร้อยแล้ว เราแค่เอาไปคั่วหน่อยเดียว เพียงแต่ว่าคั่วไฟอ่อน ๆ ให้สุกเท่านั้น ถ้าหากว่าคั่วไฟแรงถั่วจะไหม้

เถรี 13-02-2011 08:26

ถาม : ของบนโต๊ะบวงสรวง อย่างไข่บนโต๊ะบวงสรวงที่เขาแย่งกันกินว่าดี มีผลไหมคะ ?
ตอบ : อยู่ที่ความเชื่อและขณะเดียวกันก็อยู่ที่ตัวเราอธิษฐานด้วย ถ้าหากกำลังใจของเขามีความเชื่อมั่นสูง ก็มีผลตามนั้นเหมือนกัน

ถาม : คนอื่นเขาก็หยิบของบนโต๊ะบวงสรวงมาให้ เอามาให้เรากิน
ตอบ : บอกเขาไปว่า "ขอโทษ..ไม่อยากเป็นหนี้สงฆ์..!"

ถาม : เป็นหนี้สงฆ์ด้วยหรือคะ ?
ตอบ : ก็ใช่ของเราเสียเมื่อไร ของอยู่กับวัดนะจ๊ะ

ถาม : รอด..เพราะไม่ได้เอา
ตอบ : ถ้าใครเอามา ก็ไปชำระหนี้สงฆ์

ถาม : แม้กระทั่งตัวบายศรี ถ้าเอาก็ถือว่าเป็นหนี้สงฆ์ ?
ตอบ : ก็คนจะเอาเสียอย่าง ครั้งหนึ่งที่วัดท่าขนุน งานเป่ายันต์ที่ทำบายศรีเป็นรูปนาคคู่หรือนาคเกี้ยว เชื่อไหมว่านาคตัวใหญ่อย่างนั้นเขายังดึงไป แล้วก็ยกมาถามอาตมาว่าเอาไปทำอะไร ? ไม่รู้เรื่องแล้วดันทะลึ่งเอาไป เห็นคนอื่นเขาหยิบอย่างอื่นแล้ว เขาก็เอาบ้าง บายศรีเป็นรูปพญานาคตัวเบ้อเริ่มเลย อาตมาจึงบอกว่า "ให้เลี่ยมแขวนคอไว้..!"

ถาม : แต่ถ้าเป็นของบวงสรวงที่มีเจ้าภาพ แล้วทำในวัดละคะ
ตอบ : เจ้าภาพเขามอบให้วัดไปแล้ว

ถาม : ต้องขอก่อน ?
ตอบ : ต้องขอกับทางวัด

เถรี 13-02-2011 08:29

ถาม : หยิบของจากโต๊ะบวงสรวง แล้วต้องไปชำระหนี้สงฆ์ ถือว่าผิดศีลข้อสองเลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ผิดแน่นอน เพราะไม่ใช่ของเรา หยิบของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เจ้าของเขายังไม่ได้อนุญาต

ถาม : ถือว่าเป็นการวิสาสะหยิบของคนอื่นได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าถือวิสาสะแบบพระก็คือ เมื่อเราเอามาแล้วเจ้าของยินดีที่จะให้ ในเมื่อเราไม่รู้ว่าเขาจะยินดีหรือเปล่า ก็เสี่ยงต่อการผิดศีล

ถาม : ถ้าทำกับฆราวาสด้วยกัน ก็นับว่าก้ำกึ่งใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่น่าจะก้ำกึ่งนะ น่าจะผิดเต็ม ๆ..!

เถรี 13-02-2011 08:31

ถาม : การจัดบวงสรวงที่บ้าน ของบวงสรวงก็ถือว่าเป็นของถวายพระด้วยเหมือนกันหรือคะ ?
ตอบ : เป็นของที่เราถวายเพื่อบูชาพระ แต่ยังเป็นของเราอยู่จ้ะ เราตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เราไม่ได้มอบถวายให้แก่พระสงฆ์ ก็เหมือนกับเราถวายข้าวพระที่บ้าน

ถ้าลามาก็ยังเป็นของเราอยู่ แต่ถ้าหากว่าเป็นของที่วัด กรณีนั้นเสี่ยงมาก พูดง่าย ๆ ว่าไม่คุ้มค่าเลย

ถาม : แล้วน้ำมนต์ที่ตัก ๆ กัน ถือว่า..?
ตอบ : ในส่วนของน้ำมนต์อาตมาตั้งใจให้ ใครตักน้อยจะมีโทษ..!

เถรี 13-02-2011 08:33

ถาม : เวลาตั้งเครื่องบวงสรวงพระนารายณ์ ได้ยินว่าคนที่มารับก็คือ ท่าน..ใช่องค์ที่มารับใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใครก็ช่าง ขอให้เป็นพระนารายณ์แล้วกัน รู้ไปก็ไม่ช่วยให้หมดกิเลส แถมยังทำให้กิเลสมากขึ้น เพราะไปทะลึ่งคุยอวดกับคนอื่นว่ากูรู้ เลยเป็นปัญหาที่ไม่น่าตอบ

เถรี 13-02-2011 08:36

ถาม : เมื่อวันอาทิตย์ฝึกมโนมยิทธิ ขึ้นไปยังพระนิพพาน หลวงพ่อท่านก็ให้เชิญท่านพ่อท่านแม่ในอดีตชาติของเรามา ในอารมณ์ตอนนั้นรู้สึกว่า มีท่านบางองค์ที่มาขนาบซ้ายขวา ก็ถามว่าขนาบเราทำไม ? จิตก็ไม่ได้คำตอบ รู้ว่าท่านพูด
แต่ว่าเราไม่ได้ยินค่ะ ขอความเมตตาท่านช่วยขยายความ
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก ท่านอาจจะเห็นว่าเราเดินไม่ค่อยตรงทาง ก็ต้องกระหนาบกันหน่อย

ถาม : เข้าใจแล้วค่ะ เพราะบางทีรู้สึกว่าเราพลาดหรือเราเลวหรือเปล่า จึงต้องโดนผู้ใหญ่ขนาบ ?
ตอบ : ถ้าท่านยังสงเคราะห์เราอยู่ ก็แปลว่าท่านยังรักและเมตตาเราอยู่ แต่ถ้าท่านปล่อยวางเมื่อไร คราวนี้เราต้องดิ้นรนเองแล้วจะสาหัส..!

ให้พยายามไปบ่อย ๆ อันดับแรก..กำลังใจที่ส่งออก จะทำให้เรามีความคล่องตัวในการทรงฌานทรงสมาธิ อันดับที่สอง..กำลังใจที่ท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ รัก โลภ โกรธ หลงจะกินเราไม่ได้ และอันดับสุดท้าย..ถ้าหากว่าเราเกาะพระนิพพานเป็นที่สุด ถึงเวลาสภาพจิตที่เคยชินก็จะไปตรงนั้น

เถรี 13-02-2011 08:39

ถาม : ในระหว่างวันที่ฝึก จับอยู่หน้าพระอย่างเดียว ดีกว่ามานั่งตัดสังโยชน์ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าอยู่ต่อหน้าพระบนนิพพาน เท่ากับตัดสังโยชน์ไปในตัวอยู่แล้ว

ถาม : เป็นทางลัดแล้วใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ทางลัด ไม่มีทางไหนตรงกว่าอีกนี้แล้วจ้ะ

ถาม : เคยอ่านเจอในคำถามเก่า ๆ ที่ท่านเคยเมตตาบอกไว้ ในการท่องคาถามหาลาภวันละ ๑๐๘ จบ อยากทราบอารมณ์ใจตอนนั้น เราต้องทำอารมณ์อย่างไร ? ทุกวันนี้พอจิตเริ่มฟุ้ง ก็จะแบ่งไปคิดเรื่องงานต่อ แล้วบางส่วนก็มาท่อง
ตอบ : ใช้เป็นคำภาวนาจะดีที่สุด ใช้ควบกับลมหายใจเข้าออกไป สมมติว่าเรามีเวลาภาวนาเฉพาะของเราวันละชั่วโมง เราก็ใช้ภาวนาคาถาเงินล้านแทน

ถาม : แล้วจะควบกับการดูลมอย่างไรเจ้าคะ เพราะคาถาเป็นบทเลย
ตอบ : ก็แบ่งเอาเองสิ จังหวะไหนที่เราหายใจสบายก็ว่าไปเรื่อย

เถรี 13-02-2011 09:17

ถาม : คนเราทำบุญอะไรมา จึงได้อะไรพิเศษกว่าคนอื่นเขา ?
ตอบ : ด้านไหนล่ะ ? ถ้าอย่างทั่ว ๆ ไป เช่น ทำบุญด้วยของที่ประณีตกว่าคนอื่นเขา ทำด้วยเจตนาที่ตั้งมั่นกว่าคนอื่นเขา แล้วก็ทำด้วยวัตถุที่คนอื่นเขาไม่มีหรือหาไม่ได้

มีเพลงอยู่เพลงหนึ่ง ไปหาเอานะ ไม่บอกว่าชื่ออะไร คนแต่งกับคนร้องเป็นคน ๆ เดียวกันที่เรานึกไม่ถึง เพลงขึ้นต้นว่า "คนเรามีกรรมสมคำพุทธภาษิต เราเกิดมาใช้หนี้ชีวิต ลิขิตไปตามบาปกรรมสร้างมา เกิดมาเป็นคน บ้างมีบ้างจนเป็นธรรมดา เหมือนดั่งสัญญา โลกเรานี่หนาดุจโลกละคร.." เขาแต่งเองร้องเอง เป็นนักธุรกิจระดับพันล้าน

ตรงที่ว่า..ลิขิตไปตามบาปกรรมสร้างมา.. นั่นแหละชัดเจนที่สุด ทำอะไรมาก็ได้อย่างนั้น

ถาม : ถ้าเราถวายของแปลกพิสดารละคะ ?
ตอบ : อาจจะได้อะไรที่พิสดารกว่าผู้อื่น อย่างเช่น คนอื่นเขาเกิดมาปกติธรรมดา เราอาจจะมีเขาด้วย..!

ถาม : เราอาจจะเห็นของนี้น่ารัก แต่คนอื่นเขาเห็นว่าไม่สวย
ตอบ : ลูขัง วา ปะณีตัง วา จะหยาบหรือประณีตก็ตาม ท่านบอกว่า เจตนาบริสุทธิ์ วัตถุทานบริสุทธิ์ ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์

โดยเฉพาะก่อนให้ก็เกิดปีติว่า..เรามีโอกาสได้ให้ทาน ระหว่างที่ให้ก็เกิดปีติว่า..เราได้ให้ทาน ให้ไปแล้วก็เกิดปีติว่า..เราได้ให้ทานแล้ว คิดถึงเมื่อไรก็เกิดปีติว่า..เราได้ให้ทานในครั้งนั้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นต้องการอะไรก็อธิษฐานเอาเถอะ ได้ไปเต็ม ๆ เลย

เถรี 13-02-2011 09:20

ถาม : ถ้าให้ของที่เขาชอบ กับให้ของที่เราชอบมาก ๆ
ตอบ : พระเวสสันดรท่านเคยให้สุราแก่พวกนักเลงสุรา ท่านตั้งใจว่า ท่านจะให้สิ่งที่ทุกคนเขาชอบใจ พระอานนท์ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า การให้สุรามีอานิสงส์อย่างไร ? พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นทานที่ไม่มีอานิสงส์ เพราะว่าเหมือนกับส่งเสริมเขาให้ศีลขาด แต่ที่ให้เพราะเห็นว่าเขาชอบใจอย่างนั้น
อยากให้ของที่เขาชอบ

ถาม : ไม่มีโทษหรือคะ ?
ตอบ : เราไม่ได้บังคับให้เขากิน เราให้เฉย ๆ เพราะเขาอยากได้ ส่วนเขาจะยินดีหรือยินร้ายเป็นเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยวแล้ว

ถาม : ได้บารมีไหมครับ ?
ตอบ : ได้บารมีแต่อานิสงส์ไม่มี ได้ตรงที่ว่า ททมาโน ปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก บารมีจะออกไปทางด้านบริวารมาก

เถรี 13-02-2011 09:23

ถาม : ถ้าทำบุญใหญ่จะตายจริงหรือเปล่าครับ ? มีคนทำบุญสร้างลูกนิมิตมาถวายวัด ทำเสร็จแล้วก็ตายเลย
ตอบ : ถึงวาระเขาพอดี อาตมาสร้างวัดมา ๗ - ๘ วัด โบสถ์อีก ๓ - ๔ หลังยังไม่เห็นตายเสียที..! กรณีนั้นอยู่ที่วาระเขาพอดี จริง ๆ แล้วถือว่าดีนะ เพราะใจเขาเกาะบุญอยู่ โอกาสไปดีมีสูงมาก สร้างลูกนิมิตยังไม่ถือว่าเป็นบุญใหญ่

ถาม : ใหญ่กว่านั้นยังมีอีกใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องสร้างโบสถ์ทั้งหลัง..!

เถรี 13-02-2011 09:24

ถาม : หนูรับงานที่อินเดีย อยากให้การงานราบรื่น
ตอบ : ให้บนกับพระวิสุทธิเทพ ไม่ต้องไปบนถึงวัดท่าซุงหรอก จุดธูป ๕ ดอก บนท่านที่บ้านก็ได้ ถ้างานสะดวกราบรื่นทุกอย่าง เราต้องแก้บนด้วยการเจริญกรรมฐานพร้อมกับรักษาศีลแปด ๗ วัน

ในแต่ละวันเราอาจจะทำกรรมฐานตอนเช้าหนึ่งชั่วโมง ตอนเย็นหนึ่งชั่วโมง แต่ว่าการรักษาศีลแปดต้องให้ได้ทั้งวัน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:42


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว