กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4958)

เถรี 07-04-2016 14:20

ในเรื่องของการทำวัตถุมงคลรูปพระขรรค์ ที่ดังที่สุดในประเทศไทย คือ หลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก จังหวัดเพชรบุรี พระขรรค์ของท่านทำจากเขาควายเผือกที่ถูกฟ้าผ่าตาย ทำไมท่านต้องหายากหาเย็นขนาดนั้น ...(หัวเราะ)... แล้วต้องตัดออกมาสด ๆ ด้วยนะ ไม่ใช่ไปต้มให้เขาหลุดออกมา คือถ้าตายก็ตัดเขาออกมาเลย เสร็จแล้วก็ผ่าเป็นชิ้น ๆ เพื่อที่จะเหลาเป็นพระขรรค์ ตอนที่ผ่านี่ต้องจำไว้ด้วยว่า ด้านไหนหัวด้านไหนท้าย เพราะว่าต้องเหลาไปทางปลายเขาอย่างเดียว ห้ามทวนเขาเด็ดขาด ถ้าทวนแม้แต่นิดเดียวต้องทิ้งเลย เท่ากับเสีย...ใช้งานไม่ได้

พระขรรค์ของหลวงพ่อโสกท่านนี่ถอนอาถรรพ์ทุกประเภท เรียกว่ากฤติยาคมแฝด ก็คือ ทั้งกันและแก้พร้อมกัน
พระขรรค์ของหลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก พวกอิสลามกลัวนักกลัวหนา เพราะท่านท่านลงแก้ไสยศาสตร์อิสลามโดยเฉพาะ แต่ก็หายากเหลือเกิน หลวงพ่อโสกท่านเป็นสหธรรมิกของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว

เถรี 07-04-2016 14:25

หลวงพ่อโสกดังเรื่องพระขรรค์ หลวงพ่อดิ่งดังเรื่องหนุมาน แต่ลูกอม ๗ กำลังช้างสารของหลวงพ่อดิ่งเหนียวสะเด็ดยาด ลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งคือเสือขาว พกลูกอมแล้วไม่เคยกลัวตำรวจ พอเจอตำรวจล้อมปราบ เสือขาวเดินลุยยิงซึ่ง ๆ หน้าเลย โดนตำรวจยิงเท่าไรก็ไม่เป็นอะไร หลวงพ่อดิ่งเตือนแล้วเตือนอีก “ไอ้ขาว...มึงทำอย่างนี้ต่อไปจะตายโหง” ลูกศิษย์ก็ไม่ฟัง ถือว่ามีดี ของอาจารย์กันลูกปืนได้แน่นอน

ปรากฏว่ากองตระเวนเขาปราบจนเหนื่อย ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงไปถามหลวงพ่อดิ่งว่าจะแก้อย่างไร ? หลวงพ่อดิ่งบอกว่าอาตมาเป็นพระ บอกไม่ได้หรอก ท่านก็ทำถูกแล้ว ปรากฏว่าตอนลากลับ มีตาผ้าขาวที่อยู่วัดบางวัวมากระซิบบอกตำรวจ บอกว่าให้ไปหาพระขรรค์หลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครกมา เพราะว่าสองท่านนี้เป็นสหธรรมิกเรียนวิชาด้วยมากัน วิชาที่หลวงพ่อดิ่งทำไว้ หลวงพ่อโสกจารแก้ไว้ที่พระขรรค์หมดแล้ว

พระขรรค์ของท่านเล็กนิดเดียว เขาเรียกพระขรรค์สาลิกา ขนาดประมาณ ๑ นิ้ว ยาวสุดที่เคยเจอมาเกือบ ๕ นิ้ว โอ้โฮ...เปลืองวัสดุมากเลย พอเจ้าหน้าที่รู้ ก็ใช้วิธีอัดลูกปืนโดยเอาพระขรรค์หลวงพ่อโศกยัดเข้าไปด้วย สงสัยไหมว่าเขาอัดลูกปืนกันท่าไหน ? ก็ปืนลูกซองนั่นแหละ ถึงเวลาอัดดินเข้าไป อัดตะกั่วเข้าไป แล้วก็เอาพระขรรค์หลวงพ่อโสกใส่ไปด้วย ตูมเดียวหงิกเลย

หลวงพ่อดิ่งท่านเตือนลูกศิษย์ว่า ถ้าหากประมาทอย่างนี้ตายโหง เสือขาวประมาทเลยโดนจริง ๆ เพราะเสือขาวไม่เคยหนีตำรวจ มีแต่ยืนซัดกันซึ่ง ๆ หน้า ตำรวจโดนยิงกระจายทุกที เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่านับพระขรรค์ที่ดังที่สุดในประเทศไทย ต้องพระขรรค์ของหลวงพ่อโสก วัดปากคลองบางครก

เถรี 07-04-2016 14:27

ถาม : ของปลอมมีเยอะ
ตอบ : ต้องดูเป็น เพราะว่าของจริงเขาควายเผือกจะใสเป็นน้ำผึ้งเลย ยิ่งเก่ายิ่งใส ของใหม่ไม่ใสอย่างนั้น ถ้าเป็นของใช้งานจะออกสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ความเก่าความหดของเนื้อนั้นมีอยู่ แค่ส่องกล้องดูก็รู้แล้ว สมัยนี้ปลอมกันเช็ด

เถรี 07-04-2016 14:30

พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองเกิดมาทำไมสายตาดี บางคนดูวัตถุมงคลเขาก็ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถึงเวลาอุตส่าห์บอกกับเขาว่า ลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ วิธีดูแบบนั้นแบบนี้ เขาก็ไม่เข้าใจ บอกว่าให้นึกถึงต้นไม้สิ ถ้าเรารู้จักต้นไม้ มองไปเมื่อไรเราก็รู้ว่านี่ต้นอะไร กลายเป็นว่าอาตมาพูดง่าย ๆ แต่คนทำกลับทำได้ยาก"

เถรี 07-04-2016 15:39

2 Attachment(s)
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้มณฑปประดิษฐานพระพุทธรูปทองคำใกล้เสร็จแล้ว อลังการมาก ตอนที่ยังไม่ปิดทองก็ดูไม่สวย พอปิดทองนี่...แหม เสียอย่างเดียวว่าจะถ่ายรูปอย่างไรให้สวยเหมือนตาเห็น เป็นเรื่องยาก"


เถรี 07-04-2016 15:55

ถาม : กินยาสมุนไพร เหมือนจะปวดหลัง เขาบอกว่ากินไปทั้งขวด จะได้ล้างไต ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี ?
ตอบ : แสดงว่ายาเย็นมาก เขาเห็นว่าคุณความดันขึ้น เขาก็เลยเอาความเย็นไปลด แต่ความเย็นพอมาก ๆ ทำให้เลือดลมไม่เดิน จึงปวดหลังมาก คุณน่าจะไปฝังเข็มมากกว่า แต่ถ้าเป็นผม จะอยู่เป็นเพื่อนกับโรคไปเรื่อย ๆ จะได้คอยเตือนสติเราว่าร่างกายนี้ไม่ดี

เถรี 07-04-2016 16:57

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในพระไตรปิฎกมีพราหมณี คือพราหมณ์ผู้หญิงท่านหนึ่ง ชื่อ ธนัญชานีพราหมณี มีชื่อปรากฏอยู่หลายพระสูตรด้วยกัน เป็นคนที่นับถือพระรัตนตรัย แต่ก็ไม่ได้ทิ้งศาสนาพราหมณ์เดิมของตัวเอง

วันหนึ่งขณะที่ยกอาหารไปประเคนให้พวกบรรดาพราหมณ์ได้ฉันกัน ก็สะดุดล้ม ด้วยความที่เคยชินเธอก็อุทานว่า “นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” พวกพราหมณ์ได้ยินก็โกรธ บอกว่า “อีหญิงถ่อยนี่ สรรเสริญคุณพระสมณโคดมอยู่ได้ทุกวัน เราจะไปยกวาทะ ว่าพระสมณโคดมเก่งแค่ไหน” พูดง่าย ๆ ก็คือว่าจะไปโต้วาทีแข่งกัน

ธนัญชานีพราหมณีอุตส่าห์เตือนว่า “ท่านทั้งหลายอย่าได้ไปเลย เราไม่เห็นใคร ๆ ทั้งในมนุษยโลก เทวโลก ตลอดถึงมาร พรหมทั้งหลาย จะสามารถยกวาทะขึ้นให้กับพระสมณโคดมได้” พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่มีใครที่ไปโต้วาทีแล้วชนะ

พราหมณ์ก็ไม่เชื่อ ไปถึงก็ตั้งคำถามในลักษณะปุจฉา-วิสัชนาว่า “ดูก่อนสมณโคดม บุคคลกำจัดอะไรจึงมีความสุข ? บุคคลต้องฆ่าอะไรจึงจะมีความสุข ? ท่านเองสรรเสริญในการกำจัดธรรมอะไร ?” พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ฆ่าความโกรธจึงมีความสุข บุคคลสามารถกำจัดความโกรธได้จึงจะเข้าถึงความสงบ พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญการกำจัดเสียซึ่งความโกรธ ซึ่งเป็นรากเหง้าของความทุกข์ มีรากเป็นพิษ” ตกลงพราหมณ์หงายท้องตึงกลับมา ไปด้วยความโกรธ ก็เลยโดนตอกหน้ากลับมา"

เถรี 07-04-2016 17:09

"คล้าย ๆ กับอักโกสกพราหมณ์ที่ไปด่าพระพุทธเจ้า ด่า ๆ ๆ จนสะใจ บอกว่าสมณโคดมท่านแพ้ข้าพเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ญาติมิตรสาโลหิตที่ไปมาเยี่ยมเยือนท่านมีอยู่หรือไม่ ?” อักโกสกพราหมณ์บอกว่า ท่านไม่ได้เป็นคนตัวเปล่าเล่าเปลือย ต้องมีสิ พระองค์ตรัสว่า “เวลาเขามาเยี่ยม ท่านต้อนรับเขา ด้วยข้าว ด้วยน้ำ ด้วยอาสนะที่นั่งหรือเปล่า ?” อักโกสกพราหมณ์ก็บอกว่า ตนรู้มารยาทในสังคมดี ก็ต้องต้อนรับด้วยข้าว น้ำและอาสนะ

พระพุทธเจ้าตรัสถามต่อไปว่า “ถ้าเขาทั้งหลายเหล่านั้น ไม่บริโภคข้าว น้ำ ไม่ใช้อาสนะของท่าน สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะตกแก่ใคร ?” อักโกสกพราหมณ์ก็บอกว่า “สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็ยังเป็นของข้าพเจ้าตามเดิม” พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า “นั่นแหละพราหมณ์ ในเมื่อท่านด่ามาแล้วเราไม่ได้ด่าตอบ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นย่อมตกแก่ท่านตามเดิม” อันนี้แสบกว่าด่าอีกนะ

สมัยก่อนคนเขาฉลาด ขณะเดียวกันรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว พอได้ยินดังนั้นอักโกสกพราหมณ์นั่งกระโหย่ง ยกมือไหว้บอกว่า “สมณโคดม วาจาท่านเป็นภาษิตยิ่งนัก เปรียบเหมือนกับคนหงายของที่คว่ำ เปรียบประดุจบุคคลตามประทีปในที่มืด สร้างความแจ่มแจ้งให้แก่ผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง” เมื่อแรกตั้งใจจะด่า ท้ายสุดกลับปฏิญาณตนถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง"

เถรี 07-04-2016 17:11

ถาม : นั่งกระโหย่งเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : นั่งแบบหลวงพ่อคูณนั่นแหละ แต่บ้านเรามาตีความว่านั่งกระโหย่งคือนั่งคุกเข่า ถ้าไม่เข้าใจภาษาบาลีไทยที่บอกว่านั่งกระโหย่งเป็นอย่างไร ก็นั่งแบบหลวงพ่อคูณนั่นแหละ แสดงว่าหลวงพ่อคูณเป็นพระโบราณ นั่งท่านั้นแล้วสบาย

เถรี 07-04-2016 17:12

สมัยที่เรียนพระไตรปิฎกศึกษา ท่านอาจารย์พระมหาวิจิตร กลฺยาณจิตฺโต เปรียญธรรม ๘ ประโยคมาเป็นอาจารย์สอน พอมาถึงตอนอักโกสกพราหมณ์ด่า เขาด่าว่าเจ้าเป็นลา เจ้าเป็นม้า เจ้าเป็นอูฐ เจ้าเป็นคนเขลา ฯลฯ สารพัดจะด่า ท่านอาจารย์มหาวิจิตรก็นั่งปรารภว่า "ด่าเป็นม้าเป็นลาหยาบตรงไหนวะ ?" อาตมาก็บอกกับพระอาจารย์ท่านว่า “ลองเปลี่ยนเป็นไอ้เหี้..สิครับ..!”

ยุคหนึ่งสมัยหนึ่งคำด่านั้นหยาบ แต่พอเลยยุคสมัยมาแล้วกลายเป็นของไม่หยาบ พอบอกพระอาจารย์เปลี่ยนเป็นเหี้...ก็พอ ท่านแจ่มแจ้งแดงแจ๋เหมือนหงายของที่คว่ำเลย..!

เถรี 08-04-2016 15:10

ถาม : สมัยบ้านอนุสาวรีย์ฯ หนูไปกราบเรียนว่าอยากมีน้อง แล้วหลวงพ่อให้หนูไปขอจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ?
ตอบ : อ้อ...ได้มาเรียบร้อยแล้ว สัก ๗ ขวบค่อยเอาลูกไปบวชเณรนะจ๊ะ

ถาม : ฝึกเขาให้สวดมนต์ไว้ก่อนค่ะ ?
ตอบ : ดีแล้ว เด็ก ๆ รุ่นใหม่พยายามฝึกเขาเอาไว้ เพราะว่าเด็กสมัยนี้สมาธิน้อยลงไปเรื่อย ๆ ถ้าเราไม่ฝึกเขาไว้แต่แรก ต่อไปจะอยู่ยาก จะกลายเป็นปัญหาสังคมทีหลัง เด็ก ๆ จะทำก็ต่อเมื่อพ่อแม่นำ

ยกเว้นลูกสาวอาตมา น้องเจนนี่ถึงเวลาถ้าแม่จะนอนแล้วไม่สวดมนต์ แม่เจ้าประคุณโดดขึ้นเตียง กางมือกางตีนเต็มเตียงเลย ห้ามแม่นอนจนกว่าจะสวดมนต์ นั่นถือเป็นอภิชาตบุตร แม่สอนแล้วไม่ทำเอง ลูกไม่ยอมให้แม่นอน โดดขึ้นไปกางมือกางตีนเต็มเตียงเลย จนกว่าแม่จะสวดมนต์จึงยอมให้นอน

เถรี 08-04-2016 15:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่ผ่านมามีเรื่องเสี่ยรถเบนซ์ขับรถชนคน คนตายเป็นนิสิต มจร. เท่ากับว่าอาตมาที่เป็นพระอาจารย์มีส่วนร่วมด้วยไปโดยปริยาย

ต้องบอกว่าสังคมของเราทุกวันนี้เกรงใจคนรวย ตั้งแต่รุ่นอาตมาแล้วนะ ๔๐-๕๐ ปีที่ผ่านมา มีคำพูดประโยคหนึ่งว่า "คนรวยทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด" แล้วเราลองคิดดูว่าถนนบ้านเราแบบนี้ ขับรถด้วยความเร็ว ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ของเขา ๒๐๐ กว่าเยอะด้วย แต่ตีว่าขับรถด้วยความเร็ว ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะเอาถนนที่ไหนมาวิ่ง ? ไม่ใช่ออโต้บาห์นของเยอรมันนะ

ออโต้บาห์นของเยอรบังคับว่าต้องวิ่ง ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะเขามั่นใจว่า รถของเขา ถนนของเขา ปลอดภัยแน่นอน ถ้าคุณขับช้าจะอันตราย แล้วบ้านเราไปวิ่ง ๒๕๐ กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมง สิ้นสติชัด ๆ พอเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาก็เดือดร้อนกันไปหมด ต่อให้รถดีขนาดไหนถ้าขับด้วยความเร็วขนาดนั้น ก็โดนจนได้แหละ"

เถรี 08-04-2016 15:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราช่วงนี้แล้งมาก โดยเฉพาะกาญจนบุรี พื้นที่ป่าของกาญจนบุรีมีมาก แต่ป่ากาญจนบุรีเป็นป่าเบญจพรรณที่มากไปด้วยป่าไผ่ คือปกติเบญจพรรณนี้ไม้จะคละกันไป แต่กาญจนบุรีป่าไผ่จะเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ก็เลยทำให้บรรดาพวกสิ้นสติเผาป่ากันเป็นว่าเล่น แม้กระทั่งวัดท่าขนุนของอาตมา ไม่ได้ยุ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย นึกสนุกขึ้นมาเขาก็เอาไฟไปแหย่ป่าไผ่เล่น ทำให้ต้องดับกันอยู่บ่อย ๆ

ช่วงเจริญกรรมฐานก็เลยขอท่านผู้เป็นใหญ่ คือเจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรี ขอฝนหลงฤดูหน่อย ให้ป่าเปียกเขาจะได้เผาไม่ติด ปรากฏว่ากระหน่ำเสียอาตมาเกือบจะกลับวัดไม่ได้ คนขับรถมองทางไม่เห็น อาศัยอานิสงส์เจริญกรรมฐานมา ๑๕ วัน อุทิศให้ท่าน แล้วขอแรงหน่อย ฝนตกตั้งแต่ท่าม่วงไปยันทองผาภูมิเลย เว้นไว้เฉพาะที่วัดนิดหนึ่งเพื่อให้อาตมาลงจากรถได้"

เถรี 08-04-2016 15:35

พระอาจารย์พูดถึงปรอทกรอ "ปรอทของอาตมาไม่ยอมห่างตัวเลย ไม่ว่าอย่างไรก็เกาะแน่น ๆ คือปกติเวลานอนบางทีมีดพับที่พกอยู่ก็เลื่อนหลุดบ้าง แต่ปรอทกลม ๆ ไม่ยอมหลุดสักที ประเภทว่าทิ้งกันมานาน พอเจอหน้ากันใหม่จึงไม่ยอมให้หลุดมือเลย"

เถรี 08-04-2016 15:42

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปรับรางวัลธรรมาภิบาลสิงห์ทอง ปรากฏว่าเขามีรางวัลสิงห์ฆเณศเอาไว้สำหรับผู้บริหารองค์กรดีเด่น ที่ได้เห็นอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ปัจจุบันผู้หญิงเก่งมีเยอะมาก จำนวนเกือบ ๒๐๐ คนที่ไปรับรางวัลเป็นผู้หญิงเกินครึ่ง แสดงว่าเดี๋ยวนี้ผู้หญิงตั้งบริษัทกันเยอะ แล้วก็ประสบความสำเร็จมากด้วย

แต่ส่วนหนึ่งที่เห็น ก็คือ เขาไปแต่งตัว
ประชันกัน แต่ละคนไปอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช แต่งตัวอย่างกับจะไปงานราตรีสโมสร ไม่ใช่ไปงานรับรางวัล ไปนี่ก็เปิดหน้าเปิดหลัง โกยกันจนล้นทะลักสัก ๓-๔ เท่าของที่พ่อแม่ให้มา ไม่รู้ว่าไปโกยมาจากไหน อาตมายังบอกกับท่านมหาไชยวัฒน์ว่า “ผมเห็นแล้วเหนื่อยแทน สมัยก่อนผมเคยไปรอเขาแต่งตัว ๓ ชั่วโมง แล้วผมหนีมาบวชเลย”

โดยปกติงานที่องคมนตรีไปมอบรางวัลให้ ก็น่าจะแต่งกายให้เรียบร้อยหน่อย แต่อาตมาเกรงว่าที่เขาแต่งมานั่นคือเรียบร้อยที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อนาถชีวิตเลย แล้วชุดที่ประเภทยาวลากพื้น ไม่รู้ว่าเขาเดินได้อย่างไร ยังกลัว ๆ อยู่ว่าถ้าเดินเหยียบชายสะดุดลงไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่ละคนส้นสูงมีไม่ต่ำกว่า ๔ นิ้ว มีแต่ ๔-๕ นิ้วทั้งนั้น ดูเขาแล้วก็เหนื่อยใจ"

เถรี 08-04-2016 15:46

"อีกอย่างหนึ่งที่เห็นก็คือ ผู้หญิงสักยันต์กันเยอะมาก เปิดหลังนี่ลายพร้อยเลย ส่วนใหญ่จะเป็นยันต์หนุนดวงอะไรพวกนั้น เฉพาะผู้เข้ารับรางวัลสองร้อยกว่านี่ผู้หญิงเกินครึ่งไม่พอ แถมยังมีสักยันต์อะไรอีก จนรู้สึกว่าผู้หญิงน่ากลัว มิน่า...ผู้ชายเลยหนีไปเป็นผู้หญิงกันเสียเยอะ..!

อาจจะเป็นเพราะว่าสมัยก่อนอาตมาเป็นโรคภูมิแพ้ โดยเฉพาะแพ้เครื่องสำอาง บรรดาน้อง ๆ ผู้หญิง
เห็นว่าเวลาไปด้วยแล้วอาตมาจามเอา ๆ เขาก็เลยเคยชินกับการที่ไม่แต่งหน้า พอเขาไม่แต่งหน้าไป ด้วยความเคยชิน เมื่อเห็นคนอื่นแต่งหน้าแล้วรู้สึกว่าหลอก ๆ ตาอย่างไรไม่รู้

ในชีวิตเห็นผู้หญิงแต่งหน้าแล้วสวยอยู่ ๒ คน คนหนึ่งคือเพื่อนรุ่นพี่ที่คบหาสมาคมกันอยู่ จนกระทั่งเวลาไปไหนแฟนก็ยกลูกให้ไปด้วย อีกคนหนึ่งก็คือพี่สุทธิลักษณ์ ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อวัดท่าซุงเหมือนกัน เป็นคนที่แต่งหน้าเหมือนกับไม่ได้แต่ง แปลกดี รู้สึกว่าเขาสิ้นเปลืองน้อยมาก หยิบจับอะไรขึ้นมาเติมนิดเติมหน่อยก็ไปแล้ว ในขณะที่คนอื่นแต่งไป ๓ ชั่วโมงก็ยังสวยสู้พี่เขาไม่ได้

สมัยก่อนเคยคุยข่มผู้หญิงว่า ผู้หญิงไม่สวยก็เลยต้องแต่งหน้า ส่วนผู้ชายไม่ต้องแต่งหน้าแสดงว่าจะต้องดูดีกว่าแน่ ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องแต่งแข่งกับผู้หญิง ปรากฏว่าสมัยนี้เห็นผู้ชายก็แต่งหน้า เพราะว่าที่เขามาออกการแสดงในงาน ๓-๔ ชุด โอ้โฮ...แต่งแล้วแต่งอีก เห็นเขาออกมามีผู้ชาย ๔ คน แทบจะหาผู้ชายแท้ไม่ได้เลย รู้สึกท่านทั้งหลายเหล่านี้จะชอบเรื่องเต้น ๆ รำ ๆ แล้วก็แต่งตัว เขามีความสุขของเขามาก"

เถรี 08-04-2016 15:52

"รู้สึกว่าคนเกาหลีทั้งประเทศจะทำศัลยกรรมเสีย ๙๐ เปอร์เซ็นต์ คนที่ทำให้เกิดความนิยมของการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของตนเอง โดยเฉพาะเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าเลย ก็คือไมเคิล แจ๊กสัน พ่อเจ้าประคุณคนเดียวไม่รู้หมดไปกี่ร้อยกี่พันล้าน เดี๋ยวเปลี่ยนหน้า เดี๋ยวเปลี่ยนผิว พิพิธภัณฑ์มาดามทุสโซบ่นแล้วบ่นอีก พอถึงเวลาก็ต้องไปแก้รูปหุ่นตามเขา

เขารู้สึกว่าเขาขาดอะไรอยู่ จึงไปแสวงหาในทางเปลี่ยนแปลงร่างกายตนเอง เพราะคิดว่าใช่ แต่ความจริงไม่ใช่ สิ่งที่เขาขาดคือเครื่องยึดเหนี่ยวทางใจ ต้องบอกว่าเป็นที่น่าเสียดายที่ไม่มีหลักธรรมทั้งหลายไปถึง ก็เลยทำให้พวกเขาไปทุ่มเทกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ลักษณะเดียวกับบรรดาคณาจารย์หรือโยคีนักบวชในสมัยพุทธกาล เน้นการทรมานตัวเอง โดยที่ไม่รู้ว่าการหลุดพ้นจริง ๆ แล้วอยู่ที่กำลังใจ"

เถรี 08-04-2016 16:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้พระวัดท่าขนุนสอบบาลี ๔ รูป ผ่าน ๓ ติดซ่อม ๑ แล้วไม่รู้ว่าจะซ่อมผ่านหรือเปล่า ? เพราะว่าต้องซ่อม ๒ วิชา แต่ถ้าเป็นอาตมารับรองว่าผ่าน เพราะถ้าพลาดจะรู้ว่าตัวเองพลาดตรงไหน แล้วจะรีบไปปิดจุดอ่อน แต่พอเป็นลูกศิษย์ก็เลยไม่แน่ใจ เพราะว่าบางท่านพลาดไปก็ไม่รู้ว่าตัวเองพลาดตรงไหน ถึงเวลาไปแก้ตัวก็ไม่สามารถที่จะเจาะประเด็นได้ กลายเป็นมวยวัดชกสะเปะสะปะไปเรื่อย"

เถรี 08-04-2016 19:55

ถาม : มีคนเห็นว่ามีวิญญาณอยู่รอบตัวหนู ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่รู้สึกไม่สบาย ?
ตอบ : รอบ ๆ ตัวของทุกคนบางคนมีเป็นร้อยเลย เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องไปกังวล พวกนั้นชอบพูดส่งเดชเพื่อให้เราเครียด แล้วไปขอวิธีแก้กับเขา แล้วเราก็จะเดือดร้อน ต้องจ่ายเงินไปเยอะ ๆ เป็นเทคนิคการหากินของเขา

อีกภพภูมิหนึ่งเขามีความละเอียดสูงกว่า เขาก็อยู่ปน ๆ กับพวกเรานี่แหละ แต่ว่าน้อยคนที่จะได้เห็น ถ้าหากเราเห็นนี่จะสยองเลย เพราะรอบข้างมีอยู่เต็มไปหมด เพราะฉะนั้น...เขาพูดอย่างไรก็ถูก ไม่ต้องเสียเวลาไปกลุ้มใจ ตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระของเราทุกวัน อย่างไรก็ปลอดภัยอยู่แล้ว

เถรี 08-04-2016 20:04

โยมมักจะไปเจอพวกหมอดูหรือร่างทรงที่ไร้จรรยาบรรณ พวกนี้จะว่าไปเรื่อย เพราะรู้ว่าพูดไปแล้วคนส่วนใหญ่จะกลัว แล้วไปขอวิธีแก้ไข วิธีแก้ไขของเขาก็ต้องสะเดาะเคราะห์ ต่อชะตา เสริมบารมี ให้ยุ่งไปหมด มีแต่เสียสตางค์

ถ้าโยมเห็นอย่างอาตมาละก็...วิ่งตับแลบเลย เพราะว่าเป็นคนชอบเดินกลางคืน อากาศเย็นดี พอเดิน ๆ ไปจนเริ่มไม่มั่นใจว่าเดินทางถูกหรือไม่ ก็จะมีเงาดำ ๆ มาโบกมือเหมือนกับเรียกว่ามาทางนี้ ถ้าแบบนั้นคงได้วิ่งกันตายจริง ๆ ตอนแรกอาตมาก็กลัว ตอนเด็ก ๆ กลัวมาก ห้องน้ำสมัยก่อนเป็นส้วมหลุม ต้องอยู่ไกล ๆ บ้าน โอ้โฮ...กลางค่ำกลางคืนจะให้ไปส้วม จ้างก็ไม่ไป อั้นจนสว่างเลย


ถาม : ยิ่งหน้าตาน่ากลัวก็ยิ่งน่าสงสาร ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเขาหมดสภาพ เขามาได้ดีที่สุดแค่นั้น พอฝึกมโนมยิทธิได้ก็พอจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้

เถรี 08-04-2016 20:08

พระอาจารย์เล่าว่า "วันที่ ๒๘ มีนาคม ไปงานพุทธาภิเษกวัดห้วยน้ำอุ่น ของหลวงปู่ครูบาบุญยัง ตอนแรกก็สงสัยว่า ทำไมท่านถึงจัดพิธีพุทธาภิเษกระหว่าง ๑ ทุ่มถึง ๓ ทุ่ม พอไปถึงแล้วหายสงสัย วัดของหลวงปู่ท่านประเภทแดดร้อนละลายเลย เป็นภูเขาที่แห้งแล้งมาก ภูเขาหินลูกรังล้วน ๆ ถ้าไม่จัดพิธีกลางคืนโยมคงไม่ไปกันหรอก

พอไปเห็นสถานที่ถึงได้รู้ว่า ท่านมีความอดทนและเคารพเชื่อฟังครูบาอาจารย์ขนาดไหน หลวงปู่ครูบาวงศ์ให้ท่านไปดูแลรักษาและพัฒนาวัดที่นั่น ท่านก็อยู่มาจนทุกวันนี้ ท่านเป็นลูกศิษย์รุ่นแรก ๆ ของหลวงปู่ครูบาวงศ์ พูดง่าย ๆ ว่าสมัยก่อนตอนที่ท่านไป ก็คงประเภทไม่มีใครแวะเข้าไปเลย

พอไปถึงแจ้งความจำนงว่าขอมากราบหลวงปู่ครูบา ก็ไม่มีใครสนใจ นั่งรอจนกระทั่งท่านออกมา กราบท่านเสร็จสรรพเรียบร้อย ท่านบอกให้ไปพักที่ศาลาพักอาคันตุกะที่ท่านเพิ่งสร้างใหม่ อาตมาไปถึงเห็นมีเสื่อเก่า ๆ หมอนเก่า ๆ อยู่ชุดหนึ่ง ก็นอนเขลงภาวนาอยู่นั่นแหละ พออีกสักพักหนึ่ง เสียงตึงตังโครมครามมากันเต็มไปหมด ลูกศิษย์ท่านมาช่วยทำความสะอาด มาปูเสื่อเสียเต็มศาลา เอาน้ำร้อนน้ำเย็นอะไรมาถวาย แต่หาครูบาเล็กไม่เจอ เจอแต่พระผอม ๆ รูปหนึ่งนอนคร่อกอยู่

ถ้าอาตมาไปในสภาพนั้นจะชอบมาก เพราะหลอกชาวบ้านได้ ก็คือ ท่านบอกว่าครูบาเล็กไปพักอยู่ที่โน่น ให้ไปจัดสถานที่กันหน่อย พวกลูกศิษย์ก็วิ่งกันใหญ่เลย คนโน้นพัดลม คนนี้โต๊ะ คนนั้นเก้าอี้ โน่นเสื่อนี่หมอน ฯลฯ ตกลงอาตมาไปคนเดียว เขาขนฟูกมา ๒๐ ชุด แล้วก็หาตัวไม่เจอหรอก เพราะว่าครูบาที่ท่านว่านอนอยู่บนเสื่อเก่า ๆ หมอนเก่า ๆ ภาวนาอยู่เฉย ๆ ใครจะทำอะไรก็ทำไป ภาวนาจนกระทั่งครบรอบที่ต้องการ ลุกขึ้นมาเขาถึงได้มาถามว่า "ใช่ครูบาเล็กหรือเปล่า?" ใช่ก็ใช่วะ..!"

เถรี 08-04-2016 20:10

"เดี๋ยวนี้วัดประเภทที่ไม่ค่อยเคยเห็นหน้าอาตมานี่มีน้อยแล้วนะ อาตมาชอบไปวัดประเภทนี้ ไปแล้วได้เห็นอะไรเยอะดี

พระที่ท่านมาเข้าพิธีด้วยกัน ดูหน้าก็รู้ว่าอาตมามีอาวุโสพรรษามากกว่า ทั้งอายุทั้งพรรษาของท่านต้องน้อยกว่าแน่ ๆ อุตส่าห์ยกมือไหว้ทักทายก่อน ท่านก็เมินไม่สนใจอาตมาก็ไม่ว่าอะไร ทักทายครบถ้วนเสร็จก็ไปนั่งอ่านหนังสือรอเวลา ปรากฏว่าพออีกสักพักหนึ่งครูบาหน่อแก้วฟ้ากับคณะมา ครูบาวิฑูรย์กับคณะมา มารุมมาล้อมมากราบมาไหว้ พวกนั้นก็งง ๆ ว่าเป็นใครวะ ? จนกระทั่งหลวงพ่อครูบาสนิทมานั่นแหละ เขาเห็นอาจารย์ใหญ่แถว ๆ นั้นมาทักมาทาย ก็เพิ่งจะรู้ว่าตูคงมองข้ามใครไปสักคนแล้ว...!"

เถรี 08-04-2016 20:14

"อาตมาไปนอนค้างที่วัดตุ๊ป้อสิงห์ ออกจากที่นี่ประมาณเที่ยงของวันที่ ๒๗ ไปถึงโน่นสองทุ่มพอดี ตอนเช้าโยมมาถวายอาหารเช้า ด้วยความที่ไม่ค่อยเรื่องมาก ก็ฉันน้ำพริกหนุ่มกับข้าวนึ่งเป็นหลัก ก็ไม่คิดว่ารุ่งเช้าจะท้องเสีย พุทธาภิเษกเสร็จกลับไปถึงวัดถ้ำป่าไผ่สามทุ่มกว่า ไปนอน รุ่งเช้าก็เดินทางต่อ ทำไมปวดท้องมาก ? พอถ่ายท้องแล้วเพิ่งจะรู้

จำไว้ว่าอย่ากินพริกเยอะ กินพริกเยอะก็ถ่ายท้องได้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะความเผ็ดทำให้ร่างกายต้องสร้างสารอะไรบางอย่างออกมาลดความเผ็ด คราวนี้พอสร้างเยอะ ๆ ก็เลยทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย

สมัยก่อนตอนธุดงค์ น้ำพริกกะเหรี่ยงเผ็ดเท่าไรก็ฉันได้ ฉันจนกระทั่งออกมาข้างนอกพริกอื่นไม่มีรสเลย ถึงเวลาเขาเอาพริกดองมาหรือว่าพริกขี้หนูน้ำปลามะนาวมา อาตมาต้องช้อนเอาแต่พริก เคี้ยวเท่าไรก็ไม่รู้สึกเผ็ด เพราะลิ้นด้านไปกับพริกกะเหรี่ยงเสียแล้ว ส่วนตอนนี้น่าจะเป็นเพราะอายุมากขึ้น เพราะน้ำพริกหนุ่มก็ไม่ได้เผ็ดมากดันท้องเสีย จะเรียกพริกสาวเขาก็ไม่เรียก เรียกแต่พริกหนุ่ม"

เถรี 09-04-2016 11:00

ถาม : ถ้าเรานึกถึงพระด้วยความเคารพไว้ได้ตลอดเวลา ภัยอะไรก็ทำอันตรายเราไม่ได้ คิดอย่างนี้ถูกต้องไหมคะ ?
ตอบ : ประมาทไปหน่อย

ถาม : ต้องขนาดไหนจึงจะรอด ?
ตอบ : ขนาดไหนก็ไม่รอด ขนาดพระโมคคัลลาน์ยังไม่รอดเลย ต้องดูวาระกรรมของเราด้วย ถ้าวาระกรรมหนักเกินไปก็รับไม่ไหว ต้องยอมเขา คือพวกเรามักจะประมาทเป็นปกติ คราวนี้พอประมาทเป็นปกติ ลืมนึกถึงครูใหญ่ ครูใหญ่คือพระพุทธเจ้าก็ยังเจ็บไข้ได้ป่วยเสียขนาดนั้น ครูใหญ่คือพระโมคคัลลาน์ก็ยังโดนเขาทำร้ายเสียขนาดนั้น อันนั้นถึงเรานึกได้ ความดีก็เป็นส่วนของความดี ความชั่วก็เป็นส่วนของความชั่ว ถ้ากำลังความชั่วแรงกว่า ความดีต้านไม่อยู่ก็ต้องรับกรรมไป

เถรี 09-04-2016 12:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนต้นเดือนคุณเชวงที่ทำเรือพระราชพิธีจำลอง นำเรือไปถวายที่วัด ๓ ลำ จะเรียกว่าถวายก็ไม่ใช่หรอก เพราะว่าอาตมาสั่งทำไว้ จ่ายเงินเสร็จสรรพแกก็เชียร์จัง บอกว่ายังขาดลำนั้น ยังขาดลำนี้ คือถ้าหาเจ้าภาพได้ก็จะทำหรอก แหม...ลำหนึ่งเป็นแสน เชียร์จัง เรือพระราชพิธีจำลองที่ทำไปก็มีเรืออนันตนาคราช เรือสุพรรณหงส์ แล้วก็เรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ ๙

ต้องบอกว่าจริง ๆ ควรจะมีเรืออเนกชาติภุชงค์อีกลำหนึ่งที่เป็นเรือพระที่นั่งเหมือนกัน นอกนั้นก็ประเภทเรือดั้ง เรือแซง เรือปืน ต้องบอกว่าความจริงเรือพระที่นั่งลำเดียวก็พอแล้ว ถ้าหากว่าเอาสมบูรณ์แบบเลยก็ ๒ ลำ คือในหลวงลำหนึ่ง พระราชินีลำหนึ่ง คาดว่าในหลวงก็น่าจะประทับเรืออนันตนาคราช พระราชินีประทับเรือสุพรรณหงส์ แต่ที่ผ่าน ๆ มาส่วนใหญ่แล้วพระองค์ท่านไปประทับเรือสุพรรณหงส์ เรืออนันตนาคราชเป็นเรืออัญเชิญผ้าไตร ก็เลยบอกว่ารอดูก่อน เผื่อมีใครเป็นเจ้าภาพถึงจะสั่งทำเพิ่ม

ที่มอง ๆ เอาไว้ก็น่าจะมี เรือพาลีรั้งทวีปกับเรือสุครีพครองเมือง เพราะว่าต้องเป็นเรือปืนคู่หน้า แล้วก็เรืออสุรวายุภักษ์ กับเรืออสุรปักษี เป็นเรือปืนคู่หลัง แปลว่าอย่างน้อยต้องหางบอีก ๔๐๐,๐๐๐ บาท

คุณเชวงนี่จิตวิทยาสุดยอดมากเลย ไปถึงแล้วเขาถามว่ามีแรงงานที่จะมาช่วยยกไหม ? อาตมาบอกว่ามี พรึ่บเดียวพระมา ๒๐ รูป เขายืนงง เขาบอกว่าไปวัดไหนไม่เคยเห็นพระมาช่วยยกเลย มีแต่จะเรียกชาวบ้านมาช่วยยก อาตมาว่า อ๋อ...ที่นี่บังเอิญว่ามีพระมากพอ จึงยกเรืออนันตนาคราชขึ้นไปก่อน

พอไปถึงชั้น ๓ วางตั้งเรียบร้อย เขาบอกว่า ข่าวดีครับ ลำนี้หนักที่สุด ที่เหลือเบากว่าทั้งนั้นเลย เพราะว่าเรืออนันตนาคราชเป็นเรืออัญเชิญผ้าพระกฐิน ตรงกลางก็เลยเป็นซุ้มบุษบกซึ่งสูงกว่าพระที่นั่ง ก็เลยกลายเป็นว่าทั้งฐานทั้งกล่องต้องใหญ่กว่าลำอื่น พอยกเรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ ๙ กับเรือสุพรรณหงส์ที่เหลือซึ่งเป็นเรือพระที่นั่งธรรมดา ก็เลยเตี้ยกว่าเยอะ เพราะว่าไม่มีบุษบก แต่เป็นลักษณะวอซุ้มประทับนั่ง"

เถรี 09-04-2016 12:31

"แล้วยังมีการนำเสนออีกว่า เอาเรือโบราณที่เขากำลังฮิตกันไหม ? อาตมาถามว่าเขาฮิตอะไรบ้าง ? ก็บอกว่ามีเรือเจิ้งเหอ เจิ้งเหอนี่ถือว่าไปขนสมบัติกลับบ้าน แล้วก็มีเรือวิกตอรี่ที่ออกรบไม่เคยแพ้เลย แล้วก็อีกลำหนึ่งที่เป็นเรือรบโบราณที่ใหญ่ที่สุด เขาบอกชื่อแต่จำไม่ได้ บอกว่าอันนั้นหมายถึงความมั่นคง มีการตีความอะไรเสร็จสรรพ แล้วก็เอารูปถ่ายให้ดู

เขามีการจัดสถานที่เป็นฮวงจุ้ยให้ด้วย ดูเข้าท่าดีเหมือนกัน เอาไว้ถ้าไม่มีของจะวางแล้วค่อยไปหาของใหญ่ ๆ แบบนั้น เพราะว่าเรือลำนั้น ๓ เมตรครึ่ง ใหญ่มหึมาเลย ถ้าขนาดเล็กลงก็ไม่ได้รายละเอียด ของเขาประเภทพวกเชือกพวกใบเรือ ฯลฯ ใช้งานจริงได้เลย ถ้าหากเอาอีก ๔ ลำ คงต้องจัดขบวนเรือชิดเอาไว้ด้านข้าง เอาไว้กลางห้องที่อย่างที่วางปัจจุบันนี้ไม่ได้ เพราะว่าจะยาวมาก

เขามีตู้ครอบมาเสร็จสรรพ ทำเป็นกล่อง บอกเขาให้ทำหน้าพิเศษ ๘ มิลลิเมตรให้ เพราะปกติทั่วไปเขาทำประมาณ ๕ มิลลิเมตรเท่านั้น ของเราเดินทางไกลก็เลยสั่งทำ ๘ มิลลิเมตรให้ นัดส่งของวันที่ ๑๒ ไปถึงวันที่ ๘ พอยกเข้าที่เสร็จบอกคุณเชวงว่าขอถามคำหนึ่งเถอะ "รังเกียจไหมที่จะรับเงินสด ?" เขาบอก "โอ๊ย...ไม่เป็นไรครับ ขอให้เป็นเงินเถอะ" เพราะส่วนใหญ่เขาไม่ค่อยอยากถือเงินสดเยอะ ๆ กัน เขาจะให้โอนเข้าบัญชี แกบอกของแกไม่เป็นไร คนขับรถไว้ใจได้"

เถรี 09-04-2016 19:41

พระอาจารย์กล่าวว่า "ฝรั่งไม่เข้าใจธรรมเนียมของพระว่า สัมมาอาชีพของพระก็คือการโคจรบิณฑบาต พูดง่าย ๆ ก็คือขอเขากิน เพราะการทำอาชีพอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่สร้างภาระ ขณะเดียวกันก็สร้าง รัก โลภ โกรธ หลง ให้เกิดขึ้นง่าย พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า สัมมาอาชีวะของภิกษุคือโคจรบิณฑบาต แต่ฝรั่งเห็นเป็นการขอทาน เพราะฉะนั้น...บางประเทศพระไปเดินบิณฑบาตนี่โดนจับเลย หาว่าทำตัวเป็นขอทาน เวลาไปต่างประเทศ ส่วนใหญ่พระจึงต้องบิณฑบาตอยู่แต่ในวัด ถึงเวลาโยมคนไทยบ้าง บรรดาสามีภรรยาที่เป็นคนไทยบ้าง พาครอบครัวไปทำบุญ ก็เดินตามระเบียงรับไป

ไปนึกถึงสูจิมุขีปริพาชิกา เจอพระสารีบุตรบิณฑบาตนั่งฉันอยู่ก็ถามว่า "ดูก่อนสมณะ ท่านก้มหน้าฉันหรือเปล่า ?" พระสารีบุตรบอกว่าไม่ได้ก้มหน้าฉัน "ท่านเงยหน้าฉันหรือเปล่า ?" พระสารีบุตรบอกว่าไม่ได้เงยหน้าฉัน "ท่านดูทิศใหญ่ฉันหรือเปล่า ?" พระสารีบุตรบอกว่าไม่ได้ดูทิศใหญ่ฉัน "ท่านดูทิศน้อยฉันหรือเปล่า ?" พระสารีบุตรก็บอกว่าไม่ได้ดูทิศน้อยฉัน

สูจิมุขีปริพาชิกาก็ต่อว่า "ถามอะไรก็บอกว่าไม่ใช่สักอย่าง แล้วท่านฉันอย่างไร ?" พระสารีบุตรบอกว่า "ภคินิ...ดูก่อนน้องหญิง พราหมณ์ทั่วไปที่ดูพื้นที่ แล้วรับค่าตอบแทนเป็นอาหารบ้าง เป็นสิ่งของบ้าง เรียกว่าก้มหน้าฉัน พราหมณ์ท่านใดที่ดูดาวดูฤกษ์ให้คำแนะนำ แล้วบุคคลเกิดศรัทธา ถวายอาหารบิณฑบาต ตลอดกระทั่งสิ่งของต่าง ๆ ให้ เรียกว่าเงยหน้าฉัน พราหมณ์ท่านใดช่วยติดต่อสื่อสาร ช่วยเป็นผู้แทนให้ครอบครัวนั้นครอบครัวนี้ บุคคลนั้นบุคลคลนี้ ถือว่าเป็นผู้ดูทิศใหญ่ฉัน พราหมณ์ผู้ได้ให้คำแนะนำในการดำเนินชีวิตแก่บุคคลที่ไปสอบถาม เรียกว่าดูทิศน้อยฉัน

เราเป็นสมณศากยบุตร เว้นจากมิจฉาอาชีวะทั้งหลายเหล่านี้ ได้อาหารมาจากการโคจรบิณฑบาต เมื่อฉันแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติพรหมจรรย์ จึงไม่เรียกว่าก้มหน้าฉัน เงยหน้าฉัน ดูทิศใหญ่ฉัน ดูทิศน้อยฉัน อย่างที่น้องหญิงเข้าใจ"

เถรี 09-04-2016 19:42

"สูจิมุขีปริพาชิกาได้ยินก็ชอบใจ กลายเป็นโฆษกให้พระ ถึงเวลาก็ไปประกาศกับชาวบ้านว่า "สมณศากยบุตรเหล่านี้ ฉันภัตตาหารที่ได้มาโดยธรรม ท่านทั้งหลายจงถวายอาหารต่อสมณศากยบุตรเหล่านี้ด้วยเถิด"

ไปนึกถึงชื่อของคุณเธอ สูจิมุขีปริพาชิกา สูจิคือเข็ม สูจิมุขีก็คือปากแหลมเหมือนเข็ม แสดงว่าต้องเป็นคนปากแหลม ๆ หน่อย แบบเดียวกับกูฏทันตพราหมณ์ พราหมณ์ฟันยื่น ชานุสโสณีพราหมณ์ พราหมณ์ขายาว เขาจะมีบอกไว้ชัด ๆ เลย ลักษณะเหมือนกับฉายาที่ประกาศให้รู้ว่าเป็นใคร ไม่อย่างนั้นชื่อก็มักจะซ้ำ ๆ กัน"

เถรี 09-04-2016 20:28

พระอาจารย์กล่าวว่า "การจะบวชพระต้องมีบริขาร ๘ ก็คือ สบง จีวร สังฆาฏิ ประคดเอว บาตร มีดโกน เข็มและด้าย ผ้ากรองน้ำ ถามว่า ๘ อย่างนี้อะไรที่ขาดไม่ได้ ? ก็คือผ้าไตรกับบาตร เขาห้ามขาดครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งถ้าไม่มีไปหาเอาทีหลังได้ เพราะฉะนั้น...ถ้าจะบวชพระ นอกจากผ้าไตรแล้ว ก็ต้องมีบาตรมาด้วย

พอถึงเวลาคู่สวดถาม ปะริปุณณันเต ปัตตะจีวะรัง มีบาตรมีจีวรบริบูรณ์ดีแล้วหรือ ? ตอบว่า อามะ ภันเต ไม่มีก็ นัตถิ ภันเต ท่านก็ไล่ให้ไปหามาให้ครบก่อน โยมมาถึงก็บอกว่าถวายจีวรบวชพระ ๒ รูป บวชไม่ได้เพราะยังขาดบาตร ...(หัวเราะ)..."

เถรี 09-04-2016 21:16

ถาม : ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการพิจารณาให้เกิดความเมตตา เพราะที่แผ่เมตตาไป ยังเมตตาไม่พอ ?
ตอบ : คำว่าไม่พอเราต้องการขั้นไหน ? ถ้าจะเมตตาให้พอจริง ๆ เป็นอัปปมัญญา อย่างน้อยกำลังต้องเท่ากับพระอนาคามี พูดอีกก็ถูกอีกแหละ เรื่องของการแผ่เมตตา เราแผ่ไปตามปกติ จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวแล้ว ก็จับลมหายใจภาวนาต่อ เพื่อที่จะให้เป็นอัปปนาสมาธิ กำลังจะได้สูงขึ้น ทำของเราไปบ่อย ๆ ทำของเราไปเรื่อย ๆ ส่วนจะพอหรือไม่พอก็ช่าง ไม่ได้ไปทำแข่งกับใครนี่หว่า..!

ถาม : กำลังลดลงครับ พยายามอุเบกขามากขึ้น แต่เมตตาก็ตก ?
ตอบ : ในเมื่อรู้ก็พยายามปรับใหม่สิ อุเบกขาไม่ใช่เมตตาตก คุณช่วยไม่ได้ถ้าไม่อุเบกขาเดี๋ยวคุณก็บ้าเอง อุเบกขาก็มีเมตตาประกอบด้วย รอว่าถ้าช่วยได้เมื่อไรก็จะช่วย ถ้าหากว่าผ่านพ้นไปแล้วก็ต้องรอรอบใหม่ บางคนวาระรอบก็ยาวเหลือเกิน บางทีหลุดวงโคจรไปเป็นสิบ ๆ ปี กว่าจะย้อนกลับมาได้ จึงต้องไม่ประมาท พยายามสร้างบุญให้ต่อเนื่องกัน

ถาม : ขอคำแนะนำในเรื่องเมตตา กำลังไม่พอจริง ๆ ครับ
ตอบ : ไปเลี้ยงหมู เลี้ยงหมา เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่อะไรก็ได้ ความรู้สึกเมตตาจะเกิดขึ้นเอง สารพัดเทคนิค ต้องหาเอง คนอื่นแนะนำก็เป็นเพียงคำแนะนำ จะทำได้หรือไม่ได้อยู่ที่เรา จะให้ไปเลี้ยงหมา แทนที่จะได้เมตตาเดี๋ยวกลายเป็นโทสะไปอีก

วันก่อนไปวัดถ้ำป่าไผ่ เดินออกมาตอนตีสองกว่า หมาก็แห่กันมา ๗-๘ ตัว บางตัวตะกายขึ้นหัวขึ้นหู บางตัวมาทีหลัง มาถึงแฮ่ไล่ตัวอื่น ต้องคอยดุคอยว่ามันอยู่เรื่อย ก็คือสัตว์เขาแสดงออกแบบสัตว์ เพราะว่าเขารู้แค่นั้น ส่วนเราไม่ใช่สัตว์ อะไรที่เมตตาสงเคราะห์เขาได้ก็สงเคราะห์ไป คือถ้าแมวรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเหม็นตลบไปหมด เขาก็คงไม่ทำหรอก แต่คราวนี้แมวมีเขตของตัวเอง ทำเครื่องหมายเขตของตัวเอง ส่วนเราไปดมก็ว่าเหม็นเป็นบ้าเลย

สัตว์เดรัจฉานด้วยสภาพหากินไม่ได้ดั่งใจ กินไม่ได้อย่างใจ นอนไม่ได้อย่างใจ มีความกลัวภัยอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเป็นสิ่งที่น่าสงสาร หรือเป็นสิ่งที่น่าโกรธ ? ต้องคิดให้เป็น คิดเป็นกำลังใจเมตตาจะมา คิดไม่เป็นก็เป็นโทสะ กลายเป็นคู่ตรงข้ามกันเลย


ถาม : กำลังไม่พอด้วยครับ
ตอบ : กำลังไม่พอก็ลดลงมาดูศีล อย่าให้ขาด ตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลได้ เดี๋ยวตัวเมตตาก็มาเอง

เถรี 10-04-2016 20:29

ถาม : เวลาภาวนาเสร็จ ....(ไม่ชัด).... เวลาฝึกผมฝึกไม่ได้ครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าที่เราว่าบังคับลมนั้น บังคับเองหรือเปล่า เพราะเวลาที่สมาธิทรงตัว ลมหายใจจะเปลี่ยนเองโดยอัตโนมัติ ถ้ามีความคล่องตัว เข้าสมาธิได้ระดับใดระดับหนึ่งทันที ทันทีที่ภาวนาจะไปตรงนั้นเลย ไม่ใช่เราบังคับลม แต่สมาธิจะทรงตัวในระดับนั้น ลมหายใจก็เปลี่ยนโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว จะแรงจะเบาตามระดับสมาธิของเราตอนนั้น ไม่ใช่ลมหายใจปกติ

ถาม : แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่าบังคับลมตรงนี้ ?
ตอบ : ไปเปิดตำราศึกษาเอาว่า คำว่าฌานหน้าตาเป็นอย่างไร

เถรี 10-04-2016 20:45

ถาม : กะลาตาเดียวเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นคนก็พิการ เขามี ๒ ตาแต่นี่ดันมีตาเดียว อะไรที่แปลกกว่าเขา โบราณเขาถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว โดยเฉพาะกะลาตาเดียวที่ดังที่สุดคือหลวงพ่อน้อย วัดศีรษะทอง จะลงยันต์สุริยประภา จันทรประภาที่เป็นยันต์ของพระราหู ต้องลงให้เสร็จภายในช่วงเวลาที่ราหูอมจันทร์ ถ้าเคลื่อนผ่านพ้นไปก็ใช้ไม่ได้ ต้องรอครั้งใหม่

ฉะนั้น...ของหลวงพ่อน้อย ถึงเวลาลูกศิษย์แกะกะลาเอาไว้ พอถึงเวลาราหูอมจันทร์ ท่านก็มานั่งมองแล้วก็ลงยันต์ไล่ไปเรื่อย พอราหูเคลื่อนผ่านไป ที่เหลือก็รอครั้งหน้า เขาเชื่อว่าจะช่วยพลิกชะตากลับร้ายให้เป็นดี


ถาม : ให้โชคด้านไหนคะ ?
ตอบ : บอกไม่ถูกเหมือนกัน สมัยเด็ก ๆ เขาเอากะลาตาเดียวมาเป็นทะนานตวงข้าวสาร เขาเชื่อว่าจะทำให้มอดไม่กิน แล้วโบราณถ้าคู่บ่าวสาวแต่งงาน เขาจะเขียนชื่อ เขียนวันเดือนปีเกิดของทั้ง ๒ คน ใส่ไว้ในกะลาตาเดียว เขาเชื่อว่าจะทำให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

ต้องบอกว่าเป็นแค่ความเชื่อ อะไรที่มงคลต้องเป็นมงคลตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ อย่างอื่นเป็นเพียงแต่มงคลภายนอกเท่านั้น มงคลภายในก็ อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา ปูชา จ ปูชะนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ไปเถอะ...ไปสร้างมงคลให้เกิดกับตนเองก่อน แล้วค่อยไปเอามงคลภายนอก ถ้าหาแต่มงคลภายนอกอย่างเดียวเดี๋ยวก็เจ๊ง..!

เถรี 10-04-2016 20:46

ถาม : กราบขอพร ?
ตอบ : ขอให้ไปพระนิพพานไว ๆ ดีกว่า พรอะไรก็สู้พรนี้ไม่ได้หรอก

เถรี 10-04-2016 20:59

ถาม : ท่านไม่แจกวัตถุมงคลให้บ้าง ?
ตอบ : หนังสือที่แจกไปนั่นแหละ เป็นมงคลที่สุดแล้ว ทำให้ได้ก็แล้วกัน

เถรี 10-04-2016 21:00

พระอาจารย์กล่าวว่า “ประเภทที่ขนของมาวางแล้วตัดใจถวายได้เลย อาจดูเหมือนมักง่ายนะ แต่ความจริงแสดงออกซึ่งกำลังใจที่สูงกว่า”

เถรี 10-04-2016 21:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่ใช่อาตมาเปลี่ยนบุคลิกนะ แต่ ๓-๔ วันมานี้พระที่ท่านเคยอยู่ประจำท่านติดงาน ท่านก็เลยผลัดเวรกันมา กลายเป็นอีกท่านหนึ่ง เดี๋ยวอยู่ ๆ คิดว่าอาตมาเป็นไบโพลาร์ สงสัยว่าจะเป็นดับเบิ้ลโพล่าร์เลย แต่ไม่เป็นไรหรอก...ท่านมาองค์แรกก็หลวงพ่อรวย ๑ มาองค์สองก็หลวงพ่อรวย ๒ ไล่ไปเรื่อย

สมัยก่อนนี้ได้ยินหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “ถ้าหากว่าพระท่านติดงานก็จะให้ท่านอื่นมาแทน” ตอนนั้นยังไม่รู้ ที่ไม่รู้เพราะว่านึกเมื่อไรก็เจอท่านทุกที แต่งานนี้เปลี่ยนองค์มาจริง ๆ"

เถรี 10-04-2016 21:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงที่อาตมาปฏิบัติธรรมของพระอุปัชฌาย์ใหม่อยู่ ป้าตุ่นซึ่งเป็นกรรมการวัด ขับรถเหยียบไอ้ทิดของวัดหัวบี้กระจายเต็มถนนเลย เหตุเพราะว่าไอ้ทิดของเราขับรถไป มือหนึ่งก็กดโทรศัพท์ไป รถมอเตอร์ไซค์นะ ขับมือเดียวสนุกหรือ ? ก็เลยล้ม กระเด็นไปอยู่ใต้ท้องรถที่กำลังวิ่งมา พาความซวยมาเกิดกับป้าตุ่นโดยไม่ได้เจตนา ขับรถอยู่ดี ๆ มีคนเอาหัวมาให้เหยียบ

บรรดาพระวัดท่าขนุนก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นเพราะไม่ได้ใส่หมวกกันน็อกอย่างดี อาตมาก็เลยบอกว่า ต่อให้ใส่หมวกกันน็อกอย่างดีเขาก็เก็บได้ง่ายหน่อย ลองเอาหัวยื่นไปใต้ล้อ มีหมวกกันน็อกอีก ๒ ใบก็ช่วยไม่ได้หรอก

ปัจจุบันนี้โทรศัพท์โดยเฉพาะไลน์ เป็นอันตรายต่อการขับขี่ยานพาหนะอย่างมาก แต่ก็มักจะประมาทกัน พอเกิดเหตุขึ้นมาก็เดือดร้อนทั้งครอบครัวตัวเองและคนอื่น

คนตายชื่อทิดโอ ได้ยินแล้วสะดุ้งไหม ? (หัวเราะ) ทิดโอเหมือนกับรู้ว่าตัวเองหมดบุญนะ มาเป็นลูกศิษย์ถือกระป๋องตามพระ บิณฑบาตอยู่ตั้งหลายอาทิตย์ แต่ก็ไม่พอช่วยตัวเอง ตายจนได้ คือการถือกระป๋องตามพระบิณฑบาต ถ้าสักแต่ว่าเดินตามไปก็บุญน้อยไปหน่อย ต้องเดินไปภาวนาไป เหมือนอย่างกับอาตมาเวลาเดินนี่จะภาวนาได้น้ำได้เนื้อมาก ก็เลยชอบเดินธุดงค์โดยการเดินยาว ๆ ๓๐-๔๐ กิโลเมตรเป็นอย่างน้อยต่อวัน ถ้าวันไหนประเภทคึกขึ้นมา ๘๐-๙๐ กิโลเมตรก็ไปได้ ก็เลยไม่มีใครอยากเดินด้วยเพราะเดินตามกันไม่ไหว"

เถรี 10-04-2016 21:24

"พระครูแสงตอนเป็นฆราวาสเคยถามว่า “หลวงพี่...ทุ่งใหญ่หัวท้าย ๙๓ กิโลเมตร เดินอย่างไรวันเดียวถึง ?” บอกว่า “ไม่ต้องสงสัย มาเลย” ว่าแล้วก็พาเดิน เริ่มจากตี ๓ ไปถึงบ่าย ๓ โมง ไปถึงก็ขาขวิดเป็นเลขแปดร่วงตึงเลย อาตมาถามว่าไม่หาอะไรกินก่อนหรือ ? “ไม่เอาแล้ว” ท้ายสุดก็เลยต้องเอายาแก้ไข้ใส่ปากกรอกน้ำตามไป เขาก็นอนกินอย่างนั้นแหละ แล้วสลบไสลไปเลย

ตอนแรกเขากับทิดหมู ๒ คน ทิดหมูชื่อทวี บ้านอยู่ข้างวัดตุ๊กตา อ.นครชัยศรี ออกเดินใหม่ ๆ สองคนโด๊ปยากันมาก็ใส่เต็มที่เลย มีเครื่องดื่มชูกำลังกับน้ำเกลือแร่ เดินทิ้งอาตมา ๑๐๐ กว่า ๒๐๐ เมตร อาตมาแทบจะหัวเราะ จะดูว่าเอ็งไปได้สักเท่าไร ปรากฏว่าพอฤทธิ์ยาหมดนี่คราวนี้โน่น...รั้งท้ายลิบ ๆ"

เถรี 10-04-2016 21:34

ถาม : ตอนเดินนี่ควรจะภาวนาอย่างไรคะ ?
ตอบ : ชอบใจอะไรก็ภาวนาอย่างนั้น ไม่มีอะไรก็พุทโธ ซ้ายพุท ขวาโธก็ลงตัวพอดี แต่ถ้าเดินเป็นวัน ๆ แล้วภาวนาคาถาเงินล้านก็รวยตายเลย

ถาม : ทำได้หรือคะ ?
ตอบ : ได้....อะไรก็ได้ ให้ใจอยู่กับการภาวนา

เถรี 11-04-2016 20:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีหนังสือคำสั่งให้เจ้าอาวาสใหม่ไปปฏิบัติธรรมตั้งแต่ ๑ พฤษภาคม – ๑๔ มิถุนายน รวม ๔๕ วัน อาตมายังไม่รู้ว่าคำสั่งให้เป็นพระวิปัสสนาจารย์ไปนอนรออยู่ที่วัดแล้วหรือยัง ? สรุปว่าเจ้าอาวาสใหม่พ้นจาก ๔๕ วันไปก็รอดแล้ว ส่วนพระวิปัสสนาจารย์นี่โดนทุกปี น้ำดื่มที่โยมถวายมา อาตมาจะเอาไปถวายเจ้าอาวาสใหม่ที่มาเข้าปฏิบัติธรรมด้วย

ปีนี้คณะสงฆ์หนกลางมีเจ้าอาวาสใหม่ประมาณ ๔๐๐ รูป ไม่น่าเชื่อว่า ๒๓ จังหวัด แต่ละปีนี่มีเจ้าอาวาสใหม่ประมาณ ๓๐๐ - ๔๐๐ รูป เกิดจากสาเหตุ ๑. มรณภาพ ๒. สึก ๓. ลาออก ๔. โดนปลด แต่ลาออกกับโดนปลดนี่น้อยมาก นาน ๆ จะมีสักที หลัก ๆ เลยก็คือมรณภาพกับลาสิกขาคือสึกไป

ฉะนั้น...เดี๋ยวนี้เจ้าอาวาสหาทำยายาก เพราะว่าเขากำหนดไว้เลยว่าพรรษาต้องพ้น ๕ เป็นที่เคารพของบรรพชิตและคฤหัสถ์ในบริเวณนั้น ก็เลยกลายเป็นว่า กว่าจะสร้างเจ้าอาวาสได้แต่ละรูปก็อย่างน้อยเสียเวลา ๕ ปีขึ้นไป กติกาอีกข้อหนึ่งก็คือต้องจบอย่างน้อยนักธรรมชั้นเอก ยกเว้นบางท้องถิ่นที่ผู้ปกครองพิจารณาแล้วว่าสมควรผ่อนผัน

ถ้าถามว่าพระที่สมควรผ่อนผันยกตัวอย่างได้ไหม ? ยกตัวอย่างได้ก็คือหลวงพี่แป๊ะของอาตมานี่แหละ ท่านพระครูยติธรรมานุยุต วัดสว่างอารมณ์ หรือวัดแคแถว แม้แต่นักธรรมตรีก็ไม่ได้ แต่เนื่องจากชาวบ้านเคารพนับถือมาก พระก็เคารพนับถือมาก เพราะท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คือเอาแต่ภาวนาเลยไม่ได้เรียน ท้ายสุดผู้บังคับบัญชาก็ต้องผ่อนผัน ยกขึ้นไปเป็นเจ้าอาวาส"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:18


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว