กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5025)

เถรี 11-06-2016 12:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้ทางคณะสงฆ์เปิดหลักสูตรประกาศนียบัตรพระพุทธศาสนา (ป.พศ.) ฆราวาสก็เรียนได้ถ้าจบธรรมศึกษาชั้นเอก เรียนปีเดียวก็ได้วุฒิ ม. ๖ แม่ชีที่วัดจึงแห่กันไปเรียน แล้วพระที่ท่านตอนสมัยวัยรุ่นเกเรอยู่ เรียนไม่จบ ม. ๖ ก็มีโอกาสไปเรียนต่อให้จบ จะได้ต่อปริญญาตรีได้

ส่วนใหญ่แล้วกว่าจะรู้ว่าการศึกษาสำคัญก็ต้องอายุช่วง ๓๐-๔๐ ปีแล้วทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นช่วงวัยรุ่นก็มักจะเกเร ไม่ค่อยจะสนใจเรียนกัน"

เถรี 11-06-2016 13:35

ถาม : เพื่อนบวชแล้วมีปัญหากับกรรมการวัดครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ถ้าจะตั้งกรรมการวัด ต้องตั้งพระให้เยอะกว่าไว้ก่อน ตั้งฆราวาสเยอะกว่าเมื่อไรจะคานเสียงไม่ได้สักที แล้วคุณก็เห็นว่าที่วัดท่าขนุนของผม ตั้งกรรมการเอาไว้แค่รับรู้รับทราบเท่านั้น แล้วไม่ใช้งานอะไรทั้งนั้นแหละ ขืนไปใช้งานเขาก็ยุ่งอีก เขาจะค่อย ๆ มีอำนาจขึ้นมา พระก็ทำอะไรไม่ถนัด จนกระทั่งทุกวันนี้กรรมการวัดท่าขนุนเท่ากับตกงานดี ๆ นี่เอง แม้กระทั่งแจกซองผมยังไม่ให้แจกเลย

เถรี 11-06-2016 17:14

ถาม : การเจริญเมตตา ?
ตอบ : ต้องเจริญเมตตาให้แก่คนที่เรารักก่อน พอทำได้คล่องตัวแล้วก็ให้กับคนที่เรารักรอง ๆ ลงไป แล้วให้แก่ไม่รักไม่เกลียด พอคล่องตัวแล้ว ก็ให้คนที่เราเกลียดน้อย หลังจากนั้นถึงให้คนที่เกลียดมากได้ ไม่อย่างนั้นแล้วอยู่ ๆ ไปให้คนที่เราไม่ชอบขี้หน้าเลยก็เด้งกลับ

มีหลายคนที่บอกว่าไม่โกรธ ๆ แต่กูไม่พูดกับมึง..! นั่นยังโกรธอยู่เต็ม ๆ เลย ผูกโกรธด้วย แต่คิดว่าตัวเองวางได้แล้ว เพราะฉะนั้น...ต้องค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้น

ถาม : แผ่เมตตาแล้วมีผลย้อนกลับที่ดี ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วการแผ่เมตตาจะอยู่ลักษณะให้ผลดีโดยส่วนเดียว ผลที่กลับมาไม่ดีเกิดจาก ๒ อย่าง อันดับแรกก็คือเมตตาของเราไม่บริสุทธิ์จริง ประการที่สองก็คือผลกระทบมาจากเรื่องอื่น บังเอิญเราไปทำเรื่องเมตตาพอดี เราก็เลยคิดว่าเป็นเพราะเรื่องนี้

ถาม : ขณะที่แผ่ไปยังศัตรูได้ แสดงว่ากำลังใจดีมากใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องเห็นตามความเป็นจริงว่าไม่มีใครเป็นศัตรูกับใคร ทุกอย่างล้วนเป็นสมมติทั้งสิ้น มีแต่เพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้ายังทำไปถึงระดับนี้ไม่ได้ก็ยังแผ่ให้ศัตรูไม่สำเร็จหรอก ถ้าไม่เห็นว่ามีใครเป็นศัตรู กำลังใจระดับนั้นแล้วก็เอาเถอะ จะแผ่ให้ใครสักเท่าไรก็ได้

ถาม : การแผ่เมตตาให้กับคนทั่วไป เราจะทราบได้อย่างไรว่าเราผ่านตรงนี้ได้แล้ว ?
ตอบ : ทำให้เป็นปกติของเราจนกระทั่งไม่มีความหนักใจแล้ว มั่นใจว่าได้แล้ว ทำไปแล้วเป็นเหมือนหน้าที่ซึ่งต้องทำ พอถึงเวลาก็นึกว่า เอ...ยังไม่ได้ทำนี่ ? แล้วก็จัดการทำต่อไป ถ้าหากว่าถึงระดับนี้ขึ้นมา สำหรับคนทั่วไปก็ถือว่าเราผ่านได้แล้ว เพราะว่าสามารถให้เขาเป็นปกติได้ทุกวัน

ถาม : ระดับที่เราแผ่เมตตาได้ แสดงว่าศีลเราทรงตัว ?
ตอบ : ถ้าแผ่เมตตาศีลก็ทรงตัวเป็นปกติอยู่แล้ว เรื่องของการแผ่เมตตาเป็นส่วนของธรรม ถ้าจะให้ศีลและธรรมสมบูรณ์บริบูรณ์พร้อมกันก็หายาก ตอนแรกก็ต้องเอาศีลก่อน พอกำลังของศีลทรงตัวก็ทำได้เอง

เถรี 11-06-2016 19:04

ถาม : การที่จิตฟุ้งซ่าน นอกจากอานาปานสติแล้ว ยังมีกรรมฐานกองอื่นที่แก้ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีเลย ถ้าไม่เอาอานาปานสติก็หยุดความฟุ้งซ่านไม่ไหวหรอก อานาปานสติเป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกอง ยิ่งมีความฟุ้งซ่านยิ่งจำเป็นจะต้องหยุดด้วยอานาปานสติ บางคนบอกว่าผมไม่เห็นต้องใช้อานาปานสติเลย แค่คิดก็หยุดได้แล้ว อันนั้นแสดงว่าข้ามขั้นไปจนเป็นฌานแล้วแต่ตัวเองไม่รู้

ถาม : บางท่านก็บอกว่า อารมณ์นี้ละเอียดเกินไป อย่างนี้เป็นความเห็นที่ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับระดับกำลังใจของเขา กำลังใจของเขายังไม่ถึงตรงจุดนั้น ก็จะรู้สึกว่าละเอียดเกินไป หนักเกินกำลังของตน แปลว่ากำลังใจต่ำมาก

ถาม : ....(ไม่ชัด).....อย่างนี้จะเรียกว่าช่วยได้ไหมครับ ?
ตอบ : จะเรียกว่าช่วยได้ก็ช่วยได้ แต่ถ้าไม่มีอานาปานสติคอยคุมอยู่ สติก็ไม่มั่นคง ไปกำหนดทีเดียวหมดก็พลาดจนได้

ถาม : ขนาดเดินอยู่ก็พลาดจนได้ ถ้าไม่มีอานาปานสติคอยคุม ?
ตอบ : ใช่...คุณเดินอยู่ก็คิดไปหลายร้อยเรื่องแล้ว บางทียังไม่รู้ตัวเลย

ถาม : แสดงว่าขณะกำหนดสติ ก็จำเป็นต้องมีอานาปานสติ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วจำเป็นต้องมีเลย เพราะว่าสติจะรู้ตัวก็ต้องมีตัวควบคุม ก็คืออานาปานสติ

ถาม : ถ้าเจริญพุทธานุสติแทน ก็เป็นการเจริญสติได้เหมือนกัน ?
ตอบ : เหมือนกัน ไม่ว่าคุณจะเจริญสติแบบไหน ถ้าไม่เอาอานาปานสติไปคุม ก็ได้แค่พื้นฐานขั้นต้น ซึ่งไม่มั่นคง พอกระทบก็พัง จำเป็นต้องแทรกอานาปานสติเข้าไป โบราณเขาถึงให้ภาวนาอานาปานสติโดยใช้คำว่า "พุทโธ" เท่ากับทำสองอย่างควบกัน

เถรี 11-06-2016 19:08

ถาม : การเจริญสติ ต้องใช้อานาปานสติ พุทธานุสติ ?
ตอบ : คำว่า อนุสติ ก็คือตามคิดถึง ในเมื่อตามคิดถึงก็ไม่ต้องการความมั่นคงมาก เราแค่คิดถึงเฉย ๆ ก็ได้ แต่ถ้าต้องการความมั่นคงมาก จำเป็นต้องมีอานาปานสติคุม คือสติที่ตามไปในลมหายใจเข้าออก เพื่อสร้างสมาธิให้เข้มข้นให้เป็นอัปปนาสมาธิให้ได้

ถาม : ระดับไหนที่เป็นสัมมาสติ ?
ตอบ : สัมมาสติต้องโน่นเลย ทรงฌานเป็นอัปปนาสมาธิไปเลย เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเขาก็มักจะว่า สัมมาสติก็คือสติที่ไปใน กาย เวทนา จิต ธรรม ลักษณะอย่างนั้นต้องพระอรหันต์ เพราะว่าต้องกำหนดรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้าสติไม่ถึงระดับพระอรหันต์ เรื่องรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ตลอดเวลาโดยไม่ไปปรุงแต่งก็ยาก มองไม่เห็นทางเลย

แต่ถ้าเราตีความคำว่า สัมมา แปลว่าถูกต้อง แล้วก็คือถูกต้องอย่างแท้จริง ก็ต้องเป็นระดับนั้นแหละ เพราะถ้ายังไม่ถึงพระอรหันต์ก็ยังไม่ถูกต้องอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น...เรื่องนี้สำหรับพวกเราก็ยกไว้เหนือเศียรเหนือเกล้าเถอะ ทำถึงเมื่อไรก็รู้เอง ...(หัวเราะ)...

เถรี 11-06-2016 19:27

มีผู้นำทองคำธรรมชาติมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศไทยเราส่วนหนึ่งที่ชื่อสุวรรณภูมิ เกิดจากเพราะมีทองมาก ถ้าวาระบุญคนยังไม่พร้อม ของขึ้นมาก็เป็นของผู้มีอำนาจไม่กี่คน เพราะทองธรรมชาติส่วนใหญ่ต้องเป็นของส่วนรวม

แหล่งโบราณที่เราพบกันอยู่เป็นประจำ ๆ ก็ทองบางสะพานที่ประจวบคีรีขันธ์ แล้วก็เหมืองทองโต๊ะโมะที่นราธิวาส แต่ว่าปัจจุบันนี้เขาก็เจอกันเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นเพชรบูรณ์ แพร่ ฯลฯ"

เถรี 12-06-2016 15:01

ถาม : จะไปร่อนทองที่บางสะพาน ควรจะจุดธูปไหมครับ ?
ตอบ : ควรจะทำเลย ถ้ามีเครื่องบวงสรวงได้ยิ่งดี ไม่ต้องมากหรอก ส่วนใหญ่สมัยก่อนเขาก็ใช้แค่มาลัยพวงเล็ก ๆ กุ้งพล่า ปลายำ ฯลฯ มีเหล้าเสียหน่อยหนึ่ง แต่เหล้าไม่ควรมี ถ้ามีแล้วครั้งต่อไปไม่มีจะลำบาก

เถรี 12-06-2016 15:09

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาทิตย์ก่อนเมื่อวันที่ ๓๑ มีโยมถวายล็อตเตอรี่มาปึกเบ้อเริ่ม ก็เลยส่งให้โยมไป บอกว่าไปตรวจให้หน่อย โยมเขาตรวจเสร็จสรรพเรียบร้อยก็โยนลงถังขยะ บอกว่าไม่ถูกเลย ที่ไหนได้...เป็นงวดวันที่ ๑

นึกแล้วก็ขำดี คนตรวจก็พาซื่อ ถึงเวลาเข้า Google ไปหาหวย ไม่ได้ดูว่าเป็นวันที่ ๑๖ ตรวจเสร็จสรรพเรียบร้อย เห็นว่าไม่ถูกก็โยนทิ้งไป ปรากฏว่าวันที่ ๑ อยู่ ๆ ในโทรศัพท์มือถือมีหวยขึ้นมา "อ้าว...หวยเพิ่งออกวันนี้ แล้วที่ตรวจไปเมื่อวานวันอะไรวะ ?" เจอคนไม่เล่นหวยทั้งคู่ ลูกศิษย์ก็ไม่เล่น อาจารย์ก็ไม่เล่น ก็เลยออกมาท่านั้นแหละ

เวลาเดินผ่านแผงขายหวย คนขายก็มักจะชวนซื้อ บอกว่าอาตมาเป็นพระ...ซื้อไม่ได้ เขาก็บอกว่า "พระมาซื้อของผมประจำเลย" อาตมาก็เลยบอกว่า "แต่วัดของอาตมาซื้อไม่ได้ ถ้าซื้อเมื่อไรเจ้าอาวาสไล่ออกจากวัดเลย" เขาก็เลยถามว่าวัดไหน ? บอกว่า "อย่ารู้เลย...เพราะว่าถ้าขืนรู้เดี๋ยวเขาจะรู้ว่าเจ้าอาวาสมาเอง"

เถรี 12-06-2016 15:11

ถาม : พระเล่นหวยผิดศีลไหมคะ ?
ตอบ : จัดเป็นอเนสนา การหาเลี้ยงชีพในทางที่ไม่ชอบ ฝืนทำสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านห้าม ถือว่าไม่เอื้อเฟื้อในพระธรรมวินัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์ คำว่า อเนสนา แปลว่าหาเลี้ยงชีพในทางไม่ชอบ แล้วหาเลี้ยงแบบไหนถึงจะถูกต้อง ?

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบิณฑบาต ปิณฑิยา โลปโภชนัง นิสสายะปัพพัชชา ปัจจัยคือเครื่องอาศัยของบรรพชิต ได้แก่ การบิณฑบาต ตัตถะ เต ยาวะชีวัง อุสสาโห กะระณีโย ขอให้อุตสาหะกระทำกรณียกิจอันนี้ให้เป็นปกติไว้ อะติเรกะลาโภ ของเหลือ คือลาภมากเหลือเฟือนอกจากบิณฑบาต อนุญาตให้ได้ ก็มี สังฆะภัตตัง อุเทสะภัตตัง นิมันตะนัง สะลากะภัตตัง ฯลฯ

สังฆะภัต คืออาหารของสงฆ์ อุเทสะภัต คือของที่เขาเจาะจง อาหารที่เจาะจง นิมันตะนัง อาหารในที่นิมนต์ สะลากะภัต สลากภัตที่เขาจับสลากว่าใครควรจะได้ ปักขิกัง อุโปสะถิกัง ปาฏิปะทิกัง อาหารที่เขาถวายตามปักษ์ก็คือ ๑๕ วันครั้งหนึ่ง อาหารที่เขาถวายในวันอุโบสถ ก็คือวันที่พระลงปาฏิโมกข์ ทั้งหลายเหล่านี้สามารถรับได้ เกินจากนั้นหมดสิทธิ์ เพราะฉะนั้น...อะไรที่เกินจากบิณฑบาต ถือว่าเป็นการหาเลี้ยงชีพในทางไม่ชอบ

เถรี 12-06-2016 15:17

ถาม : ในพระวินัยเขาบอกว่า การให้ไม้ไผ่ ให้ใบไม้ ให้ดอกไม้ เป็นอเนสนา ?
ตอบ : ก็เท่ากับเอาของไปให้ญาติโยมเขา ก็เหมือนกับไปประจบเขาด้วยการเอาข้าวเอาของอะไรไปให้ สมัยนี้มีนะ...เยอะด้วย ถึงเวลาตรุษจีนปีใหม่มีของขวัญให้โยมพวกบรรดาขาใหญ่ประจำวัด

พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า กุละทูสะโก อยู่ในลักษณะของการประทุษร้ายตระกูล ก็คือทำให้ตระกูลของพระพุทธเจ้าคือหมู่สงฆ์เสื่อมเสีย

เถรี 12-06-2016 16:32

ถาม : คนธรรพ์เป็นพวกไหนครับ ?
ตอบ :เทวดาชั้นต่ำ ส่วนใหญ่แล้วอาศัยอยู่ตีนเขาพระสุเมรุ มักจะมายุ่งกับชาวบ้านเขาอยู่เรื่อย บางทีเกิดชอบลูกสาวชาวบ้านก็อุ้มไปเฉยเลย

ถาม : เป็นเทวดายุ่งกับมนุษย์ได้ด้วยหรือครับ ?
ตอบ : ก็จะยุ่งเสียอย่าง เจ้าพวกนี้ถ้ามักกะลีผลออกลูก ก็ไปไล่ตีไล่ชิงกัน ส่วนใหญ่แล้วส่วนหนึ่งก็เป็นมนุษย์ที่ได้อภิญญาโลกีย์ อีกส่วนหนึ่งก็คือเป็นเทวดาชั้นต่ำ เกิดกิเลสอยากได้มักกะลีผลเหมือน ๆ กัน ก็เลยกลายเป็นคู่ศึก ตีกันเองไปโดยปริยาย

เถรี 13-06-2016 19:12

ถาม : กรณีที่มีการปฏิสนธิแบบไม่ธรรมชาติ คือเกิดจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบบเด็กหลอดแก้ว ทันทีที่ปฏิสนธิ ดวงจิตก็เข้ามาจับได้เหมือนกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ได้

ถาม : ก็แสดงว่าคนที่เขาไปทำเด็กหลอดแก้ว ก็มีโอกาสที่จะทำปาณาติบาตไปได้โดยไม่ตั้งใจเหมือนกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : การปฏิสนธิมีเร็วมีช้า สภาพการปฏิสนธิตามแบบวิทยาศาสตร์ เป็นแค่เชื้อของพ่อผสมกับไข่ของแม่เท่านั้น ส่วนสภาพจิตที่เข้าไปจับนั้นช้าเร็วต่างกัน ถ้าเราไม่รู้รายละเอียดตรงนี้ แล้วถึงเวลาอาจจะประเภทฆ่าทิ้ง คัดทิ้ง ก็มีสิทธิ์ที่จะปาณาติบาตได้ ยกเว้นเรามั่นใจว่าไอ้นี่ยังไม่ลงมาหรอก ก็เขี่ยทิ้งไปได้เลย

เถรี 13-06-2016 20:25

ถาม : เป็นได้หรือคะ ? หนูเห็นตัวเองข้างใน กับตัวข้างนอกมันแยกกัน ตัวข้างนอกเหมือนไม่ยอมรับรู้ในความเป็นจริง ก็เลยมีพฤติกรรมขัดแย้งค่ะ ขัดแย้งในตัวเอง พอภาวนาเข้ามาก ๆ แล้วก็เห็นว่าหนูพยายามปิดบังตัวเองไม่ให้ไปรู้ในสิ่งที่หนูตั้งใจไว้ค่ะ ?
ตอบ : แล้วทำไมโง่ขนาดนั้น ?

ถาม : เหมือนอะไรหลาย ๆ อย่าง พยายามให้หนูยอมรับว่าหนูปรารถนาภพชาติค่ะ แต่หนูรู้สึกว่าทุกข์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่หนูจะอยากได้ อดทนได้ ทำได้ จะพิสูจน์ตัวเองได้ดีขนาดนั้นเลย ?
ตอบ : การที่ได้รู้เห็นอะไรตามความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ยากที่สุด ไม่รู้ว่ากี่ชาติกี่ภพเราจะรู้เห็นได้ ในเมื่อสามารถรู้เห็นได้แล้ว กลับพยายามไม่คิดที่จะรู้เห็น ถือว่าทำอะไรไม่ฉลาด

ถาม : หนูรู้สึกหมดความรู้สึกที่จะไปรับรู้เรื่องคนอื่น ทั้ง ๆ ที่หนูมีตัวสาระแนเยอะมากค่ะ ?
ตอบ : เรื่องของคนอื่นไม่ต้องไปใส่ใจ ดูแต่ตัวเราเอง ดูเฉพาะความดีความชั่วของเรา ถ้ามีความชั่วอยู่ก็ไล่ออกไป แล้วระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก ถ้าไม่มีความดีก็สร้างขึ้นมา ถ้ามีแล้วก็ทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ถาม : เอาแค่รู้เฉย ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : รับรู้แล้วอย่าคิด แก้ไขไปตามเหตุการณ์เฉพาะหน้า

เถรี 13-06-2016 22:34

ถาม : ตั้งแต่เขาไปปฏิบัติธรรมมา จะมีลักษณะอาการร้องไห้ บางคนบอกว่าปีติ บอกคนบอกว่ามีองค์มีเจ้า ?
ตอบ : ไม่มีอะไรให้ทุกข์ใจ แค่ปล่อยให้ร้องไปทีเดียวให้เต็มที่ก็จบ เพียงแต่เวลาเขาร้องขึ้นมาอย่าไปขวางก็พอ

ถาม : ไม่มีอันตรายใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไร อารมณ์ของการปฏิบัติเหมือนกับสิ่งที่คุ้นเคยกลับมา ทำให้เกิดปีติน้ำตาไหล คราวนี้ถ้าเรามัวแต่ไปอายคน มัวไปห้ามอยู่ก็ไม่ผ่านสักที ต้องปล่อยให้เต็มที่ทีเดียวถึงจะจบ

เถรี 13-06-2016 22:50

ยายหนู...ถ้าจะร้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย อย่าไปห้าม ถ้าหากว่าเราไม่ปล่อยให้เต็มที่ ก้าวผ่านไม่ได้ สมาธิถึงจุดนั้นเมื่อไรเราก็จะเป็นอีก ไม่ว่าจะได้ยินเรื่องคนอื่นทำความดี ได้เห็นคนอื่นทำความดี หรือตัวเองทำความดี ก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเราปล่อยจนข้ามไปทีเดียวเลย ร้องให้ข้ามวันข้ามคืนไปเลย ก็จะเลิกไปเอง

หลวงพ่อเองร้องตั้งแต่เช้าจนบ่ายสามโมง เช็ดหน้าจนหมดกระดาษทิชชู่ไปเป็นกล่อง แต่ถ้าเรามัวแต่ไปกลัวอายคน แล้วไปห้ามเอาไว้ ถึงเวลาพอกำลังใจถึงตรงจุดนั้นก็จะเป็นอีก ภาษาบาลีเขาเรียกว่า ปีติ

ถ้าถามว่าปีติทำไมมีอาการแปลก ๆ อย่างนี้ ? ในอรรถกถาท่านเปรียบเทียบไว้ว่า เหมือนกับพ่อแม่ ถึงเวลาก็สั่งลูกว่า "อยู่บ้านนะลูก แม่จะไปตลาด" แล้วก็หายไปเป็นวัน ตอนเย็นกลับมา ลูกเห็นแม่ก็ดีอกดีใจกระโดดโลดเต้น พ่อมาแล้ว แม่มาแล้ว บางทีก็ร้องไห้โฮเลย

กำลังใจของเราก็เหมือนกัน เคยอยู่กับความสงบมาก่อน พอมาฟุ้งซ่านอาจจะหลายปี หรืออาจจะหลายชาติ เวลากลับไปสู่ความสงบเหมือนเดิม ก็เหมือนกับเด็กที่โดนพ่อแม่ทิ้งมานาน ถึงเวลาเจอพ่อแม่ก็นั่งร้องไห้ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติของนักปฏิบัติ บางคนก็ดิ้นตึงตังโครมครามเหมือนอย่างกับผีเข้า
เจ้าสิง แต่ความจริงไม่ใช่ เป็นอาการแสดงออกธรรมดา

เด็กบางคนเจอหน้าพ่อแม่ก็กระโดดโลดเต้นปีนยันหัวเลย ก็คือแบบนั้น เรื่องพวกนี้ต้องปล่อยให้ปีติไปจนหมดกำลังไปเอง แล้วจะก้าวขึ้นไปสู่สมาธิขั้นสูงกว่า ถึงเวลานั้นกำลังใจเราจะสงบแนบแน่นกว่านั้นอีกเยอะ ตอนนี้ไม่ต้องไปกังวลหรอก ถึงเวลาสมาธิทรงตัว อยากเป็นก็ปล่อยให้เป็น ปิดประตูห้องร้องไห้ให้สะใจ ถึงเวลาก็จะก้าวข้ามไปได้เอง

เถรี 14-06-2016 12:20

ถาม : ถ้ามีคนสาปแช่งเรา การที่เราต้องรับผลกรรมจากการสาปแช่งเรา เป็นเพราะ ?
ตอบ : อันนั้นเขาไม่เรียกว่ากรรมของเรา การสาปแช่งจะมีผลก็ต่อเมื่อผู้ที่ทำนั้น มีกำลังความดีสูง หรือกำลังสมาธิสูง ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไป ปล่อยให้เขาแช่งให้เหนื่อยตายห่...ไปเลย ดูสิว่าจะทำแล้วจะมีผลไหม ?

ที่มีผลเพราะว่าเราไปเก็บมาคิด เก็บมากังวลใจ กลายเป็นตัวเราแช่งตัวเราเอง ที่ภาษาบาลีว่า มโนมยา สำเร็จด้วยใจ เราไปคิดเองว่า เขาว่าเราว่าต้องให้เป็นอย่างนั้น ต้องให้เป็นอย่างนี้ ไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ท้ายสุดกลายเป็นตัวเราทำร้ายตัวเราเอง เพราะฉะนั้น...เรื่องของคำสาปแช่งต่าง ๆ ไม่ต้องเสียเวลาไปเก็บมาคิด ตั้งใจภาวนานึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เข้าไว้


ถาม : แม้เราไม่ได้ทำอะไร แต่ก็ทำให้เขาต้องขุ่นเศร้าหมองใจ ?
ตอบ : เกิดมามีใครไม่กระทบกระทั่งกับคนอื่นบ้าง อยู่เฉย ๆ เขายังอิจฉาว่าเราสวยกว่า...จบเลย ดูอย่างอาจารย์โอ๋ อยู่เฉย ๆ คนก็อิจฉา เพราะสวยเกินหน้าเกินตาเขา เกิดมาจะไม่กระทบกระทั่งกับใครเลย เป็นไปได้ที่ไหน

เถรี 14-06-2016 12:37

ถาม : ไม่กล้าถามค่ะ ?
ตอบ : ไม่กล้าถามก็กลับไปนั่งที่เดิม เกิดมาไม่กล้าถามจะไปทำอะไรกิน...!

ถาม : ถวายสังฆทานไปแล้ว มีวิญญาณมาตามค่ะ ?
ตอบ : คนเรามีคนตามรักษาเป็นปกติ แล้วอีกอย่างหนึ่ง บรรดาผี บรรดาเทวดาต่าง ๆ มีอยู่รอบตัวของเรา มีโอกาสเห็นเขาถือว่าโชคดีแล้ว

ถาม : เขาจะทำอะไรไหมคะ ?
ตอบ : ต้องถามว่าตั้งแต่เห็นมา เขาทำอะไรเราหรือยัง ? แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปทุกวัน ๆ ส่วนใหญ่พวกเรากลัวจนเกินเหตุ ถ้าเห็นอย่างอาตมาก็คงจะช็อกตายไปแล้ว เหมือนอย่างกับคนเห็นมากจนเลิกกลัวไปเอง

เอาเป็นว่า ถ้าเราสามารถทำใจได้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเหนือกว่าคุณพระรัตนตรัย แล้วยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง ต่อให้โคตรผีก็ทำอะไรไม่ได้...! เรื่องของผีเรื่องของเทวดา เขามีกฎของภพภูมิคอยขวางอยู่ ไม่ใช่ว่าเขาจะมากลั่นมาแกล้ง มาทำอะไรเราได้ง่าย ๆ ใครอยากซวยก็ลองทำดูเถอะ

หรือไม่ก็หัดสวดภาวนาคาถาภาณยักษ์ไปเรื่อย ๆ ตัวไหนอยากลองดีให้มาลอง ดูว่าเจ้านายท่านจะเฉ่งไหม ? เพราะคาถาภาณยักษ์เป็นคาถาที่ท้าวเวสสุวรรณท่านมอบให้กับพระ ถ้าหากว่าใครสวดคาถานี้แล้วผีหรือเทวดายังกลั่นแกล้ง ท่านถือว่าตั้งใจขบถต่อท้าวมหาราช เท่ากับหาเรื่องซวย..!

วัดท่าขนุนเขาสวดกันทุกวันแหละ ขึ้นด้วย นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปปันนานัง มะเหสินัง ฯลฯ


ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถามเขาสิ ตัวเองเจอแต่มาถามคนไม่เจอ ถ้าหากว่าพูดตรง ๆ ไม่รู้เรื่องก็ส่งไลน์ไปถาม...!

เถรี 14-06-2016 12:47

ถาม : ที่ทำงาน ลูกน้องไม่ค่อยเชื่อฟัง ?
ตอบ : มี ๒ อย่าง อย่างที่หนึ่งสั่งแล้วไม่ฟัง ถือว่าขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา ถ้าหากว่ามีอำนาจอะไรอยู่ในมือก็เฉ่งให้ขี้เยี่ยวราดไปเลย หลังจากนั้นที่เหลือจะเชื่อหมด อย่างที่สองก็คือ ทำตัวเป็นเจ้านายที่ดี ลูกน้องว่าอะไรก็รับ "เจ้าค่ะ"ิ ...จบ

ถาม : กลัวว่าถ้าทำอะไรไปแล้วเขาจะแค้น ?
ตอบ : แล้วไปกลัวอะไรกับเขาแค้น ทีเขาทำเราเขาไม่กลัวเราแค้น คนเราในโลกปกติแล้วไม่กลัวคนดี กลัวแต่คนที่ชั่วกว่า ฉะนั้น...ปากไม่แหลม เขี้ยวไม่คม คิดไปรับราชการก็ต้องเดือดร้อนเอง

ถาม :ใช้มาตรการเด็ดขาด ?
ตอบ :ไม่ต้องใช้มาตรการเด็ดขาดหรอก ทำให้เขารู้ว่าเราเป็นเจ้านายที่แหย่ไม่ได้ก็พอ

ถาม : แต่ก็ควรอุเบกขาบ้าง ?
ตอบ : อุเบกขาบ้าง อย่าเอาแต่เมตตา ก็บอกแล้วว่าคนเราไม่กลัวคนดี กลัวแต่คนที่ชั่วกว่า มัวแต่ไปแผ่เมตตาอยู่ได้ ต้องรังสีอำมหิตบ้าง เดินเข้าไปทีหนึ่งแล้วทำให้เขารู้สึกเหมือนกับเข้าไปแดนประหารอย่างนั้นแหละ หลังจากนั้นก็จะเลิกซ่ากับเราไปเอง ตกลงจะมีใครจะเอาไปใช้บ้างไหม ? อุเบกขาไม่ได้แปลว่าปล่อยวาง ตรงนี้ต้องแปลว่าข้าเลิกเมตตาไปแล้ว กลับไปที่นั่งเถอะ แนะนำไปก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว

เรื่องของทางโลกกับทางธรรมความจริงไปด้วยกันได้ แต่ว่าพวกเราส่วนใหญ่แล้วเอาไปใช้ไม่ถูกกาลเทศะ ไม่ใช่ถึงเวลาก็จะเอาแต่เมตตา ๆ หลวงพ่อวัดเจดีย์หลวงท่านยังบอกว่า ถ้าเมตตาเกินประมาณ ก็จะเจอแต่คนพาลทั้งเมือง เพราะฉะนั้น...หัดใช้อุเบกขาเสียบ้าง เวลาทำดีมีรางวัล ถ้าทำไม่ดีก็ต้องลงโทษ ไม่ใช่อะไร ๆ ก็ทน แล้วเจ้านายก็ประสาทกินเสียเอง คนเป็นลูกน้องก็ไม่ใช่อะไร ๆ ก็เอาแต่จะทน หัดอาละวาดใส่เจ้านายเสียบ้าง..!

เถรี 14-06-2016 12:56

อาตมาสมัยรับราชการอยู่ อาละวาดใส่เจ้านายประจำ แต่ได้ ๒ ขั้นทุกปี จนกระทั่งถึงปีที่ ๔ เขาเอาระเบียบมากาง บอกว่าได้ไม่เกิน ๓ ปีติดกัน ปีนี้ต้องเว้น ก็บอกกับเจ้านายไปว่า ถ้าระเบียบว่าไว้อย่างนั้นไม่เป็นไร แต่ถ้าผมไม่ได้แล้วคนอื่นได้...เป็นเรื่อง...! ก็ทั้งหน่วยงานไม่มีใครทำงานได้เกินกว่าเรา ในเมื่อความสามารถตูขนาดนี้ แล้วคนอื่นได้แต่ตูไม่ได้ ก็เป็นเรื่อง..!

เจ้านายท่านบอกว่า “มึงรู้ไหม ? กูเกลียดขี้หน้ามึงฉิบหา..เลย..!” อาตมาก็บอกว่า “ผมก็ไม่ได้รักท่านเท่าไรหรอกครับ” ถึงบอกว่าถ้าจะอยู่ในวงการต้องปากแหลมเขี้ยวคมพอ แต่เพื่อนเขาเบื่อ เพราะจะเป็นตำบลกระสุนตกแล้วเขาอยู่ข้างเคียง ก็ซวยไปด้วย เพื่อนบอกว่า "อะไร ๆ มึงก็เก่ง...กูไม่เถียงหรอก แต่มึงรู้แล้วทำไมต้องพูดด้วยวะ ?" รู้แล้วไม่พูดนี่บางทีทำส่วนรวมเสียหายเยอะ ก็จำเป็นต้องพูด ให้เขารู้ว่าเรารู้ทัน เพราะฉะนั้น...เอาเสียหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับผลกระทบไปด้วย

ถ้าเป็นลูกน้องก็จงเป็นลูกน้องที่เจ้านายเกรงใจ จะเป็นเจ้านายก็ให้เป็นเจ้านายที่ลูกน้องกลัว แล้วชีวิตนี้จะง่ายขึ้นอีกเยอะ เขาจะว่าเราจู้จี้ขี้บ่นอย่างไรก็ว่าไป แต่ถึงเวลางานต้องเสร็จ ถ้างานไม่เสร็จเอ็งก็เสร็จ ไม่ใช่พอลูกน้องว่าเราจู้จี้ขี้บ่นแล้วเราก็เอามาคิดเสีย ๓ วัน ๓ คืน ลูกน้องพูดเสร็จสะบัดตูดไป แล้วเขาก็ไม่ได้คิดสักนิดเดียว เราก็มานั่งหน้าเหี่ยวหัวหงอกเอง

ถ้าอยู่บริษัทเอกชนก็แค่บอกว่า ถ้าทำอย่างนี้อีก อย่าคิดเลยว่าสิ้นปีจะได้โบนัส เดี๋ยวเขาก็ไปคิดหัวหงอกกันเองแหละ ถ้ารับราชการก็บอกกับเขาว่า ถ้ามีฝีมือแค่นี้ ปีนี้ก็เอาไปครึ่งขั้นก็แล้วกัน แต่ถ้ายังรักษาฝีมือในระดับนี้ ต่อไปครึ่งขั้นก็อาจจะไม่ได้ด้วย

จริง ๆ จะว่าไปแล้ว เรื่องสงครามประสาทนี่สนุก แต่คิดดูก็เป็นเวรเป็นกรรมเหมือนกัน ถ้ารักที่จะทำก็เก็บเอาเรื่องศีลธรรมใส่กระเป๋าสักพัก กลับบ้านแล้วค่อยมาตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรมกันใหม่ อยู่ที่ทำงานให้งับหัวทุกคนที่ยื่นเข้ามาใกล้..!

เถรี 14-06-2016 19:08

ถาม : ทำไมถึงเรียกคนที่ผ่านการบวชมาแล้วว่าทิดคะ ?
ตอบ : “ทิด” มาจากคำว่า บัณฑิต แปลว่า ผู้ได้รับการศึกษาแล้ว แต่คราวนี้คนไทยเราอ่าน ฑิต ว่า ทิด ก็เลยเรียกสั้น ๆ ว่าทิดมาตลอด

เถรี 14-06-2016 19:10

มีโยมมาขอให้บังสุกุลเพื่อสะเดาะเคราะห์ พระอาจารย์กล่าวว่า “ถ้ากลัวก็เร่ง ศีล สมาธิ ปัญญา ไว้ เคราะห์ที่ไหนจะตามทัน”

เถรี 14-06-2016 19:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครใช้สบู่สมุนไพรเปลือกมังคุดระวังคนใช้จะดำไม่รู้ตัว สบู่สมุนไพรเปลือกมังคุดใช้แล้วผิวอาจจะดีขึ้น แต่จะคล้ำไปเรื่อย ๆ น่าจะเป็นสารทนนินไปจับผิว แต่ก็แปลก...เพราะว่าสมัยเด็ก ๆ ก็เห็นอากงใช้น้ำชาล้างตัว แกใช้ผ้าประเจียด ก็คือ ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำชาเช็ดตัว ไม่เห็นจะอาบน้ำสักเท่าไเลย ใบชามีทนนินเหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นว่าแกจะดำ เป็นคนแก่ที่ผิวผ่องเลยแต่ทำไมทนนินของมงคุดถึงได้จับผิวก็ไม่รู้ ?

เห็นคนแก่ ๆ สมัยก่อนเขาใช้อย่างนั้นแหละ ไม่ค่อยที่จะอาบน้ำอาบท่าหรอก ไม่รู้ว่าเมืองจีนหาน้ำยากหรืออย่างไร อย่างดีก็แค่ล้างหน้าเช็ดตัวเท่านั้นเอง ถ้าอาบน้ำก็ต้องน้ำอุ่นค่อข้างร้อนเลย ฉะนั้น...ต้องลองล้างหน้าด้วยชาดูบ้าง ถ้าไปเจอชาอู่หลงก้านอ่อนขีดละ ๒๔๐ บาท เอามาล้างหน้านี่ก็คงไม่ไหวหรอก"

เถรี 14-06-2016 19:17

ถาม : ขอวิธีฝึกเจโตปริยญาณ เพื่ออ่านใจคนครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจเขา ดูของเราเอาไว้ การไปรู้ใจคนอื่นประโยชน์มีน้อย ต้องดูใจของเราว่ามีความดีความชั่วอยู่หรือเปล่า ถ้ามีความชั่วอยู่ก็ไล่ออกไป ระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก ถ้าไม่มีความดีก็ทำให้มีขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป

ถ้าเราตามกำลังใจตัวเองทัน ก็จะรู้ใจคนอื่นที่อยู่ในระดับเท่ากันได้ ฉะนั้น...ของพวกนี้เป็นของแถม ถ้าหากว่าทำได้ ถึงเวลาก็จะแถมมาเอง ไม่ต้องเสียเวลาไปฝึก ซื้อรถไม่มีล้อแล้วจะไปขับได้อย่างไร ? ซื้อรถเขาก็ต้องแถมล้อมาด้วย

เถรี 14-06-2016 19:20

มีโยมพาลูกมาขอพรให้สอบได้ พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของการสอบ ตั้งแต่เด็กมาแล้ว สอบเสร็จอาตมาก็รู้ว่าจะได้หรือไม่ได้ ไม่เคยต้องลุ้นเลย มีอยู่อย่างเดียวก็คือลุ้นว่าจะได้ที่ ๑ หรือเปล่า ? ก็เลยไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเราต้องลุ้นกันขนาดนั้น

ถ้าตราบใดที่เรายังไปตั้งความหวังอยู่กับสิ่งภายนอก เท่ากับขาดความมั่นใจในตัวเอง คนขาดความมั่นใจในตัวเอง ไปทำเรื่องอะไรก็ไม่มีความมั่นใจหรอก ถ้าหากว่าเราทำโดยไม่มีความมั่นใจ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ยาก เพราะต้องรอลุ้นไปทุกเรื่อง พยายามไปปรับเปลี่ยนตัวเองและวิธีการใหม่

ช่วงอายุวัยรุ่นเป็นช่วงที่เขาสนใจเพศตรงข้ามกัน ถ้าเรามาเร่งตัวเองตอนนี้ก็แซงเพื่อนไปเองแหละ”

เถรี 15-06-2016 15:23

พระอาจารย์กล่าวกับแม่ของเด็กว่า "โตขึ้นต้องสอนลูกให้เข้าสังคมบ้างนะ โหวงเฮ้งเขาซื่อเกิน จะโดนเพื่อนหลอกได้ง่าย

คนตรงบางทีก็เท่ากับโง่ ตรงไปตรงมาเลี้ยวไม่เป็น เป็นคนซื่อคนตรง เป็นคนดี แต่ว่าในโลกยุคนี้อยู่ไม่ได้ โลกยุคคนกินคนอยู่ไม่ได้หรอก ขนาดเรื่องในวัดธรรมกายจัดการง่าย ๆ เขายังไม่จัดการเลย เขาพยายามทำให้เรื่องใหญ่เข้าไว้เพื่อตั้งใจทำลายพระพุทธศาสนา"

เถรี 15-06-2016 15:33

"ตามที่ฟังพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ท่านบอกว่าเรื่องแบบนี้เขาไม่รับทราบข้อหา เราก็ดำเนินคดีได้ แล้วทำไมไม่ทำ ? ขณะเดียวกันธรรมกายก็บอกว่าเขาไม่ได้ไปไหน ถ้าจะแจ้งข้อหา เขาอยู่ในวัดก็เข้าไปแจ้งก็จบ แต่เขาไม่ทำ กลับทำเรื่องให้ใหญ่

ถ้าเราดูสถานการณ์ปัจจุบันก็คือในหลวงของเราแย่แล้ว ประชาชนขาดที่พึ่ง เหลือแต่สถาบันศาสนา ถ้าเขากระทุ้งพังอีกหนึ่งสถาบัน ก็เป็นอันว่าประเทศเราล่มสลายแน่นอน ก็เลยพยายามทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ เป็นแผนการที่โหดมาก

เรื่องของธรรมกายทำผิดก็คือผิด ก็ว่ากันไปตามผิดตามถูก แต่กลายเป็นดึงไปโยงเรื่องโน้น ดึงไปโยงเรื่องนี้ โดยเฉพาะดึงไปโยงกับหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ ในเรื่องการปกครองคณะสงฆ์ ถ้าเรื่องเกิดขึ้นในวัดต้องแจ้งเจ้าคณะตำบล ถ้าเจ้าคณะตำบลเห็นว่าเหลือบ่ากว่าแรงก็แจ้งเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะอำเภอไม่ไหวก็แจ้งเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดไม่ไหวก็แจ้งเจ้าคณะภาค เจ้าคณะภาคไม่ไหวก็แจ้งเจ้าคณะใหญ่ เป็นไปตามลำดับ ถ้าโดดข้ามลำดับแล้วเขาจะทำงานกันอย่างไร ? แต่เขาโดดไปทีเดียวที่หลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำเลย

ถามว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำจะไปยุ่งอะไรกับเขาด้วย เพราะว่าผิดขั้นตอน ท่านที่รู้ขั้นตอนอยู่ ท่านก็ไม่ทำอยู่แล้ว ก็ไปโยงเรื่องว่าท่านปัดเรื่องเพราะเป็นพวกเดียวกัน ถ้าหากจะโยงเรื่องว่าเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่าน พระอุปัชฌาย์มีหน้าที่ดูแลพระภิกษุใหม่อยู่ ๕ ปี พ้นจาก ๕ ปี ได้นิสัยมุตตกะ ไม่อยู่ในการปกครองของพระอุปัชฌาย์อาจารย์แล้ว แล้วท่านธัมมชโยไม่ใช่แค่ ๕ ปี แต่ ๕๐ ปีแล้ว พูดง่าย ๆ ว่าถ้าไม่เกรงใจว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ยังอยู่ ท่านจะไม่เห็นหัวเลยก็ยังไหว คราวนี้คนที่ทำไม่ใช่ไม่รู้เรื่อง ถึงได้บอกว่าเขาแกล้งโง่ พยายามที่จะโยงเรื่องเพื่อก่อประโยชน์ให้ตัวเองมากที่สุด โดยที่ไม่ได้สนใจว่าพระพุทธศาสนาจะบอบช้ำขนาดไหน คนประเภทนี้ต้องบอกว่าชั่วถึงขนาด...!"

เถรี 15-06-2016 15:35

"เท่าที่ผ่านมาเขาก็ส่งทหารเป็นหมวดไปคุมวัดท่าขนุนอยู่แล้ว พูดซ้ำแบบนี้อีกเดี๋ยวส่งมาอีกเป็นกองร้อย แต่เขาก็น่ารักนะ เขาบอกว่า "สารภาพตามตรงเลยนะครับ ผมมาจาก คสช." อาตมาเลยคิดอยู่ในใจว่า "ถ้าเอ็งไม่สารภาพ ข้าจะให้ไปนอนกลางป่า ดีที่สารภาพก็เลยมีศาลาให้นอน" สรุปแล้วเขาต้องอยู่อย่างน้อย ๒ ปี"

ถาม : เป็นบุญของเขานะคะ ?
ตอบ : อาจจะเป็นกรรมของเขาก็ได้ ...(หัวเราะ)...

เถรี 15-06-2016 15:42

พระอาจารย์กล่าวว่า "วัดของอาตมาเล็กกว่าวัดท่าซุงหลายเท่า แต่ละเดือนเฉพาะเรื่องการส่งพระเรียน อาตมาจ่ายแสนกว่าบาท เดือนไหนค่าเทอมออกก็ประมาณ ๘ แสนกว่าบาท นี่แค่เรื่องเรียนเรื่องเดียวนะ เรื่องการก่อสร้างอีก เดือนหนึ่งหลายล้าน ฉะนั้น...ถ้าโยมสงสัยว่าเงินไปไหนหมด ก็ควรที่จะต้องสงสัยว่าเงินมาจากไหนมากกว่า"

เถรี 15-06-2016 15:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วเรื่องของสังฆทาน หลวงพ่อท่านบอกว่า บางทีคนเขาหอบหิ้วจากบ้านมาลำบาก ด้วยจำนวนเงินเดียวกันไม่สามารถที่จะซื้อของแบบนั้นมาได้ แต่หลายคนก็อยากที่จะถวายให้เต็มกำลังใจของตัวเอง อาตมาก็เลยจัดเตรียมไว้ให้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้โยม"

เถรี 15-06-2016 15:56

ถาม : ปฏิบัติไม่ได้เลยค่ะ ไม่รู้จะแก้อย่างไร ?
ตอบ : ปฏิบัติเหมือนเดิม เพียงแต่อย่าอยาก เราไปทำเพราะอยากที่จะให้เหมือนเดิม ตัวอยากเป็นตัวฟุ้งซ่าน

ถาม : ก็พยายามค่ะ ?
ตอบ : อยู่แค่นี้ อยู่แค่ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องไปสนใจเรื่องอื่นเลย อยู่กับลมหายใจแค่นี้ คิดถึงเรื่องอื่นเมื่อไรให้ดึงกลับมาตรงนี้ ตอนนี้กำลังเรายังน้อยกว่า เพราะว่าเราไปปล่อยทิ้งไปเสียนาน คนที่ไหลตามน้ำไปไกล กว่าจะว่ายน้ำกลับมาให้ได้เท่าเดิมก็ยาก ฉะนั้น...ตอนนี้อยู่แค่นี้เท่านั้น อยู่กับลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่นเลย คิดเรื่องอื่นเมื่อไรให้รีบดึงกลับมาตรงนี้ พอกำลังมีมากขึ้น ต่อไปเราจะทำทุกอย่างได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้นเราจะได้บทเรียนว่าอย่าไปทิ้งอีก

เถรี 15-06-2016 16:05

ถาม : นั่งปฏิบัติแล้วสะอึก เป็นชั่วโมงเลยค่ะ ?
ตอบ : แสดงว่าถ้าโยมตั้งใจทำแล้วจะได้ผลดี เขาก็เลยมาขวาง โบราณเรียกว่าขันธมาร คือร่างกายมาขวาง เราต้องตัดใจให้ได้ ตอนที่เราสมาทานกรรมฐานว่าเรามอบกายถวายชีวิต ถ้าแค่สะอึกนิดหน่อยแล้วเราไปกลัวตาย เลิกปฏิบัติ หรือไปหงุดหงิด ก็แปลว่าไม่ได้มอบกายถวายชีวิตจริง ๆ

ถาม : แก้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปแก้ ให้ตั้งใจว่าตายเป็นตาย...ฉันจะปฏิบัติ เราจะทำของเราไปเรื่อย ๆ อยากสะอึกก็สะอึกไป ถ้าเขาเจอคนประเภทนี้เดี๋ยวเขาก็เลิกไปเอง เขาตั้งใจทำให้เราหวั่นไหว จิตใจว้าวุ่นไม่เป็นอันปฏิบัติ ถ้าหากว่าเราปฏิบัติได้ผลเร็วจะโดนขวางทุกคน

ถาม : ก่อนนี้ไม่เห็นเป็นแบบนี้ ?
ตอบ : ก่อนนี้เรายังไม่เอาจริง ตอนนี้พอจะเอาจริงเขาก็ต้องขวาง

เถรี 15-06-2016 16:58

พระอาจารย์กล่าวถึงการเดินทางไปปากีสถานว่า "บ้านเขาแห้งแล้งสุด ๆ บ้านเขามีให้กิน ๓ มื้อก็ดีตายแล้ว นั่งรถคันไหนก็มีตำรวจหรือทหารหน้าตาเหี้ยม ๆ ถืออาวุธสงครามมาคุม ยามโรงแรมยังเล่นอาร์ก้าเลย

วันนั้นเหลือเชื่อจริง ๆ
นั่งรถ ๑๔ ชั่วโมง แล้วหินถล่ม หิมะถล่มตลอดทาง ตอนจะเข้าอุโมงค์ แล้วหินถล่มตึง ๆ ๆ ลงมา ยังดีที่เราตัดสินใจวิ่งฝ่าไป ถ้ารอให้ลงมาจนหมดก่อนคงจะข้ามได้ยาก

ไปที่นั่นแล้วติดใจ อาจเป็นเพราะบ้านเขามัวแต่รบราฆ่าฟันกันอยู่ ธรรมชาติยังสวยมาก ๆ ต้องบอกว่าอยู่บ้านเขาหายใจโล่งปอด กลับบ้านเราหายใจไม่ออกไป ๒ วัน อากาศบ้านเขาเมืองเขาดีจริง ๆ

ชุดของเราเป็นชุดมหัศจรรย์ ไปที่ไหนก็ไปได้หมด ลองนึกดูว่ารถวิ่งขนาดนั้นไม่เสียเลย รถคันอื่นไปเสียอยู่เรื่อย เราวิ่งไป ๘ วัน ๙ วัน แต่ละวันวิ่งทั้งวัน รถไม่เสียเลย ต้องบอกว่าอะไรจะสงเคราะห์กันปานนั้น โดยเฉพาะหิมะหน้าร้อน ประทับใจสุด ๆ บางทีกลับมาเขียนว่ามีท่านนั้นสงเคราะห์ ท่านนี้สงเคราะห์ พวกเราไปดันไปกวนท่านอีก เล่นเอาท่านมาต่อว่า ...(หัวเราะ)..."

เถรี 15-06-2016 21:18

"เสียดายรูปที่เมืองชีลาส ถ่ายไปตลอดทาง ๘๐๐ กว่ารูป เผลอไปลบทิ้ง กู้คืนมาได้แค่ ๔๐๐ กว่ารูป หายไปเกินครึ่ง ชีลาสเป็นเมืองที่พวกแขกซุนหนี่ ค่อนข้างจะเข้มงวดและไม่ชอบคนแปลกหน้า เขาห้ามถ่ายรูป อาตมาก็แอบถ่ายไปเรื่อย แล้วเขาก็มักจะมีการประท้วงปิดถนน"

ถาม : ไปปากีสถานรอดมาได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกันว่าเรารอดมาได้อย่างไร ยังบอกกับทางคณะทัวร์ว่าใครอยากดูหิมะ ต้องจ้างอาจารย์เล็กนั่งไปด้วย อาตมาถามว่าอยากเห็นอะไร ในคณะบอกอยากเห็นหิมะหน้าร้อน ได้....จัดให้ พวกยังพูดเล่น ๆ ว่าจะเอาน้ำหวานไปด้วย...ดันลืม ไม่อย่างนั้นจะได้กินน้ำแข็งไสกัน

เถรี 15-06-2016 21:22

ปากีสถานเป็นประเทศเดียวในโลก ที่เปิดให้เรียนวิชานิวเคลียร์ฟิสิกส์ในระดับปริญญาเอก สอนให้ผลิตระเบิดนิวเคลียร์..! เขาบอกว่าเทคนิคพวกนี้ไม่ใช่ของอเมริกา แล้วมาเที่ยวห้ามชาวบ้าน เขาหมั่นไส้เลยเปิดสอนเป็นหลักสูตรทั่วไป ใครมีปัญญาก็สมัครไปเรียน

ถาม : ที่นั่นเป็นอิสลามหรือครับ ?
ตอบ : ๒๕๐ กว่าล้านคนอิสลามล้วน ๆ แต่มีซุนหนี่ มีชีอะห์ มีอิสไมลี่ย์ ขนาดอยู่เมืองหลวงเขาแท้ ๆ เจ้าหน้าที่สนามบินมาถามอาตมาว่า ท่านแต่งตัวแบบนี้ถือศาสนาอะไร ? เขาไม่รู้จักแม้กระทั่งพระ คิดดูว่าขนาดปากทางของประเทศยังไม่รู้จักพระ แล้วที่อื่น ๆ ในประเทศเขาจะรู้จักพระได้อย่างไร ?

เวลาไปเดินในเมืองหลวงเก่าราวัลปินดี มีแต่คนขอถ่ายเซลฟี่ด้วยทุก ๆ นาที เขาสงสัยก็มาถาม บางคนก็พอรู้ว่าเป็นพระ แต่ก็บอกว่าเพิ่งเคยเห็น ที่แน่ ๆ อาตมาก็เกือบจะโดนต้อนเข้าไปห้องผู้หญิงเพื่อค้นตัวแล้ว คนที่นั่นเขาไว้หนวดไว้เคราทุกคน ส่วนอาตมาหน้าเกลี้ยง ๆ แถมจีวรพระยังเหมือนกระโปรงด้วย เขาก็นึกว่าเป็นผู้หญิง

อาตมาบอกแล้วว่าที่ไหนไม่อันตรายก็ไม่อยากไป ไม่สนุก ถ้าอันตรายเยอะ ๆ ถึงจะสนุก..!

เถรี 16-06-2016 22:31

พระอาจารย์กล่าวสอนพระลูกศิษย์ที่ออกไปเป็นเจ้าอาวาสว่า "กรรมฐานนั้นทิ้งไม่ได้ แต่คุณดันบ้า ไปทุ่มทางเดียว ทุ่มข้างนอก แต่ทิ้งข้างในก็เจ๊งสิครับ โบราณท่านบอกว่า บวชทั้งนอกบวชทั้งในนั้นดียิ่ง บวชแต่ในนอกทิ้งท่านไม่ห้าม บวชแต่นอกในงดก็หมดงาม ไม่บวชเลยเลวทรามอย่างแน่นอน

การสร้างศาลา สร้างวิหาร เป็นกุศล แต่เป็นแค่กามาวจรกุศล ไปเกินกว่านั้นไม่ได้ คุณเคยอ่านนอกเหตุเหนือผลของหลวงปู่ดูลย์หรือเปล่า ? ที่โยมบอกว่า หลวงปู่สร้างโบสถ์สร้างศาลาสร้างวิหาร ได้บุญเยอะเหลือเกิน หลวงปู่ท่านบอกว่า ถ้าจะเอาบุญ ใครจะมาเอาบุญอย่างนี้ ? คนที่ไม่รู้จะเข้าใจท่านผิดไปเลย ก็คือบุญอยู่ในระดับทานเท่านั้น ต่อให้เป็นวิหารทานก็แค่ทาน ยังไม่ถึงศีลเลย อย่าไปพูดถึงภาวนา

ฉะนั้น...ในเรื่องของการก่อสร้าง พวกเราทำแค่พอเป็นเหตุเป็นปัจจัยสร้างความเจริญก้าวหน้า เพื่อไม่ให้คนตราหน้าว่าเป็นพระแล้วอยู่เฉย ๆ แต่ก็ไม่ใช่ทุ่มเทไปทั้งชีวิต จนกระทั่งลืมการปฏิบัติของตัวเอง"


ถาม : แต่หลวงพ่อสร้างเยอะแยะเลย ?
ตอบ : นั่นทำเพื่อความเจริญทางศาสนา ทำเพื่อคนอื่นทั้งนั้น ไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย

เถรี 20-06-2016 18:44

ถาม : ผ้าม่านฉากหลังพระสมเด็จองค์ปฐมเป็นสีแดง สวยเด่นมาก ?
ตอบ : สีทองจะต้องส่งด้วยสีแดง ในขณะเดียวกันสีแดงก็จะขับสีทอง โบราณเขาถึงได้บอกว่าปิดทองจะต้องร่องชาด ชาดคือสีแดง เพราะสองสีนี้ส่งกันเองในตัว สีแดงขับเน้นสีทอง สีทองก็ช่วยส่งสีแดง

เถรี 20-06-2016 20:05

พระอาจารย์พูดถึงวัตถุมงคลของหลวงปู่ทองทิพย์ในกระทู้สร้างพระทองคำ "ของแพงแต่ถ้ามีคนรู้จักเขาก็กวาดเหี้ยนเลย คนที่เขารู้จักของ เขารู้ว่าวัตถุมงคลของหลวงปู่ทองทิพย์ในท้องตลาดราคาแพงมาก ไปลงไว้ในเว็บองค์ละหมื่นบาท คนที่ไม่รู้จักก็นึกว่าแพง นั่งมองกันอยู่ พอคนที่รู้จักมาถึงก็กวาดเรียบ"

เถรี 20-06-2016 21:41

ถาม : ตอนนี้มีสภาลูกหนี้ จะมีชาวไร่ชาวนาที่เดือดร้อนจากการมีหนี้ จะทำการบวงสรวงพระสยามเทวาธิราชในวันที่ ๙ ที่จะถึง จะเข้าไปบวงสรวงในวัดพระแก้ว จะขอให้ท่านช่วยบ้าง จะมีอะไรเป็นอุปสรรคไหมคะ ?
ตอบ : ต้องขออนุญาตเขาก่อนกระมัง ? เพราะถ้าไม่ขออนุญาตอาจเป็นปัญหา สถานที่สำคัญขนาดนั้นอยู่ ๆ เราจะได้ตั้งโน่นตั้งนี่ได้อย่างไร ต้องรีบติดต่อขออนุญาตก่อน

ถาม : เข้าไปติดต่อจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากเขาอนุญาตก็ได้

เถรี 20-06-2016 22:59

ถาม : มีพระปฏิบัติรูปหนึ่งทักว่าของหนูจะหายค่ะ หนูควรจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ปล่อยนก นกอะไรก็ได้สักตัวสองตัว จะแก้กรรมเรื่องของหายได้

เถรี 21-06-2016 15:31

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ทำไมความรู้สึกนี้ถึงเกิดขึ้น เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร เกิดขึ้นอย่างไร นึกออกไหม ?

ถาม : ไม่แน่ใจค่ะ เกิดจากการทำสมาธิ หรือเกิดจากความคิดเรา ?
ตอบ : ถ้าเกิดจากการทำสมาธิ แสดงว่าเราวางกำลังใจผิด บุคคลที่ตั้งใจจะไปพระนิพพาน เหมือนกับมีวันนี้วันเดียว ฉะนั้น...ต้องทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพื่อถึงเวลาเราจะได้จากไปอย่างสง่างามที่สุด แหงนหน้าก็ไม่อายฟ้า ก้มหน้าก็ไม่อายดิน ไม่ใช่ไม่อยากทำอะไรเลย หากแต่เวลาเราเหลือน้อยจึงต้องทำทุกอย่างอย่างเต็มสติกำลังของเรา อยู่ก็ให้คนเขาเกรงใจ ไปก็ให้คนเขาคิดถึง

ถาม : คนที่มีความเครียด สามารถทำจิตใจ....(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เกี่ยวกัน ความเครียดเป็นสภาพของร่างกาย การปฏิบัติเป็นสภาพของจิตใจ คนละส่วนกัน ถ้าหากจิตใจผ่อนคลาย ร่างกายก็หายเครียดไปเอง

ถาม : เวลาที่เกิดความเศร้า...(ไม่ชัด)... ?
ตอบ : ไม่ว่าจะคิดเรื่องอะไรก็ตาม ให้กลับมาอยู่กับลมหายใจของเรา ไม่อย่างนั้นแล้วก็มีแต่พาให้ฟุ้งซ่าน ถ้าไม่ยินดีอยากมีอยากได้ ก็จะไปห่วงหาอาลัย หรือไม่ก็โกรธเกลียดไปเลย


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:53


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว