กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=673)

เถรี 13-07-2009 16:57

หลวงพ่อท่านสอนว่า "การบริโภคอาหารต้องรู้จักประมาณ โภชเนมัตตัญญุตา ไม่ใช่โภชเนมัตตัญญุตะกละ..!

เรื่องของการห้ามปากก็คือกำลังใจในการห้ามไม่ให้ละเมิดศีล ถ้าห้ามปากอยู่ ก็มีโอกาสในการรักษาศีลได้ครบถ้วน ถ้าห้ามปากตัวเองไม่อยู่ โอกาสที่จะรักษาศีลให้สมบูรณ์ก็ยาก เพราะว่ากำลังใจยังไม่พอ เดี๋ยวมีโอกาสก็ละเมิดศีลอีก มีทางเดียวคือต้องห้ามปากให้ได้"

เถรี 13-07-2009 17:15

ถาม : สีลัพพตปรามาสคืออะไรคะ ?
ตอบ : สีลัพพตปรามาส คือรักษาศีลไม่จริง เขาแปลว่า ลูบคลำในศีลพรต

ถาม : แล้วสำหรับกรณีคนที่ถือศีลมากกว่าแล้วถือว่าตนเองนั้นดีกว่าคนที่ถือศีลน้อยกว่า
ตอบ : อันนั้นจัดเป็นมานะ

ถาม : เคยอ่านเจอท่านผู้หนึ่งเขาอธิบายความหมายของคำว่า สีลัพพตปรามาสมาแบบนี้
ตอบ : นั่นผิดไปเป็นโยชน์ ส่วนเรื่องของการตีความนั้นขึ้นอยู่กับกำลังใจของแต่ละคน เหมือนโรงมหรสพทางวิญญาณ ที่มีภาพแล้วให้เราตีความ ในเรื่องของการตีความธรรมะ กำลังใจสูงก็ตีความสูง กำลังใจต่ำก็ตีความต่ำ ถามว่าผิดหรือไม่...ไม่ผิด แต่ว่าท่านรู้แค่นั้น ถ้าหากว่าก้าวพ้นไปก็จะมีที่ถูกกว่านั้นอีก

เถรี 13-07-2009 17:35

หลวงพ่อกล่าวว่า "หลายท่านความรู้ทางพุทธศาสนาจำกัดมาก ถ้าเจอลูกศิษย์อย่างคุณเลิศนี่ตายเลย ถ้าแบบนั้นมาแล้วเขาไปคุยด้วยจะเกิดโทษอย่างมหาศาล มันเกิดโทษตรงที่ว่าเขาจะคิดว่านี่หรือพระ พระพุทธศาสนามีแค่นี้หรือ

เพราะฉะนั้นไปถึงระดับนั้นแล้ว ความเป็นเจ้าอาวาสหลักการมันต้องแม่น ทำไม่ได้ไม่ว่า...แต่ต้องบอกให้ได้ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าดีแท้แน่นอน ทำไม่ถูกไม่เป็นไรแต่บอกให้ถูก อย่างน้อย ๆ ก็เป็นอย่างพระสุธรรมเถร ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกใบลานเปล่า อย่างน้อย ๆ บอกถูกลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์เป็นพัน ตัวเราเองทำไม่ได้ไม่เป็นไร แต่หลักการทิ้งไม่ได้ เพราะฉะนั้นทำไม่ได้หลักการจะต้องแม่น อย่างน้อย ๆ ก็เอาไปคุยกับชาวบ้าน


สมัยนี้เขายัดเยียดให้จำ
ยัดเยียดให้จำ เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ได้ความรู้ แต่ว่าในขณะเดียวกันสิ่งที่จำเราสามารถเอาไปแตกกอต่อยอดได้หรือเปล่า ไม่ใช่เขาให้จำเราก็จำอย่างเดียว เดี๋ยวก็ไปกันใหญ่

สมัยผมเรียนทหารเพื่อน ๆ เรียกว่าไอ้รอบโลก เรื่องอะไรคุยได้หมด"

เถรี 13-07-2009 18:48

ถาม : เมื่อก่อนหนูว่ากิเลสตัวราคะมันแรงสำหรับหนู มาเจอตอนนี้โทสะมันก็แรงด้วย
ตอบ : มันแรงทุกตัวเพียงแต่ว่าเราจะเจอตัวไหน

ถาม : มันไม่ถึงกับโกรธ แต่มันก็รู้สึกสะกิดใจ
ตอบ : ให้มันเป็นแค่สะเก็ดไฟก็พอ

ถาม : ค่ะ
ตอบ : อย่าให้มันลุกลาม รีบตัดมันเสียตั้งแต่ต้น ข้างในจะอกแตกตายก็ช่างมัน

ถาม : ลึก ๆ เข้าไปแล้วมันจับไม่ได้ก็ปล่อยออกมา
ตอบ : อ้าว ก็บรรลัย

ถาม : ปล่อยออกมาก็คือ ดูแล้วว่ามันไม่มีอะไร มันจับไม่ได้ ก็เลยไม่ไปใส่ใจมัน
ตอบ : อ่อ มันก็ไม่มีอะไรต้องใส่ใจกับมัน แต่ทีนี้การใส่ใจของเรา บางทีความเคยชินสภาพจิตของเราที่เคยปรุงแต่งมันไปก่อน ในเมื่อมันไปก่อน กว่าเราจะรู้ตัว อ้าว มาตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า แขกไม่ได้รับเชิญ
ต้องสร้างสติให้มันชัด สร้างสติให้รู้เท่าทันมัน ไม่ไปปรุงแต่ง มันก็เกิดไม่ได้ ถ้ารู้ไม่ทันมันก็พาเราไปหลายกิโล


ถาม : สังเกตว่ามันสลับกันมา ถ้าช่วงนี้ราคะมา โทสะก็จะเงียบ ถ้าโทสะมา ราคะก็จะเงียบ มันผลัดเวรกันมา
ตอบ : อย่าตั้งใจ ตั้งใจละตัวไหน ตัวนั้นมาทันที ปล่อยมันตามสภาพ ไม่ยินดีและก็ไม่ยินร้าย มาก็รับรู้ไว้ ไปก็ไม่ดีใจ

ถาม : มันเริ่มเห็นอะไรไปลงที่ไตรลักษณ์ตลอด
ตอบ : นาน ๆ ไปก็จะบ้า คนรอบข้างก็เริ่มมา ปฏิบัติไป ๆ แล้วเขาชมว่าบ้าจงดีใจเถิด เพราะอย่างน้อย ๆ มันได้เห็นหน้าเห็นหลัง

เถรี 13-07-2009 18:56

ถาม : มีคนหนึ่งเขาบอกว่า บางท่านที่อยู่ในระดับอนาคามีมรรค สามารถค้างอยู่ในระดับนั้นเป็นปี ๆ กว่าจะเข้าถึงระดับอนาคามีผลได้ มีด้วยหรือคะ?
ตอบ : ขอยืนยันว่ามี ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งนั้นมันเป็นความฝังใจของเขาหรือเปล่า ถ้ามันเป็นความฝังใจมา ตราบใดที่ไม่ได้รับการตอบสนอง มันก็อยู่ตรงนั้น

เถรี 13-07-2009 20:12

ถาม : ความหมายของคำว่า "เลือดตกยางออก"
ตอบ : เลือดตกยางออก จริง ๆ ก็คือเลือดนั่นแหละ ทีนี้ยางออก ส่วนใหญ่เขาหมายถึงยางไม้ ลักษณะบางคนที่เขาอยู่ยงคงกระพันแต่ก็มีบาดแผลขีดข่วนบ้าง เลือดมันซึมอยู่หน่อย เขาเรียกว่ายางออก

เถรี 13-07-2009 20:31

หลวงพ่อเล็กท่านเล่าว่า "ครูบาเหนือชัยท่านมีลักษณะหลอกคน คำว่าหลอกคน ไม่ใช่ว่าท่านเที่ยวไปหลอกลวงใคร จริง ๆ ก็คือรูปร่างท่านหลอก เราเห็นนึกว่าท่านใหญ่มาก ๆ เลย แต่จริง ๆ แล้วท่านเล็ก

ลองตั้งใจสังเกตดูหรือไปยืนเทียบกัน ถ้าผ่านตาครั้งแรกจะรู้สึกว่าท่านใหญ่มาก ๆ เลย เคยเจอแบบนี้มา ๒-๓ คน แปลกใจ"

ถาม : แล้ว ๒-๓ คนที่ท่านเจอมีใครบ้าง?
ตอบ : บอกไม่ได้ เดี๋ยวเอ็งไปค้น..!

เถรี 14-07-2009 10:11

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "พวกนักค้นคว้าวิจัยต่างพยายามจะยืนยันให้ได้ว่ามนุษย์แต่แรกนั้นมีวิวัฒนาการมาจากพวกลิง จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่"

ถาม : คนมาจากไหน ?
ตอบ : คนมาจากอาภัสราพรหม

ถาม : แล้วเมื่อไหร่เขาจะหาความจริงนี้เจอ?
ตอบ : จนกว่าเขาจะปฏิบัติได้ทิพจักขุญาณ หลังจากนั้นก็ดูในยถากัมมุตาญาณหรือไม่ก็ดูในจุตูปปาตญาณ ว่าคนมาจากไหน

เถรี 16-07-2009 21:29

ต้นเดือนที่ผ่านมานี้ ที่บ้านอนุสาวรีย์คนจะมาน้อยกว่าเดือนอื่น ๆ ค่ะ โดยเฉพาะช่วงวันศุกร์นี่โล่งมาก สามารถตั้งวงเตะตะกร้อหลังห้องได้เลย

หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "อยากให้เป็นแบบนี้ทุกวัน"

ท่านบอกว่า " นี่เขาเพิ่งไปงานเป่ายันต์เกราะเพชรมาไม่กี่วัน จะไปงานโสฬสอีก เมื่อเห็นตรงจุดนี้เขาก็เว้น (บ้านอนุสาวรีย์) ได้ ก็สบายเรา

มันเป็นการใช้ปัญญาอย่างหนึ่ง ก็คือ จัดลำดับความสำคัญก่อน-หลัง เร็ว-ช้า แสดงว่าการปฏิบัติเริ่มมีผล มีสติ สมาธิ และปัญญามากขึ้น อันนั้นสำคัญกว่า ก็เลือกทำอันนั้นก่อน อันไหนเร็วกว่าเลือกทำอันนั้นก่อน"

เถรี 16-07-2009 21:55

ถาม : ผู้ที่รับยันต์เกราะเพชร ทำไมบางคนถึงเป็นไข้ บางคนถึงไม่เป็น และคนที่เป็นบางทีสามวันจึงหาย?
ตอบ : แต่ละคนนอกจากกำลังใจจะไม่เท่ากันแล้ว จริตนิสัยยังไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการแสดงออกต่าง ๆ จะไม่เหมือนกัน เราก็คิดว่าเป็นไข้เพราะอากาศก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องสงสัย

ถาม : ไปหาหมอแล้วตรวจไม่เจอครับ
ตอบ : จะได้ยืนยันว่าเป็นเรื่องของพุทธานุภาพ ถ้าตรวจเจอก็แสดงว่าไม่ใช่สิ

เถรี 17-07-2009 12:36

หลวงพ่อสอนพระลูกศิษย์ว่า "เปิดตัวเร็วก็เป็นเป้าเร็ว ถ้าหนังไม่หนา หน้าไม่ด้าน ทนแรงเสียดทานไม่ไหว ก็เจ๊ง"

เถรี 17-07-2009 12:39

หลวงพ่อท่านกล่าวว่า "การนำ อย่างน้อย ๆ มันนำได้ไม่กี่คน สำคัญที่สุดคือนำตัวเอง นำตัวเองให้รอดจากวัฏสงสารได้"

เถรี 17-07-2009 17:22

หลวงพ่อกล่าวถึงในเรื่องของกฐินว่า "การที่ทำหลาย ๆ วัด เราทำอานิสงส์แต่มันไปตัดโอกาสของวัด เนื่องจากหลายท่านอยากจะเป็นเจ้าภาพ แต่พอไปถึงเขาบอกว่าวัดนี้มีผู้เป็นเจ้าภาพกฐินแล้ว เขาก็ไม่รับ

กรณีที่เป็นเจ้าภาพถึง ๑๐ วัด ถ้าหาเงินได้ห้าแสนก็เฉลี่ยวัดละห้าหมื่น ห้าหมื่นสมัยนี้สร้างส้วมสักหลังยังต้องคิดเลย

ถ้าจะเอาเรื่องอานิสงส์กฐินวัดเดียวก็เหลือเฟือ อย่างมหาทุคตะทำอานิสงส์กฐินครั้งเดียวเกิดเป็นพระพุทธเจ้าเลย

ดังนั้นก็คือ เล็งวัดใดวัดหนึ่ง แล้วก็บันทึกไล่ไปว่า พ.ศ. นี้ วัดนี้ ไล่ไปเรื่อย ๆ แล้วมันจะได้น้ำได้เนื้อ"

เถรี 17-07-2009 17:29

หลวงพ่อท่านบอกว่า "ปีนี้ขอแรงพวกเราไปช่วยหลวงพ่อสิงห์ วัดถ้ำป่าไผ่ หลวงพ่อเป็นหนี้เขาอยู่เยอะ วันก่อนโทรมา ตุ๊ป้อหมดแฮงแล้ว อายุ ๗๒ แล้ว รบกวนพระน้องช่วย

กฐินของท่านวันที่ ๑ พฤศจิกายน เราก็ต้องมารับสังฆทาน ๗-๘-๙ พฤศจิกายน

คนเรามันก็หลอกลวงกันได้ลงคอ มันปลอมหนังสือของพระราชวังขอให้ช่วยบริจาคเงิน หลวงพ่อสิงห์ก็บริจาคไป แล้วก็มารู้ทีหลังว่าของปลอม เท่ากับเสียเงินไปฟรี ๆ ก็เลยกลายเป็นหนี้เขาโดยปริยาย"

เถรี 17-07-2009 17:54

เราจะสังเกตได้ว่าหลวงพ่อท่านมีเรื่องราวเยอะแยะมากมายมาเล่าให้พวกเราฟัง แล้วท่านก็เอ่ยขึ้นว่า "หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ ท่านบอกว่า บวชนาน นิทานจะมาก

เรื่องที่มันรู้มากขึ้น ๆ มันสอดแทรกเข้าไปได้ บางทีเรื่อง ๑ ข้อ อธิบายแค่สองนาทีก็หมด แต่ก็สามารถอธิบายยาวเป็นชั่วโมงได้ มันมีเรื่องแทรกไปเรื่อย ๆ "

เถรี 17-07-2009 22:07

มีโยมบางคนไม่ได้ฟังพระอาจารย์ท่านเทศน์ พอท่านอาจารย์ถามถึง เขาจึงไม่รู้ตัว ท่านจึงว่า "นึกถึงเรื่อง ๕ คน พระพุทธเจ้าเทศน์อยู่แท้ ๆ แต่ปรากฏว่าคนหนึ่งนั่งมองฟ้า คนหนึ่งกอดเสา แถมเขย่าด้วย คนหนึ่งเอามือเขี่ยดินไปเรื่อย อีกคนหนึ่งก็หลับ อีกคนหนึ่งตั้งใจฟัง ปรากฏว่ามีรายนี้รายเดียวที่ตั้งใจฟัง บรรลุมรรคผล

พระอานนท์ก็แปลกใจ กราบทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์แสดงธรรมประดุจดั่งมหาเมฆบันลือ ไฉนบุคคลเหล่านี้จึงไม่ให้ความสนใจ พระพุทธเจ้าท่านก็อธิบายให้ฟังว่า
รายที่แหงนมองฟ้า เป็นหมอดูยกเมฆมาตลอด ๕๐๐ ชาติ เคยชินกับการดูเมฆ ก็เลยไม่ได้สนใจฟังเทศน์ เอาแต่แหงนมองฟ้า
ส่วนรายที่กอดต้นเสาเกิดเป็นลิงต่อเนื่องกันมา ๕๐๐ ชาติ
รายที่เขี่ยดินเกิดเป็นไส้เดือนมา ๕๐๐ ชาติ
รายที่หลับเกิดเป็นงูใหญ่มาตลอด ๕๐๐ ชาติ ถนัดการพาดหัวกับขนดแล้วหลับ
ส่วนรายที่ตั้งใจฟัง เกิดเป็นพราหมณ์เรียนไตรเพทมาตลอด ๕๐๐ ชาติ เมื่อได้ฟังสิ่งที่เป็นอรรถเป็นธรรม เกิดความสนใจเงี่ยหูฟัง ในที่สุดก็บรรลุมรรคผล"


ถาม : แล้วผมล่ะครับ?
ตอบ : เกิดเป็นวรนัสมา ๕๐๐ ชาติ..!

เถรี 18-07-2009 15:37

หลวงพ่อบอกว่า "บางอย่างเราไปห้ามเขาตรง ๆ เขาจะโกรธ จะประกาศตัวเป็นศัตรู

ดังนั้น เรื่องการปกครองจึงต้องมีเทคนิค เขาถึงได้บอกว่าการดำเนินชีวิตนั้นมีทั้งศาสตร์คือความรู้ มีทั้งศิลป์ก็คือวิธีการ

พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิปฺปญฺจ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การมีศิลปะ จัดเป็นอุดมมงคลอย่างสูง

ศิลปะไม่ใช่แค่ความรู้ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการหากินเท่านั้น แต่ศิลปะยังหมายถึงหลักการที่จะดำรงตนอยู่ในสังคม นี่ต่างหากที่สำคัญกว่า

เพราะฉะนั้นคำว่าสิปปัญจะ การมีศิลปะ ก็คือศิลปะที่เป็นวิชาความรู้และศิลปะในการดำรงชีวิต"

เถรี 18-07-2009 15:40

หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังค่ะว่าท่านหุงข้าวเป็นตั้งแต่ตอน ป. ๒ ค่ะ ทั้งเตาถ่าน เตาแก๊ส ฯลฯ เป็นหมด
ท่านบอกว่า "หัดทำอะไรด้วยตนเองเสียแต่เนิ่น ๆ มันจะรู้มากกว่าชาวบ้านเขา"

เถรี 19-07-2009 20:34

หลวงพ่อบอกว่า "เรื่องแรงอธิษฐานนี่ร้ายแรงมาก เพราะฉะนั้นทำอะไรอย่าให้คนอื่นรู้ว่าเราอธิษฐานอะไร ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเจอกรณีแบบเดียวกับขุนช้างที่อธิษฐานทับนางพิมพิลาไลย หรือกรณีแบบเดียวกับพระเจ้ากุสราช

พระเจ้ากุสราชในชาตินั้น เป็นชาวบ้านอยู่กับพี่ชายและพี่สะใภ้ พี่สะใภ้นั้นมีหน้าที่ทำอาหาร เวลาทำอาหารก็ทำไว้ ๓ ส่วน ของน้องชาย ๑ ของสามี ๑ ของตนเอง ๑

วันหนึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้าบิณฑบาตผ่านมา พี่สะใภ้เห็นก็ดีใจเลยเอาอาหารส่วนของตนเองถวาย แต่ก็ยังไม่พอใจ ตัวเองอยากถวายให้มากกว่านี้ คิดว่าเรากับสามีก็เหมือนคน ๆ เดียวกัน เดี๋ยวเราทำให้ใหม่ก็ได้ จึงเอาอาหารส่วนของสามีถวายอีก แต่ก็ยังไม่พอ เอาอาหารส่วนของน้องสามีถวายไปด้วย

ปรากฏว่าน้องสามีกลับจากป่า ถามหาอาหารส่วนของตน พี่สะใภ้บอกว่าถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าไปแล้ว น้องสามีก็เลยด่าพี่สะใภ้ พี่สะใภ้จึงทำอาหารให้ใหม่ และทำส่วนของตนเองด้วย แล้วก็นำไปใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมกับอธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าชาติไหนขออย่าให้ได้เจอน้องผัวแบบนี้ ทำบุญนอกจากจะไม่ยินดีแล้ว ยังด่าอีก

น้องสามีหรือพระเจ้ากุสราชในชาตินั้น เมื่อได้ยินเข้าก็เกิดโทสะ ตัดสินใจว่าไม่กินอาหารส่วนของตนแล้ว ถวายพระดีกว่า จึงเอาอาหารไปถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วอธิษฐานว่า ไม่ว่าเกิดชาติใดต้องได้ผู้หญิงคนนี้เป็นเมีย ก็เลยกลายเป็นว่าแม้จะอยู่บนปราสาทเจ็ดชั้น ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน แค่เห็นหน้าเท่านั้น ก็หนีตามกัน

ดังนั้น เรื่องของอธิษฐานบารมีมันอันตรายตรงที่ว่า ถ้าคนที่อธิษฐานทีหลังบารมีเขาสูงพอนี่...เราเสร็จเลย อย่างของพระเจ้ากุสราชตอนหลังท่านก็มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ท่านบารมีพระโพธิสัตว์"

เถรี 19-07-2009 20:37

พอหลวงพ่อเล่าเรื่องการอธิษฐานจบ มีคนถามต่อว่า พี่สะใภ้ในเรื่องควรจะอธิษฐานอย่างไร?

ท่านก็บอกว่า "อธิษฐานว่าอะไรก็ตามที่ไม่เป็นที่ต้องใจของเรา ขออย่าได้เจอ

เถรี 20-07-2009 00:00

มีคนถามเกี่ยวกับเรื่องอุเบกขา
หลวงพ่ออธิบายว่า "อุเบกขา คือ การที่เราพยายามทุกวิถีทางแล้ว หมดความสามารถจริง ๆ จึงยอมรับว่าเป็นกฎแห่งกรรม

ทีนี้ก็ต้องมาดูว่าเป็นอุเบกขาอะไร อุเบกขากับสิ่งรอบข้าง หรืออุเบกขาในอารมณ์ของธรรมะ

ถ้าอุเบกขาในอารมณ์ของธรรมะ มีอยู่ ๒ ส่วน ส่วนที่เป็นของสมถกรรมฐานใช้กำลังสมาธิกดคุมไว้ ก็สามารถทำให้วางลงได้ แต่ในส่วนของวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าพิจารณาเห็นจริงแล้วยอมรับว่าธรรมดาเป็นอย่างนั้น ก็เลยไม่ไปยุ่งด้วย

เพราะฉะนั้น..ในส่วนของวิปัสสนากรรมฐานจะสบายกว่า รู้เท่าทัน และปล่อยวาง ไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วย เรื่องเหล่านั้นก็สร้างความเดือดร้อนให้เราไม่ได้ แต่ว่าทั่ว ๆ ไปใช้แบบสมถะ ใช้กำลังใจข่มไว้ ข่มให้ตาย..ถ้าเผลอปล่อยเมื่อไรก็โดนยันกลับ..!"

เถรี 20-07-2009 00:08

มีคนถามถึงความหมายของคำว่า สติ และสัมปชัญญะ

หลวงพ่ออธิบายว่า "สติ คือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว สติทำให้เราไม่ลืม สัมปชัญญะรู้อยู่ว่าเราจะทำอะไร ฟังดูแล้วเหมือนไม่ต่าง แต่จริง ๆ ต่างกันมากเลยในความหมายบาลี"

เถรี 20-07-2009 01:05

หลวงพ่อกล่าวถึงภาษาบาลีว่า "คำในภาษาบาลีมีจำนวนมากที่ความหมายเพี้ยน อย่างเช่นคำว่าสังขาร สังขารนี่เรามักจะนึกถึงร่างกายของเราเลย แต่จริง ๆ ไม่ใช่ ร่างกายของเราในบาลีเรียกว่า รูป

สังขารเป็นอารมณ์ใจนึกคิดปรุงแต่ง คอยแต่งไปเรื่อย ๆ ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ไปเรื่อย
อีกคำหนึ่งก็คือวิญญาณ ตามความหมายบาลีก็คือ ประสาทรับรู้ รู้สึกทุกข์ รู้สึกสุข รู้สึกเจ็บปวด รู้สึกเฉย ๆ แต่ความหมายที่พวกเราได้ยินก็คือ ผีจะมาหลอก ความหมายมันเพี้ยนจากบาลีไปเยอะ

พระพุทธเจ้าเวลาตรัสธรรมะเป็นภาษาบาลีอย่างหนึ่ง พอพระเถระรุ่นหลังบันทึกพระพุทธวจนะเป็นภาษาบาลีอีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าภาษาบาลีเป็นภาษาที่ไม่มีการพัฒนาแล้ว พัฒนาสูงสุดไปแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้นความหมายกี่ปี กี่ชาติก็จะไม่เปลี่ยน แต่ว่าอย่างของเราพอใช้ไป ๆ ความหมายจะเพี้ยนไปเรื่อย แล้วมันจะทำให้ส่วนของธรรมะที่ดีนั้นเสียไป

ขณะที่บาลีไม่สามารถจะเปลี่ยนได้ แต่ว่าความหมายในภาษาระยะหลังที่เปลี่ยนไป ก็เลยทำให้มีผู้อธิบายพระไตรปิฎกเพี้ยน รุ่นแรกที่เขาอธิบายพระไตรปิฎก เรียก อรรถกถา (ขยายความจากพระไตรปิฎก) คำพูดใดที่มันไม่ตรงกับยุคสมัย หรือว่าใช้ในอีกยุคสมัยหนึ่งแล้ว ความหมายไม่ชัดเจน ท่านจะอธิบายในอรรถกถา พอยุคหลังจะมีอธิบายอรรถกถาเรียก ฎีกา พอยุคถัดไปมาอธิบายฎีกา เรียกอนุฎีกา ไล่ไปเรื่อย มาปัจจุบันเป็นเกจิอาจารย์ ก็คือ อธิบายอนุฎีกา บางอย่างเอามาประยุกต์ ความชัดเจนจะไม่ปรากฏ

อย่างที่ว่าพอมาถึงยุคของเรา สังขารก็เปลี่ยน วิญญาณก็เปลี่ยน เราก็มาอธิบายว่ามันควรจะเป็นอย่างไร"

เถรี 21-07-2009 15:42

มีท่านหนึ่งขอให้หลวงพ่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับวันอาสาฬหบูชา

หลวงพ่อก็บอกว่า "เป็นวันที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงปฐมเทศนา ก็คือ เทศน์ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ เนื้อหาบอกว่าคนในสมัยนั้นมีวิธีปฏิบัติอยู่ ๒ อย่าง ถ้าไม่สบายจนเกินไป ก็ลำบากจนเกินไป แล้วส่วนมากเขานิยมความลำบากเพราะเชื่อว่าทำให้บรรลุได้ เข้าถึงโมกษะ คือความหลุดพ้นได้ เข้าถึงปรมาตมัน ลักษณะเหมือนกับไปนิพพานได้ เขานิยมแบบนั้น

พระพุทธเจ้าท่านทดลองมา ๖ ปีเต็ม ๆ ท่านทำยิ่งกว่าใคร ๆ ที่เคยทำมา พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่มีใครทรมานตัวเองได้ยิ่งกว่าพระองค์ท่านอีกแล้ว....แต่ไม่บรรลุ

ถามว่าพระพุทธเจ้าท่านเสียเวลาเปล่าหรือไม่....ไม่เสีย คนที่ลองมาขนาดนั้นแล้วมีพยานหลักฐานชัดเจน คือ ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ทำให้พระองค์เมื่อบรรลุมรรคผลแล้วไปเทศน์ สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าการทรมานร่างกายเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ก็ท่านทำยิ่งกว่าคนอื่นแล้วไม่บรรลุ แล้วมันจะถูกได้อย่างไร ท่านเอาตัวเองเป็นเครื่องยืนยันได้

ท่านก็บอกว่าสบายเกินไปก็ไม่ใช่ ต้องเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลางพอเหมาะ พอดี ทางสายกลางของท่านมี ๘ อย่าง ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ไล่ไปจนถึงสัมมาสมาธิ"

เถรี 21-07-2009 16:20

หลวงพ่อบอกว่า "เวลาเดินทาง มีวิธีประกันความเสี่ยงอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ให้เราอุทิศส่วนกุศลทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ ให้แก่เจ้าที่ทั้งหลายที่รักษาตลอดเส้นทางที่เราเดินทาง อากาศเทวดา รุกขเทวดา ภูมิเทวดาก็ดี หรือจะเป็นเหล่าสัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ขอให้เขาอนุโมทนา

หลังจากนั้นเราก็ขอความสะดวกคล่องตัวในการเดินทางและความปลอดภัย"

เถรี 21-07-2009 20:42

หลวงพ่อกล่าวว่า "ทุกอย่างจะต้องพัฒนา มีใครเขากล่าวคำพูดว่า 'โลกหมุนไปข้างหน้าทุกวัน ถ้าเรายืนอยู่กับที่เท่ากับเราถอยหลัง'
เราอยู่กับที่เท่ากับเราถอยหลัง เพราะว่าคนอื่นเขาไปข้างหน้ากัน เราต้องมีการตาม แต่ทิ้งหลักการเดิมไม่ได้ ที่ทิ้งหลักการเดิมไม่ได้เพราะว่า ถึงโลกจะก้าวหน้าแค่ไหนก็ตาม คนเราก็ยัง รัก โลภ โกรธ หลง เหมือนเดิม"

เถรี 22-07-2009 09:37

ถาม : เรื่องอายตนะนิพพาน
ตอบ : เราเชื่อหรือไม่ว่านิพพานมีจริง ?

ถาม : เชื่อค่ะ
ตอบ : ถ้าเชื่อ อายตนะนิพพาน ก็คือพระนิพพานที่เป็นสถานที่ พูดแบบนี้จะได้ชัด ๆ

แต่ทีนี้คนเขาก็บอกว่า ถ้าเป็นสถานที่ก็เป็นอัตตาสิ....ไม่ใช่ ถามว่าเป็นอนัตตาหรือเปล่า ? ก็ไม่ใช่อีก ในเมื่อไม่เกิดแล้วจะตายได้อย่างไร แต่ว่าไม่เกิดแล้วมีได้อย่างไร นี่อัศจรรย์

ไปให้ได้แล้วจะรู้ ให้อธิบายก็ยาก อย่าไปเถียงกับใครว่ามี อย่าไปเถียงกับใครว่าเป็นตัวตน เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้

พระนิพพานเป็นสถานที่พิเศษ แยกออกไปต่างหาก เป็นส่วนของ อสังขตธรรม ธรรมะที่ไร้การปรุงแต่ง ไม่สามารถจะใช้คำพูดหรือตัวหนังสืออธิบายได้อย่างแท้จริง เป็นส่วนพิเศษนอกเหตุเหนือผล


เพราะฉะนั้นคำว่านิพพานเราจะไปใช้คำว่า คิดว่า คาดว่า เห็นว่า แสดงว่า ไม่ได้สักอย่าง คำใดที่ประกอบด้วยการปรุงแต่งยังอธิบายนิพพานไม่ได้จริง

เถรี 22-07-2009 11:23

ถาม : ฌาน ๔ ได้ตลอดเวลา กับทรงฌาน ๔ ได้ตามที่เรานึกอยากจะทำ อย่างไหนดีกว่ากัน
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่ทรงตลอดเวลา อารมณ์มันก็ยังขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ แต่ว่าถ้าทรงได้ในเวลาที่เราต้องการนี่ ถือว่าสุดยอดแล้ว อยากได้เมื่อไหร่ก็ทำได้ แสดงว่าเก่ง ใช้ได้ ถ้ากิเลสมันกิน ทรงฌานไม่ได้หรอก

ถาม : หลวงพ่อคะ เขาทรงฌาน ๔ ตลอดเวลาได้อย่างไร มันต้องมีบ้างที่แบบว่าอารมณ์มันถอยลงมา
ตอบ : ต้องบอกว่า กำลังสมาธิ....ถ้าหากว่าเราทำถึงที่สุดของมันแล้ว ซักซ้อมจนคล่องตัว มันจะสามารถทรงกำลังอัตโนมัติของมันเอง แล้วลักษณะของอัตโนมัตินี้ มันสามารถที่จะแบ่งกำลังใจทำอย่างอื่น ขณะนั้นความนิ่งความสงบภายในมันเท่ากับฌาน ๔ แต่การเคลื่อนไหว การพูด การทำต่าง ๆ มันเท่ากับอุปจารสมาธิ เขาถึงได้เรียกว่า ฌานใช้งาน

คราวนี้เรื่องของสมาธิมันก็ขึ้นอยู่กับทุกขัง อนิจจัง อนัตตา สามารถเสื่อมไปได้ตามสภาพ แต่ถ้าทำไปถึงระดับหนึ่งแล้วกำลังใจจะทรงตัวอยู่ บางทีกำลังสมาธิลดแต่กำลังใจไม่ได้ลดตามเลย โดยเฉพาะถ้าเป็นพระอริยเจ้าแล้ว กำลังใจในการกดกิเลสมันไม่ได้ลดตาม

แบบเดียวกับที่พระอัสสชิท่านป่วย แล้วอาการเวทนามันเกิดมาก ขนาดร้องครวญครางด้วย ท่านก็เลยขอพระที่อุปัฏฐากอยู่ไปทูลถามพระพุทธเจ้า สงสัยว่าความดีที่ทำได้จะสูญเสียแล้ว เพราะว่ามันเจ็บเหลือเกิน พระพุทธเจ้าก็ถามว่า อัสสชิ เธอเห็นร่างกายนี้เป็นของเธอหรือ พระอัสสชิก็ทูลว่าไม่เคยเห็นเป็นของตัวเองเลยพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นความดีไม่ได้ลดลง ที่ลดลงคือกำลังสมาธิที่เป็นฌาน คราวนี้ร่างกายที่ป่วยมาก ๆ ฌานก็เสื่อมเป็นธรรมดา

เถรี 22-07-2009 12:34

หลวงพ่อท่านเล่าประสบการณ์การเดินป่าให้ฟังเพื่อเป็นประโยชน์แก่พวกเราว่า

การก่อไฟในป่า ต่อให้ฝนกำลังตกอยู่ ให้ใช้ไม้ไผ่แห้ง ๆ ไม้ไผ่นั้นก็หาได้ในป่า เจอกระบอกไม้ไผ่ก็ให้เหยียบจนมันแตก จุดไฟใส่ลงไปข้างใต้ ท่านบอกว่า ไม้ไผ่หรือใบไผ่จะติดไฟเร็วมาก ๆ และให้ความร้อนเร็วมาก ๆ ถ้าหากอยู่ในป่าจะหุงข้าวแล้ว ใช้ไม้ไผ่จะหุงได้เร็ว แต่ต้องขยันจุดเข้าไปเยอะ ๆ

ประสบการณ์อีกเรื่องหนึ่งที่ได้มาจากพวกกะเหรี่ยง ก็คือ เขาใช้รองเท้าฟองน้ำเก่า ๆ หั่นบาง ๆ ชิ้นเดียวเท่านั้น ถึงเวลาก็ไม้ขีดไฟจุด หย่อนลงตรงไหนก็ติดตรงนั้น ประกันได้เลยว่า ก่อไฟด้วยรองเท้าฟองน้ำเก่า ไฟกองนั้นติดแน่

ในป่าฝนมันมักจะตก หน้าแล้งขนาดไหนฝนก็ตก แล้วมันตกแบบชนิดที่ว่าหนีไม่ทัน ดังนั้น เข้าป่าถุงพลาสติกจำเป็นมาก เพราะถ้าพลาดเมื่อไหร่ก็แปลว่าเปียก มีอยู่ระยะหนึ่งที่เข้าป่าแล้วท่านใช้ถุงดำเป็นประจำ ใช้ถุงดำใส่ของ ม้วนปากสามสี่รอบชนิดที่ว่าตกน้ำก็ไม่เปียก ช่วยได้เยอะมหาศาล สมัยนั้นหลวงพ่อบอกว่าไปไหนก็ชอบพกกล้องไป ก็อาศัยถุงก๊อบแก๊บ ม้วนปากใส่กระเป๋าไป ฝนจะตกเมื่อไหร่ก็ช่าง

นอกจากนี้เรื่องของการเดินป่า คนที่ไม่เคยชินกับการเดินระยะทางไกล ๆ เท้าจะพองเร็วมาก ท่านบอกว่า รองเท้าที่ดีที่สุดก็คือรองเท้าฟองน้ำธรรมดา (อีแตะคีบ) โดยเฉพาะยี่ห้อ ต.ช.ด. ตราช้างดาว ทนมาก ๆ ถึงเวลาตรงไหนไม่สะดวกก็หิ้วไปหรือไม่ก็ผูกเชือกห้อยคอไป ถ้าหากใช้รองเท้าพวกหุ้มข้อ หุ้มส้นนี่มันจะกัด บางทีเดินป่าอยู่อาทิตย์เล็บหลุดเกลี้ยงเลย

การหาน้ำกินในป่าตามลำห้วยต่าง ๆ แม้ว่ามันจะแห้งแล้ว แต่ถ้ามีความชื้นอยู่ลึกลงไปมันจะมีน้ำอยู่ข้างใต้ เมื่อขุดลงไป ๆ มันจะเปียกมากขึ้น รอสักพักน้ำจะไหลลงมารวมกันที่เราขุด เหมือนกับน้ำซึมบ่อทรายแล้วก็ค่อย ๆ ตัก โดยเฉพาะเรื่องของเท้าพอง ถ้าดื่มน้ำเยอะเกินไปเท้าจะพองง่าย ถ้าเดินทางยังไม่ถึงที่พัก รู้สึกหิวน้ำ ก็ให้ดื่มสักคำสองคำ...อย่าเยอะ พอถึงที่พักค่อยดื่มให้เต็มที่

เมื่อถึงที่พักแล้วกรุณายกเท้าให้สูงกว่าหัวไว้ก่อน เอาเท้าพาดก้อนหินหรือท่อนไม้ไว้ก็ได้ ถ้าเจอน้ำระหว่างทางรีบลงไปแช่ให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะให้แช่เท้าตัวเอง เพราะมันจะทำให้เดินทนไปอีกเยอะ ถ้าไม่แช่เท้าตัวเอง แล้วมันก็แปลก มันจะเดินไปไม่ไหว พอได้แช่เท้าเข้าหน่อย จะเดินตัวปลิวเลย

เถรี 22-07-2009 15:18

ถาม : ครูบาเหนือชัยท่านใส่รองเท้าแบบมีสายรัด?
ตอบ : ท่านจำเป็น ขี่ม้าถ้าไม่มีสายรัด รองเท้าก็หล่นหาย

ถาม : แล้วไม่ผิดพระธรรมวินัยหรือครับ?
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก เพราะที่ท่านขี่นั่นผิดแล้ว

คราวนี้เรามาดูว่า พระพุทธเจ้าท่านมอบการตัดสินพระธรรมวินัยให้ เรียกว่า มหาปเทส ท่านบอกว่า
สิ่งที่ไม่สมควร....ถ้าพิจารณาแล้วว่าไม่สมควร....สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร
สิ่งที่ไม่สมควร....ถ้าพิจารณาแล้วว่าสมควร....สิ่งนั้นย่อมสมควร

อันนี้เราก็มาดู การขี่ม้ามันไม่สมควร เขามีการห้ามไว้สมัยก่อน ถือว่าทรมานสัตว์ แต่ว่าของครูบาเหนือชัยท่านลำบาก เดินป่าเดินเขาอาศัยฝีเท้าอย่างเดียวไม่ทันกิน ก็ต้องอาศัยการขี่ม้า ในเมื่ออาศัยการขี่ม้าแล้ว เครื่องมือเครื่องใช้ทุกอย่าง มันก็ต้องปรับตาม ถ้าไม่ปรับตามก็ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่สมควร....ถ้าพิจารณาแล้วว่าสมควร....ก็สมควร

คราวนี้ข้อที่สามท่านบอกว่า
สิ่งที่สมควร....พิจารณาแล้วว่าสมควร....สิ่งนั้นย่อมสมควร ตรงนี้ชัด
สิ่งที่สมควร.....แต่พิจารณาแล้วว่าไม่สมควร.....สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร
อย่างเช่นเราไปอ้างว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามสูบฝิ่น เฮโรอีน กัญชาไว้ แล้วเราจะบอกว่าสิ่งนี้สมควรไม่ได้หรอก เพราะพิจารณาแล้วไม่สมควร

เพราะฉะนั้นวิธีการตัดสินเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านให้เราไว้ใช้ในการตัดสินพระธรรมวินัย ว่าจะทำอย่างไรกับพระธรรมวินัยที่บัญญัติตายตัวในสมัยนั้นแต่ว่าไม่เหมาะกับยุคสมัยปัจจุบัน เพียงแต่ว่า บุคคลที่จะตัดสินพระวินัยตามมหาปเทส ๔ ต้องมีความรู้ในพระธรรมวินัยและต้องมีความยุติธรรมด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะตัดสินเข้าข้างตัวเอง

เถรี 22-07-2009 18:38

หลวงพ่อบอกว่า "ดูโปรแกรมแล้ว ปีนี้เป็นปีโหดมาก ที่ว่าเป็นปีโหดมากเพราะว่ามันมีงานใหญ่ที่ต้องทำเยอะ ช่วงที่ผ่านมาก็เป่ายันต์เกราะเพชร แล้วก็พิธีเสกพระขรรค์โสฬส ตามด้วยงานวันเกิดเจ้าคณะจังหวัด ถัดไปเดือนสิงหาคม ก็ทำบุญให้พ่อให้แม่ เดือนกันยายนทำบุญถวายหลวงปู่สาย ปลายเดือนก็งานนิโรธกรรมครูบาวิฑูรย์ เดือนตุลาคมกฐินที่วัด เดือนพฤศจิกายน...ต้นเดือนก่อนจะมาบ้านอนุสาวรีย์ไปงานกฐินของหลวงพ่อสิงห์ วัดถ้ำป่าไผ่ ตกลงว่าแต่ละเดือนนี่อย่างน้อย ๆ ต้องวิ่งงานใหญ่

วันที่ ๑ พฤศจิกายน เจอกันที่ถ้ำป่าไผ่นะ ไปช่วยหลวงพ่อสิงห์ท่านหน่อย เพราะว่าท่านเป็นหนี้เขาอยู่เป็นล้านเลย โดนเขาหลอก คนมันก็หลอกคนแก่ได้ลงคอ เขาปลอมหนังสือของสำนักพระราชวังไปขอรับเงินบริจาคท่านล้านหนึ่ง ท่านก็อุตส่าห์ไปหามาให้เขา ตัวเองเป็นหนี้เขาก็ยอมเพราะคิดว่าช่วยในหลวง จริง ๆ หารู้ไม่ว่าโดนหลอก ก็เลยเป็นภาระว่าต้องใช้หนี้

หลวงพ่อสิงห์เป็นพระที่น่ารักมาก เวลาท่านมีงานจะโทรมานิมนต์ แต่เรามักจะไม่ว่าง ท่านบอกว่าถ้าพระน้องไม่ว่าง ก็มาแบบนั้น.. ตัวไม่ต้องมาก็ได้

คราวนี้ท่านโทรมาบอกให้ช่วยท่านหน่อย "ตุ๊ป้อบ่ไหวแล้ว อายุ ๗๒ ปีนี้" พี่สิงห์เป็นพระที่เย็นโดยธรรมชาติ อาจเป็นเพราะว่าท่านเกิดภาคเหนือก็ได้ คนเหนือจริตนิสัยจะเป็นคนเยือกเย็น ใจเย็น พูดช้า ทำช้า ถ้านับแล้วท่านเป็นศิษย์ท่าซุงรุ่นแรก ๆ เลยที่ออกจากวัด หลวงพี่สิงห์ท่านออกจากวัดปี ๒๕๒๓ ปีที่หลวงตาชลอบวช หลวงตาชลอบวชนี่พี่สิงห์ออกไปผจญภัยแล้ว แล้วท่านว่าอย่างไรรู้ไหม "ตุ๊ป้อบารมีน้อย...บ่เหมือนน้องดอก ทำอะไรมันยากไปหมด กว่าวัดจะเสร็จ" ท่านก็เลยบอกอายุ ๗๒ ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ช่วยไปเป็นประธานกฐินให้สักงานหนึ่ง ท่านหวังว่าก่อนตายใช้หนี้หมดก็พอ ก็เลยรับปากท่านไป

ดังนั้น ขอแรงพวกเราไปช่วยงานกฐิน วันที่ ๑ ไปช่วยปลดหนี้ให้พระ ถึงเวลาเราจะได้หมดหนี้ไปด้วย"

เถรี 22-07-2009 21:17

หลวงพ่อบอกว่า ให้พวกเราวางโปรแกรมช่วงนั้นให้ดี ๆ

"ไปช่วยท่านหน่อย ถึงแม้ช่วยได้ไม่มาก ก็ไปช่วยให้ท่านได้ปลื้มใจหน่อย ว่าลูกหลวงพ่อด้วยกันไม่ได้ทิ้งกันหรอก"

หลวงพ่อบอกว่า วันที่ ๑๒ สิงหาคม ก็นิมนต์ท่านไปเกาะพระฤๅษีด้วยค่ะ

เถรี 22-07-2009 22:15

ถาม : หลวงพ่อคะ เวลาเข้าฌานสี่ เมื่อคลายกำลังออกมา อารมณ์ยังเป็นฌานสี่อยู่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นฌานใช้งาน กำลังของฌานสี่ยังคุมอยู่ก็เป็น

คราวนี้สำคัญตรงที่ว่าเราจะทรงอารมณ์ปัจจุบันตอนนั้นให้อยู่ในระดับไหน ถ้าหากเราทรงอยู่ปฐมฌาน...ความนิ่งของใจก็เท่ากับฌานสี่ แต่ถ้าไม่ใช่ฌานใช้งาน คลายออกมาเท่าไหร่ก็เหลือแค่ระดับนั้น

ถาม : แล้วเป็นไปได้ไหมว่า ถ้าเรารักษาอารมณ์ฌาน ไม่ว่าจะเป็นฌานใดก็ตาม ให้อยู่นาน ๆ แล้วจะทำให้ครั้งต่อ ๆ ไปเราเข้าฌานนั้นได้ง่ายขึ้น
ตอบ : ถ้ารักษาต่อเนื่องได้ก็จะเข้าได้ง่ายขึ้น ถ้ารักษาต่อเนื่องไม่ได้ทีนี้ก็ลำบาก สำคัญตรงที่ต้องซักซ้อมการเข้าออกฌานให้คล่องตัว ถ้าแบบนั้นจะเข้าเมื่อไร จะออกเมื่อไรก็ได้

ถาม : เวลาที่พิจารณาไปลงตรงไตรลักษณ์ อย่างอนิจจัง ซึ่งเป็นตัววิปัสสนา พอพิจารณาไปแล้วกลายเป็นอารมณ์ฌาน ตรงนี้เป็นไปได้หรือคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วกำลังฌานยังเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าสมาธิจิตของเราที่ใช้ในด้านวิปัสสนา....ถ้าเห็นแล้วยอมรับ...กำลังฌานก็จะช่วยในการตัดกิเลสได้ แล้วขณะเดียวกันถ้าหากว่าเราพิจารณาไปเรื่อย ๆ แล้ว จิตดิ่งลึกทรงตัวจริง ๆ ก็สามารถกลายเป็นฌานได้เช่นกัน

เถรี 22-07-2009 22:25

ถาม : เรื่องของกิเลส
ตอบ : อยู่ที่สติ สมาธิ และปัญญาเรา ถ้ากำลังมันพอ...มันหมุนเกลียวขาดเลย กำลังไม่พอก็ปล้ำมันไปเหอะ จนกว่ามันจะอ่อนแรง ค่อย ๆ ไปบีบคอมันตายทีหลัง

เถรี 22-07-2009 22:54

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : อย่างน้อย ๆ ก็จัดเป็นอนุสติ ถ้าเราไม่มั่นใจก็นึกถึงครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ ถ้าครูบาอาจารย์ที่นึกถึงเราไม่มั่นใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์ก็นึกถึงพระพุทธเจ้า ก็เท่ากับเป็นอนุสติระลึกถึงในคุณพระรัตนตรัยเหมือนกัน

ถ้าใจเกาะอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนเสียกิเลสก็กินไม่ได้ และท้ายสุดถ้ารู้จักน้อมเข้าหาวิปัสสนาว่าแม้แต่จอมอรหันต์อย่างพระพุทธเจ้า ก็ยังดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน แต่เราไม่ได้เก่งขนาดนั้น อย่างไรก็ต้องตาย ในเมื่อท้ายสุดเราเองก็ตายแน่นอน แล้วเราจะไปไหน เกิดใหม่ก็ทุกข์ ขึ้นชื่อว่าการเกิดไม่สมควรแล้ว เราก็หาที่ไปคือพระนิพพาน และท้ายสุดคือเอาใจเกาะนิพพาน นิพพานอยู่ที่ไหนพระพุทธเจ้าก็อยู่ที่นั่น เราก็ไปนิพพานดีกว่า

เถรี 22-07-2009 23:30

ถาม : ขอความเมตตาช่วยอธิบายความต่างระหว่างบารมี ๑๐ กับสังโยชน์
ตอบ : ไม่เห็นจำเป็นต้องอธิบาย มันต่างกันแน่ ๆ สังโยชน์กับบารมี ๑๐ ไม่มีอะไรที่เหมือนกันอยู่แล้ว ทำไมต้องอธิบายความต่าง เกี่ยวเนื่องก็ไม่เกี่ยวอีก

ถาม : ทำไมเขาถึงบอกว่า บารมี ๑๐ เต็ม แล้วสังโยชน์จึงจะตัดได้?
ตอบ : มันเป็นข้าศึกต่อกัน มันไม่เกี่ยวเนื่องกันหรอก ตรงกันข้าม สังโยชน์คือเครื่องร้อยรัดให้เราติดอยู่กับวัฏฏะ ไม่สามารถจะหลุดพ้นได้ บารมีสิบเป็นเครื่องช่วยให้เราหลุดพ้นจากวัฏฏะ

เถรี 22-07-2009 23:50

ถาม : หลวงพ่อคะ ในการปฏิบัติจำเป็นไหม ที่เราต้องเข้าไปชนกับกิเลส
ตอบ : ถามว่าจำเป็นไหม เลี่ยงได้เลี่ยง หลบได้หลบ ถ้าเลี่ยงไม่พ้นจริง ๆ รู้ว่าสู้ไม่ไหว หนีเลย

ถาม : บางครั้งพอเห็นใจสงบแล้ว มันไม่ชอบ อยากทดสอบ
ตอบ : ไม่ต้อง จำที่เคยเล่าให้ฟังได้ไหม ที่พี่ ๆ เขาไปลองในอาบอบนวดแล้วเจ๊งกันหมด อย่าลืมว่าจิตใจเราเคยชินกับสิ่งที่ชั่วมาอยู่นับชาติไม่ถ้วน เราเพิ่งจะมาทำความดีไม่นานนี้เอง กำลังของเขามันจะสูงกว่ามาก ลองเมื่อไหร่ โอกาสพังก็มีสูง เลี่ยงได้เลี่ยง หลบได้หลบ ถนอมกำลังของตัวเองไว้ มีโอกาสแล้วก็ฟันคอมันเสียทีเดียว

ถาม : แบบว่าอารมณ์มันนิ่ง หนูก็เลยอยากลอง ให้มันเห็นกิเลสชัด ๆ
ตอบ : ลอง....เดี๋ยวมันชัดเกิน เล่นกับไฟเดี๋ยวไหม้ทั้งตัว เราอาจจะไม่เป็นไร แล้วอีกคนมันได้หรือเปล่า

ถาม : ไม่เป็นไรค่ะหลวงพ่อ
ตอบ : ก็ลองดู ถึงเวลามันพัง ก็มานั่งน้ำตาเล็ด

เถรี 23-07-2009 01:20

หลวงพ่อบอกว่า "อย่าคิดว่าการ์ตูนไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่มีประโยชน์ไม่อ่านให้เสียเวลาหรอก"

ถ้าใคร ๆ เขาว่าชินจัง ทะลึ่ง กล้าแสดงออกอะไรก็ตาม เราต้องรู้ว่ามันไม่ใช่ชินจัง มันเป็นคนเขียน คนเขียนมันกำลังเอากิเลสของมันออกมาให้เราดู ต้องขอบคุณเขาเสียด้วยซ้ำไป เพราะเราก็เหมือนกับเขา แต่เราไม่กล้าเอาออกมาให้คนอื่นเห็น

แบบเดียวกับคนที่รักกัน ต่างคนก็ต่างเอาแต่สิ่งที่ดี ๆ ให้คนอื่นดู เพราะกลัวเขาจะไม่รักเรา พอท้ายสุดแต่งงานกันไปก็มีความรู้สึกว่า เออ ได้มาแล้ว หมดความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น ทีนี้เบื้องหลังนางงามหรือชายงามก็จะค่อย ๆ โผล่ออกมา มันก็สำคัญตรงที่ว่าเขาสามารถที่จะรับกันได้ไหม ถ้าสามารถที่จะทำใจรับข้อบกพร่องของอีกฝ่ายหนึ่งได้ก็เป็นธรรมดา มันก็จะอยู่กันได้นาน แต่ถ้าทำใจรับข้อบกพร่องของเขาไม่ได้ ก็ตัดลงในระยะเวลาอันรวดเร็ว แล้วก็จะมีข่าวเตียงหักกัน"

เถรี 23-07-2009 01:56

ถาม : การปฏิบัติในบารมี ๑๐ ควรทำอย่างไร?
ตอบ : เขาทบทวนอยู่ทุกวันว่าที่ผ่านมาเมื่อวาน และวันนี้ตรงจุดไหนพร่องบ้าง

มีโอกาสให้ทานแล้วเราไม่ให้มีไหม ถ้ามีไปแก้ตัวใหม่เสียดี ๆ มีโอกาสที่จะละเมิดศีลแล้วเราละเมิดไหม ถ้ามันยังละเมิดศีลอยู่ แม้ว่าไม่ได้ทำด้วยกาย ทำด้วยวาจาก็ยังผิดศีล แม้ไม่ได้ทำด้วยกาย ด้วยวาจา ใจคิดจะละเมิดก็เป็นมโนกรรม พยายามปรับ จนกระทั่งแม้แต่คิด...ก็ไม่คิดที่จะทำ

แต่ละข้อไล่ไปเรื่อย อย่าลืมว่าบารมี ๑๐ จริง ๆ เป็นข้าศึกโดยตรงของรักโลภโกรธหลง รักโลภโกรธหลงเป็นต้นเค้าของกิเลสทั้งปวง ฉะนั้นสังโยชน์ทั้งหมดมันงอกมาจากรักโลภโกรธหลง ในเมื่อเราสามารถสร้างบารมี ๑๐ ได้เต็ม เราก็ตัดรักโลภโกรธหลงได้


เมื่อครู่บอกว่าไม่เกี่ยว นี่เกี่ยวแล้ว เพียงแต่ว่าเราจะหาจุดเชื่อมโยงมันยังไง

ดังนั้นว่าในการปฏิบัติของเรามันต้องทบทวนอยู่ทุกวัน สมัยที่อยู่วัดท่าซุงหลวงพ่อท่านให้เขียน (บารมี ๑๐) ติดหัวที่นอนไว้เลย ก่อนนอนกราบพระสามทีจะต้องขีดไว้ก่อนเลย เราพลาดตรงไหนหว่า

เถรี 23-07-2009 07:29

ในเรื่องการสู้กับกิเลส หลวงพ่อได้สอนว่า "ตรงนั้นเราไปชนเมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น กำลังมันไม่พอ มันต้องรู้หลบรู้หลีก อะไรหนักมาก็เลี่ยงเสีย อะไรเบามาก็ฉวยโอกาสบี้มันให้ตายเลย เหมือนกับเอาเปรียบแต่จริง ๆ มันต้องทำแบบนั้น"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:26


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว