กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2580)

เถรี 10-04-2011 10:04

๑ อัพภันดร เปรียบได้กับระยะที่บุรุษผู้มีกำลังปานกลางวักน้ำสาดถึง เพราะฉะนั้น..วักน้ำ ๗ ครั้ง ก็ห่างประมาณ ๖ เมตร อย่างเกาะพระฤๅษีถือว่าเป็นอุทกุกเขปสีมาได้ แต่อุโบสถที่เกาะพระฤๅษี ห่างจากฝั่งด้านนอกน่าจะเกิน ๓๐ เมตร

ที่อื่นเขาจะมีการสวดทักนิมิต คือสมัยโบราณท่านไม่ได้สร้างโบสถ์เป็นหลังอย่างในปัจจุบัน ท่านใช้กำหนดนิมิตเอา คำว่านิมิต คือ เครื่องหมาย โดยการส่งพระ ๘ รูป ออกไปแปดทิศ ในระยะที่สามารถเข้าไปนั่งทำสังฆกรรมได้โดยสะดวก ท่านที่เป็นประธานก็จะสวดถามแต่ละรูป

อย่างเช่นว่า ปุรัตถิมายะ ทิสายะ กิง นิมิตตัง ทิศตะวันออกนั้นมีอะไรเป็นนิมิตหรือ ? ก็จะมีคำตอบว่า ปาสาโณ ภัณเต ก้อนหินขอรับ รุกโข ภัณเต ต้นไม้ขอรับ ปัพพะโต ภัณเต ภูเขาขอรับ เป็นต้น

ปัจจุบันนี้เหลือแต่ ปาสาโณ ภัณเต ก็คือ ก้อนหิน เนื่องจากลูกนิมิตสกัดมาจากหิน ตอนนั้นที่เกาะพระฤๅษีมี "อ่างบัว ภัณเต" อาตมาวางอ่างบัวไว้แปดทิศ เนื่องจากเป็นโบสถ์น้ำอยู่แล้ว ไม่ต้องมีสีมา แต่วางอ่างบัวไว้เพื่อบอกขอบเขต

เถรี 10-04-2011 10:11

2 Attachment(s)
ถาม : พระยอดธงมีอานุภาพทางด้านไหนครับ?
ตอบ : แพง..! เป็นอานุภาพที่เห็นชัดเจนเลย

สมัยก่อนพระยอดธงเป็นพระที่ติดยอดธงในการนำทัพ เขาถือว่าคุ้มได้ทั้งกองทัพ ปัจจุบันนี้ถ้าไม่ใช่เป็นหน่วยทหารที่เป็นหน่วยรบแล้ว เราจะไม่มีโอกาสเห็นพระยอดธงของจริงเลย


การสร้างพระยอดธงในปัจจุบัน ก็คือ พระยอดธงไชยเฉลิมพล จะหล่อด้วยทองคำหนัก ๖ บาท แล้วบรรจุเส้นพระเจ้า ก็คือ เกศาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วพระองค์ท่านจะตอกธงติดกับคันธงด้วยพระองค์เอง ทรงพระราชทานให้กับหน่วยทหารที่เป็นหน่วยรบเท่านั้น

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1302404950
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตอกหมุดธงไชยเฉลิมพล

อย่างเช่น ถ้าเป็นทหารบก ก็จะมีเหล่าทหารราบ ทหารม้า ทหารปืนใหญ่ เป็นต้น ถ้าเป็นทหารเรือ ก็เป็นหน่วยนาวิกโยธิน ถ้าเป็นทหารอากาศ ก็หน่วยอากาศโยธิน เหล่าอื่นไม่สามารถที่จะมีธงไชยเฉลิมพลได้

เหตุที่ทรงพระราชทานให้แก่หน่วยรบเท่านั้น เพราะว่าหน่วยรบมีกำลังในการป้องกันและคุ้มครองรักษาธงไชยเฉลิมพลได้ พอถึงวันที่ ๓ ธันวาคมทุกปี จะมีการเดินสวนสนาม กระทำสัตย์ปฏิญาณต่อธงไชยเฉลิมพล หน่วยงานที่จะได้เข้าร่วมก็คือหน่วยรบล้วน ๆ จะมีการสนธิกำลังเป็นกองผสม ก็คือ ผสมผสานระหว่างทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ

เถรี 10-04-2011 10:42

สมัยที่อาตมาเรียนนักเรียนนายสิบอยู่ มีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง จำชื่อจริงไม่ได้แล้ว แต่ตอนที่จบออกมา ลูกศิษย์เรียกว่า หมู่ดาร์กี้ เขาเป็นคนพนมทวน ตัวดำปี๋เลย ขอให้พวกเราเข้าใจว่าคนไทยจริง ๆ ผิวดำนะจ๊ะ เพราะคำว่า สยาม แปลว่า ดำ

หมู่ดาร์กี้อยู่กับแม่ ไม่มีพ่อ ไม่มีพี่น้องอื่น ญาติข้างพ่อก็ไม่มี ญาติข้างแม่ก็ไม่มี ก่อนที่จะไปเป็นทหาร หมู่ดาร์กี้ทำมาหากิน ทำนาทำไร่เลี้ยงแม่ จนกระทั่งได้ข่าวว่าตอนนี้มีหลักสูตรนักเรียนนายสิบปีเดียว คือ สมัยก่อนจะเป็นหลักสูตรนักเรียนนายสิบ ๒ ปี แต่ตอนนี้มีหลักสูตรนายสิบปีเดียว เรียนจบมาแล้วปีแรกติดสิบโทก่อน ปีถัดไปจะเลื่อนเป็นสิบเอกโดยอัตโนมัติ

หมู่ดาร์กี้ก็พยายามทำงานจนได้เงินก้อนหนึ่งมามอบให้แม่ กะว่าพอใช้จ่ายใน ๑ ปี แล้วก็ลาแม่ไปสมัครเป็นนักเรียนนายสิบ เพราะอายุยังไม่เกิน พี่ดาร์กี้เข้าไปเป็นนักเรียนนายสิบก่อนอาตมารุ่นหนึ่ง

พี่ดาร์กี้เขาเป็นคนที่ประหยัดสุดยอดเลย พอเบี้ยเลี้ยงออกมา ๕๐๐ บาท ก็อยู่ครบ ๕๐๐ บาทถ้วน เงินเดือนออกมาเท่าไรอยู่ครบเท่านั้น หมู่ดาร์กี้ซื้อธนาณัติส่งเงินกลับบ้านไปให้แม่

เถรี 10-04-2011 10:47

วันนั้นพี่ดาร์กี้นอนก่ายหน้าผากอยู่ อาตมาก็ถามว่า "เป็นอะไรพี่ ไม่สบายหรือ ?" พี่เขาบอกว่าไม่ใช่ พร้อมกับเล่าให้ฟังว่า โดนจ่ากองร้อยบังคับให้ซื้อข้าวห่อไปหนึ่งห่อ สมัยนั้นข้าวผัดกะเพราห่อหนึ่ง ๕ บาท ปี ๒๕๒๓ ค่าเงินยังใหญ่มาก

บรรดาพวกทหารเวร ไม่ว่าจะเป็นสิบเวรหรือร้อยเวรก็ตาม มักจะหารายได้เพิ่มเติม ด้วยการให้ภรรยาทำข้าวหรือขนมมาขายทหาร และขายเป็นเงินเชื่อ ก็คือเซ็นไว้ก่อน หลังจากนั้นพอเบี้ยออกแล้วถึงไปหักกัน จ่ากองร้อยทำหน้าที่นี้เองก็สบาย ถึงเวลาก็ไม่ต้องง้อใคร หักเบี้ยเองได้เลย

หมู่ดาร์กี้ไม่เคยอุดหนุนจ่ากองร้อยเลย วันนั้นจ่าก็เลยบังคับ "ดาร์กี้..เอาข้าวผัดกะเพราไปห่อหนึ่ง" เทียบแล้วหมู่ดาร์กี้ถือว่าเป็นรุ่นลูกของจ่ากองร้อย ก็เลยไม่กล้าขัด

หมู่ดาร์กี้กินข้าวเสร็จก็มานอนก่ายหน้าผาก พี่เขาบอกว่า "กูกินดีอย่างนี้ แล้วแม่กูจะอยู่อย่างไร ?" ปกติพี่เขากินอาหารที่โรงเลี้ยง เขาทำอะไรมาก็กินอย่างนั้น อาหารของทหาร เขาแต่งเป็นเพลงว่า "ทหารไทยมีใจแข็งแกร่ง กินข้าวแดงทั้งกาก กินผักบุ้งทั้งราก สาว ๆ ไม่อยากแลมอง ฟักทองเป็นอาหารหลัก ต้มฟักเป็นอาหารรอง อย่างดีก็หน่อไม้ดอง รอง ๆ ก็มะเขือยาว" ถึงเวลาวิ่งออกกำลังไปก็ร้องเพลงประชดชีวิตไปด้วย

หมู่ดาร์กี้เจอผัดกะเพราไปหนึ่งห่อ ราคา ๕ บาท ถึงกับนอนก่ายหน้าผาก ประโยคที่ได้ยินแล้วสะท้อนใจ คือ "กูกินดีอย่างนี้ แล้วแม่กูจะอยู่อย่างไร ?"

เถรี 10-04-2011 11:01

เราจะเห็นความผูกพันระหว่างแม่กับลูก และขณะเดียวกันก็จะเห็นความกตัญญูของคนเป็นลูก เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ไม่เคยใช้เอง ของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้า รองเท้า เข็มขัด เบิกคลังหลวง อาหารทุกมื้อกินที่โรงเลี้ยง อาหารชนิดที่เขาบอกว่าทำไว้เลี้ยงหมู หมูก็ยังไม่กิน แต่พี่ดาร์กี้เขาอยู่ได้สบาย เพราะต้องประหยัดให้แม่

เขาหวังอยู่อย่างเดียวว่า เรียนจบ มีเงินเดือนแล้วยังได้สวัสดิการด้วย ถ้าแม่เจ็บป่วย เขาสามารถส่งแม่เข้าโรงพยาบาลรักษาได้เต็มที่เพราะเบิกได้ เราจะเห็นว่าหมู่ดาร์กี้ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง ทำเพื่อแม่ เป็นอะไรที่หาได้ยากมาก

ดังนั้น..ในตำรานักธรรมจึงกล่าวว่า บุคคลที่หาได้ยากมีสองประเภท ประเภทที่ ๑ คือ บุรพการี บุคคลที่ทำคุณแก่เราก่อน อย่างเช่น พระพุทธเจ้า พระเจ้าอยู่หัว พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ประเภทที่ ๒ กตัญญูกตเวที คือบุคคลที่รู้คุณแล้วตอบแทนท่าน

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากในโลก อาตมาดีใจว่า ได้รู้จักรุ่นพี่คนนี้เพราะเราเห็นได้ชัดว่า สิ่งที่พี่เขาทำเกิดจากน้ำใสใจจริง ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ ไม่ได้ทำเพราะอวดใคร ไม่ได้ทำเพราะหลอกใคร ไม่ได้ทำเพราะหวังว่าคนอื่นจะชม แต่ทำออกจากใจจริงด้วยความกตัญญูต่อแม่ ตัวเองยอมลำบาก อดอยากอย่างไรไม่ว่า แต่แม่ต้องสบาย

ที่พูดมาตรงนี้ให้พวกเราเปรียบเทียบดูว่า เราเคยทำอย่างนี้กับพ่อแม่เราบ้างไหม ?

เถรี 10-04-2011 11:13

อาตมาเองตอนแรกโดนยัดเยียดหน้าที่ให้ดูแลพ่อที่ป่วย ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ป.๕ พ่อมาตายตอนอาตมาเรียน มศ. ๓ เทอมปลาย แปลว่า อาตมาดูแลท่านอยู่ ๖ - ๗ ปี รู้สึกเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น เพราะเด็กวัยรุ่นกำลังกินกำลังนอน แล้วต้องมาอดนอนทั้งคืน เพื่อต้องดูแลพ่อที่ป่วย

เนื่องจากท่านมีอาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ประมาณ ๓ - ๕ นาทีก็ต้องนวดขยำให้คลาย ไม่อย่างนั้นท่านจะปวดทรมานมาก ท่านก็จะต้องคอยเรียกอยู่ตลอดเวลา ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น แต่หลังจากที่สิ้นพ่อไปแล้ว ความคิดค่อย ๆ เปลี่ยนไปว่า เราโชคดีที่ได้ทำหน้าที่ตรงนั้น

หลังจากนั้นก็ได้ดูแลแม่อีกสามปี ตอนที่ดูแลพ่อเพราะว่าเราเป็นลูกผู้ชายคนโตที่สุด ที่ยังเรียนอยู่ ไม่มีงานทำ พี่ ๆ เขาทำงานกันหมดแล้ว แต่ตอนที่ดูแลแม่ เพราะว่าพี่ ๆ ทุกคนมีครอบครัวหมดแล้ว เขาก็บอกว่า "เอ็งยังไม่มีครอบครัว ให้ดูแลแม่ไป"

อาตมาดูแลพ่อ ๖ ปี ดูแลแม่ ๓ ปี ดูแลหลวงปู่มหาอำพันอีก ๔ ปี สรุปแล้วชีวิตอาตมาอยู่โรงพยาบาลมา ๑๐ กว่าปี ถึงเวลาหมอมา อาตมาสามารถรายงานทุกอย่างได้ชนิดที่เหมือนพยาบาลมืออาชีพ มีหมอคนหนึ่งถามว่า "เคยเรียนพยาบาลมาหรือ ?" อาตมาก็บอกว่า "ไม่ใช่ครับ ดูอยู่ทุกวันจนจำได้หมดแล้ว" พูดง่าย ๆ ว่า ถ้าหมอยอมให้ฉีดยา อาตมาทำได้แน่นอน เพราะเห็นอยู่ทุกวัน

เถรี 10-04-2011 11:16

เวลาคนเขาบอกว่า "ดูแลตัวเองนะ พักผ่อนมาก ๆ" จริง ๆ แล้วไม่ต้องบอกกูก็รู้ แค่เอ็งรีบกลับไป ข้าก็ได้พักแล้ว..!

ตอนนั้นที่รู้สึกว่าโดนยัดเยียดหน้าที่ให้ ค่อนข้างอยุติธรรม แต่พอมาถึงในปัจจุบันนี้ รู้สึกดีใจว่าได้ทำหน้าที่นั้น เพราะเป็นสิ่งที่หาโอกาสได้ยาก

คนเป็นพ่อแม่ ถ้าไม่ใช่เจ็บป่วยจนย่ำแย่จริง ๆ ไม่มีใครอยากทำตัวเป็นภาระให้กับลูกหรอก ด้วยความรักลูก ก็พยายามตะเกียกตะกายทำหน้าที่แทนลูกมากกว่า แม้กระทั่งลูกโตแล้วก็ยังพยายามหุงข้าวต้มแกงให้ เมื่อไรจะปล่อยให้ทำกินเองเสียที..

ดังนั้น..บุคคลที่เป็นพ่อแม่ เป็นบุคคลที่หาได้ยาก เป็นบุรพการี ผู้ที่ทำคุณแก่เราก่อน ส่วนบุคคลที่รู้คุณท่านแล้วตอบแทน เขาเรียกว่า กตัญญูกตเวที กตัญญู คือ รู้คุณท่าน กตเวที คือ ตอบแทนท่าน แยกเป็นคนละศัพท์ได้ แต่แยกการกระทำไม่ได้ เพราะว่าต้องกตัญญู คือรู้คุณท่าน จึงจะกตเวที ตอบแทนท่านได้

เถรี 10-04-2011 11:20

พระอาจารย์กล่าวกับยายท่านหนึ่ง ซึ่งมีอายุ ๗๙ ว่า "จำไว้ว่า..ถ้าไม่ใช่คนมีบุญ จะไม่อายุยืนขนาดนี้ แต่ว่าเราไม่ได้สร้างบุญอย่างเดียว เรามักจะทำบุญและกรรม ก็คือบาป สลับกันไปสลับกันมา ถ้าเราไปดูตามประวัติที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟัง ที่โยมพ่อโยมแม่ก็เป็นชาวบ้านธรรมดา ถึงเวลาก็ต้องหาเนื้อหาปลาเลี้ยงครอบครัว ก็เลยทำให้โยมพ่อโยมแม่นั้นมีกรรมติดอยู่บ้าง

เมื่อเป็นดังนั้นหลวงพ่อท่านจึงไปสงเคราะห์ ให้ท่านโมทนาบุญ แต่ปรากฏว่าโยมพ่อที่ทำกรรมไว้มากกว่า การตัดสินใจไปนิพพานได้ง่ายกว่า แต่โยมแม่ที่ทำบุญมามากกว่า ตัดสินใจอยู่นานกว่าจะยอมไปนิพพาน เป็นเรื่องที่ประหลาดในความรู้สึกของเรา

แต่ถ้ากล่าวถึงในแง่ของนักปฏิบัติทั่วไปก็คือ ผู้ชายจะสร้างบารมีมามากกว่า ความเข้มแข็งของกำลังใจมีมากกว่า การตัดสินใจจึงเด็ดขาดกว่า

ดังนั้น..ถึงแม้ยายจะมีกรรมปาณาติบาตแทรกเข้ามา ทำให้ต้องเจ็บป่วยบ้าง แต่ในส่วนของบุญกุศลที่มีมากกว่า จึงทำให้อายุยืน"

เถรี 10-04-2011 11:22

ถาม : เราจะบริจาคเลือดหรือบริจาคร่างกาย เราจะคิดอย่างไรเพื่อให้ได้ผลในการปฏิบัติของเรามากขึ้น ?
ตอบ : ตั้งใจเลยว่าเราไปตาย ในเมื่อเรารู้ตัวว่าจะตาย เราก็เป็นผู้ไม่ประมาท เร่งปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาให้มากขึ้น เพราะการที่เราจะบริจาคอวัยวะภายใน เราก็รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเราก็ต้องตายแน่ ตายแล้วเขาจะมาเอาอวัยวะไป ก็เป็นมรณานุสติไปในตัวอยู่แล้ว

ส่วนการบริจาคเลือดนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยเล่าไว้ ท่านบอกว่า เวลาหมอมาขอฉีดยา ท่านก็ขอบารมีพระช่วยเปิดให้ฉีดยาได้ แต่พอเข็มแทงเข้าไป ท่านก็กำหนดความรู้สึกว่า อาวุธแทรกเข้ามาในร่างกายแล้ว อาจจะทำอันตรายเราถึงแก่ชีวิตได้ ถ้าตายแล้วเราไปอยู่บนพระนิพพาน อยู่กับพระพุทธเจ้าดีกว่า ท่านก็ส่งใจไปเกาะพระนิพพาน

ตอนบริจาคเลือดที่เขาเอาเข็มมาจิ้มเรา เราก็กำหนดในลักษณะเดียวกัน ว่าความตายอยู่ใกล้ตัวแล้ว เอาใจเกาะพระไว้ดีกว่า

เถรี 10-04-2011 11:26

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า หลักของการเทศนานั้น ท่านให้ประกอบด้วย

๑. สันทัสสนา พูดแล้วญาติโยมเข้าใจแจ่มแจ้ง
๒. สมาทปนา ชักจูงใจให้โยมคล้อยตามที่จะปฏิบัติในสิ่งที่เรากล่าวถึง
๓. สมุตเตชนา พูดแล้วโยมเกิดความแกล้วกล้า อยากจะปฏิบัติตามทันที
๔. สัมปหังสนา รื่นเริงอยู่ในธรรมนั้น ๆ ก็แปลว่า พระพุทธเจ้าเทศน์ก็ต้องมีคนฮาอยู่บ้าง

สรุปสั้น ๆ ว่าวิธีเทศน์ก็คือ แจ่มแจ้ง จูงใจ แกล้วกล้า ร่าเริง

สมัยก่อนหรือสมัยนี้ก็น่าจะมี ตำแหน่งท่านเจ้าคุณพระธรรมปาหังสนาจารย์ เป็นอาจารย์ผู้ให้ธรรมอันรื่นเริง ถ้าจำไม่ผิดตำแหน่งนี้น่าจะเป็นตำแหน่งรองสมเด็จพระราชาคณะ ถ้าจะเรียกให้ถูกต้องก็คือ สมเด็จพระราชาคณะชั้นหิรัญบัตร

เถรี 10-04-2011 11:30

มีโยมโทรมา เขาบอกว่าดีใจที่กู้เงินได้สำเร็จตามที่พระอาจารย์อวยพรให้ เขากู้เงินมาทำอะไร ? ถ้าใครเดาถูกมีรางวัลให้

เขากู้เงินมาทำบุญ เพราะไปสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ไว้ ๓ องค์ และเป็นเจ้าภาพสร้างศาลาไว้อีก ๒ หลัง ก็เลยไปกู้เงินมาทำบุญ ซึ่งอาตมาก็เตือนแล้วว่า การทำบุญเกินกำลัง พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญ

การจะทำบุญนั้นต้องไม่ให้ตนเองและคนรอบข้างเดือดร้อน ถ้าตนเองและคนรอบข้างเดือดร้อนให้ยั้งคิดไว้ก่อนว่า บุญนั้นไม่แน่ว่าจะเป็นบุญที่ดีแท้ เพราะอยากได้บุญจนขาดปัญญาประกอบ

แต่รายนี้เขายืนยันว่าเป็นสิทธิในที่ทำงานของเขา และอายุงานเขามีมากพอที่จะหักเงินเดือนไปได้ เขาสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ๓ องค์ เจ้าภาพสร้างศาลาอีก ๒ หลัง รับเป็นเจ้าภาพลูกนิมิตอีก ๑ ลูก อาตมาไม่รู้ว่าที่ภูเก็ตเขารับลูกละเท่าไร แต่ที่ทองผาภูมิ วัดเขื่อนวชิราลงกรณ ตั้งราคานิมิตลูกเอก ๕๐๐,๐๐๐ บาท นั่นเป็นความสามารถเฉพาะตัว ไม่ควรเลียนแบบ..!

เถรี 10-04-2011 11:36

สมัยก่อนเวลาอาตมาไปบ้านสายลม เวลาเจอพี่ ๆ น้อง ๆ จะคุยกันมันมาก เพราะว่าเดือนหนึ่งเจอกันที ปรากฏว่าคุยเพลินจนขาดสติ แล้วก็มีเสียงกริ๊งดังขึ้น แต่ละคนวิ่งพรวดพราดกัน เพราะหลวงพ่อท่านจะลงรับสังฆทานและกดกริ่งเรียก เราก็ต้องไปรับท่าน คนนั้นถือย่าม คนนี้ถือยานัตถุ์ คนนี้ถือกาน้ำร้อน พอลงมาก็จัดวางทุกอย่างเข้าที่ อาตมาก็นั่งข้าง ๆ คอยรับใช้ท่าน

ท่านเปิดไมค์ ปรากฏว่าเงียบ ท่านหันมามอง อาตมาก็ร้อนวูบไปทั้งตัวเลย "ใครรับผิดชอบวะ ?" อาตมาตอบว่า "ผมครับ" แล้วก็รีบวิ่งไปเปิด "คราวหน้าอย่าโง่กว่าเครื่องอีกนะ..!" ด้วยความที่โม้มันเกินไป ลืมดูนาฬิกาว่าแปดโมงครึ่งแล้ว ปกติแปดโมงยี่สิบหรือยี่สิบห้า อาตมาจะเปิดเครื่องรอไว้แล้ว

ตอนนั้นรู้สึกตัวพอง หูร้อน หน้าชาหมดเลย เพราะท่านด่าออกไมค์ได้ยินกันทั้งบ้านสายลม ระวัง..พวกเราจะซ้ำรอยเดิม อาตมาโดนมาแล้วอย่าได้โดนต่อ ถ้าโดนก็จะโดนเทศน์กัณฑ์มหาราช..!

เถรี 10-04-2011 11:37

:4672615: เก็บตกงานฉลองบ้านวิริยบารมี จบแล้วค่ะ
ต่อไปเป็นเก็บตกบ้านวิริยบารมี วันศุกร์-อาทิตย์ค่ะ :4672615:


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:29


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว