กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3612)

เถรี 17-12-2012 21:15

ถาม : เปรตบางจำพวกตัวเป็นภูเขา..?
ตอบ : เขาอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์ ไม่ใช่ภูเขาโด่เด่ทั่ว ๆ ไป ถ้าเราทำกำลังใจไม่ตรง ก็เห็นเขาไม่ได้ คำว่า ปัพพตังคเปรต แปลว่า เปรตที่มีร่างใหญ่เหมือนภูเขา บางทีก็มีเปรตที่มีลักษณะเหมือนกับชิ้นเนื้อ แต่ชิ้นเนื้อใหญ่โตมโหฬารเหมือนกับเป็นพลาญหินหรือแผ่นหินเลย

ถ้าสมาธิทรงตัวก็อยู่ด้วยกันได้ เห็นกันได้ ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวก็ต้องเอาอย่างในพระธรรมบท พระท่านเดินทางไปต่างเมือง เจอเด็ก ๒ คนรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์พิกล นั่งอยู่ที่หน้าประตูเมือง จึงถามว่า “ไอ้หนูมาจากไหนกัน ?” เด็ก ๒ คนบอกว่า “พวกผมเป็นเปรต ตั้งใจแสดงตัวให้พระคุณท่านเห็น” พระท่านก็ถามว่าเพราะเหตุใด ?

“ขอรบกวนพระคุณว่า เข้าไปในเมืองแล้วไปหาแม่ให้กระผมด้วย แม่ไปหาอาหารในเมืองสั่งให้พวกผมรออยู่ที่นี่
ไม่ออกมาเสียที พวกผมหิวจะแย่อยู่แล้ว” พระท่านบอกว่าท่านไม่ได้มีฤทธิ์ ไม่ได้มีอภิญญา แล้วจะไปเห็นเปรตได้อย่างไร ? เด็ก ๒ คนจึงเอารากไม้อันหนึ่งให้ บอกว่าให้ถือว่านยานี้เข้าไป ถ้าตราบใดที่ถือว่านยานี้อยู่จะเห็นพวกผีพวกเปรตทุกชนิด

พระท่านก็สงสัยว่าแล้วท่านเองเห็นเด็ก ๒ คนนี้ได้อย่างไร เด็กบอกว่าเขาหิวมาก จึงต้องบันดาลให้เห็นเขาได้ เป็นอันว่าเขาปรับเข้ามาหาพระเอง

เถรี 17-12-2012 21:18

พอพระรับว่านยามาแล้วก็ยืนงง เพราะบ้านเมืองที่ตอนแรกเห็นว่าเรียบร้อย กลายเป็นมีพวกผีพวกเปรตพลุกพล่านเต็มไปหมด เสาะหาอาหารตามกองขยะ ตามท้องร่อง ตามป่าช้า พระก็เข้าไปเดินถามว่า ใครเป็นแม่ของเด็ก ๒ คนที่นั่งที่หน้าประตูเมือง ถามไปถามมา เจอนางเปรตเข้าพอดี

นางเปรตถามว่าพระคุณเจ้าเห็นฉันด้วยหรือ ? ท่านก็บอกว่าเด็กเขาให้ว่านยามาถือก็เห็น แม่เปรตก็เลยกระชากว่านยาคืน แล้วก็วิ่งไปหาลูกตัวเอง พอว่านยาหลุดจากมือ พระท่านก็มองไม่เห็นอะไรอีก พวกผีพวกเปรตที่เห็นอยู่หายวับไปกับตา

ถ้าเราไม่ได้ปรับกำลังใจให้เท่ากับเขา หรือเขาไม่ได้ปรับกำลังใจมาหาเราก็เห็นกันไม่ได้ หรือต้องมีวัตถุบางอย่างที่เป็นสื่อ ก็คงเหมือนเราถือไฟฉายแล้วส่องในความมืด จะเห็นสิ่งต่าง ๆ ในที่มืดได้ ถ้าไม่มีวัตถุที่เป็นสื่อเราก็เห็นเขาไม่ได้

มีหลายท่านที่ซื้อพวกของเก่า เสื้อผ้าเก่า รองเท้าเก่ามา แล้วก็มีเสียง “เอาของกูคืนมา” อันนั้นมีวัตถุเป็นสื่อ..!

เถรี 17-12-2012 21:28

ถาม : เวลาเราทำสมาธิ เกิดนิมิตอะไรขึ้น เราจะทราบได้อย่างไรว่า..?
ตอบ : จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมัน ให้สนใจลมหายใจของเราอย่างเดียวก็พอ ถ้าลมหายใจไม่มีให้รู้ว่าไม่มี คำภาวนาไม่มีให้รู้ว่าไม่มี นิมิตต่าง ๆ ให้ถือว่าเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่เรายิ่งไม่สนใจภาพก็จะยิ่งชัด จะกวนให้เราสนใจให้ได้

ถาม : แล้วเราจะวางกำลังใจอย่างไรคะ ?
ตอบ : รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ แล้วก็กองไว้ตรงนั้นแหละ ยกเว้นว่าเป็นนิมิตที่ตรงกับกองกรรมฐาน เช่น เราใช้พุทธานุสติอยู่ จับภาพพระพุทธรูปเป็นนิมิต เมื่อภาพพระปรากฏก็จับภาพต่อไปเลย ถ้าไม่ตรงกับกองกรรมฐานก็ไม่ต้องไปสนใจ

เถรี 17-12-2012 21:39

ถาม : วัตถุมงคล ถ้าอัญเชิญขึ้นคอหนึ่งองค์ กับขึ้นคอหลายองค์ แตกต่างกันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา...ถ้ามั่นใจองค์เดียวก็พอ อาตมาเองสมัยก่อนไม่พกสักองค์ ลุยไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ แต่หลวงพ่อท่านเตือนว่าประมาทเกินไป เพราะถ้าสมาธิเราไม่ทรงตัว เผลอเมื่อไรอกุศลกรรมจะแทรกได้ แต่ถ้าเราอาราธนาพระท่านติดตัว จังหวะที่เราเผลอพระท่านยังคุ้มครองให้ อาตมาถึงต้องมาเริ่มพกวัตถุมงคลกันอีกที ไม่อย่างนั้นก่อนหน้านี้ขี้เกียจพก เพราะมั่นใจเกินร้อยแล้ว

ถาม : ถ้าวัตถุมงคลพุทธคุณต่างกัน เช่น องค์ด้านล่างเด่นทางลาภ องค์ด้านบนเด่นทาง..?
ตอบ : ถ้าพุทธคุณต่างกันก็พกไปเถอะ ถ้าครอบจักรวาลองค์เดียวก็พอ

อาตมาไปพม่านี่ปลดหมดตัวเลย เหลือแต่พระกริ่งพิชัยสงครามองค์เดียว ถ้าขืนเอาอย่างอื่นไป เดี๋ยวทหารพม่ายึดหมด อาตมาเลยเอาพระกริ่งเลี่ยมพลาสติกด้วยไปอยู่องค์เดียว ลุยไปทั่วประเทศพม่ามาหลายรอบแล้ว

เถรี 17-12-2012 21:47

ถาม : เราจะทราบได้อย่างไรว่า นิมิตนั้นไม่หลอกเรา ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ เอาศีลเป็นหลัก ถ้าเรายังอยู่ในกรอบของศีล ๕ หรือศีล ๘ นิมิตหลอกเราอย่างไร ก็ไม่ไปไกลเกินนั้นหรอก

ถาม : ถ้านิมิตกองกรรมฐานเกิดขึ้น..?
ตอบ : เราต้องไปศึกษาว่านิมิตของกองกรรมฐานแต่ละกองเป็นอย่างไร สมมติเราภาวนาพุทโธแล้วภาพพระพุทธรูปปรากฏขึ้น ก็จับเป็นนิมิตได้ แต่ถ้ารูปพระสงฆ์มาก็ "นิมนต์ท่านรอก่อนค่ะ" ถ้าปฏิบัติในสังฆานุสติแล้วรูปพระสงฆ์มาก็จับเป็นนิมิตได้ แต่ถ้าภาพพระพุทธเสด็จมาก็นิมนต์ท่านรอก่อน นิมิตให้เอากองกรรมฐานของเราเป็นหลัก

ถ้าเรายึดศีลเป็นหลัก ยังอยู่ในกรอบของศีล หลุดอย่างไรก็หลุดไปไม่ไกลหรอก

เถรี 17-12-2012 21:54

ถาม : จิตเรามีดวงเดียวหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จิตจริง ๆ มีดวงเดียว เพียงแต่อาการของจิตมีมาก ทางอภิธรรมเขาก็เลยแยกไปเสียเยอะ แยกไปทีเป็นร้อย

ถาม : แล้วเราจะจับจิตอันไหนคะ ?
ตอบ : ความรู้สึกทั้งหมดของเรา...นั่นแหละจิต ไม่ใช่สมอง ไม่ใช่หัวใจ ความรู้ตัวของเราทั้งหมดนั่นแหละคือจิต แล้วจะไปจับจิตทำไม ?

ถาม : ความรู้สึกจิตอันนี้ดี เราก็ไปจับจิตอันนั้น ?
ตอบ : ถ้าความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป นั่นก็คือสภาพจิตที่วิ่งตามลมหายใจเข้าไป ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ก็คือสภาพจิตที่ไหลตามลมหายใจออกมา อยู่แค่นี้ไม่ไปไหนก็ดีแน่ ๆ

เถรี 17-12-2012 22:00

ถาม : ยุบพอง..?
ตอบ : เป็นได้...แต่สายพองยุบเขาให้ตัดอย่างอื่นหมด ซึ่งเป็นสายกรรมฐานที่อาตมายังไม่เห็นทางความก้าวหน้าเลย เพราะแม้กระทั่งความคิดเขาก็ตัดหมด ในเมื่อเราคิดไม่ได้แล้วเราจะไปพิจารณาธรรมอย่างไร ?

ถาม : ถ้าเราดูลมหายใจ..?
ตอบ : ปกติเขาให้ดูลมหายใจ แต่คราวนี้สายพองยุบเขาไม่เอาลมหายใจ การปฏิบัติที่ต้องการมรรคผล ต้องมีสมาธิทรงตัวอย่างน้อยปฐมฌานขึ้นไป ถ้าไม่มีสมาธิทรงตัวระดับนั้นจะตัดกิเลสไม่ได้ แต่การที่จะมีสมาธิทรงตัวได้เราต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก สมาธิถึงจะทรงตัว สายพองยุบเขาไม่เอาลมหายใจเข้าออก ชาติหน้าบ่าย ๆ คงจะได้สมาธิหรอก..!

สำหรับนักปฏิบัติระยะแรกเริ่มจะรู้สึกว่าดี เพราะเราต้องบังคับตัวเองให้กำหนดรู้อาการพองยุบอยู่ตลอด แต่ถ้าสมาธิเริ่มสูงขึ้นเราจะกำหนดอาการนั้นไม่ได้ ในเมื่อกำหนดอาการนั้นไม่ได้ เขาก็ให้กำหนดตัวรู้ ถ้าเราไม่ได้ก้าวมาจากการกำหนดลมหายใจเข้าออก สมาธิไม่ทรงตัว ความละเอียดมีไม่พอ จะไปกำหนดรู้รูปนั่งรูปยืนอะไรก็ยาก

เถรี 17-12-2012 22:07

ถาม : ทำไม...(ไม่ชัด)...?
ตอบ : ตามสายปฏิบัติทั่ว ๆ ไป พอลมหายใจหมดไป คำภาวนาหมดไป เขาให้กำหนดรู้อาการนั้นไว้เฉย ๆ เพราะสมาธิจิตละเอียดเกินการปรุงแต่งไปแล้ว แต่สายพองยุบเขาให้กำหนดว่า "รู้หนอ" การกำหนดอาการ "รู้หนอ" เป็นการลดกำลังใจลงมา ก็ต้องมารบกับกิเลสอื่น ๆ ต่อไป เท่าที่อาตมาปฏิบัติมา สายนี้ไปยากที่สุด เพราะขาดสมาธิมาช่วย

เถรี 17-12-2012 22:08

ถาม : อะไรเข้ามาก่อนก็รับรู้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่...ตอนนั้นอะไรก็เข้าไม่ได้ สภาพจิตละเอียดเกินการปรุงแต่งไปแล้ว ในเมื่อเกินการปรุงแต่งไปแล้ว ลมหายใจที่ยังปรุงแต่งอยู่ คำภาวนาที่ยังปรุงแต่งอยู่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะจิตเลยไปแล้ว เราแค่รับรู้อาการไว้เฉย ๆ ถ้าสภาพอย่างนั้นสติจะมั่นคงอยู่เฉพาะหน้า จะรู้ได้ตลอด เพราะสมาธิหนุนอยู่ แต่คราวนี้สายพองยุบไปรู้หนอโดยที่ไม่มีสมาธิหนุนอยู่ เพราะเป็นการลดสมาธิลงมาปรุงแต่ง อารมณ์นั้นจึงอยู่ได้ไม่นาน

ต้องทำให้ถึง ถ้าทำถึงแล้วจะรู้ ทำไม่ถึงพูดไปก็เท่านั้นแหละ

เถรี 17-12-2012 22:15

ถาม : ในเรื่องของสังโยชน์ ๓ อย่างเรื่องศีลมีการเปรียบเทียบว่าตัวตายดีกว่าศีลขาด แล้วกรณีของการรู้ตัวว่าจะต้องตายนี่มีลักษณะให้ลองเทียบไหมคะ ว่าขนาดไหนถึงจะพอใช้ได้ ?
ตอบ : ทุกลมหายใจของเรานึกได้ไหมว่าเราจะต้องตายแน่ ถ้าสติรู้รอบ จะรู้อยู่ว่าเราจะต้องตายอยู่ทุกลมหายใจ เราหายใจเข้า ถ้าหยุดไว้แค่นั้นไม่หายใจออกเราก็ตาย เราหายใจออก ถ้าหยุดไว้แค่นั้นไม่หายใจเข้าเราก็ตาย ความรู้สึกกับลมหายใจจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ปัญญาจะมองเห็นเอง

ถ้าใจเราอยู่กับพระ อยู่กับความดีในกองกรรมฐาน โดยเฉพาะลมหายใจเข้าออก ก็แปลว่ากำลังใจของเราใช้ได้

เถรี 19-12-2012 10:34

ถาม : ช่วงหลังนี้สติไม่ค่อยอยู่กับตัว ทำอย่างไรไม่ให้ฟุ้งซ่านครับ ?
ตอบ : ภาวนาอย่างเดียว ไม่ต้องคิดมาก วัน ๆ นั่งจับลมหายใจไป จริง ๆ รู้ตัวแล้วไม่แก้น่าจะโดนสักที..!

ถาม : ผมก็พยายามจับอยู่ แต่ยังฟุ้งซ่านครับ ?
ตอบ : ที่ไม่เห็นผลเพราะทำไม่ถึง ถึงเมื่อไรจะเห็นผล ของอย่างนี้ต้องค่อย ๆ สะสมตัวไปเรื่อย แรก ๆ ก็เหมือนกับน้ำหยด..ทีละหยด กว่าจะเต็มโอ่งได้ก็รอกันนาน ตอนเต็มเราก็ไม่รู้ว่าเต็มตอนไหน ช่วงสะสมแรก ๆ ทีละหยดเหมือนกับไม่ได้อะไรเลย ค่อย ๆ ทำไปเดี๋ยวก็ก้าวหน้าเอง

ถาม : บางครั้งก็รู้สึกว่าใจร้อนอยากเห็นผลครับ ?
ตอบ : ปฏิบัติธรรมต้องอย่าใจร้อน ใจร้อนไม่ได้หรอก ความใจร้อนเกิดจากนิสัยเจ้าโทสะ สติไม่พอที่จะรั้งปาก ที่สติไม่พอเพราะสมาธิไม่มีกำลัง เพราะฉะนั้น..ต้องเน้นที่สมาธิเป็นหลัก

เถรี 19-12-2012 12:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเครื่องของวัดบวรนิเวศน์วิหาร ถ้าไม่ใช่พระรุ่นเก่าไปเลย เขาไม่ค่อยเชื่อถือกัน เนื่องจากมีการทำปลอม ทำเสริม ทำเพิ่มกันกระจายเลย..! รุ่นที่ปลอมแล้วเป็นเรื่องเป็นราวมากที่สุดก็คือ พระกริ่งปวเรศรุ่น ๒ ที่สร้างฉลองในหลวง ๖๐ พรรษา เป็นพระกริ่งรุ่นเดียวที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไปเสกให้

รุ่นหลัง ๆ ที่ดังก็มีรุ่นคชวัตรนี่แหละ เพราะไม่ใช่พวกลูกศิษย์หน้าเดิม ๆ ทำ ให้คนอื่นเขาทำ ทำออกมาแล้วดัง ส่วนใหญ่ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า ไม่ใช่พระดำริของสมเด็จพระสังฆราช ส่วนใหญ่เขาไปทำกันเอง

แม้กระทั่งพระกริ่งพิชัยสงครามของเรา เขายังเอาไปยัดลงวัดบวรฯ เลย เขาเอาไปทำจริง ๆ เพราะตอนเราสร้างพระกริ่งเสร็จแล้ว ไม่ได้เอาแบบคืนมา เขาก็เลยสร้างพระกริ่งพิชัยสงคราม แต่ว่าทำกล่องวัดบวรฯ ขาย ยังดีที่เขาไม่ชุบเงินชุบทอง ถ้าไม่อย่างนั้นเราแย่เลย เพราะเป็นแบบเดียวกัน แยกกันไม่ออก ที่เขาไม่ชุบเงินชุบทองเพราะต้นทุนสูง ได้กำไรน้อย"

เถรี 19-12-2012 12:05

"ปีหน้าสมเด็จพระสังฆราชฯ ก็จะมีพระชนมายุ ๑๐๐ พรรษา น่าจะเป็นสมเด็จพระสังฆราชที่มีพระชนมายุยืนนานที่สุด เพราะว่าองค์ก่อน ๆ นี้แค่ ๙๐ พรรษาเศษ ๆ แต่คราวนี้เกรงว่าท่านจะอยู่ไม่ถึงวันพระราชสมภพ

จะว่าไปแล้วการแพทย์สมัยใหม่ ทำให้คนตายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ถ้าคนตายอย่างเป็นธรรมชาติ ร่างกายจะค่อย ๆ หมดกำลัง แล้วก็ค่อย ๆ ตายไปเอง แต่ตอนนี้พอใครออกอาการก็เอาเข้าโรงพยาบาล ให้น้ำเกลือ ให้เลือด ใส่สายออกซิเจนระโยงระยางไปหมด สรุปว่าตายอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

บางทีสภาพร่างกายไม่ไหวแล้ว แต่เครื่องมือแพทย์ค้ำอยู่ หลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นนักปฏิบัติหลายต่อหลายท่านปฏิเสธเลย ป่วยแล้วอย่าเอาเข้าโรงพยาบาล เพราะเข้าโรงพยาบาลแล้วจะไม่ได้ตายตามปกติ"

เถรี 19-12-2012 19:55

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครฟังฝ่ายค้านซักฟอกนายกรัฐมนตรีบ้าง ฝ่ายค้านเขาด่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่าไม่มีภาวะผู้นำ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ทำไม่รู้ไม่ชี้ เขาจะด่าอย่างไรก็ด่าไป ตอบเสร็จแล้วนั่งยิ้ม ก็เลยสงสัยว่าใครไม่มีภาวะผู้นำกันแน่ ? คาดว่าถ้าคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ไปอีกสัก ๒ ปี จะสร้างมาตรฐานใหม่ ต่อไปพวกนักการเมืองดีแต่พูดเกิดไม่ได้หรอก เพราะท่านทำงานอย่างเดียวจริง ๆ ไม่ยอมเสียเวลาไปทะเลาะกับใคร

ในเรื่องของนโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลทำ ถ้าจะหาเรื่องขุดมาด่าก็มีทุกเรื่องแหละ แต่คราวนี้จะต้องมีหลักฐานอย่างชัดเจน ไม่ใช่คิดว่า คาดว่าซ้ำยัง ไม่ใช่ตัวนโยบาย เพราะที่เขาเอามาด่ากันเป็นการรั่วไหลระดับล่าง ๆ ซึ่งมีทุกที่ รัฐบาลตามดูไม่ทั่วหรอก ทุกรัฐบาลก็เป็น

ดังนั้น..งานนี้ที่เขาออกมาก่อม็อบกัน พอดีวัดท่าขนุนจัดปฏิบัติธรรม อาตมาก็เลยบอกกับโยมไปว่า ไม่ต้องไปกังวลหรอก เพราะพวกที่ออกมาเขาออกมาแบบผิดธรรมชาติ เคยเห็นของที่เกิดมาผิดฤดูไหม ? ของที่เกิดผิดที่ ผิดฤดูกาลอยู่ไม่ได้หรอก เพราะว่าม็อบที่ออกมาไม่ได้ออกมาจริงจัง เขาออกมาด้วยการรวมหัวกันของบุคคลผู้เสียผลประโยชน์ มีทั้งพ่อค้ายาเสพติด มีทั้งพ่อค้าหวย มีทั้งพ่อค้าข้าว มีทั้งนักการเมืองอกหัก มีทั้งอำมาตย์อีแอบอะไรพวกนี้ เขาไปจ้างกันมา

ในเมื่อเทกระเป๋าจ้างกันออกมา ต่างคนก็ต่างรอลุ้น ที่น่าสงสารที่สุดก็คือ คุณเสธ.อ้าย โดนเขาหลอกให้ทำงานโดยไม่รู้ตัว"

เถรี 19-12-2012 20:08

"พอก่อม็อบผิดจังหวะ ก็เลยพลอยทำให้การซักฟอกกร่อยไปด้วย เพราะเนื้อหาที่เตรียมมาซักฟอกต้องสอดคล้องกับม็อบ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับทั้ง ๒ ฝ่าย คราวนี้ม็อบล่มแต่เช้าเลย เนื้อหาที่เตรียมไว้จึงเปลี่ยนไม่ทัน คนอภิปรายก็อภิปรายไปเซ็งไป

ต้องรอท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์สร้างมาตรฐานใหม่ในรัฐสภาของเรา ตอนนี้ทนฟังเรื่องไร้สาระ รกหู หยาบคายไปก่อน พอนาน ๆ ไปก็จะเหลือแต่เนื้อหา การค้านต้องค้านอย่างมีหลักการ มีเหตุผล มีหลักฐาน มีประจักษ์พยานชัดเจน ถ้าอย่างนั้นถือว่าค้านอย่างมีคุณภาพ การค้านแบบด่าเอามันไม่น่าจะใช่วิสัยนักการเมือง น่าจะเป็นนักโต้วาที หรือไม่ก็แม่ค้าในตลาดมากกว่า

สมัยก่อนป๋าเปรมสร้างมาตรฐานอย่างหนึ่งก็คือ นักข่าวไม่สามารถเอาคำพูดของป๋าไปพัวพันกับเหตุการณ์ทางการเมืองได้ เพราะถามอะไรป๋าก็ “กลับบ้านเถอะลูก” ถามอะไรมาป๋าไม่ตอบ ไล่กลับบ้านอย่างเดียว

ก็เป็นตัวอย่างที่ดีให้เห็นว่า เรื่องการเมืองไม่รุนแรง ถึงเวลาเขาก็เลยตั้งฉายาให้ท่านพลเอกเปรมว่า "เตมีย์ใบ้" แต่ความจริงเป็นวิธีการรับมือกับนักข่าวที่ดีที่สุด เพราะปกติถึงเราไม่พูด นักข่าวก็ยังเอาไปเขียน แต่ป๋าเปรมพูดให้เขาเขียนไม่ได้ พูดว่ากลับบ้านเถอะลูก แล้วจะไปเขียนอะไรได้..!"

เถรี 19-12-2012 20:18

"พอมาถึงรุ่นพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ท่านพูดว่า “ไม่มีปัญหา” ในเมื่อไม่มีปัญหาแล้วจะไปเขียนได้อย่างไร พอมาตอนนี้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ใครอยากด่าก็ด่าไป ไม่ตอบเสียอย่าง ปล่อยให้ด่าลมด่าแล้งไป

นึกถึงอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ที่ไปด่าพระพุทธเจ้า ไม่ได้หมายความว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ท่านจะดีเหมือนพระพุทธเจ้า แต่อยากจะให้ดูความหมายที่พระพุทธเจ้าตอบอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ว่า “พราหมณะ...ดูก่อนพราหมณ์ ญาติสาโลหิตมิตรสหาย ตลอดจนผู้ที่เคารพนับถือ มาเยี่ยมเยือนท่านถึงเรือนมีบ้างหรือไม่ ?”

อักโกสกภารทวาชพราหมณ์บอกว่า "มีสิ..เราไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอกนี่นา" พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “ท่านได้จัดเอาขาทนียะโภชนียะ (ข้าวปลาอาหาร) มาต้อนรับเขาบ้างหรือไม่ ?” อักโกสกภารทวาชพราหมณ์บอกว่า ก็ต้องจัดให้ตามมารยาทเจ้าของบ้าน พระพุทธเจ้าตรัสถามต่ออีกว่า “ถ้าเขาไม่ได้รับของเหล่านั้น แล้วของเหล่านั้นจะตกเป็นของใคร ?” อักโกสกภารทวาชพราหมณ์บอกว่า “ก็ต้องเป็นของข้าพเจ้าตามเดิม”

พระพุทธเจ้าบอกว่า “นั่นแหละพราหมณะ...เวลาท่านด่าตถาคต แล้วตถาคตไม่รับ คำด่านั้นจะตกเป็นของใคร ?” อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ได้คิด ยอมกราบเลย กราบทูลว่า “ท่านสมณโคดม วาจาท่านเป็นภาษิตเหลือเกิน เหมือนหงายของที่คว่ำ เหมือนตามประทีปในความมืด”

เถรี 19-12-2012 20:22

"คราวนี้เรามาดูว่า ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งด่าเอา ๆ แล้วนายกฯ ยิ่งลักษณ์ท่านไม่ตอบให้ชาวบ้านเขาเห็น ตกลงท้ายสุดคนด่าก็รับไปเอง ก็จะออกมาในลักษณะเดียวกัน ประเภทไม่ด่า ไม่ตอบโต้ ไม่ใช่ไม่รู้สึกนะ นึกถึงหลวงปู่พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง “หลวงปู่..เขาด่าหลวงปู่ขนาดนั้น หลวงปู่ไม่โกรธหรือ ?”

หลวงปู่ตอบว่า “โกรธสิวะ..! ข้าไม่ใช่พระอรหันต์นี่หว่า อยากมองให้มันหายวับไปตรงนั้นเสียด้วยซ้ำไป แต่จะทำอย่างไรได้ ข้าเป็นพระก็ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว” เพราะฉะนั้น..ไม่ตอบไม่ใช่ไม่รู้สึก รู้สึกเหมือนกัน แต่อยู่ลักษณะน้ำขุ่นอยู่ใน น้ำใสอยู่นอก ซึ่งลักษณะอย่างนี้ตรงกับมารยาทในสังคมไทยแต่โบราณมา

เพราะฉะนั้น..ถ้าท่านนายกฯ ยิ่งลักษณ์ รักษาภาพพจน์ลักษณะนี้ได้ อยู่ไปนาน ๆ คนจะรักขึ้นอีกมาก เพราะว่าปัจจุบันฝ่ายค้านเขาเสียเปรียบ ที่เสียเปรียบประการที่หนึ่งก็คือ ด่าไปเท่าไรอีกฝ่ายไม่ตอบ เสียเปรียบประการที่สอง ก็คือ ตัวเองเป็นผู้ชายแล้วไปด่าผู้หญิง หมดราคากันเลย

ถ้าฝ่ายค้านเขารู้จักประเมินตัวเอง ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่ ค้านอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่ค้านทุกเรื่อง จับผิดทุกเม็ด หยุมหยิมแค่ไหนก็เอามาหมด พูดผิดก็เอามาด่า กราบไม่แบมือก็เอามาติ"

เถรี 19-12-2012 20:26

"ถ้าท่านนายกฯ สมัครยังอยู่ เราจะเห็นเวลาท่านตอบกระทู้ ตัวเลขนี่จะบอกเป๊ะ ๆ เลย แต่ขอโทษ..ไม่ใช่ของจริงหรอก ถามอะไรท่านสามารถยกตัวเลข ขึ้นมาตอบได้หมด พูดไปเดี๋ยวนั้น คนกำลังฟังใครจะตามไปตรวจสอบได้ ?

นั่นเป็นลีลาของนักการเมือง ทำให้ดูน่าเชื่อถือ เพราะรู้ว่าพูดไปแล้วคนเขาก็ไม่ตามไปตรวจสอบหรอก ใครจะตะกายไปดู คนไปดูก็รู้ไม่กี่คนหรอก ที่เหลือก็ไม่รู้ต่อไปอยู่ดี

นักการเมืองสมัยก่อนที่เป็นดาวเด่นเลย เริ่มจากคุณสมัคร สุนทรเวชนี่แหละ สมัยคุณสมัครตั้งพรรคประชากรไทย เขาบอกว่าส่งเสาไฟฟ้าลงสมัครก็ได้ ช่วงนั้นส.ส.กรุงเทพฯ คุณสมัครกวาดเกือบ ๑๐๐% พอถัดมาก็เป็นคุณจำลอง ศรีเมือง หลังจากคุณจำลองก็เป็นคุณทักษิณอยู่ระยะหนึ่ง
หลังจากนั้นบ้านเมืองก็แตกแยก จะหาที่เด่น ๆ โผล่ขึ้นมาเป็นความหวังของชาวบ้านเขาจริง ๆ ยังไม่ได้"

เถรี 20-12-2012 21:22

"ตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์กำลังอยู่ในภาวะเสียเปรียบทางการเมือง เพราะคุณอภิสิทธิ์โดนถอดยศ ดูท่าคดีต่าง ๆ ก็รัดตัวเข้ามาทุกที สนามหลัก ๆ ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ดูดีหน่อยก็คือสนามที่กรุงเทพฯ ไม่อย่างนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเหมือนอย่างคุณเนวิน เป็นพรรคเฉพาะกิจแค่ภาคใต้ หรือไม่ก็พรรคพลังชลของคุณสนธยา ที่ได้แค่จังหวัดเดียวหรือ ๒ จังหวัดทางภาคตะวันออก ถ้าเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ใหม่แล้วยังหาตัวเด่นไม่ได้ หรือว่าคุณชายสุขุมพันธุ์ยังลงสมัครต่อ ถ้าแพ้ขึ้นมาก็สาหัส..!

กลอนสุนทรภู่ท่านว่า "ทั้งโลกซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา" ต้องบอกว่าความจริงเป็นเรื่องของใครทำใครได้ เพราะว่าทั้งหมดเกิดจากการกระทำของตัวเองนั่นแหละ การเมืองของไทยเรายังหักโค่นกันรุนแรงมาก ไปเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้เกิดเท่านั้นเอง

ตอนแรกที่พรรคประชาธิปัตย์ดันคุณอภิสิทธิ์ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค ก็ถือว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่ใช้ได้เลย ก็คือเอาคนหนุ่ม มีความรู้ ฝีปากดี มาเป็นผู้นำ แต่ถ้าฟังคุณปู่พิชัย รัตตกุล ท่านว่า "ผมให้คะแนนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ๗๕% แต่ให้คะแนนตอนคุณอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ๖๐% ผมเป็นประชาธิปัตย์ทั้งเลือด ทั้งเนื้อ ทั้งชีวิต ใครมาทำลายพรรคประชาธิปัตย์ผมสู้แค่ตาย แต่ในเมื่อผู้นำพาพรรคตกต่ำ ผมก็ต้องวิจารณ์ตรง ๆ" คุณปู่ท่านพูดตรงดีนะ"

เถรี 20-12-2012 21:29

"คุณปู่พิชัยบอกว่า เหตุที่พรรคประชาธิปัตย์ตกต่ำในระยะนี้ เพราะคุณอภิสิทธิ์ไม่ใช้คนเก่าคนแก่ที่มีประสบการณ์ อันนี้คนในเขามองกันเองนะ คุณปู่พิชัยบอกว่า คุณอภิสิทธิ์ใช้แต่คนรุ่นใหม่ที่อยู่รอบข้างแค่ ๒ - ๓ คนเป็นที่ปรึกษา ความเชี่ยวชาญทางการเมืองมีน้อย อ่านแนวทางการเมืองไม่ขาด ประสบการณ์ในการแก้ปัญหาไม่มี ก็เลยกลายเป็นเดินหมากจนตกหลุมตกร่องจนทุกวันนี้

ถ้าคำพูดของคุณปู่พิชัยไปเข้าถึงหูแล้วมีการปรับปรุงใหม่ ทุกอย่างน่าจะดีขึ้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ปัจจุบันนี้ ตัวบุคลากรที่แทบจะเป็นปูชนียบุคคลของพรรคเลย อย่างคุณปู่พิชัยก็ดี คุณชวน หลีกภัยก็ดี ยังมีอยู่ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่ต้องห่วงหรอก แต่ละคนผ่านการเป็นนายกฯ มาแล้วทั้งนั้น ๒ สมัยก็มี ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ควรที่จะเอาท่านมาเป็นประโยชน์ให้มากที่สุด ทุกท่านก็เต็มใจทำเพื่อพรรคอยู่แล้ว

พรรคเก่าที่สุดของประเทศไทย ต้องบอกว่าอยู่คู่ประชาธิปไตยของไทยมาตลอด ตกต่ำลงไป แม้แต่อาตมายังรู้สึกใจหาย เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งตอนที่คุณชวนเป็นนายกฯ ก็ยังได้พบกับท่าน ตอนนั้นไปหาเสียงที่อุทัยธานี ยังชอบใจว่าท่านเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพ สื่อมวลชนเขาเรียกว่า "มีดโกนอาบน้ำผึ้ง" ไม่ด่าคน แต่เชือดเฉือนด้วยวาจา แสบเสียยิ่งกว่าด่าตรง ๆ อีก เป็นการด่าแบบผู้ดี

แต่จะว่าไปแล้วนายกฯ ในยุคหลัง ๆ นี่อาตมาได้เจอแทบทุกท่าน เจอท่านนายกฯ บรรหาร ๒ ครั้ง ท่านนายกฯ ชวน ๑ ครั้ง ท่านนายกฯ สุรยุทธ์ ๑ ครั้ง ท่านนายกฯ ชวลิต ๑ ครั้ง ท่านนายกฯ ทักษิณนี่เจอมากที่สุด ๔ ครั้ง เพราะท่านนายกฯ ทักษิณออกเยี่ยมชาวบ้านเป็นว่าเล่นเลย ขนาดนัดไว้ ๕ โมงเย็นมาถึง ๑ ทุ่มก็ยังมา มาเสร็จก็ชี้ “โน่นครับ...ต้องโทษพี่บรรหาร พี่บรรหารลากผมไปดูงานที่สุพรรณฯ ไม่ยอมปล่อยผมมา" คุณบรรหารพาท่านนายกฯ ทักษิณไปที่อู่ทอง ไปดูว่าปัญหาน้ำแล้งของอำเภอเลาขวัญกับอำเภอห้วยกระเจาของจังหวัดกาญจนบุรี สามารถผันน้ำไปจากอำเภออู่ทอง ของจังหวัดสุพรรณบุรีได้"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:59


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว