กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=40)
-   -   เก็บตกงานกฐินวัดเขาวง-วัดถ้ำป่าไผ่ ( ๓๑ ตุลาคม-๑ พ.ย. ๕๒) (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1347)

เถรี 29-11-2009 15:57

การอุทิศส่วนกุศลนั้น จัดเป็นบุญใหญ่อย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา เรียกว่า บุญเกิดจากการอุทิศส่วนกุศล บาลีเรียกว่า ปัตติทานมัย

สิ่งที่เราทำมาโดยยาก เรายังอุตส่าห์เสียสละให้แก่ผู้อื่นเขา น้ำใจที่สละออกได้ขนาดนั้น ต้องประกอบด้วยความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง จึงจัดเป็นบุญใหญ่อย่างหนึ่งที่เราสามารถจะเสริมสร้างต่อจากบุญเดิมได้โดยง่าย ดังนั้น..ทุกครั้งที่ท่านทำบุญแล้วก็อย่าได้ลืมในการอุทิศส่วนกุศลด้วย เพื่อที่จะได้เพิ่มพูนบุญส่วนอื่นให้แก่ตนเองต่อไป

เถรี 29-11-2009 21:17

ญาติโยมทั้งหลาย โดยเฉพาะท่านที่เป็นเจ้าของพื้นที่ อาศัยอยู่รอบ ๆ วัดถ้ำป่าไผ่นี้ก็ดี อยู่ทั่วอำเภอลี้ก็ดี อยู่จังหวัดลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ก็ดี ถือว่าเราเป็นเจ้าของถิ่น โดยปกติแล้วถือว่าเป็นหน้าที่ของเจ้าถิ่น ที่จะดูแลบำรุงรักษาวัดในเขตพื้นถิ่นของตัวเองให้เจริญรุ่งเรือง ถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะทำได้ เราก็ติดต่อขอความช่วยเหลือจากบุคคลนอกถิ่น อย่างเช่นคณะของอาตมา เมื่อมาถึงแล้ว เราที่เป็นเจ้าของถิ่นก็ทำการต้อนรับขับสู้ มีการเตรียมพร้อมไว้ทั้งที่พักและอาหาร ก็ถือว่าท่านทั้งหลายได้ทำตัวเป็นเจ้าภาพที่ดี

โดยเฉพาะทางด้านเหนือนี้ ตั้งแต่สมัยอาตมายังวัยรุ่นอยู่ ก็เป็นเจ้าภาพนำกฐินมาถวาย แต่ตอนนั้นยังเด็ก หาปัจจัยไทยธรรมได้ไม่มาก จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งนำกฐินไปทอดที่วัดใหม่ศรีสุพรรณ อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ไปถึงทางวัดก็มีขบวนฟ้อนเล็บมาต้อนรับ มีการเลี้ยงขันโตก มีโคมลอย มีลิเก สรุปแล้วทางวัดลงทุนไปประมาณสามหมื่นบาท อาตมาเองเอากฐินมาให้เขาได้สามหมื่นกว่านิดหน่อย วัดเกือบจะขาดทุน

ตั้งแต่นั้นมาก็รู้สึกว่าคนทางด้านเหนือให้การต้อนรับคนต่างถิ่นได้อบอุ่นมาก ก็เลยทำให้เกิดความรู้สึกติดใจ ใกล้ชิด และซาบซึ้งในน้ำใจของญาติโยมทั้งหลาย จึงเป็นเหตุว่าต้องมาทางด้านเหนือของเราทุกปี

จริง ๆ แล้ววัดถ้ำป่าไผ่นี้ก็มาบ่อย แต่มาในลักษณะที่ว่าค้างคืนหนึ่งแล้วก็เดินทางต่อ น้อยครั้งที่จะมาค้างเพื่อร่วมงานบุญกุศลแบบนี้ โดยเฉพาะระยะหลัง งานส่วนตัวก็ดี งานของการคณะสงฆ์ก็ดี มีมากขึ้นเรื่อย ๆ แย่งเอาเวลาไปจนหมด นี่ถ้าหากตุ๊พ่อมหาสิงห์ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าไว้หลายเดือน โดยเฉพาะถ้าให้กำหนดเวลาทอดผ้าป่ากันเอง อาจจะไม่ได้มาด้วยซ้ำไป

เถรี 29-11-2009 22:28

ท่านทั้งหลายที่อยู่จังหวัดลำพูน ถือว่าอยู่ในปฏิรูปเทส คือ เป็นถิ่นที่เหมาะสม เพราะว่าจังหวัดลำพูนบ้านเกิดของเรานั้น เป็นบ้านเกิดของหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย

หลวงปู่ครูบาศรีวิชัยท่านเกิดที่บ้านปาง ปัจจุบันนี้ก็มีพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ครูบาศรีวิชัยที่บ้านปาง นอกจากนี้จังหวัดลำพูนยังเป็นที่อยู่ของพระเถระที่สำคัญอีกเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น หลวงปู่ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า หลวงปู่ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นมิ่งขวัญและกำลังใจ เป็นพระที่เป็นพระแท้ในพระพุทธศาสนา

เมื่อท่านเกิดในถิ่นที่เหมาะสมเช่นนี้แล้ว ก็เหลือเพียงว่าเราจะทำอย่างไรจึงจะสมกับที่เกิดมา
สำหรับชาวลำพูนจริง ๆ แล้วอาตมาไม่ห่วง เพราะว่าพวกเราเกิดในศีลกินในธรรมมาแต่เล็กแต่น้อยแล้ว เกิดมาครอบครัวก็พาเข้าวัดเข้าวาเป็นปกติอยู่แล้ว เป็นห่วงก็แต่เด็กรุ่นหลัง ๆ เท่านั้น เนื่องจากว่าในปัจจุบันนี้ พวกความเจริญต่าง ๆ ที่เข้ามาถึงมีมาก ทำให้รุ่นพ่อรุ่นแม่ต้องขวนขวายทำการทำงานหนักขึ้น เพื่อที่จะได้เสาะหาสิ่งต่าง ๆ มาตอบสนองต่อความต้องการ

อย่างเช่นว่าก่อนนี้ไม่มีโทรทัศน์ก็ต้องมี ไม่มี dvd ก็ต้องมี ไม่มีตู้เย็นก็ต้องมี ไม่มีมอเตอร์ไซค์ ไม่มีรถปิ๊กอัพก็ต้องมี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อท่านไปทุ่มเทเพื่อหามันมามากขึ้น ก็ทำให้ท่านทั้งหลายมีเวลาให้ลูกให้หลานน้อยลง มีเวลาให้พระศาสนาน้อยลง ลูกหลานรุ่นหลังก็จะห่างวัดไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดก็จะไม่มีที่พึ่งทางใจเหมือนรุ่นพวกเราที่มี

ดังนั้น..ในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันนี้ สิ่งทั้งหลายที่เราไปเสาะหามานั้นมีความจำเป็นจริงหรือไม่? เราไม่มีตู้เย็นเราอยู่ได้ไหม? เราไม่มีโทรทัศน์เราอยู่ได้ไหม? เราไม่มีรถปิ๊กอัพเราอยู่ได้หรือไม่? โดยเฉพาะสินค้าในปัจจุบันคือสินค้าเงินผ่อนทั้งหมด หาเงินมาได้เท่าไรก็ต้องไปจ่ายให้เขา และเขาบวกดอกเบี้ยอยู่เรื่อย ๆ ในเมื่อเราหาเงินได้เท่าไรก็เอาไปให้เขา มันก็กลายเป็นถมไม่รู้จักเต็ม จะว่าไปแล้วก็คือ เราขาดสันโดษ พระพุทธเจ้าท่านให้ธรรมะ ข้อสันโดษเอาไว้ ก็คือ พอใจ ยินดี ตามมีตามได้

เถรี 30-11-2009 09:17

ต้องบอกว่า วาระบุญ...เมื่อมาถึง อะไรก็กั้นไม่ได้ ส่วนวาระกรรมนั้น...ถ้าหากว่ามาถึง หนีไปไหนก็หนีไม่พ้นเช่นกัน

มีพระอยู่ชุดหนึ่งเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ไปอาศัยอยู่วัดป่าแห่งหนึ่ง เขาก็จัดให้นอนอยู่ในถ้ำ ปรากฏว่าเวลากลางคืนก้อนหินใหญ่กลิ้งลงมาอุดปากถ้ำพอดี พยายามจะแงะอย่างไรก็ไม่ออก เอาคนทั้งหมู่บ้านมาช่วยกันฉุด ช่วยกันแงะเท่าไหร่ก็ไม่ออก พอครบ ๗ วัน หินก็กลิ้งออกมาเอง พระที่อยู่ข้างในถ้ำก็อดข้าวจนผอมโซ เมื่อเขาดูแลจนร่างกายท่านแข็งแรงแล้ว ก็พากันเดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลถามถึงบุรพกรรม ว่าทำอะไรมาจึงเป็นอย่างนั้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่าในชาติหนึ่ง พระภิกษุทั้ง ๕ รูปนั้นเป็นเด็กเลี้ยงวัว ปล่อยวัวให้หากินในทุ่ง แล้วตัวเองก็เที่ยวตามล่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย วันนั้นไปเจอตะกวดอยู่ตัวหนึ่ง ก็ไล่จับตะกวดกัน ตัวตะกวดมันหนีมุดเข้าไปในจอมปลวก ก็คิดว่าจะขุดจอมปลวกนี้เพื่อเอาตัวตะกวด แต่ว่ามันก็ใกล้ค่ำแล้ว ก็เลยตัดสินใจเอาไม้อุดไว้ก่อน ตั้งใจว่าพรุ่งนี้ค่อยมาขุด

พอวันรุ่งขึ้น เด็กทั้ง ๕ คน ก็ดันต้อนวัวไปหากินทางด้านอื่น ลืมไปเลยว่าตัวเองได้อุดรูขังตะกวดไว้ในจอมปลวก จนเวลาผ่านไป ๗ วัน ก็ต้อนวัวมากินที่ทุ่งหญ้าเดิม พอเห็นจอมปลวกก็เลยนึกขึ้นได้ ไปดึงท่อนไม้ที่อุดรูออก เมื่อตะกวดเห็นแสงสว่างก็ดีใจรีบคลานออกมา จากตัวอ้วน ๆ กลายเป็นผอมกระหร่องไปเลย พวกเด็กเลี้ยงวัวเห็นว่าไม่น่ากินแล้วก็เลยปล่อยไป ตะกวดก็เลยรอดตายไปได้

ด้วยอานิสงส์ผลกรรมที่ได้กักขังตะกวดเอาไว้ ๗ วันนี้แหละ ชาตินี้เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว พอเข้าไปพักในถ้ำ ด้วยแรงกรรมก็เลยบันดาลให้หินใหญ่เข้ามาอุดปากถ้ำไว้

เถรี 30-11-2009 13:27

ลูกศิษย์สายหลวงพ่อมักจะกลัวเงิน โดยเฉพาะอาตมา เพราะว่ามีเงินแล้วท่านก็ไม่ให้เป็นส่วนตัว ท่านบอกว่าเงินปีนี้อย่าให้เหลือถึงปีหน้า แปลว่าทุกครั้งเรารับเงินมาจะต้องทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา เป็นการสร้างเสริมบุญกุศลแก่ญาติโยมที่ถวายมา ก็คือ รับแล้วต้องเหนื่อย ดังนั้นอาตมาจะกลัวเงิน เวลาโยมถวายเยอะ ๆ มักจะดุเอา โยมก็ไม่เข้าใจว่าให้เงินแล้วยังดุอีก

ส่วนใหญ่แล้วเวลาญาติโยมไปวัดไหนก็ตาม พอมีงานก็จะมีการแจ้งข่าวบุญ หรือมีการโทรตาม มีการส่งซองปัจจัยไปให้ที่บ้าน วัดของอาตมากลัวได้เงิน เวลาจัดงานแม้กระทั่งบอกโยมก็ยังไม่บอก กลัวโยมมาเยอะ....เปลืองข้าว กลัวได้สตางค์ ตุ๊พ่อท่านก็ไปร่วมงานแล้วที่วัด (งานวันแม่ที่เกาะพระฤๅษี) แม้จัดงานโดยไม่บอกญาติโยม พยายามปิดกันให้แซ่ดว่ามีงาน เรื่องของเรื่องก็เลยกลายเป็นว่ายิ่งปิดก็ยิ่งดังไปเรื่อย

อันนี้เกิดจากหลายสาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรกก็คือ บารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยเฉพาะหลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ ท่านตั้งใจที่จะทำให้งานเป็นเช่นนั้น ประการที่สอง ก็คือ กำลังใจของญาติโยมทั้งหลายที่สละออกเพื่อสร้างเสริมบารมีของตนเอง เพื่อให้เข้าใกล้พระนิพพานทุกครั้งที่ได้ทำ ก็ทำให้ท่านทั้งหลายช่วยสนับสนุนในกิจการงานคณะสงฆ์อย่างเต็มที่ทุกครั้ง ส่วนปัจจัยอื่น ๆ นั้น ก็คือ อาตมาเป็นคนทำอะไรทำจริง ถ้าบอกว่าทำแล้ว มักจะไม่รอโยม คือบอกว่าทำเมื่อไหร่ก็ลงมือทำเอง

บางทีโยมขอเป็นเจ้าภาพสร้างสิ่งนั้นสิ่งนี้ พอไปดูที่วัดก็ตกใจว่าเกือบเสร็จแล้ว ในเมื่อทำอย่างนี้มาปีแล้วปีเล่า ก็ทำให้คนเห็นแล้วเกิดความคิดขึ้นมาว่า ทำบุญไปแล้วไม่เสียเปล่า เขาเอาเงินไปสร้างให้เราแน่ ทุกท่านก็สนับสนุนมากขึ้นเรื่อย ๆ

เถรี 30-11-2009 13:31

เรื่องของพระเป็นเรื่องประหลาดมาก ปกติแล้วของอื่น..สิ่งอื่น ยิ่งเก่ายิ่งแก่ก็หมดราคาไปเรื่อย โดยเฉพาะภรรยาแก่ ๆ ที่บ้าน แต่เรื่องของพระยิ่งแก่ยิ่งขลัง โดยเฉพาะถ้าอายุได้ ๙๐ ปีขึ้น หรือ ๑๐๐ ปีขึ้น ยิ่งขลังเป็นการใหญ่ แต่โยมไม่เข้าใจว่า ถ้าจะใช้...โปรดใช้ตอนยังแก่ไม่มาก ยังพอมีแรงอยู่ ถ้าขืนไปใช้ตอนอายุ ๑๐๘ ปี หายใจยังไม่มีแรงเลย อย่างที่โบราณเขาบอกว่า ต้องตะบันน้ำกิน

ตะบันน้ำกิน ก็คือ เอาน้ำมาตำก่อนจึงกินได้ เพราะแรงจะเคี้ยวยังไม่มี ก็เลยทำให้เรื่องของพระนี่ตรงข้ามกับชาวบ้านเขา ยิ่งเก่ายิ่งแก่ ยิ่งมีราคาขึ้นเรื่อย ๆ แต่หมายความว่าต้องสร้างความดีกันอีก

อาตมาเองก็ยังหนักใจว่าอายุ ๕๑ ญาติโยมยังให้การสนับสนุนขนาดนี้ ถ้าหากอยู่ไปถึง ๖๑ ไม่รู้ว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ เคยดูอายุตัวเองสองครั้ง แต่ดูแล้วเลิกเลย เพราะว่าเคยดูครั้งแรกบอกว่าเท่านี้ ผ่านไปอีกหลายปี ดูอีกครั้งเผื่อจะน้อยลง ปรากฏว่าเยอะขึ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอาตมาเลิกดู ตั้งใจอย่างเดียวว่าถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ทำงานพระพุทธศาสนาให้เต็มที่เต็มกำลังของเรา ถ้าหากจะไปวันไหนก็พร้อมที่จะไปทันทีเพราะเบื่อร่างกายนี้เต็มทนแล้ว มันมีแต่การเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่

โดยเฉพาะเป็นมาลาเรียเรื้อรังตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ เชื่อว่ามีญาติโยมจำนวนมากยังไม่ได้เกิดเสียด้วยซ้ำไป และเป็นมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเช้าก็ไข้จับ ตุ๊ป้อจะทำบวงสรวงอาตมายังนอนจับไข้อยู่เลย คือถ้าหากผิดอากาศหรือพักไม่พอ ไข้จะขึ้นทันที พยายามรักษามาทุกทางแล้ว ยาทุกประเภทแก้ไม่ได้ ต้องยอมรับว่ากรรมเก่าตัวเองเยอะ

ทุกครั้งที่ป่วยพอจะหาย จะมีนิมิตให้เห็นว่าไปสร้างกรรมอะไรมา ส่วนใหญ่แล้วเป็นทหารออกรบ ไปฆ่าเขาไว้มาก บางคราวถึงขนาดกวาดหมดทั้งกองทัพเลยก็มี เวลาเขาจัดทัพมาก็จะมีทัพหน้า ทัพหลวง ปีกซ้าย ปีกขวา และทัพหลัง บางทีแค่ทัพหน้าเราก็กวาดซะเกลี้ยง ดูแล้วเป็นการกระทำที่โหดร้าย แต่ว่าเพื่อรักษาประเทศชาติของเราไว้ ก็จำเป็นต้องทำ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:29


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว