พระอาจารย์กล่าวว่า "คนชื่อศิรวิชญ์ รู้หรือเปล่าแปลว่าอะไร ? ศิระ แปลว่า หัว วิชญ์ แปลว่า ความรู้ ดังนั้น..ศิรวิชญ์ แปลว่า รู้ท่วมหัว อาตมาแปลตามอรรถ ไม่แปลตามพยัญชนะ ถ้าแปลตามอรรถเขาเอาความหมายอย่างเดียว
ผู้หญิงชื่อฐิติมา ฐิติ แปลว่า ความตั้งมั่น เพราะฉะนั้น..ฐิติมา อาตมาแปลว่า ผู้หญิงหัวดื้อ ตั้งมั่นจนไม่ยอมเปลี่ยนความคิด..! เคยทักท้วงไปหลายครั้ง ก็คือ ผู้หญิงที่ชื่ออุมาพร เขาไปแปลอุมาพรว่า พรของพระอุมา เขาไม่รู้ว่า อุมะ แปลว่า บ้า เพราะฉะนั้น..อุมาพร แปลว่า บ้าอย่างยิ่ง เขาไปคิดว่าพรของพระอุมา บรรดาครูบาอาจารย์ที่สอนบาลีถึงได้บอกว่า ให้ท่องคาถาแล้วจะเรียนดี คาถาเขาว่า "อะหัง อุมมัตตะโก โหมิ" คราวนี้เขาก็ท่องไปเรื่อย และก็เรียนดีจริง ๆ อาจจะสมาธิดีขึ้นเพราะท่องคาถา แต่พอไปเจอคนแปลบาลีออกก็หัวเราะ เนื่องจาก อุมมัตตะโก แปลว่า ความบ้า โหมิ แปลว่า จงมี อะหัง แปลว่า ตัวข้า รวมความว่า..ขอความบ้าจงมีแก่ข้า หรือแปลง่าย ๆ ว่าตัวกูเป็นบ้า..!" |
ถาม : เวลาไปร้านอาหาร หยิบไม้จิ้มฟันกลับมาบ้าน จะผิดศีลข้อสองหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้ายังไม่แคะไม่เป็นไร ถ้าแคะแล้วหยิบกลับมาบ้านค่อนข้างไม่ปกติ..! ในร้านอาหารเขาวางไว้เป็นของกลางสำหรับทุกคนที่เข้าไปใช้บริการ อย่าถึงขนาดเทของเขามาหมดแล้วกัน ถ้าเทของเขามาหมดนี่เจตนาแล้ว ใกล้เคียงกับการขโมยเลย เพราะเขาตั้งใจให้คนทั่วไปใช้ ไม่ได้ให้เราคนเดียว ถ้าหากว่าประเภทเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นไร แต่ถ้าเทของเขามาหมดนี่ขโมยแล้ว ต่อให้เป็นของกลางก็เถอะ การเบียดบังของกลางนี่โทษหนักกว่าอีก เพราะมีเจ้าของหลายคน ถาม : ขนาดผ้าห่มยังไปหยิบของเขามา ? ตอบ : ยังดี..มีคนจีนที่ไปนอนโรงแรมต่างประเทศ พนักงานเขาไปทำความสะอาดแทบจะเป็นลม กระทั่งพรมใต้เตียงเขายังกรีดเอาไปเลย โอ้โห..คนจีนนี่สุดยอด กรีดแล้วม้วนไปเลย จะเอาข้างนอกก็กลัวเขาเห็น เลยกรีดเอาที่ใต้เตียง |
พระอาจารย์กล่าวว่า "คนโบราณถ้านุ่งสีม่วงจะห่มสีเหลือง หรือห่มสีจำปา ให้สีตัดกัน ลองไปศึกษาการนุ่งห่มผ้าของคนโบราณ เขามีเคล็ดลับเยอะแยะไปหมด อย่างพวกเราสักแต่ว่าใส่ ส่วนโบราณเขาดูว่าใส่อย่างไรถึงจะเด่น
โบราณจริง ๆ ไม่มีสีฟ้า มีแต่สีขาบกับสีคราม สีขาบก็คือสีน้ำเงินเข้ม สีครามก็คือสีน้ำเงินอ่อน สีฟ้านี่มาทีหลัง แล้วดันมาติดตลาด ตอนนี้สีขาบก็เลยสาบสูญไป พวกเราจึงไม่รู้ว่านกตะขาบจริง ๆ คือสีขาบ เราก็ไปคิดว่านกตะขาบ ถ้าไม่กินตะขาบก็คงหน้าตาเหมือนตะขาบ ความจริงเขาเรียกนกตะขาบเพราะว่าสีของนกออกไปทางสีขาบ ถ้าหากนุ่งสีส้มก็ต้องห่มสีฟ้า ลองไปค้นตำราโบราณดู ที่เขาว่า "ระวิสิทธิด้วย...อาภรณ์ แดงพิจิตรอลงกรณ์...ก่องแก้ว" ถ้าเป็นโบราณควรจะใส่อะไร สมัยก่อนส่วนใหญ่แล้วเครื่องแต่งตัวท่านเน้นผู้ชายนะ ไม่ใช่ผู้หญิง ถ้าเป็นผู้ชายตอนใส่ออกรบ จะระบุด้วยว่าต้องใช้อาวุธอะไร" |
มีโยมสนทนาเกี่ยวกับเรื่องหลวงปู่สุภา พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "พวกบรรดาแม่ชีที่ดูแลหลวงปู่สมัยที่ท่านยังอยู่ภูเก็ต เขาไม่เข้าใจ พอถึงเวลาเห็นอาตมาไปก็พยายามจะพาเข้าไปหาหลวงปู่ อาตมาก็บอกว่าอย่าไปรบกวนท่าน กลัวว่าถ้าตนเองอายุร้อยกว่าแล้วจะโดนอย่างนั้นบ้าง บางครั้งอาตมาก็กราบอยู่ตรงหน้าประตู ถวายปัจจัยไทยธรรมใส่พานวางไว้ตรงนั้น แล้วก็กลับเลย เขาก็งง ๆ อะไรมาแค่นี้เองหรือ ?
แม่ชีบางคนรู้จักอาตมา เขาก็พยายามจะให้เข้าไปกราบหลวงปู่ อาตมาบอกว่าไม่เอาหรอก โดยเฉพาะเวลาที่ท่านฉันอยู่ ถ้าอาตมากำลังฉันอยู่แล้วโดนคนขัดคอนี่จะโกรธมาก"..(หัวเราะ).. |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้พระรุ่นหนึ่งที่อาตมาตั้งใจจะสร้าง ก็คือ รุ่นยานัตถุ์หลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะอาตมาเก็บยานัตถุ์หลวงพ่อวัดท่าซุงเอาไว้ได้ประมาณ ๕ ลิตร ตอนนั้นเฝ้าหน้าห้องท่านอยู่ ๘ ปี ถึงเวลาท่านก็โยนยานัตถุ์มา “เฮ้ย..เอาไป” ท่านโยนยานัตถุ์ที่ใช้ไม่ได้ หมดอายุแล้วมาให้ เพราะบางทีโยมถวายท่านมากเกินไป ท่านก็ทยอยใช้ แต่พอแกะออกมาปรากฏว่ากลิ่นยาหมดแล้ว สีจะซีด ๆ ถ้าหากสีเข้ม ๆ ออกดำอยู่ อันนั้นใหม่แน่
บางทีท่านก็ส่งมาทั้งลังเลย “เฮ้ย..เลือกให้หน่อย” เลือกเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็เอาที่ยังดีไป อาตมาก็เอาที่เหลือเทใส่แกลลอนไปเรื่อย ช่วงที่ท่านพุทธาภิเษกงานพร ๓๐ ประการ อาตมาเอาซุกเข้าพิธีไปพอดี แต่อาตมาเองก็ไม่ได้คิดจะทำอะไร พอดีหลวงพี่สมคิดเป็นเพื่อนกัน ท่านไปเป็นเจ้าอาวาสก่อน ก็เลยถวายยานัตถุ์ท่านไป โดยที่อาตมาเทแบ่งใส่ขวดโอวัลตินขวดเล็กไว้ขวดหนึ่ง ที่เหลือก็ถวายท่านไปทั้งหมด ให้ท่านเอาไปสร้างพระ เผื่อจะได้สร้างวัด ไป ๆ มา ๆ เมื่อเดือนก่อนหลวงพี่สมคิดแบกคืนมา บอกว่า “ไม่ได้ทำอะไรเลยครับ เพราะว่าพอต้องการพระทีไรก็ขอจากอาจารย์ทุกที” ท่านเลยถวายคืนมา สรุปว่ายานัตถุ์ประมาณ ๕ ลิตรนั้นเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรแล้ว น่าจะเข้าพิธีมากกว่าอาตมาอีก เพราะว่าเข้าพิธีทีไรอาตมาก็ขนไปเข้าทุกทีแหละ ตัวเองจำหน่ายวัตถุมงคลอยู่ ไม่ได้มีโอกาสไปนั่งในพิธีกับเขา" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมากำลังจะหารูปแบบพระปิดตาอยู่ เพราะส่วนใหญ่พระปิดตาที่ศึกษามา จะไปทางเมตตามหานิยมจริง ๆ เขาก็ไม่นิยมสร้าง มักจะสร้างเป็นมหาลาภ มหาอุตม์ คราวนี้พระปิดตาวัดท่าขนุนออกมา ๒ รุ่นแล้ว ถ้ารุ่นต่อไปน่าจะเป็นลอยองค์ได้แล้ว จะปิดตาก็ปิดตาลอยองค์ไปเลย
พระปิดตาปางซ่อนหาของหลวงปู่ทับ วัดทอง อาตมาตัดใจฝังใส่ศิลาฤกษ์วัดรัตนานุภาพไปแล้ว กราบเรียนท่านว่า “หลวงปู่เมตตาสงเคราะห์หลานด้วยเถอะ เขาก็พี่น้องของผม ก็หลานปู่เหมือนกันนั่นแหละ” ท่านก็หาว่าอาตมาโยนภาระให้ท่าน ไม่ได้โยนหรอก อยากให้สงเคราะห์เขาจริง ๆ เพราะเขาอยู่ในที่อันตราย ปางซ่อนหานี่อันตรายมาจะหาไม่เจอ แถบนั้นอิสลามล้อมรอบวัดเลย ก็เตือนท่านว่าอย่านอนที่เดียว ไว้วางใจใครไม่ได้หรอก เพราะเดี๋ยวนี้เวลาเขาเข้าวัด เขาเข้ามาเพื่อสืบความ บางทีไปอยู่ไปกินในวัดเป็นปี ๆ ทำตัวเหมือนคนไทยพุทธเลย ความจริงเป็นอิสลาม คำสอนเก่าของเขาก็คือ ถ้าเข้าไปในศาสนสถานของศาสนาอื่นจะตกนรก แต่ปัจจุบันนี้เข้าไปเถอะ เข้าไปทำหน้าที่เพื่อพระเจ้า ได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาจะไม่ยุ่งเลย เพราะฉะนั้นในเขตของไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู แล้วก็ปะลิส มีวัดป่าอยู่หลายแห่งที่แต่เดิมจะอยู่อย่างธรรมชาติ ก็คือมีกุฏิไม่กี่หลังแล้วก็สร้างอยู่ในถ้ำ พอมาเลเซียได้คืนไป ชาวไทยส่วนใหญ่อพยพออกมา ที่นั่นจึงกลายเป็นวัดร้าง แต่อยู่มาได้จนถึงปัจจุบัน เพราะแต่เดิมเขาไม่เข้าไปในศาสนสถานของศาสนาอื่น ถ้าอยากอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความงดงามของความสัมพันธ์ระหว่างพุทธกับอิสลาม ให้ไปหาหนังสือชื่อแว้งที่รัก ของชบาบาน น่าจะออกไม่นานนี้ ชบาบานเป็นอาจารย์ เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ด็อกเตอร์เลยนะ เขียนหนังสือน่าอ่านมาก สมัยก่อนปักษ์ใต้เขาเอื้อเฟื้อกัน ต่างคนต่างอพยพไปอยู่ ก็ต้องรักใคร่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พุทธกับอิสลามเขาไม่ได้แบ่งแยกกัน แม่ของคุณชบาบานรับเป็นแม่บุญธรรมให้เด็กอิสลามเยอะแยะเลย" |
"แว้งเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดนราธิวาส มาจากภาษายาวีว่า "ไอเยอร์เวง" ถ้าเรียกสั้น ๆ ว่า "โต๊ะเวง" คำว่า "โต๊ะ" ออกเสียงคล้ายคลึงกันอยู่ ๒ คำ โต๊ะคำแรกเป็นความหมายของผู้สูงศักดิ์ หรือบุคคลที่ได้รับการยกย่อง ส่วนโต๊ะอีกคำแปลว่าคุณยาย อย่างโต๊ะซารี ก็คือคุณยายซารี
ส่วน "โต๊ะแช" แชแปลว่าปู่หรือตา โต๊ะแชก็คือคุณปู่ คนที่ได้รับความนับถือเป็นอย่างสูง อย่างโต๊ะแชซาอิด เป็นต้น โต๊ะแชซาอิดเป็นจอมคาถาเลย ช่วงที่แว้งเกิดฝีดาษระบาด โต๊ะแชซาอิดยืนยันกับพวกเขาว่า ภายในกรอบหมู่บ้านนี้ไม่มีฝีดาษแน่นอน ท่านฝากพระเจ้าไว้เรียบร้อยแล้ว แต่กลับไม่มีใครเชื่อ ปรากฏว่าพวกที่ปลูกฝีที่อยู่หมู่บ้านอื่นก็ตายกันระนาว แต่คนทั้งหมดในหมู่บ้านที่โต๊ะแชซาอิดรับรอง ไม่มีใครตายเลยสักคน ต้องยอมรับว่าท่านแน่จริง" |
"แบบเดียวกับสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เวลาจะเกิดโรคระบาดขึ้น ท่านจะเตือนญาติโยมที่ใส่บาตรท่านว่า ให้ทำลักษณะขันส่งเคราะห์ เอาดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปคน นุ่งผ้าแดงโดยเอาผ้าแดงมาผูกเป็นผ้านุ่ง มีวัวควายกี่ตัวก็ปั้นไปด้วย แล้วก็เอาไปส่งเคราะห์ที่ทางสามแพร่ง สิ่งที่ลืมไม่ได้คือข้าวต้มลูกโยน ไปแล้วก็บอกเจ้ากรรมนายเวรว่า ท่านที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร ให้มาเอาตัวแทนในผ้าแดงนี้ไป แล้วก็อย่ามารบกวน ก็จะปลอดภัย ในขณะที่บ้านอื่นตายกันเป็นใบไม้ร่วง
หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ (อุปสมมหาเถระ) สมัยยังเป็นเจ้าคุณราชปริยัติโมลี ท่านสนทนากับอาตมาว่า รุ่นท่านบวช ๓๐ รูป เหลือท่านรูปเดียว รุ่นของอาตมาบวช ๓๖ รูป เหลืออาตมารูปเดียว “ไอ้คุณกับผม โบราณเขาเรียกว่าเหลือเดนห่า” ปกติถ้าอหิวาต์ลงจะตายยกหมู่บ้าน คนไหนหัวแข็งรอดมาได้เขาเรียกเหลือเดนห่า อหิวาต์ยังกินไม่ลง สมัยนั้นประทับใจท่านมาก ท่านเป็นคนคุยสนุก ตอนนี้ท่านเป็นสมเด็จฯ ไปแล้ว พอเป็นสมเด็จฯ ออกงานหัวไม่วางหางไม่เว้น จนสุขภาพชำรุด" ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : เป็นลักษณะพลีกรรม เอาตัวแทนไป ผีก็ว่าง่ายดี มีให้แล้วก็แล้วกัน ถ้าไม่มีก็จะเอาให้ได้ |
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ได้เล่าให้ฟัง แต่อาตมาไปอ่านเจอในประวัติของหลวงพ่อเบี่ยง วัดทุ่งสมอ
ทางด้านทุ่งสมอ รุ่นถัดมาจากหลวงปู่ม่วง คือ หลวงพ่อเบี่ยง ท่านทำพิธีเลี้ยงผี แต่เป็นผีทหารที่ตายในสงคราม หลวงพ่อเบี่ยงให้ลูกศิษย์จัดข้าวปลาอาหารไปไว้ข้างในวิหาร เสร็จแล้วก็ล้อมสายสิญจน์ไว้ ปิดไฟมืด ท่านบอกว่าได้ยินเสียงอะไรก็ตามอย่าได้กลัว อย่าได้ตกใจ อย่าลุกหนีไปจากวงสายสิญจน์เป็นอันขาด ถ้าลุกหนี..ตายแน่นอน..! ลูกศิษย์คนไหนใจกล้าหน่อย อยากรู้ก็ไปร่วมพิธีด้วย เขาบอกว่า มีลมกรรโชกมาแรงเหมือนฝนจะตก ได้ยินเสียงรองเท้าของทหารลั่นคึ่ก ๆ และเสียงกินกันอุตลุดเลย กลัวก็กลัวเพราะเสียงอยู่ใกล้ ๆ เอง โต๊ะอาหารก็ตั้งเรียงเต็มไปหมด พอหลวงพ่อเบี่ยงท่านบอกว่าพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว จุดไฟได้ ปรากฏว่าข้าวปลาอาหารกระจัดกระจายเหมือนกับคนกินจริง ๆ และอาหารก็หายไปจริง ๆ ด้วย คนเขียนก็เขียนต่อไปว่า ลักษณะอย่างนั้นหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคก็เคยทำ ท่านใช้คำว่า "เลี้ยงเปรต" หลวงปู่ปานขอขนมจีนจากญาติโยมเป็นสิบ ๆ หาบ เอาไปทำพิธีที่ลานกว้างตรงทางสามแพร่ง พอถึงเวลาจุดธูปเทียนบอกกล่าว เสร็จแล้วก็เตือนญาติโยมลักษณะเดียวกันว่า ถ้าได้ยินอะไรอย่ากลัว อย่าลุกวิ่งหนี ปรากฏว่าอยู่ ๆ อากาศก็เปลี่ยนไป อย่างกับพายุฝนมามืดฟ้ามัวดิน แล้วก็มีเสียงคนกินกันกระจายเหมือนกัน พอถึงเวลาฟ้าดินกลายเป็นปกติ ขนมจีนเป็นสิบหาบหายหมดไม่มีเหลือเลย ในประวัติหลวงปู่ปานไม่ได้มีเล่าเอาไว้ แต่ท่านที่เขียนประวัติหลวงพ่อเบี่ยง วัดทุ่งสมอ ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ม่วง เขาเขียนต่อกันมา ก็เลยกลายเป็น ๒ เรื่องในประวัติเดียวกัน บางคนถ้าไม่ได้ตั้งใจหาอ่านจริง ๆ จะไม่เจอเรื่องนี้ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ถ้ามัวแต่รอญาติ ผีก็อดตายพอดี จริง ๆ ผีไม่ตายหรอกแต่เขาทรมานมาก ก็เลยสงเคราะห์ด้วยการหาให้เขากิน แต่คาดว่าท่านคงช่วยสงเคราะห์ด้วยการปรับให้ผีเป็นของหยาบ เพื่อที่จะได้กินอาหารหยาบได้ ไม่อย่างนั้นเขากินได้แต่ส่วนที่เป็นนามธรรมเท่านั้น |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเสาร์ตามความเชื่อฮินดูเขาบอกว่า พระพรหมธาดาผู้เป็นใหญ่นำเอาเสือ ๑๐ ตัว มาบดเป็นผง แล้วพรมด้วยน้ำอมฤต เกิดเป็นเทวดาชื่อพระเสาร์ เนื่องจากสร้างด้วยเสือ วันเสาร์จึงดุหน่อย แต่ยังดีกว่าวันอังคาร วันอังคารสร้างด้วยกระบือ เป็นประเภทกระบือบ้าม้าพยศทำนองนี้ เพราะฉะนั้น..วันอังคารจึงดุกว่าวันเสาร์ เพราะเป็นเทพเจ้าสงคราม
พอศึกษาเรื่องกำเนิดเทวดาของศาสนาฮินดูแล้ว จะเห็นว่าเทวดาของเขามีกิเลสมากกว่ามนุษย์เยอะเลย เช่น แอบเป็นชู้กับเมียเขาให้ยุ่งไปหมด อย่างพระอาทิตย์แอบเป็นชู้กับเมียของฤๅษีโคดม มีลูกออกมาเป็นสุครีพ และพระอินทร์ก็เป็นชู้กับเมียของฤๅษีโคดมด้วย มีลูกออกมาเป็นพาลี ตอนนั้นสุครีพกับพาลียังเป็นเด็กธรรมดาอยู่ แต่ว่านางสวาหะซึ่งเป็นลูกแท้ ๆ ของพระฤๅษีรู้ตลอดว่า เวลาพ่อฤๅษีไม่อยู่ จะมีคนใส่ชฎาแหลม ๆ มาหา แอบเป็นชู้กับแม่ วันหนึ่งพระฤๅษีโคดมให้สุครีพขี่คอ อุ้มพาลี และจูงนางสวาหะไปอาบน้ำที่ท่า นางสวาหะที่เป็นลูกสาวก็บ่นพ่อว่า ทีลูกคนอื่นทั้งอุ้มทั้งให้ขี่คอ ส่วนลูกตัวเองให้เดิน พระฤๅษีสงสัยก็สอบถาม นางสวาหะจึงเล่าให้ฟังว่า ตอนพ่อไม่อยู่มีตัวแดง ๆ และตัวเขียว ๆ มาเป็นชู้กับแม่ ฤๅษีก็โกรธ จับลูกทั้ง ๓ โยนลงน้ำ พร้อมกับสาป ถ้าหากเป็นลูกตัวเอง ให้ว่ายน้ำกลับมาหา ถ้าเป็นลูกคนอื่นให้เป็นลิงเข้าป่าไป ลูกชาย ๒ คน คือพาลีกับสุครีพจึงกลายเป็นลิง ลูกสาวคือนางสวาหะได้กลับมา พอกลับไปถึงที่อยู่ นางกาลอัจนาเห็นว่าลูกชายหายไปจึงสอบถามพระฤๅษี พระฤๅษีโกรธจึงด่าให้ นางกาลอัจนาทราบเรื่องจึงสาปลูกสาวแทน ให้ไปยืนตีนเดียวกินลม จนกว่าจะมีลูกออกมาเป็นลิงบ้าง ถึงจะพ้นจากคำสาปนั้น ซึ่งตอนหลังพระพายเอาเทพอาวุธไปซัดเข้าปากนางสวาหะ จนเกิดมาเป็นหนุมาน นางสวาหะจึงพ้นจากคำสาป ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่ยืนอ้าปากหวออยู่อย่างนั้น" |
"ความจริงฮินดูเขาก็เข้าใจถูก ตรงที่เทวดาหรือพรหมยังไม่หมดกิเลส แต่ฮินดูเขารู้ไม่ทั่ว ที่รู้ไม่ทั่วคือพรหมเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้ามีเยอะมาก โดยเฉพาะในสุทธาวาสพรหมทั้ง ๕ ชั้น มีทั้งอนาคามีผลและอรหัตมรรคเยอะมากเลย บรรดาเทวดานางฟ้าต่าง ๆ ก็เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีเยอะแยะ ที่เขารู้ไม่ทั่วอาจเป็นเพราะว่าบุคคลที่รู้เห็น ไปแค่โลกียฌาน ก็เลยเหมือนกับว่ารู้เห็นเฉพาะในส่วนที่ตนเองชำนาญ ถึงเวลามาเขียนรามายณะ รามเกียรติ์ หรือมหาภารตยุทธก็ดี จึงเอาในส่วนที่เป็นกิเลสใส่ไปเต็ม ๆ
มหาภารตยุทธมีส่วนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ ใคร ๆ ก็ว่าเป็นปรัชญาที่ลึกซึ้งนักหนา คือ ภควัทคีตา กฤษณะซึ่งปลอมเป็นคนขับรถ มาขับรถให้อรชุน อรชุนเห็นว่าจะต้องรบกับญาติพี่น้องตัวเอง เลยมืออ่อนทำไม่ลง แต่อีกฝ่ายเขาไม่สนใจ คุณทำเขาไม่ลง แต่เขาทำคุณลง กฤษณะจึงต้องเทศน์สอนอรชุนให้รู้ไว้ว่า ทุกสรรพล้วนแล้วแต่เป็นสมมติทั้งนั้น ลักษณะนี้น่ากลัวมาก น่ากลัวตรงที่ว่า เขาสอนให้ผิดศีลเลย ฆ่าเขา แต่ฆ่าด้วยการปล่อยวาง ส่วนนี้อาตมาเจอกับตัวเองมาทีหนึ่ง กำลังใจได้ถึงขนาดบรรดาฆาตกรหรือเพชฌฆาตที่สุดโหดเลย ตอนที่อยู่วัดท่าซุง พวกหาปลามาร้องด่าท้าทายอยู่ครึ่งค่อนคืน ว่าถ้าแน่จริงให้ข้ามมา จะยิงให้กลิ้งเป็นหมาให้ดู อาตมาก็เลยข้ามไปหา พวกเขาถือปืนลูกซองขึ้นลำพร้อมยิงแล้ว อาตมายังเดินเข้าหาพวกเขาหน้าตาเฉย กำลังใจของอาตมาตอนนั้นนิ่งมากเลย ลักษณะอย่างนั้นถ้าลงไม้ลงมือ อีกฝ่ายหนึ่งไม่เหลือแน่นอน ต้องบอกว่ากำลังใจมีสติสมบูรณ์พร้อมสุด ๆ พร้อมที่จะฆ่าได้โดยไม่กระพริบตา..! ปรากฏว่ารังสีอำมหิตน่าจะแรงเกินไป อีกฝ่ายหนึ่งเลยทิ้งปืนวิ่งหนี ทั้ง ๆ ที่อาตมาไปมือเปล่า พอมานึกถึงตอนกฤษณะสอนอรชุนให้รบกับพี่น้องตัวเอง กำลังใจของเขาน่าจะอยู่ในลักษณะนี้แหละ ไม่เหลือรักชอบเกลียดชัง เหลืออยู่อย่างเดียวคือมุ่งมั่นทำให้งานตรงหน้าสำเร็จลง ต่อให้งานตรงหน้าคือการรบราฆ่าฟันทำสงคราม เข่นฆ่าแม้คนที่เป็นพี่น้องตัวเองก็ต้องทำ สยดสยองอย่างไรก็ไม่รู้ ได้แต่หวังว่าคงไม่ต้องใช้กำลังใจอย่างนั้นอีก" |
"ตอนนั้นกำลังใจคงข่มกันอยู่ อีกคนโมโหเต้นแร้งเต้นกา แต่อีกคนหนึ่งน่าจะถึงระดับสังขารุเปกขาญาณเลย เพียงแต่เป็นมิจฉาสมาธิเท่านั้นเอง ตอนเดินเข้าไปหา คำว่ากลัวแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่ได้ปรากฏอยู่ในใจเลย ทั้ง ๆ ที่ปืนขึ้นลำจ่อเตรียมยิงอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายหนึ่งเขาทนกำลังใจแบบนี้ไม่ไหว เขาเลยทิ้งปืนวิ่งหนีเอง
ตอนหลังถามพลทหารจำรัสที่พายเรือไปให้ พลฯจำรัสเขาเบี่ยงตัวหลบอยู่ข้างหลังอาตมา กะว่าถ้าพวกนั้นยิง อาตมาก็โดนก่อน ถามเขาว่า "เอ็งรู้สึกอย่างไร ?" เขาบอกว่า "ผมมั่นใจว่ามันไม่ยิง" อาตมาบอกเขาไปว่า "ถ้าอย่างนั้นเอ็งตายเปล่า คนตัดสินใจไม่ถึง ๑ ใน ๑๐ วินาที จะไปมั่นใจว่าเขาไม่ยิงได้อย่างไร ?" "แล้วอาจารย์คิดอย่างไร ?" "กูคิดว่ามันยิงกูไม่ออก..!" ที่เขาทิ้งปืนวิ่งหนี เขาอาจจะเหนี่ยวไกแล้วก็ได้ แต่ยิงไม่ออก..(หัวเราะ).. พอเห็นกำลังใจตอนนั้นแล้วยอมรับว่า แม้แต่ตัวเองยังกลัวตัวเองเลย แล้วคนอื่นจะไม่กลัวได้อย่างไร เลือดเย็นสุด ๆ ไม่รู้สึกรู้สาอะไรแม้แต่นิดเดียว บางอย่างของศาสนาฮินดูก็เอามาจากความเป็นจริง แต่ว่าในความเป็นจริงนั้นต้องบอกว่าจริงแค่ตรงนั้น ในเมื่อจริงแค่ตรงนั้นก็ดีแค่ตรงนั้น ส่วนที่ดีกว่านั้นยังมีอยู่ เขายังเข้าไม่ถึง เราถึงได้เห็นความเป็นอัจฉริยภาพขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะที่คนอื่นเขาติดกับดักอยู่ตรงนั้นหมด พระองค์ท่านสามารถแหวกฝ่าไปได้ จนกระทั่งหลุดพ้น ไปแบบไม่มีครูด้วย..!" |
ถาม : จะไปบูชาเทวดาที่ศาลหลักเมือง..?
ตอบ : ใช้พวงมาลัยดอกดาวเรือง อาตมาไปทีก็เอาไปพวงหนึ่ง ท่านชอบอย่างนั้น ถาม : ถ้าเป็นพวงมาลัยแบบอื่น ? ตอบ : ก็ใส่ดาวเรืองไปเยอะ ๆ จะไปยากอะไร ? เดี๋ยวอาตมาก็โดนเทวดาเหยียบเข้าสักวัน ค่าที่ชอบไปเปิดเผยรสนิยมของท่าน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราคงไม่รู้จักไม้โบราณ อย่างชมนาด บางคนเขาเรียกดอกข้าวใหม่ กลิ่นเหมือนข้าวหอมเพิ่งหุงสุกใหม่ ๆ พวกโมกในปัจจุบันนี้ตลาดต้นไม้เขาเล่นกันเยอะ น่าจะรู้จักกัน ส่วนชะลูดกลิ่นหอมมาก โบราณเขาเอาเข้ายาไทย เป็นพวกยาบำรุงหัวใจ
จันทน์กะพ้อ เป็นไม้ยืนต้น เวลาออกดอกเป็นช่อใหญ่ ๆ สวยมาก ก้านช่อเป็นสีน้ำตาลค่อนข้างจะเด่น ตัวดอกสีจะขาวอมชมพู แต่ชมพูไม่ชัด ต้องตั้งใจดูจริง ๆ ถึงจะรู้ว่ามีชมพูอยู่ด้วย ที่ปทุมธานีมีวัดชื่อจันทน์กะพ้อ สมัยท่านเจ้าคุณพระเทพสุเมธมุนีเป็นเจ้าอาวาส ท่านพยายามปลูกและรักษาเอาไว้ ถ้าใครอยากดูต้นจันทน์กะพ้อให้ไปดูที่วัดจันทน์กระพ้อ จ.ปทุมธานี จะได้เห็นว่าไม้โบราณหน้าตาเป็นอย่างไร ตอนนี้ที่วัดท่าขนุนมีโครงการสำรวจต้นไม้ ซึ่งบรรดานักวิชาการสิ่งแวดล้อมจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะไปสำรวจ โดยเฉพาะไม้โบราณ ๆ อย่างต้นอิน ต้นจัน มะม่วงกะล่อน อายุหลายร้อยปี เขาจะไปขึ้นทะเบียนไว้ เขาบอกว่าสถานที่ที่เขาจะสำรวจ ต้องมั่นใจว่าจะไม่ไปโค่นทิ้ง ไม่อย่างนั้นพอเขาขึ้นบัญชี กลับไปแล้วจะไม่มีให้เห็น เด็ก ๆ รุ่นหลังลูกอินลูกจันก็ไม่รู้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าลูกอินลูกจันน้ำกะทิรสชาติเป็นอย่างไร เพราะไม่เคยกิน สมัยเด็ก ๆ พกใส่กระเป๋าคนละลูกสองลูกเวลาไปโรงเรียน ดมกันไปดมกันมา กลิ่นจะหอมมาก พอถึงเวลาหิวก็แทะกิน กินเนื้อหมดไม่พอ แทะเมล็ดต่อ เมล็ดก็กินได้" |
"พอมาในยุคปัจจุบัน อะไรต่อมิอะไรหายหมด ไม่ได้เห็นฟักข้าวมานานแล้ว ฟักข้าวเป็นไม้เถาเลื้อย ลูกเหมือนทุเรียนเล็ก ๆ แต่หนามไม่ได้ใหญ่ขนาดหนามทุเรียน หนามเหมือนหนามขนุน ลูกเล็ก ๆ สีเขียว ๆ แกงส้มอร่อยมาก ต้มจิ้มน้ำพริกก็ได้ พวกนักวิจัยเขาเอาไปทดสอบดูแล้ว ฟักข้าวมีสารประเภทต้านอนุมูลอิสระสูงมาก เขาเลยมั่นใจว่า พวกที่ใช้ฟักข้าวทำอาหาร น่าจะไม่เป็นมะเร็ง
ฟักข้าวลูกค่อนข้างจะกลม ๆ รี ๆ หน่อย มีแต่หนาม ถ้าสุกจะเป็นสีส้มหรือสีแดง สมัยวัยรุ่นอาตมาใช้เป็นเป้าปืนลูกซอง เพราะเด่นดี บ้านยายของอาตมาอยู่ที่สวนบางกอกน้อย สมัยนั้นถือปืนไล่ยิงนก ยิงหนู ยิงกระรอกกระแตในสวนไปเรื่อย วันไหนหาอะไรยิงไม่ได้ก็ยิงฟักข้าว ตอนเป็นทหารอาตมาไม่ได้ไปบ้านยายเสียนาน พอลาได้ก็ไปบ้านยาย เอาปืนมาทำความสะอาดเสร็จ เปิดหน้าต่างออกไป กะว่าจะยิงฟักข้าวต้นที่อยู่แถวนั้น ปรากฏว่ากลายเป็นบ้านจัดสรรไปแล้ว พวกเรารุ่นหลัง ๆ ไม่รู้หรอกว่าถนนสายปิ่นเกล้าพุทธมณฑลนั้นผ่าเข้าไปกลางสวนเลย เดิมเป็นท้องร่องสวน ปี ๒๕๒๑ อาตมาฝึกมโนมยิทธิ ครูฝึกเขาให้ดูว่า อีกประมาณ ๒๐-๓๐ ปีข้างหน้ากรุงเทพฯ จะมีสภาพเป็นอย่างไร พอดูเสร็จอาตมาก็บอกครูฝึกว่า มีถนนซ้อนถนนเต็มไปหมดเลยครับ ครูฝึกบอกว่าให้รอดูไป พอถึงเวลาแล้วจะมีจริงไหม ในที่สุดก็โผล่มาจริง ๆ ทางด่วนขั้นที่ ๑ ขั้นที่ ๒ แถมยังมีรถไฟลอยฟ้าให้ยุ่งไปหมด แสดงว่าในเรื่องอนาคตังสญาณเป็นเรื่องจริง แล้วจุดที่เห็นก็คือตรงปิ่นเกล้าพุทธมณฑลที่ตัดออกไปตลิ่งชัน - บางบัวทอง ถนนไขว้กันให้มั่วไปหมดเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีหน้าเดือนมีนาคม อาตมาจะไปอังกฤษ โยมเขานิมนต์ไว้ ลงเวลาไว้แล้ว แต่ยังไม่ลงวัน เขานิมนต์อาตมาก็รับ ๆ ไป บอกว่าถ้าปิดเทอมถึงจะไป ถ้าเปิดเทอมไปไม่ได้เพราะต้องสอนหนังสือและต้องเรียนด้วย เขาบอกว่าน่าจะเป็นช่วงปิดเทอม
อังกฤษเสียอย่างเดียวตรงที่ค่าเงินของเขาแพง ใช้แต่ละทีต้องคิดแล้วคิดอีก ไปประเทศที่เงินถูก ๆ สบายใจกว่า อย่างอินโดนิเซีย ไปนั่นอาตมาหยอดตู้ทำบุญครั้งละแสน แสนหนึ่งของเขาเท่ากับ ๓๔๐ บาทไทยเอง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้ต้องรอท่านแบงค์ (พระทรงพล กิตฺติปญฺโญ)จบปริญญาโทวิปัสสนาภาวนาก่อน ท่านมีโครงการทำ e-book ของวัดท่าขนุน ตอนนี้ท่านทำหนังสือสวดมนต์ไปเล่มเดียว เล่มอื่นไม่มีเวลาทำ พอท่านเรียนจบอาตมาค่อยส่งข้อมูลหนังสือเล่มอื่น ๆ ให้ทำ พวกเราส่วนหนึ่งจะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อ เข้าไปโหลดมาดูได้เลย"
|
ถาม : ที่กฎหมายว่าครอบครองปรปักษ์ ๑๐ ปีได้เป็นเจ้าของ ผิดศีลข้อ ๒ ไหมคะ ? เพราะจริง ๆ ก็ไปแย่งของคนอื่นเขา
ตอบ : ผิดจ้ะ..กฎหมายให้โอกาสเพราะว่าฝ่ายหนึ่งทำประโยชน์มาเป็น ๑๐ ปี อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ถ้าว่ากันในเรื่องของศีลธรรมแล้วผิดเต็ม ๆ แต่อย่าลืมว่าต้องครอบครองโดยอีกฝ่ายไม่คัดค้าน ถ้าหากภายใน ๑๐ ปีอีกฝ่ายหนึ่งเขามีการคัดค้าน หรือมีการทำสัญญาเช่า ก็ครอบครองไม่ได้ เขาใช้คำว่าครอบครองโดยสงบ (เปิดเผย และมีเจตนาเป็นเจ้าของ) เราก็อย่าทำให้สงบสิ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "นฤ แปลว่าไม่มี นฤภรณ์ แปลว่าไม่มีเสื้อผ้า ถ้าเป็น นฤพร แปลว่า ไม่มีความดี นฤมล แปลว่าไร้มลทิน แต่ถ้าคนเขียนผิดเป็น นฤมน แปลว่าไม่มีหัวใจ เพราะ มน แปลว่าใจ
ฉะนั้น..เขียนให้ถูก ถ้าเขียนไม่ถูกความหมายผิดเลย มนฤดี แปลว่าดวงใจ ใจซ้อนใจ แต่ถ้า มลฤดี เขียนสวยกว่าแต่แปลว่าใจดำ ใจสกปรก..!" |
ถาม : มีพระอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่า การนั่งกรรมฐานถ้าเกินครึ่งชั่วโมงแล้วจะไม่ดี ?
ตอบ : ก็แล้วแต่ความเห็นของท่านสิจ๊ะ ถ้าท่านนั่งนานแล้วไม่ดี ก็บอกให้ท่านนั่งน้อยหน่อย แต่ละคนบารมีที่สร้างมา สภาพร่างกายและกำลังใจไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น..เราจะเอาตัวเราเองเป็นบรรทัดฐานให้คนอื่นไม่ได้ ท่านเองนั่งได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง แล้วไปฟันธงว่ามากกว่านั้นไม่ดี ถ้าอย่างนั้นก็เสร็จ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:26 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.