ถาม : ยอดเขาพระบาทกับยอดเขาพุทธเจติยคีรี อย่างไหนสูงกว่า ?
ตอบ : ยอดเขาพระบาทสูงกว่า มีคนแนะนำอาจารย์เล็กทำให้ดังไปเลย ทำกระเช้าจากฝั่งยอดเขานี้ข้ามไปฝั่งโน้น อ๋อ..ถ้าหากว่ากระเช้าขาด อาตมาจะดังกว่านั้นอีก..! |
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนเริ่มเก็บประวัติตัวเอง เพื่อเตรียมทำหนังสือฉลองอายุ ๕ รอบ ไปไล่สายครูบาอาจารย์แล้ว ของอาตมานี่มีตั้ง ๑๐ กว่าสายเกือบ ๒๐ สาย นี่ตูศึกษามาเยอะขนาดนี้เลยหรือ ? เจอใครก็ขอวิชาท่านดะไปเลย ทำแบบนี้มาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ส่วนใหญ่พระปฏิบัติท่านใจดี ท่านไม่ค่อยหวงวิชา ขนาดหลวงพ่ออุตตมะออกปากว่าจะสงเคราะห์เป็นคนสุดท้าย ยังโดนอาตมาดึงเกมไว้จนอายุเกือบร้อย ไม่ยอมให้ท่านสงเคราะห์สักที
ในเมื่อท่านรับปากว่าจะสงเคราะห์เป็นคนสุดท้าย ถ้าตราบใดที่ท่านยังไม่ได้สงเคราะห์ ท่านก็ไปไม่ได้ ความจริงอาตมาค่อนข้างโหดเหมือนกันนะ ดึงท่านเอาไว้จนกระทั่งอายุ ๙๐ กว่าปี" |
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานไปสวดมนต์ที่วัดวีระโชติธรรมาราม ปรากฏว่าหลวงตาวัชรชัย หลวงตาชลอ ท่านไม่คล่องตัว ท่านไปกับจังหวะของเขาไม่ได้ อาตมาบอกว่า "ทำใจสบาย ๆ แล้วไหลตามจังหวะเขาไปเลย"ท่าน ก็ทำไม่ได้กัน ตกลงนี่ตูจะอธิบายอย่างไรดีวะ ? ก็เหมือนกับลงไปสวดมนต์ที่วัดรัตนานุภาพ อาตมาเคยสวดจังหวะแบบใต้เสียที่ไหน แต่นอกจากไหลตามเขาไปในจังหวะเดียวกันแล้ว กระทั่งหายใจยังจังหวะเดียวกันอีกด้วย ทำไมคนอื่นเขาไหลตามไม่ได้ก็ไม่รู้ ?
ไปสวดมนต์ที่พม่าก็เหมือนกัน จนท่านพระครูปลัดปรีชาบอกว่า “อาจารย์ไปเถอะ ผมไปอย่างอาจารย์ไม่ได้หรอก” ก็แปลกใจ ไปสวดกับใครจังหวะไหนก็ไปกับเขาได้ ทำใจสบาย ๆ แล้วปล่อยไหลตามเขาไปเลย ถ้าไม่มั่นใจจะสวดไม่เต็มปากเต็มคำ ส่วนอาตมามั่นใจว่าไหลตามเขาได้แน่ก็ใส่ไปดัง ๆ เลย ขำที่สุดก็หลวงพ่อพระครูสถิตศีลขันธ์ ท่านก็พยายามช่วยประคองให้ ท่านรู้ว่าอาตมาไม่เคยชินกับจังหวะสวดของปักษ์ใต้ ท่านก็พยายามที่จะลากให้ยาวหน่อยแบบของภาคกลาง แต่อาตมาไปลื่นเหลือเกิน แสดงว่าเรานี่ปลาไหลชัด ๆ ปล่อยลงไปที่ไหนก็ลื่นไปกับเขาได้หมด งวดนี้ก็มีคนตายอีก เดี๋ยวรอดูครั้งหน้า ถ้ามีตายอีกเราก็อย่าไปให้เขาเดือดร้อนกันเลย" ถาม : เป็นเพราะถึงฆาตใช่ไหมคะ ? ตอบ : ก็ใช่อยู่..แต่ถ้าพวกเราไม่ไป เขาอาจจะไม่ต้องมารับเคราะห์แทนขนาดนั้น ครั้งก่อนโน้นเครียดตั้งแต่ต้นทางเลย ยังไม่ทันจะเดินทาง มีคนโดนทับตายคารางไปแล้ว มางวดนี้กำลังจะกลับ ดูแล้วเขาเองก็มั่นใจว่าเขาไม่พลาดแน่ แต่พอโดดขึ้นรถไปแล้วพลาดได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? โดนรถไฟทับหัวหายไปเลย อาตมาไปชะโงกดูอยู่ตั้งนานว่าหัวไปอยู่ที่ไหน ? ตอนหลังหนังสือพิมพ์เขาถ่ายรูปมา เพิ่งเห็นว่ากระเด็นข้ามไป ๒ ราง แสดงว่าเลือดคนนี่ดันแรงจริง ๆ หัวกระเด็นไปหลายเมตรอยู่นะ ตอนแรกที่ดูในคลิปวิดีโอ มีผู้ชายคนหนึ่งจะวิ่งไปดึงเขาออกมา แต่ว่าอีกคนหนึ่งกลัวว่าคนดึงจะโดนรถไฟลากเข้าไปด้วย เลยไปกระชากคนนั้นออกมาแทน คือเขามั่นใจว่าคนนั้นตายแล้ว ไม่ต้องไปช่วยเขาออกมาหรอก เดี๋ยวตัวเองจะตายไปด้วย สรุปว่าขืนพวกเราไปบ่อย ๆ รับประกันได้ว่า คนแถวนั้นมีเท่าไรเขาก็ตามมายันวัดแน่ ๆ ยังบอกกับท่านนายอำเภอว่า คนใต้นี่เขารักใครรักจริง ก็คิดดู..ลองกองเป็น ๑๐ ไร่ไม่ยอมขาย ขนมาให้พวกเราหมด จริง ๆ วันแรกท่านนายอำเภอก็ชวนว่า "รุ่งขึ้นตอนเช้าไปเที่ยวพรุโต๊ะแดงก่อนไหม ?" เรียนท่านไปว่าดูแลกันลำบาก ขบวนใหญ่..การรักษาความปลอดภัยทำได้ยาก ไปแล้วจะสร้างความลำบากให้คนอื่นเขามากกว่า อย่าไปเลย |
พระอาจารย์เล่าว่า "กฐินที่วัดรัตนานุภาพ มีสองคนผัวเมียมาทำบุญ ตาอายุ ๑๐๙ ปี ยายอายุ ๙๖ ปี ยังเดินตัวปลิวทั้งคู่เลย เขาแข็งแรงจริง ๆ สองคนผัวเมียรวมกัน ๒๐๑ ปี ดูท่าว่ายังอยู่ได้อีกนานด้วย ถ้าสร้างกรรมปาณาติบาตมาน้อย ก็จะอายุยืน พวกเรารบราฆ่าฟันมาเยอะ..ก็อายุสั้น"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมาโดนตะขาบกัดงวดนี้ พิสูจน์ให้พระท่านเห็นชัด ๆ ว่า ยันต์เกราะเพชรนี่กันได้จริง ๆ เพราะพิษมาแค่ข้อเท้า แล้วไม่สามารถที่จะขึ้นมาได้ ติดอยู่แค่นั้นแหละ เท้าอ้วนปี๋เลย ยังบอกกับพระว่า จริง ๆ แล้วโชคดีนะ ถ้าหากว่ากันไม่อยู่ ขึ้นมาถึงแล้วไข่ดันบวมนี่ อาตมาจะเดินไม่ได้แล้ว พอขึ้นมาแค่ข้อเท้าก็เดินได้ บิณฑบาตจนเสร็จ
กรรมเรื่องนี้ไม่แล้วไม่เลิกสักที เพราะทำมาชาติแล้วชาติเล่า ถึงเวลาก็ไปวางขวากดักข้าศึก ดักคนบ้าง ดักช้างบ้าง โดยเฉพาะช้างศึกเวลาเหยียบขวากก็ทรุดอยู่ตรงนั้นเลย ไปไหนไม่ได้ น่าสงสารมาก จะเห็นว่าอาตมาเองโดนทีไรจะโดนแต่เท้าซ้ายนี่แหละ แทบจะไม่โดนเท้าขวาเลย ปีก่อนตอนเจริญกรรมฐานอยู่ที่วัดบางช้างเหนือ พวกผึ้งหลวงเข้ามาเล่นไฟกลางคืน จนหมดแรงตกลงกับพื้น อาตมาก็ยกหนอ..ย่างหนอ แล้วเหยียบเข้าให้พอดี ก็โดนผึ้งต่อยบวมแบบนี้แหละ แต่ก็ยังเดินหน้าตาเฉย จนกระทั่งประธานพระวิปัสนาจารย์ท่านมาเห็นก็บอกว่า “อาจารย์ไปนั่งเถอะ ไม่ต้องเดินแล้ว บวมเยอะขนาดนี้” ก็โดนในช่วงระยะนี้เหมือนกัน เพราะว่า มจร.ส่วนใหญ่ปลายปีก็เริ่มมีการปฏิบัติธรรมประจำปี วาระกรรมก็มาตอนช่วงจังหวะอย่างนี้พอดี จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า กรรมเป็นของน่ากลัว อย่าคิดว่าเป็นกรรมดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ และอย่าคิดว่าเป็นกรรมชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ กรรมไม่ว่าจะเล็กน้อยปานใด ถ้าถึงวาระก็จะให้ผล" |
ถาม : ชอบนั่งสมาธิแล้วสวดมนต์ต่อ แต่มีคนบอกว่าถ้านั่งขัดสมาธิสวดมนต์จะตกนรก ?
ตอบ : ไม่แรงถึงขนาดนั้นหรอก เพราะว่าการสวดหรือภาวนาคาถา กับการที่เราภาวนาคำภาวนาขณะนั่งสมาธิก็แบบเดียวกัน เพียงแค่เปลี่ยนท่าแค่นั้นเอง ในเมื่อเรานั่งภาวนาแล้วไม่ลงนรก เรานั่งสวดมนต์แล้วจะลงอย่างไรวะ ? เพียงแต่ว่าถ้าเป็นตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า ถ้าอยู่ต่อหน้าพระ ควรที่จะนั่งพับเพียบมากกว่า แลดูเรียบร้อยกว่า เราเองถ้าไม่ถนัดนั่งพับเพียบก็นั่งขัดสมาธิไป สำคัญตรงกำลังใจของเราต้องทรงอยู่ในความดีให้ได้ อาตมาเองนั่งขัดพับเพียบจนชิน มีบางวันฉันเช้าฉันเพลจนจะอิ่มอยู่แล้ว อ้าว..ตายห่..เรานั่งพับเพียบอยู่นี่ ถึงว่าวันนี้รู้สึกแปลก ๆ นั่งพับเพียบฉันจนจะอิ่มอยู่แล้ว ถ้านั่งเป็นแล้วจะสมดุล อาตมานั่งจนชินแล้ว เคยไปให้หมอเขาตรวจว่ากระดูกสันหลังคดไหม ? หมอบอกว่าปกติดี บอกหมอว่าอาตมาพับเพียบข้างเดียวมาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว เขาบอกว่ายังไม่มีอะไรเสีย ถ้าจะมีปัญหาที่เป็นไปได้ก็เรื่องเส้น ไม่ใช่เรื่องกระดูก |
ถาม : เวลาไปไหว้พระ จะขอพรพระว่าเวลาจะตายให้มีทุกขเวทนามาก ๆ จะได้เห็นทุกข์ชัด ๆ แต่ตอนนี้เริ่มกลัว..?
ตอบ : ก็ขอใหม่ ลักษณะนั้นเป็นอธิษฐานบารมีคือความตั้งใจ ความตั้งใจสามารถเปลี่ยนใหม่ได้ คราวนี้ถ้ากลัวแล้วไม่ต้องเอามากก็ได้ ถ้ากลัวให้เน้นทำสมาธิไว้ ถ้าอานาปานสติทรงตัว เรื่องของความเจ็บปวดจะทำอะไรเราไม่ได้เลย วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตอนเช้าอาตมาเดินบิณฑบาต ไปเหยียบตะขาบตัวเบ้อเริ่มเลย ตะขาบตัวนี้ก็ซวยจริง ๆ ไม่ใช่อาตมาซวยนะ เพราะว่าปกติตอนสว่างตะขาบจะเข้าที่พักไปหมดแล้ว ตัวนี้น่าจะหาอาหารกินไม่ได้ เดินงุ่มง่าม ๆ ตรงทางที่ออกจากวัดจะเป็นป่าอยู่ช่วงหนึ่ง ไปเหยียบเต็ม ๆ ไถจนหงายท้องไปเลย พอพลิกกลับก็กัดเอาใต้นิ้วเท้าพอดี อาตมาเองก็เจ็บอยู่นะ แต่ก็เดินไปเรื่อย ยิ่งเดินก็ยิ่งปวด เหมือนมีเหล็กแหลมแดง ๆ แทงอยู่ที่ฝ่าเท้า แล้วมีเหล็กแดง ๆ ๒ แผ่นประกบบนล่าง รู้สึกว่า เอ๊ะ..ถ้าปวดมากกว่านี้นิดหนึ่งก็จะเป็นลมแล้ว ได้แต่สั่งตัวเองว่าอย่าเป็นลม เพราะว่าจะบิณฑบาต เอ็งอย่าเสือกทะลึ่งเป็นลม แล้วก็เดินไปเรื่อย เดิน ๆ ไปเหมือนขาตัวเองไม่มีความรู้สึก เหมือนลูกตุ้มอะไรลูกหนึ่งถ่วงอยู่ เพราะพิษตะขาบน่าจะทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ก็เดินจนกระทั่งกลับมาถึงวัด ตกประมาณ ๕ ก.ม. พอฉันเสร็จถึงรู้ว่าที่จริงอาตมาบังคับขาไม่ได้แล้ว เพราะว่าจะขยับเปลี่ยนท่าเปลี่ยนอะไร ขาก็ไม่อยากจะตามมาแล้วจึง บอกกับพระท่านว่า "ถ้าคุณคิดจะทำหน้าตาเฉยอย่างผมได้ คุณต้องไปเล่นอรูปฌานเลย ไม่อย่างนั้นไม่สามารถทำได้ เพราะว่าปวดมาก" ส่วนใหญ่ก็ร้องโอดโอยกันเป็นวัน ๆ ส่วนอาตมาก็ทำงานทำการไปเรื่อย ตอนแรกว่าจะเดินตรวจงานตอนเช้า ก็ปรากฏว่าเป็นแล้วเดินได้ยาก บังคับขาไม่ได้อย่างใจ เดี๋ยวไปล้มแล้วขายหน้าเขา เพราะต้องขึ้นไปดูงานที่ชั้น ๓ ด้วย ก็หยุดพักไปครึ่งวัน รู้สึกรำคาญตัวเองเต็มที เดินก็เดินวะ หลังเพลก็ไปเดินดูงาน เดินไปเดินมาเหมือนพิษเริ่มคลาย เดินได้คล่องขึ้น ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : เจ็บก็เจ็บไป ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา ถ้าเราจะทำอย่างนั้นโดยที่กลัวว่าเวทนาจะเกิดขึ้นกับตัวเอง ต้องซักซ้อมอานาปานสติให้คล่องตัวไว้ จะช่วยได้เยอะมากเลย เราอาศัยตัวอานาปานสติระงับกายสังขาร ไม่ต้องกลัวเจ็บ ถือว่าความเจ็บเป็นคุณกับเรา ทำให้เห็นทุกข์ จะได้ไม่อยากมาเกิดอีก |
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระของเรานี่น่าตายจริง ๆ..! คือหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยบอกว่า อานิสงส์การบวชนั้นมหาศาลมาก แต่เพื่อความแน่นอน ตอนจะสึกให้คุณอธิษฐานว่า "ผลบุญในการบวชครั้งนี้ คุณปรารถนาอะไร ให้ขออย่างเดียวแล้วจะได้" ปรากฏว่าบรรดาไอ้ทิดของเรา สึกแล้วตามอาตมาลงไปกฐินปักษ์ใต้ ไปตักมัจฉาพาโชค ที่เป็นดวงลอยฟ่องเต็มน้ำนั่นน่ะ ไปอธิษฐานเอารางวัลใหญ่ เอาจักรยาน พัดลม เตียงนอนอะไรของเขามาหมดเลย จนกระทั่งเขาต้องปิดร้านไปเลย เออ..ดีเหมือนกัน มึงบวชทั้งทีขอแค่นี้เองนะ..! แต่ว่าเขาเอาไปเข้ากองกฐิน เพียงแต่อาตมาว่าเหลวไหลไปหน่อย ของแค่นี้ดันไปใช้บุญบวชของตัวเอง"
|
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องหวยว่า "ความจริงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมีสูตรเด็ดที่เทวดาท่านบอกให้ แต่พอท่านห้าม อาตมาก็เลยบอกใครไม่ได้เลย ท่านจะให้เอาเลขคูณกัน แล้วเอามาตั้งบวกลบ ออกมาจะเป็นเลขท้าย ๒ ตัว อาตมาก็บอกว่า “เอ๊ะ..บางครั้งก็เป็นตัวเดียวนี่ครับ” ท่านบอกว่า “ตัวเดียวเอ็งก็ตัดท้ายเล่น หรือไม่ก็เติมหน้าเติมหลังเอาสิวะ” ก็คือถ้าไม่ได้ ๒ หลัก ท่านให้ไปเติมเอาเอง เคยลอง ๆ ดู ๔-๕ งวด ออกตรงจริง ๆ ด้วย
แต่เนื่องจากว่ารับปากท่านแล้วว่าจะไม่เล่น ก็เลยไม่ได้เล่น เสียดายที่หลวงพ่อท่านตัดทางทำกินไปเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นเรื่องสร้างวัดนี่ ให้หวยไปสัก ๒-๓ งวดคนก็ล้นวัดแล้ว" |
ถาม : อนุโมทนา หรือโมทนา อย่างไหนถูกต้องคะ ?
ตอบ : อนุโมทนาเป็นคำที่ถูกต้องจ้ะ คำว่า อนุ แปลได้ ๓ ความหมาย แปลว่า น้อย อย่างเช่น อนุภรรยาคือเมียน้อย แปลว่า ภายหลัง อย่างเช่น อนุชนคือคนที่เกิดมาทีหลัง แปลว่า ตาม อย่างเช่น อนุโมทนาแปลว่ายินดีตามเขา เพราะฉะนั้น..อนุโมทนาเป็นคำเต็มที่ถูกต้อง เราพูดสั้น ๆ ว่าโมทนาก็ได้ บางคนใช้สั้น ๆ ว่า "โมนะ" คนอื่นทำก็หันมามอง เขา “โม” เอาไปแล้ว รู้สึกว่าคำพูดชักกร่อนลงเป็นชาวใต้ไปเรื่อย ชาวใต้เขาพูดอะไรกันสั้น ๆ พวกศัพท์ชุดนี้เขาเรียกว่าอุปสรรค อุปสรรคคือสิ่งที่มาขวางอยู่ตรงหน้า อย่างเช่น อติ, อภิ, อนุ ฯลฯ จะต้องนำหน้าอย่างเดียว อยู่หลังก็ไม่ได้ อติพล...มีกำลังอันยิ่งใหญ่ อภินันท์...มีความยินดีอย่างยิ่ง อนุชน...บุคคลที่ตามหลังมา อย่างพระครูหน่อยท่านเข้าใจว่าอนุแปลว่าน้อย ทำไมไม่เปลี่ยนเป็นมหาโมทนา ? ก็บอกว่าไม่ใช่ อนุเขาแปลได้ ๓ ความหมาย ถึงบอกว่าศัพท์บาลีต้องดูบริบท ก็คือสิ่งแวดล้อมในช่วงนั้น ว่าความหมายควรจะเป็นอย่างไร ก็แปลตามนั้น ในเมื่อเป็นอนุโมทนาก็ต้องแปลว่ายินดีตาม เจ้าของยินดีทำบุญ เราก็ยินดีตามไปด้วย อุป แปลตรงตัวว่า ใกล้ , สัค แปลว่า สวรรค์ เพราะฉะนั้น..ถ้าผ่านอุปสรรคไปได้ เหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์ ถ้าหากว่าแตกฉานบาลีแล้วจะสนุก แต่ก็อย่างว่า กว่าจะเรียนถึงระดับนั้นได้ ท่องหนังสือกันจนหน้ามืดตาลาย |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนเวลาอาตมาลงไปสุไหงโกลก ถ้าตรงกับวันศุกร์ เขาก็จะนิมนต์ให้ไปเทศน์ที่โรงเรียนมัธยมสุไหงโกลกหน้าวัดประชุมชลธารา ก็ถามว่าทำไมต้องเทศน์ทุกวันศุกร์ เขาก็บอกวันศุกร์เด็กอิสลามไปสุเหร่ากัน เด็กพุทธไม่มีอะไรจะทำ ก็เลยต้องนิมนต์พระไปเทศน์
คราวนี้ที่โน่นประชาชนส่วนใหญ่เป็นอิสลาม ไทยพุทธเป็นส่วนน้อย ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ถ้าหากให้สวดมนต์ไหว้พระแล้วกลับบ้านก็เหมือนเด็กได้อะไรน้อยไป ก็เลยนิมนต์พระไปเทศน์ อาตมาก็เลยไปยุให้เล่นคาถากันสนุกสนาน เด็กเขาอยากสอบได้กันทุกคน ก็ต้องภาวนาคาถาท่านปู่พระอินทร์ แบบเดียวกับที่เขาให้ไปสอนนักโทษ อาตมาไปถึงก็บอกเลย “วันนี้จะมาสอนพวกเราแหกคุก เอาคาถาสะเดาะกลอนไปเลย” ตอนแรกไม่ค่อยฟังกันหรอก นั่งคนละทิศละทาง พอได้ยินว่าแหกคุกได้นี่หูผึ่งกันไปตาม ๆ กัน ปรากฏว่าเขาพาเข้าไป ๓ ครั้งแล้วไม่ให้ไปอีกเลย เพราะไปทุกครั้งเอาแต่ไปสอนให้นักโทษแหกคุก เวลาเข้าไปนี่อาตมาไม่รู้สึกกลัวหรอก แต่เจ้าหน้าที่จะเครียดมากเลย รปภ.ล้อมกัน ๕-๖ คน เขาบอกว่า “ถ้านักโทษจับหลวงพ่อเป็นตัวประกัน พวกผมตายแน่เลย” อาตมาสอนนักโทษให้ฝึกวาโยกสิณ ถ้าคุณฝึกสำเร็จรับรองกำแพงแค่นี้เรื่องเล็ก ฝึกปฐวีกสิณเดินข้ามไปเลยก็ได้ นึกแล้วก็ขำดี ไปสอนได้แค่ ๓ ครั้ง ผบ.เรือนจำบอกให้เปลี่ยนตัวพระที่มาเทศน์เลย" |
ถาม : วิธีป้องกันคุณไสย ?
ตอบ : ถ้ารักษาศีลบริสุทธิ์กันได้เกินครึ่งแล้ว ถ้าสร้างสมาธิได้อีกหน่อยก็รับประกันซ่อมฟรีได้เลย แต่ว่าห้ามขาดสตินะ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : ยิ่งใหม่ ๆ ยิ่งดีเลย เพราะศีลบริสุทธิ์แน่นอน เรื่องของคุณไสยเก่งขนาดไหนก็ตาม แต่ไม่ได้ถึงที่สุดของสมาธิ เพราะสภาพจิตมุ่งร้ายคนอื่นนั้นขาดอุเบกขา พอไปทำเขาก็เสื่อม เมื่อรวบรวมกำลังใจได้ใหม่ก็ทำใหม่อีก อาตมาก็สงสัยว่าทำไมหมอผีถึงทำได้ทุกวัน ? อ๋อ..ตอนทำเขาไม่ได้ผิดศีลนี่ สมาธิเขาทรงตัวได้ พอทำเสร็จแล้วปรากฏว่าให้ร้ายคนอื่นวิชาก็เสื่อม ต้องมารวบรวมกำลังใจใหม่ อภิญญาโลกีย์เป็นอย่างนี้เอง |
ถาม : ผู้ชายสามารถบวชให้พ่อแม่ได้ แล้วผู้หญิงละคะ ?
ตอบ : รอไปเกิดเป็นผู้ชายสิจ๊ะ ...(หัวเราะ)... ทำตัวให้เป็นพระอริยเจ้า ยิ่งกว่าการบวชใด ๆ ทั้งหมด เพราะว่าการบวชเป็นแค่สมมติสงฆ์เท่านั้น ดังนั้น..ถ้าเราเป็นพระโสดาบันขึ้นไป กุศลนับเท่าไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น..เป็นผู้หญิงนี่ไม่ใช่บวชไม่ได้นะ บวชใจยากกว่าบวชกายเยอะเลย |
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : คือช่วงที่เราฉุกเฉิน สิ่งที่เราสั่งสมมา เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ทั้งหมดจะมารวมตัวกัน ตอนนั้นเราจะรู้ว่ากำลังของเรามีเท่าไร นั่นคือกำลังที่เราจะใช้เผชิญหน้ากับความตายอย่างแท้จริง ถ้าลักษณะอย่างนั้นมั่นใจได้เลย เพราะว่าเรามีสติอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้หวั่นกลัว เหลืออีกอย่างเดียวก็คือเกาะความดีให้ได้ นึกถึงพระ นึกถึงพระนิพพาน ฯลฯ ถาม : แต่กลัว ? ตอบ : กลัวไม่เป็นไร ก็บอกแล้วว่าเป็นเรื่องปกติ แต่พอถึงเวลาต้นทุนทั้งหมดเรากวาดมารวมกัน ตอนนี้เราเหมือนเปิดร้านเซเว่นทั่วประเทศ อย่างเก่งก็ยอด ๕๐,๐๐๐ บาทต่อร้านต่อวัน ยังต้องกลัวอยู่ เขามาทวงหนี้ตั้งหลายล้าน แต่ลองเอา ๗,๐๐๐ กว่าสาขาทั่วประเทศมารวมกันสิ เงินตั้งเท่าไรต่อวัน เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาฉุกเฉินขึ้นมาผลบุญมารวมกัน เราจะรู้ว่าต้นทุนเรามีเท่าไร แต่ก็ไม่ควรประมาท ต้องเร่งทำให้มากไว้ เวลาจะตายจริง ๆ ช่วงนั้นเราจะเห็นว่าเราไม่ได้หวั่นไหว ไม่ได้หวั่นเกรงความตายอะไรเลย ก็เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือเกาะความดีให้ได้ ถาม : (ไม่ได้ยิน) ตอบ : นั่นคือสภาพจิตที่เร็วกว่า สภาพจิตถ้าไม่เร็วขนาดนั้น กิเลสที่เข้ามาเร็วมากเราจะกันไม่ทัน สติ สมาธิ ปัญญาของเราจริง ๆ จะเร็วยิ่งกว่านั้นอีก ไม่อย่างนั้นแล้วกันกิเลสไม่ทัน |
ถาม : วิธีหนีกรรม
ตอบ : ไปพระนิพพาน...จบ หนีหนี้ไปต่างดาว อย่างไรเขาก็ตามทวงไม่ไหว ยกเว้นว่าให้เขาสร้างจานบินตามไปเอง |
ถาม : ตัดต้นไม้ใหญ่ไป ควรจะตั้งศาลไหมครับ ?
ตอบ : โดยปกติแล้วถ้าจะตัดต้นไม้ใหญ่ โดยเฉพาะต้นไม้ที่มีแก่น เขาให้สร้างศาลเพียงตาอย่างน้อย ๑ หลัง ตัดเอากิ่งสักกิ่งหนึ่ง ขนาดพอประมาณ เอามาตั้งไว้ในศาล โดยหันทางด้านปลายขึ้นบน แล้วจุดธูปบอกกล่าวเขาว่า ท่านใดที่อาศัยต้นไม้อยู่ ให้มาอยู่ที่ศาลนี่แทน แล้วก็ขออนุญาตโค่นต้น คือต้องทำตั้งแต่ก่อนที่จะตัด ไม่ใช่ตัดแล้วค่อยทำ ถ้าตัดแล้วค่อยทำก็ไม่ต้องไปกังวล เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา เป็นเรื่องของคนตัด ถ้าหากว่าเป็นพื้นที่กว้างของส่วนรวม โดยเฉพาะอยู่ในลักษณะของต้นไม้ใหญ่ ให้ตั้งเป็นศาล ๔ เสาไปเลยดีกว่า จะเป็น ๔ เสา ๖ เสาอะไรก็ได้ ให้เกิน ๔ ไปได้ก็ดี เสร็จแล้วก็ทำพิธีบวงสรวงขอความคุ้มครองรักษาจากเจ้าที่เจ้าทาง ถ้าไม่เกินวิสัยขอให้ท่านช่วยให้กิจการของเรามีความเจริญรุ่งเรืองด้วย สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่คนอื่นทำผิดทำพลาดอย่างไร เราก็กราบขอขมาท่านแทนไป |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนพลเมืองน้อย พื้นที่มีมาก แล้วยิ่งเกิดศึกสงคราม ผู้ชายไปรบไปตายกันเยอะ เขาก็เลยนิยมมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง สมัยนี้คนมากขึ้น ๆ พื้นที่เหลือน้อยลง ๆ เดี๋ยวนี้บางแห่งราคาประเมินตารางวาละ ๘๐๐,๐๐๐ บาท แต่ขายจริงตารางวาละหลายล้าน ตารางวาเดียวพอสร้างศาลพระภูมิหลังหนึ่ง ขายตั้งหลายล้าน มีลูก ๒ คนนี่ก็แย่แล้ว"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานมีงานที่วัดวีระโชติธรรมาราม มีหลวงตาชลอ หลวงตาวัชรชัย หลวงพี่วิรัช อาตมา และหลวงพี่องอาจ ฉันเพลไปก็มองหน้ากันไป อาตมาเตรียมงานฉลอง ๖๐ ปี หลวงพี่ชลอ หลวงพี่วิรัช หลวงตาวัชรชัยทะลุเลย ๖๐ ไปนานเนแล้ว ท้ายสุดมีแต่อาจารย์องอาจของเรานี่แหละ ยังสบาย ๆ ๔๘ อยู่คนเดียว แกก็มาโวยวาย “ทำไมผมหน้าแก่จังวะ ?” อาตมาบอกว่า “ไม่รู้..เรียกพี่มาแต่แรกแล้ว ผมไม่เปลี่ยนหรอก” ท่านเล่นเคี้ยวหมากไปด้วย ก็ยิ่งดูอาวุโสเข้าไปใหญ่"
|
ถาม : ผมมีโรคประจำตัวมา ๑๐ กว่าปีครับ ไม่ทราบว่าเป็นกรรมเก่าหรือเราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : โรคทุกชนิดเป็นผลจากกรรมเก่า ถ้าต้องการบรรเทาตรงนี้ก็ให้ปล่อยชีวิตสัตว์ทุกเดือน หมายถึงสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างเช่น ปลาในตลาด ไม่ใช่ที่เขาจับมาให้เราปล่อยนะ ทำทุกเดือนต่อเนื่องกัน ถาม : แล้วจะค่อย ๆ ดีขึ้นใช่ไหมครับ ? ตอบ : จะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ค่อยขนาดไหนไม่รู้ อาตมาปล่อยมา ๓๐ ปีกว่าถึงดีขึ้น ถาม : จะต้องฝึกกรรมฐานช่วยเพิ่มเติมไหมครับ ? ตอบ : ถ้าทำได้ก็ดี แต่การคืนชีวิตให้เขาเป็นการแก้เรื่องปาณาติบาตโดยตรง อย่างอื่นก็เป็นส่วนเสริม ถ้าทำได้ก็เป็นกุศลให้แก่ตัวเอง ถาม : แสดงว่ากรรมเก่าผมผิดศีลข้อปาณาติบาตกับข้อสุราเมรัยใช่ไหมครับ ? ตอบ : ปาณาติบาตอย่างเดียวก็แย่แล้ว ฉะนั้น..ต้องปล่อยชีวิตสัตว์ให้สม่ำเสมอทุกเดือนอย่าได้ขาด |
ถาม : พอนั่งสมาธิแล้วฟุ้งซ่าน จิตเราปรุงแต่งแต่เรื่องไร้สาระค่ะ ?
ตอบ : สังเกตว่าเราไปฟุ้งซ่านเกี่ยวกับอนาคต หรือว่าไปยุ่งเกี่ยวกับอดีต ซึ่งเป็นการส่งใจออกทั้งคู่ ต้องหยุดอยู่กับปัจจุบัน คือลมหายใจเข้าออกของเราเฉพาะหน้า เพราะฉะนั้น..ทันทีที่รู้ตัว ให้ดึงความรู้สึกทั้งหมดกลับเข้ามาที่ลมหายใจใหม่ ซักซ้อมทำอย่างนี้บ่อย ๆ จนสภาพจิตเคยชิน แรก ๆ ก็เหมือนกับลิง เผลอเมื่อไรก็เผ่นไปแล้ว เผลอเมื่อไรก็กระโดดไปทางโน้นทางนี้ แต่ถ้าเราเคยชิน ต่อไปเราก็สามารถผูกให้อยู่กับที่นาน ๆ ได้ ทันทีที่รู้ตัวว่าเราส่งจิตออกนอก ให้ดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกของเราใหม่ อยู่กับลมหายใจเข้าออกให้ได้ ถาม : หายใจเข้าหรือหายใจออก รู้สึกว่ากลวง ๆ ค่ะ ? ตอบ : อยู่ตรงนั้นแหละ จะรู้สึกอย่างไรก็ช่าง ถ้าอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ก็รอดตัวไปชั่วคราว |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:13 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.