พระอาจารย์กล่าวกับคณะญาติโยมที่นำดวงแก้วมาถวายว่า "อยากจะบอกโยมว่า อย่าไปหา “ของนอก” มาก เดี๋ยว “ของใน” จะไม่ได้อะไร ตะเกียกตะกายไปเรื่อย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะดีเท่าไรก็ตาม สู้มรรคผลในใจของเราไม่ได้ ฉะนั้น...มรรคผลในใจของเราจึงสำคัญที่สุด
บางอย่างก็เหมือนกับท่านตั้งใจทดลองเรา ว่ายังจะเดินทางไกลอีกสักเท่าไร ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะอยู่ในลักษณะที่มัวแต่ไปแสวงหาสิ่งอื่นอยู่ ปุบปับเราเป็นอะไรไปก็จะไม่ได้ในจุดที่ต้องการ ทำเพื่อคนอื่นมาเยอะแล้ว เริ่มทำอะไรเพื่อตัวเองได้แล้ว" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติธรรม ถ้าตั้งใจมากจะโดนลองของแรงมากเป็นปกติ เมื่อเดือนที่แล้วมีแม่ชีอยู่ ๒ รูป รูปหนึ่งเพิ่งเรียนจบ ปวช. เป็นตายก็ต้องบวชให้ได้ จะบวชไม่สึก ปรากฏว่าอยู่วัดได้ไม่ถึงเดือนก็สึกกลับบ้าน ส่วนอีกคนหนึ่งอธิษฐานว่าถ้ามีกุฏิเป็นของตัวเองจะบวชไม่สึก อาตมาก็เลยจัดกุฏิให้ อยู่ได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็สึก..!
เราตั้งใจแรงมาก เขาก็ลองแรงมาก รายที่บอกว่าได้กุฏิจะไม่สึก อยู่ ๆ พ่อก็ป่วยจนทำงานไม่ไหว โทรมาเช้ากลางวันเย็น เมื่อไรจะกลับไปช่วยงานพ่อสักที ต้องสึกไปจนได้ อย่างอาตมาเปิดกว้างมาตั้งแต่พรรษาที่ ๓ พูดง่าย ๆ ว่า ใครมาขอแต่งงานด้วยกูจะสึกทันที แหม..หนีหายหมดเลย..!" |
ถาม : วิสุงคามสีมาต้องเป็นวัดเท่านั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ยังไม่เป็นวัดก็ได้ อย่างวิสุงคามสีมาของสำนักสงฆ์ แต่ต้องเป็นสำนักสงฆ์ที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถาม : วิสุงคามสีมาได้แค่สองอย่างคือวัด กับสำนักสงฆ์ขึ้นทะเบียน ? ตอบ : ถ้าสำนักพุทธฯ ขึ้นทะเบียนแล้วขอวิสุงคามสีมาได้เลย แต่สำคัญที่สุดก็คือหลักฐานที่ดินต้องชัดเจน ถาม : แล้วที่เป็นที่พักสงฆ์ละครับ ? ตอบ : ยังขอไม่ได้ ที่พักสงฆ์ส่วนใหญ่แล้วแค่แจ้งผู้ปกครองตามลำดับชั้นทราบว่าไปอยู่ตรงนั้น แต่ยังไม่ได้รับอนุญาต หรือว่าไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักพุทธฯ ถาม : อย่างเกาะพระฤๅษีตอนนี้เป็นแบบไหนครับ ? ตอบ : ตอนนี้เกาะพระฤๅษีเป็นที่พักสงฆ์ เป็นสำนักสงฆ์ก็เป็นไม่ได้ เพราะว่าไม่มีเอกสารสิทธิ์ ถาม : เพราะอยู่ที่ป่าไม้ ? ตอบ : ไม่ใช่...พื้นที่เป็นช่องว่าง ทางด้านโน้นของฝั่งน้ำก็คือ เขตป่าสงวนเขาพระฤๅษีเขาบ่อแร่ ทางด้านหน้าก็คือเขตของอุทยานแห่งชาติศรีนครินทร์ เป็นช่องโหว่อยู่พอดี ไม่มีเจ้าของ แล้วไปขอให้ใครช่วยเซ็นรับรองให้ เขาก็ไม่อยากยุ่งด้วย ในเมื่อไม่มีใครรับรองเรื่องที่ดิน ก็เลยขอไม่ได้สักที คาอยู่อย่างนั้น ถาม : ถ้าครอบครองปรปักษ์เกิน ๑๐ ปี แล้ว เราไปขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ ? ตอบ : ลำบากตรงที่ว่า ถ้าเราไปแจ้งก็จะกลายเป็นพื้นที่ในเขตอุทยาน แต่ตอนนี้เจ้าของเขายืนยันว่าไม่ใช่พื้นที่ของเขา ยุ่งตายชักเลย ตอนไปอยู่ใหม่ ๆ พอดีผู้ช่วยอุทยานเขาอยู่ ก็ถามเขา เขาบอกว่าของเขาแต่ดั้งเดิมเลยก็คือลำห้วยด้านหน้า พอมีถนนก็เลยเอาถนนเป็นเขตเพราะสะดวกกว่า เพราะถ้าเป็นลำห้วยเมื่อน้ำหลากก็เปลี่ยนแปลงได้ พอไปถามป่าสงวน ป่าสงวนเขาก็ยืนยันว่าของเขาลำห้วยด้านนี้ ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า "นี่ถ้าผมรู้ว่าไม่มีเจ้าของ ผมอมไปนานแล้ว" นี่ถ้าหากนับก็เกิน ๒๐ ปีแล้ว เพราะว่าเข้าไปทำไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๓๖ |
ถาม : ระหว่างสมาธิใช้งานกับสมาธิเข้าเงียบเลย ตัดเลย สมาธิอันไหนที่ใช้ต่อการตัดกิเลส ?
ตอบ : ทั้งสองอย่างนั่นแหละ เพียงแต่อย่างแรกต้องมีความคล่องตัวกว่า ถาม : กำลังเท่ากันทั้งสองอย่าง ? ตอบ : เท่ากัน แต่สมาธิใช้งานช่วยได้เยอะกว่า เพราะว่าใช้ในชีวิตประจำวันได้ กิเลสไม่ได้มาเฉพาะตอนที่เรานั่งปฏิบัติธรรม |
ถาม : ทำไมสมาธิแบบเข้าเงียบไม่กินระยะนานเหมือนสมาธิใช้งานครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความตั้งใจของเรา บางคนเข้าไปนานสามปีห้าปีเลยก็มี |
ถาม : ดับสัญญาต้องใช้สมาธิอย่างเดียวหรือใช้วิปัสสนาด้วยครับ ?
ตอบ : แค่อยู่กับลมหายใจสัญญาก็ดับแล้ว สัญญาดับง่ายจะตาย ถ้าอยู่กับปัจจุบันก็ไม่ไปอดีต ไม่ไปอนาคต จะเอาสัญญาที่ไหนมา ? ถาม : ตรงดับปัจจุบันละครับ ? ตอบ : ตัวปัจจุบันไม่ต้องไปดับ อยู่กับปัจจุบันอย่างนั้นแหละ จะดับกิเลสอื่น ๆ แทน |
มีผู้มากราบขอพร เตรียมทำโครงการชุมชนหมู่บ้านธรรมที่จังหวัดแพร่ โอกาสเข้ามาบ้านวิริยบารมีคงจะน้อยลง พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะนั่งที่นี่ได้อีกกี่เดือน เพราะปวดหลังใจจะขาด เพิ่งจะเป็นไม่กี่วันนี้เอง เหมือนกับว่ายิ่งนั่งก็ยิ่งช้ำ มีแต่เป็นหนักขึ้นเรื่อย หมอนวดก็ช่วยไม่ได้
เอาเถอะ...อย่างไรก็วางโครงการให้ดี เพราะคนอยู่ที่ไหนก็เป็นคน โดยเฉพาะกิเลสของนักปฏิบัติธรรมนี่ทุเรศสุด ๆ คนทั่ว ๆ ไปก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่ประกาศตัวว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้วยังแบก รัก โลภ โกรธ หลง เสียเต็มหัว ร้อยคนก็ร้อยนิสัย ร้อยสันดาน ดูแลยากอย่าบอกใครเลย" |
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องธาตุของตนเองว่า "ธาตุดินจากเต็ม ๒๐ เหลือศูนย์ นี่แสดงว่าอยู่ด้วยกำลังใจจริง ๆ ธาตุดินนี่อาตมาไม่ค่อยรู้ตัว เพราะว่าเป็นคนผอม แต่ธาตุลมนี่รู้ตัว เพราะการเคลื่อนไหวรู้สึกว่าช้าลงไปเยอะ ธาตุลมเหลือส่วนเดียว ธาตุดินเหลือศูนย์ แล้วคิดดูว่าจากยี่สิบเหลือศูนย์ นี่ไม่ตายหรือ ? อยู่มาได้อย่างไรก็ยังงง ๆ อยู่เหมือนกัน พอถึงเวลาไม่ไหวก็ “เอ้า...ไปทำงานก่อน พอสั่งร่างกายยอมไปก็ไป”
|
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนให้สามเณรเขาไปช่วยกันทำความสะอาด เด็ก ๘๐ กว่าคนแบ่งกันทำ ทั่ววัดดีแท้เลย แบ่งออกเป็น ๖ ชุด ชุดหนึ่ง ๑๓ รูปบ้าง ๑๔ รูปบ้าง ช่วยกันทำความสะอาด ทำเสร็จเร็วก็ได้พักเร็ว ตั้งใจเดินจงกรม ตั้งใจภาวนาก็จะให้พักเร็ว ประเภทเรียกว่าซื้ออนาคต แรก ๆ เดินจงกรมไม่พร้อม...ฟาด คือเขาไม่ได้สนใจที่อาตมาพูด บอกวิธีเดินก็ไม่ฟัง เดินให้ดูก็ไม่ดูกัน คราวนี้เมื่อเดินไม่พร้อม โดนฟาดเข้าไป เขาก็เดินพร้อมกันได้
พอดีทางโรงเรียนเขาเปลี่ยนผู้อำนวยการคนใหม่ ผอ.ท่านมารับตำแหน่งวันที่ ๑๔ แต่ท่านเดินทางมาดูสถานที่ก่อน แล้วตอนนั้นช่วงวันที่ ๖ ท่านมาก็ได้เห็นคาตาว่า ไอ้ว่าที่ลูกศิษย์ของเขาโดนแบบไหน ผู้อำนวยการคนใหม่เป็นผู้หญิง บอกว่านโยบายเดียวกันเลยเจ้าค่ะ เวลาดิฉันบริหารโรงเรียนก็แจ้งผู้ปกครองตอนประชุมทุกครั้งว่า ส่งลูกมาจะตี ถ้าไม่มั่นใจว่าลูกรับไม้ได้ ให้ไปเรียนโรงเรียนอื่น แต่นี่พระตีให้ดูก่อน แล้วก็มีการทะเลาะกันในวัด เรื่องเด็กทะเลาะกันนี่จะฟังความข้างเดียวไม่ได้เลย เณรที่มาฟ้องก่อนโดนต่อยเลือดกำเดาไหล เขาบอกว่า "มันมาถึงก็ใส่ผมเลยครับ" อาตมาก็ให้ไปตามคู่กรณีมา ที่พระเขามาแจ้งเพราะว่าพอมีเรื่องแล้ว เณรโทรไปบอกทางบ้าน ทางบ้านให้พี่ชายเณรมาดู เคลียร์ไม่จบ พ่อแม่ก็เลยมาด้วย ก็เลยเรียกคู่กรณีมาถาม ถามว่าต่อยเขาทำไม ?" |
"เขาบอกว่า คนที่โดนต่อยจะไปรังแกน้องตัวเล็ก ก็คือด่าแล้วก็ข่มขู่ตั้งแต่ตอนเดินจงกรมแล้ว พอขึ้นที่พัก ยังตามไปจะเล่นเขาอีก ทางนี้ก็เลยต้องใส่ไว้ก่อนเพราะอีกฝ่ายตัวใหญ่กว่า จึงหันไปถามว่าตกลงใครทำก่อน ? คนที่โดนต่อยก็บอกว่า “ก็กวนตีนกันไปกวนตีนกันมาครับ” เขาว่าอย่างนั้น แต่ตอนแรกเขาบอกว่าโดนชกก่อน แล้วก็พูดแต่เรื่องที่ตัวเองโดน เพราะฉะนั้น..เราจะฟังความข้างเดียวไม่ได้
อาตมาบอกว่า "พวกเอ็งชกกันไม่เป็นไร ลูกผู้ชายวัยรุ่นก็ต้องมีบ้าง ข้าเองสมัยก่อนก็หัว ๗ แผล ตัวไม่นับเหมือนกัน แล้วเอ็งช่วยเพื่อนไปรุมอัดเขาข้าก็ไม่ว่าอะไร ลูกผู้ชายรักเพื่อนก็ถือว่าเป็นของดี แต่ที่จะตีก็คือเอ็งเป็นเณรแล้วเสือกลืมสภาพของตัวเอง" เขาค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าเป็นเณร ไม่อย่างนั้นแต่ละคนอยู่ต่อหน้าอาตมา เอาแต่จะแยกเขี้ยวใส่กัน ต้องตัดสินโทษไปเลย จะเอาคนละกี่ที ? ฝ่ายโจทก์ก็บอกขอ ๒ ที ฝ่ายจำเลยบอก ๓ ที ก็เลยบอก "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้า ๓ ทีพวกเอ็งตายแน่ ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อเอาแค่ ๒ ที จะให้ตีรวดเดียวหรือว่าจะให้พักก่อน ?" ตอนแรกเขาก็ใจถึง บอกว่าตีรวดเดียว พอโดนฟาดไปทีเดียวบอก “ขอพักก่อนครับ” บอกว่า "เอ็งดูข้าเงื้อแค่นี้ แล้วถ้าเงื้อเต็มไม้จะตายไหม ? ปกติข้าตีเด็กวัด ตีทีหนึ่งได้ ๒ แผล โดนกันไปหูตาสว่างเลย" "มีเรื่องกันอีกก็ได้...ไม่เป็นไร แต่ว่าคราวหน้าเพิ่มอีกเท่าตัว...!" เสร็จแล้วก็หันไปบอกพ่อแม่เขาว่า "รับไม่ได้ก็ต้องรับนะ เพราะว่าเห็นอยู่แล้วว่าลูกเป็นอย่างไร" พ่อแม่เขาบอกว่าไม่เป็นไร เพราะถ้าตัดสินยุติธรรมแบบนี้เขารับได้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "มุทิตานี่ทำยากที่สุด คนเรามักจะยินดีกับความดีคนอื่นไม่ค่อยได้หรอก มักจะอิจฉากันมากกว่า ไม่รู้เป็นอะไร จนกระทั่งมีผู้เชี่ยวชาญเขาบอกว่า ถ้ามีผู้อิจฉาแปลว่าเราดีกว่า จบเรื่องเลย ก็น่าจะจริงนะ เพราะมีให้เขาอิจฉาก็แปลว่าต้องมีมากกว่า"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ผังเมืองบ้านเราไม่เหมาะที่จะปั่นจักรยาน โดยเฉพาะบ้านเราอากาศร้อนชื้น ปั่นแล้วเหงื่อท่วมตัว อย่างตอนที่พวกเราไปเนปาล แดดแรงมาก แต่ไม่มีเหงื่อ เดินไปเถอะ...ทั้งวันเหงื่อไม่ออก เพราะอากาศของเขาร้อนแห้ง ส่วนบ้านเราร้อนชื้น
ตอนนี้คนอ่านบันทึกการเดินทางเริ่มเครียด เพราะลงทีหนึ่ง ๓ เรื่องรวด ต้องแยกสมองให้ดีว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องไหน ตอนที่ไปเมืองจีนไม่ได้เอาโน้ตบุ๊กไป เขียนเป็นบันทึกย่อไว้เฉย ๆ ก็เลยไม่เสร็จ พอไม่เสร็จกะจะให้ไปตามลำดับก็จะมาติดอยู่ตรงไปเมืองจีน ท้ายสุดก็ตัดสินใจโดดข้ามไปเลย ไปเอาที่เสร็จแล้วมาลงดีกว่า" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เป็นครั้งแรกที่เขาถามว่าในกล่องเป็นอะไรแล้วตอบไม่ได้ เพราะว่าไม่มีอะไร ปกติแล้วเวลาจะแกะกล่อง พระหรือไม่โยมที่อยู่ใกล้ ๆ จะถามว่าข้างในเป็นอะไร อาตมาก็จะบอกเขาได้ แต่คราวนี้บอกไม่ได้ พอแกะออกมาดูก็เลยยกให้เขาดู มีแต่ลังเปล่า ๆ เลยไม่รู้จะตอบอย่างไร ที่ไหนได้...เขาส่งกล่องใส่หนังสือ Box Set ไปให้ แล้วก็เป็นกล่องโบ๋ ๆ เฉย ๆ หนังสือก็ไม่มี เลยตอบอะไรไม่ได้ กลายเป็นเรื่องตลก ถึงเวลาอาตมาก็เดี้ยงได้เหมือนกัน ของน่าจะตอบได้กลับตอบไม่ได้"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนอาตมาเจอเว็บไซต์แห่งหนึ่ง อย่าให้ออกชื่อเลยนะ ค่อนข้างจะปากร้ายอยู่หน่อย เขาบอกว่าทำเพื่อช่วยชาวไร่ชาวนาถือว่าโกงชาติ แต่สร้างอุทยานราชภักดิ์โกงก็ไม่เป็นไร ถือว่าจงรักภักดี แหม...เล่นซะ..! อาตมากลัวว่าถ้าเปิดเผยชื่อเว็บไซต์เดี๋ยวก็โดนปิดเท่านั้น ไปอ่านเขาให้ความเห็นแล้วก็ขำอยู่เหมือนกัน แต่เป็นอะไรที่หัวเราะไม่ออก โดยเฉพาะที่เขาอ้างอิงคำพูดของคุณสุเทพมาว่า “โกงแค่ ๖๐ ล้านถือว่าจิ๊บ ๆ ไม่ได้เสียหายเป็นแสนล้านเหมือนกับจำนำข้าว” ๖๐ ล้านอาตมาใช้ทั้งชีวิตจะหมดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?
ถ้ามีโอกาสลองไปหาดู เขาอ้างอิงคำพูดเจ็บ ๆ แสบ ๆ ไว้เยอะ อย่าง “ยางกิโลละ ๘๐ บาทต้องปิดถนน ต้องเผารถยนต์ ต้องล้มรัฐบาลให้ได้ ตอนนี้กิโลละ ๑๒ บาทไม่เป็นไร เพราะเป็นไปตามกลไกตลาด” ปากตะไกรชัด ๆ เลย..! แต่ว่าทั้งหมดนี้ทำให้เห็นชัดว่า บ้านเราเมืองเรายังหาคนที่ตั้งใจทำเพื่อส่วนรวมจริง ๆ ไม่ได้ มีอำนาจขึ้นไปเมื่อไร ก็จะมีพวกพ้องและตัวกูขึ้นมาทันที รัฐบาลที่แล้วทำโครงการจำนำข้าวมีการทุจริตในระดับล่าง นายกรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบ โดนฟ้องให้ชดใช้เป็นแสน ๆ ล้าน รัฐบาลนี้เห็นชัด ๆ อยู่ว่ามีการโกงกินกัน แต่ว่านายกรัฐมนตรีไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะว่าเป็นคนดี เขาเขียนได้แสบมากเลย บางทีไปอ่านข่าวแล้ว ถ้าหากเราเองไม่พยายามวางอารมณ์ให้เป็นกลาง คงได้ รัก โลภ โกรธ หลง ตามเขาไปเยอะเลย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "สังเกตไหมเดี๋ยวนี้สาว ๆ ไปทำหน้าเป็นแบบ V-Shape กันหมด เขาไม่รู้หรอกว่าเสียหายขนาดไหน ปกติหน้า V-Shape ตามตำราจะอยู่ในลักษณะสั่งการก็ได้ ทำงานเองก็ได้ แต่คราวนี้ตัวเองความสามารถอาจจะไม่มีหรืออาจจะไม่ถึง แล้วก็ไปปรับโหงวเฮ้งตัวเองจนเละเทะหมด"
|
ถาม : คนเรามีหน้าที่ซึ่งต้องทำในแต่ละชาติ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่...คือหน้าที่มีทั้งที่มาในชาตินี้แล้วค่อยรู้ว่าตัวเองจะเลือกทำอะไร ขณะเดียวกันก็มีจำนวนหนึ่งที่ตั้งแต่ชาติแล้ว ๆ ทำมา จนมาถึงชาตินี้ก็รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร ก็คือมีทั้งเริ่มต้นใหม่ แล้วก็มีทั้งเริ่มมานานแล้ว พวกเริ่มต้นใหม่ก็จะช้าหน่อย ตำราโหงวเฮ้งฉบับแรกจริง ๆ ก็คือ ตำราที่ทายมหาปุริสลักษณะของพระพุทธเจ้า โบราณเขาสุดยอดจริง ๆ เพียงแต่ว่าเขาเรียกมหาปุริสลักษณะ เขาไม่ได้เรียกตำราโหงวเฮ้ง ของพวกนี้มาตามบุญตามกรรมที่เราทำมา บุญกรรมในอดีตจะส่งผลให้เป็นในปัจจุบัน เรียกว่าเป็นส่วนของกรรมนิยามด้วย แล้วก็พีชนิยามด้วย คืออยู่ใน DNA มาเลย พระพุทธเจ้าท่านพูดถึงนิยาม ๕ ว่าคนเราเกิดมามีอะไรบ้าง ส่วนของกรรมนิยามก็คือการกระทำส่งผล ส่วนของพีชนิยามก็คือที่เรียกว่าต้นธาตุของเรา อย่างเช่น ปู่ย่าตาทวดของเราเป็นอย่างไร นั่นก็คือ DNA อีกส่วนก็อุตุนิยาม ดินฟ้าอากาศ คือคนเหนือจะขาว คนใต้จะดำ เพราะฉะนั้น...ของพระพุทธเจ้าจะบอกไว้ละเอียดที่สุด แต่ว่าตำราโหวงเฮ้งของจีน เท่าที่พบเห็นและใช้งานดู ตอนเด็ก ๆ มีโอกาสศึกษาจากอาเจ็กท่านหนึ่ง ท่านเป็นบัณฑิตจบมาจากเมืองจีน แล้วก็อพยพเข้ามารุ่นเดียวกับลุงกับโยมพ่อ เป็นต่างด้าว ตำราแกแม่นมาก แต่ว่าพอไปดูพวกตะวันตกแล้วใช้ไม่ค่อยได้ คุณลองไปศึกษาดูว่าตรงจุดนี้เกิดจากอะไร อาจจะเป็นเพราะว่าแบ่งตะวันตกตะวันออก หรือแค่เส้นศูนย์สูตรอะไรหรือเปล่า ? ถาม : แต่ละคนมีตำราไม่เหมือนกัน ถ้ามีตำราที่ลึกกว่าก็แม่นกว่า ? ตอบ : สำคัญตรงความชำนาญ เพราะถ้ายิ่งชำนาญก็ยิ่งมีความแตกฉานมากขึ้น กลายเป็นทักษะเฉพาะตัว มองปุ๊บก็รู้เลย อะไรจะแม่นขนาดนั้น เขาแม่นถึงขนาดบอกได้ว่าคนนี้จะตายวันไหน เวลาไหน อาเจ็กคนนั้นนะ แล้วเขาดูเพื่อนอีกคนหนึ่งว่าวันนี้ เวลานี้ แกจะตายก่อนเพล เพื่อนแกคนนั้นก็รั้น กูจะนอนอยู่แต่ในมุ้ง ให้รู้กันไปเลยว่าจะตาย ปรากฏว่าก่อนเพลแม่ไก่ออกไข่ แล้วกระโดดขึ้นไปบนขื่อ ไปกระต๊ากข้างบน บนขื่อเขาพาดหอกเอาไว้ ๒-๓ เล่ม ไก่ไปเหยียบปลายหอกพุ่งลงไปเสียบอกในมุ้งพอดี ไม่อยู่ในมุ้งอาจจะไม่ตาย สงสัยว่าตำราโหงวเฮ้งบอกได้ขนาดนั้นเลยหรือ ? แต่ของแกแม่นจริง ๆ |
ถาม : ตำแหน่งไฝตามร่างกายครับ ส่งผลเสียต่อเราอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่สบายใจก็ไปเอาออก แค่นี้ก็จบ ถาม : จะเอาไฝที่ตาซ้ายออกครับ ? ตอบ : ให้ระวังไฝที่โหนกแก้มก็พอ ถ้าไม่ได้อยู่บริเวณโหนกแก้มก็ช่างมัน ถ้าไฝอยู่โหนกแก้มจะเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง เอาออกก็ดี โบราณเขากลัวไฝที่โหนกแก้มกับร่องน้ำตา อย่างอื่นปล่อยไปเถอะ ดูของ "น้าชาติ" สิ ไฝของน้าชาติแบบเดียวกันเลย เป็นไฝแบกงาน พอแกเอาออกก็หลุดจากตำแหน่งเลย ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อนะ เรื่องพวกนี้ต้องเจอเองถึงจะเชื่อ |
ถาม : มีคนทำคุณไสยใส่ครอบครัว ล่าสุดทำเกือบตายครับ ?
ตอบ : ต้องภาวนาด้วย ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ บอกพ่อแม่ด้วยว่าให้ภาวนาเป็นปกติ แล้วทำไมเขาทำคุณไสยใส่ได้ ? ถาม : เขาเอาวันเดือนปีเกิดไปครับ เป็นเพื่อน ๆ แม่ครับ ? ตอบ : ถ้าอย่างนั้นต้องภาวนากันทั้งวันทั้งคืนแล้ว ถาม : ถ้าเอายันต์เกราะเพชรไปติดไว้ที่บ้าน ? ตอบ : เรื่องของคุณพระ เราป้องกันไม่ให้โดนไสยศาสตร์ตายได้ แต่ถ้ามีกรรมอยู่ก็โดนได้ พูดง่าย ๆ ก็คือเจ็บได้แต่ห้ามตาย ถ้าเราเสียท่าเขาขนาดนั้นก็ต้องยอมเจ็บ แหม...เล่นให้เขารู้เสียหมดทุกอย่างเลย ยังดีนะ...ถ้าหากมีของใช้ของเราอยู่กับเขาด้วยนี่ยิ่งหนักกว่านี้อีก ถาม : ที่บ้านผมให้เอาอะไรไปเสริมครับ ? ตอบ : ก็หาธงแดงของวัดท่าซุง ไม่รู้ยังพอหาได้หรือเปล่า ? ถาม : ผมเอาธงมหาพิชัยสงครามไปไว้ในศาลพระภูมิแล้วครับ ? ตอบ : เราเองก็ภาวนาเผื่อไว้ด้วย ปลุกไว้ทุกวัน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านไม่ยอมบอกวันเดือนปีเกิด เพราะว่าท่านโดนประจำ คนก็เลยไม่รู้ว่าท่านเกิดวันเดือนปีไหน แต่ความจริงอาตมารู้ แต่รู้ก็พูดต่อไม่ได้ |
ถาม : มีหน้าที่ที่ผมต้องทำ แต่ผมไม่อยากจะทำแล้ว ยิ่งทำก็ยิ่งเครียดครับ ?
ตอบ : ทำไปเถอะ นอกจากอาศัยบารมีของพระแล้ว เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญายิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะต้องมีสมาธิ ตัวสมาธิจะช่วยเพิ่มกำลังในทุกด้าน และผ่อนคลายกฎของกรรมได้ งานของเรา พอไปบอกไปแก้ไขให้คนอื่น เท่ากับว่าไปเปลี่ยนแปลงกรรมของเขา ถ้าเราไม่มีบุญคอยเสริมอยู่ บางทีโบราณเขาบอกว่าไม่ได้ไหว้ครูแล้วของจะเข้าตัว ทำไปเถอะ...คนเราหาที่พึ่งยากขึ้นเรื่อย ๆ พอเป็นที่พึ่งเขาได้บ้างก็เอา อย่างน้อยเราก็สร้างบุญสร้างบารมีให้ตัวเราเอง อาตมาก็ไม่ได้อยากนั่งตรงนี้หรอก ปวดหลังจะตายชัก ก็ยังต้องทนนั่งอยู่นั่นแหละ |
หลวงพ่อปรีชาอาจารย์ของคุณ ท่านเรียนปริญญาโทรุ่นเดียวกับอาตมา ท่านเรียนไปโยมก็มาหาไป เห็นแล้วเหนื่อยแทน เลิกเรียนก็ต้องวิ่งตามที่โยมเขานิมนต์ไป ได้กลับวัดกลับวาก็ดึกดื่นเที่ยงคืนทุกคืน แม่ชีทศพรก็เหมือนกัน พอถึงเวลาพวกเราไปเข้ากรรมฐาน แม่ชีอุตส่าห์ทิ้งงานไปเพื่อสงเคราะห์เลี้ยงพระ โยมก็แห่ไปทุกวัน พ้นจากหน้าครัวมาก็ต้องมารับโยม ๑๐-๒๐ คน เพราะว่าบางทีผู้หญิงเขาคุยกันเองง่ายกว่า ก็คือไม่ใช่เรื่องที่ท่านอยากจะทำ แต่ก็ต้องทำไป เพราะว่าคนเราหาที่พึ่งยากขึ้นเรื่อย
โดยเฉพาะบุคคลที่มาทางสายพุทธภูมิ เหมือนกับต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต จึงไม่มีงานอะไรที่สำคัญกว่านี้อีกแล้ว เพราะการสงเคราะห์ผู้อื่น เท่ากับเป็นการสร้างบารมีตัวเอง อาตมาถึงขนาดหนีเข้าป่าไปแล้วก็ไม่รอด ต้องออกมาจนได้ คนที่มาหาเราก็คืออดีตเคยผูกพันกันมา ไม่ว่าฐานะใดฐานะหนึ่ง อาจจะพ่อแม่ พี่น้อง ลูกเมีย เพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์ ถึงเวลาเขามาแล้วเขาศรัทธาเลื่อมใส ลำพังเขาก็ไม่เท่าไรหรอก แต่ดันบอกต่อ ๆ ไปเรื่อย อาตมาต้องทิ้งวิชาหมอดูไปก็เพราะอย่างนี้แหละ ปล่อยให้หลวงพ่อปรีชาเหนื่อยตายไปคนเดียว เล่นมาแล้วไม่ฟังเลยว่าเราจะกินจะนอนอย่างไร เขาจะเอาแต่เรื่องของเขา เพราะฉะนั้นถ้าซินแสไปรับงาน เอาแค่ตามกำลังของเรา หรือไม่ก็กำหนดให้เป็นเวลาแน่ ๆ ว่าช่วงเช้ารับได้ถึงกี่โมง บ่ายกี่โมง ค่ำถึงกี่โมง ไม่อย่างนั้นเขามาตลอด อาตมาเองต้องเลิกใช้โทรศัพท์ก็เพราะอย่างนี้ ดึกดื่นเที่ยงคืนเขาไม่นอน เขาก็คิดว่าเราไม่นอน เขาก็โทรมาถาม กำลังฉันเพลเขาก็โทรมา “โยม...พระฉันเพลอยู่” เขาบอก “ไม่เป็นไรค่ะ ขอ ๕ นาที” ไม่เป็นไรของเอ็ง แต่พระมีเวลาฉันแค่พักเดียว |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:53 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.