กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4305)

เถรี 14-01-2015 20:48

ถาม : ขอธรรมะสำหรับพุทธภูมิครับ ?
ตอบ : สติ..ใช้คำว่าคิดก่อนทำ สมาธิ..ใช้คำว่าอดทนไว้ ปัญญา..ใช้คำว่าให้อภัย "คิดก่อนทำ อดทนไว้ ให้อภัย" ถ้าไม่มีปัญญา มองไม่เห็นว่าสิ่งที่เขาทำเป็นโทษทั้งตัวตนเองและผู้อื่นอย่างไร ก็ให้อภัยเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องใช้ปัญญาด้วย

ก็แปลว่าต้องใช้สติ ต้องใช้สมาธิ ต้องใช้ปัญญา สมาธิไม่พอ ความข่มกลั้นก็น้อย ก็ต้องเร่งสมาธิขึ้นอีก ส่วนเรื่องสติที่คิดก่อนทำนี่ ต้องคิดก่อนพูดด้วยนะ "คิดก่อนทำ อดทนไว้ ให้อภัย"


ถาม : พุทธภูมิมีเท่านี้หรือครับ ?
ตอบ : มีมากกว่านี้หน่อย แต่ทั้งหมดก็เท่านี้แหละ ถ้าหากบอกว่าคิดก่อนทำ อดทนไว้ ให้อภัย โยมตีไม่ถูกหรอกว่าเป็นอะไร ต้องมาแยกให้ฟังว่าแต่ละอย่างคืออะไรถึงจะพอไปได้

เถรี 15-01-2015 11:53

ถาม : ไปสักมา หากต้องการลบออก ?
ตอบ : ก็ลบสิจ๊ะ ถ้าไม่มีครูช่วยสักให้สวย ๆ ได้ก็ลบ ถ้าหากว่ามีครูก็ขอขมาเสียก่อน ต้องบอกว่าตอนทำไม่คิด ทำแล้วค่อยมาคิด

เถรี 15-01-2015 12:21

ถาม : การงานมีอุปสรรค ?
ตอบ : ไปภาวนาพระคาถาเงินล้าน ในพระคาถาเงินล้านมีคาถาปัดอุปสรรคอยู่ด้วย อะไรที่เป็นอุปสรรคจะได้หมด ๆ ไปจากชีวิต จะทำอะไรต้องทำให้จริง ๆ จัง ๆ โดยเฉพาะคุณเป็นทหาร ทุกอย่างต้องเด็ดขาดและแน่นอน

เถรี 15-01-2015 12:41

พระอาจารย์แจ้งว่า "เรื่องของสมเด็จองค์ปฐม ๙.๙ นิ้ว หลายคนอยากได้ใบอนุโมทนาบัตร อาตมาออกไม่ได้จ้ะ แม้ว่าเป็นงานวัดท่าขนุน แต่เงินไม่ได้เข้าวัด เพราะเขาเอาเงินไปหล่อพระ การออกใบอนุโมทนาบัตร ถึงเวลาส่งรายงานบัญชีรับจ่ายประจำปี ทางผู้บังคับบัญชาท่านจะตรวจสอบยอดกับใบอนุโมทนาบัตรด้วย เพราะฉะนั้น..เมื่อเงินไม่ได้เข้าวัด ตัวเลขมี แต่เงินไม่มี แล้วออกใบอนุโมทนาบัตร จะกลายเป็นโมฆะได้ ดีไม่ดีจะโดนข้อหาทุจริตด้วย กลายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอีก

หลายคนที่มาทำบุญตรงนี้ (ที่รับสังฆทาน) อาตมาต้องแยกเงินออกถวายให้กับพระมหานันทวัฒน์ไป เพราะระบุว่าสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๔ ศอก ซึ่งท่านรับเป็นเจ้าภาพในการจัดสร้าง คนทำบุญระบุอะไรมา ก็ต้องทำตามนั้นให้เขา โยมก็ไม่ได้ใส่ใจหรอกว่าใครเป็นเจ้าภาพทำหรือใครเป็นแม่งาน มาถึงอยากทำบุญก็เทลงตรงนี้เลย เจ้าหน้าที่ก็ปวดหัวเพราะต้องแยกออกให้ตรงกับบัญชี"

เถรี 15-01-2015 12:43

ทิดตู่สอนการต่อสู้ด้วยมีดสั้น พระอาจารย์กล่าวว่า “การใช้มีดสั้น จะแทงก็ได้ จะปาดก็ได้ จะกรีดก็ได้ แต่อย่าฟันยาว ๆ การเงื้อฟันยาว ๆ อีกฝ่ายจะกันได้ง่าย สำหรับคนที่ไม่เป็นก็ฟันไปเถอะ แต่ถ้าคนเป็นด้วยกันนี่เราไปเงื้อฟันยาว ๆ รับรองได้ว่าพิการ โดนหักแขนแน่นอน..!”

เถรี 15-01-2015 13:34

ถาม : คำว่าสมมุติสัจจะกับคำว่ากฎของกรรมนี่เป็นตัวเดียวกันไหมคะ ?
ตอบ : กฎแห่งกรรมเป็นความเที่ยงแท้ของการกระทำ ไม่ว่าทำดีหรือทำชั่วก็จะได้รับผลแน่นอน ส่วนสมมุติสัจจะนั้น เป็นสิ่งที่เราสมมุติขึ้นมา เพื่อสะดวกในการเรียกหาหรือว่าสืบค้น อย่างเช่น สมมุติสิ่งนี้เรียกว่าขัน แต่จะสมมุติเรียกว่าโอ่งก็ได้ ถ้าหากเขาเรียกอย่างนั้นมาตั้งแต่แรก ก็จะกลายเป็นโอ่ง..ไม่ใช่ขัน

ถาม : แล้วเรื่องของบุญกับบาปละคะ ?
ตอบ : ถ้าเรื่องของบุญบาปแล้ว ส่วนใหญ่เป็นอภิสังขาร ก็คืออยู่เหนือการปรุงแต่งขึ้นไป เกิดจากการกระทำของเราก็คือกรรม

ถาม : แล้วถ้าบุญกับบาปเป็นสมมุติสัจจะด้วย แล้วก็เป็นกรรมด้วย ?
ตอบ : ถ้าในส่วนของสมมุติ จะเป็นการแยกแยะเพื่อให้รู้ว่า สิ่งนี้คนเขาสรรเสริญว่าเป็นความดี นั่นคือส่วนของบุญ สิ่งนี้คนเขากล่าวว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี คือส่วนของบาป ถ้าแยกในลักษณะอย่างนั้นก็จะเป็นสมมุติสัจจะ แต่ถ้าในตัวความเป็นจริงก็คือผลของการกระทำนั่นเอง

ถาม : ตัวสมมุติก็คือตัวที่แยกแยะ ?
ตอบ : แยกแยะออกมาเพื่อให้ง่ายในการเรียกหา สืบค้น หรือว่าแนะนำบอกกล่าวคนอื่นเขา

ถาม : แล้วสมมุติว่าคนสรรเสริญว่าเป็นความดี แต่ไม่ได้อยู่ในส่วนของบุญกิริยาวัตถุละคะ ?
ตอบ : ก็ต้องดูด้วยว่าส่วนที่ดีนั้น ดีในลักษณะไหน ระดับไหน ดีในส่วนของทาน ดีในส่วนของศีล ดีในส่วนของภาวนา หรือว่าดีในส่วนของจารีตประเพณี ดีตามกฎหมายบ้านเมือง มีหลายซับหลายซ้อน

ถาม : แล้วการทำดีตามกฎหมายบ้านเมืองถือว่าเป็นบุญด้วยไหมคะ ?
ตอบ : บางอย่างก็เป็นบุญเหมือนกัน อย่างเช่นว่า ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ฆ่าคน ไม่กินเหล้า เพราะกฎหมายบ้านเมืองส่วนหนึ่งก็มาจากพื้นฐานของศีล

เถรี 15-01-2015 13:39

ถาม : ถ้าบุญเป็นสมมุติ ถ้าพ้นจากความดีทาน ศีล ภาวนา ?
ตอบ : ถ้าพ้นดีพ้นชั่วแล้วก็เป็นปรมัตถ์

ถาม : นึกว่าเขากำหนดขึ้นมาเป็นสมมติ พอพ้นจากตรงนี้ก็ไม่มีสัจจะเลย ?
ตอบ : สำหรับคนทั่วไป ถ้าเรากล่าวถึงปรมัตถธรรม เขาจะไม่เข้าใจอะไรเลย ต้องเริ่มไปจากสมมุติทั้งนั้น ก็ต้องเริ่มจากขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย ละเอียดลึกไปเรื่อย ๆ

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : เพราะว่าเป็นสมมุติสัจจะเป็นจริงตามโลก หรือว่าเป็นจริงตามที่เรากันเรียกขึ้นมา

เถรี 15-01-2015 13:53

ถาม : คนที่น้ำตาร่วงจากการพิจารณาธรรมต่าง ๆ เหมือนอารมณ์ปีติส่วนหนึ่ง ถ้าเราไม่อยากร้องไห้แล้วกระโดดข้ามไปเป็นฌานเลย จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าข้ามไปถึงฌานจะจบเลย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะไหลตามเหตุการณ์ไปจนกระทั่งลืม ฉะนั้น..พระที่ท่านทรงคุณความดีได้ ท่านก็จะเหลือแต่ธรรมสังเวช ไม่อย่างนั้นลืมตัว กำลังใจตกลงมาอยู่ในระดับล่าง ก็น้ำตาตกเหมือนกับคนทั่วไป

ถาม : นั่นคือสาเหตุที่พระอรหันต์ไม่มีอาการร้องไห้ ?
ตอบ : ของท่านเองท่านพ้นสุขทุกข์ไปนานแล้ว ไม่มีอะไรทำให้หวั่นไหวได้แล้ว ได้แต่ อนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปปาทะวะยะธัมมิโน เกิดขึ้นก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา อุปัชชิตะวา นิรุชฌันติ มีเกิดแล้วก็ต้องมีดับ เตสัง วูปสะโม สุโข การเข้าถึงความสงบระงับอย่างแท้จริงเป็นสุขยิ่งหนอ

เถรี 15-01-2015 13:57

ถาม : พระอรหันต์หัวเราะเป็นกิเลสไหมคะ ?
ตอบ : ท่านพ้นไปแล้วจากการปรุงแต่งทั้งปวง จะเอาอะไรมาเป็นกิเลส ? ในส่วนของการแสดงธรรมมีอย่างหนึ่งคือให้รื่นเริงในธรรม หลักการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าประกอบไปด้วย สันทัสสนา ชี้แจงให้เห็นอย่างเจ่มแจ้ง เหมือนอย่างกับหงายของที่คว่ำหรือตามประทีปในที่มืด สมาทปนา จูงใจให้กระทำตาม ได้ยินแล้วอยากทำให้ได้อย่างนั้นบ้าง สมุตเตชนา เกิดความกล้าหาญ ความพากเพียรที่จะทำเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายนั้น สัมปหังสนา เกิดความรื่นเริง ชื่นอกชื่นใจ ไม่เบื่อไม่หน่ายที่จะทำ

ฉะนั้น..ในส่วนของการหัวเราะก็คือในส่วนของสัมปหังสนา บางทีท่านเรียกว่ารื่นเริงในธรรมหรือว่าธรรมปีติ เพียงแต่ว่าเป็นปีติแสดงออกภายนอก นางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างบุพพาราม โดยเฉพาะตัวอาคารคือมิคารมาตุปราสาทเสร็จแล้วก็ปลื้มอกปลื้มใจ แทนที่จะทักษิณาวรรตธรรมดา นางวิสาขาก็รำไปร้องเพลงไป บรรดาพระทั้งหลายก็ว่า "
สงสัยว่ามหาอุบาสิกาจะโรคดีกำเริบ ปกติไม่เคยแสดงอาการอย่างนี้" พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า นางกำลังปีติอยู่ ที่ได้สร้างมหาปราสาทถวายแก่พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

เถรี 15-01-2015 14:05

ถาม : ในแง่ของการพิจารณาวิปัสสนาญาณ ตัวนิพพิทาญาณที่เกิดอารมณ์หมอง เศร้า เบื่อหน่าย เราจะต้องกระโดดเข้าฌานไปเลยหรือปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ?
ตอบ : ถ้าถึงตรงนั้นควรที่จะแช่รักษาเอาไว้ให้มั่นใจจริง ๆ ก่อน ว่าสิ่งนี้น่าเบื่อน่าหน่าย หลังจากนั้นก็ใช้ปัญญาพิจารณาดู ว่าการที่เรามีชีวิตอยู่ ก็เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายอย่างนี้ น่าระอาใจอย่างนี้ ถ้าเราสามารถเข้าสู่พระนิพพานได้ในชาตินี้ เป็นการตัดการเวียนว่ายตายเกิดที่นับชาติไม่ถ้วนลงไปได้ การที่เรามีชีวิตอยู่นี่อย่างไรก็ไม่เกิน ๑๐๐ ปี เปรียบกับการเวียนตายเวียนเกิดนับกัปไม่ได้ ก็แค่แว่บเดียวเท่านั้นเอง ทำไมเราจะอยู่ให้ดีไม่ได้

ถ้าใช้ปัญญาต่อก็จะก้าวข้ามไปได้ ไม่อย่างนั้นบางคนก็เบื่อ ๆ ๆ ๆ หาทางออกไม่ได้ ฆ่าตัวตายไปเลยก็มี บางรายกำลังใจตีกลับ จากเบื่อกลายเป็นอยากอีก ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลังมากกว่า คือ เบื่อ ๆ อยาก ๆ


ถาม : เวลาเราอยู่เฉย ๆ เราก็ไม่รู้สึก เราก็ไม่เข้าใจ ไม่ได้อารมณ์นั้น แต่พอเราได้อารมณ์นั้นก็ฟุ้งอีก ปัญญาก็ไม่เกิดแล้วค่ะ แค่รู้สึกได้เท่านั้นเอง ทำอย่างไรถึงจะได้ในปัญญานั้นเลยคะ ?
ตอบ : สติกับสมาธิ ถ้าสติกับสมาธิทรงตัว ปัญญาก็จะเห็นชัดเจน จิตใจยอมรับได้ง่าย สรุปลงที่สมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัวตั้งมั่น สติก็แหลมคม ปัญญาก็ว่องไว "รู้เท่าเอาไว้กัน รู้ทันเอาไว้แก้ รู้แท้เอาไว้ทั้งแก้ทั้งกัน" ต้องมองทะลุไปให้ได้

อย่างเช่นว่า เขามาร้องเพลงพระคุณที่สาม ก็นั่งน้ำตาไหล โอหนอ..การเวียนว่ายตายเกิดเช่นนี้ เสียน้ำตาชาติละไม่กี่หยด กว่าจะถึงพระนิพพานรวมแล้วน้ำตามากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่เสียอีก เรื่องที่มีโทษก็กลายเป็นมีประโยชน์ไปได้


ถาม : แต่ยิ่งทำให้เห็นทุกข์หนักเข้าไปอีกสิครับ ?
ตอบ : เห็นทุกข์ก็ดีแล้ว ไม่เห็นทุกข์แล้วจะเบื่อหรือ ? พอเห็นทุกข์เห็นโทษ ก็เกิดความเบื่อหน่าย อยากจะหนีไปให้พ้น ตะเกียกตะกายหาช่องทางที่จะหนี

ถาม : แล้วรู้ก็ไม่ช่วยอะไรด้วยเพราะยังไม่เกิดปัญญา ?
ตอบ : รู้แล้วทำให้เครียดหนักขึ้น รู้ ๆ อยู่แต่ทำไมทำไม่ได้ กำลังไม่พอ ก็เหมือนคนขาสั้นจะข้ามกำแพง เขย่งเท่าไรก็ข้ามไม่ได้สักที ต้องพยายามต่อขาขึ้นไปอีกหน่อย สร้างสติ สมาธิ ปัญญา เพิ่มขึ้นอีก เดี๋ยวก็ข้ามไปได้เอง

เถรี 16-01-2015 12:16

ถาม : การเดินจงกรมมีจุดมุ่งหมายเพื่อสติปัฏฐาน ?
ตอบ : เอาสติอยู่กับการเคลื่อนไหว ถ้าเราเอาสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ส่งไปในอดีต ไม่ส่งไปในอนาคต ความฟุ้งซ่านที่ก่อให้เกิดทุกข์ก็ไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่เกิด ถ้าความชั่วใหม่ไม่เกิด ความชั่วเก่าโดนการพยายามขัดพยายามเกลา ท้ายสุดก็หมดไป เพียงแต่ว่าเราจะเป็นประเภทเดินไปฟุ้งไปหรือเปล่า ?

ถาม : แล้วตรงจุดนั้นต่างกันอย่างไรกับสมาธิครับ ?
ตอบ : ก็คือการสร้างสมาธิ แต่เป็นสมาธิในการเคลื่อนไหว ถ้าทำได้ก็จะมั่นคงกว่าการนั่ง เพราะว่าการนั่งนิ่ง ๆ ถ้าเราเคลื่อนไหว สมาธิอาจจะหลุดจะถอนไปได้ แต่ถ้าสมาธิเกิดในขณะที่เคลื่อนไหว ก็จะมั่นคงมากกว่า

ถาม : แสดงว่าสติกับสมาธิต้องควบคู่กันไป ?
ตอบ : เป็นของที่ทิ้งกันไม่ได้ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ต้องไปด้วยกัน ถ้าไม่มีศรัทธาก็ไม่เกิดวิริยะ ก็คือไม่อยากที่จะพากเพียรไปทำ พากเพียรทำไป สติก็ค่อย ๆ สมบูรณ์ขึ้น สมาธิก็ทรงตัวมากขึ้น ปัญญาก็จะเกิดขึ้น

ถาม : ถ้าอย่างนั้นการที่เราขี้เกียจปฏิบัติเป็นเพราะศรัทธาไม่พอ ?
ตอบ : แน่นอน..ศรัทธาไม่พอไปจนถึงปัญญาไม่พอ สรุปแล้วไม่พอทุกตัวตั้งแต่ต้นยันปลายเลย

เถรี 16-01-2015 12:17

ถาม : ตัวสมาธิทำให้มีสติ แล้วสติทำให้แยกแยะได้ระหว่างที่เราพิจารณาอยู่ ?
ตอบ : สติทำให้รู้ยั้งคิด เมื่อฉุกคิดขึ้นมาก็ไม่ไหลตามกระแสกิเลสไป การจะไม่ไหลตามกระแสกิเลส ต้องมีสมาธิเป็นตัวช่วยรั้งไว้ ไม่อย่างนั้นกำลังของเราจะไม่พอในการยับยั้งชั่งใจ ในเมื่อกำลังของสมาธิเพียงพอ ปัญญาเกิด ก็สามารถที่จะตัดจะหั่นอะไรได้ง่ายขึ้น

ถาม : แล้วเวลาที่เราเคลื่อนไหว สมาธิหลุดเพราะเราไหลไปตามกิริยานั้นถูกไหมคะ ?
ตอบ : ต้องเรียกว่าเราสร้างสมาธิจากการเคลื่อนไหว แต่คราวนี้พวกเราพอถึงเวลาสมาธิทรงตัวแล้ว เรารักษากำลังใจไม่เป็น พอไปเคลื่อนไหวก็เลยหลุดหมด จึงต้องไปเริ่มต้นใหม่จากการเคลื่อนไหว จนกลายเป็นสมาธิอีกทีหนึ่ง

ถาม : เคยลองหลับตาเดิน ?
ตอบ : ถ้าหลับตาเดินเดี๋ยวก็ร่วง..!

เถรี 16-01-2015 12:27

พระอาจารย์กล่าวว่า “เรื่องของการสร้างพระขรรค์อาตมาจำขึ้นใจเลย ถ้าบุญไม่ถึงบารมีไม่ถึงอุปสรรคเยอะอย่าบอกใคร ขนาดหลวงพี่นิลท่านทุ่มทั้งชีวิต ตามจี้ติดอยู่ตลอดเวลายังปาเข้าไปปีกว่าถึงจะเสร็จ บางทีช่าง ๒-๓ คนป่วยพร้อมกันหมด ป่วยแบบไม่มีสาเหตุ ทำงานไม่ได้ ต้องไปบวงสรวง ต้องไปขออนุญาตกันรอบแล้วรอบเล่า เป็นอะไรที่โหดสุด ๆ ช่างที่เคยทำงานร่วมกันมาดี ๆ รู้ใจกัน แต่ถึงเวลาแล้วเบี้ยวงานเฉยเลยก็มี..!”

เถรี 16-01-2015 18:11

พระอาจารย์พูดกับโยมคนหนึ่งที่ไม่ได้มาร่วมงานสวดพระคาถาเงินล้านว่า "นี่..คนนี้ขี้เกียจ อยู่ที่บ้านใช้วิธีส่งใจมาแทน"

ถาม : หนูอยู่ที่บ้านตรวจสอบว่าการถ่ายทอดทางเว็บเป็นอย่างไรบ้างค่ะ ตอนหนูขึ้นไปก็สงสัยว่าหายไปไหนกันหมด ?
ตอบ : อาตมาขึ้นไปบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ อ้าว..ท่านปู่ก็ไม่อยู่ ท่านย่าก็ไม่อยู่ พี่ ๆ ก็หายหมด..ไปไหนกัน ? ปรากฏว่าเทวดาท่านมาตาม บอกว่าวันนี้ประชุมเทวสภาครับ ต้องตามไปยันเทวสภาโน่น

เถรี 16-01-2015 18:43

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนที่อาตมายังเป็นฆราวาส พอถึงวันที่ ๓-๔-๕ ธันวาคม จะรักษาศีลแปดถวายในหลวง ๓ วัน พอเป็นทหารแล้ว ต้องถวายความจงรักภักดี มีสวนสนาม มีสาบานธง มีกองเกียรติยศ อาตมาอยู่กองเกียรติยศสองปีซ้อน เวลาแต่งเต็มยศร้อนอย่าบอกใครเลย ต้องซักซ้อมเป็นเดือน ๆ กว่าจะพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"

เถรี 17-01-2015 11:40

ถาม : ช่วยคนแค่ไหนถึงจะเรียกว่าไม่ล่วงกรรมใครคะ ?
ตอบ : เอาแค่ไม่เกินความสามารถของเราแล้วกัน จะอย่างไรลองว่าช่วยเขาก็ล่วงกรรมอยู่แล้ว

ถาม : แล้วการถวายพระราชกุศลให้ในหลวง ?
ตอบ : ถวายไปเถอะ หลายคนช่วยกันก็เหมือนกับมดแบกช้าง ถึงอย่างไรก็แบกไปจนได้แหละ หลายคนช่วยกันงานหนักก็กลายเป็นเบา

เถรี 17-01-2015 11:52

ถาม : ชื่นใจว่าศิษย์ได้ดีเป็นมานะไหมคะ ?
ตอบ : มุทิตาจิต ด้วยความปรารถนาดี

ถาม : ความคาดหวังถือว่าเป็นมานะ ?
ตอบ : ทำก็ต้องหวัง อย่างน้อย ๆ สิ่งที่หวังก็ยังเป็นคุณความดีอยู่ แม้ว่ายังเป็นคุณความดีเบื้องต้นก็ขอให้ได้ทำ ไปนึกถึงครูสมัยก่อน ถึงเวลาลูกศิษย์เรียนอ่อน ก็ต้องบังคับให้มาเรียนในวันหยุด แล้วครูก็ต้องเลี้ยงข้าวด้วย เงินก็ไม่ได้สักบาท เพราะสมัยนั้นเขาไม่เรียกว่ากวดวิชาอะไรทั้งนั้น จนกระทั่งอาตมามาเรียนมัธยมแล้ว เขาถึงได้มีการเรียนทไวไลท์ อาตมาก็คิดว่าอะไร ไม่เข้าใจ ตอนหลังจึงรู้ว่าเป็นการเรียนภาคค่ำนอกเวลา

โรงเรียนกวดวิชาเพิ่งจะมานิยมสมัยหลังนี่เอง แต่พอมีแล้วกลายเป็นว่ามีความต่างอย่างชัดเจน เพราะว่าอาจารย์ของพวกโรงเรียนกวดวิชา ส่วนใหญ่สามารถทำของยากให้ง่าย ในเมื่อทำของยากให้ง่าย เด็กเรียนแล้วเข้าใจง่าย ก็ไปกวดวิชากันใหญ่ อย่างของเกาหลีใต้มีอาจารย์ท่านหนึ่ง มีลูกศิษย์ทั่วประเทศป็นแสน นั่นต้องกวดวิชาผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

เถรี 17-01-2015 12:43

พระอาจารย์เล่าเรื่องตะปิ้งให้ฟังว่า "ในงานเทศน์ ๒ ธรรมมาสน์ โยมเขาส่งคำถามมา ให้หลวงพ่อวัดท่าซุงถามต่อว่า “เอาตะปิ้งไปหล่อพระได้บุญหรือเปล่า ?” หลวงปู่พระครูโว (พระครูโวทานธรรมาจารย์ วัดดาวดึงสาวาส) ท่านก็ตอบว่า “แล้วเขาไหว้เอ็งได้บุญหรือเปล่า ?” หลวงพ่อท่านก็ว่า “อ้าว..ผมเป็นพระสงฆ์ ไหว้ผมก็ต้องได้บุญสิ” หลวงปู่ท่านว่า “เออ..นั่นแหละ ตะปิ้งหล่อเป็นพระพุทธ ไหว้ก็ต้องได้บุญ” หลวงพ่อท่านก็ว่า “ได้บุญอย่างไร ? ตะปิ้งมันคาดตรงนั้นของเด็ก ?” หลวงปู่พระครูโวท่านตอบว่า “ทีเอ็งยังออกมาจากตรงนั้นทั้งตัวเลย..!”

เถรี 17-01-2015 13:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้จักเด็กหญิงต้นข้าวไหม ? เด็กหญิงต้นข้าว ยอดระบำ ตายไปแล้ว คุณวีระศักดิ์ ยอดระบำ (พ่อของต้นข้าว) ไปใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ทำนาทำไร่ ปลูกผักไม่ใช้สารพิษ แล้วก็เลี้ยงลูกมาด้วยวิธีให้อยู่กับธรรมชาติ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ปล่อยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันแล้วหายเอง พอเขาทำตัวลักษณะอย่างนั้นแล้วข่าวดังออกไป บรรดาเพื่อน ๆ จากกรุงเทพฯ ขึ้นไปเยี่ยม เลยเอาโรคไปติดหลาน ทำเอาต้นข้าวตายเลย เพราะว่าพ่อเขาใช้วิธีปล่อยให้หายเอง ให้ร่างกายสร้างภูมิเอง ก่อนหน้านี้ก็ทำได้มาตลอด พอไปเจอเชื้อหนัก ๆ เข้าก็ไปเลย

เสียดายมาก ต้นข้าวกำลังรู้ความเลย โตมาได้ ๕-๖ ขวบแล้ว แม่สอนหนังสืออยู่กับบ้าน ไม่ได้ไปเรียนหนังสือกับเขาหรอก เพราะบ้านอยู่ไกลมาก กว่าจะออกแม่น้ำแหม่นอโกร กว่าจะถึงหมู่บ้านข้างนอก ระยะทางไกลมาก เวลาเพื่อน ๆ จะเข้าไป ถ้าหน้าฝนก็ต้องไปเรือ ถ้าหน้าแล้งก็ต้องไปรถขับเคลื่อน ๔ ล้อ

คุณวีระศักดิ์พยายามทำตัวให้เป็นตัวอย่างให้กับคนอื่น ในลักษณะของเศรษฐกิจพอเพียง ปลูกพืชอาหารของตัวเอง ปลูกข้าวของตัวเอง สีข้าวเอง ใช้เครื่องมือสีข้าวแบบของกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงเวลาทำเครื่องมือสีข้าวเขาจะตัดไม้มาท่อนหนึ่ง แล้วก็บากรอยทำเป็นตัวฟันเฟือง ถึงเวลาก็เจาะรูให้ข้าวไหลลงไปทีละน้อย ชักให้หมุนแล้วเฟืองก็ขบเปลือกข้าวแตกได้ ถ้าใช้ครกตำก็ลำบากหน่อย ใช้สีเอาก็ง่ายหน่อย แต่ก็เหนื่อยพอกัน เขาเองอยู่กันอย่างมีความสุขกันพ่อแม่ลูก แต่ว่าเพื่อน ๆ ไปเยี่ยม เอาโรคไปติดหลาน

เขาก็พยายามที่จะสอนลูก ๆ ให้รู้ ให้กระดาษไปก็วาดรูปโน่นวาดรูปนี่ ต้นข้าวยังบอกแม่ว่า “ต้นข้าวจะไปเป็นดาวบนท้องฟ้า” เลยไปเป็นจริง ๆ ไม่รู้น้องชายเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าจำไม่ผิดน้องชายต้นข้าวชื่อต้นโพธิ์ คุณวีระศักดิ์เขียนหนังสือดี ๆ หลายเล่ม เช่น คืนสู่ขุนเขาและสายน้ำ ใช้นามปากกาว่า คืนญางเดิม คำว่าญางตัวนี้ก็คือกะเหรี่ยง กลับคืนเป็นกะเหรี่ยงดั้งเดิม ตอนช่วงที่เขียนพวกเรื่องสั้นลงคอลัมน์ต่าง ๆ บางทีก็ใช้ชื่อจริง วีระศักดิ์ ยอดระบำ ลองไปค้นหาข้อมูลดูว่าแกไปถึงไหนแล้ว

คุณวีระศักดิ์ใช้ชีวิตลักษณะไม่ต้องมีเงินก็อยู่ได้ มีข้าวเปลือกตุนเข้ายุ้งก็สบายแล้ว ที่เหลือก็ปลูกพืชอาหารอื่น ๆ ปลูกฟักทอง ปลูกฟักเขียว ปลูกข้าวโพด ปลูกกระเจี๊ยบเต็มไร่ไปหมด เวลาลุงป้าน้าอาไป ต้นข้าวก็พาไปบอกว่าต้นไหนกินได้ ต้นไหนกินไม่ได้ เป็นเด็กที่ฉลาดมากเลย แปลกมาก..เด็ก ๆ ที่อยู่กับธรรมชาติแบบนั้นอย่างพวกเด็กกะเหรี่ยง เด็กม้ง แต่ละคนแก้มแดงทั้งนั้น เหมือนอย่างกับอาหารดี อากาศดี

มีหนังสือของเด็กหญิงต้นข้าวอยู่ ลอง ๆ ไปหามาอ่านดู เขาเขียนถึงลูก ถ้าต้นข้าวยังอยู่ก็น่าจะ ๑๐ กว่าขวบ ต้องบอกว่าเป็นการทดลองที่ใช้ชีวิตตัวเองและครอบครัวเป็นเดิมพัน ว่าจะอยู่ได้ไหม ? อยู่กับธรรมชาติ อยู่แบบไม่พึ่งพาเงินทอง ถึงเวลาพืชผลเหลือก็เอาไปขาย แลกเกลือแลกน้ำมันมาใช้เท่านั้น ส่วนอื่น ๆ เขาปลูกเองในไร่"



เถรี 17-01-2015 13:05

"พอคุยเรื่องนี้แล้วนึกถึงท่านโมเช่ ท่านโมเช่ไม่มีอะไรเลย มีแต่ตัวเปล่า แต่ละปีนี่เลี้ยงพระเป็นสิบ ๆ รูป ตอนนี้ยังบวชอยู่ ตอนช่วงนั้นท่านโมเช่ทำตัวเหมือนตาฤๅษี ถึงเวลาก็ไปสร้างกระต๊อบอยู่ ขนาดบ้านตะเพินคี่อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวแล้ว แกยังข้ามเขาไปอีก ๓ ลูก ไปอยู่กลางป่าที่มีน้ำซับอยู่ พระธุดงค์ผ่านไปก็ติดใจ ไปอาศัยอยู่กับแก แกก็พาไปภาวนาอยู่ถ้ำโน้นถ้ำนี้บ้าง ในรัศมีประมาณ ๑๐-๑๒ กิโลเมตร แกเดินไปส่งข้าวทุกที่เลย

บางทีข้าวหมด อาตมาก็เอาเงินให้บอกว่า “โมเช่..ไปซื้อข้าวในหมู่บ้านมาสัก ๒ ถังสิ” แกบอกว่า “ไม่ต้องหรอก” แล้วก็คว้ากระสอบไป เดี๋ยวเดียวก็แบกมาแล้ว ไปขอเขาเฉย ๆ ชาวบ้านเขาทำบุญให้กับแกเหมือนอย่างกับทำบุญกับพระ เพราะรู้ว่าส่วนใหญ่แกเอามาเลี้ยงพระ เหลือเชื่อจริง ๆ ไม่ใช้เงินไม่ใช้ทองอะไรเลย สามารถเลี้ยงพระได้เป็นสิบ ๆ รูป

ที่ขำ ๆ ก็คือ พออาตมาเอาของสมัยใหม่เข้าไป แกไม่รู้จัก แต่แกเป็นคนช่างซักถาม อันนี้กินอย่างไร ? ทำอย่างไร ? เห็นพวกเราเดี๋ยวก็กินพวกอาหารผง ต้มบะหมี่ พอไปเจอผงซักฟอกซองเล็กก็ถาม “อันนี้กินอย่างไร ?” ฮ่วย..อันนี้เขาไว้ซักผ้า..!"

เถรี 17-01-2015 19:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมายืนยันว่าการเปลี่ยนชื่อไม่มีประโยชน์ เปลี่ยนความประพฤติดีที่สุด เปลี่ยนตั้งร้อยชื่อพันชื่อ แต่ถ้าความประพฤติยังแย่อยู่เหมือนเดิม ก็หาเรื่องดีใส่ตัวไม่ได้หรอก แล้วยิ่งเปลี่ยนเสียจนอ่านไม่ออก ถ้าถือตามแบบของอาตมา คือ ถ้าชื่ออ่านยากขนาดนี้แล้วชีวิตจะสะดวกง่ายดายได้อย่างไร ?"

เถรี 17-01-2015 19:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเราส่วนหนึ่งที่อ้วนกันมาก เพราะไปกินอาหารตามอย่างฝรั่ง ฝรั่งเขาอยู่ในพื้นที่หนาว ต้องการอาหารที่มีแคลอรี่สูง เพื่อไปเผชิญกับความหนาว บ้านเราอยู่เมืองร้อน ไม่ได้ต้องการอาหารแคลอรี่สูง เมื่อไปกินตามอย่างเขา ร่างกายใช้ไม่หมดเก็บตุนไว้ ก็ต้องอ้วนเป็นธรรมดา

เดี๋ยวนี้พวกขนมนมเนยต่าง ๆ ตลอดจนไอศกรีมเยอะแยะไปหมด เจอพิซซ่าขอบชีสถาดเดียวก็หน้ามืดแล้ว อาตมาแตะไม่ได้เลย เพราะไตรกลีเซอร์ไรด์สูง กินเข้าไปหน่อยเดียวก็ความดันขึ้น เท่ากับบังคับว่า ของพวกนี้มีสิทธิ์กินเพื่อรู้รสเท่านั้น

เรื่องของวัฒนธรรมมีการส่งผ่านกันเป็นปกติ แต่การรับวัฒนธรรมเข้ามา ถ้าจะให้เกิดประโยชน์ก็ต้องดูว่า เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศ ตลอดจนกระทั่งจารีตประเพณีของเราหรือไม่ ไม่ใช่ประเภทถึงเวลาก็รับเอาวัฒนธรรมต่างด้าวเข้ามา รับเข้ามา ๆ

ลักษณะของการครอบงำทางวัฒนธรรมเกิดขึ้นในช่วงสงครามเย็น ที่มีการประจัญหน้ากันระหว่างโลกเสรีกับค่ายคอมมิวนิสต์ ก็ต้องมีการโฆษณาว่าโลกเสรีมีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบายแบบไหน ก็เลยส่งผ่านบรรดาวัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน การดนตรี ตลอดจนกระทั่งการแต่งกาย ทำเอาคนรุ่นเก่าเสียความรู้สึก เพราะว่ารับเข้ามาโดยไม่ได้ยั้งคิด คิดว่าเป็นวัฒนธรรมของผู้ที่เจริญแล้ว

หารู้ไม่ว่าส่วนหนึ่งเป็นการโฆษณาชวนเชื่อเต็ม ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็มีการไหลตามกระแสเขาไป ทั้ง ๆ ที่สิ่งดีที่สุดที่บรรพบุรุษเรามีให้ไว้อยู่แล้ว อย่างเช่นเรื่องพระพุทธศาสนา เราก็ทอดทิ้งแล้วไปไขว่คว้าเอาทุนนิยมเข้ามาแทน"

เถรี 17-01-2015 19:13

"ทุกวันนี้ต่างประเทศเขาเห็นแล้วว่าทุนนิยมไปไม่รอด โดยเฉพาะเรื่องของการลงทุนที่ไม่ก่อประโยชน์อย่างเรื่องของตลาดหุ้น เป็นต้น ในเมื่อไปไม่รอดก็ต้องหาที่พึ่งพิงทางใจ จึงหันมาปฏิบัติธรรมกันมาก น่าเสียดายที่บ้านเมืองเรามีหลักธรรมดีอยู่แล้ว แต่ว่าไปไขว่คว้าทุนนิยม คว้าความเจริญที่คนอื่นเขาเบื่อหน่ายกันหมดแล้ว กำลังทอดทิ้งแล้ว เห็นเป็นสมบัติล้ำค่า เหมือนไก่ได้พลอย ไม่รู้คุณค่าของพลอย ไปเอาข้าวเปลือกดีกว่า

น่าจะเกิน ๒๐ ปีแล้วที่อาตมาเห็นนิมิตกองมหาสมบัติสูงท่วมเป็นภูเขาเลากา แล้วก็มีประชาชนจำนวนมหาศาลไปขุดคุ้ยหาสมบัติวิเศษกัน โดยเฉพาะฝรั่งแบกเป้มาเยอะเป็นพิเศษ เห็นแก้วแหวนเงินทองเต็มไปหมด คุ้ยกระจุยกระจายแต่ไม่เอาอะไรไปเลย ก็เกิดความสงสัยจึงถามว่า “หาอะไรกัน ?” เขาบอกว่าเขาหาแก้ววิเศษ ๓ ดวง

อาตมาเลยคิดว่าในเมื่อเขาหาแก้ววิเศษ ๓ ดวง ก็ลองหาดูกับเขาบ้าง เผื่อว่าจะเจอ บรรดาสมบัติอื่น ๆ ของเขาอาตมาก็ไม่สนใจเหมือนกัน คุ้ย ๆ ไม่กี่ทีก็เจอเข้าพอดี พอเจอเข้าก็รีบตะครุบเก็บแต่..ไม่ทัน รัศมีดวงแก้วสว่างออกไปให้คนเห็นเสียก่อน ทีนี้คนก็วิ่งรุมเข้ามาทั่วเลย ต่อจากนั้นก็จบ เพราะว่านิมิตขาดลงแค่นั้น อนาคตเป็นอย่างไรก็เรื่องของคุณเถอะ..!"

เถรี 17-01-2015 19:15

"ดังนั้น..ในเมื่อพวกเรามีดวงแก้ววิเศษอยู่แล้ว แต่กลับไปละทิ้ง กลายเป็นไปเลือกหาเอาสิ่งที่มีโทษมากกว่าประโยชน์ ในหลวงของเราพยายามใช้หลักธรรมในการปกครองประเทศ พระองค์ท่านดัดแปลงเป็นพระบรมราโชวาทตามวาระต่าง ๆ โดยเฉพาะแนวทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงที่ให้ไว้ แต่พวกเราดันไปเชื่อบรรดานักเศรษฐศาสตร์ที่เรียนตำราฝรั่งมา ตำราฝรั่งของเขานี่ต้องเป็นหนี้ถึงจะถือว่ามีเครดิต เครดิตก็บอกตรง ๆ ว่าหนี้ แล้วจะดีได้อย่างไร ? โบราณของเราเขาสู้แค่หน้าตัก

มาจากเมืองจีนมีแค่เสื่อผืนหมอนใบ เก็บหอมรอมริบได้เงินก้อนหนึ่งก็ลงทุนทำโน่นทำนี่ ถ้าไม่เกิดความเจริญงอกงามขึ้นมา ต่อให้เจ๊งหมดตัวก็ไม่เป็นหนี้ใคร แต่สมัยนี้ยังไม่ทันจะทำอะไรเลย ก็เริ่มต้นด้วยการกู้หนี้ยืมสิน ต้องหาหลักทรัพย์ไปประกัน ถึงเวลาเจ๊งหมดตัวขึ้นมาหนี้ก้อนใหญ่รออยู่ ไม่สามารถที่จะส่งหนี้ได้ เขาก็ยึดหลักทรัพย์ของเราไป

จากที่ว่ามาเปรียบเทียบกับโบราณจะเห็นชัดเลยว่า การดำเนินชีวิตของพวกเราประมาทมาก ส่วนใหญ่ไปคิดในลักษณะหนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง คิดว่าถ้าเราลงทุนแค่นี้ ถึงเวลาค้าขายในราคานี้ ได้กำไรเท่านี้ วันหนึ่งได้เท่านี้ เดือนหนึ่งได้เท่านี้ ปีหนึ่งต้องได้เท่านี้ โดยไม่ได้คิดว่าถ้าขายไม่ได้จะเกิดอะไรขึ้น

ดังนั้น..การลงทุนทุกอย่าง ถ้าเราจะลงทุนเราต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า ถ้าเกิดข้อผิดพลาดแล้วเราจะแก้ไขอย่างไร ? ถ้าตอบตัวเองได้ก็ทำไปเถอะ ตอบไม่ได้นี่อย่าไปแตะเลย ถ้าไม่ใช่บุญเก่าดีจริง ๆ ไปไม่รอดหรอก ปีที่ผ่านมาก็เห็นที่ดาราเขาลงทุนร่วมกัน แล้วทะเลาะเบาะแว้งกันชนิดผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ ก็ลักษณะเดียวกัน พอกำไรขึ้นมาก็จะเอา พอขาดทุนก็ให้คนอื่นรับไป จะตีกันตายตรงนั้น"

เถรี 17-01-2015 19:20

"เรื่องพวกนี้ก็อยู่ในลักษณะว่าอยู่อย่างมีสติ อยู่อย่างพอเพียง ไม่ใช่กินบะหมี่สำเร็จรูปทุกวันแล้วพอเพียง พอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาจากหลักสันโดษของพระพุทธเจ้า ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา ยถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังความสามารถที่หาได้มา ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีตามฐานะของตน ถ้ามีเงินเป็นหมื่นล้าน พันล้าน จะกินอย่างไรก็กินไปเถอะ ไม่มีใครเขาว่า

ในหลวงถึงได้ยืนยันหนักหนาว่า เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่ต้องจน ท่านบอกว่าเศรษฐกิจพอเพียงก็รวยได้ แต่ว่าตนเองต้องยืนหยัดได้ก่อน สามารถพึ่งพาตนเองได้ก่อน เหลือจากนั้นแล้วค่อยเอาไปขายเอาไปแจก แบบไหนก็แล้วแต่เรา

อย่าลืมว่ายถาพลสันโดษ ยินดีตามกำลังที่ตนหาได้ คนมีความรู้สูง มีต้นทุนสูง ลงทุนมากได้กำไรมาก ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ว่าพวกเราจะเสียท่าอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า พอมีเงินอยู่ในมือมักจะคิดการใหญ่ เก็บเงินได้แสนจะลงทุนอันนี้ พอเงินเกินแสนเราขยับไปลงทุนอันนั้น พอเป็นล้านจะลงทุนอย่างโน้นดีกว่า กลายเป็นว่าช่องทางกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ความเสี่ยงก็สูงขึ้น อันนี้จริง ๆ แล้วคือแฝงไว้ด้วยความโลภ ถ้าไม่โลภก็ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม คงเข้าวัดบวชกันหมดแล้ว

ฉะนั้น..ต้องยินดีตามที่ได้มา ยินดีตามกำลังของตนที่หาได้ ยินดีตามสภาพฐานะของตน ถ้าขายหุ้นได้จะบูชามีดหมอเพชราวุธก็ไม่เป็นไร ขายหุ้นไม่ได้ก็ทนกินบะหมี่สำเร็จรูปเอา..!"

เถรี 17-01-2015 19:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีดหมอเพชราวุธที่ราคาสูงเพราะว่า แค่ตะกรุดมหาสะท้อนที่ด้ามก็ราคาครึ่งหนึ่งแล้ว ยังมีตะกรุดสามกษัตริย์ ทอง นาก เงิน อีก ๓ ดอกที่สันมีด ตัวมีดยังเป็นโลหะพิเศษ ด้ามมีดก็เป็นไม้ที่ตอนแรกผิดกฎหมายคือไม้พะยูง แต่ว่าเป็นเรื่องแปลก พวกไม้หรืองาช้างผิดกฎหมาย แต่ทำเป็นของใช้ขึ้นมาแล้วเขาไม่ว่าอะไร งาช้างก็เหมือนกัน ถ้าทำเป็นของใช้ขึ้นมาก็แล้วกันไป ถ้าเป็นงาอยู่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณไปล่ามาหรือเปล่า เป็นกฎหมายที่ลักลั่นอย่างไรพิกล จะเรียกว่าเป็นการผ่อนปรนให้ก็ได้ แต่อาตมาเองก็พอมีช่องทางอยู่ เพราะอย่างไรก็สามารถซื้อจากที่เขาโค่นไว้แล้วได้ ต่อให้ไม่ซื้อเขาก็โค่นไปแล้ว

ไม้พะยูงที่มีราคาแพงเพราะมีเท่าไรประเทศจีนซื้อไม่อั้น เนื่องจากว่าเขาไปขุดเจอในสุสาน ที่ผ่านระยะเวลายาวนานมาหลายร้อยปี เครื่องใช้ทุกอย่างที่ทำด้วยไม้พะยูงยังเป็นปกติอยู่ ไม่มีอะไรชำรุดเสียหาย ไม้พะยูงบางทีก็เรียกว่าไม้จันทร์ม่วง เพราะยิ่งใช้ยิ่งดำ ดำขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าขัด ๆ ถู ๆ อยู่ทุกวันจะสวยเป็นพิเศษ"

เถรี 17-01-2015 19:30

"ปรากฏว่าการทำมีดหมอเพชราวุธครั้งนี้ เล่นเอาโลหะหมดประเทศไทยไปเลย เพราะว่าตัวมีดต้องหนาพอที่จะฝังตะกรุดที่สันได้ แล้วเหล็กที่หนาขนาดนั้นเขาก็ไม่ค่อยสั่งเข้ามาเพราะว่าราคาสูง ในเมื่อเป็นเหล็กพิเศษราคาสูง ไม่มีการสั่งบ่อย ท้ายสุดโรงงานก็เลิกสายการผลิตไป ดังนั้น..เหล็กที่ตกค้างในประเทศไทยโดนอาตมากว้านซื้อมาหมดแล้ว เหลือแต่เศษเล็ก ๆ เท่านั้น แล้วก็ทำมีดหมอได้หน่อยเดียวอย่างที่เห็น เกือบจะตีกันตายใช่ไหม ? ชั่วโมงกว่า ๆ ก็จองหมดแล้ว ดังนั้น..ให้ไปหาของที่เราชอบไปเอง ชอบใจมีดแบบไหนวันที่ ๒๔ มกราคมนี้ก็เอาไปเข้าพิธี บรรจุเข้าหีบเข้าห่อให้ดี จะได้ไม่สูญหาย ถึงเวลาฝากก็ง่ายรับคืนก็ง่าย

อย่าเอาอย่างคุณยายทองชุบนะ ให้ลูกหลานฝากมีดไปเข้าพิธี เขียนติดไว้เลยว่า ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๓ เพิ่งจะรับกลับไปเมื่อ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ นี่เอง สี่ปีกว่าเกือบห้าปีแล้ว พระเราก็เวรกรรมจริง ๆ ศีลพระบังคับไว้เลยว่า ถ้าหากเขาลืมของไว้ในวัด ต้องเก็บไว้จนกว่าเจ้าของมารับคืน สมัยที่อาตมาอยู่วัดท่าซุง จะมีตู้พิพิธภัณฑ์ของหายเลย ถึงเวลาทำความสะอาดห้องพักต่าง ๆ ก็มีรองเท้าบ้าง กระเป๋าถือบ้าง เยอะแยะไปหมด ต้องไปติดป้ายว่า เก็บมาจากห้องไหน เดือนไหน ปีไหน แล้วก็ไม่ค่อยมีใครมาเอาหรอก เพราะอาจจะทิ้งแล้วก็ได้ แต่คราวนี้ศีลพระบังคับไว้ ไม่สามารถที่จะทิ้งได้ ก็ต้องเก็บ ไม่รู้ว่าหลังรุ่นอาตมาแล้ว คนอื่นที่มาเขาช่วยดูแลต่อหรือว่าขนไปชั่งกิโลขายแล้วก็ไม่รู้ ?"

สายท่าขนุน 17-01-2015 23:08

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เถรี (โพสต์ 129779)
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครรู้จักเด็กหญิงต้นข้าวไหม ? เด็กหญิงต้นข้าว ยอดระบำ ตายไปแล้ว คุณวีระศักดิ์ ยอดระบำ (พ่อของต้นข้าว) ไปใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ทำนาทำไร่ ปลูกผักไม่ใช้สารพิษ แล้วก็เลี้ยงลูกมาด้วยวิธีให้อยู่กับธรรมชาติ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ปล่อยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันแล้วหายเอง พอเขาทำตัวลักษณะอย่างนั้นแล้วข่าวดังออกไป บรรดาเพื่อน ๆ จากกรุงเทพฯ ขึ้นไปเยี่ยม เลยเอาโรคไปติดหลาน ทำเอาต้นข้าวตายเลย เพราะว่าพ่อเขาใช้วิธีปล่อยให้หายเอง ให้ร่างกายสร้างภูมิเอง ก่อนหน้านี้ก็ทำได้มาตลอด พอไปเจอเชื้อหนัก ๆ เข้าก็ไปเลย
...
เขาก็พยายามที่จะสอนลูก ๆ ให้รู้ ให้กระดาษไปก็วาดรูปโน่นวาดรูปนี่ ต้นข้าวยังบอกแม่ว่า “ต้นข้าวจะไปเป็นดาวบนท้องฟ้า” เลยไปเป็นจริง ๆ ไม่รู้น้องชายเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าจำไม่ผิดน้องชายต้นข้าวชื่อต้นโพธิ์ คุณวีระศักดิ์เขียนหนังสือดี ๆ หลายเล่ม เช่น คืนสู่ขุนเขาและสายน้ำ ใช้นามปากกาว่า คืนญางเดิม คำว่าญางตัวนี้ก็คือกะเหรี่ยง กลับคืนเป็นกะเหรี่ยงดั้งเดิม ตอนช่วงที่เขียนพวกเรื่องสั้นลงคอลัมน์ต่าง ๆ บางทีก็ใช้ชื่อจริง วีระศักดิ์ ยอดระบำ ลองไปค้นหาข้อมูลดูว่าแกไปถึงไหนแล้ว

เท่าที่หาข้อมูลเจอ คุณแม่ของน้องต้นข้าว ชื่อคุณกาญจนา พิมล
เขียนหนังสือ ชื่อว่า 'โรงเรียนของต้นข้าว' ด้วย

...และได้นำวิดีโอของน้องต้นข้าวมาฝากไว้ที่นี้ ดังลิงก์นี้
https://www.youtube.com/watch?v=Rg0o7I21BKk

เถรี 18-01-2015 12:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "คณะคุณกิจจา ปัญญาวุฒิธรรม ถวายดอกบัวทองคำ ๓ คู่ ทองคำแท้ ๆ ไม่ใช่ทองชุบ คู่ที่หนึ่งถวายเป็นสมบัติประจำวัดท่าขนุน จะจัดสรรไว้ที่ใดแล้วแต่สังฆามติจะเห็นสมควร คู่ที่สองถวายบูชาพระบรมสารีริกธาตุเขี้ยวแก้ว คู่ที่สามถวายองค์พระพุทธรูปทองคำที่กำลังดำเนินการจัดสร้าง มีเบอร์ติดต่อด้วยว่า ถ้าไม่พอให้ขอเพิ่มได้ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงกับญาติโยมที่ร่วมบุญมาทุกท่าน ขอให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนานะจ๊ะ"

เถรี 18-01-2015 18:46

พระอาจารย์กล่าวถึงงานสวดพระคาถาเงินล้านว่า "คราวหน้าเปลี่ยนจากเพลงพระคุณที่สาม เป็นเพลงรางวัลของครูนะจ๊ะ "...ฯลฯ...ให้ศิษย์ถึงฝั่งด้วยแรงหวังแรงศรัทธา เหนื่อยกายและใจทว่า เป็นสุขอยู่ทุกนาที ความภูมิใจมิได้อยู่ในพานไหว้ครู แต่อยู่ในวันที่รู้ว่าศิษย์นั้นไปได้ดี ...ฯลฯ..." แต่ถ้าตอนเรียนอยู่แล้วได้ดีนี่ครูจะโกรธมาก ต้องเรียนจบแล้วไปได้ดี ถ้าเรียนอยู่แล้วได้ D รับรองครูไม่รักแน่เลย ตอนเรียนอยู่ต้องได้ A"

เถรี 18-01-2015 18:49

พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศที่เจริญแล้วต้องสนับสนุนการขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟบนดิน รถไฟใต้ดิน รถไฟลอยฟ้า รถแท็กซี่ รถเมล์ แต่บ้านเราถ้าไปสนับสนุนอย่างเขา บริษัทต่าง ๆ จะขายรถยนต์ส่วนตัวไม่ได้ ส่วนใหญ่แล้วพวกบรรดาบริษัทใหญ่ ๆ มักจะเป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมือง ก็เลยทำให้บ้านเราต้องช่วยเหลือบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ฉะนั้น..ไม่ใช่ไม่รู้ว่าการจะแก้รถติดต้องจัดการขนส่งสาธารณะให้ดี แต่รู้แล้วไม่ทำ เพราะว่าถ้าทำไปแล้วผู้สนับสนุนพรรคจะขายรถกันไม่ได้

ถ้าบ้านเราเป็นอย่างอังกฤษหรือญี่ปุ่น ถึงเวลาจะรู้ว่ารถเมล์เที่ยวนี้จะถึงที่ทำงานเวลาไหน ก็ออกจากบ้านได้ตรงเวลา ไม่ต้องไปเสียเวลาขับรถติดอยู่บนถนน คงต้องรออีกสักระยะหนึ่ง ให้บุคคลที่มีจิตทำงานเพื่อสาธารณะมีมากกว่านี้ ตอนนี้แต่ละฝ่ายแต่ละท่านก็ยังกระจัดกระจายอยู่ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ไม่สามารถที่จะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติได้

จำหลักการง่าย ๆ ว่า "รถคือลด" ไม่มีเพิ่ม ซื้อเมื่อไรเงินในกระเป๋าของเราก็ลดลงทันที แล้วก็ลดไปเรื่อย ๆ เพราะต้องมีการซ่อมบำรุง ต้องมีการเข้าศูนย์เป็นประจำ ต้องเติมน้ำมัน ต้องดูแลรักษาตามระยะทาง ตามระยะเวลา ฉะนั้น..ถ้าไม่จำเป็นอย่าซื้อรถ ถ้าคิดว่าจำเป็น ก็ให้ซื้อรถที่ท้องตลาดนิยม ราคาไม่ต้องแพง เอาเป็นซิตี้คาร์เล็ก ๆ ก็พอ จะได้ขับกันสะดวกหน่อย

อาตมาชอบใจลูกเจนนี่ ตอนนั้นลูกเจนนี่เพิ่งจะเรียนชั้นประถม คุณแม่ซื้อรถเบนซ์ คุณลูกบ่นจนปากจะฉีกถึงใบหู ว่าแม่ซื้อไปทำไมตั้งหลายล้าน ? ซื้อรถญี่ปุ่นอย่างเก่งก็เจ็ดแปดแสน อย่างดีก็ล้านเศษ ๆ เหลือเงินสดเอาไว้เผื่อใช้ยามฉุกเฉินอีกตั้งหลายล้าน แสดงว่าเด็กรู้จักคิดมากกว่าผู้ใหญ่"

เถรี 18-01-2015 19:15

พระอาจารย์เล่าว่า "เห็นในหลวงดูฟุตบอลได้ เข้าร้านสะดวกซื้อได้ อาตมาก็รู้สึกดีใจว่าพระพลานามัยแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะในหลวงเชียร์บอล มาเลเซียบอกว่าประเทศไทยโกงความตายชัด ๆ ขนาดตายแล้วยังฟื้นใหม่..!

ต้องเชื่อในเรื่องบารมีของคนเรา แค่ให้ราชเลขาฯ โทรไปเท่านั้น กำลังใจนักฟุตบอลไทยมาท้วมท้นเลย ขนาดโดนนำไป ๓-๐ ก่อน ยังไล่ทันและแซงชนะได้ สรุปว่า คสช. (คืนความสุขให้แก่มวลชนชาวไทย) ดำเนินการโดยคุณซิโก้..!

ดูการคอมเม้นท์ของบรรดาแฟนบอลต่างชาติ หลายคนเขามีน้ำใจเป็นนักกีฬามาก แต่หลายคนพอได้ประตูนำคนไทยไปแล้วโพสต์เยาะเย้ยก็มี ต้องบอกว่าเป็นเรื่องปกติ ส่วนท่านที่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ก็ใช้คำพูดว่า "แล้วแต่ความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า"

เถรี 18-01-2015 19:32

"ถ้าใครได้ดูคลิปวงดนตรีพระ ที่บรรดาพระภิกษุเล่นดนตรีกันสนุกสนานกลางป่า โปรดทราบว่าเป็นพระพม่านะจ๊ะ ไม่ใช่พระไทย เพลงที่ร้องก็เป็นเพลงพม่าด้วย บังเอิญว่าอาตมาฟังออกบ้าง ไม่ใช่เห็นแล้วรีบด่าไปก่อน พระพม่าเขาทำกันเป็นปกติ วัดของพม่ามีทีมบอลแข่งกับชาวบ้านได้ ฝ่ายหนึ่งก็ขัดเขมรลงสนามกันแดงพรึ่บไปเลย เพราะพระพม่านุ่งสีแดง (https://www.youtube.com/watch?v=YudiyiadtNE)

ไปนึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๔ พระองค์ทรงเปิดกว้างมาก เพราะมีคนไปฟ้องท่านว่า พระตั้งวงเตะตะกร้อกัน ทรงมีรับสั่งว่า "เจ้ากูจะเล่นบ้าง ก็ช่างเจ้ากูเถอะ" เจ้ากูสมัยนั้นก็คือพระทั่วไป ถ้าขรัวตาหมายถึงพระผู้ใหญ่ที่เป็นพระเถระ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเจ้าอาวาส พระองค์ท่านเป็นพระมหากษัตริย์สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ แต่เห็นว่าบางทีการที่คนหนุ่มไปโดนจำกัดอยู่ในธรรมวินัยก็เกิดความเครียด ในเมื่อท่านออกกำลังอยู่ในวัดก็ออกไปเถอะ

แต่ถ้าเป็นแบบหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านกับเพื่อนอีกสามองค์ฝึกกรรมฐานกันอยู่ในป่าช้า ท่านใช้วิธีหาบน้ำคนละสองปีบ ขีดเส้นเอาไว้ วิ่งวนรอบป่าช้า เหยียบเส้นเมื่อไรเป็นอันว่าทรงฌานทันที ท่านซ้อมแบบนี้ ปรากฏว่ากำนันเถาไปเจอ ไปฟ้องหลวงปู่ปาน "ท่านใหญ่ พระของท่านหาความสำรวมไม่ได้เลย วิ่งกันอยู่ในป่าช้าโน่น" หลวงปู่ปานก็ถามว่าที่ไหนนะ ? "ในป่าช้า" "แล้วมึงเสือกไปดูเขาทำไม ? เขาอุตส่าห์หลบเข้าไปในป่าช้าแล้ว" กำนันเถาหน้าม้านเลย

ถ้าฝึกซ้อมการทรงฌานจนมีความชำนาญ กำหนดได้เลยว่าจะเอาอย่างไร วสีคือความคล่องตัว ความชำนาญ สามารถกำหนดได้ ถ้ากำหนดได้คล่องขนาดนั้นจะรู้วันตายของตนเอง เพราะกำหนดได้ว่าจะไปเมื่อไร"

เถรี 18-01-2015 19:41

"เรื่องของสมาธิ ถ้าถามว่าเกี่ยวกับน้ำหนักตัวไหม ? ก็มีส่วนอยู่บ้าง เพราะคนน้ำหนักตัวมาก กระแสเลือดเต็มไปด้วยสารอาหารและไขมัน มักจะทำให้ตั้งสติไม่ค่อยได้ ถึงเวลานั่งสมาธิก็จะง่วงซึม พร้อมที่จะหลับ แต่ถ้าซ้อมสมาธิจนคล่องตัว ก้าวเดียวข้ามพรวดไปเลย ทรงฌานเมื่อไรก็ได้ ถ้าอย่างนั้นน้ำหนักตัวก็ไม่เกี่ยวแล้ว แต่ถ้ายังไม่สามารถที่จะทรงฌานในระดับที่คล่องตัวได้ ก็ยังเกี่ยวอยู่มาก

คนเจริญกรรมฐานใหม่ ๆ จะสังเกตเห็นว่า พอลมหายใจละเอียดจะรู้สึกว่าร้อนขึ้น ๆ ๆ เพราะลมหายใจเริ่มละเอียด การแลกเปลี่ยนออกซิเจนจะดีขึ้น อัตราการเผาผลาญร่างกายก็มากขึ้น เท่ากับว่าช่วยให้น้ำหนักลดลงได้เหมือนกัน"

เถรี 18-01-2015 19:50

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระปิดตาหลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงพ่อนิลท่านถวายมา ส่วนอีกองค์เป็นของหลวงปู่ทองทิพย์ ถามว่าใช่พระปิดตาจันทรคราสหรือเปล่า ? ท่านหัวเราะเลย

ความจริงครูบาอาจารย์ท่านมักจะมอบของดีที่สุดที่ท่านมีอยู่ให้ แต่อาตมาเป็นคนรักษาของไม่อยู่ เดี๋ยวก็ไปอีกแล้ว คือเกิดมาแล้วไม่หวงของ พอถึงเวลาก็เอาไปลงประมูลเกลี้ยง

สมเด็จเสด็จกลับของหลวงปู่สุภา อุตส่าห์ได้หน้ากากทองมาด้วยก็ไปหมดแล้ว ประมูลกันบนรถไฟเลย"

เถรี 18-01-2015 20:22

พระอาจารย์เล่าเรื่องขำ ๆ ในวงการสงฆ์ให้ฟังว่า "เคยได้ยินคำว่า "บุญมีแต่กรรมบัง" ไหม ? สามเณรไปกิจนิมนต์ ถอดรองเท้าไว้ ไม่ทราบว่าแขกคนไหนใส่รองเท้าของสามเณรไป สามเณรเดินเท้าเปล่ากลับวัด พอดีเดินผ่านร้านขายรองเท้า มีโยมผู้หญิงเห็นเข้า "นิมนต์หน่อยเจ้าค่ะ ดิฉันจะถวายรองเท้า" โชคดีนะ..รองเท้าหายแล้วได้ของใหม่ แต่ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รีบบอกว่า "คุณ ๆ เณรเขาเคร่ง อุตส่าห์ไม่ใส่รองเท้า คุณยังไปถวายให้เป็นอาบัติอีก" เณรอดได้รองเท้าไปเลย

พระอาจารย์มักจะสอนเณรว่า ถ้าญาติโยมนิมนต์ให้รับ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการขัดศรัทธา ทำให้ญาติโยมเสียกำลังใจได้ เณรก็รับรู้ รับทราบ รับปฏิบัติ วันนั้นเณรกำลังท่องหนังสืออยู่ ปรากฏว่ามีเด็กโผล่มาทางหน้าต่าง "เณร ๆ ว่างไหมครับ ?" เณรบอกว่า "กำลังท่องหนังสืออยู่" "ถ้าไม่ได้ทำอะไรนิมนต์เลยครับเณร" นิมนต์ทำอะไร ? ฟุตบอลขาดคน เด็กมานิมนต์ให้เณรช่วยเฝ้าประตูให้หน่อย

สามเณรถกสบงยืนเฝ้าประตูให้ หลวงพ่อผ่านมาพอดีเลย "เณรไปเอาไม้เรียวมา..! เป็นสามเณรไปเล่นฟุตบอลได้อย่างไร ? ไม่มีความสำรวมเลย" "ก็ไหนหลวงพ่อบอกว่า ถ้าเขานิมนต์แล้วเราต้องรับ..?!"

เถรี 18-01-2015 20:35

"โยมหลายคนเวลาทำบุญมักจะตามไปดูว่า พระได้ใช้ของตัวเองหรือเปล่า ? ที่อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี มีโยมอยู่คนหนึ่งถวายที่สร้างวัดสองร้อยกว่าไร่ แล้วโยมคงถวายไม่ขาด จึงไปตามคุมประพฤติพระในวัด เพราะโยมคงจะคิดว่าเป็นวัดของกู

นี่ก็เหมือนกัน มีโยมท่านหนึ่งเดินไปถามพระในวัด "ท่าน ๆ วันก่อนของที่ฝากเณรไว้ได้รับหรือยัง ?" พระก็ตอบด้วยความมั่นใจ "ได้รับ..ฉันเรียบร้อยแล้วโยม" "ดิฉันถวายรองเท้าไปนะเจ้าคะ..!" สงสัยพระท่านเป็นร็อตไวเลอร์มาเกิด ฉันกระทั่งรองเท้า..! เรื่องขำ ๆ ในวงการสงฆ์มีมาก แต่บางเรื่องขำจนหัวเราะไม่ออก"

เถรี 18-01-2015 20:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "เทวดาชั้นยามาท่านสวดมนต์กันเป็นปกติ เพียงแต่ทรงฌานไม่ได้เท่านั้น ถ้าทรงฌานได้ก็ไปเป็นพรหมกันหมดแล้ว"

เถรี 18-01-2015 20:57

ถาม : อายุ ๖๐ ปี ถ้าไม่ทำบุญวันเกิดจะเป็นอะไรไหม ?
ตอบ : จะไม่ทำบุญก็ไม่ว่า แต่คนเรานั้นที่อยู่มาได้ เพราะ ๑. ยังไม่หมดอาหาร ๒. ยังไม่หมดอายุ ๓.ยังไม่หมดบุญ ๔.ยังไม่หมดกรรม ถ้าอย่างหนึ่งอย่างใดหมด ก็อาจจะอยู่ไม่ได้

ดังนั้น..ถ้ายังอยากอยู่ต่อ ก็ทำบุญสักหน่อยหนึ่ง หมดอาหาร..ตาย หมดอายุ..ตาย หมดบุญ..ตาย หมดกรรม..ตาย..!

เถรี 18-01-2015 21:54

พระอาจารย์เล่าว่า "พระวัดท่าขนุนเดี๋ยวนี้ไม่สนใจงานก่อสร้าง ทำให้อาตมานึกถึงตัวเอง สมัยนั้นบวชใหม่ ๆ หวงเวลาตัวเองมาก เวลาที่เหลือใช้ในการภาวนาเสียส่วนใหญ่ ภาวนาวันละเกิน ๑๐ ชั่วโมง ไม่เอาเรื่องการก่อสร้างเลย

พอออกจากวัดไป งานก่อสร้างมาหูดับตับไหม้ แล้วก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่าง ไม่รู้ว่ากระเบื้องมีทั้งขนาดยาวขนาดสั้น มีอย่างหนา มีอย่างบาง มีลอนใหญ่ มีลอนเล็ก ไม่รู้ทั้งนั้น ต้องใช้วิธีตีขลุมเอา อย่างเช่น ช่างถามว่า อาจารย์จะเอากระเบื้อง ๑.๒ เมตร หรือ ๑.๕ เมตร เอาอย่างหนาหรืออย่างบาง อาตมาก็ถามว่า "แล้วช่างเห็นว่าอย่างไหนเหมาะกว่า ?" ต้องใช้วิธีตีขลุมเอา เพราะไม่รู้เรื่องเลยจริง ๆ

ค่อย ๆ ศึกษาไปทีละนิดทีละหน่อย จนกระทั่งก่อสร้างได้ ๔-๕ ปี ทีนี้คิดเองเป็นหมด พื้นที่เท่าไร ใช้วัสดุขนาดไหน ใช้งบประมาณเท่าไร อยู่ ๆ ช่างก็มาบอกว่า "อาจารย์..ขาดกระเบื้องไป ๑๑ แผ่น" "เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าคิดไม่เคยขาด" ช่างเขาบอกว่า "หนูทำแตกเองค่ะ" เป็นกระเบื้องปูพื้น "ไม่เคยเจอใครคิดกระเบื้องได้ลงตัวขนาดนี้ ไม่เหลือสักแผ่นเดียว พอทำแตกจึงต้องขอให้ซื้อเพิ่ม" "ถ้าเอ็งสารภาพแต่แรกก็หมดเรื่อง ดันหาว่าข้าคิดขาดไป ๑๑ แผ่น ต้องหักค่าแรงให้เข็ด" เรื่องแบบนี้ต้องค่อย ๆ ศึกษาไป"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:03


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว