ถาม : เรื่องแผ่นดินไหวที่เนปาล เกิดจากสาเหตุอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเหตุ..พระพุทธเจ้าบอกชัดเลยว่าลมกำเริบ คือใต้โลกของเราเป็นหินเดือด พอเดือดมาก ๆ เข้าไอร้อนก็ไปอัดแน่นอยู่ไม่มีทางไป ถึงเวลาเคลื่อนตัวทีก็ดันแผ่นโลกไปด้วย ฉะนั้น..ถามว่าอะไรเป็นเหตุ ตอบว่าลมกำเริบ ถาม : แล้วบ้านเรามีโอกาสเจออย่างนั้นไหมครับ ? ตอบ : มีโอกาส ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องตื่นเต้น ถึงเวลาก็รู้เอง แต่บ้านเราน่าจะตายง่ายกว่าบ้านเขาเยอะ เพราะบ้านเราตึกสูงมาก บ้านเขาตึกเตี้ย ๆ ถึงเวลาถล่มทับก็ไม่หนักเท่าไร บ้านเราตึกสูง ส่วนใหญ่ก็เกิดจากกรรมที่ไปปล้นบ้านตีเมืองเขาเอาไว้นั่นแหละ ทำให้บ้านเรือนเขาเสียหาย ทำให้ทรัพย์สินเขาเสียหาย ทำให้ชีวิตเขาดับสิ้นไป ถึงเวลาก็ต้องรับคืน |
พระพุทธเจ้าตรัสถึงเหตุแห่งแผ่นดินไหวไว้ ๘ ประการ มีลมกำเริบ ๑ ผู้มีฤทธิ์บันดาล ๑ พระโพธิสัตว์จุติลงสู่ครรภ์พระมารดา ๑ พระโพธิสัตว์ประสูติ ๑ พระโพธิสัตว์ตรัสรู้ ๑ พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา ๑ พระพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร ๑ และพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๑ มี ๘ สาเหตุด้วยกัน เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าไป ๖ สาเหตุ
ถาม : แผ่นดินไหวที่มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าจะมีอันตรายกับคนไหมคะ ? ตอบ : พวกนั้นไม่มีอันตราย เพราะแผ่นดินไหวเกิดจากการแซ่ซ้องสรรเสริญของพรหมเทวดาท่าน แต่ว่าแผ่นดินไหวเกิดจากผู้มีฤทธิ์บันดาลก็ต้องดูว่าท่านทำเพื่ออะไร ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะใช้อภิญญาสมาบัติในการทำลายทำร้ายคนอื่นก็อันตราย ส่วนเรื่องของลมกำเริบนี่ว่าไม่ได้ แล้วแต่กรรมใครกรรมมัน ภูเขาหิมาลัยเกิดจากแผ่นดินเคลื่อน อนุทวีปอินเดียวิ่งมาชนกับชายฝั่ง ดันสูงไปเรื่อย ๆ ปีหนึ่ง ๓-๕ เซนติเมตร ก็ยังสูงไปเรื่อย ฉะนั้น..ถ้าเกิดแผ่นดินไหวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ต้องไปศึกษาภูมิศาสตร์โบราณ สมัยโลกเรายังเป็นมหาทวีปกอนด์วานา มหาทวีปแพนเจียโน่น |
ถาม : สัตว์ทุกชนิดที่มีดวงจิต ถือว่าเป็นสัตว์มีชีวิต สัตว์อย่างแบคทีเรีย ไวรัส จัดว่าเป็นสัตว์มีชีวิตไหมครับ ?
ตอบ : พวกแบคทีเรียพวกไวรัสเป็นเหมือนกับพืช มีแต่วิญญาณ ไม่มีจิต สัตว์ที่มีดวงจิตขนาดเล็กสุดก็คือพวกเล็นพวกไร มองเกือบไม่เห็น สมัยเด็กอาตมาปีนขึ้นไปล้วงเอาลูกนกฮูกมาเลี้ยง แม่นกพ่นลมใส่หน้า มีแต่ไรเต็มหน้าเลย ต้องเผ่นลงมาอาบน้ำ ด้วยความบ้าดีเดือดเดี๋ยวก็ขึ้นไปใหม่ อยากได้ลูกนกฮูกมาเลี้ยง ปรากฏว่านกก็สู้ คว้าคอปุ๊บก็ถูกขยุ้ม กรงเล็บ ๔ นิ้วนี่ฝังเข้าเนื้อหมดเลย แต่อาตมาไม่ปล่อยหรอก จะเอาลูกนกให้ได้ แต่ว่าเลี้ยงแล้วแม่มันมาเอาคืนหรืออย่างไรไม่รู้ เพราะว่ากลางคืนหายไปจากกรงเฉย ๆ ถาม : แมวหรือเปล่าคะ ? ตอบ : ไม่ใช่หรอก เพราะว่าที่บ้านไม่ได้เลี้ยงแมว น่าจะเป็นแม่นกเขามาเอาคืน เพราะว่านกฮูกหรือเหยี่ยวนี่สามารถที่จะโฉบไปได้ สมัยอยู่เกาะพระฤๅษีอาตมาปีนต้นไม้ขึ้นไปไล่พวกตะกวด ที่จะขึ้นไปกินไข่นกเหยี่ยวบนรัง พอแม่เหยี่ยวเห็นว่าเรารู้ว่ารังอยู่ที่ไหน อีก ๒ วันขึ้นไปดูใหม่ เหลือแต่ดอกไม้อยู่ ๒ ดอก แม่นกย้ายไข่ไปเรียบร้อยแล้ว ย้ายรังไปแล้ว ถ้าเป็นนกอื่นจะย้ายไม่ได้ แต่พวกเหยี่ยวพวกอินทรีนี่เขาขยุ้มไปสบาย ๆ เลย ถาม : เคยเลี้ยงลูกค้างคาว ? ตอบ : ลูกค้างคาวตัวเล็กนิดเดียว ถ้าจะเลี้ยงต้องเอาหลอดฉีดยาค่อย ๆ หยอดนมให้ กลิ่นตัวเหมือนเทียนเลย เลี้ยงมาเยอะแล้ว อาตมาเลี้ยงจนกระทั่งใหญ่แล้วไม่มีอะไรก็กินค้างคาวนั่นแหละ..! พูดถึงค้างคาวก็นึกถึงลูกศิษย์พระสารีบุตร ที่เคยเกิดเป็นค้างคาวอยู่ในถ้ำ ฟังพระสาธยายพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์จนเพลิน ตกลงมาตาย ไปเป็นเทวดานานเลย พอมาพุทธกาลนี้ก็มาเกิดเป็นลูกชาวประมง มีโอกาสบวชพร้อมกัน |
ถาม : คนที่เคยเกิดเป็นพญานาคมาก่อนจะมีนิสัยอย่างไรครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่เอาแต่นอนอย่างเดียว แล้วห้ามปลุกนะ จะขี้โมโหมาก ถ้าใครเคยเกิดเป็นนาคนี่จะถนัดในการนอน ที่อัศจรรย์ที่สุดก็ในธรรมบท พระพุทธเจ้าเทศน์อยู่ยังนอนได้ พระอานนท์สงสัยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระองค์แสดงธรรมประดุจมหาเมฆบันลือขึ้น ไฉนจึงมีคนนอนหลับได้ ? พระพุทธเจ้าบอกว่าอุบาสกผู้นั้นเกิดเป็นพญานาคต่อเนื่องกันมา ๕๐๐ ชาติ มีความเคยชินกับการพาดหัวบนขนดตนเองแล้วก็หลับ นั่งฟังเทศน์อยู่แท้ ๆ ยังหลับได้ โดยเฉพาะองค์เทศน์คือพระพุทธเจ้า อีกรายหนึ่งนั่งเขย่าต้นเสา พระพุทธเจ้าบอกว่ารายนี้เกิดเป็นลิงมา ๕๐๐ ชาติ อีกรายหนึ่งเอานิ้วเขี่ยพื้น ไม่ได้สนใจฟัง เขี่ยไปเรื่อย รายนี้เกิดเป็นไก่มา ๕๐๐ ชาติ อีกรายก็เหม่อ จ้องแต่เพดานศาลา ท่านบอกมาเป็นพราหมณ์ มีอาชีพดูดาวมา ๕๐๐ ชาติ ใครเคยเป็นอย่างไรติดต่อกันก็เป็นอย่างนั้น แบบนกุลปิตา นกุลมาตา ๒ อุบาสกอุบาสิกา เจอหน้าพระพุทธเจ้าก็ร้องว่า “ลูกไปไหนมา ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” เคยเกิดเป็นบิดามารดาพระพุทธเจ้าต่อเนื่องกันมา ๕๐๐ ชาติ |
ถาม : คนที่สิ้นชีวิตถ้าอยู่ในฌานจะไปพรหมโลก แต่ถ้าอยู่ในขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิจะไปไหนครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ก็อยู่ชั้นดาวดึงส์กับยามา |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ยาหอมยาลมถือว่าเป็นภูมิปัญญาไทยที่ตกทอดกันมา ถึงเวลาธาตุลมกำเริบ ถ้าไม่มีพวกยาหอมยาลมก็จะลำบาก ฟื้นตัวยาก ในเรื่องของส่วนผสมต่าง ๆ ในปัจจุบันก็หายากขึ้นเรื่อย ๆ สมัยอยู่วัดท่ามะขาม ยายทองเหมาะซึ่งเป็นน้องสาวของหลวงพ่อพระเทพเมธากร พอว่างจากงานอื่นก็กวาดใต้ต้นพิกุล กวาดมาเป็นเข่งแล้วก็นั่งคัดเอาเฉพาะดอก ชั่งกิโลขายตามร้านขายยาโบราณ
ดอกพิกุลเป็นหนึ่งในเกสรห้าอย่างที่เป็นส่วนผสมของยาหอม เกสรห้าอย่างเป็นตัวยาพื้นฐานของยาไทย ที่เป็นส่วนผสมของยาหอม จะมีเกสรบัวหลวง สารภี มะลิ พิกุล บุนนาค ดอกไม้พวกนี้ขายได้ในราคาแพงด้วย เดี๋ยวนี้ต้นพิกุลก็ปลูกน้อยลง ๆ สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบเก็บดอกพิกุลมาร้อยทำเป็นสร้อยคอ" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเห็นในกระทู้ว่าเขาแปลกันแบบผิด ๆ เขาลงกระทู้ว่า "สติปัฏฐาน ๔ เป็นทางเดียวที่จะทำให้บรรลุมรรคผล" แล้วก็เข้าไปเถียงกันกระจายอยู่ตรงนั้น
เขาแปลจากคำว่า ‘เอกายโน’ เอกะ คือ หนึ่ง , อายนะ คือ หนทาง เขาบอกว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์ ในเมื่อแปลอย่างนั้นก็ต้องทะเลาะกับชาวบ้านเขา ต้องแปลว่า ‘นี่เป็นหนทางหนึ่งซึ่งนำสัตว์ไปสู่ความบริสุทธิ์’ จะได้รู้ว่าที่เหลืออีกเป็นหมื่นเป็นพันสายยังมีอยู่ ปัจจุบันนี้บรรดาท่านที่เรียนมาสายปริยัติ โดยเฉพาะเรียนในส่วนของวิปัสสนาภาวนา ก็มักจะแปลว่าเป็นทางสายเดียว ถ้าเป็นทางสายเดียวแล้วพระพุทธเจ้าท่านเทศน์เอาไว้ตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ทำไม ? แต่เขาก็จะแปลว่าทางสายเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยเขาไปเถอะ อาตมาอยากจะบอกว่ามหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคนทั่วไป ท่านสอนชาวกุรุซึ่งชาวกุรุเป็นมนุษย์ต่างดาว แต่มาสืบเชื้อสายบนโลกมนุษย์ทำให้ฉลาดเกินมนุษย์ทั่วไป มีความละเอียดของจิตมาก มีความชอบใจในมหาสติปัฏฐานสูตรเพราะว่ามีรายละเอียดมาก ในเมื่อไม่ใช่สำหรับคนทั่วไป พวกเราก็จะรู้สึกว่าถ้าเป็นส่วนของกายในกายเราก็จะพอเข้าใจไปได้ พอเป็นเวทนาในเวทนาก็ชักจะไปไม่เป็น พอเป็นจิตในจิต หรือธรรมในธรรม บางทีก็เข้าไม่ถึงเลย เพราะว่าความละเอียดของใจของเราไม่เท่ากับเขา ต้องบอกว่าธรรมะหลายต่อหลายส่วนเหมาะเฉพาะสถานที่ บุคคล หรือกาลเวลานั้น ๆ พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้จำนวนมากต่อมากด้วยกัน แต่เขาก็มาสรุปว่ามีอย่างเดียวนี่แหละ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ยกไปได้เลย เหลือแค่มหาสติปัฏฐานสูตรอย่างเดียวที่ทำให้บรรลุมรรคผล ต้องบอกว่าเรียนอย่างเดียวไม่ได้ทำ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เลยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาทำกันอย่างไร" |
"ในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาถกเถียงกัน ถ้าเราเถียงกันเมื่อไรก็กลายเป็นเอากิเลสมาชนกัน ก็แปลว่าเสียท่ากิเลสตั้งแต่ต้นเลย หลักการปฏิบัติมีไว้ทำ ไม่ได้มีไว้เถียงกัน ถ้าใครมาถามชนิดไม่ได้ง้างปากกันจริง ๆ ก็ไม่บอกกันง่าย ๆ หรอก เพราะว่าแต่ละคนจะมีทิฐิของตนอยู่ ในเมื่อมีทิฐิของตนอยู่ ถ้าเห็นไม่ตรงกันเมื่อไรก็ทะเลาะกันเมื่อนั้น
ในส่วนของหลักการปฏิบัติ ในปัจจุบันนี้ในทางศูนย์ประสานงานสำนักปฏิบัติธรรมแห่งประเทศไทยได้สรุปเอาไว้ใหญ่ ๆ ๕ สายด้วยกันคือ สายพุทโธ สายสัมมาอะระหัง สายพองยุบ สายรูปนาม แล้วก็สายสติปัฏฐานแบบท่านพุทธทาส อาตมาเองพยายามผลักดันจนกระทั่งทางมหาจุฬาฯ เอามโนมยิทธิไปบรรจุไว้ในหลักสูตรวิชาธรรมะภาคปฏิบัติ ซึ่งเป็นธรรมะภาคปฏิบัติ ๗ ก็คือธรรมะภาคปฏิบัติสุดท้ายของปริญญาตรี แต่เขาไม่ให้อาตมาเป็นคนเขียน เขาไปหาข้อมูลมาเขียนกันเอง เลยออกมาเป็นอะไรก็ไม่รู้ ชื่อว่ามโนมยิทธิ แต่อาตมาไม่คุ้นเคยเลย ไว้มีโอกาสค่อยไปปรับใหม่ เพราะว่าคนเขียนไม่ได้ปฏิบัติมาเองก็เลยไม่เข้าใจ จึงตีความผิด จะว่าไปแล้วหลักการปฏิบัติไม่ได้ต้องการยอมรับจากนักวิชาการ แต่อยู่ที่ว่าญาติโยมยอมรับและปฏิบัติตามหรือเปล่า ? ถ้ายอมรับและปฏิบัติตามเป็นจำนวนหนึ่งและเหนียวแน่นพอ ก็จะเป็นสายการปฏิบัติขึ้นมาเอง แต่สายการปฏิบัติทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ท่านชำนาญอย่างไร ท่านก็เอาอย่างนั้นมาสอน เราก็ไปเถียงกันว่าของเธอสู้ฉันไม่ได้ ของฉันดีกว่าเธอ สายการปฏิบัติอะไรก็ตามถ้ามาในส่วนของศีล สมาธิ ปัญญา ช่วยให้รัก โลภ โกรธ หลงบรรเทาเบาบางลง หรือสามารถที่จะละรัก โลภ โกรธ หลงได้ ก็ถือว่าเป็นสายการปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งนั้น เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาแล้วทิฐิขึ้นหน้า ก็เลยไม่ค่อยจะยอมรับสายอื่นกัน" |
"หลักการปฏิบัติทั้งหมด ถ้าไม่มีอิทธิบาทซึ่งเป็นพื้นฐานของความสำเร็จ ก็ยากที่จะทำแล้วเกิดผล อิทธิบาท ๔ ต้องถือว่าเป็นหญ้าปากคอก อยู่ใกล้หูใกล้ตามากจนกระทั่งลืม
ฉันทะ ต้องมีความยินดี มีความพอใจเราถึงมาปฏิบัติ วิริยะ มีความพากเพียรบากบั่น การปฏิบัติจึงจะสำเร็จได้ จิตตะ คือกำลังใจจดจ่อจับมั่นอยู่ไม่แปรผันเป็นอื่น วิมังสาคือไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ทำไปถึงไหน ? เหลืออีกเท่าไร ? เป็นต้น นักเทศน์เขาแต่งเป็นกลอนเอาไว้ว่า “พอใจพอใจใฝ่ความรู้ เพียรอยู่เพียรอยู่ไม่ท้อถอย จดจ่อจดจ่อเฝ้ารอคอย ทวนบ่อยทวนบ่อยไม่หลงลืม” ก็คือฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสานั่นแหละ ส่วนใหญ่พวกเรามีฉันทะแบบไฟไหม้ฟาง คือมาวูบเดียว ถ้าไก่ไม่สุกก็อดกิน ในเมื่อมีฉันทะแค่ไฟไหม้ฟาง วิริยะคือความเพียรก็พลอยน้อย ความแน่วแน่ของกำลังใจไม่มี ใครว่าอะไรดีที่ไหนก็ไปกับเขาหมด แล้วก็ลืมเป้าหมายของตัวเองว่าจะทำอะไร จะโดนกิเลสหลอกลักษณะอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่โดนเท่าไรก็ไม่รู้จักเข็ดเหมือนกัน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้หวยออกแล้ว อาตมาก็ไม่รู้หรอกว่าหวยออก พอดีเปิดดูหนังสือพิมพ์ เป็นหนังสือพิมพ์ออนไลน์ เขาแจ้งว่าหวยออกแล้ว จะไปดูข่าวแผ่นดินไหวที่เนปาล กลายเป็นข่าวหวยออก แสดงว่าเรื่องของหวย บ้านเราให้ความสำคัญมาก
สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงบวชใหม่ ๆ หวยคู่ละ ๑ บาท ถ้าครึ่งหนึ่งก็ ๕๐ สตางค์ สมัยอาตมาเป็นเด็กยังมีขายเป็นเสี้ยวอีก รู้สึกว่าปกติคู่หนึ่งแบ่งครึ่งก็อย่างละใบ นี่เขาฉีกครึ่งได้อีก อุตส่าห์ขายกันได้ สมัยหลวงพ่อท่าน ที่เขาเรียกสลากกินแบ่งนั้นเพราะเขาแบ่งจริง ๆ ก็คือถ้าขายไม่หมดก็คิดเฉลี่ยตามจำนวนที่ขายได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ที่มีรางวัลตายตัวไปเลย สมัยนั้นรางวัลเขาเฉลี่ยจากยอดที่ขายได้ เวลาซื้อสลากแล้วต้องเขียนชื่อที่ต้นขั้วเอาไว้ด้วย ถ้าเราเอาสลากไปขึ้นเงินแล้วบอกชื่อที่ต้นขั้วไม่ถูก เขาจะไม่จ่ายให้ ชื่อส่วนใหญ่ก็จะเป็นนามแฝง ประเภทกุมารทองคะนองฤทธิ์อะไรแบบนั้น เพราะกลัวคนจะรู้ว่าถูกหวย มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านฝันว่าตกส้วม สมัยก่อนเป็นส้วมหลุม ท่านบอกว่าตกส้วมจมมิดหัวเลย ตะกายเกือบตายกว่าจะขึ้นมาได้ พอไปเล่าถวายหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานบอกว่า “ถ้าฝันว่าโดนเขาตัดหัว หรือฝันว่าตกส้วมมิดหัว จะถูกรางวัลที่หนึ่ง” หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็สงสัยว่าจะจริงหรือ ? แล้วท่านก็ไม่เล่นหวยเสียด้วย แต่ครูบาอาจารย์บอกอย่างนี้ก็ขอลองหน่อยเถอะ" |
"หลังจากบิณฑบาตฉันเช้าเสร็จสรรพเรียบร้อย ท่านก็ขอลาหลวงปู่ปานนั่งเรือเขียวเรือแดงจากอยุธยาเข้ากรุงเทพฯ มาซื้อหวย ก็คู่ละบาทนั่นแหละ ท่านบอกว่าท่านจะมีเงิน ๒๐๐ บาทอยู่ในย่ามเป็นประจำ เผื่อไว้ฉุกเฉิน ปุบปับจะไปไหนจะได้มีเงินใช้
อาตมามาลองคูณดูแล้วใจหายวาบ..! สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ หลวงพ่อพกเงิน ๒๐๐ บาท ก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ ถ้าเป็น ๒๐ ชามก็ ๕๐ สตางค์ พอเป็น ๔๐ ชามก็ ๑ บาท ถ้า ๑ บาทเท่ากับก๋วยเตี๋ยว ๔๐ ชาม ตีเสียว่าชามละ ๒๐ บาทก็พอ เท่ากับว่า ๑ บาทสมัยนั้นเท่ากับ ๘๐๐ บาท ในปัจจุบัน ๑๐ บาทก็เท่ากับ ๘,๐๐๐ ถ้าเป็น ๑๐๐ บาทก็เท่ากับ ๘๐,๐๐๐ แปลว่าหลวงพ่อพกเงินตั้ง ๑๖๐,๐๐๐ บาท..! ท่านบอกว่า ท่านเข้ามาซื้อหวยที่กองสลาก ได้แล้วก็เดินทางกลับ จนกระทั่งวันหวยออก ขุนบาลหรือเจ้ามือก็ประกาศตัวเลข หลวงพ่อท่านจำได้ว่าตัวเองซื้อหวย ก็เอามาตรวจดู ปรากฏว่าถูกจริง ๆ งวดนั้นเฉลี่ยแล้ว ให้ ๘,๐๐๐ บาท หลวงพ่อก็ส่งให้เด็กวัดไปเบิกเงิน พอเด็กวัดก็ไปเบิกเงินเอามาให้ หลวงพ่อก็ท่านบอกว่า “เอ็งจะเอาไปทำอะไรก็ไปเถอะ เงินระยำอย่างนี้ข้าไม่เอาหรอก ข้าแค่อยากพิสูจน์ว่าหลวงพ่อปานท่านบอกแล้วจะถูกหวยจริงหรือเปล่า ” อย่าลืมว่า ๑๐๐ บาทสมัยนั้น เท่ากับ ๘๐,๐๐๐ บาทสมัยนี้ สมัยนั้นหลวงพ่อท่านถูกตั้งหกล้านกว่า สมัยนี้รางวัลที่หนึ่งคู่ละเท่าไร ?" |
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมาไปตรวจตาหลังจากที่บาดเจ็บเพราะว่าโดนเครื่องตัดหญ้าดีดหินเข้าตา ทนจนกระทั่งเรียนจบ ก็ไปให้หมอตรวจเพื่อจะโดนผ่าตัด หมอตรวจเสร็จก็บอกว่า "เป็นต้อหินครับ อย่าไปผ่าให้เสียเวลาเลย อย่างไรก็บอด ท่านไม่ต้องเครียดนะครับ ให้ผมเครียดคนเดียวก็พอ"
อาตมาฟังแล้วขำ ๆ ปกติก็หลับตาเดินบ่อย ๆ อยากทดสอบดูว่ารู้จริงหรือเปล่า ? ถ้าตานอกใช้ไม่ได้ ก็ใช้ตาใน จึงไม่ได้เครียด แต่ปรากฏว่าโยมหวังดี ไปซื้อยาแก้มาให้ จะลองกินดู ถ้ากินจนกระทั่งร้อนจนทนไม่ไหวแล้วค่อยว่ากัน ยาเขาแพง หมอเขาบอกว่าจอประสาทตาเหลืออยู่หน่อยเดียว บางนิดเดียว แต่แปลกใจอยู่อย่างเดียวว่าทำไมความดันลูกตาไม่ขึ้น หมอจึงจับหยอดยาให้ไปตรวจซ้ำอีกรอบหนึ่ง อาตมาก็เลยต้องเดินโซซัดโซเซไปให้เขาตรวจอีกรอบหนึ่ง เพราะว่าเวลาหมอเขาหยอดยาขยายม่านตา จะมองอะไรไม่เห็นเลย หมอเขาบอกว่า "นิมนต์ครับทางห้องเบอร์ ๑" อาตมาก็นั่งเฉยอยู่ "นิมนต์ครับท่าน" ไปไม่ได้เว้ย..มองอะไรไม่รู้เรื่องเลย จะไปอย่างไร พอขยายม่านตาแล้วม่านตาจะรับแสงมากกว่าปกติหลายเท่า กลายเป็นว่าสว่างจนมองไปทางไหนก็เห็นเขียวไปหมด ดูไม่รู้เรื่อง ก็เลยสรุปว่าช่างมันเถอะ รักษาได้ก็รักษา รักษาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลาก็หลับตาคุยกับโยมเอา..!" |
ถาม : (คนคริสต์ถาม) มีผีตามผมมา ?
ตอบ : ภาวนานึกถึงภาพพระคลุมตัวเราเอาไว้ แล้วแผ่เมตตา ไปดูในมนต์พิธีก็ได้ ท่องบทกรณียเมตตาสูตรก่อนนอนเอาไว้ แล้วพวกนี้ก็จะไม่กวน ถาม : เขาจะอยู่อีกนานไหม ? ตอบ : ถ้าหากเป็นเวลาของเขา ต่ำ ๆ วันหนึ่งก็ ๕๐ ปีของเรา ถ้าเขาอยู่สัก ๒ วัน เราก็ตายไปนานแล้ว ...(หัวเราะ)... ไม่ต้องไปกังวลเรื่องนั้นหรอก ถึงเวลากลางคืนภาวนานึกถึงภาพพระคลุมตัวเราเอาไว้แล้วสวดกรณียเมตตาสูตร นึกถึงลมหายใจเข้าออก กรรมฐานเป็นเรื่องสากล ไม่ใช่เรื่องศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แบบเดียวกับที่เราร้องเพลงสวด ถ้าร้องแล้วสมาธิดี ๆ ก็เท่ากับภาวนา |
ถาม : ศรีลังกาไม่โดนแผ่นดินไหวใช่ไหมคะ ?
ตอบ : คนศรีลังกาเขามั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่า ตราบใดที่พระบรมธาตุเขี้ยวแก้วยังอยู่ เขาจะไม่ประสบอุบัติภัยอย่างนี้เด็ดขาด อาตมาส่งแม่ชีพิมพ์วราไปเรียนอยู่ที่นั่น แม่ชีเล่าว่า ตอนพายุเข้าคนศรีลังกานั่งสวดมนต์สบายใจเฉิบ ถาม : เขาว่าทางเชียงใหม่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ กลัวค่ะ ? ตอบ : ไม่ต้องกลัวจ้ะ ถ้าโดนก็โดนด้วยกันทั้งนั้นแหละ |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตะกรุดมหาสะท้อนเที่ยวนี้พระท่านให้อย่างอื่นด้วย ลองเอาไปใช้ ๆ ดูก็แล้วกัน เอาไปใช้เดี๋ยวก็รู้เองแหละ"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ต่อไปภายหน้าคนที่รู้เรื่องบายศรีสายวัดท่าซุงจริง ๆ จะเหลือน้อย เดี๋ยวนี้ชุดบายศรีมีส่วนเกินเยอะมาก อย่างพวกขนมจีนน้ำยา ทองหยิบฝอยทอง พวกเห็นเขาทำ ก็เลยทำด้วย ขนมจีนน้ำยาเอาไว้ในวัดท่าซุงอย่างเดียว สำหรับหลวงปู่ขนมจีนท่าน ส่วนทองหยิบฝอยทอง เอาไว้บวงสรวงเสด็จในกรมหลวงชุมพรฯ เขาเห็นใส่อะไรก็ใส่มั่วไปเรื่อย ถือว่าเกินดีกว่าขาด แต่อย่าขาดก็แล้วกัน เกินไปไม่เป็นไร"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนไปงานศพที่วัดเสมียนนารี อากาศร้อนเหมือนอยู่ในเตา ไอร้อนพัดพรึ่บ ๆ หลวงตาวัชรชัยบอก "ไม่ไหวแล้วเว้ย..!" ทำท่าจะตาย ส่วนอาตมากำลังพอดีเลย คนเป็นมาลาเรียกลัวหนาวไม่กลัวร้อน คนอื่นจะตายส่วนอาตมากำลังพอดี ๓๙ – ๔๐ องศา แต่ถ้าอยู่ห้องปรับอากาศเมื่อไรก็คันบรรลัยทุกที หลังแตกหมด ต้องทาครีมอยู่เรื่อย
หลังจากโดนเขายำครั้งนั้น ที่เอาผ้าชุบน้ำร้อนโปะแล้วถูจนอาตมาแสบไปทั้งตัว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดนอะไรไม่ได้เลย จะรู้สึกคัน ทั้ง ๆ ที่เขาก็รู้ว่าคนที่เข้าสมาธิจะมีอาการอย่างไร เขาก็พยายามจะปลุกให้ได้ ไปนึกถึงหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเข้าห้องปุ๊บก็ล็อกปั๊บ อาตมากราบเรียนหลวงพ่อว่า "อย่าล็อกสิครับ เป็นอะไรไปผมก็เข้าลำบาก" ท่านบอกว่า "ไม่ล็อกได้หรือ ? เปิดเข้ามาเขาคิดว่าข้าตาย ก็จะหามไปเผาแล้ว" หมอเคยขออนุญาตเอาเครื่องวัดคลื่นหัวใจ ติดให้หลวงพ่อวันหนึ่งคืนหนึ่งเพื่อเช็คสภาพหัวใจ ปรากฏว่าหมออ่านค่าแล้วมึนมากเลย หัวใจหยุดเต้น ๓๐๐ กว่าครั้ง ไม่ใช่หยุดเต้นหรอก พอเข้าสมาธิแล้วหัวใจไม่ทำงาน หมอก็สงสัยว่าทำไมหัวใจหยุดเต้นแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้ ? หัวใจหยุดเต้นคืนละ ๓๐๐ กว่าครั้ง" |
ถาม : ถ้าคนที่ทำอนันตริยกรรม บวชไม่ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน ไม่ใช่ปาราชิกนี่ อนันตริยกรรมคนละเรื่องกัน ถ้าฆ่าพระอรหันต์หรือทำร้ายพระพุทธเจ้าจึงห้ามบวช ที่เหลือรีบ ๆ ไปบวชใช้หนี้ได้ยิ่งดี ถาม : ก็คือไม่เจตนาก็เป็น ? ตอบ : เป็น..แบบเดียวกับนายพราน พระอรหันต์ท่านเดินมา ก็คิดว่าถ้าหากว่านายพรานเห็นเราจะถือว่าโชคร้าย..ล่าสัตว์ไม่ได้ คิดไม่ดีจะเป็นโทษแก่เขา ท่านก็เลยไปซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ พรานผ่านไปก็คิดว่าเป็นเก้งเป็นกวาง เพราะจีวรสีคล้าย ๆ เอาหอกพุ่งไปพระอรหันต์ตายคาที่เลย ไม่ได้เจตนาแต่เป็นอนันตริยกรรม ของบางอย่างถึงไม่ได้เจตนาแต่ก็เป็นกรรม |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วโยมมักจะลืม ลืมว่าพระฉันเพล กำลังฉันอยู่ก็มักจะโทรศัพท์มา ถ้าหากว่าเป็นโยม อาตมายังพอให้อภัย รับเสร็จแล้วก็จะบอกว่า "คราวหน้าอย่าโทรเวลานี้ เพราะพระกำลังฉันอยู่" แล้วก็จะมีเสียงตกอกตกใจ แต่ถ้าเป็นพระอาตมาจะด่าเลย "ถ้ามึงไม่แดกก็อย่าโทรมาเวลานี้ กูกำลังฉันอยู่..!"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ทวด จนป่านนี้บารมีท่านยังตามรักษาอยู่ เอาไว้อาตมาสร้างลูกแก้วดีกว่า สร้างรูปท่านก็ไปแข่งกับชาวบ้านเสียเปล่า ๆ อยากได้ประเภทเนื้อแก้วที่ใสจริง ๆ เลย ถึงลงทุนแพงหน่อยก็เอา"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนนี้งานของวัดท่าขนุนโดยเฉพาะศาลาใหญ่ เสร็จไปเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ หมดไป ๕๖ ล้านบาทเศษแล้ว เหลือรายจ่ายหนัก ๆ อยู่อีกแค่ ๒ อย่าง คือการปูพื้นชั้นสองและติดม่านทั้งหลัง
อีกอย่างหนึ่งก็คือเครื่องเสียง คราวที่แล้วเขาบอกว่าล้านกว่า..ใช่ไหม ? ขอลองติดม่านก่อน ดูว่าช่วยได้หรือเปล่า ? ถ้าช่วยไม่ได้ก็ต้องยอมจ่ายล้านกว่า แต่ทำทีเดียวแล้วใช้งานได้ตลอดไป โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมของวัดท่าขนุน ต่อไปจะมีพื้นที่ทั้งชั้น ๑ ชั้น ๒ ของศาลาไว้ปฏิบัติ คราวนี้จะมีการแยกแล้ว มือใหม่แยกส่วน ใครเป็นมือเก่าแล้วจะแยกไปปฏิบัติรวมกับคนเก่า คราวนี้คนเก่าจะโดนหนักกว่า จากเดินจงกรมครึ่งชั่วโมงกลายเป็น ๑ ชั่วโมง จากนั่งภาวนาครึ่งชั่วโมงกลายเป็น ๑ ชั่วโมง เชื่อเถอะ...จะมีคนยอมเป็นคนใหม่เยอะเลย..! พวกเราโดยส่วนใหญ่แล้วสติไม่ค่อยจะทัน ในเมื่อสติไม่ค่อยจะทัน พอสมาธิแซงหน้าก็จะหลับ สมาธิอย่างเดียวถ้าไม่มีสติก็จะเหมือนกับหลับไปเฉย ๆ เมื่อสติของเราไม่ทันต้องหาวิธีแก้ไข วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือตามลมหายใจเข้าออกให้ติดไว้ ลมหายใจคืออานาปานสติ อานาปานะ คือ ลมหายใจเข้าและออก" |
พระอาจารย์เล่าว่า "ช่วงประมาณสองเดือนที่แล้ว คนทองผาภูมิตายติด ๆ กัน ๕ ศพ มาเดือนนี้อีก ๑ ศพ ต้องบอกว่าคนทองผาภูมิอายุยืน ๕ ศพที่แล้วเด็กที่สุดอายุ ๘๒ ปี..! ศพนี้ ๘๙ ปีตามที่แจ้งทางราชการ อายุจริงมากกว่านั้นเยอะ เพราะสมัยก่อนมักจะแจ้งเกิดช้า
คนนี้แกใส่บาตรทุกวัน ปุบปับก็ไป โยมทองสุขที่เป็นภรรยา อายุ ๘๔ ขึ้น ๘๕ ปีแล้ว รับหน้าที่ใส่บาตรต่อ วันนี้เลยให้คุณมงคลขนหนังสือคู่มือภาวนาพระคาถาเงินล้านไปให้เขาแจกเป็นของชำร่วยงานศพ งานพ่อชีกุ๋ยก็เอาไป หนังสือเล่มนี้กระจายไปทั่วประเทศแล้ว" |
พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยอาตมาเด็ก ๆ เรียนชั้น ป.๑ มีครูจบชั้น ป.๔ อยู่ ๒ ท่าน จบ ป.๔ มาเป็นครู สั่งสมประสบการณ์แล้วไปเรียน ป.กศ. ป.กศ.สูง หรือ พ.ม. ตอนนั้นมีครูชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก ไม่ได้แบ่งระดับด้วย ซี. อย่างตอนนี้
อย่างบ้านนอกของอาตมา ทั้งปีทั้งชาติอย่าไปหวังว่าจะมีครูจบปริญญาตรีประเภท ค.บ.(ครุศาสตรบัณฑิต) ไม่มีหรอก พอมาระยะหลังปริญญาตรีเริ่มจบมากขึ้น แล้วมี ปวช. ปวส. ปวท. มาคั่นกลาง ระยะหลังความต้องการความรู้มากขึ้น ก็เรียนปริญญาโทหรือ MBA นิยมกันอยู่พักหนึ่ง รู้สึกว่าทุกหน่วยงานต้องบังคับคนที่จบปริญญาตรีแล้วมีกำลังความสามารถ มีสมองเพียงพอ ไปเรียน MBA เรียนไปเรียนมากลายเป็นปริญญาโทชักเฟ้อ ก็เริ่มมาเรียนปริญญาเอกกัน หลังจากรุ่นอาตมาไปไม่นานปริญญาเอกก็คงจะเฟ้อ แต่ไม่รู้ว่าจะไปเรียนอะไรแล้ว ก็แปลกนะ ความรู้ของคนสูงขึ้น ๆ แต่วุฒิภาวะและความสามารถลดลง ๆ อาตมาสังเกตว่าคนจบปริญญาตรีครุศาสตรบัณฑิตปัจจุบันนี้ สู้ครูจบชั้น ป.๔ ของอาตมาไม่ได้ คุณครูท่านพร้อมทั้งจิตวิทยา พร้อมทั้งความรู้ความสามารถ จบชั้น ป.๔ สมัยก่อน วิชาการแข็งโป๊ก อาตมาจบแค่ชั้น มศ.๓ เรียนยันปริญญาเอก ภาษาอังกฤษไม่แพ้ใครเลย สมัยก่อนเรียนเยอะมาก เริ่มเข้าชั้น ป.๕ ต้องเรียน Grammar เกี่ยวกับไวยากรณ์ เรียน Standard คือหลักสูตรทั่วไปที่เป็นมาตรฐานโลก เรียน Oxford เป็นหลักสูตรของมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด เรียน Living การใช้ภาษาในชีวิตประจำวันทั่วไป เด็กสมัยนี้ได้เรียนสักเล่มหรือเปล่า ? แล้วมีการบังคับออกเสียง ออกเท่าไรก็ไม่ได้ เพราะลิ้นไม่ให้ เด็กรุ่นหลัง ๆ บอกว่าหลวงพ่อพูดสำเนียงประหลาด ๆ เพราะรุ่นอาตมาเขาบังคับออกเสียง ชั้น ป.๕ เรียนภาษาอังกฤษ ๔ เล่ม แม้แต่ฝรั่งเขายังบอกว่าประเทศไทยเรียนภาษาอังกฤษยากมาก ยากจนฝรั่งมาเรียนเองยังตก แต่ที่เราไม่เก่งภาษาอังกฤษ เพราะไม่มีโอกาสได้ใช้ ส่วนใหญ่แล้วไปกลัวฝรั่ง ต่อไปไม่ต้องกลัวนะ ถ้าเขาตัวใหญ่กว่าเราก็ใช้มวยไทย ถ้าเขาตัวเล็กกว่าก็ตบกะโหลกไปเลย..!" |
ถาม : หินนี้มีอานุภาพด้านไหนครับ ?
ตอบ : ขว้างหัวคนแขวนได้..! เทอร์คอยส์ ถ้าหากว่าทางด้านทิเบตเขาถือเป็นอัญมณีแห่งชีวิต สร้างความเจริญร่มเย็น เก็บไว้เถอะ อาตมาเองยังเอาไปคั่นคอมีดหมอเพชราวุธเลย ถือว่าเป็นวัตถุอาถรรพ์อย่างหนึ่ง |
พระอาจารย์เล่าว่า "ปีนี้พระที่วัดขอมาเรียนบาลีเพิ่มอีก ๓ รูป เลยบอกให้ท่านทราบว่าบาลียากมาก ถ้ามีความเพียรเรียนจบประโยค ๙ ได้ ก็สามารถจบ ดร.ได้ ๓ ใบเลย แต่ถ้าเราเรียนบาลีจบประโยค ๙ แบบไม่ตกเลย ต้องใช้เวลาถึง ๘ ปี เขาให้เทียบเท่าปริญญาตรีเท่านั้น ซึ่งเป็นปริญญาตรีเฉพาะสาขา
พอเอาสิทธิ์ของประโยค ๙ มาเรียนปริญญาโท ก็จะสาหัสสากรรจ์มาก เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีพื้นฐานของวิชาทั่วไปเลย ตอนที่เรียนปริญญาโท อาตมาช่วยทำการบ้านทุกอย่างให้เพื่อนที่จบประโยค ๙ เพราะว่าท่านไม่รู้เรื่องวิชาพื้นฐาน พวกอังกฤษ คณิตศาสตร์ สังคม เรียนมาแต่บาลี ต้องช่วยกันผลักช่วยกันดันจนจบ ในเรื่องของบาลี ถ้าไม่ใช่ว่ารู้เรื่องเดียวจริง ๆ น่าจะเทียบให้มากกว่าปริญญาตรี เพราะเรียนแบบไม่ตกเลยยังต้องใช้เวลาถึง ๘ ปี" |
พระอาจารย์เล่าว่า "มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานที่ดินจังหวัด เขาแนะนำว่าให้ไปยื่นหนังสือขอเปลี่ยน นส. ๓ ก. ของวัดท่าขนุนให้เป็นโฉนดแทน อาตมาก็ไปยื่น ปรากฏว่ายื่นเสร็จ หัวหน้าที่ดินจังหวัดบอกว่า "อาจารย์ครับ ถอนเรื่องเถอะครับ" ถามว่าทำไม ? "วัดอาจารย์มีภูเขาอยู่ พื้นที่ลาดชันเกิน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ห้ามออกโฉนด ขืนยื่นเรื่องไป ดีไม่ดีอาจโดนยึด นส. ๓ ก. ไปด้วย..!"
แล้วคุณทะลึ่งเสือกแนะนำทำไม ? "อ้าว...ไม่รู้นี่ครับว่าที่ของอาจารย์มีภูเขาอยู่ด้วย" ถามว่า "นส. ๓ ก. มีปัญหาไหม ?" "ไม่มีครับ เป็นสิทธิของเราเหมือนกัน" แต่สมัยนี้ใคร ๆ เขานิยมออกโฉนด อยู่ดี ๆ ดันมาแนะนำให้พระโดนยึดที่เสียแล้ว ...(หัวเราะ)..." |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อสงกรานต์ที่ผ่านมา อาตมาสรงน้ำอัฐิหลวงปู่พุก โดยใช้วิธีเทน้ำอบลงไปทั้งขวดเลย เพราะอาตมาซื้อโกศบรรจุอัฐิหลวงปู่พุกมาใหญ่มาก ราคา ๑๘,๙๐๐ บาท เป็นโกฏิทองเหลืองปิดทองลงยา ตอนแรกว่าจะเอาโกศกลีบมะเฟือง แต่ทางร้านไม่มี ทางร้านบอกว่าส่วนใหญ่ของมาจากกรมช่างสิบหมู่ เขาทำแล้วมาฝากขาย แต่ระยะนี้หมด เลยต้องเอาโกศทองเหลืองปิดทองลงยาแทน
กำลังวางแผนว่า ช่วงสงกรานต์น่าจะมีการสรงน้ำพระบรมธาตุเขี้ยวแก้ว แต่จะทำอย่างไรให้ออกมาดูดี ก็คือให้ญาติโยมสรงน้ำกันโดยที่ข้าวของของเราไม่พัง อาจต้องต่อท่อ โดยกั้นบริเวณ ต่อท่อแล้วให้โยมเทน้ำเข้าไป แต่ก็ยังมีอีกว่าแล้วเราต้องใส่กรงเหล็กไหม ? ถ้าไม่ใส่กรงเหล็กเดี๋ยว "ไอ้เต้ย" คว้าพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วไป แต่ถ้าใส่กรงเหล็กก็ออกมาดูไม่ดี แต่ถ้าไม่ใส่ หายไปก็แย่อีก วันก่อนที่อยู่เชียงใหม่ จ่าบีเขาแนะนำช่างคนหนึ่ง ว่าทำชุดสรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุสวยมาก ก็เลยว่าถ้ามีโอกาสจะสั่งเขาทำหน่อย แต่ว่าชุดนั้นเขาทำด้วยเงิน อาตมาอยากทำเป็นทอง" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "โดยธรรมชาติคนเราชอบความสงบ ถึงเวลาเข้าไปอยู่กับธรรมชาติ รู้สึกสงบสดชื่นเบิกบาน แต่แปลก..แปลกตรงที่ว่า พอถึงเวลาอยู่กับความสงบจริง ๆ แล้ว ถ้าไม่ใช่ท่านที่กำลังใจทรงตัวก็มักจะฟุ้งซ่าน เที่ยวคิดไปหา รัก โลภ โกรธ หลง เพราะเป็นวิสัยของกิเลส
ไม่ใช่แต่ฆราวาส พระหลายรูปบอกว่าชอบอยู่ที่สงบ ๆ พอส่งไปให้อยู่ที่สงบจริง ๆ ก็เผ่นกลับมา บอกว่าอยู่ไม่ได้ เงียบเกินไป ขนาดพระที่ควรจะเป็นผู้สงบกาย สงบวาจา สงบใจ บาลีเขาว่า สนฺตมโน สนฺตวาโจ สนฺตกาโย กลายเป็นว่าถึงเวลาก็ทนไม่ได้ เพราะกิเลสจะตาย หาอาหารไม่ได้ พอสงบเข้าจริง ๆ ไม่มีรัก โลภ โกรธ หลงให้กิเลสจะดิ้นตาย ก็ผลักดันจนกระทั่งต้องหนีออกมา ไม่สามารถอยู่ในที่สงบอย่างที่ตัวเองต้องการ แล้วก็แปลกตรงที่ว่าท่านก็ไม่คิดจะสู้กับกิเลส แทนที่จะดวลกันไปเลย ตายเป็นตาย ไม่ออกไป ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น" |
:4672615:เก็บตกเดือนพฤษภาคมปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ:4672615: ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:20 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.