กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5466)

เถรี 15-03-2017 20:17

"เราลองไปนึกดูหุบกะพงสมัยก่อนสิ จะไปทำอะไรกินได้ ? พระองค์ท่านทำโครงการพระราชดำริหุบกะพง แคนตาลูป เมล่อน อะไรต่าง ๆ ที่สมัยนี้ฮิตนักฮิตหนา รู้ไหมว่าเกิดขึ้นครั้งแรกที่หุบกะพง จากพื้นดินที่ซึ่งไม่น่าจะทำกินได้

โครงการหุบกะพง โครงการห้วยทราย โครงการพิกุลทอง ล้วนแต่เป็นแผ่นดินที่ไม่มีสภาพให้ทำกินได้เลย แต่พระองค์ท่านก็สามารถที่จะปรับปรุงจนกระทั่งทำกินได้ ไม่มีกษัตริย์ที่ไหนในโลกที่ในพระราชวังมีนา มีบ่อเลี้ยงปลา มีโรงเลี้ยงวัว ทั้งหมดนี้ทำเพื่อใคร ? เพาะพันธุ์พืชและสัตว์ที่ดีที่สุดให้ชาวบ้านรับไปเอาไปเพิ่มผลของตนเอง เพื่อที่จะได้อยู่ดีกินดี

เราจะเห็นว่าพระองค์ท่านประกอบไปด้วยบารมี ๑๐ อย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะวิริยบารมี ความพากเพียรที่จะทำให้ชาวบ้านดีอยู่ดีกินดี มีประเทศไหนในโลกที่สามารถปราบฝิ่นได้ราบคาบโดยไม่ต้องใช้กำลังทหารตำรวจ ก็มีแต่ประเทศไทยที่ทำได้ โครงการพระราชดำริเปลี่ยนจากฝิ่นมาเป็นพืชเมืองหนาว โครงการต่าง ๆ ไปดูสิ ไม่ว่าจะเป็นดอยอ่างขาง ห้วยฮ่องไคร้ ดอยมูเซอ ทำให้เราเห็นว่าพืชผักทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วเป็นที่ต้องการมาก แต่ว่าต้องทำกันจริง ๆ ทุ่มเทกันจริง ๆ"

เถรี 15-03-2017 20:19

"เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ได้ดูในระยะยาว ๆ ก็จะไม่เห็นผล คราวนี้เราดูในระยะยาวที่เห็นผลแล้ว สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดที่สุด ก็คือ กำลังใจที่ทุ่มเททำเพื่อคนอื่นโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย พวกเราทำเพื่อตัวเองเราไปบ่นว่าเหนื่อย พระองค์ท่านทำเพื่อประชาชนหลายล้านคน ไม่เคยบ่นให้ได้ยินสักคำ

ท่านอาจารย์พลตรีเฉลิมชัย เสียงใหญ่ เล่าให้ฟังว่า ตอนท่านเป็นร้อยโท อนุศาสนาจารย์กองทัพบก ได้มีโอกาสใกล้ชิดพลเอกอิสระพงศ์ หนุนภักดี ที่เพิ่งจะเสียชีวิตไป ท่านบอกว่าตอนนั้นเพิ่งปฏิวัติใหม่ ๆ ประเทศชาติยังลำบาก แล้วพลเอกอิสระพงศ์ท่านก็ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารบก ต้องออกตรวจเยี่ยมทหารแนวหน้า ก็แปลว่าตรากตรำกันเป็นวันเป็นคืน เพราะว่าชายแดนยาวเหยียด แต่ละฐานแต่ละแห่งอยู่ที่ไหนต้องพยายามเข้าไปให้กำลังใจ

วันหนึ่งกลับมาถึงที่พัก ท่านบ่นว่า “เฉลิมชัย...พี่เหนื่อยฉิบหา...เลย” แล้วก็หลับไปเลย ข้าวปลาไม่ได้กิน ลองดูว่านั่นทำแค่กองทัพ แต่ในหลวงท่านทำให้ทั้งประเทศ"

เถรี 16-03-2017 19:01

พระอาจารย์กล่าวว่า "ประเทศไทยเป็นประเทศพระพุทธศาสนา วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์เป็นงานวันมาฆบูชา วัดท่าขนุนที่ว่าคนเข้าวัดเยอะ ๆ ยังแค่ ๑,๐๐๐ กว่าคน แต่พอวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพระพุทธศาสนาเลย แห่กันไปบ้าตามฝรั่งเขาได้ทั้งประเทศ"

เถรี 16-03-2017 19:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "ทำไมบ้านเราแก้นิสัยกินหวานไม่ได้ ทุกวันนี้อาตมาเซ็งมากเลย เพราะกับข้าวอะไรก็หวานไปหมด วันก่อนไปเจอร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา ที่อร่อยเพราะไม่หวาน และลวกเส้นได้นุ่มมาก เขาไม่ได้ใส่ตะกร้อลงไปเขย่าแค่ ๓ - ๔ ทีเหมือนร้านอื่น แต่เขามีหม้อเล็กต้มเส้นไว้ต่างหาก ต้มเลยนะ ต้มเดือดคลั่ก ๆ แล้วก็เททั้งน้ำทั้งเนื้อรวมลงในชามให้เรา แบบนั้นถ้าลูกค้าเข้าร้านสัก ๒๐ คน หลัง ๆ ก็เป็นลมตายพอดี

พยายามหักห้ามตัวเองหน่อย เคยกินน้ำหวาน เช้าแก้ว กลางวันแก้ว เย็นแก้ว ก็พยายามลดลงหน่อย เช้ากับกลางวันกินไปทำไมวะ ? เพราะกินอาหารอยู่แล้ว แล้วตอนเย็นก็กินอาหารไปแล้วเหมือนกัน เขาให้ ลด ละ เลิก ไปตามลำดับ จะได้ไม่ทรมานตัวเอง
จนเกินไป

ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ถ้ากำลังใจของเราสามารถห้ามตัวเองไม่ให้กินได้ ก็รักษาศีลได้ทุกข้อ ต่อให้ศีล ๓๑๑ ข้อของภิกษุณีก็รักษาได้ เพราะว่ากำลังใจในการห้ามตัวเองไม่ให้กิน กับหักห้ามตัวเองไม่ให้ละเมิดศีลนั้นใช้กำลังใจเท่ากัน ห้ามปากตัวเองได้ ก็รักษาศีลได้ทุกข้อ ดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวกันเลยนะ"

เถรี 16-03-2017 19:05

"ใครรู้ตัวว่าน้ำหนักเกิน โปรดอย่ากินยาลดความอ้วนเป็นอันขาด ท่านกำลังหามะเร็งใส่ตัว..! เพราะว่ายาลดความอ้วนไม่ได้ลดความอ้วนจริง ๆ แต่ดึงไขมันไปไว้ที่ตับ กลายเป็นโรคไขมันพอกตับ กลายเป็นตับแข็ง แล้วก็กลายเป็นมะเร็งตับ

ไม่มีวิธีไหนที่ดีไปกว่าการออกกำลังและกินแต่พอสมควร มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง แบบเดียวกับที่พระสายวัดป่าท่านบอกว่า "พอรู้สึกอิ่มก็ให้หยุด" พวกเรานี่รู้สึกจุกยังไม่ค่อยอยากจะหยุด..!

สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมาเราไม่ได้เอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะมัชฌิมาปฏิปทา หลักการสำคัญที่พระพุทธเจ้าค้นพบคืออริยสัจ ๔ กับมัชฌิมาปฏิปทา เคล็ดลับในพระไตรปิฎกที่พระองค์ท่านมอบให้ไว้ ๒,๖๐๐ กว่าปีแล้ว ยังไม่ได้ใช้งานสมกับที่พระองค์ท่านให้เลย

อะไรที่พอเหมาะพอดีทุกอย่างจะมีคุณแก่เรา อะไรที่ขาดหรือเกินก็มักจะเกิดโทษ ขาดยังพอทน เกินทีไรได้ลำบากทุกที โรคภัยไข้เจ็บส่วนใหญ่มาพร้อมกับความอ้วน เขาเถียงว่าทำให้หุ่นน่าเชื่อถือ บ่นให้โยมฟังเรื่องอ้วนอยู่ทุกวัน รำคาญกันบ้างไหม ?"

เถรี 17-03-2017 15:23

พระอาจารย์กล่าวว่า "ระยะหลังการบวช พระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่ค่อยเคร่งครัด บรรดาลูกศิษย์ลูกหาบวชไปแล้วก็ไม่ค่อยได้อะไร พระอุปัชฌาย์อาจารย์ที่เคร่งครัดมาก เขาก็ไม่อยากจะบวชด้วย สรุปก็คือไม่ได้สักเรื่อง เอาแต่ที่สบายจนไม่รู้ว่าทำผิดทำพลาดแล้วมีโทษอะไรบ้าง ไปเห็นอีกทีตอนตายก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว"

เถรี 17-03-2017 15:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอเตือนญาติโยมอีกครั้ง เรื่องของวัดพระธรรมกายกับรัฐบาล อย่าเชียร์ใครข้างใดข้างหนึ่ง เพราะว่าจะทำให้กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเราเกิดกรรมขึ้นกับตนเอง เป็นทุกข์เป็นโทษกับตัวเราเอง กลายเป็นว่าแส่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเอง

ถ้าอยากดูตัวอย่างให้ไปอ่าน "อัศจรรย์โลกใบนี้" มีอยู่ในเว็บวัดท่าขนุน ที่อาจารย์ไพศาลไปเจอเปรตตนหนึ่ง ถามว่าทำไมเกิดเป็นเปรต ? เปรตบอกว่าไปด่านักบวชที่ต้องอาบัติปาราชิก คือขาดจากความเป็นพระไปแล้ว

จริง ๆ แล้วเป็นความผิดของเขา เขาทำเขาย่อมได้รับโทษเอง แต่เราดันไปยุ่งกับกรรมของเขา ก็เลยเกิดโทษแก่เราไปด้วย"

เถรี 17-03-2017 15:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อประมาณ ๒ อาทิตย์ที่ผ่านมา มีสถานีโทรทัศน์ไปขอถ่ายทำที่วัดท่าขนุน เริ่มตั้งแต่ประมาณสิบเอ็ดโมงครึ่ง ถึงบ่ายสองโมง เป็นอะไรที่เครียดมาก เพราะเขาตั้งกล้องจ่อหน้าไว้ แล้วให้อาตมาพูดไปเรื่อย ๆ คือคนถ่ายไม่มีศิลปะในการถ่ายทำ ไม่มีการหยุดพักเลย

เขาบอกว่าจะไปตัดต่อเหลือประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งก็ยังดี ถ่ายทำประมาณ ๒ ชั่วโมงครึ่ง ตัดต่อเหลือครึ่งชั่วโมง อาตมาเจอช่อง ๗ สี ถ่ายเช้ายันค่ำ ตัดเหลือ ๒ นาที แต่ก็ยังดีตรงที่ว่า ในสมัยที่ยังไม่มีทีวีอื่น ๆ ช่อง ๗ สีนี่ แต่ละนาทีค่าโฆษณาเขาเป็นแสน อาตมาไม่มีปัญญาจ้างอยู่แล้ว เขาให้สองนาทีก็ถือว่ามาก แต่สงสัยว่าเอาแค่ ๒ นาที แล้วทำไมไปถ่ายอยู่เป็นวัน ?

คนถ่ายเขาสบาย เขานั่งอยู่หลังกล้อง อยากรู้เรื่องอะไรก็เขียนใส่กระดาษแล้วก็ยกให้ดู ให้อาตมาพูดไปเรื่อยตามนั้น ลืมไปว่าคนพูดอยู่อย่างเดียว ๒ ชั่วโมงครึ่ง น้ำท่าก็ดื่มไม่ได้ เพราะกล้องจ่อหน้าอยู่ตลอดเวลา ความจริงถ้าเขาตั้งหัวข้อมา ถ่ายทำไปสัก ๑๕ นาที แล้วมีการเว้นวรรคเพื่อขึ้นหัวข้อใหม่จะดีกว่านั้น อย่างน้อยก็พักด้วยกันได้ทั้งสองฝ่าย

จะว่าไปแล้วเป็นความผิดของเขาเอง ไม่ใช่ความผิดของอาตมา นัดกันไว้บ่าย ๒ โมง เขามาถึง ๙ โมงเช้า อาตมายังสอนหนังสืออยู่ในเมืองก็ต้องวิ่งกลับไปให้เขาสัมภาษณ์ ต้องบอกว่าเลขานุการเจ้าอาวาสไม่เก่ง ถ้าเป็นอาตมานี่ยืนยันเลยว่าต้องบ่ายสองเท่านั้น อยากมาก่อนก็นั่งรอไปจนกว่าจะได้ นี่กลายเป็นว่าเลขาฯ แทนที่จะช่วยเจ้าอาวาส กลายเป็นมาเร่งเจ้าอาวาสให้รีบกลับวัด"

เถรี 20-03-2017 18:49

พระอาจารย์กล่าวว่า "เราจะเห็นว่าเด็ก ๆ รัก โลภ โกรธ หลง ก็มีเท่า ๆ กับเราที่เป็นผู้ใหญ่ เพียงแต่ว่าผู้ใหญ่อย่างพวกเราการนึกคิดปรุงแต่งมาก ก็เลยเหมือนกับ รัก โลภ โกรธ หลง มีมากกว่าเด็ก แต่ความจริงแล้วก็กิเลสใหญ่ ๔ ตัวเหมือน ๆ กัน แล้วพวกนี้ร้ายกาจมาก ติดตามข้ามภพข้ามชาติ ไม่ยอมทิ้ง รักเรามาก

ต้องพยายาม ลด ละ เลิก ไปทีละเล็กทีละน้อย ตัดความโลภด้วยการให้ทาน ตัดความโกรธด้วยการรักษาศีล เจริญเมตตา ตัดราคะด้วยกายคตานุสสติและอสุภกรรมฐาน ตัดความหลงด้วยอานาปานสติกับปัญญา ยากไหม ? ไม่ยากนะ ใช้ให้ถูกจังหวะก็แล้วกัน"

เถรี 20-03-2017 18:55

มีโยมใส่น้ำหอมฟุ้งมา "มีใครคิดน้ำหอมกลิ่นขนมได้บ้างไหม ? อาตมาแพ้พวกกลิ่นหอม ยกเว้นกลิ่นของกิน ลองดูว่าใครจะคิดน้ำหอมกลิ่นขนมเค้ก น้ำหอมกลิ่นไก่ย่าง ได้บ้าง ถ้าใช้แล้วหมาเดินตามก็แสดงว่าไม่ผิดยี่ห้อ

โดยเฉพาะที่วัด เวลาซื้อพวกเครื่องในไก่ปิ้งไปเลี้ยงหมา อุตส่าห์ซ่อนอย่างดี แต่หมาดันรู้ทุกที เพราะว่าตอนซื้อกลิ่นติดจีวร จมูกคนเราไม่ได้กลิ่นหรอก แต่หมาได้กลิ่น เดินตามเป็นฝูงไม่ยอมไปไหน

วันก่อนกลับจากงานมาถึง ๔ โมงเย็น จะไปซื้อตลาดก็วายไปแล้ว ปรากฏว่ามีตลาดนัดพอดี แวะเข้าไปซื้อ สั่งไก่ปิ้ง ๓๐ ไม้ คนขายถามว่า "เอาข้าวเหนียวเท่าไร ?" ๔ โมงเย็นแล้วนะ เลยบอกว่า "หมาที่วัดไม่กินข้าวเหนียว" อุตส่าห์ไม่ยอมเฉลย กลัวเขาจะว่าซื้อของแพงไปเลี้ยงหมา ดันถามว่าเอาข้าวเหนียวเท่าไร

บางอย่างคนกิน เราซื้อไปเลี้ยงหมาเขาจะรู้สึกแปลก ๆ สมัยอยู่ที่เกาะพระฤๅษี เข้าตลาดไปซื้อกับข้าวอาทิตย์ละครั้ง ปรากฏว่าซื้อไปซื้อมาก็มีลืมบ้าง ทิดตู่ตอนนั้นยังเป็นสามเณรอยู่ บอกว่า "หลวงพี่ ๆ อย่าลืมขนมหมา" หันไปอุดปากแทบไม่ทัน แหกปากออกมาได้ ชาวบ้านเขากินกัน เสือกไปเรียกว่าขนมหมา"

เถรี 20-03-2017 20:41

พระอาจารย์ดุลูกศิษย์เรื่องการเปิดปิดเครื่องปรับอากาศ จากนั้นท่านก็กล่าวว่า "สมัยที่อาตมายังอยู่กับหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นที่น่าเสียดายว่าพี่ ๆ น้อง ๆ ส่วนหนึ่งยังขาดจิตสำนึก พอถึงวันพระหลวงพ่อท่านลงโบสถ์ ถ้ามีเรื่องอะไรไม่ดีไม่งาม ท่านก็จะว่ากล่าวกันตอนนั้น แทนที่ทุกคนจะรับฟังแล้วนำไปแก้ไข กลับกลายเป็นว่าพอออกจากโบสถ์มาแล้ว ส่วนหนึ่งไปเที่ยวถามว่า "วันนี้ใครโดนวะ ?" ถ้าลักษณะอย่างนั้น ชาตินี้ทั้งชาติจะไม่มีโอกาสพัฒนาตัวเองเลย แทนที่จะคิดว่าคนที่โดนคือเรา ต่อไปเราจะไม่ทำแบบนั้นอีก กลับไปเที่ยวหาว่าวันนี้ใครโดนกันแน่

มาจนถึงสมัยนี้แล้วก็ยังมาในแนวเดียวกัน จำได้ว่าเรื่องเปิดเครื่องปรับอากาศนี่ อาตมาด่าไป ๒ รอบแล้ว แต่ก็ยังคงทำผิดอยู่เหมือนเดิม
มีครูบาอาจารย์คอยบอกกล่าว คอยด่าว่า คอยจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ ถือว่าเป็นเรื่องโชคดี ถ้าวันไหนสิ้นครูบาอาจารย์ไปแล้ว ใครจะมาคอยบอกคอยกล่าว ต้องรีบศึกษาและพัฒนาตัวเองให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่เป็นภาระกับท่านให้มากที่สุด

หลวงพ่อท่านมรณภาพ อาตมาเพิ่งจะ ๗ พรรษาเต็ม แต่ปรากฏว่าต้องเป็นหลักของวัด จนกระทั่งพระผู้ใหญ่ที่ไปงานศพ ส่วนใหญ่จะถามว่า "ท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปต่อไปหรือ ? ท่านเป็นรักษาการณ์เจ้าอาวาสหรือ ?" ได้แต่กราบเรียนท่านว่า "ผมยังเป็นพระใหม่อยู่ครับ"

เพียงแต่ว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่กับหลวงพ่อ อาตมาไขว่คว้าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางโลกหรือทางธรรม เพราะไม่เคยประมาท
ไม่เคยคิดว่าหลวงพ่อท่านจะอยู่เกินวันนี้ สภาพสังขารของท่านย่ำแย่ แสดงอาการปรากฏให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือตายแล้วตายอีก แต่ปรากฏว่าคนส่วนหนึ่งก็ยังคงสบายใจ ถึงเวลาเกิดเหตุใหญ่ขึ้นมา จึงไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะรับเหตุการณ์ได้"

เถรี 20-03-2017 20:43

"หลักวิชาทหารเขาสอนว่า ทหารทุกคนต้องทำหน้าที่ได้สูงกว่าตำแหน่งตัวเองอย่างน้อย ๒ ตำแหน่ง ถึงเวลาออกรบ ถ้าผู้บังคับบัญชาตายไป ต้องทดแทนได้ทันที ไม่ใช่แค่ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดแล้วจบกันแค่นั้น

คำพิจารณาของพระวัดท่าขนุนก็สวดกันทุกบ่อย กาย วาจา ใจ อื่นที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่อีก เราต้องทำกาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้ มัวแต่นิ่งนอนใจไม่พัฒนาตนเอง ปุบปับตายลงไปก็ขาดทุนไปชาติหนึ่ง เกิดใหม่ก็ไม่รู้ว่าจะได้เป็นคนหรือเปล่า ?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานันทะ...ดูก่อน...อานนท์ เราจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเธอ
โดยทะนุถนอม เหมือนช่างหม้อที่ปฏิบัติต่อหม้อดินที่ยังเปียกยังดิบอยู่ แต่เราจะกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ชี้โทษแล้วชี้โทษอีก บุคคลที่มีธรรมเป็นแก่นสารจึงจะดำรงอยู่ได้"

เถรี 20-03-2017 21:35

ถาม : คนที่ร่ำรวยเกิดจากทานบารมี อย่างพวกที่โกงงบประมาณของชาติจนรวยเกิดจากอะไร พวกนี้เขาขาดอธิษฐานบารมีหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อดีตเคยทำทานบารมีมาก่อน เพียงแต่ว่าชาตินี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็เลยทำในสิ่งที่ผิดเท่านั้น เขามีโอกาสเสวยความสุขตามผลทานของเขาอยู่ระยะหนึ่ง พอหมดจากบุญนั้นเมื่อไรก็เรียบร้อย..!

เถรี 20-03-2017 21:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "ครูบาอาจารย์สมัยเก่าทรงคุณความดีมาก เมื่อในหลวงพระราชทานพัดให้ ยุคก่อนแม้เป็นพระครูสัญญาบัตรก็ยังได้พัดด้ามงา อย่างสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านได้พัดพระครูสัญญาบัตรเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นตรีเท่านั้น แต่ด้ามพัดเป็นงาแท้ หลวงปู่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ

หลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ความรู้ความสามารถไม่ได้น้อยไปกว่าหลวงปู่ปาน ยังไม่ได้เป็นพระครู เพราะว่าสมัยก่อนให้กันยากมาก ความต้องทราบถึงพระเนตรพระกรรณจริง ๆ ถึงจะได้รับ

หลวงปู่จงไม่ค่อยอยู่ติดวัด เพราะว่าคนมักนิมนต์ แล้วนิมนต์แบบมักง่าย สมมติว่าทางจังหวัดชัยนาทนิมนต์ หลวงปู่จงรับกิจนิมนต์ไปถึงชัยนาท คนลพบุรีเห็นว่ามาถึงชัยนาทแล้วไปลพบุรีต่อก็ไม่ไกลเท่ามาจากอยุธยา ก็เอาเกวียนรับหลวงปู่จงไปลพบุรีต่อ เป็นต้น บางทีหายจากวัดไปเป็นเดือน ๆ จนลูกศิษย์ต้องไปตามหาว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน แล้วก็ไปนำหลวงปู่กลับวัด"

เถรี 20-03-2017 21:58

"ครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างวัตถุมงคลด้วยเนื้องา ก็เห็นมีหลวงปู่ปาน วัดบางกระสอบ กับหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว ที่ท่านใช้วิธีง่าย ๆ ก็คือ สร้างองคตหรือลิงด้วยด้ามตาลปัตรที่ทำด้วยงา เรียกว่าเอามาแกะกันอย่างชนิดไม่ต้องไปหางาใหม่ แต่จะมีน้อยมาก เนื่องจากว่าพัดด้ามงาถ้าไม่ใช่ของพระราชทานจริง ๆ แทบจะไม่มีโอกาสตกถึงมือเลย

อาตมาเองเล่นเครื่องรางของขลังมานาน เจอองคตหลวงปู่ปาน วัดบางกระสอบ กับลิงหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว แค่ไม่กี่ตัวที่ทำด้วยงา ถือว่าเป็นบุญตาอย่างยิ่ง โอกาสที่ได้ครอบครองก็ยิ่งน้อยลงไปใหญ่

หนุมานงาแกะของหลวงพ่อสุ่น วัดศาลากุน ที่ทำด้วยเนื้องานั้น ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ จากการประมาณการของบรรดาเซียนที่เล่นวัตถุมงคลสายเครื่องราง บอกว่าเต็มที่ก็มีไม่เกิน ๓๐๐ ตัว ตอนนี้คงมีไม่ถึง ๓๐๐ ตัวแล้ว เพราะอาตมาเก็บไว้ ๓ ตัว ลงกระทู้คนมีเงินฯ ไปแล้ว ๒ ตัว"

เถรี 21-03-2017 21:03

ถาม : ปรามาสพระรัตนตรัยเป็นประจำครับ ?
ตอบ : ขอขมาพระรัตนตรัยบ่อย ๆ

ถาม : ชอบเป็นตอนนั่งสมาธิ ?
ตอบ : เป็นปกติ ก่อนสวดมนต์ ก่อนนั่งสมาธิ ให้ขอขมาทุกครั้ง เขาตั้งใจจะกวนเราให้ขุ่น แต่ถ้าเราไม่สะเทือนเดี๋ยวเขาก็เลิกไปเอง

เถรี 21-03-2017 21:07

ถาม : ถ้าเราเช่าบูชาพระพุทธรูปมาจำเป็นต้องเบิกเนตรไหมคะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น ความจริงพิธีกรรมเบิกเนตรก็เท่ากับการพุทธาภิเษกนั่นแหละ จะไปเบิกเนตรพระ เบิกเนตรของเราให้กว้าง ๆ ดีกว่า พิธีการเบิกเนตรเป็นคนละพิธีกับของเรา

เถรี 21-03-2017 22:12

ถาม : มาขอพร พรุ่งนี้จะเดินทางไปจังหวัดน่าน จะเข้าป่าด้วยครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรน่ากลัว ไปเถอะ มีโอกาสก็แวะไปกราบพระที่วัดภูมินทร์ด้วย

ถาม : เพื่อนผมสองคนเพิ่งเสียชีวิตจากการทำงานในอุโมงค์ครับ ผมก็เลยอยากจะมา..?
ตอบ : ที่เพิ่งออกข่าวไปใช่ไหม ?

ถาม : ใช่ครับ เพื่อนผมเองครับ ?
ตอบ : จังหวัดน่านไม่มีอะไรน่ากลัว เพราะไม่ใช่สมัยก่อน ถ้าสมัยก่อนปี ๒๕๒๐ เป็นดงคอมมิวนิสต์เลย เพราะว่าพื้นที่ต่อเนื่องกับประเทศลาว เขาย้ายข้ามกันไปข้ามกันมา ฝั่งโน้นปราบก็ย้ายหนีมาฝั่งเรา ฝั่งเราปราบก็ย้าหนีข้ามไปฝั่งโน้น สมัยนี้เขาพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวไปหมดแล้ว

ที่โน่นมีใครรู้จักเจ้าพ่อท่าวังผาบ้าง ? ส่งใจอุทิศส่วนกุศลให้ท่านไปก่อนเลย แล้วขอความปลอดภัยในทุกที่ อาตมาไปไหนจะผูกมิตรไว้ก่อน ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ

ใครอยากอยู่เงียบ ๆ สบาย ๆ หน่อยก็ไปหาที่แถวโน้นแหละ รู้ไหมว่าในสมัยที่อาตมาหาซื้อที่อยู่ ที่จังหวัดน่านไร่ละ ๓๐๐ บาท สมัยนี้ถ้ามีจะเหมาสักครึ่งจังหวัด บางแห่งไม่ได้ไปนาน ๆ ก็ลืมไปว่าเจ้าถิ่นเป็นใคร พอไปใหม่ท่านเตือนถึงได้นึกออก

เถรี 21-03-2017 22:22

ถาม : อุบลราชธานี ท่านเจ้าที่คือใครคะ ?
ตอบ : ยังไม่เคยถาม อุบลราชธานีเป็นจังหวัดที่ไม่เคยตั้งใจไปเลย ทั้ง ๆ ที่อยากไป เพราะว่าอุบลราชธานีมีพระแก้วคู่บ้านคู่เมือง คนอุบลรู้หรือเปล่าว่ามีพระแก้วคู่บ้านคู่เมืองอยู่ ? ๑. พระแก้วบุษราคัม วัดศรีอุบลรัตนาราม ๒. พระแก้วไพฑูรย์ วัดหลวงอุบลราชธานี ๓. พระแก้วเพชรน้ำค้าง วัดสุปัฏนาราม ๔. พระแก้วโกเมน วัดมณีวนาราม ๕. พระแก้วนิลกาฬ วัดเลียบ มีโอกาสก็ไปกราบบ้างนะ

เถรี 21-03-2017 22:43

มีโยมเอาถั่งเช่ามาถวาย "ไม่ได้ผสมซุปไก่ใช่ไหม ? ถ้าผสมซุปไก่จัดเป็นอาหาร เลยเพลแล้วฉันไม่ได้"

เถรี 22-03-2017 21:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "โลกยุคใหม่เป็นโลกของการแข่งขันกันทางการค้า เป็นยุคของคนกินคน ปลาใหญ่กินปลาเล็ก สังเกตไหมว่าพวกร้านค้า "โชห่วย" ตายสนิทเกือบหมดประเทศไทยแล้ว การแข่งขันทางการค้าฟาดฟันกันยิ่งกว่าสงครามอีก สารพัดวิธีที่จะนำมาล้มคู่ต่อสู้ให้ได้ โดยเอาชาวบ้านเป็นเครื่องมือ

ตอนนี้ทองผาภูมิปลูกดอกดาวเรือง ต้องทำสัญญากับเขา ต้องมีจำนวนคนเท่านี้ มีจำนวนไร่เท่านี้ รวมกันเป็นกลุ่มไปแล้วไปรับพันธุ์จากเขามา ปลูกเสร็จแล้วขายให้เขา แต่ขอโทษเถอะ...พูดง่าย ๆ ว่าปุ๋ยก็ของเขา ยาก็ของเขา พันธุ์ก็ของเขา ถึงเวลาหักกลบลบล้างแล้วเหลือถึงตัวเราเท่าไร ? แล้วอีกอย่างหนึ่งคือเมล็ดพันธุ์ก็ขยายไม่ได้ ดอกออกมาเบ้อเริ่มเลย แต่ลีบหมดไม่มีเมล็ด เพราะผ่านการฉายรังสีมา เราไม่สามารถที่จะหากำไรเพิ่มเติมจากส่วนที่เขาไม่ได้ให้เลย"


ถาม : แสดงว่าปลูกแล้วก็หมดเลย
ตอบ : หมดแล้วหมดเลย แล้วเขาก็เอาเมล็ดพันธุ์ให้เราใหม่ เราก็ต้องจ่ายให้เขาอีกรอบหนึ่ง หมุนเวียนเป็นทาสเขาไปแบบนี้

เถรี 22-03-2017 21:16

เบียร์ยี่ห้อหนึ่งเคยครองตลาด เบียร์ยี่ห้อสองก็คิดว่าทำอย่างไรจะแบ่งส่วนแบ่งได้ ปรากฏว่าเบียร์ยี่ห้อสองขายเหล้าขาว ซึ่งเหล้าขาวนี่คนกินกันทั้งประเทศ เบียร์ยี่ห้อสองก็เลยบังคับบรรดายี่ปั๊ว คุณต้องการเหล้าของเราไปขาย คุณต้องซื้อเบียร์ด้วย ถ้าคุณไม่ซื้อเบียร์เราก็ไม่ขายเหล้าให้ เป็นการมัดมือชก

ปรากฏว่ายี่ปั๊วเขาก็เก่ง เอาเบียร์ยี่ห้อสองไปขาย ๓ ขวดร้อย ร้อยหนึ่งที่ไปซื้อเบียร์ยี่ห้อหนึ่งได้ ๒ ขวดกับอีกนิดเดียวนะ แต่ถ้าหากว่าไปซื้อเบียร์ยี่ห้อสองได้ ๓ ขวด คนกินก็กินเอามัน เพราะฉะนั้น...เยอะย่อมดีกว่าน้อย ก็ไปซื้อสามขวดร้อย ซื้อไปซื้อมาส่วนแบ่งการตลาดของเบียร์ยี่ห้อหนึ่งหาย เบียร์ยี่ห้อสองโตเอา ๆ แล้วมีการที่โฆษณาแสบมากเลย เที่ยวทั่วไทย ขี่ช้างกินเบียร์ มีการโยนกระป๋องลงมาแล้วไปซูมให้เห็นว่าเป็นเบียร์ยี่ห้อหนึ่ง แก้เกมกันไป แปลว่าหนึ่งขี่สอง...ใช่ไหม ?

เถรี 22-03-2017 21:38

รถกระบะยี่ห้อหนึ่งเป็นเจ้าการตลาดมาตลอด รถกระบะยี่ห้อสองพยายามจะโค่นลงให้ได้ ปรากฏว่ารถกระบะยี่ห้อหนึ่งคิดเครื่อง D4D ได้ก่อน รถกระบะยี่ห้อสองคิดได้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าไปขโมยข่าวหรือว่าสืบความลับเขามาได้อย่างไร ออกรถกระบะยี่ห้อสอง D4D ปาดหน้ารถกระบะยี่ห้อหนึ่งแค่ ๔ เดือน ยอดจองถล่มทลายทั่วบ้านทั่วเมือง รถกระบะยี่ห้อหนึ่งออกมาขายไม่ออกเลย ตั้งแต่นั้นมารถกระบะยี่ห้อหนึ่งที่มีรถทำตลาดอยู่อย่างเดียวคือรถกระบะ ก็หลุดจากตำแหน่งแชมป์ไป จนป่านนี้ก็ยังตีคืนไม่ได้

ถึงได้บอกว่าการตลาดปัจจุบันนี้เป็นเรื่องของการฆ่ากันเลยนะ ถ้าหากว่าเราอยู่ได้คุณก็ต้องอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าประคับประคองกันไป ต้องเหยียบคนอื่นไว้ใต้เท้า การแข่งขันจึงดุเดือดมาก

เถรี 22-03-2017 21:45

น้ำดำ ๑ กับน้ำดำ ๒ อันนี้ก็คู่กัดถาวรเลย บ้านเราเป็นประเทศเดียวในโลกที่น้ำดำ ๒ ขายดีกว่าน้ำดำ ๑ ปรากฏว่าบริษัทน้ำดำ ๒ ตัดสินใจผิด มาขึ้นราคาลิขสิทธิ์กับตัวแทนในไทย ขอเซ็นสัญญาใหม่ ตัวแทนไม่เซ็น น้ำดำ ๒ จึงขอคืนไปทำเอง คิดว่าการตลาดที่คนกินกันระเบิดเถิดเทิงทั่วประเทศเกิดจากยี่ห้อน้ำดำ ๒ แต่ไม่ใช่ เกิดจากการฝีมือการตลาดของตัวแทน ตัวแทนไปถึงไหน น้ำดำ ๒ ไปถึงนั่น

ในเมื่อตัวแทนโดนตัดหางปล่อยวัด ก็ออก
น้ำดำ ๓ มาสู้ ก่อนหน้านี้ตัวแทนไทยติดต่อกับบริษัทผลิตขวดมาตลอด จึงไปจับมือเซ็นสัญญา ห้ามผลิตขวดให้ยี่ห้ออื่นน้ำดำ ๒ ตายสนิท ทุกวันนี้ยังไม่ฟื้นเลย น้ำดำ ๓ ที่ใคร ๆ บอกว่ารสชาติสู้น้ำดำ ๒ ไม่ได้ กลายเป็นติดตลาดเพราะว่าตัวแทนไทยทำตลาด

สรุปแล้วก็คือต่อให้เป็นซีอีโอของฝรั่ง ก็ไม่แน่ว่าสายตาจะมองเกมขาด โฆษณาก็ฆ่ากันจริง ถึงเวลาเด็กตัวเล็กไปหยอดตู้ซื้อน้ำกระป๋อง กระป๋องที่หนึ่ง
น้ำดำ ๑ หล่นลงมาแล้วก็หยิบวาง กระป๋องที่สองน้ำดำ ๑ หล่นลงมาก็หยิบวาง เอาเท้าเหยียบเพื่อต่อขาขึ้นไปหยอดรูบน ตัวเองยังเด็กหยอดไม่ถึง เอาน้ำดำ ๑ วางต่อเท้าเพื่อหยอดเอาน้ำดำ ๒ มากิน ยอมเสียเงินหยอดน้ำดำ ๑ ถึงสองกระป๋อง เพื่อให้ได้กินน้ำดำ ๒ โฆษณาเหยียบกันแบบรุนแรงมากเลยนะ ทำให้เห็น ๆ ว่าเหยียบน้ำดำ ๑ ไว้ใต้เท้า

เถรี 22-03-2017 21:50

ถ้าเราอยู่วงนอกแล้วดูการแข่งขัน เราจะเห็นว่าฟาดฟันกันโหดเหี้ยมมาก ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ทำไมไม่จับมือกันทำตลาด ต่างคนต่างแบ่งปันผลประโยชน์ กลายเป็นชนะด้วยกันทั้งสองฝ่าย อันนี้ต้องแพ้กันไปข้างหนึ่ง

เคยมีคนบอกว่า ศัตรูคือยากำลัง แต่สมัยนี้ไม่ได้....ศัตรูต้องฆ่าให้ตาย สมัยเหล้าสี ๑ กับ
เหล้าสี ๒ ก็เหมือนกัน กว่า ๒ จะล้ม ๑ ลงได้ ก็รบกันอยู่หลายปี ท้ายสุดเจ้าพ่อน้ำเมากวาดเรียบ อยากยุ่งยากมากนัก เทคโอเวอร์ให้เกลี้ยงเลย แล้วก็ออกยี่ห้อเยอะแยะ จะเอาอะไร ๒ ทอง ๒ เงิน ๒ ฟ้า ฯลฯ สรุปแล้วก็ออกมาแข่งกับตัวเอง คุณจะกินยี่ห้อไหนก็ซื้อของเขาเหมือนกัน

เถรี 22-03-2017 22:15

ถาม : สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุงยังมีชีวิต เคยสร้างตะกรุดไหมคะ ?
ตอบ : หลวงพ่อท่านเคยทำตะกรุดอยู่รุ่นหนึ่ง ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร พวกเราเลยเรียกว่าตะกรุดเดินป่า ท่านทำอยู่รุ่นเดียวแล้วก็เลิกทำ เพราะว่าที่ทำรุ่นนั้นศาลาพังไปหลังหนึ่ง คนแย่งกันรับ ศาลาเก่าไม่ค่อยจะแข็งแรง แห่กันขึ้นไปหลายร้อย ศาลาพังเลย แล้วที่เหลือก็เป็นตะกรุดมหาสะท้อน ซึ่งท่านทำแค่ไม่กี่ดอก

ถาม : ตะกรุดจาร อักษรย่อ ว.ย.ป. ?
ตอบ : ย่อมาจากอะไร ?

ถาม :ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ
ตอบ : ไม่เคยได้ยิน ว. ส่วนใหญ่มาจากวัด

ถาม : พอดีเขาถามมา ก็ไม่แน่ใจค่ะ
ตอบ : ยังไม่เคยได้ยิน โดยเฉพาะตะกรุดของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาก็ไม่แกะมาดูอยู่แล้ว เลยไม่รู้ว่ามีรหัสลับอะไรอยู่หรือเปล่า

เถรี 23-03-2017 21:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "การขึ้นภาษีสุรานั้น คนติดเหล้าแล้วต่อให้แพงแค่ไหนก็กิน แต่มีอยู่ส่วนหนึ่งซึ่งจะมีผลกระทบก็คือนักท่องเที่ยว เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวบ้านเรามาแบบประหยัดงบ อะไรแพงขึ้นมาเขาก็จะไม่ไปยุ่งด้วย โดยเฉพาะบรรดาเหล้าเบียร์ในแหล่งท่องเที่ยวที่รู้อยู่ว่าราคาแพงกว่าข้างนอก

ต้องบอกว่านักท่องเที่ยวฝรั่งส่วนใหญ่กินกันแบบมีวินัย เราจะเห็นว่าฝรั่งน้อยคนที่จะเมาจนหมดสภาพ ส่วนใหญ่ก็คนละหนึ่งช็อตสองช็อต จบแล้วกลับบ้าน ที่เขากินเพื่อผ่อนคลาย ทำงานเครียดมาทั้งวัน อาศัยแอลกอฮอล์ผ่อนคลายประสาทหน่อย กลับบ้านไปกินข้าวอร่อยขึ้นอีก แต่ส่วนใหญ่แล้วคนเราต้านทานฤทธิ์ของเหล้าไม่ได้ พอกินแล้วก็กลายเป็นมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ท้ายสุดก็กลายเป็นติดเหล้าแอลกอฮอลิค"


ถาม : เขาคิดว่าเป็นความสุข ?
ตอบ : น่าสงสาร...เขาไม่รู้ว่าความสุขหาจากข้างนอกไม่ได้ ความสุขภายนอกไม่ยั่งยืน ความสุขภายนอกเกิดจากการกระตุ้น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความสุขภายในเกิดจากใจ

เถรี 23-03-2017 22:14

พระอาจารย์กล่าวถามว่า "บทบังสุกุลตายกับบังสุกุลเป็น บทไหนเกิดก่อน ? บังสกุลเป็นเกิดก่อน จริง ๆ แล้วเป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้าประทานให้พระปูติคัตตติสสะ ในอดีตชาติท่านเป็นพรานนก พอจับนกได้ก็หักขา หักปีก นกจะได้ไม่บินหนี พอมาชาตินี้ ถึงมาบวชแล้วกรรมเก่าก็ยังตามทัน

ในบาลีท่านบอกว่าเกิดเป็นฝีตามร่างกาย แรก ๆ ก็โตประมาณเม็ดน้อยหน่า หลังจากนั้นก็โตขึ้นจนเท่าผลมะตูมแล้วก็แตก โลหิตและหนองไหลไปทั้งกาย เมื่อเหม็นเน่ามาก บรรดาพระก็ทิ้ง ไม่มีใครดูแล ปูติคัตตะคือผู้มีกายอันเน่า อาตมาคาดว่าน่าจะเป็นมะเร็ง เพราะว่าแตกทั่วตัวเลย น่าจะประเภทมะเร็งต่อมน้ำเหลือง

ในเมื่อโดนทิ้ง พระพุทธเจ้าทรงทราบก็เสด็จไปเอง ให้พระอานนท์ต้มน้ำร้อน ผสมน้ำอุ่นด้วยพระองค์เองแล้วก็เช็ดตัวให้ พระอื่นพอทราบข่าวก็จะไปแย่งกันทำ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ต้อง พระองค์ท่านจะทำเอง เมื่อเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าให้เรียบร้อย ท่านติสสะก็รู้สึกสบายขึ้น

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า อจิรํ วตยํ กาโย ปฐวี อธิเสสฺสติ แปลความว่า ติสสะ...ขอให้เธอจงดูกายนี้ ซึ่งอีกไม่นาน เมื่อปราศจากวิญญาณแล้ว ก็เหมือนกับขอนไม้ที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นดิน พระติสสะท่านพิจารณาธรรมตามนั้น...เห็นจริง จิตปลดจากการยึดเกาะร่างกาย กลายเป็นพระอรหันต์พร้อมกับสิ้นชีวิต

ลักษณะของการเป็นพระอรหันต์แล้วมรณภาพเลย ในบาลีเขาเรียกว่า สมสีสี [สะ-มะ-สี-สี] ก็คือบรรลุมรรคผลพร้อมกับการดับของสังขารร่างกาย"

เถรี 23-03-2017 22:18

"ส่วน อนิจจา วะตะ สังขารา นั้น เป็นบทที่พระอินทร์ท่านแสดงธรรมสังเวชตอนพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน สรุปแล้วมีที่มาทั้งคู่ คนสมัยใหม่ก็เอามาแบ่งเป็นบังสุกุลตายกับบังสุกุลเป็น แต่จริง ๆ แล้วเป็นหลักธรรมทั้งนั้น

อนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ วะตะตัวนี้ก็คือหนอ
อุปปาทะวะยะธัมมิโน เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา
อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ มีเกิดแล้วก็มีดับ
เตสัง วูปสโม สุโข การเข้าถึงความสงบสังขารทั้งหลายนั่นแหละเป็นสุข

สงบสังขารในที่นี้ หมายถึงหยุดการปรุงแต่งทั้งปวง สังขารตัวนี้คือจิตสังขาร การปรุงแต่งของใจ สภาพจิตหยุดการปรุงแต่งหมดก็มีอยู่ประเภทเดียวคือพระอรหันต์"

เถรี 25-03-2017 20:08

พระอาจารย์ถามโยม "เบาลงบ้างหรือยัง ? หรือยังหนักเท่าเดิม ? กินให้น้อยหน่อยสิ ใช้วิธีลดแบบพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้ ลดมื้อละคำเดียว ไม่ทรมานตัวเองด้วย วันนี้ลดคำหนึ่ง พรุ่งนี้ลดคำหนึ่ง ลดไปเรื่อย

ลดวันละคำของพระเจ้าปเสนทิโกศลนี่ไม่ได้ลดเยอะนะ พระท่านบอกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลเสวยพระกระยาหารด้วยข้าวสุกที่หุงจากข้าวสาร ๑ ทะนาน ๒๐ ทะนานเป็น ๑ ถัง ก็แปลว่า ๑๐ ทะนานเท่ากับครึ่งถัง ๑ ทะนานประมาณ ๗ ขีดครึ่ง ๗ ขีดครึ่งหุงเป็นข้าวนี่กินกันตายไปข้างหนึ่ง คิดตัวเลขกันทันไหม ? อาตมาคิดเร็วไปหน่อย ๗ ขีดครึ่งเสวยคนเดียวสำหรับข้าวนะ ยังไม่คิดถึงกับข้าวเลย"

เถรี 25-03-2017 20:13

ถาม : อนิจจา วะตะ สังขารา วะตะ คำนี้คือ วัฏสงสารหรือคะ ?
ตอบ : วะตะตัวนี้คือหนอ ไม่ใช่ วัฏฏะ วะตะ โภ โกณฑัญโญ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ ถ้าวัฏฏะ แปลว่า การหมุนเวียน

เถรี 25-03-2017 21:36

ถาม : ถ้าเราทำกรรมฐาน จิตจับไม่เห็นภาพอะไร เราต้องไปอยู่ในชั้นพรหมหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่...อยู่ที่ว่าเรานึกถึงอะไร สำคัญตรงที่เรานึกถึงอะไร ไม่ต้องเห็นหรอก

เถรี 25-03-2017 21:46

ถาม : พุทธทานมีหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่มี ธรรมทานคือการให้ธรรมเป็นทาน เป็นการที่เราปฏิบัติได้แล้วสอนคนอื่น สังฆทานเป็นการให้ทานโดยเจาะจงเอาหมู่สงฆ์ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ในเมื่อมีที่มาที่ไป ก็กลายเป็นธรรมทานกับสังฆทานไป แต่พุทธทานไม่มี ถ้าพุทธทานมีก็มีวิธีเดียว ก็คืออุ้มพระพุทธเจ้าไปถวายเป็นทาน..!

เถรี 26-03-2017 21:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีวิธีแก้ปวดหัวอยู่วิธีหนึ่ง ไม่รู้ว่าโยมถนัดกันหรือเปล่า ? คือให้หายใจด้วยจมูกข้างซ้าย จมูกข้างซ้ายเป็นลมเย็น จมูกข้างขวาเป็นลมร้อน ถ้าต้องการแก้ปวดหัวให้หายใจด้วยจมูกข้างซ้าย อาตมาหายใจทีละข้างได้ ไม่รู้ว่าโยมทำได้หรือเปล่า ...(ไม่ได้ค่ะ)... ถ้าไม่ได้ก็เอามืออุดรูจมูกข้างขวาไว้

ก่อนหน้านี้อาตมาไม่รู้หรอกว่าคนเราหายใจด้วยจมูกได้ทีละข้าง หลวงพ่อสมปองท่านสอน ตอนนั้นท่านยังไม่ได้บวช ไปเป็นนาคอยู่ที่วัด ท่านบอกว่าท่านเป่าปี่ชวา หายใจเข้าด้วยจมูกข้างซ้าย หายใจออกด้วยจมูกข้างขวา อาตมาก็งง ๆ ว่าทำแบบนี้ได้ด้วยหรือวะ ? พอมาลองทำดู ปรากฏว่าทำได้จริง ๆ เพราะว่าเวลาเป่าปี่ชวาต้องใช้ลมหายใจที่ยาวมาก ๆ ไม่อย่างนั้นจะสะดุด จึงต้องใช้วิธีหายใจหมุนเวียนจะได้ไม่ต้องหยุด อาตมาก่อนหน้านี้ไม่รู้หรอกว่าคนเราหายใจได้ด้วยจมูกทีละข้าง ไปรู้เอาตอนนั้นเอง"


ถาม : คงทำได้นิดเดียวค่ะ ?
ตอบ : ใหม่ ๆ ลองบังคับดู อีกข้างหนึ่งจะหายใจเข้าด้วย แต่พอเราเพ่งความรู้สึกไว้ที่รู้จมูกข้างใดข้างเดียว ก็จะใช้ได้เฉพาะข้างนั้น ตอนหัดใหม่ ๆ อีกข้างหนึ่งก็จะหายใจเข้าไปหน่อยหนึ่งด้วย

ถ้าใครรู้สึกปวดหัวขึ้นมาให้หายใจด้วยจมูกข้างซ้ายข้างเดียว สัก ๓ นาที ๕ นาทีก็หายแล้ว ที่เราปวดหัวเพราะว่าความดันขึ้นหรือว่าความร้อนในร่างกายมากขึ้น ที่สมัยนี้เขาเรียกว่า "หัวร้อน" ก็ต้องอาศัยลมหายใจเย็น เขาเรียกลมจันทกาลา คือลมหายใจแบบพระจันทร์ ถ้าสุริยกาลาจะเป็นลมหายใจร้อน เอาไว้สร้างพลังงาน

ใครรู้สึกเพลีย ๆ ไม่มีแรงให้หายใจด้วยจมูกขวาข้างเดียวสัก ๓ นาที เดี๋ยวก็ไปต่อได้ แต่ขอบอกนะว่าหายใจด้วยจมูกขวาข้างเดียวนี่หิวข้าวอย่าบอกใคร เพราะว่าใช้พลังงานเยอะ

เถรี 26-03-2017 23:14

ถาม : ที่บอกว่า คนโบราณเขาฉลาด ทำบุญให้คนตายในช่วง ๗ วัน ๕๐ วัน คนตายจะได้บุญ ถ้าเลยระยะมาแล้วละครับ ?
ตอบ : อาตมายังสงสัยอยู่ว่า ทำไมพวกเราฟังอะไรไม่ละเอียด แล้วจับไปกระเดียดกันอุตลุด ?

คำว่าทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วันหมายความว่าที่ทำช่วงนั้น คนตายยังมีโอกาสที่จะได้รับมากกว่า เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วยังไม่ผ่านการตัดสินที่ตำหนักพญายม แต่ไม่ได้หมายความว่าทำแล้วจะได้บุญทันที ดันไปใช้คำพูดว่าทำช่วงนั้นแล้วจะได้บุญ ถ้าเกิดลงนรกไปก่อนหรือว่าไปอบายภูมิก่อนก็ไม่มีโอกาสที่จะได้

ถาม : ... (ไม่ชัด) ...
ตอบ : ถ้าหากว่าลงยาวไปเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเลยจากช่วงนั้นตัดสินไปแล้วลงข้างล่างก็หมดสิทธิ์ ถ้าขึ้นข้างบนถึงจะได้ คำพูดแต่ละอย่างรู้สึกว่าจะเอาไปแล้วตีความกันใหม่ทุกที ทั้ง ๆ ที่อาตมาพูดไปชัด ๆ แล้ว

เถรี 26-03-2017 23:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมหลายคนที่อาตมาเตือนเรื่องวัดธรรมกายไป ต้องบอกว่าเริ่มรู้ตัว อย่าลืมว่าท่านเป็นพระ เราเป็นฆราวาส อะไรที่เราคิด เราพูด เราทำกับพระ มีโทษมากกว่าประโยชน์ โบราณท่านถึงได้ใช้คำว่า “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์”

ประการหนึ่งก็คือ เรื่องของศีลพระนั้น ทำผิดคือศีลขาดเลย ไม่ใช่ทำผิดแล้วต้องรอศาลมาตัดสิน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นถ้าตัวเราเองไม่เข้าใจ ซึ่งปัจจุบันนี้ฆราวาสจำนวนมากก็ไม่เข้าใจในเรื่องเช่นนี้ จึงทำให้เรื่องเกี่ยวกับพระของเราสับสนวุ่นวายไปหมด

อย่างเช่นพระพุทธเจ้าตรัสบัญญัติศีลขึ้นมาว่า “ภิกษุหยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ ราคาได้ ๕ มาสกขึ้นไป ต้องอาบัติปาราชิกคือขาดความเป็นพระ” คราวนี้ในวินีตวัตถุท่านใช้คำว่า “วัตถุนั้นเคลื่อนจากฐาน” ถามว่าเคลื่อนไกลเท่าไร ? ท่านบอกว่า “พ้นฐานไป ๑ ส่วน ๑๖ ของเส้นผม” พูดง่าย ๆ ว่ามองแทบไม่เห็น ถ้าหากว่าจับเคลื่อนจากฐานก็ขาดความเป็นพระไปแล้ว ไม่ได้แปลว่าเราวางคืนแล้วความเป็นพระจะกลับคืนมา เพราะตอนช่วงที่เราหยิบฉวยนั้นเกิดเถยยจิต คือคิดที่จะขโมย

ในเมื่อคิดจะขโมยและหยิบเคลื่อนจากฐาน แปลว่าการกระทำนั้นสำเร็จแล้ว ในเมื่อการกระทำนั้นสำเร็จแล้วแปลว่ากรรมนั้นบรรลุผลแล้ว ถ้าหากว่าปรับก็คือขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ถึงไปวางคืนก็ไม่สามารถที่จะเป็นพระได้อีก

เถรี 26-03-2017 23:22

ดังนั้น...เรื่องศีลของพระไม่จำเป็นต้องอาศัยศาลทางโลกตัดสิน จบไปตั้งแต่คุณกระทำแล้ว เราเป็นฆราวาสถ้าไม่รู้ตรงจุดนี้ก็อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ เพราะถึงอย่างไรท่านก็ยังห่มเหลืองอยู่ ยังมีธงชัยของพระอรหันต์คลุมตัวอยู่ ถ้าเราไปด่า ไปตำหนิโดยใช้คำว่า "พระ" นำหน้านี่พังเลย

เพราะคำว่า “พระ” คือผู้ที่ประเสริฐ หมายถึงผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งหมด ไม่ใช่ตัวบุคคล ฉะนั้น...เรื่องที่เกี่ยวกับพระจึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก โบราณรู้จริงถึงได้บอกว่า “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์” คือเราอย่าไปยุ่ง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านจัดการกันเอง ถ้าหากในหมู่ของพระสังฆาธิการฝ่ายปกครองจัดการไม่ได้ ก็ไปรู้กันอีกทีตอนตาย ซึ่ง
ในช่วงนั้นก็ไม่มีใครแก้ไขได้แล้ว

เราอย่าไปหาทุกข์หาโทษใส่ตัว คิดไม่ดีเป็นมโนกรรม พูดไม่ดีเป็นวจีกรรม ทำไม่ดีเป็นกายกรรม มีแต่สร้างกรรมทั้งนั้น จงทำตัวเป็นผู้ดูที่ดี ก็คืออยู่วงนอกอย่างมีสติสัมปชัญญะ อย่าเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ลงมือเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเมื่อไรก็แปลว่าอคติ หรือ รัก โลภ โกรธ หลง เริ่มท่วมทับเราแล้ว โอกาสที่จะโดนกิเลสน็อกคาสนามมีเยอะมากแล้ว

เถรี 26-03-2017 23:25

อาตมาบอกไปเมื่อวันก่อนว่า สงสารท่านอาจารย์สนิทวงศ์ ตอนนี้เห็นว่าทางวัดธรรมกายเปลี่ยนโฆษกใหม่แล้ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเปลี่ยนตัวก็แค่มาแสดงโวหารเท่านั้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงที่ได้กระทำไปแล้ว ต่อให้ลากเอาเหตุการณ์อะไรต่อมิอะไรมากลบ ก็ลักษณะเดียวกับช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิด ซึ่งอย่างไรก็ไม่มิด

ยิ่งนานไปก็ยิ่งทำผิดกฎหมายมากขึ้น ถ้าทำผิดกฎหมายเมื่อไรก็ผิดพุทธดำรัสเมื่อนั้น เพราะพระองค์ท่านตรัสไว้ชัดแล้วว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชานํ อนุวตฺติตุฯ ดูก่อน...ภิกษุทั้งหลาย เราให้คล้อยตามพระราชา คำว่า พระราชาในสมัยก่อนก็คือกฎหมาย เพราะสิ่งที่เป็นพระราชดำรัสต้องปฏิบัติตามทั้งสิ้น

เถรี 28-03-2017 19:46

ถาม : (พระถาม) มีคนบอกว่า ๕ มาสก เท่ากับทอง ๑ บาท ?
ตอบ : อันนั้นของทางประเทศพม่า ไม่ใช่ทอง ๑ บาท เป็นทอง ๑ สลึง ผมไปทางพม่าแล้วได้มีโอกาสพูดคุยเกี่ยวกับศีลหลายข้อที่ลักลั่นกันอยู่ เพราะพม่ากับไทยตีความไม่เหมือนกัน

จุดที่ผมถามก็คือเรื่องอาบัติปาราชิก คนไทยเราถือว่า ๑ บาทเท่ากับ ๕ มาสก แต่ทางพม่าถือว่า ๕ มาสกเท่ากับทองคำ ๑ สลึง ผมถามว่าเอาอะไรมาเป็นเครื่องวัด ? ท่านบอกว่า ดูจากมาตราโบราณที่บอกว่า ๔ เมล็ดข้าวเปลือกเป็น ๑ กุญชา ๒ กุญชาเป็น ๑ มาสก ก็แปลว่า ๘ เมล็ดข้าวเปลือกเป็น ๑ มาสก ๕ มาสกก็เท่ากับ ๔๐ เมล็ดข้าวเปลือก เขาก็เอา ๔๐ เมล็ดข้าวเปลือกมาชั่งน้ำหนักแล้วบอกว่า ได้ประมาณทองคำ ๑ สลึง ส่วนของบ้านเราตีความสูงไว้ก่อนป้องกันไม่ให้พระทำผิด ก็เลยตีราคาว่าบาทเดียว

ส่วนอีกจุดหนึ่ง ก็คือ การฉันอาหารในเวลาวิกาล เราจะเห็นว่าพระพม่าฉันอาหารเย็นเป็นปกติ แม้แต่ในห้องอาหารก็มีห้องที่แยกให้พระโดยเฉพาะ ปรากฏว่ามีศีลพระอีกข้อหนึ่งว่า “ภิกษุห้ามเข้าบ้านในเวลาวิกาล” ซึ่งเราตีความคำว่าวิกาลใน ๒ สิกขาบทนี้ไม่เหมือนกัน

การฉันอาหารในเวลาวิกาล เราตีความว่าหลังเที่ยงไปแล้ว แต่เข้าบ้านในเวลาวิกาล เราตีความว่าพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว คำ ๆ เดียวเราตีความต่างกัน แต่ของพม่าตีความแบบเดียวกันก็คือพระอาทิตย์ตกดินแล้ว เพราะฉะนั้น...เขาฉันอาหารก่อนค่ำได้...ไม่เป็นไร

เถรี 28-03-2017 19:47

แต่คราวนี้เราต้องไม่ลืมว่าในเรื่องของศีลพระนั้นมีส่วนที่เป็นโลกวัชชะ คือผิดแล้วโลกติเตียน ในเมื่อผิดแล้วโลกติเตียน บ้านเราถือว่าเวลาวิกาลคือหลังเที่ยงไปแล้ว เราก็ต้องถือตามแบบบ้านเรา ส่วนของเขาถือว่าวิกาลคือพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ของเขาไม่ติเตียนกัน แถมโยมยังตั้งใจถวายอีกด้วย

ปัจจุบันนี้เรื่องศีลพระหาคนที่ศึกษาลึกซึ้งมีน้อยมาก ในเมื่อมีน้อยมาก ไม่สามารถที่จะบอกกล่าวกับพระรุ่นหลัง ๆ ต่อไปได้ โดยเฉพาะบุคคลที่เป็นครูบาอาจารย์ ก็มีการเข้าใจผิด ประพฤติผิด ทำผิดเป็นปกติ แล้วก็อีกประเภทหนึ่งก็คือ พระอุปัชฌาย์อาจารย์บวชให้แล้วไม่สั่งสอน บวชแล้วทิ้งไปเลย ลักษณะที่เขาเรียกว่าพระอุปัชฌาย์เป็ด ไข่แล้วทิ้ง ปล่อยให้ฟักเป็นตัวเอาเอง ก็เลยมีการทำผิดทำพลาดให้ญาติโยมเขาตำหนิได้มาตลอด

แบบเดียวกับการที่ผมนั่งรับเงินที่ญาติโยมถวายนี่แหละ ถ้าหากว่าเป็นอีกนิกายหนึ่งเขาก็จะมาตำหนิว่าเราทำผิด แต่คราวนี้ผมไปดูการกระทำของท่านคือท่านรับเป็นเช็ค รับเป็นตั๋วแลกเงินซึ่งก็ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะในสิกขาบทที่ ๙ ในนิสสัคคิยปาจิตตีย์ท่านใช้คำว่า “รูปิยสํโวหรํ” ก็คือสิ่งที่ใช้แทนเงินทอง ในเมื่ออะไรที่ใช้แทนเงินได้ก็ถือว่าผิดเหมือนกัน จะรับเองหรือจะให้คนอื่นรับก็โทษเท่ากัน

ฉะนั้น...ครูบาอาจารย์ผมท่านถึงบอกว่า “รับไปเถอะ แล้วสร้างประโยชน์ให้เขาให้มากที่สุด อย่าไปคิดว่าเป็นของเรา”


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:11


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว