กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2250)

เถรี 19-11-2010 10:30

ถาม : วันที่ ๕ ธันวาคม ผมตั้งใจจะบวชครับ แต่ถ้าเกิดบวชแล้วไปร่วมธุดงค์ที่วัดอื่นด้วยจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ น่าจะได้ แต่ไม่อนุญาตให้ไป บวชไม่ทันไรก็ไปเลยผิดพระวินัย พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้แล้วว่า ๕ พรรษาจึงจะไปได้

ถ้าจะบวช ๕ ธันวาคม ก็โปรดดูด้วย ต้องจัดงานเอง และก็บวชเองด้วย เพราะ ๕ ธันวาคม ตรงกับวันที่อาตมารับสังฆทานที่กรุงเทพฯ

เถรี 19-11-2010 10:37

ถาม : ที่ท่านสอนเดินจงกรม หนูเดินไปเรื่อย ๆ แต่กำหนดไม่ถูกค่ะ ไม่รู้จะจับลมหายใจควบด้วยอย่างไร ?
ตอบ : ตอนช่วงนั้นเขาให้สติกำหนดรู้อยู่กับการเคลื่อนไหว ไม่ใช่อยู่กับลม เขาใช้สมาธิแค่ไม่เกินอุปจารสมาธิเท่านั้น ถ้าไปกำหนดลมจะเกินอุปจารสมาธิ ยิ่งถ้าเป็นปฐมฌานจะเดินไม่ได้ เพราะจิตกับประสาทเริ่มแยกออกจากกัน เราจะก้าวไม่ออก ติดอยู่แค่นั้น

ให้กำหนดรู้แค่อาการเคลื่อนไหว ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ

ถาม : เราสามารถใช้วิปัสสนาญาณเข้าไปในการพิจารณาได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ามีความสามารถพอก็ได้

ถาม : เอาตัวอะไร เป็นการวัดผลสำเร็จ สมมติตอนบ่ายกำลังง่วง เดินจงกรมแล้วหายง่วง ถือว่าใช้ได้แล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถือว่าใช้ได้แค่ชั้นอนุบาลเท่านั้น

บางทีก็ไม่ใช่ความง่วง แต่เป็นถีนมิทธะนิวรณ์มารบกวน บางทีเวลาเช้านี่แหละ บางคนเดินแล้วยังเซเลย จะหลับให้ได้ เพราะสภาพจิตเริ่มเป็นสมาธิ แต่หยาบเกินไปเพราะไม่เคยซักซ้อมมาก่อน จะตัดหลับท่าเดียว

ถาม : พอเดินจงกรมได้ ๑๕ นาที แล้วมากำหนดนั่งต่อ จิตจะควบเป็นฌานเลย เหมือนจะมีกำลังมากกว่าปกติ
ตอบ : เพราะว่าเรากำหนดสติอยู่เฉพาะหน้า เราไม่ส่งจิตไปไหนจึงไม่ทำให้เสียกำลัง เมื่อไม่เสียกำลังเท่ากับเราสั่งสมกำลังได้ระดับหนึ่ง ถึงเวลาจะใช้งานก็รวดเดียวได้เลย

เถรี 19-11-2010 10:39

พระอาจารย์บอกว่า "สาเหตุที่เหรียญทำน้ำมนต์มีขนาดใหญ่ เพราะตั้งใจให้ไว้ทำน้ำมนต์ ไม่ได้ตั้งใจให้แขวน เป็นเหรียญที่ตั้งใจทำจริง ๆ เพราะในชีวิต วิชาที่คิดว่าทำได้ดีที่สุดก็อันนี้แหละ คือไปรับกรรมแทนคนอื่นเขา เพราะฉะนั้น..ตัวเองยิ่งแย่เท่าไร ของก็ยิ่งขลังเท่านั้น..!"

เถรี 19-11-2010 10:43

ถาม : เวลาปฏิบัติไป รู้สึกมันสวนกับทางโลก เราทำงานไม่ได้เลย
ตอบ : แสดงว่าคุณทำผิด การปฏิบัติธรรมเราไปตามกรอบของศีล ทำไมจะไปกับทางโลกไม่ได้ ?

ถาม : เวลาเราทำงาน เราใช้พลังบางอย่างเพื่อที่จะปลุกเร้าทีมงานให้เกิดความรู้สึกขึ้น ใจเราก็เห่อตาม
ตอบ : เวลางานให้อยู่กับงาน เวลาว่างค่อยมาอยู่กับกรรมฐาน แสดงว่าคุณแบ่งเวลาไม่เป็น คุณจะอยู่กับกรรมฐานตลอด ก็ทำงานไม่ได้สิ

ไปปรับใหม่ เวลางานให้อยู่กับงาน เวลาว่างให้ใจอยู่กับกรรมฐาน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น

ถาม : หลัง ๆ เวลางานจะเยอะขึ้น ก็เลยลองถอดกำลังใจบางส่วน แล้วก็ทำกับงาน พอกำลังใจบางส่วนทำกับงาน รู้ว่านั่นไม่ใช่ตัวเรา วุ่นไปหมด ไม่สงบ
ตอบ : ถ้าถึงระดับนั้น เดี๋ยวก็ต้องทิ้งงานแล้ว ถ้าเราอยู่กับความสงบจนชินก็จะอยู่กับงานไม่ได้ ต้องทิ้งงานมาเข้าวัด ดูจังหวะดี ๆ เสียก่อน ค่อยหาโอกาสเข้าวัด

ถาม : พยายามหลายครั้งแล้วครับ แต่ว่าทางบ้าน ?
ตอบ : อดทน สู้ต่อไปไอ้มดแดง..!

เราจะเห็นความสุดยอดของพระพุทธเจ้า โอวาทของท่าน ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขึ้นต้นด้วยขันติ ต้องอดทนอย่างเดียว..!

เถรี 19-11-2010 11:02

ถาม : เหรียญทำน้ำมนต์ใช้อย่างไรครับ ?
ตอบ : ใช้ทำน้ำมนต์

ถาม : อาราธนาอย่างไรครับ ?
ตอบ : อิติปิ โสฯ ๗ จบ นะมะพะธะ ๑๕ จบ ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีพระสารีบุตรเป็นที่สุด ให้ช่วยกำจัดโรคที่เป็นอยู่ให้หายโดยฉับพลัน ระยะนี้ไม่ค่อยแกล้งใคร ไม่อย่างนั้นจะบอกว่า ให้อมเหรียญไว้ ละลายเมื่อไรถึงจะหาย..!

เถรี 22-11-2010 13:40

ถาม : หนูรู้สึกว่าช่วงนี้อารมณ์มันโปร่ง ไม่ค่อยมีเรื่องมีราว
ตอบ : อยากมีมากใช่ไหม ? ถ้าอยากมีมาก ไปแส่หาเรื่องเดี๋ยวก็ได้เอง..! อาตมาเคยระมัดระวังตัวเองเป็นอย่างยิ่ง กลัวว่าจะเสียท่ากิเลส เพราะกิเลสไม่โผล่หน้ามาเลยสามปีเต็ม ๆ มารู้ตัวอีกที ก็ตอนตัวเองอยู่ก้นเหวแล้ว..!

ถาม : สามปีท่านระวังตลอด ?
ตอบ : ระวังตลอด แต่เหมือนกับว่าทางเดินที่เราเห็นว่าราบ ๆ กลับต่ำลงไปทีละมิลลิเมตรโดยไม่ได้สังเกต เดินไปสามปีจึงไปอยู่ก้นเหวแล้ว

ถาม : แล้วเราควรจะทำอย่างไร ?
ตอบ : รู้ตัวก็ตะกายกลับสิ

ถาม : แล้วตอนนั้นท่านรู้ได้อย่างไร ?
ตอบ : ตอนนั้นเห็นชัดแล้วว่า รัก โลภ โกรธ หลง ยังมีอยู่เต็มตัว เพราะฉะนั้น..ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่ามั่นใจว่าดีเป็นอันขาด

ถาม : ทำอย่างไรถึงจะมองเห็น ?
ตอบ : เร่งในเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาให้มากขึ้น เดี๋ยวก็จะมองเห็นเอง

ถาม : ตอนท่านทำท่านเร่งอย่างไร ?
ตอบ : เอาสมาธิเป็นหลัก แล้วก็ทวนศีลอยู่ทุกวัน ถ้าศีลและสมาธิดี เดี๋ยวปัญญามาเอง เพราะฉะนั้น..ประมาทได้ ตอนนี้สบาย ๆ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ เดี๋ยวกิเลสก็เหยียบเราแบน..!

ถาม : ตอนที่กิเลสโผล่มานี่น่ากลัวที่สุด
ตอบ : น่ากลัวมาก.. ตอนนั้นอาตมาระวังจ้องเอาไว้ทั้งกลางวันกลางคืน สามปีไม่เห็นกิเลสไม่โผล่หน้ามาเลย แต่ก็ยังโดนหลอกไปเต็ม ๆ

เถรี 22-11-2010 14:07

พระอาจารย์กล่าวว่า "การทำงานทุกอย่าง ถ้ามีสมาธิช่วย งานจะออกมาดี ถ้าไม่มีสมาธิช่วย ถึงจะมีผลงานออกมาก็ดีสู้เขาไม่ได้

สมัยที่อาตมาเรียนบาลีอยู่ หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศ ให้โอวาทว่า "ท่านเล็ก..เรียนบาลีอย่าทิ้งสมาธินะ ถ้าทิ้งเมื่อไรแล้วจะท้อ..ไปไม่รอด" นี่สำหรับพระและเณรของเราด้วยนะ

สมาธิเป็นสิ่งจำเป็น อย่าทิ้งเด็ดขาด ถ้าทิ้งพอไปเจอของยากแล้วจะกลัว เพราะกำลังใจไม่พอ แต่ถ้าสมาธิทรงตัว ยิ่งยากก็ยิ่งสนุก ท้าทายดีเหลือเกิน"

เถรี 22-11-2010 15:40

ถาม : อย่างเวลาคนเราโกรธ ใจเราเป็นคนโกรธ หรือใจเป็นคนสั่งให้เราโกรธ ?
ตอบ : หลายอย่างรวมกัน อย่างแรก เขาเรียกสัญชาตญาณ คือ ความรู้ที่มีมาแต่กำเนิด ความรู้นี้ก็คือ กิน ถ่าย นอน สืบพันธุ์ อย่างที่สอง ก็คือ สภาพจิตของเราที่ปรุงแต่ง ให้ยินดียินร้ายตามอารมณ์นั้น ๆ อย่างที่สาม คือ โมหะ หลงผิดคิดว่าสิ่งนั้นดีจึงได้ทำ เห็นหรือยังว่ามีตั้งหลายอย่างรวมกัน

ถาม : แต่ส่วนใหญ่จะเป็นกลาง ๆ
ตอบ : ทันทีที่มีการปรุงเมื่อไร ก็จะเสียความเป็นกลาง จะเอียงไปด้านรัก ด้านโลภ ด้านโกรธ ด้านหลง

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เพราะกิเลสแรงกว่า เราจึงโดนกิเลสรั้งไว้ ก็เลยต้องเพาะสร้างกำลังให้แข็งแรง เพื่อที่จะดิ้นหลุดจากกิเลสให้ได้ พอดิ้นหลุดออกมาเสร็จก็ต้องหาทางฆ่ากิเลสให้ได้ด้วย

ถาม : สิ่งที่เราสร้างได้ คือ เราสร้างหลักธรรม หรือสร้างอะไร ?
ตอบ : จริง ๆ เราสร้างกำลังให้กับใจ กำลังของใจจะเป็นกำลังของสติ สมาธิ ปัญญา สติระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราจะทำอะไร สมาธิกำลังความมุ่งมั่นจดจ่อที่จะทำให้ได้สำเร็จ และปัญญาหาช่องทางที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้สำเร็จ

เถรี 22-11-2010 15:45

ถาม : ที่ท่านบอกว่า ให้ใช้ปัญญาหาทางที่ง่ายที่สุดของแต่ละคน แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนเป็นทางที่ถูกสำหรับเรา ?
ตอบ : ทางที่เจ็บตัวน้อยที่สุด ย่อมเหมาะกับตัวเรามากที่สุด

ถาม : แล้วไม่มีวิธีที่...
ตอบ : มี แต่ไม่เหมาะสำหรับเรา แต่ละวิธีก็เหมาะกับแต่ละสภาพ แต่ละผู้คน บุคคลที่กำลังใจเข้มแข็งมาก ทางที่เขาสามารถผ่านได้โดยง่าย แต่เราลองไปบ้างอาจจะปางตายเลย

ถาม : แล้วถ้ากำหนดใจเรา..?
ตอบ : ค่อย ๆ ย่อง

ถาม : ย่องอย่างไรครับ ?
ตอบ : อย่างไรก็ได้ให้ถึงเถอะ ก็อยู่ในศีล สมาธิ และปัญญานั่นแหละ พยายามสั่งสมความดีไว้ อย่าให้ขาดช่วง ถ้าเป็นความดีนิดหนึ่งก็เอา หน่อยหนึ่งก็เอา ว่าไปเรื่อย

ถาม : แล้วการสั่งสมสร้าง..?
ตอบ : ถ้าทำได้ผลจะมีฉันทะมาก โดยเฉพาะถ้าปีติเกิด เราจะไม่เบื่อไม่หน่าย ทำไปตลอด แต่ถ้าทำไม่ถึงตรงจุดนั้น เดี๋ยวก็ถอยแล้ว

เถรี 23-11-2010 00:14

ถาม : เมื่อวานตอนที่แม่ชีมา ท่านบอกว่าพวกหนูใจร้อน มุทะลุ เป็นอย่างไรหรือคะ ?
ตอบ : อย่างพวกเรา ถ้าอาตมาบอกว่าเสกเพี้ยงเดียวได้เป็นพระโสดาบันทันที ก็เอาเลย..ใช่ไหม ?

ถาม : ค่ะ
ตอบ : นั่นแหละ..ใจร้อน รอไม่ได้ ถ้าในโลกนี้มีเรื่องง่ายขนาดนั้น พระพุทธเจ้าท่านพาเราไปพระนิพพานหมดแล้ว

ทุกอย่างอยู่ที่ความสามารถของเรา ถ้าเราทุ่มเทมากผลก็เกิดเร็ว ถ้าทุ่มเทน้อยผลก็เกิดช้า ถ้าทุ่มเทแล้วจะให้ผลเกิดเร็ว ต้องทุ่มให้ถูกทางด้วยนะ ออกนอกลู่นอกทาง ถ้าออกนอกแนวของศีล สมาธิ ปัญญา ถึงทุ่มเทไปก็ไม่เกิดผล ถ้าเกิดผลก็กลายสภาพเป็นมิจฉาทิฏฐิไป

ดีใจกับคุณแม่ชีท่านด้วย ตอนนี้ท่านสอบผ่านแล้ว คนแก่ได้เปรียบ กิเลสน้อยหน่อย จะมีมากก็ตัวมานะทิฏฐิ อายุ ๘๐ แล้วจะไป รัก โลภ โกรธ หลง กับใครไหว ถ้าเป็นลักษณะของนักปฏิบัติ อายุมากจะได้เปรียบ ถ้าตั้งใจเอาดีจริง ๆ เท่ากับว่า กำลังของราคะ โลภะ โทสะ โมหะจะน้อยกว่า แต่จะมีมากตรงทิฏฐิและตัวอติมานะ

กูใหญ่มาก่อน กูอายุมากกว่า ถ้าอย่างนั้นเจ๊งแน่ กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิและมานะ ถือตัวถือตน กลายเป็นตัวกูของกูไป

เถรี 23-11-2010 00:17

ถาม : ตอนที่ท่านปฏิบัติอยู่ ท่านใจร้อนไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาใจร้อนมาก จะเอาให้ได้วันนั้นเลย ในเมื่อจะเอาวันนั้นเลยก็ต้องทุ่มเทมาก ๆ แต่ผลไม่เกิดตอนนั้นหรอก ผลที่ทุ่มเทมาเกิดทีหลัง

ถาม : ทำมากี่ปีคะ ?
ตอบ : ๑๑ ปี ยังไม่ได้อะไรเลย นอกจากพื้นฐานสมาธิสมาบัติต่าง ๆ

ถาม : ๑๑ ปี นี่ยังไม่ได้อะไรเลย ?
ตอบ : พวกนั้นไม่ใช่ของที่ต้องการ อาตมาต้องการจะไปนิพพาน ยังแตะไม่ถึงเลย

ถาม : ๑๑ ปีได้บวชหรือยังคะ ?
ตอบ : ยัง..เป็น ๑๑ ปีที่ไม่ได้ทำอย่างพวกเรา เป็น ๑๑ ปี ที่ทุ่มเทจนคนอื่นเขาว่าบ้ากันหมดแล้ว ทำแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนใจโลกภายนอกจะเป็นอย่างไร กูรู้ว่าทางนี้ดีกูก็จะไปท่าเดียว

เถรี 23-11-2010 00:21

ถาม : ถ้าเรารู้สึกว่าตอนนี้ใช่แล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่อีก เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า นี่ใช่แล้วจริง ๆ ?
ตอบ : อย่าเชื่อว่าใช่จริง ๆ เพราะทันทีที่จิตละเอียดกว่าเดิมขึ้นไป ก็จะรู้ว่ายังไม่ใช่นี่หว่า..แล้วเราก็จะไปยึดตรงจุดที่ปัจจุบันว่าใช่ตรงนี้อีก

เพราะฉะนั้น..อย่าเพิ่งไปยึดว่าใช่ จนกว่าจะเข้านิพพานจริง ๆ แล้วค่อยใช่ ถ้ายังมีร่างกายนี้อยู่อย่าเพิ่งเชื่อ

ถาม : ในส่วนของสมาธิเองนั้น สำหรับบุคคล ๆ หนึ่ง ก็จะมีวิธีการที่จะใช้ตัวสมาธิได้แตกต่างไป เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแต่ละตัวควรจะใช้ตอนไหน ?
ตอบ : เอาอานาปานสติเป็นหลัก แล้วขณะเดียวกันก็พยายามที่จะระงับเรื่องของรัก โลภ โกรธ หลง ด้วยศีล และกรรมฐานคู่ศึกของอารมณ์ตอนนั้น

พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเห็นผู้หญิงสวย ก็เอาอสุภะกรรมฐานแทรกไปทันที ซึ่งจะต้องมีความคล่องตัวในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ แต่ถ้าหากมีความคล่องตัวในเรื่องเดียว ก็ต้องวิ่งกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกทันที

เถรี 23-11-2010 00:24

ถาม : เรื่องของอรูปพรหม ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเป็นอรูปพรหมก็ไปตามบุญของเขา หมดบุญเมื่อไรก็จะไปเสวยกรรมตามที่ตัวเองทำมา อรูปพรหมนี่อันตรายที่สุด เพราะว่าหมดบุญแล้วมีแต่จะลงต่ำ ไม่มีขึ้นสูง

เถรี 23-11-2010 00:36

ถาม : สติ เป็นตัวระลึกหรือเป็นตัวตัด ?
ตอบ : การตัดต้องใช้กำลังสมาธิช่วย สติเพียงรู้เท่าทัน แต่กำลังไม่พอที่จะไปตัดหรอก ต้องอาศัยกำลังจากสมาธิ ถ้าสมาธิทรงตัว สติก็จะมั่นคง ว่องไวไปด้วย

ถาม : ถ้าเราตัดได้ แสดงว่าเกิดจากสติ หรือเกิดจากสมาธิ ?
ตอบ : สติ สมาธิ ปัญญา จะต้องไปด้วยกัน ปัญญาเห็นว่าสิ่งนี้เป็นโทษ สติจึงบอกให้หยุด โดยใช้สมาธิเป็นตัวรั้ง

ถาม : การที่เราเห็นว่าไม่ดี เห็นว่าเป็นตัวนำมาซึ่งความทุกข์จริง ๆ อย่างนั้นจะถือว่าเป็นปัญญา ?
ตอบ : เห็นว่าไม่ดีนั่นแหละ ตัวถือว่าเป็นโทษ เป็นตัวปัญญา

เถรี 23-11-2010 09:22

ถาม : คลำไปเจออารมณ์หนึ่งค่ะ อารมณ์ที่เหมือนกับว่าเราพ้นจากตรงนั้นแล้ว คือเราไม่มีความวิตกกังวล ใคร่ครวญในสิ่งใด สิ่งนั้นทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เราอยู่เหนือกว่าแล้ว
ตอบ : อย่าเพิ่งไปเชื่อ กติกาใดที่ทำให้เราก้าวเข้าไปสู่จุดนั้น ต้องทำแล้วทำอีก ทิ้งไม่ได้ เพราะถ้าเราทิ้ง กำลังอาจจะตกลงมา ถ้าตกลงมาคราวนี้ก็จะชอกช้ำอยู่คนเดียว

เถรี 23-11-2010 09:23

ถาม : เขานั่งกรรมฐานก่อนนอน พอเขาจะนอนเขาได้กลิ่นธูปหอมเย็น ๆ ลอยมา ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้จุดธูปจุดเทียนอะไรเลย
ตอบ : พวกกลิ่นธูปส่วนใหญ่จะเป็นพรหม จริง ๆ แล้ว กลิ่นคล้ายพวกกระแจะจันทน์ แต่เราไปเข้าใจว่าคล้ายกลิ่นธูป ถ้าเป็นเทวดากลิ่นจะหอมสดชื่นเหมือนดอกไม้ แต่ไม่เหมือนกับดอกไม้ใดบนโลก

เถรี 23-11-2010 09:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีสิ่งหนึ่งที่อยากเตือนพวกเราไว้ บางทีพวกเราอาจจะไม่รู้กันก็คือ พยายามเลี่ยง อย่าไปนอนหน้าหิ้งพระ หรือนอนหน้าพระประธาน เพราะเวลาดึก ๆ เทวดานางฟ้าท่านลงมาไหว้พระ ถ้าเราไปนอนขวาง ก็ไปเกะกะท่าน ท่านไหว้พระไม่ได้

อาตมาเองชอบนอนหน้าหิ้งพระ เวลานอนยังต้องหลบมาด้านข้าง ไม่นอนตรงกับพระพุทธรูป"

ถาม : เว้นช่วงแล้วปูผ้าให้ท่านได้ไหม ?
ตอบ : ได้..อาตมาใช้วิธีนอนตะแคงข้างให้ เพราะชอบนอนหน้าหิ้งพระมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว พอได้รับคำเตือนก็เลยใช้วิธีนี้ คือหลบออกข้างไป

เถรี 23-11-2010 11:50

พระอาจารย์แจ้งว่า "กฐินปลดหนี้ปี ๒๕๕๔ จะลงไปที่วัดรัตนานุภาพ ของพระครูประโชติรัตนานุรักษ์ (สว่าง จนฺทวํโส) เป็นเพื่อนรุ่นน้องของอาตมาเอง อยู่อำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส วันทอดกฐินตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ ส่วนปี ๒๕๕๕ ไปภาคตะวันออก ปี ๒๕๕๖ ไปภาคอีสาน

ถ้าไปถึงนราธิวาสแล้ว อย่าลืมแวะไปที่วัดโกลกเทพวิมล ที่สุไหงโกลก หลวงพ่อเอียดท่านมรณภาพแล้วสังขารไม่เน่า ท่านนอนพนมมือมรณภาพ แต่สังขารท่านเขาเผาไปแล้ว เขาเลยสร้างรูปหล่อไว้ในลักษณะพนมมือ

นอกจากนี้ควรแวะไปกราบสังขารของ หลวงพ่อแดง วัดทองดีประชาราม ท่านนั่งมรณภาพ เขายังเก็บสังขารท่านไว้ในลักษณะท่านั่ง วัดอยู่ใกล้ ๆ กัน ไม่ไกลมาก ไหน ๆ จะไปเสี่ยงตายที่นราธิวาสทั้งทีก็เอาให้คุ้ม

ขากลับถ้าเราวิ่งผ่านสงขลา ก็จะผ่านหาดใหญ่มีวัดโคกสูงของหลวงพ่อใบ ภทฺทิโย ท่านมรณภาพแล้วไม่เน่า มีโอกาสก็แวะ ไปทั้งทีไปด้วยความยากลำบากก็ไปให้คุ้ม เอาให้พวกทหารคุ้มกันประสาทกลับไปเลย

จะต้องออกวัตถุมงคลเพื่อปักษ์ใต้โดยเฉพาะหรือเปล่า ? ถ้าออกจะต้องไปรับที่นราธิวาสเลยนะ มีเคล็ดลับตอนขับรถ ก็คือ ควรขับกลาง ๆ ถนน จะปลอดภัยกว่า เพราะส่วนใหญ่เขาจะเจาะฝังระเบิดเข้ามาเลนเดียว

รู้ไหมว่าพวกคุณเลือกวัดที่นราธิวาส อาตมาชอบมากเลย เพราะเป็นคนชอบทำอะไรเสี่ยง ๆ ถ้าเลือกวัดที่ง่าย ๆ แล้วจะน่าเบื่อมาก ถ้าเลือกวัดของหลวงปู่อำนวย อาตมาคงจะต้องไปเครื่องบินแล้วโดดร่มลงเองเพื่อความมันในชีวิต..! เพราะวัดอยู่ข้างสนามบิน ออกจากสนามบินไม่กี่ก้าวก็ถึงวัดแล้ว

เริ่มเก็บสตางค์เพื่อบูชาวัตถุมงคลเพื่อกฐินปักษ์ใต้ เตรียมประมูลวัตถุมงคลเพื่อกฐินปักษ์ใต้กันได้แล้ว กฐินงวดนี้เขาจะเอาไปสร้างโบสถ์วัดรัตนานุภาพ"

เถรี 23-11-2010 15:53

"วันก่อนที่พุทธาภิเษกพระกริ่งสมปรารถนาที่วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ หลวงพ่อมนัสท่านขีดเส้นแบ่งสมบัติกัน ท่านรับผิดชอบด้านตะวันออก เหนือ ใต้ ส่วนเราให้รับผิดชอบด้านตะวันตก เหนือ ใต้ แบ่งกันดูแลประเทศไทยคนละซีก พูดง่าย ๆ ว่าให้เอาภาคตัวเองเป็นหลัก ส่วนเหนือกับใต้ถือเป็นของแถม

ตกลงกันว่าสามเดือนเป็นอย่างน้อยต่อครั้ง จะต้องสร้างบุญใหญ่เพื่อส่วนรวม ปีหน้าวัดท่าขนุนก็จะมีปฏิบัติธรรม ๕ รุ่น ขณะเดียวกันก็ยังมีบวชพระอีก ๔ รุ่น ก็น่าจะแทบมีการสร้างบุญใหญ่ทุกเดือน

วันนั้นไม่ได้คุยอะไรกันมากมายหรอก คุยกันแค่นี้ นับเป็นเรื่องแปลก พี่น้องสองคนนั่งจ้องหน้ากันอยู่คนละฝั่งประเทศ อาตมาผ่านไปวัดของท่านก็ไม่กล้าเข้าไป เพราะกลัวท่านโยนงานให้

วันหนึ่งผ่านไป ท่านฝากโน้ตมาว่า "คราวหน้าถ้าผ่านมาแล้วไม่แวะวัดกู มึงไม่ต้องมาเลย..!" ในที่สุดก็หนีไม่พ้น เจอกันในงานนั้น

พยายามเลี่ยงแล้วเลี่ยงอีก ตัวจริงก็ใจเย็นเหลือเกิน ไม่ขยับสักที ขอให้โยมทั้งหลายทราบว่า เรื่องของการปฏิบัติในหน้าที่พระโพธิสัตว์ ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของอาตมา เพราะอาตมาเองไม่ใช่พระโพธิสัตว์ แต่เป็นการติดตามหลวงพ่อมาระยะยาวนาน การสร้างบารมีก็เลยคล้ายเป็นพระโพธิสัตว์

ฉะนั้น..ต้องรอตัวจริงเขามาทำหน้าที่ แต่ตัวจริงก็สมกับเป็นพระโพธิสัตว์ เวลาท่านเยอะเหลือเกิน ก็เลยยืดเวลาไปเรื่อย พวกนี้ท่านจะต้องเกิดอีกนาน ในเมื่อเกิดอีกนาน เวลาของพวกท่านจึงเยอะ หรือท่านเห็นเราทำอยู่ ท่านจึงฉวยโอกาสอู้ก็ไม่รู้ อาตมาได้ยืนยันกับทุกคนว่า อาตมาไม่ใช่ตัวจริง แค่ทำหน้าที่แทนเท่านั้น เหมือนรักษาราชการแทน"

เถรี 23-11-2010 15:59

"ตอนนี้ที่ดู ๆ อยู่ ท่านที่มาสายพระโพธิสัตว์จะไปหนักอยู่ทางภาคเหนือ ในเมื่อหนักอยู่ทางภาคเหนือ จะลงมาภาคนี้ก็ไกลเกิน ขณะเดียวกันหลวงพ่อคูณท่านก็อายุมากเหลือเกินแล้ว กลายเป็นว่า ของที่มีอยู่ก็มีแต่จะหลุดมือไป ส่วนของใหม่ก็ยังโตไม่ทันเสียที

จะดูว่ากฐินปักษ์ใต้จะมีนิมิตไปทางไหน เพราะวันงานกฐินที่วัดหนองหญ้าปล้อง นกอินทรีใหญ่คู่นั้นบินลงทางทิศใต้ ทันทีที่ยกพระเกศมาลาสมเด็จองค์ปฐมขึ้น แล้วพระสวดชยันโต อินทรีใหญ่คู่นั้นมาจากไหนไม่รู้ บินวนทักษิณาวรรต พอพระชยันโตเสร็จเขาก็บินลงทิศใต้ไป ขอยืนยันว่าเป็นนกอินทรีเพราะตัวใหญ่มาก ๆ แต่ถ่ายรูปติดมานิดเดียว

ที่อาตมาขึ้นลงสลิง ถามว่ากลัวไหม ? ต้องบอกว่าเคยกลัว แต่หลังจากที่เราเข้าใจว่า ความตายเป็นของที่ต้องมาถึงสัตว์ทุกรูปทุกนามเป็นปกติอยู่แล้ว ความกลัวก็ห่างไป แล้วถ้าเรามั่นใจว่าตอนนี้เราทำความดีอยู่ ถึงตายไปเราไปดีแน่ ก็ยิ่งกลัวน้อยไปอีก แค่โหนสลิงขึ้นไป ๓๗ เมตร ประมาณตึก ๑๒ ชั้นกว่า เรื่องเล็ก..!"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:58


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว