กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2109)

เถรี 29-09-2010 15:31

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนงานฉลองวัดหนองบัวเสร็จแล้ว ญาติโยมสามสี่หมู่บ้าน ทั้งหนองบัว ป่าหวาย สามพระยา บ้านใหม่ เขาแห่มาส่งเราเต็มหน้าวัด แต่ละคนก็เอาดอกไม้ ยอดหว้า ที่เขาถือว่าเป็นสิ่งที่บูชาพระ บูชาสิ่งที่เคารพมาให้

คนนี้ก็คลี่ผมให้เช็ดเท้า คนนั้นก็คลี่ผมให้เช็ดเท้า มานั่งดูใจของตัวเองว่า อารมณ์ความรู้สึกที่เขายึดเราเป็นที่พึ่ง แต่ยึดเป็นที่พึ่งในลักษณะของการยึดตัวบุคคล ทำให้เรารู้สึกว่าอาลัยบ้างหรือไม่ ? ปรากฏว่าไม่มี..แต่ก็ระวัง ระวังว่าจะเป็นแบบนั้น

ที่ขำก็คือ พอเรือออกมา ท่านอาจารย์ใหญ่ยานิกะมาโบกมือบ๊ายบายอยู่ตรงหน้าเจดีย์ เออ..ท่านอาจารย์ก็เป็นไปกับเขาด้วย

อาจารย์ใหญ่ยานิกะ ความจริงหลักการท่านดีหมด เพราะท่านจบธัมมะจริยะ (เทียบเท่าประโยค ๙ ของไทย) ตั้งแต่ท่านยังเป็นสามเณร ความรู้ในเรื่องพระพุทธศาสนาท่านแน่นมาก แต่ว่าในเรื่องหลักการปฏิบัติท่านยังน้อย ท่านบอกว่า ท่านเองตายแล้วไม่หวังจะเกิดใหม่ ก็เลยพยายามจะทำทุกอย่างให้อยู่ในกรอบของศีลธรรม

ลูกศิษย์ของท่านคือ หลวงพ่อเมียงจีงู ทหารกะเหรี่ยงทั้งประเทศขึ้นอยู่กับลูกศิษย์ท่าน แต่ท่านอาจารย์เองต้องมาขอไม้เก่าของวัดหนองบัวไปสร้างศาลา ท่านบอกว่า ท่านไม่แน่ใจว่า ถ้าให้ทหารเอาไม้มา จะถูกต้องตามกฎหมายหรือเปล่า ? ถ้าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เดี๋ยวท่านจะโดนอาบัติปาราชิก ขาดความเป็นพระโดยไม่รู้ตัว นั่นท่านระวังมากนะ ยอมมาขอไม้เก่าจากวัดหนองบัวไปสร้างศาลา

แม้ท่านจะระวังขนาดนั้นก็ตาม เราต้องเข้าใจว่า ลูกศิษย์สายหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นได้เปรียบ เพราะเรารู้ว่าอารมณ์พระอริยเจ้าเป็นอย่างไร มีกติกาเท่าไร เราปฏิบัติได้เลย แต่ว่าสายอื่นเขาไม่รู้ ในเมื่อเขาไม่รู้ ก็เปะปะไปเรื่อย ถ้าหากว่าตรงทางก็ดีไป แต่ถ้าหากหลงทางก็ต้องเกิดมาทนทุกข์อีกหลายชาติ..!"

เถรี 29-09-2010 20:12

"อะไรที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ จะไปไม่มั่นใจไม่ได้ แม้ว่าผ่านการทดสอบไปแล้วก็อย่าเพิ่งมั่นใจ เพราะเราอาจจะรอดแค่ครั้งนั้น

ตอนออกจากวัดท่าซุงมา มีโยมหลายคนที่เขารู้ เขามายืนส่ง น้ำตาไหล น้ำตาร่วง อาตมาก็คิดว่า เกิดมาชาติหนึ่ง อยู่แล้วเขาเกรงใจ ไปแล้วเขาคิดถึงก็พอ ไม่เอาอะไรมากมายไปกว่านี้อีกแล้ว

สิ่งที่จำเป็นที่สุดที่ต้องทำก็คือ ชำระใจของเราให้ผ่องใส เพื่อจะได้หลุดพ้นจากกองทุกข์เสียที ถ้าหากมัวแต่ไปให้คนอื่นเขายึดมั่นถือมั่นในตัวของเรา และมาดึงให้เราติดอยู่ด้วย ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ถูกต้อง

ตั้งแต่ฆราวาสแล้ว อาตมาไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านอยู่อย่างหนึ่ง คือ ไม่มีการมาอำลาอาลัยกับเขาหรอก สมัยนั้นมีพี่อยู่คนหนึ่ง รู้จักมักคุ้นสนิทกัน มักจะไปคุยหลักธรรมกัน บางทีนั่งคุยจนถึงครึ่งค่อนวัน เราบอกว่า "ไปแล้วนะ" บอกแล้วลุกไปเลย "ไปแล้วนะ" แล้วก็ไปเลย พอเขาเจอไปสองสามครั้ง เจอหน้าครั้งใหม่ เขาบอกว่า "น้องนี่เป็นคนแปลกนะ บอกไปเป็นไปเลย"

ความจริงไม่แปลกหรอก แต่เป็นปกติของเรา ปัจจุบันนี้เวลาพรรคพวกเพื่อนฝูงเขามาหา เราทักทายพูดคุยกันตามปกติ ไม่มีที่จะไปถามเขาว่าสบายดีหรือเปล่า หรือไปไหนมา มีธุระอะไร เรื่องจุกจิกซอกแซกไม่เคยถามสักคำเดียว

ดู ๆ แล้ว ถ้าคนที่ยังติดพิธีรีตองทางโลกอยู่ เขาก็จะว่าอาตมาไร้มารยาท แต่ความรู้สึกของอาตมาคือไม่มีอะไรจะคุย ส่วนเขาเองก็ถามนั้นถามนี่ไปเรื่อย อยากจะบอกเขาว่า เราเสียเวลามาคุยด้วยก็ยุ่งพอแล้ว ถ้ายังต้องมาถามสารทุกข์สุขดิบของเขาอีก ก็ออกจะมากเกินไปสำหรับเรา"

เถรี 29-09-2010 20:16

"การปฏิบัติธรรมเป็นการสวนกระแสโลก พอเราทำไปเท่ากับวิ่งสวนทางคนอื่น ทีนี้พอเราต่างจากคนส่วนใหญ่ คนส่วนใหญ่ก็เลยมักจะว่าเราบ้า

ในเพชรพระอุมา แงซายพูดว่า "หลวงปู่สอนว่า เจ้าจงตื่นในขณะที่โลกหลับ" แต่ทีนี้ถ้าเราตื่นอยู่คนเดียว ก็จะกลายเป็นบ้าในความรู้สึกของคนอื่น

ดังนั้น..การปฏิบัติธรรมที่ว่า โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก บางทีก็ต้องให้โลกช้ำหน่อย ๆ ไม่อย่างนั้นธรรมจะเสียเยอะ อย่างไร ๆ พวกเราก็ให้เกรงใจกันหน่อย อย่าให้ช้ำมาก"


ถาม : ทำเขาช้ำไปเสียเยอะค่ะ
ตอบ : เขาคงจะช้ำจนชินเสียแล้วกระมัง ?

บางทีเพื่อการอยู่สุขของเรา ก็เป็นสิ่งจำเป็น เรารู้ว่าดี..เราต้องการอย่างนี้ แต่เขาไม่ดีด้วย ก็ต้องช้ำกันไปข้างหนึ่ง
พระพุทธเจ้าออกมหาภิเนษกรมณ์ เท่ากับว่าเป็นการทำร้ายจิตใจของคนในครอบครัว แต่พระองค์ท่านไปเพื่อความสำเร็จ แล้วค่อยกลับมาสงเคราะห์ เพียงแต่ว่ารอพวกเราสำเร็จแล้ว ยังจะมีคนเหลือให้สงเคราะห์อยู่อีกหรือเปล่า ?

เถรี 29-09-2010 20:20

ถาม : ทำไมจิตมันถึงมีความสะเทือนเลื่อนลั่น ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้ว่าอย่างไรก็ไม่ปรุงแต่งไปมากกว่านี้ เราไม่ได้คิดจะก่อเหตุให้มากกว่านี้ ?
ตอบ : แรงกระทบยังมีอยู่ถึงเป็นเช่นนั้น ยกเว้นว่าเราจะเลิกรับแรงกระทบเหล่านั้นเสียได้

ถาม : บางทีเราก็เห็นว่ามันก็แยกออกจากเรา แต่มันก็ยังมีการสะเทือนอยู่
ตอบ : ถึงแยกออกจากเราก็จริง แต่ก็ยังอยู่ในลักษณะแยกได้เป็นพัก ๆ ถ้าแยกออกจากกันเด็ดขาด ก็จบไปนานแล้ว..!

เถรี 29-09-2010 22:15

ถาม : นิพพิทาญาณ เราจะแก้ตรงจุดนี้อย่างไร ?
ตอบ : นิพพิทาญาณเป็นของดี ถ้าอยู่กับเรานานเท่าไร ก็จะยิ่งเห็นความไม่ดีของร่างกายนี้ ของโลกนี้ เนื่องจากเราไปคิดว่าเป็นอารมณ์ที่ไม่ดี เพราะเราไม่ชอบ ก็เลยทำให้เราดิ้นรน อยากจะพ้นไป ทำให้เรายิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ มีทุกข์เพิ่มเข้าไปใหญ่

ให้ทำใจสบาย ๆ คิดว่าธรรมดาของร่างกายก็เป็นอย่างนี้ ธรรมดาของโลกเราก็เป็นอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าความทุกข์จะมีสำหรับเราแค่ชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น พ้นจากตรงนี้ไป เราก็ไม่มีอีกแล้ว เพราะเราจะไปนิพพาน

ถ้าคิดว่าชาตินี้ยังมากเกินไป ก็คิดแค่วันนี้ พ้นจากวันนี้เราก็ไม่ต้องมาเกิดลำบากอย่างนี้อีกแล้ว หรือถ้ายังไกลเกินไป ก็เอาแค่หมดลมหายใจนี้ เราก็ไม่ต้องมาทุกข์ยากลำบากกับร่างกายนี้อีกแล้ว ในเมื่อเรามีเวลาอยู่แค่ชั่วลมหายใจเดียว ชั่ววันเดียว ทำไมเราจะอยู่กับร่างกายนี้ไม่ได้

ในเมื่อเราวางกำลังใจอย่างนี้ จิตก็จะคลายออกมา ถ้าเห็นเป็นธรรมดาได้เมื่อไร ก็จะก้าวเป็นสังขารุเปกขาญาณแบบปล่อยวางได้เอง แต่ถ้ายังวางไม่ได้ ก็จะเบื่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่ให้รู้เลยว่าความเบื่อเป็นของดี เพราะถ้ายังไม่เบื่อเราก็ยังอยากจะเกิดอีก

เถรี 29-09-2010 22:28

ถาม : คุณแม่ไปปฏิบัติธรรม กลับมารอบนี้เขาจะพูดเยอะ พูดมาก
ตอบ : ช่วยฟังท่านหน่อย เราคอยถามให้แม่พูดไปเรื่อย ๆ ให้ท่านระบายออกมาให้หมด นักปฏิบัติใหม่ ๆ มักจะอยู่ลักษณะอย่างนี้ พอเก็บกดอยู่หลาย ๆ วัน เขาจะระบายออก เราไปอยู่ช่วงที่เขาระบายออกพอดี ชวนท่านคุยเยอะ ๆ พอระบายจนเหนื่อยเดี๋ยวก็เลิกไปเอง

ถาม : แปลว่าเขามีโอกาสที่จะก้าวไปใช่ไหม ?
ตอบ : ตอนนี้รั่วหมดแล้ว เมื่อกำลังรั่วหมด ไม่มีกำลังไปละกิเลส แล้วจะเอาอะไรมาก้าวหน้า ต้องทำบ่อย ๆ พอชินเข้าก็จะรักษากำลังเอาไว้ได้ ถึงตอนนั้นจึงจะมีความก้าวหน้า

เถรี 29-09-2010 22:33

ถาม : ผมควรจะไปบวชไหม ?
ตอบ : ถ้ายังถามอยู่ชาตินี้ก็ไม่ต้องบวชหรอก..! ถ้าจะทำอะไรก็ต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด มัวแต่ไปถามคนอื่น เพื่อให้คนอื่นช่วยตัดสินใจ จะไปเอาความดีอะไรขึ้นมาได้ จะอยู่ก็อยู่ จะไปก็ไปเลย..!

ถาม : วัดไหนก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : วัดไหนก็ได้ สำคัญว่าเราทำจริงหรือเปล่าเท่านั้น

ถาม : เวลาภาวนา นะมะพะธะ ทำไมรู้สึกว่าขัดอยู่ในอก ไม่เหมือนตอนภาวนาพุทโธ
ตอบ : คำภาวนามีหลายคำเกินไป แล้วเรายังไปบังคับให้ตรงกับลมหายใจ จึงเป็นอย่างนั้น
ให้หายใจยาวไปเลยโดยที่ไม่ต้องไปบังคับตามจังหวะคำภาวนา ให้สนใจลมหายใจมากกว่าคำภาวนา


ถาม : ใช้มโนมยิทธิแล้วกราบพระ เห็นพระไม่ชัดเจน
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องชัด ให้รู้สึกว่ามีก็ใช้ได้แล้ว

ถาม : ถ้ามโนมยิทธิเรายังไม่แจ่มใส แปลว่าจิตยังไม่ดีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มโนมยิทธิจะแจ่มใสได้ มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นแหละ ของเราเป็นหรือยัง..!

เถรี 30-09-2010 00:10

ถาม : การกำหนดจิต หนูยังหาการกำหนดไม่เจอ
ตอบ : อยู่กับลมหายใจเข้าออก สภาพจิตก็จะสงบ พอสงบถึงที่สุด เราก็ตามดู ตามรู้ว่า รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นอย่างไร ให้รับรู้เฉย ๆ ไม่ไปปรุงแต่งด้วย

ถาม : ความรู้สึกที่กำหนดจิต ?
ตอบ : สำคัญที่สุดอยู่ที่ลมหายใจ ถ้าไม่อยู่ที่ลมหายใจก็หาจิตไม่เจอหรอก

ถาม : เวลาปฏิบัติแล้วสงสัยขึ้นเรื่อย ๆ ควรจะวางกำลังใจหรือทำอย่างไรดี ?
ตอบ : ถ้าหากทำไปจริง ๆ ถึงระดับหนึ่งความสงสัยก็จะหายไป มีอยู่อย่างเดียวคือ พยายามวางกำลังใจของเราให้ทรงตัว ภาวนาให้ต่อเนื่อง ถ้าต่อเนื่องกันได้แล้วจะหายสงสัยไปเอง

เถรี 30-09-2010 00:16

ถาม : พอไปทำอะไรมา ไม่ได้อธิษฐานเพื่อส่วนตัวค่ะ
ตอบ : วิสัยเดิมที่เคยตามสายหลวงพ่อที่เป็นพุทธภูมิมา อะไร ๆ ก็ทำเพื่อส่วนรวมทั้งนั้นแหละ เรียกว่าเป็นพุทธภูมิแบบตกกะไดพลอยโจน ไม่ได้ตั้งใจจะเป็น แต่ทีนี้หัวแถวเป็น ลูกแถวตามมา จึงคล้าย ๆ กัน

ถาม : สมมติภพชาตินี้หมดไปแล้ว ภพชาติหน้าต่อไปก็มีต่อเนื่องแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช่แล้ว..ของเก่าทำมา ทิ้งวิสัยเดิมไม่ได้หรอก พอถึงเวลาเราต้องการก็ปรากฏ พยายามเบนเข้าหาอารมณ์พระอริยเจ้าให้ได้

ถาม : ทางคณะจะลงใต้ไปที่วัดชัยชนะสงคราม ที่หาดใหญ่
ตอบ : ไปแล้วต้องฝึกกรรมฐานด้วยนะ อย่าทิ้งโอกาสไปเปล่า ๆ

ถาม : ให้พวกเราไปฝึกด้วยหรือคะ เห็นว่าเป็นสายของหลวงปู่สดเหมือนกันหรือคะ ?
ตอบ : เหมือนกัน แต่หลวงป๋าวิวัฒน์ท่านสอนมโนมยิทธิ แบบมโนมยิทธิปนกับธรรมกาย สองอย่างลงท้ายคล้ายคลึงกัน จึงไปด้วยกันได้

เถรี 30-09-2010 00:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "ก่อนนี้ที่กรุงเทพฯ ทรุด ปัญหาใหญ่ก็คือสูบน้ำบาดาลมากเกิน ข้างใต้ดินลงไปที่เป็นชั้น ๆ จะมีโพรงที่อัดน้ำอยู่เต็ม พอเราดูดน้ำขึ้นมา น้ำหนักดินก็จะกดลงไป เมื่อไม่มีสิ่งรองรับ ก็จะยุบลงไปเรื่อย

ระยะหลังปัญหาการสูบน้ำบาดาลคลี่คลายลง เพราะน้ำประปาพอใช้ แต่ไปหนักตรงสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตขึ้นทุกวัน น้ำหนักที่กดทับลงไปก็ยิ่งหนักหนาสาหัสกว่าเดิม เพราะฉะนั้น..เลี่ยงไม่ได้หรอก จะช้าจะเร็วกรุงเทพฯ น้ำก็ต้องท่วม

ที่จริงแล้วสมัยรัชกาลที่ ๑ ย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่กรุงเทพฯ เพราะต้องการสถานที่ที่มีฝนฟ้าอุดมสมบูรณ์ ประชากรต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยการปลูกข้าวเป็นหลัก บรรพบุรุษเขาเลือกสถานที่ได้ถูก แต่เราไปเปลี่ยนจากนามาเป็นตึก ฝนฟ้าไม่ได้เปลี่ยนด้วย ยังคงตกตามปกติ เรื่องก็เลยสาหัสอย่างในปัจจุบัน

โดยเฉพาะก่อนหน้านี้ มีการขุดคลองระบายน้ำเป็นจำนวนมาก พอถนนหนทางขยายขึ้น มีการถมคลองเพื่อสร้างถนนหนทางไปหลายสาย การระบายน้ำก็ไม่สะดวกเหมือนเดิม เพราะไม่ได้ใช้คลองเป็นทางสัญจร ไม่มีการขุดลอกก็ตื้นเขินไปเรื่อย

พื้นที่รองรับน้ำในเบื้องต้นจึงไม่พอเพราะคลองตื้น จะระบายน้ำก็ไม่สะดวกเพราะว่าโดนถมไปเสียมาก คนโบราณเขาเก่งตรงที่ว่าคล้อยตามธรรมชาติ แต่คนในยุคปัจจุบันไม่ได้คำนึงถึงตรงนั้น ใช้วิธีขัดขวางหรือทำลายธรรมชาติ

ถ้าเราสังเกตดูบ้านคนสมัยก่อนจะเป็นบ้านใต้ถุนสูง ชั้นล่างเขาเผื่อน้ำท่วม พอหน้าร้อนเขาก็ลงมาข้างล่าง เป็นที่ทำงานหรืออาศัยพักผ่อนเพราะว่าเย็นกว่าชั้นบน

หน้าฝน หน้าหนาว ถ้าน้ำยังไม่ลด ยังไม่ถึงเดือนยี่ก็อยู่ชั้นบน แล้วผูกเรือไว้ใต้ถุน แต่พอเราไปเปลี่ยนรูปแบบ ไปนิยมการก่อสร้างแบบต่างประเทศ เห็นว่าเป็นความเจริญ ก็รับมาโดยไม่ได้ดูสภาพความเหมาะสมของบ้านเราเมืองเรา ปัญหาใหญ่จึงเกิดขึ้นไปเรื่อย เพราะฉะนั้น..ถ้าใครปลูกบ้านใหม่ โปรดเผื่อน้ำท่วมไว้ด้วย"

เถรี 30-09-2010 11:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "นักปฏิบัติที่เอาดีได้ยากในปัจจุบัน เพราะว่าไปปล่อยกำลังให้รั่วไหลหมด การที่เราฝึกปฏิบัติควบคุมกาย วาจา ใจของเรา เพื่อสร้างให้จิตมีกำลัง แล้วนำกำลังนั้นไปใช้ในการตัดกิเลส แต่เรามักจะปล่อยให้รั่วไหลอยู่ตลอดเวลา

ตาเห็นรูป..ชอบใจก็ไหลไปแล้ว หูได้ยินเสียง..ชอบใจไหลไปอีกแล้ว จมูกได้กลิ่น..ชอบใจไหลไปอีกแล้ว ลิ้นได้รสชอบใจ..ก็ไหลไปอีก กายสัมผัส..ชอบใจไหลไปอีก ใจครุ่นคิด..เกิดความพอใจไม่พอใจ ดีใจเสียใจไหลไปอีกแล้ว จึงทำให้กำลังของเรา รวบรวมเท่าไรก็ไม่พอสำหรับเอามาใช้ในการตัดกิเลส เพราะว่ารั่วไหลอยู่ตลอด

ถ้าใครสามารถสะสมกำลังเอาไว้ได้ โดยที่ไม่รั่วไหลเลย ขอบอกว่ากำลังนั้นมหาศาลขนาดเปลี่ยนฟ้าแปลงดินได้..!"

เถรี 30-09-2010 11:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้งานมาก เหมือนกับทดสอบกำลังว่าเราป่วยแล้วจะมีแรงพอทำงานไหม ? เพราะว่าวันที่ ๒๓ ตุลาคม ที่เคยทอดกฐินเป็นประจำ เป็นวันออกพรรษา และยังเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ไม่สามารถที่จะรับกฐินได้

ปกติจะรับกฐินต้องเป็นแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ ไปจนถึงกลางเดือน ๑๒ คราวนี้โดยธรรมเนียม แรม ๑ ค่ำ จะเป็นวันตักบาตรเทโวฯ ก็แปลว่า

วันที่ ๒๓ ตุลาคม ทำบุญออกพรรษา
วันที่ ๒๔ ตุลาคม ตักบาตรเทโวฯ
วันที่ ๒๕ ตุลาคม เป็นวันหยุดชดเชย ก็เลยทอดกฐิน

เจองานติดกันไปสามวันรวด จะได้รู้ว่าอาตมายังไหวหรือเปล่า ?"

เถรี 30-09-2010 11:38

พระอาจารย์กล่าวถึงลิเกให้ฟังว่า "ลูกสาวทั้งเจ็ดของท้าวสามล เรามักจะรู้จักแต่นางรจนาคนเดียว อีก ๖ ท่าน ชื่ออะไร มีใครรู้บ้าง ?

เรื่องนี้อาตมารู้ได้เพราะตลกลิเก พอท้าวสามลใช้ให้คนไปตามพี่ ๆ ทั้ง ๖ คนให้มาเลือกบรรดาเจ้าชาย ที่มาคัดตัวเป็นราชบุตรเขย ตัวตลกก็กล่าวว่า "ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระพี่นางทั้ง ๖ มีพระนามว่าอย่างไรบ้างพระเจ้าข้า ?

ท้าวสามลบอกว่า "กูก็ไม่รู้เหมือนกัน" แล้วโบ้ยไปให้นางมณฑา นางมณฑาไหวพริบดีมาก สมกับที่เป็นลิเกตัวนำ นางมณฑานับนิ้วบอกเลยว่า "มีชื่อดังนี้ มะลิวัลย์ จันทนา สารภี ยี่สุ่นเทศ เกศเมือง เรืองยศ รจนา" ปฏิภาณสุดยอดจริง ๆ

เรื่องการเล่นลิเก บางทีก็มีการทดสอบไหวพริบปฏิภาณ บางทีก็หักมุมไปในตัว บางทีเขาเล่นกันก็เบื่อบทตัวเอง อยากจะเล่นบทอื่นบ้าง ก็แกล้งเล่นบทนั้นเสียเลย ถ้าคนดูเห็นว่าตัวเองเล่นได้ดีกว่า เดี๋ยวเขาก็ได้เล่นบทนั้นเอง

ก่อนหน้านี้ที่กาญจนบุรีจะมีวัดถ้ำเสือดาว ท่านอาจารย์บูรพา กับวัดเขาสามชั้น ท่านอาจารย์กระโจมทอง ท่านทั้งสองเคยเล่นลิเกวงเดียวกันมา ต่างคนต่างมาบวช ท่านอาจารย์กระโจมทองเล่นเป็นพระเอก ท่านอาจารย์บูรพาเล่นเป็นผู้ร้าย

ไป ๆ มา ๆ รู้สึกเบื่อ ผู้ร้ายเวลาออกนอกโรงลิเก ชาวบ้านก็ด่า ขว้างด้วยรองเท้า ผู้ร้ายเลยอยากเป็นพระเอกบ้าง ปรากฏว่าท่านอาจารย์กระโจมทองไม่ยอม เพราะเล่นเป็นพระเอกอยู่แล้ว ท่านอาจารย์บูรพาเลยแยกวงไป ท้ายสุดก็เจ๊งทั้งคู่ ต่างคนต่างมาบวช

ทุกวันนี้ท่านอาจารย์บูรพายังบวชอยู่ ส่วนท่านอาจารย์กระโจมทองสึกไปแล้ว ท่านอาจารย์กระโจมทองเคยโดนอธิกรณ์อยู่ครั้งหนึ่ง อาตมาตอนนั้นทำหน้าที่เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี จึงเป็นคนไปสอบสวนเอง สอบสวนและก็รายงานไปว่าเป็นการกลั่นแกล้งกัน

ท่านอาจารย์กระโจมทองติดลีลาลิเกเก่า พอท่านเจอหน้าอาตมาในฐานะผู้บังคับบัญชาเหนือตน ท่านเล่นถวายบังคมเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นพระ แต่ท่านติดนิสัยถวายบังคม..!"

เถรี 30-09-2010 11:41

"การที่เขาเล่นลิเกได้สมบทบาท แสดงว่าเขาต้องทุ่มเทเต็มที่ ในเมื่อลิเกยังทุ่มเทให้กับบทบาท จนกระทั่งชาวบ้านคล้อยตามไปด้วย เห็นว่าเป็นตัวโกงจริง ๆ ก็แปลว่าเขาทำหน้าที่ของเขาอย่างเต็มที่แล้ว

เมื่อมาถึงจุดนี้ พวกเราต้องทบทวนตัวเราเองดูว่า เราทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง ? ในเมื่อเราเองตั้งใจปฏิบัติอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เราเคยทุ่มเทชนิดตายเป็นตายบ้างหรือไม่ ?

ส่วนใหญ่นอกจากจะไม่ทุ่มเทแล้ว เรายังไปปล่อยให้กำลังของเรารั่วไหลอีกต่างหาก เราจึงสู้กิเลสไม่ได้เสียที ลองดูสักครั้งสิ..ดูว่า..ตายเป็นตายเป็นอย่างไร แต่ส่วนใหญ่พอจะใกล้ตายหน่อยก็มืออ่อนตีนอ่อน ยอมแพ้ดีกว่า เดี๋ยวกิเลสตายเราจะเศร้าหมอง..!"

เถรี 30-09-2010 11:50

ถาม : ในกรณีที่เราเคยลบหลู่ครูบาอาจารย์ตั้งแต่อดีตชาติ ด้วยความคิดว่าเราเก่ง
ตอบ : ให้ขอขมา

ถาม : ในปัจจุบันเราไม่รู้ว่าครูบาอาจารย์ท่านไหนที่เราเคยลบหลู่มาก่อน ?
ตอบ : ตั้งใจว่า ไม่ว่าจะเป็นท่านใดที่เราเคยล่วงเกินมา เราก็ขอขมา

ถาม : อธิษฐานขอขมาต่อหน้าพระได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ได้

เถรี 30-09-2010 12:10

ถาม : นั่งภาวนาไป สักพักหนึ่ง เผลอตัวคิดเรื่องอื่นครับ อยากทราบวิธีแก้ครับ ?
ตอบ : ก็แค่เลิกคิด แล้วกลับมาภาวนาใหม่ แรก ๆ ก็ชักคะเย่อกันอย่างนี้แหละ จนกว่าอารมณ์ใจของเราจะทรงตัวจริง ๆ จึงจะอยู่กับการภาวนาตลอด
หัดปฏิบัติใหม่ ๆ มักจะเป็นอย่างนั้นแหละ รู้ตัวก็รีบดึงกลับเข้ามาอยู่กับการภาวนา ฟัดกันสักสามปีห้าปีเดี๋ยวก็ดีไปเอง


ถาม : การที่เราภาวนาแล้วรู้สึกเหนื่อย เป็นเพราะเราภาวนาหรือเพราะว่าอะไร ?
ตอบ : เกิดจากหลายสาเหตุ ๑. เป็นเพราะเราตั้งใจเกินไป ต้องวางกำลังใจสบาย ๆ

๒. ไปบังคับลมหายใจ เขาให้กำหนดรู้ลมหายใจไปเฉย ๆ ไม่ใช่ไปบังคับลม ต้องปล่อยให้ลมเข้าออกตามปกติ เราแค่เอาสติรู้ตามไปเท่านั้น

๓. กำลังใจรวมตัวจะไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ถ้าแบบนี้หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นไปด้วย เหมือนคนที่ออกกำลังมาอย่างหนัก จึงรู้สึกเหนื่อย แบบนี้ต้องปล่อยให้เต็มที่ไปเลย ถ้าไม่กลัวตายจริง ๆ ก็จะไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง

เถรี 30-09-2010 12:30

ถาม : เวลาภาวนา เราสามารถนั่งภาวนาได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : จะหกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ต้องภาวนาได้ ถ้ามัวแต่ไปรอนั่งภาวนา ชาตินี้ก็เอาดีไม่ได้หรอก..!

ถาม : พอนั่งสมาธิ ได้ยินเสียงจะตกใจง่าย
ตอบ : แสดงว่าสติยังไม่มั่นคง ยังส่งจิตออกนอกไปคิดถึงเรื่องอื่นอยู่

ถาม : วิธีแก้คือทำไปเรื่อย ๆ ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไปเรื่อย ๆ ถ้าสมาธิทรงตัวมากขึ้นเดี๋ยวก็หายไปเอง

ถาม : ถ้าเราตกใจ
ตอบ : ถ้าตกใจแสดงว่ากำลังใจของเราไม่ได้อยู่กับลมหายใจเข้าออก ไปคิดเรื่องอื่นอยู่ เวลาจิตกลับมาเร็วเกินไปก็จะเป็นอาการที่เราเรียกว่าตกใจ ตรงนี้เราทำผิดเอง

ถาม : เวลาเราดูแผ่นกสิณสีขาว แล้วไฟเป็นสีอื่น จะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้ใส่ใจแค่สีขาวเท่านั้น

ถาม : ถึงแม้ว่าตัวแผ่นกสิณจะเปลี่ยนไปตามสีใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ใช่..ให้สนใจเรื่องเดียว ไปสนใจหลายเรื่องแล้วเมื่อไรจะได้อะไรสักที เหมือนกับพวกหลายใจ ทำอะไรก็ทำให้ได้ไปอย่างหนึ่งเลย ถ้าเปลี่ยนไปเรื่อยชาตินี้ก็ทำไม่สำเร็จหรอก..!

เถรี 30-09-2010 12:42

ถาม : เรื่องการรักษาศีลแปดมีผลต่อสมาธิหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ารักษาศีลแปดได้ ก็จะปฏิบัติได้ดีกว่า

ถาม : แล้วข้อที่เขาบอกว่าห้ามฟังเพลง เขาห้ามเพลงทุกชนิดเลยหรือครับ ?
ตอบ : ทุกชนิด

ถาม : ถ้าเราฟังแล้วเราไม่ได้คิดอะไร ได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ได้คิดแล้วจะฟังทำซากอะไร..!

ถาม : เปิดเฉย ๆ ครับ
ตอบ : หาเรื่องเดือดร้อน..! พอเสียงมาเข้าหู กำลังของเราก็รั่วไหล เราต้องสะสมกำลังจิตของเราให้มากพอ จึงจะสามารถปราบกิเลสได้ แต่มักจะรั่วออกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่ก็เลยกลายเป็นทาสกิเลสไปตลอดปีตลอดชาติ..!

ถาม : แล้วปกติเวลาเขาบวช เขาใช้สบู่อะไรกันครับ ?
ตอบ : มีอะไรก็ใช้ไป สักแต่ว่าใช้ ไม่มีก็ไม่ใช้ อย่าไปเลือกว่าต้องสบู่หอมยี่ห้อนั้นยี่ห้อนี้ก็แล้วกัน

เถรี 30-09-2010 12:50

ถาม : สงสัยว่าอสุรกาย หน้าตาเหมือนผีทั่วไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เขาแสดงให้เป็นแบบไหนก็ได้ แต่ของจริงมักจะผอม ๆ ดำ ๆ จะมีก็พวกที่ตั้งตัวเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ มีเครื่องเซ่นมากก็อ้วนหน่อย

ถาม : สงสัยว่าเขาหลบ ๆ ซ่อน ๆ อยู่ตามต้นไม้หรือเปล่า ?
ตอบ : เขาอยู่ได้หลายที่ แต่ชอบที่ซึ่งหลบซ่อนได้ง่าย เราอาจจะเจอมาหลายทีแล้วก็ได้ แต่ไม่รู้จักเขาเอง..!

เถรี 30-09-2010 14:09

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่อง การถือมงคลตื่นข่าวว่า "พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว ว่าอย่าไปถือมงคลตื่นข่าว เมื่อครู่โยมโทรมาบอกว่าป่วย ไม่ค่อยสบายอยู่เรื่อย มีคนแนะนำให้ไปหาร่างทรง แล้วร่างทรงบอกว่า ต้องรับขันธ์จึงจะหาย เขาก็เลยสงสัยว่าเทวดามีหน้าที่ทำให้คนป่วยหรือ ? เขายังฉลาดที่รู้จักสงสัย แต่ใจก็ไปตั้งครึ่งตัวแล้ว

สำนักทรงต่าง ๆ หาของแท้ยาก คำว่า "ของแท้" ก็คือ เป็นเทวดา เป็นพรหม ที่มาสร้างบารมี หรือเป็นพระมาสงเคราะห์ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะถูกจำกัดไว้ด้วยเวลา ไม่ได้มาเปะปะ พวกประเภทที่ไปเมื่อไรทรงได้ทันที ขอให้ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า "ปลอม" ไว้ก่อน

ของแท้ท่านมาตามเวลา มีข้อสังเกตง่าย ๆ ว่า ๑. มาตามเวลา ไม่ใช่มาเปะปะทั่วไป บางรายก็มาเฉพาะวันพฤหัสบดีหรือวันเสาร์ บางรายมาเฉพาะวันพระ บางรายมาเดือนละครั้ง มีอยู่รายหนึ่ง เป็นร่างทรงพระเจ้าตากสิน มาปีละครั้ง

๒. ถ้าหากว่าเป็นของแท้ ส่วนใหญ่แล้วไม่เรียกร้องผลประโยชน์จากเรา นอกจากดอกไม้ธูปเทียนและเงินบูชาครูเล็ก ๆ น้อย ๆ สัก ๓ บาท ๙ บาท เพื่อแสดงว่าเราเคารพท่าน เคยเจอมากที่สุดคือ ๑๐๘ บาท แต่มีหลายสำนักเหมือนกัน ที่เราไปตัวเปล่าแล้วเขาจัดให้หมดทุกอย่าง นั่นแปลว่าเขาตั้งใจมาเพื่อสงเคราะห์จริง ๆ

๓. สิ่งที่เขารับปากช่วยเรานั้นจะมีผล

ดังนั้น..ถ้าทิพจักขุญาณไม่ดี ก็ให้สังเกตสามข้อนี้ไว้ ข้อแรกคือมาเป็นเวลา ไม่ใช่ทรงได้ทุกเวลา ข้อที่สองคือไม่ได้ต้องการผลประโยชน์ มาเพื่อสร้างบารมี ส่วนใหญ่ต้องการแค่ความเคารพ มีเครื่องบูชาครู เล็ก ๆ น้อย ๆ ข้อสุดท้ายคือ สิ่งที่เขารับปากช่วยจะมีผลตามนั้น"

เถรี 30-09-2010 16:38

"ส่วนใหญ่แล้วพวกนี้จะอ้างของสูง เป็นเจ้าพ่อนั้น เป็นเจ้าแม่นี้ ที่ขำที่สุดก็คือ สมัยที่หลวงพ่อฤๅษีท่านยังมีชีวิตอยู่ วันหนึ่งท่านปรารภว่า “เล็กเว้ย..ข้ายังไม่ทันจะตายเลย มีสำนักทรงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ๖๐ กว่าสำนักแล้วว่ะ..!”

นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า การถือมงคลตื่นข่าวบางทีก็ทำให้เราเดือดร้อน เพราะพวกนี้มักจะใช้หลักจิตวิทยา บอกว่ามีเคราะห์กรรมหนักบ้าง มีองค์มีร่างบ้าง และท้ายสุดก็อาจจะต้องเสียเงินเสียทองไปสะเดาะเคราะห์หรือไปรับขันธ์

และการรับขันธ์เท่ากับยอมรับเขา บางทีเขาก็ใช้ผีบ้าง ใช้ไสยศาสตร์บ้าง คุมเราเอาไว้ ถึงเวลาก็ต้องหาเงินไปให้เขา ถ้าเป็นไปได้ อย่าไปยุ่งได้ก็จะปลอดภัย อันนี้เป็นการถือมงคลตื่นข่าวเรื่องที่หนึ่ง"

เถรี 30-09-2010 16:47

"เรื่องที่สอง เมื่อครู่โยมเขาเอาข่าวที่ไหนมาก็ไม่รู้ เขาตกใจกันใหญ่ บอกว่าอาตมาพูดว่า น้ำจะท่วมบ้าง ภัยพิบัติจะเกิดบ้าง ประเทศไทยคนจะตายเหลือ ๕-๖ ล้าน เอามาจากไหน ? ตูยังสงสัยว่าพูดไปตอนไหน ?

เหลือตั้ง ๕-๖ ล้านคน ยังกลัวอีก ก็เราแค่คนเดียว หมดจากเราแล้ว ยังเหลืออีกตั้ง ๔ ล้านกว่า อย่างไรจำนวนแค่หนึ่งคนเราจะแย่งมาไม่ได้เลยหรือ ?

พระพุทธเจ้าเคยตรัสเอาไว้ว่า บุคคลที่มั่นคงในคุณพระรัตนตรัย ภัยอันตรายใด ๆ ก็ทำอันตรายไม่ได้ ดังนั้น..ขอให้เราเคารพมั่นคงในคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ไปหวั่นไหว เรื่องร้ายก็กลายเป็นดีเอง

เคยเจอบ้างไหม ? ประเภทเรือล่มเพราะคนตกใจ คนแห่กันพรวดไปข้างเดียว แล้วเรือก็เอียงกะเท่เร่ ในที่สุดก็ล่มไป ลักษณะเดียวกัน ถ้าเราไปแตกตื่น ก็จะทำให้สถานการณ์ดี ๆ กลายเป็นเสียไปได้

มีอยู่วันหนึ่ง คนทั้งเมืองกาญจนบุรีพากันแตกตื่น แย่งกันขึ้นยอดเขา เพราะลือว่าเขื่อนแตกแล้ว..! ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดคุณรุ่งฤทธิ์ มกรพงษ์ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด

ชาวบ้านแตกตื่นหนีกันขึ้นยอดเขา ไปจับจองที่กางเต็นท์ หรือไม่ก็ไปหาที่นอนของตัวเอง แย่งที่จนถึงขนาดวางมวยกันก็มี ท่านผู้ว่าฯ ต้องใช้โทรโข่งไปประกาศ บอกว่า "ตรวจสอบข่าวทั้งหมดแล้ว เขื่อนยังไม่แตก ไม่ต้องกลัวหรอก ลงมาเถอะ" ก็ไม่มีใครลง เพราะมีพวกที่บอกว่า ตนมีญาติอยู่ที่นั่นเขาบอกว่าเขื่อนแตกแล้วจริง ๆ พอไล่ไปไล่มา เอาเข้าจริง ๆ ก็มีแต่ "ฟังเขาเล่าว่า" มาทั้งนั้น"

เถรี 30-09-2010 18:10

"ประมาณปี ๒๕๔๕ มีข่าวลือว่า พวกที่รับขนคนมอญต่างด้าวเข้าประเทศ เอาคนมอญไปฆ่าทิ้ง ๓๐ กว่าคน อยู่ในเกาะที่เป็นพื้นที่เหนือเขื่อนเขาแหลม ข่าวลือหนักขึ้น ๆ ท้ายสุดอาตมาก็เลยเดือดร้อน เพราะว่าเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัย

ในเมื่อเรื่องลือกันหนักขนาดนั้น ก็ต้องออกไปพิสูจน์ทราบ เขาบอกว่าพวกที่ขนต่างด้าวเข้าเมืองไม่สามารถจะผ่านด่านได้ เลยเอาไปซ่อนไว้ในเกาะ หลายวันเข้าไปส่งอาหารให้ไม่ไหว ก็เลยเอาข้าวคลุกยาฆ่าแมลง (แลนเนต) ให้กิน คนจึงตายหมด เขาบอกว่ากลิ่นศพเหม็นตลบไปเป็นกิโล ๆ ขนาดเรือผ่านไกล ๆ ยังได้กลิ่นเลย..!

อาตมาเลยให้เขาไปสืบว่ามีใครรู้บ้าง พอไปได้ตัวคน ๆ หนึ่งเขาบอกว่า "ได้ยินอีกคนหนึ่งพูด" คน ๆ นั้นมีเรือนแพอยู่ในพื้นที่เขื่อน มีอาชีพหาปลา อาตมาเลยพาคณะไปพิสูจน์กัน เช่าเรือ ๒,๕๐๐ บาท เติมน้ำมันต่างหาก วิ่งตั้งแต่สังขละบุรีลงมา เลาะมาเรื่อย ๆ จนเกือบจะถึงวังปะโท่ของทองผาภูมิ คือวิ่งมาเกือบร้อยกิโลเมตร ไม่พบอะไรเลย

พอไปเจอบุคคลคนนั้น เขาก็ว่า "อีกคนหนึ่งเล่ามา" ตามไปเจอก็มีแต่ "เขาเล่าว่า" มาตลอด เรารู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่จริง เพราะถ้ามีคนมอญตายขนาดนั้น หลวงพ่ออุตตมะท่านไม่อยู่เฉย ๆ หรอก นี่เป็นข้อสังเกตที่หนึ่ง ข้อสังเกตที่สองก็คือ คนเราโง่ขนาดไหนก็ตาม ข้าวคลุกยาฆ่าแมลงใครจะกิน ?

ยาฆ่าแมลงกลิ่นแรงขนาดนั้น ลองถามซิ...ว่าถ้าเป็นเราจะกินไหม ? ต่อให้หิวแทบตายก็ไม่กินแน่ แต่คราวนี้ที่อาตมาไป ไปทำไม ? ก็ไปเพื่อกลับมายืนยันกับพวกที่ลือกัน ว่า "กูไปมาแล้ว เรื่องไม่จริงโว้ย..พวกมึงเลิกลือกันได้แล้ว..!" ต้องเสียเงินขนาดนั้น และต้องลำบากตากแดดจนหลังลอก เพราะว่าเรือไม่มีหลังคา ตากแดดอยู่ครึ่งค่อนวัน"

เถรี 30-09-2010 18:23

"ในเรื่องของข่าวลือ หรือการถือมงคลตื่นข่าวนั้น จะหายไปได้ก็ต่อเมื่อทุกคนเป็นพระโสดาบันไปแล้ว ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ก็ยังมีอยู่เรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น..อะไรเกิดขึ้นให้รับรู้ไว้ แต่อย่าเพิ่งเชื่อ

ขณะเดียวกันก็อย่าไปใส่อารมณ์ตาม เพราะว่าพอพูดจากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง เนื้อข่าวจะเริ่มเพี้ยน จะมีการต่อปีกต่อหางไปเรื่อย จากปลาไหลตัวใหญ่หน่อยเลยกลายเป็นมังกรไปทั้งตัว..!


สมัยที่เรียนการข่าวของทหาร เขามีวิธีทดสอบการส่งข่าว โดยครูฝึกจะกระซิบใส่หูคนแรก ภายในหนึ่งนาทีต้องส่งสารไปถึงคนสุดท้ายให้ได้ ทหารรุ่นนั้นมีอยู่ ๑๒๓ คน เขาก็กระซิบต่อไปเรื่อย ๆ จนไปถึงคนสุดท้าย แล้วคนสุดท้ายนั้นก็วิ่งมาต่อหน้า ชิดเท้าปัง...! ยกมือทำความเคารพ แล้วรายงานครูฝึกว่า "ขอบคุณมากครับ..!"

ครูฝึกก็งง ถามว่า "อะไรของมึงวะ ?" เขารายงานครูฝึกไปว่า "ไอ้นั่นบอกว่า ครูฝึกจะให้ผม ๒๐ บาท" ความจริงครูฝึกเขากระซิบใส่หูคนแรกให้บอกคนสุดท้ายว่า "ให้มันวิดพื้น ๒๐" คิดดูก็แล้วกันว่า ให้วิดพื้น ๒๐ ครั้งกลายเป็นครูฝึกจะให้เงิน ๒๐ บาท แค่ผ่านไปไม่กี่ปากเองนะ

ดังนั้น...เขาถึงต้องมีข่าวกรอง ก็คือ การรับข่าวจากแหล่งข่าวหลาย ๆ แห่ง แล้วนำมาวิเคราะห์ ส่วนไหนที่ตรงกันจึงค่อยเชื่อ แต่ไม่ใช่เชื่อทั้งหมด ต้องมีการพิสูจน์ทราบด้วย

ดังนั้น..วิชาการข่าว มีการเรียนข่าวกรองและการต่อต้านข่าวกรองเป็นเรื่องสนุกมาก ครูฝึกเขาก็ทดสอบให้เห็น ๆ ว่าเนื้อข่าวผ่านปากแค่นาทีเดียว ก็เพี้ยนไปได้ขนาดนั้น ลองคิดดูว่า..ถ้าข่าวลือไปสักอาทิตย์หนึ่งจะเพี้ยนไปได้ขนาดไหน ? แต่ละคนพูดเหมือนกับตาเห็นทั้งนั้น..!"

เถรี 30-09-2010 18:52

"อาตมาก็ยังสงสัยอยู่ว่า ที่บอกว่าน้ำจะท่วมประเทศไทย คนจะตายเหลือ ๕-๖ ล้าน พูดไปตอนไหนกัน ?"

ถาม : คงเอามาจากในเว็บ ที่เขาลือกันแล้วท่านบอกว่า เหลือตั้ง ๗-๘ ล้านก็ยังดี เขาก็เลยตีความไปอย่างนั้น
ตอบ : ต้องบอกว่ามีความสามารถในการวิเคราะห์ข่าวสูงมาก ถ้าเหลือ ๗-๘ ล้านคน ยังเยอะไปเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้มี ๗๗ จังหวัดใช่ไหม ? ถ้าแบ่ง ๆ คนไปจังหวัดละแสนคน รวมแล้ว ๗ ล้านกว่า ยังเหลือคนอีกตั้งเยอะ จะกลัวไปทำไม..!

เถรี 30-09-2010 18:59

"ตอนปี ๒๕๑๘ อาตมายังเรียนมัธยมอยู่ กำลังจะจบปีสุดท้าย มีข่าวลือว่าอีก ๑๐ วันโลกจะแตก ปรากฏว่าเพื่อน ๆ แต่งงานกันใหญ่ ไม่รอให้เรียนจบก่อน

นี่เขาคิดหรือว่าอีก ๑๐ วันจะผลิตลูกทัน..! แต่เขาก็แต่งนะ และจากวันนั้นมาจนมาถึงวันนี้ เขาคงรู้แล้วว่าคิดผิด รีบตกนรกตั้งแต่อายุ ๑๐ กว่า ๆ เพราะมีคนบอกว่าแต่งงานแล้วจะรู้ว่านรกมีจริง..!

สมัยก่อน เด็กเรียนมัธยมก็อายุประมาณ ๑๗-๑๘ ปี เราเองตกข่าว ก็เลยไม่ได้แต่งกับเขา จะไปโทษเขาก็ไม่ได้ เพราะถ้ากำลังใจยังไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ หรือยังไม่มั่นคง ก็ยังอดไม่ได้ที่จะไปแตกตื่นกับข่าวต่าง ๆ

สมัยก่อน มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทางคอมมิวนิสต์ปล่อยข่าวเพื่อทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ปล่อยต่อเนื่องมาเรื่อย ๆ แต่ในหลวงท่านไม่ได้ใส่ใจ ท่านยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อประชาชนต่อไปเรื่อย

สิ่งที่เขาว่ามากับสิ่งที่ในหลวงทำและชาวบ้านเห็น ก็เลยเป็นคนละเรื่อง คนเขาถึงได้รู้ว่านี่เป็นการปล่อยข่าวเพื่อทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น..ในเรื่องของข่าวต่าง ๆ ถ้าเราไม่ไปใส่ใจไม่ให้ความสำคัญ เดี๋ยวก็จบไปเอง.."

เถรี 01-10-2010 12:05

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อาตมาออกจากวัดท่าซุงไปสองปีจึงได้กลับไปเยี่ยมหลวงปู่ทองเทศน์ หลวงปู่ถามว่า "ระยะนี้ทำไมไม่มาเยี่ยมกันบ้างเลย" คนแก่ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ท่านไม่รู้ว่าเราออกจากวัดไปตั้งสองปีแล้ว..!

หลวงปู่อายุ ๙๐ กว่าแล้วยังบิณฑบาต อาตมาบอกหลวงปู่ว่า "ไม่ต้องบิณฑบาตหรอกหลวงปู่ เดี๋ยวหลานจะบิณฑบาตเลี้ยงเอง" แต่หลวงปู่ท่านไม่ยอม

ปรากฏว่าวันนั้นฝนตก แล้วพื้นลื่น ท่านก็เลยล้มหัวเข่าแตกเป็นแผลยาว รักษาอยู่เป็นเดือนกว่าจะหาย เพราะคนอายุเกือบร้อยแล้ว เนื้อไม่ค่อยจะประสานกัน ถึงได้ขอร้องท่านว่าไม่ต้องไปบิณฑบาตหรอก อาตมาเองคุมโรงครัวอยู่ สั่งให้แม่ครัวจัดอาหารมาถวาย ท่านถึงได้หยุดบิณฑบาตตอนอายุ ๙๖ และมรณภาพตอนอายุ ๑๐๓ ปี

ท่านบวชตอนอายุ ๘๐ เป็นอดีตครู ลายมือสวยมาก พอเข้ามาบวช ท่านได้มอบเงินถวายให้หลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ ๓,๐๐๐ บาท กราบเรียนหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ผมอายุมากแล้ว ถ้าผมตายก่อน รบกวนหลวงพ่อทำศพให้ผมด้วย ผมจะได้ไม่ต้องไปรบกวนลูกหลาน”

หลวงพ่อท่านรับเงินมาแล้วก็หัวเราะ “ไม่รู้ว่าใครจะเผาใคร..!” ปรากฏว่า หลวงพ่อไปก่อนหลวงปู่ตั้งหลายปี และที่อัศจรรย์ที่สุดคือ หลวงปู่อ่านหนังสือพิมพ์โดยไม่ต้องใช้แว่น..! สายตากลับเป็นเด็ก เวลาอ่านหนังสือพิมพ์ท่านจะมีความสุขมาก นอนลงไปบนหนังสือพิมพ์แล้วไล่อ่านเอาทีละบรรทัดเลย...

หลวงปู่ท่านทำบุญมาดี ทำปาณาติบาตน้อยมาก เวลาท่านไม่สบาย ส่วนใหญ่ก็แค่ปวดหัวตัวร้อนตามปกติ ไม่เคยเห็นท่านเป็นอะไรหนักเลย ปรากฏว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งท่านไม่ค่อยสบาย ไม่อยากรบกวนพระลูกพระหลาน จึงเรียกให้ลูกชายมาดูแล ลูกชายอายุ ๗๗ หิ้วปิ่นโตจากโรงครัวเดินไปที่กุฏิหลวงปู่ อาตมาดูแล้วกลัวจะไปไม่ถึง ลูกชายอายุ ๗๗ เดินสั่นทั้งตัว แต่หลวงปู่อายุเกือบร้อยยังเดินตัวปลิวอยู่เลย"

เถรี 01-10-2010 12:19

"เดือนก่อนไปงานที่วัดไทยวาส วัดไทยวาสแต่เดิมชื่อวัดท่ามอญ อยู่แถว ๆ เมืองนครชัยศรีเก่า สมัยก่อนถือว่าเป็นเมืองสำคัญ เคยเป็นมณฑลนครชัยศรีด้วย

สมัยรัชกาลที่ ๑-๓ ยังมีศึกสงครามอยู่ เวลากวาดต้อนผู้คนมา ไม่ว่าจะเป็นมอญ เป็นลาว จะนำคนไปอยู่บ้านนั้นบ้างเมืองนี้บ้าง ปรากฏว่าเมืองนครชัยศรีจะมีลาวเวียงจันทน์กลุ่มใหญ่ อยู่แถว ๆ วัดศีรษะทอง ส่วนทางวัดไทยวาสนี้เป็นมอญ

อาตมาไปแล้วก็ปลื้มใจ เพราะว่าญาติโยมให้ความเคารพพระดีมาก เจอพระเดินผ่านยกมือไหว้กันทุกคน เดินผ่านพระก้มหลังกันทุกราย อายุจะมากจะน้อยทำเหมือนกันหมด เห็นแล้วรู้สึกเลยว่าเป็นแบบธรรมเนียมโบราณ ๆ ดูแล้วน่ารัก เห็นแล้วชื่นใจ

ท่านพระครูสิริปุญญาภิวัฒน์ เจ้าคณะอำเภอนครชัยศรี ท่านได้รับนิมนต์ด้วย ก็มานั่งคุยกัน โยมเอาน้ำมาถวาย ท่านพระครูคุ้นกับโยม ท่านก็ถามว่า “เป็นอย่างไรโยม..ปีนี้ได้ร้อยหรือยัง ?”

โยมตอบว่า “ยังเจ้าข้า เพิ่งจะ ๙๙ เท่านั้น..!” อายุ ๙๙ แล้วยังยกน้ำประเคนพระคล่องแคล่ว โยมก็บ่นต่อว่า “แต่ก็เต็มทีแล้วพระคุณท่าน ตอนนี้เริ่มเบื่ออาหารแล้ว” อายุ ๙๙ เพิ่งจะเริ่มเบื่ออาหาร..!"

เถรี 01-10-2010 12:29

"เท่าที่สังเกตมา จะมีหลวงปู่บุดดา หลวงปู่ทองเทศน์ หลวงปู่น้อย วัดบ้านปงที่เชียงใหม่ องค์เล็ก ๆ ทั้งนั้นเลยที่อายุยืน ๆ ยังไม่เคยเห็นองค์ใหญ่ ๆ ที่อายุยืน เห็นแต่หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (สุวฑฺฒนมหาเถระ) วัดสุวรรณาราม ที่สูงใหญ่ล่ำสัน และอยู่ถึง ๑๐๓-๑๐๔ ปี นอกนั้นที่เจอมามีแต่องค์เล็ก ๆ ทั้งนั้น

ตอนนั้นมีโอกาสไปกราบพระทางเชียงใหม่ ไปกราบหลวงพ่อพระอาจารย์เปลี่ยนก่อน เพราะวัดแถวนั้นเรียงกันอยู่ มีวัดบ้านปง วัดบ้านเด่น วัดป่าอรัญญาวิเวก เข้าไปในสุดก่อนแล้วค่อยเลาะออกมา

เข้าไปกราบหลวงปู่น้อย วัดบ้านปง ญาติโยมเห็นก็ถามว่าพระอาจารย์มาจากไหน ? จะไปไหน ? ก็บอกว่าจะมากราบหลวงปู่และพาโยมมาทำบุญด้วย เขาก็บอกว่าหลวงปู่อยู่ในกุฏินั่นแหละ นิมนต์เข้าไปเลย

พอเปิดประตูเข้าไป ไม่เจอหลวงปู่ เจอแต่เตียง อาตมาสังเกตเห็นว่าประตูหลังแง้มอยู่หน่อยหนึ่ง จึงถือวิสาสะผลักประตูไป ชะโงกหน้าออกไปดู เห็นข้างหลังกุฏิเป็นลานกว้าง มีรั้วรอบขอบชิด และมีหอกลอง

มองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นหลวงปู่ จึงขึ้นไปดูบนหอกลอง คิดว่าเราอยู่บนที่สูงต้องเห็นท่านแน่ พอขึ้นไปปรากฏว่า หลวงปู่ท่านหลับสบายอยู่บนหอกลอง..!"

เถรี 01-10-2010 12:37

"ตอนนั้นท่านอายุ ๙๙ แล้ว บันไดตั้ง ๒๐ กว่าขั้นขึ้นไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ ? จึงกราบท่าน ตั้งใจว่าจะนั่งรอท่านตื่น ปรากฏว่ากราบเสร็จท่านลืมตามาถามว่า “มาจากไหนล่ะ ?” “กาญจนบุรีครับ” “เออ..ดี ๆ เดี๋ยวลงไปคุยกันข้างล่าง”

ประคองท่านลง บันได ๒๐ กว่าขั้น ท่านลงได้ พอเปิดประตูหลัง ท่านชะโงกไปเห็นโยมหลายคน ท่านหันมาบอกว่า “ช่วยอุ้มหน่อย” อาตมาเกือบจะปล่อยก๊าก..! อายุ ๙๙ ถ้าเป็นคนแก่ตามปกติ ก็คงจะต้องอุ้มในลักษณะนั้น แต่หลวงปู่ท่านไม่ปกติ หอกลองบันไดตั้ง ๒๐ ขั้น ท่านขึ้นไปนอนได้ แต่ประตูหลังแค่มีชานขึ้นมาสูงแค่ฝ่ามือเดียว ต้องให้ช่วยอุ้มท่าน

ก็แปลว่า ต่อหน้าประชาชนท่านยอมเป็นคนแก่อายุ ๙๙ แต่พอลับหลังท่านก็ไปของท่านเรื่อย ครั้งนั้นอาตมาก็เลยอุ้มไปหัวเราะขำหลวงปู่ไป คือระหว่างพระกับพระจะรู้กัน แต่โยมไม่รู้หรอก อยู่ ๆ เห็นเราอุ้มหลวงปู่มาก็เข้าใจว่า เราไปข้างหลังแล้วเจอหลวงปู่ ก็เลยอุ้มท่านมา ใครจะไปรู้ว่าหลวงปู่ไปนอนเขลงอยู่บนหอกลอง..!"

เถรี 01-10-2010 12:48

ถาม : ผมอยากรู้ว่าการรับแสงทิพย์ รับได้จริง ๆ หรือครับ ?
ตอบ : ต้องลองไปรับดู

ถาม : ผมไปดูในเว็บของอภิญญา เขามีบอกการรับแสงทิพย์
ตอบ : ลองไปรับดู แต่อยากจะบอกว่า ถ้าทำอย่างนั้นได้ พระพุทธเจ้าท่านพาพวกเราไปนิพพานหมดแล้ว..!

ถาม : แล้วพระที่ให้กำเนิดดวงจิต ดวงวิญญาณแต่ละดวงมีจริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาตมายังไม่เคยเจอท่าน ถ้าเจอเดี๋ยวช่วยจะถามท่านให้..!

ถาม : แล้วการขอพรกับพระหางหมากเหมือนกับพระคำข้าวหรือเปล่าครับ ? ที่ต้องถวายดอกไม้พร้อมกับภาวนา ๗ วัน
ตอบ : ได้ยินแต่พระสมเด็จคำข้าว และไม่ได้ยินด้วยตัวเองด้วย เรื่องของพระสมเด็จหางหมากยังไม่เคยได้ยินมาก่อน

ถาม : มีพระกริ่งสมเด็จองค์ปฐมด้วยไหมครับ หรือพระสมเด็จคำข้าวอย่างเดียว ?
ตอบ : ถ้าตามที่ได้ยินมา คือ เฉพาะพระสมเด็จคำข้าวอย่างเดียว

ถาม : วิชานะหน้าทอง ถ้าทำแล้วเกิดมงคลอะไรครับ ?
ตอบ : เป็นเมตตามหานิยม ถ้าของหลวงพ่อวงศ์ วัดบ้านค่าย จังหวัดระยอง ท่านเอาทองใส่ไว้ในฝ่ามือ ตบฝ่ามือตัวเอง ทองจะปลิวขึ้นไปติดบนเพดาน พอตบอีกที ทองบนเพดานจะลงมาติดที่กระหม่อมของโยม

ถาม : ทำที่ไหนครับ ?
ตอบ : วัดบ้านค่าย จังหวัดระยอง ตามไปทำได้ ท่านมรณภาพไปนานแล้ว..!

เถรี 02-10-2010 14:04

พระอาจารย์กล่าวว่า "โยมเขาอยากฝึกนะหน้าทอง อาตมาว่านะหน้าทนให้ประโยชน์กว่าเยอะ..!

การฝึกความดี ถ้าไม่มีความอดทนจะทำได้ไม่ตลอด การทำความดีต้องใช้ความอดทนอดกลั้นสูงมาก โดยเฉพาะบรรดากิเลสต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราชอบและต้องการ เมื่อเป็นสิ่งที่เราชอบ เราก็ไม่ผลักไส ไม่ปฏิเสธ แถมยังไปไขว่คว้าหามาอีกต่างหาก เราจึงดิ้นหลุดจากวัฏสงสารได้ยาก

ดังที่พระพุทธเจ้าเปรียบเอาไว้ว่า บุคคลเหมือนกับเขาโคและขนโค วัวตัวหนึ่งมีเขาเพียงคู่เดียว แต่มีขนทั้งตัว มนุษย์ทั้งหมดก็เปรียบเสมือนขนวัวที่มีเป็นจำนวนมาก ส่วนมนุษย์ที่หลุดพ้น ได้มรรคได้ผล มีจำนวนเท่ากับเขาวัวเท่านั้นเอง

ได้ยินแล้วอย่าเพิ่งท้อใจ เพราะวัวมีตั้งสองเขา อย่างน้อย ๆ ต้องเป็นของเราสักเขาแหละ ถึงแม้ตัวหนึ่งมีสองเขาก็ตาม แต่ถ้าหากมีวัวเป็นคอก ก็เยอะอยู่นะ เราต้องมั่นใจว่าเราก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน"

เถรี 02-10-2010 14:11

"วิชาการต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้ที่ศึกษาแล้วไม่ค่อยได้ผล เพราะคนขาดความอดทนมาก ต้องบอกว่าขาดมากจริง ๆ โยมบางคนมาถามเรื่องกสิณ บอกว่าผมจับภาพกสิณ ภาวนาแล้วแต่ทำไมยังไม่เกิดผล

อาตมาถามว่าคุณภาวนากี่ครั้ง ถึงร้อยครั้งหรือยัง ? เขาก็อึ้งไปสักพักหนึ่ง แสดงว่าร้อยครั้งยังไม่ถึงเลย จึงบอกเขาไปว่า "คุณไปเปิดหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน หรือหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุงดู ในเรื่องการฝึกกสิณ ท่านบอกว่า ให้ลืมตามองภาพ หลับตาลงนึกถึงภาพนั้น พร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออกและคำภาวนา

พอภาพเลือนไปให้ลืมตาดูใหม่ หลับตาลงกำหนดนึกถึงภาพนั้น พร้อมกับลมหายใจและคำภาวนา ทำอย่างนั้นเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง จนกว่าภาพนั้นจะเริ่มติดตาติดใจ"
ทีนี้เขาเองหลักร้อยยังไม่ผ่านเลย แล้วจะไปกล่าวถึงเป็นหมื่นเป็นแสนได้อย่างไร

เมื่อตอนบ่ายมีโยมมาปรารภว่า ตอนนี้การทำมาหากินลำบากมาก จะแก้ไขด้วยวิธีไหน ? อาตมาก็แจ้งแก่โยมไปว่า ให้ใช้คาถาเงินล้านเป็นกรรมฐาน เขาบอกว่าภาวนาเป็นประจำเช้าเย็นอยู่แล้ว

อาตมาถามว่ากี่จบ ? เขาบอกว่าเช้า ๙ จบ เย็น ๙ จบ อาตมาจึงบอกว่า "โยมรู้ไหมว่า ถ้าอาตมาแนะนำให้ภาวนา ต่ำสุดจะให้เริ่มที่ ๑๐๘ จบ"

ยังดีกว่าโยมอีกคน เขาบอกว่าท่องคาถาเงินล้านมา ๒ เดือนยังไม่เห็นผล เราก็แปลกใจ เพราะถ้า ๒ เดือน ทำจริง ๆ ต้องเห็นผล ถามว่าโยมภาวนาครั้งละกี่จบ ? เขาว่าครั้งละ ๑ จบ แหม..น่าได้ผลจริง ๆ เลย..!"

เถรี 02-10-2010 14:22

"การที่ให้เราภาวนามาก ๆ ก็เพราะว่าระยะเวลาที่ยาวนาน จะทำให้สมาธิของเราตั้งมั่นมากขึ้น เนื่องจากเรื่องของคาถาขึ้นอยู่กับสมาธิเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งสมาธิสูงเท่าไร คาถาจะยิ่งให้ผลมากขึ้น ดังนั้น..การที่พวกเราทั้งหมดในปัจจุบัน ทำแล้วไม่ได้ผลเพราะไม่มีการทุ่มเท

สมัยที่อาตมาภาวนาคาถาปัจเจกพุทธเจ้า อาตมาภาวนาครั้งละ ๙ จบ ทำไปประมาณ ๓ เดือนก็เริ่มเห็นผล พอมาปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อท่านมอบคาถาเงินล้านให้ ก็มาปฏิบัติภาวนาดู

ตอนนั้นติดใจในการภาวนาคาถาบารมี ๓๐ ทัศ ก็เลยกำหนดว่า เราภาวนาคาถาเงินล้าน ๙ จบ น่าจะน้อยไป เพิ่มเป็นวันละ ๓๐ จบดีกว่า

จาก ๓๐ จบ ทำไป ๆ เริ่มเห็นผล ก็มานึกว่า สมัยหลวงปู่ป่าน ท่านมอบคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ให้แก่ลูกศิษย์ แล้วมีบุคคลตัวอย่างที่ทำแล้วได้ผล ก็คือท่านนายห้างประยงค์ ตั้งตรงจิต เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ หรือนายแจ่ม เปาเล้ง ชาวดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เป็นบุคคลตัวอย่างที่หลวงพ่อท่านยกให้ลูกศิษย์ฟัง

คราวนี้มาถึงคาถาเงินล้าน ยังไม่มีใครที่เป็นบุคคลตัวอย่างที่ทำแล้วเห็นผล ให้หลวงพ่อยกตัวอย่างให้ลูกศิษย์ฟังได้เลย จึงตัดสินใจว่า "ในเมื่อยังไม่มี..เราก็ว่าซะเอง" เพิ่มการภาวนาจากวันละ ๓๐ จบ เป็น ๓๐๐ จบ

จาก ๓๐๐ จบ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบ และเพิ่มเป็น ๑,๒๐๐ จบ แต่อาตมาไม่ได้เร่งท่องเอาจำนวน ใช้เป็นคำภาวนาสบาย ๆ กำหนดรู้รายละเอียดทุกคำ ไม่ใช่เร่งให้เร็ว ๆ จะได้หลาย ๆ จบ"

เถรี 03-10-2010 12:50

"อาตมาตื่นนอนมาตอนตีสามก็เริ่มภาวนา จะไปครบจำนวนเอาตอนทุ่มหนึ่ง แปลว่าทั้งวันอยู่กับการภาวนา ผลของคาถาเงินล้านจะทำให้ลาภผลไหลมาเทมา

ในสมัยนั้น ถ้านับในส่วนของพระด้วยกันแล้ว นอกจากหลวงพ่อวัดท่าซุง เรื่องการเงินอาตมามีความคล่องตัวที่สุด แต่คำว่าคล่องตัวอาตมาคือไม่มีเหลือ เนื่องจากได้มาเท่าไรก็ทำบุญกับหลวงพ่อรายการนั้นบ้าง รายการนี้บ้างจนหมด

จำได้ว่าตอนแรก ๆ จดรายการทำบุญไว้ ถวายสังฆทานชุดใหญ่ ชุดละ ๑,๐๐๐ บาท กับหลวงพ่อได้กี่ชุด เราก็จดไปเรื่อย แต่พอได้สามร้อยกว่าชุด จึงเลิกจดแล้ว เพราะขี้เกียจจำ

จริง ๆ แล้ว มีคนที่รวยกว่าก็คือ หลวงพี่โอ หลวงพี่โออยู่กับหลวงพ่อมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ คนจะรู้จักมาก สมัยนั้นหากมีกิจนิมนต์ส่วนใหญ่โยมจะเจาะจงรายชื่อพระมาเลย อย่างเช่น หลวงตาผ่อง หลวงตานา หลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีป นอกนั้นแล้วแต่ทางวัดจะจัดให้

หลวงพี่โอพอสะสมเงินครบหมื่น ก็จะเก็บเข้าบัญชีฝากประจำ เพราะฉะนั้น..หลวงพี่โอจะรวยมาก แต่หลวงพี่โอท่านไม่เก็บบุญเล็กบุญน้อย ท่านทำบุญใหญ่อย่างเดียว ส่วนของเราเจอบุญอะไรขวางหน้าทำหมด เงินก็เลยหมดไปด้วย

ส่วนหลวงพี่โอท่านเก็บเงินไปเรื่อย พบถึงเวลาครบปีท่านก็ไปหาว่า วัดไหนต้องการสร้างพระประธานหน้าตัก ๔ ศอกบ้าง จะเป็นเจ้าภาพสร้างให้วัดนั้น ถ้ายิ่งได้พระประธานในโบสถ์ยิ่งดี ก็แปลว่าพี่เขาเอาบุญใหญ่อย่างเดียว แต่ของเรานี่เล็กน้อยแค่ไหน ขอให้รู้เป็นทำหมด

พอหน้ากฐินก็เตรียมซองปัจจัยไว้ซองละ ๑,๐๐๐ บาท วัดไหนมีกฐินร่วมกับเขาหมด ๑,๐๐๐ บาทพร้อมผ้าไตร ๑ ชุด ทำจนไม่ต้องนับ บางปีก็ ๔๐ - ๕๐ วัด ก็มี

ดังนั้น..โยมที่บอกว่า ลำบากในเรื่องทำมาหากิน ถ้าตั้งใจภาวนาคาถาเงินล้านจริง ๆ ไม่เกิน ๒ เดือนจะมีความคล่องตัวแน่นอน ที่กล้ายืนยันเพราะทำเห็นผลด้วยตนเองมาแล้ว ทุกวันนี้ ที่บรรดาเพื่อนพระเห็นว่าอาจารย์เล็กรวย ก็คืออานิสงส์ของคาถาเงินล้านนั่นเอง"

เถรี 03-10-2010 12:56

"เมื่อเดือนก่อนตอนประชุมพระนวกะ ท่านเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ ก่อนหน้านี้เคยเป็นคู่เขยกัน คือท่านเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๑ อาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแลเขต ๒ เขาก็เลยเรียกกันว่าเป็นคู่เขยกัน

พอท่านมาถึงก็บอกว่า “อาจารย์..ผมติดหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างอยู่ ขอยืมสักสี่แสนสิ” อาตมาก็หัวเราะบอกว่า “รู้ไหม..ที่เห็นว่าผมรวยเป็นเพราะผมใช้เงินไม่คิด มีเท่าไรผมก็ทุ่มออกเพื่องานส่วนรวมหมด คนที่ทำได้ทุกงาน ทำได้ทุกครั้ง คนเขาจะเห็นว่ารวย แต่จริง ๆ แล้ว ผมไม่มีเงินเก็บ ส่วนคนไหนก็ตามที่ไม่ยอมทำอะไรเลย ส่วนใหญ่เขามีเงินเก็บท่วมหัวทั้งนั้น ลองไปขอยืมเขาดูก็แล้วกัน..” แปลกดี..บางวันอาตมาเหลือเงินติดตัวอยู่แค่ ๒๒ บาทเท่านั้น..!

หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านแนะนำเอาไว้ ท่านบอกว่าจะมากจะน้อย ขอให้มีเงินติดตัวไว้ บาทหนึ่งสลึงหนึ่งก็ยังดี ถ้าใช้คาถาเงินล้านของท่าน "อย่าพูดคำว่าไม่มีเงิน" อย่างไรก็ต้องมี

ถ้าหากว่าโยมมีเหรียญที่ไม่ได้ใช้ ก็ใส่ ๆ กระเป๋าไว้บ้าง อย่างไรก็ให้มีเงินติดกระเป๋าอยู่ เป็นการแก้เคล็ด.."

เถรี 03-10-2010 13:01

"ในสมัยของหลวงปู่ปาน มีลูกศิษย์ที่ทำคาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์ แล้วประสบผลสำเร็จเป็นตัวอย่างให้คนอื่นได้ พอมาถึงรุ่นหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านไม่ได้ยกตัวอย่าง แต่อาตมาก็ทำให้เห็นแล้วว่า ถ้าทำจริงก็มีผลจริง ๆ

เหลือแต่พวกเราทั้งหลายว่า จะมีใครทุ่มเทจริงจัง เมื่อถึงเวลาแล้วจะได้ประกาศอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เราปฏิบัติกรรมฐานแล้วได้ผล โดยเฉพาะในส่วนของคาถาเงินล้าน ที่มีอานิสงส์พิเศษก็คือ ความคล่องตัวในความเป็นอยู่

อานิสงส์ของการภาวนานั้นเราได้พุทธานุสติเต็ม ๆ อยู่แล้ว เพราะเป็นคาถาที่พระพุทธเจ้าท่านมอบให้มา ถ้าเราต้องการไปนิพพานก็ภาวนาคาถาเงินล้านแล้วเอาใจเกาะพระนิพพานไว้ ในส่วนของการดำรงชีวิตอยู่ เราต้องการผลพิเศษของคาถา


ไปทำจริง ๆ สักที เราต้องกล้าคิด กล้าทำ พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าไม่มีใครกล้าเราก็ว่าเสียเอง ทำตัวเองให้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์เสียเลย ถ้าเราทำได้ผล ถึงเวลาไปสอนคนอื่น ก็จะสอนได้อย่างเต็มปากเต็มคำอีกด้วย"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 09:26


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว