กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4958)

เถรี 21-04-2016 21:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "วิธีที่ง่ายที่สุดคือหากินกับเด็ก ตอนนี้เลยมีชุดขาวสำหรับเด็กไปวัด ความจริงเข้าวัดใส่ชุดสีอะไรก็ได้ เพียงแต่ว่าให้เรียบร้อยหน่อย อย่างเช่นว่า จะผู้ชายผู้หญิงก็ตามก็ไม่ควรใส่ชุดสั้น ๆ ถ้าเป็นกางเกงก็ขายาว กระโปรงก็ยาวเลยเข่าหน่อย ยาวลากพื้นได้ยิ่งดี ผู้หญิงก็ใส่เสื้อให้ดูมิดชิดหน่อย ไม่ต้องไปเปิดหน้าเปิดหลัง ไม่ต้องทำตัวยากจน ใส่เสื้อแค่ครึ่งตัว หรือว่าทำตัวเป็นขอทาน ใส่กางเกงขาด ๆ มา"

เถรี 23-04-2016 12:08

ถาม : ทำบุญอย่างไรให้ได้บุญสูงสุดคะ ?
ตอบ : ฝึกกรรมฐานให้ได้สมาบัติ ๘ จะได้บุญที่สุด รีบไปทำด่วน...! จำไว้ว่า ถ้าบุญในส่วนของทาน ต่อให้ทำขนาดไหนก็ไม่เกินศีล แล้วรักษาศีลขนาดไหนก็ไม่เกินภาวนา ฉะนั้น...ไปภาวนาให้มากเข้าไว้ แต่ในส่วนของทานกับศีลก็อย่าไปทิ้ง ให้ทำควบคู่กันไปด้วย

สมัยก่อนมีคนไปสรรเสริญหลวงปู่ดูลย์ ว่าได้สร้างโบสถ์ได้สร้างศาลา ช่างเป็นบุญที่ใหญ่เสียจริง ๆ ท่านก็หัวเราะนิดหนึ่ง "เฮอะ...ถ้าอยากได้บุญ ใครจะมาเอาบุญอย่างนั้น" คนเขาตีความไม่ออก สร้างโบสถ์ได้บุญมหาศาลเลย แต่เขาลืมไปว่าโบสถ์ก็เป็นแค่วิหารทาน ยังอยู่ในส่วนของทาน ยังก้าวไปไม่ถึงศีลเลย ยังมีภาวนาอีก แล้วหลวงปู่ดูลย์ท่านก็พูดสั้น ๆ ด้วย ถ้าคนตีความไม่ออก ก็จะเข้าใจผิดไปเลย ไปสงสัยว่าถ้าท่านไม่สรรเสริญในทาน แล้วจะสร้างไปทำไม ?

เถรี 23-04-2016 20:05

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ถามท่านว่าท่านเกิดทันพระพุทธเจ้าไหม ? ถ้าท่านเกิดทันเราจะเชื่อท่าน เรารู้ตัวก็ตัดการติดต่อไปสิ ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันมีพระอรหันต์สืบต่อกันมาไม่เคยขาดสาย ถ้าพระไตรปิฎกใช้งานไม่ได้แล้วอะไรจะใช้ได้

พวกประเภทฉลาดเกินปล่อยเขาไปเถอะ พวกปทปรมะ ผู้มากด้วยบทบาท หาใครสอนไม่ได้หรอก วัดป่าสายหลวงปู่มั่นมีพระที่มรณภาพแล้วอัฐิเป็นพระธาตุมากมายมหาศาลไม่รู้กี่องค์ต่อกี่องค์ แล้ววัดป่าสายนั้นประกาศตัดท่านออกจากกองมรดก ก็ปล่อยท่าน อย่าไปยุ่งกับท่านเลย คนประเภทนั้นความรู้ท่านเกิน ออกไปแนวสญชัยปริพาชก


ถาม : เขาบอกว่าไม่ให้ไหว้พระพุทธรูปด้วย ?
ตอบ : ที่ไม่ไหว้พระพุทธรูปก็เพิ่งจะต้องอาบัติปาราชิกไป ๑ ราย เดี๋ยวดูว่ารายนี้จะออกไปทางไหน การสวดมนต์ไหว้พระเป็นอนุสติ ระลึกถึงพระตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน คุณศึกษาพุทธวจนะอีท่าไหน บอกห้ามไหว้พระพุทธเจ้า ไม่สวดมนต์ไหว้พระ อย่าไปเถียงกับเขาเลย ไม่มีประโยชน์หรอก เกิดกิเลสเสียเปล่า ๆ

เถรี 23-04-2016 21:57

ถาม : เดินทางไปทางไหนดี ?
ตอบ : ต้องถามตัวเอง ไม่มีหัวไม่มีปลาย อยู่ ๆ ถามอย่างนั้นใครจะไปตอบได้ ให้ปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา ก็แล้วกัน อย่าให้หลุดจาก ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ถูกทางทั้งนั้นแหละ

มีโยมชอบถามปัญหา ลักษณะคำถามแบบรู้กันเองแค่ ๒ คน แล้วจะให้อาตมาตอบอยู่เรื่อย ขอบอกว่าอย่าทำบ่อย มาผิดท่าผิดทางจะโดนด่าอีกต่างหาก ประเภทมาถึงก็ “เดินถูกทางหรือเปล่าครับ ?” “ที่ทำอยู่ใช่ไหมคะ ?” โปรดระวัง...จะโดนเหวี่ยง..! อาตมาเสียเวลาตอบไปโยมก็ได้คนเดียว คนอื่นไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

เถรี 23-04-2016 21:58

เมื่อวานมีพระท่านถามว่า ก่อนหน้านี้ไม่ได้เคารพอาตมามากมายนัก แต่ฝันถึงบ่อย ตอนนี้เคารพแบบมอบกายถวายชีวิตเลย ทำไมไม่ฝันอีกเลย ? การปฏิบัติแย่ลงใช่ไหม ?

อาตมาก็บอกว่า “เมื่อไม่อยู่บ้านเราก็คิดถึงบ้าน พออยู่บ้านเราจะคิดถึงบ้านอีกทำไม ?” ยังอุตส่าห์ถามปัญหาแบบนี้ได้ ก็น่าสงสัยเหมือนกันนะ ยืนได้แล้วเขามีแต่ตั้งหน้าตั้งตาเดินไปให้ถึงเป้าหมาย ไม่ใช่ว่ารอให้ครูบาอาจารย์ไปเข้าฝัน

เถรี 24-04-2016 12:39

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดี๋ยวไว้มีโอกาสอาตมาจะเปิดกองทุนการศึกษาเพราะว่าช่วงนี้จ่ายเยอะมาก ปีนี้มีพระใหม่ที่จะเรียนปริญญาโทอีก ๔ รูป จบมา ๑ เรียนเพิ่ม ๔ อาตมาได้กำไรแบบนี้ทุกปี

ส่วนท่านแบงค์ก็ดวงยากเข็ญ ไปเรียนปริญญาโทวิปัสสนาภาวนา แรกเริ่มก็ต้องไปเข้าปริวาส ๑ เดือนเพื่อความบริสุทธิ์ หลังจากนั้นก็ไปอยู่ปฏิบัติกรรมฐาน ๗ เดือน ความจริงเขาบอกให้แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ ๔ เดือน กับ ๓ เดือน ปรากฏว่าพอไปอยู่ที่โน่นแล้ว ครูฝึกท่านบอกว่าเอา ๗ เดือนรวดไปเลย เพราะว่าอารมณ์ปฏิบัติกำลังดี แล้วค่อยกลับมาเรียนวิชาการ ท่านก็เลยอยู่ยาวไป ๗ เดือน แต่ปรากฏว่าทางมหาวิทยาลัยไม่ยอม ท่านก็เลยเสียฟรีไป ๘ เดือน กลายเป็นเรียนช้ากว่าเพื่อนไป ๑ ปี

เรียนช้ากว่าเพื่อน ๑ ปี พอเรียนเสร็จก็ต้องไปเข้ากรรมฐานอีก ๗ เดือน ได้บุญเยอะจริง ๆ...! เรื่องหัวข้อวิทยานิพนธ์ท่านก็ไม่ได้บอกอาตมาว่าหัวข้อเป็นอย่างไร ถึงเวลาถามว่า “หัวข้อผ่านหรือยัง ?” ตอบว่า “ผ่านแล้วครับ” “คุณได้หัวข้ออะไร ?” “วิเคราะห์การบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าครับ” อาตมาสะดุ้งเฮือก “เฮ้ย..! นั่น ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เลยนะ” “ครับ.. ผมก็เพิ่งรู้ตอนที่ท่านอาจารย์ที่ปรึกษาบอกนั่นแหละครับ” เพราะฉะนั้น...ทุกวันนี้ รุ่นน้องคือท่านปลัดเผื่อนจบปีนี้ แต่รุ่นพี่คือท่านแบงค์ยังง่วนอยู่กับวิทยานิพนธ์

อาตมาบอกเขาว่า “รวบลงมาให้เหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็ตีเอาเฉพาะหัวข้อใหญ่ ๆ ก็พอ” ก็ไม่รู้ว่าท่านรวบลงหรือเปล่า ? ไม่ได้กลับวัดมา ๒ เดือนกว่าแล้ว อยู่ที่มหาวิทยาลัยเลย มีอะไรจะได้ถามอาจารย์ได้ทุกวัน บอกให้มารับเงินเดือนก็ไม่มารับ นี่ถ้ามารับทีอาตมาต้องจ่าย ๒๐,๐๐๐ บาทเลย"

เถรี 24-04-2016 12:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "สามเณรไม่จำเป็นต้องบวชในเขตเสมา เพราะไม่ใช่สังฆกรรม สามเณรบวชที่ไหนก็ได้ ขอให้มีพระอุปัชฌาย์ก็แล้วกัน อย่างสมัยก่อนท่านบอกว่า ให้นั่งกระโหย่งไหว้เท้าพระอุปัชฌาย์ กล่าวคำถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ก็เป็นสามเณรแล้ว"

เถรี 24-04-2016 12:49

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครวางแผนจะบวชที่วัดท่าขนุนให้ท่องคำขอบวชแบบอุกาสะไว้ อาตมาจะเริ่มบวชให้ตั้งแต่งานฉลองพระอุปัชฌาย์เดือนมิถุนายนนี้ ถ้าใครตั้งใจจะบวชหมู่แล้วอยู่จำพรรษาก็ได้ แต่ถ้าใครจะบวชเดี่ยวแล้วหวังให้อาตมาว่างนี่ยากสุด ๆ เพราะว่าต้องสอนหนังสือหลายแห่ง ไม่ค่อยได้อยู่วัด

เพราะฉะนั้น...วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือบวชตามตารางของวัด เพราะถ้าตามตารางของวัด อาตมาอยู่แน่ ๆ แต่ก็ไม่แน่นักหรอก ขนาดงานเป่ายันต์เกราะเพชรยังยกเลิกมาแล้ว เจอคำสั่งเจ้านายให้ไปปฏิบัติธรรม พระอาจารย์มหาสันติตอนแรกก็บอกว่ามีงานนั้นงานนี้ พอไปพักอยู่ด้วยกัน “อ้าว...ทำไมไม่ไป ?” ”โอ้...ขนาดงานเป่ายันต์ฯ อาจารย์ยังยกเลิกเลย งานผมเล็กกว่าตั้งเยอะ” สรุปว่ามีคนเลียนแบบ"

เถรี 24-04-2016 13:04

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนที่ไปอบรมกรรมฐานของพระอุปัชฌาย์ใหม่ มีการเลือกประธานรุ่นกัน เพื่อน ๆ ก็เสนอชื่อหลวงพ่อพระครูโสภิตปัญญากร วัดป่าประดู่ พระอารามหลวง ที่ระยอง กับหลวงพ่อชำนาญ มีเสียงสนับสนุนประมาณครึ่ง ๆ แล้วมีคนเสนอชื่อพระครูวิลาศกาญจนธรรมเสียงเดียว ปรากฏว่าเลือกไปเลือกมา พระครูวิลาศกาญจนธรรมเป็นประธานรุ่นไปเฉยเลย อาตมาก็งง ๆ กับชีวิตเหมือนกัน

เพื่อนกันจากกาญจนบุรีคือพระปลัดธวัช สุทฺธจิตฺโต เจ้าอาวาสวัดสวนมะม่วง ท่านบอกว่าตอนทำวัตรเย็นผมอุทิศส่วนกุศลและอธิษฐานว่า ถ้าพระอาจารย์เล็กบารมีมากจริงต้องได้เป็นประธานรุ่น แล้วท่านก็ปล่อยให้คนอื่นเสนอชื่อกันจนไม่มีใครเสนอ แล้วค่อยเสนอชื่ออาตมาขึ้นมาคนเดียว ตอนแรกก็มีเสียงสนับสนุนเสียงเดียว สรุปแล้วอาตมาก็ไม่รู้ว่าเพื่อนพาซวยหรือไม่ ? เพราะในรุ่นด้วยกัน ๙๒ รูป อาตมาอาวุโสเป็นอันดับที่ ๒๗ มี ๔๐ กว่า ๕๐ กว่าพรรษาเยอะแยะไปหมด ถามว่าแก่ขนาดไหน ? ก็ต้องบอกว่าเข้ากรรมฐานได้ ๓ วัน มีมรณภาพไป
แล้ว ๑ รูป..!

ทางด้านหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ เจ้าคณะใหญ่หนกลางท่านบอกว่า “เอาอย่างนี้ ใครอายุเกิน ๗๐ แล้วไม่ต้องไปเข้ากรรมฐาน” ปรากฏว่าไม่ค่อยมีใครใช้สิทธิ์ แปลกมากเลย อาจจะเป็นเพราะว่าท่านต้องการไปคลุกคลีตีโมง สร้างความสนิทสนมกับท่านอื่น ๆ ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน หรือไม่ก็สปิริตแรงกล้า ไม่อยากจะใช้สิทธิ์

อายุ ๗๔ – ๗๕ ปี ท่านไปยกหนอ ย่างหนอ บางท่านไม่ค่อยแข็งแรงก็เซไปเลย

เวลาไปอยู่กับเพื่อนแล้ว อาตมารู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่นเขา ที่เห็นชัดที่สุดก็คือตอนฉันอาหาร อาตมาฉัน ๕ – ๑๐ นาทีก็ไปแล้ว แต่ท่านอื่นฉันเป็นชั่วโมง เอาพุงที่ไหนไปใส่ก็ไม่รู้ แล้วอย่าคิดว่าฉันน้อยนะ ที่อาตมาลุกก่อนคือฉันมากกว่าเขาเท่าหนึ่งเป็นอย่างน้อย"

เถรี 24-04-2016 13:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติวันอาทิตย์ของเดือนเมษายน ทางบ้านสายลมจะทำบุญวันเกิดให้ท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท. ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) แสดงว่าพรุ่งนี้จะมีงาน ให้รู้ไว้ว่านั่นคืองานวันเกิดของท่านเจ้ากรม แม้ว่าท่านจะเสียชีวิตไปแล้ว เขาก็ยังทำบุญวันเกิดให้ บางคนอาจจะงงว่าบวงสรวงอะไรกัน

ท่านเจ้ากรมเสริมเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักมาก และทำตัวติดดินมาก เป็นหม่อมราชวงศ์ เป็นเจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศ เป็นพลอากาศโท ถึงเวลาก็ไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ท้ายศาลา อาตมาเดินผ่านก็ “อ้าวลุง...ทำไมไม่ไปนั่งข้างหลวงพ่อ ?” ท่านบอกว่านั่งมาเยอะแล้ว ให้โอกาสคนอื่นเขาบ้าง นั่งอยู่ท้ายศาลา ๒ ไร่ คนไม่รู้จักก็นึกว่าตาแก่ที่ไหนก็ไม่รู้มานั่งทอดหุ่ยอยู่คนเดียว กว่าจะรู้ว่าเป็นเจ้าของบ้านสายลม บางคนก็ไล่เจ้าของบ้านไปแล้ว..!

ท่านเจ้ากรมเสริมแต่เดิมเป็นตำรวจ พอได้ยศร้อยตำรวจเอกแล้วก็ย้ายเหล่าเป็นทหารอากาศ ป้าอ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์) เวลาคุยกับพวกเราท่านก็แซวเล่นอยู่เรื่อย “ฉันรักกับตำรวจ แต่แต่งงานกับทหารอากาศ” ท่านน่ารักมาก คนไม่รู้ประวัติก็ตาปริบ ๆ ว่าป้าเราหลายใจขนาดนี้เลยหรือ ?"

เถรี 24-04-2016 20:16

ถาม : เวลาสวดมนต์ตอนเช้ามักจะหลับเลย มีอะไรผิดพลาดไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรผิดพลาดหรอก ยกเว้นว่าต้องการมากกว่านั้น สิ่งที่ทำถือว่าเป็นกุศลแล้วเพราะมีทั้งสวดมนต์และภาวนา แต่ถ้าจะเอามากกว่านั้นต้องตามดูลมหายใจให้จี้ติดยิ่งไปกว่านั้น เพราะถ้าสติห่างเมื่อไรจะเผลอหลับ แต่ในช่วงนั้นอย่างน้อยสมาธิก็เริ่มจะเป็นปฐมฌาน ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างหยาบก็เถอะ ปล่อยให้หลับไป ตั้งใจว่าถ้าเราตายก็ขอไปอยู่กับพระท่านก็จบแล้ว

เถรี 24-04-2016 20:31

ถาม : พอเริ่มสวดมนต์แล้วรู้สึกปวดท้อง แต่พอสวดต่อไปอีกสักพักก็หาย ?
ตอบ : มี ๒ อย่าง อย่างที่ ๑ ขันธมาร คือร่างกายเขาขวางไม่ต้องการให้เราทำความดี เห็นเราสู้ต่อเขาก็ถอย อย่างที่ ๒ สมาธิทรงตัว จิตกับประสาทแยกออกจากกัน ไม่รับรู้อาการทางร่างกาย อาการก็หายไป ยังต้องการคำอธิบายอะไรอีก ?

เถรี 25-04-2016 17:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นบางคนโดยเฉพาะวัยรุ่น กังวลกับรูปร่างของตัวเองมาก อาตมาขอยืนยันว่าไม่ต้องกังวล ต่อให้อ้วนหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ให้แข็งแรงเข้าไว้ ฉะนั้น...ออกกำลังบ้าง อย่าไปนั่งจมอยู่กับไลน์หรือไปหน้าทิ่มอยู่กับหน้าจออินเตอร์เน็ต แต่ละคนทำบุญทำทานมาไม่เท่ากัน สิ่งในอดีตที่เราสร้างไว้จะกลายเป็นปัจจุบันของเรา

ถ้าไปอ่านในพุทธวงศ์จะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ มีอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ แต่ละอย่างล้วนเกิดจากการสร้างบุญมาในอดีตทั้งนั้น ว่าทำอะไรแล้วจะได้แบบไหน โบราณเขาถึงใช้คำว่ารูปธรรมนามธรรม คือธรรมชาติสร้างเสริมมาอย่างนั้นอยู่แล้ว

ไม่ต้องไปใส่ใจเขาหรอก ต่อให้อ้วนหน่อยแต่ก็แข็งแรงแล้วกัน ใครมาหือกับเราก็จับทุ่มออกนอกหน้าต่างไปเลย กินเข้าไป กินแล้วออกกำลัง ทำงานให้คุ้ม ถ้าหากว่าเกิดมาแล้วอด ๆ อยาก ๆ ทำเหมือนเร่ร่อนอยู่ในแดนเปรตและอสุรกายแล้วจะเกิดมาเป็นมนุษย์ทำไม ?"

เถรี 25-04-2016 17:06

"มีเพื่อนพระสังฆาธิการส่วนหนึ่งไม่เข้าใจ ถามอาตมาว่ารักษาสุขภาพมากเลยหรือ ถึงไม่ค่อยอ้วนกับใคร บอกเขาไปไม่รู้ว่าเข้าใจหรือเปล่า บอกไปว่า “ทำให้มากกว่าที่กินนะ” ฉะนั้น...เวลาไปวัดบางทีโยมก็ไปนั่งเถียงกันว่าต้องไม่ใช่เจ้าอาวาสแน่เลย เห็นกำลังกวาดวัดอยู่ รดน้ำต้นไม้อยู่ แล้วที่เถียงกันก็คือคนที่รู้จักนั่นแหละ พอไปเห็นตอนเล่นบทบาทกรรมกรเข้าทำเป็นจำไม่ได้

บ้านเราไม่ต้องไปไกลหรอก สมัยรัชกาลที่ ๖-๗ จนกระทั่งสมัยอาตมาเด็ก ๆ เขาหาสาวที่อวบระยะสุดท้าย เพราะว่าคนสมัยก่อนการคลอดลูกต้องคลอดตามธรรมชาติ ถ้าแม่ไม่แข็งแรงมีสิทธิ์ตายเลย เขาต้องหาผู้หญิงที่ค่อนข้างท้วม ร่างกายแข็งแรง คลอดลูกจะได้ปลอดภัยหน่อย แม้กระทั่งทุกวันนี้ประเทศอินเดีย สังเกตไหมว่าสาวอินเดียทุกวันนี้รูปร่างเป็นอย่างไร ถ้าผู้หญิงอินเดียผอมเขาถือว่าเป็นกาลกิณี ฉะนั้น...ถ้าน้ำหนักต่ำกว่า ๖๐ กิโลกรัมไม่ต้องไปอินเดีย ไม่มีใครเขาแลหรอก ต้อง ๖๐ กิโลกรัมขึ้นไป

ถ้าใครดูภาพวาดยุคเก่า ๆ สมัยเรเนซองส์ จะเห็นว่าผู้หญิงแต่ละคนอ้วน ๆ ทั้งนั้น ฉะนั้น...ถ้าใครว่าเราอ้วน บอกไปได้ด้วยความภูมิใจเลยว่า มาจากยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เป็นคนสวยของสมัยนั้น ต่อไปเลิกเครียดกับความอ้วนได้แล้ว เราก็ออกกำลังของเราไป กินอย่างมีความสุขไปด้วย"

เถรี 25-04-2016 17:09

"ส่วนใหญ่ที่คนของเราอ้วนเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุที่ ๑ เพราะเอาอาหารของคนเมืองหนาวมากิน อาหารพวกนั้นจะให้พลังงานสูงมาก เพราะเอาไว้สู้กับความหนาว คราวนี้ประเทศของเราเป็นเมืองร้อน ก็เลยกลายเป็นส่วนเกินไป มีแต่อ้วนกับอ้วน

อีกส่วนหนึ่งก็คือพวกเราขาดวินัยในการควบคุมตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมปากตัวเองก็ดี หรือว่าควบคุมให้ตัวเองออกกำลังก็ตาม ไม่ค่อยมีวินัยกัน อย่างเก่งก็ไฟไหม้ฟาง วันสองวันเลิกแล้ว เครื่องออกกำลังกายซื้อมาหมื่นสองหมื่นเอาไว้ตากผ้า ฉะนั้น...การควบคุมตัวเองก็คือการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เราควบคุมปากเราได้ ควบคุมกาย วาจา ของเราได้ ก็เท่ากับว่าเราควบคุมตัวเราให้รักษาศีลและทรงสมาธิได้เช่นกัน"

เถรี 25-04-2016 17:15

(มีโยมพาเด็กมาถวายสังฆทาน) "เป็นอย่างไรครับลูก ? ทำหน้าอย่างกับจะบรรลุมรรคผลวันนี้เลย เจ้าตัวเล็กทำหน้าเบื่อหน่ายได้อารมณ์มาก ใครปฏิบัติธรรมอยู่ มาเห็นหน้าเขานี่ก็คงจะบรรลุกันเดี๋ยวนั้นเลย เด็กเขาไม่เข้าใจว่าทำไมไม่ไปเล่นสนุก ทำไมต้องมายกพระถวายสังฆทาน แล้วก็มานั่งไหว้กันอย่างนี้ด้วย บางทีเห็นความฝันของเด็ก ๆ แล้วรู้สึกว่าเรียบง่ายดี

ปีนี้วาวาที่เป็นเด็กวัดสอบเข้า ม.๑ ได้ ช่วงที่ไปสอบโอเน็ตเห็นว่าเขาเรียนช้า เพราะแม่เป็นต่างด้าว ลูกเรียนอยู่ปีสองปีก็ออกมาทำงาน พอมีสตางค์ก็กลับไปเรียนใหม่ ปีหนึ่งก็ต้องออกมาทำงานอะไรอย่างนี้ จนกระทั่งอาตมาเอามาอยู่วัด ถึงได้ส่งให้เรียนต่อเนื่อง แม้ว่าจะรุ่นเดียวกับพวกน้ำหวานแต่เพิ่งจะจบ ป.๖ ทั้ง ๆ ที่น้ำหวานขึ้น ม.๕ แล้ว ปรากฏว่าขึ้น ม.๑ ได้ดีอกดีใจมาก ถามว่าทำไม ? “จะได้ไว้ผมยาวเสียที” คือเขาต้องนับว่าเป็นรุ่น ม.๕ เป็นสาวแล้ว แต่ต้องไปตัดสั้นแค่หู เข้าโรงเรียนใหม่ได้ดีใจมาก จะได้ไว้ผมยาวเสียที

ต้องบอกว่าเด็ก ๆ ที่วัดโอกาสที่จะเรียนแทบจะไม่มี ถ้าไม่มาอยู่วัดให้หลวงพ่อส่งก็ไม่ได้เรียน ฉะนั้น...ถึงเวลาเขาจึงตั้งใจเรียนกัน แต่ขณะเดียวกันเด็กในกรุงเทพฯ เด็กในเมือง มากต่อมากด้วยกัน พ่อแม่แทบจะทุ่มเทให้ทั้งชีวิต แต่กลับไม่ค่อยจะใส่ใจเรียน คนมีโอกาสไม่พยายาม ส่วนคนไม่มีโอกาสต้องตะเกียกตะกายให้ได้โอกาสมา แต่เชื่อเถอะ...คนประเภทหลังจะประสบความสำเร็จมากกว่า เพราะเขาต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง จนกระทั่งมีความสามารถแท้จริง

เด็กในเมืองส่วนใหญ่แล้วฉาบฉวยผิวเผิน นอกจากประสบการณ์ในเมืองแล้วอย่างอื่นไม่มีอะไรเลย เอาไปทิ้งไว้ในป่าก็อดตาย..!"

เถรี 26-04-2016 14:48

ถาม : เวลาจับภาพ ถ้าจับภาพแดนพระนิพพานจะหมุนไม่ได้ แต่ถ้าเกิดจับภาพพระสมเด็จองค์ปฐมจะหมุนได้ ?
ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกันเพราะอาตมาไม่เคยเล่นอย่างนั้น ด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าก็เลยไม่กล้าล่วงเกินด้วยประการใด ๆ ทั้งสิ้น ในเมื่อไม่เคยทำก็เลยตอบไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือ มีโทษอะไรหรือเปล่า

ถาม : แต่การฝึกจับภาพไม่ได้เป็นการล่วงเกินไม่ใช่หรือครับ หรือว่าได้แต่ย่อขยายภาพ ?
ตอบ : ถ้าคิดกันแบบหยาบ ๆ ก็ไม่มีโทษ ถ้าละเอียดกว่านั้นหน่อยก็มี

ถาม : ผมกราบขอความเมตตาพระท่าน ?
ตอบ : อย่าว่าแต่ขอเลย แม้แต่คิดตูยังไม่กล้าคิด พระพุทธเจ้าไม่ใช่เพื่อนเรานี่หว่า..!

ถาม : อย่างนี้เวลาฝึกจับภาพย่อขยายใช้วิธีแบบไหนครับ ?
ตอบ : พระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เราเคยชิน แล้วการย่อขยายนั้นเป็นไปตามระดับกำลังใจของเรา ถ้าสมาธิเราถึง ต้องการให้ใหญ่ก็ใหญ่ ต้องการให้เล็กก็เล็ก

เถรี 26-04-2016 14:53

ถาม : เวลาจับภาพดวงแก้วหรือแสงสว่างอยู่ข้างหน้า แต่ไม่ทราบว่าวิธีจะนำไปใช้อย่างไร ? อย่างเพื่อนผมเวลาจับภาพสมเด็จองค์ปฐม เขาจะขอให้ระลึกชาติได้บ้าง ทำนองนี้ ?..

ตอบ : สารพัด ๑๐๘ เพราะญาณทั้งหมดพื้นฐานก็คือทิพจักขุญาณ ทิพจักขุญาณคือการรู้เห็น เมื่อรู้แล้วถ้าต้องการรู้เห็นอดีตก็เป็นอตีตังสญาณ รู้เห็นอนาคตก็เป็นอนาคตังสญาณ รู้เรื่องในตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ก็เป็นปัจจุปันนังสญาณ เป็นต้น

ฉะนั้น...จะใช้อะไรก็ใช้ในหลักของญาณ ๘ นั่นแหละ ไม่ได้ต่างกันเท่าไรหรอก พื้นฐานเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนวิธีใช้นิดเดียว


ถาม : เวลาเราอยากรู้ก็รู้เลย หรือว่าต้องขอความเมตตาพระ ?
ตอบ : ถ้ามีความคล่องตัวแค่คิดก็เป็นแล้ว ถ้ายังต้องไปเสียเวลาขอก็ยังห่างไกล

เถรี 26-04-2016 15:03

ถาม : ความสำคัญของการฝึกลม ๓ ฐาน เพื่อให้สมาธิรวมตัวมั่นคงใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าทำจนเป็นสมาธิแล้ว การอยู่กับลมหายใจเข้าออกคืออยู่ปัจจุบัน การอยู่กับปัจจุบันคืออยู่กับตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่ไปในอดีต ไม่ไปในอนาคต การปรุงแต่งใด ๆ ไม่มี รัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นไม่ได้ ก็แปลว่ากรรมใหม่ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เราไม่ได้สร้าง ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ถ้าเราสร้างความดีใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ กรรมเก่าของเราก็จะค่อย ๆ จางลง เหมือนอย่างกับเติมน้ำจืดลงในน้ำเค็ม เติมไปมาก ๆ ความเค็มไม่ได้ไปไหน แต่ความจืดกลบกลืนไปหมด เราเองก็จะมีความบริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าบริสุทธิ์ถึงที่สุดก็จะหลุดพ้นไปเอง ฉะนั้น...อย่าเห็นว่าเป็นแค่อานาปานสติหรือแค่ลม ๓ ฐานเท่านั้น

ถาม : ทีนี้เวลาฝึกจับลม ๓ ฐานควบกับกสิณที่เป็นภาพ ก็สามารถควบกันได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เขาควบกันเป็นปกติ ฝึกกสิณถ้าไม่ควบกับลมหายใจ ชาตินี้ก็ไม่มีทางได้กสิณหรอก นอกจากภาพติดตาเล็ก ๆ น้อย ๆ

เถรี 26-04-2016 15:08

ถาม : เวลาเรานึกถึงภาพพระพุทธรูป ถ้าเราตั้งต้นจากความไร้รูป แล้วจะแปรเปลี่ยนเป็นเพชรหรือแก้ว คือวิธีการที่จะทำให้...?
ตอบ : สรุปว่าตั้งคำถามผิดเพราะไม่เคยทำมา แต่ดันทะลึ่งมาถาม เราต้องกำหนดรูปขึ้นมาก่อนถึงเข้าสู่ภาวะไร้รูปได้ การที่กำหนดภาวะไร้รูปขึ้นมาแล้วจะให้เป็นรูปนั้นกลับข้างกัน เป็นไปไม่ได้

ถาม : ที่ไร้รูปเป็นการ...?
ตอบ : มีอยู่อย่างเดียวคือว่าถ้าเรามีความคล่องตัว ต้องการให้ภาพมาก็มา ต้องการให้ภาพหายก็หาย แต่ไม่ใช่อรูป เพราะอรูปต้องทิ้งรูปทั้งหมด

ถาม : ที่ว่าเป็นรูป ทำไมถึงว่ายิ่งใสยิ่งดี ?
ตอบ : ความใสของภาพที่เห็นก็คือระดับสมาธิของเรา ยิ่งระดับสมาธิสูงมากเท่าไรภาพก็ใสสว่างมากเท่านั้น เหมือนอย่างกับคนมีเงิน เขาบอกว่ายิ่งมีเยอะก็ยิ่งดี

ถาม : แก้วก็มีแก้วขาว แก้วใส แก้วมีประกาย อันไหนดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : แล้วแต่เรา ถ้ากำลังใจของเราเป็นปุถุชนกิเลสหนา ได้ขาวธรรมดาก็ดีตายชักแล้ว ถ้ากำลังใจเริ่มเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ใสเป็นแก้วเองก็ยังอยู่แค่ระดับโคตรภู ถ้าหากว่าใสแล้วมีประกายออกมาถึงจะเริ่มเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าอย่างแท้จริง แล้วก็หวังว่าจะใสทั้งดวง เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นไปเองตามกำลังใจของเรา ไม่ใช่ไปนั่งคิดแล้วจะเป็น...!

เถรี 26-04-2016 15:09

ถาม : พอพูดถึงกำลังใจ แล้วกำลังใจนี่คืออะไรครับ ?
ตอบ : ความดีทั้งหมดที่คุณสร้างสมมาใน ศีล สมาธิ ปัญญา

เถรี 26-04-2016 15:13

ถาม : เวลาฝึกปกติ เมื่อเราคิดเราจะไปแยกจิตเหมือนคุยกับตัวเอง เหมือนคนบ้าที่คุยกับตัวเอง ?
ตอบ : ผิดตั้งแต่คิดแล้ว คิดเมื่อไรก็ทุกข์ เพราะความคิดถ้าไม่ไปอดีตก็ไปอนาคต ทำอย่างไรที่เราจะหยุดอยู่กับปัจจุบันได้ ดูอาการเกิดดับให้เห็นเป็นปกติธรรมดาอย่างนั้น

ถาม : แต่ไม่ใช่ว่าตั้งใจคุยกับจิต หรือเตือนจิตว่าอย่าทำอย่างนี้...?
ตอบ : ถ้าหากว่าลักษณะอย่างนั้นเขาเรียกว่าความเป็นทิพย์ของใจ แต่ว่าความเป็นทิพย์ก็มีทั้งความเป็นจริงแล้วก็มีทั้งอุปาทาน ต้องฝึกซ้อมให้คล่องจริง ๆ ไม่อย่างนั้นจะแยกไม่ออก ส่วนใหญ่แล้วอุปาทานคือสิ่งที่เรายึดเอาไว้จากสิ่งที่เราอ่านมา ได้ยินได้ฟังมา แล้วพอไปเจอเข้ากับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ก็ไปยึดเอาของเก่าของเราเป็นหลัก เขาถึงได้เรียกว่าอุปาทาน

ถาม : แล้วความเป็นทิพย์ของใจเกิดได้อย่างไรครับ ?
ตอบ : มีสภาพปกติของใจอย่างนั้น จิตมีสภาพรู้ แต่เพียงแต่ว่าการรู้นั้น ถ้าเราต้องการรู้ที่สุดคือการรู้ธรรมที่แท้จริง เรียกว่ารู้ธรรมที่แท้จริงคืออะไร คือรู้เห็นอริยสัจ ฉะนั้น...การรู้ต่าง ๆ ควรจะรู้ในลักษณะของการลด รัก โลภ โกรธ หลง ของเรา ไม่ใช่รู้เพื่อที่จะฟุ้งซ่านไปใหญ่ไปโต ไม่ว่าสวรรค์กี่ชั้น พรหมกี่ชั้น พระนิพพานเป็นอย่างไรกูจะรู้ให้หมด ลักษณะอย่างนั้นกลายเป็นเอากิเลสมาทับถมตัวเองมากกว่า

เถรี 26-04-2016 15:18

ถาม : จิตนี้จริง ๆ มีแค่ดวงเดียว มีเกิดดับ ๆ ตามอารมณ์ แล้วกายละเอียดเป็นอย่างเดียวกับจิตไหมครับ ?
ตอบ : ก็คือจิตนั่นเอง เราต้องการเห็นเป็นดวงก็เป็นดวง ต้องการเห็นเป็นกายก็เป็นกาย ก็คือผู้รู้ที่อยู่ข้างใน แล้วผู้รู้ตัวนี้มีสภาพอย่างไร ? มีสภาพตามกำลังใจของเราตอนนั้น ถ้ากำลังใจต่ำก็มีสภาพเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วแต่ระดับของใจ ถ้าสภาพจิตดีก็เป็นเทวดา เป็นพรหม

ถาม : แล้วจริง ๆ อทิสมานกายสามารถแยกเป็นหลาย ๆ กายได้ ?
ตอบ : เป็นจิตเดียว แต่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ จึงสามารถแยกเป็นร้อยเป็นพันพร้อม ๆ กันได้ แต่ไม่ว่าปลายจะแยกออกไปเท่าไร ต้นสายก็มีหนึ่งเดียว

ถาม : แล้วใช้ประโยชน์อย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ถ้าขี้เกียจขึ้นมาก็แยกใจทำงานหลาย ๆ พร้อมกันได้ ถ้าขยันขึ้นมาก็ค่อย ๆ ทำทีละอย่างไป

เถรี 26-04-2016 19:20

ถาม : การที่เราเปิดร้านอาหารแล้วเราไปซื้อเนื้อสัตว์ จะทำให้ศีลข้อฆ่าสัตว์มัวหมองไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้สั่งให้ฆ่าและไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ไม่เป็นไร

ถาม : การที่เราไปจ่ายตลาดบ่อย ๆ แล้วร้านนั้นเขาเตรียมของให้เราโดยที่เราไม่ได้บอก ?
ตอบ : เรื่องของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับเรา

ถาม : การตั้งใจไปหาแหล่งเนื้อสด กุ้งสด แต่เราต้องการแค่ความสด ไม่ได้สั่งให้ฆ่า ?
ตอบ : ถ้าหากว่ายิ่งสดเท่าไรก็ยิ่งเสี่ยงต่อความเป็นโทษเท่านั้น อาตมาเคยเดินเข้าไปในร้านอาหารร้านหนึ่ง แล้วสั่งได้แต่ผัดกะเพราไข่ดาว เพราะกุ้งหอยปูปลาเป็น ๆ ว่ายเต็มตู้ไปหมด แล้วเขาก็ถือสวิงมารอตักว่าจะสั่งตัวไหน...!

ถาม : ถ้าเราจะตั้งใจจะถือศีลให้ละเอียดจะเปิดร้านอาหารได้ไหมครับ ?
ตอบ : เปิดร้านมังสวิรัติสิวะ...!

ถาม : แต่คนไม่ค่อยเข้า ?
ตอบ : จะไปกังวลอะไร ไม่กินก็เรื่องของมึง กูจะนั่งถือศีล...!

เถรี 26-04-2016 19:22

ถาม : ทำไมพุทธคุณถึงมีอายุเวลาว่า ๒,๐๐๐ ปีบ้าง ๓,๐๐๐ ปีบ้าง ?
ตอบ : ไม่มีอายุเวลา ที่มีอายุเวลาเป็นไปตามกำลังสมาธิของคนทำที่อธิษฐานทิ้งไว้

ถาม : หมายความถ้าคนสร้างอาราธนาพุทธคุณ พุทธคุณก็ไม่มีวันเสื่อมอยู่แล้ว ?
ตอบ : ไม่มีวันเสื่อมอยู่แล้ว

เถรี 26-04-2016 19:24

ถาม : เวลาเราสวดมนต์ครับ พลังของการสวดมนต์มาจากไหน ?
ตอบ : เกิดจากกำลังใจที่แน่วแน่ ยิ่งแน่วแน่เท่าไร กำลังก็สูงมากเท่านั้น สรุปง่าย ๆ ว่าเกิดจากสมาธิ

ถาม : แต่ไม่ได้แปลว่าสวดมนต์กำลังสมาธิจะน้อยกว่าเวลานั่งสมาธิจริง ๆ ?
ตอบ : อาตมาสวดได้ยันพระนิพพานเลย ใครทำได้น้อยก็ผลน้อย ใครทำได้มากก็ผลมาก แล้วแต่ตัวเอง การทำสมาธิไม่ได้บังคับว่าต้องนั่งทำอย่างเดียว อยู่ในอิริยาบถอะไรก็ทำได้ ทำอะไรอยู่ก็สามารถทรงสมาธิได้

เถรี 26-04-2016 19:24

ถาม : ข้อสุดท้ายครับผม
ตอบ : เอาให้แน่นะ...มีเกินโดนเหวี่ยง...!

ถาม : คำถามสุดท้ายของตอนนี้ครับ พระปัจเจกพุทธเจ้าทำไมท่านอธิษฐานอย่างนั้น ทำไมท่านไม่อธิษฐานที่จะสอนคนอื่นด้วย ?
ตอบ : ท่านเบื่อคุณน่ะ...! รับผิดชอบตัวเองคนเดียวก็เป็นภาระมากอยู่แล้ว ไปรับผิดชอบคนอีกเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่ไหว เพียงแต่ว่าท่านต้องการจะรู้เหมือนกับพระพุทธเจ้า ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็น พูดง่าย ๆ ว่าอยากรู้ครบแต่ไม่อยากมีภาระ

เถรี 26-04-2016 19:32

ถาม : คำถามสุดท้ายของสุดท้ายครับ เพื่อนเราเขามีคำถามว่า ถ้าเราเหยียบสัตว์โดยไม่ตั้งใจแล้วสัตว์นั้นยังไม่ตายดี ก็ตั้งใจสงเคราะห์ด้วยการเหยียบซ้ำอีกทีให้ตาย เป็นบาปกรรมหรือไม่ ?
ตอบ : ครั้งแรกไม่มีโทษฆ่าสัตว์ ครั้งที่สองโทษเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

ถาม : เขาหวังดีกับสัตว์นั้นไม่ให้ทรมาน ?
ตอบ : อันดับแรก สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ อันดับ ๒ เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต อันดับ ๓ เราตั้งใจฆ่า อันดับ ๔ เราลงมือฆ่า อันดับ ๕ เราฆ่าสำเร็จ แบบนี้เกิดโทษ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ลงไป ๒๐ ฉะนั้น...ครั้งที่สองนี่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย

ถาม : สมมติว่าเราขี่มอเตอร์ไซค์แล้วหมามาจะกัดเรา เราจึงเตะเพื่อป้องกันตัว ?
ตอบ : รถมอเตอร์ไซค์ล้ม...รับประกันได้เลย หมาที่บ้านอาตมาชอบให้คนเตะมาก ลากคนลงจากมอเตอร์ไซค์ทั้ง ๆ ที่กำลังเตะนั่นแหละ บอกแล้วว่าการกระทำเขาดูที่เจตนา แม้แต่กฎหมายก็ยังพิจารณาว่าเจตนาฆ่าหรือไม่เจตนาฆ่า เจตนาทำร้ายหรือไม่เจตนาทำร้าย เรื่องของหลักธรรมก็คล้ายคลึงกัน ถามว่าบาปไหม ? บาปก็น้อยลงหน่อยเพราะป้องกันตัว

ถาม : การที่เราป้องกันตัวบาปจะน้อยลง ?
ตอบ : อาจจะเหลือ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายเขาโดยตรง

เถรี 26-04-2016 19:37

ถาม : ผมตั้งใจเตรียมของไว้ใส่บาตรแต่ผมลืมบอกคนในบ้าน ปรากฏว่าคนในบ้านเอาไปกินเอง เราตั้งใจชำระหนี้สงฆ์แทนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไปบอกเขาว่าเราตั้งใจทำอย่างนี้ ๆ แต่ปรากฏว่าคุณกินไป เราก็เลยชำระหนี้แทน โปรดโมทนาด้วย ต่อไปจะได้รอบคอบกว่านี้

เถรี 26-04-2016 20:13

พระอาจารย์กล่าวว่า "การช็อปปิ้งเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์มาแต่โบร่ำโบราณ ตัวอย่างการช็อปปิ้งที่เลยเวลาโดยไม่เจตนาคือท่านแม่มัทรี วันที่ชูชกมาขอกัณหาชาลีท่านโดนเทวดาแกล้ง เพราะถ้าเก็บผักผลไม้ได้มากเหมือนเดิม ได้ง่ายเหมือนเดิม กลับไปทันก็จะไม่ให้กัณหาชาลี ก็เลยโดนเทวดาแกล้ง ที่ ๆ เคยหาได้ก็หาไม่ได้ ต้องเดินไกลไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งห่วงลูกทนไม่ไหว “เอาละ...ถึงได้น้อยก็กลับแล้ว” เทวดาก็ยังอุตส่าห์แปลงเป็นเสือเป็นสิงห์ไปขวางทางไว้อีก ตรงจุดนี้เวลาที่เขาเทศน์มหาชาติพอโอดครวญขึ้นมา คนฟังประเภทน้ำตาไหลน้ำตาร่วง ท้ายสุดต้องควักกระเป๋าติดกัณฑ์ถึงจะเลิกครวญสักที

ตำราของหลวงปู่สังข์เฒ่า วัดละหารไร่ ตกทอดมาถึงหลวงปู่ทิม ท่านก็เลยทำลูกอมเทียนมัทรี ลูกอมเทียนมัทรีพอถึงเวลาเขาจะเทศน์มหาชาติ ก็จะให้ตั้งเทียนขี้ผึ้งเป็นราวพราวไปหมดเลย แล้วก็จุด ๆ ให้เยอะที่สุดเพราะต้องการน้ำตาเทียน พอเทศน์ไปถึงตอนที่มัทรีกำลังคร่ำครวญถึงลูก ก็ให้สาวพรหมจารีรีบไปเก็บน้ำตาเทียน ร้อนมือแค่ไหนก็ต้องเก็บรวบรวมไว้ให้มากที่สุด เก็บไปถึงตอนที่พระนางมัทรีใจอ่อน ยอมโมทนาตามพระเวสสันดรที่ให้ลูกเขาไปก็หยุดเก็บ

เขาเอาเคล็ดลับแค่นั้นแหละ ว่าแม่ที่รักลูกปานจะขาดใจยังอุตส่าห์สละลูกได้ ต้องมีการตากแดดกี่เสาร์กี่อังคารให้ยุ่งไปหมด เอากระดาษสาลงอักขระเป็นไส้ แล้วเอาเทียนมาแผ่หุ้ม ปั้นเป็นลูกอม เป็นมหานิยมสุด ๆ ขนาดแม่รักลูกแทบขาดใจยังสละลูกให้ได้ ฉะนั้น...ไปเอ่ยปากขออะไรใครก็คงไม่พลาด

เพียงแต่ว่าลูกอมเทียนมัทรีทำยาก มาถึงสมัยนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะสาวพรหมจรรย์
หายากมาก สมัยก่อนเครื่องรางของขลังมีหลายอย่างที่เกี่ยวเนื่องด้วยสาวพรหมจารี อย่างเช่นว่าต้องไปขอด้ายที่สาวพรหมจารีเขาปั่น แล้วเอามาพันตะกรุด พันลูกอม พูดง่าย ๆ ก็คือ ถือเคล็ดว่าเป็นหญิงสาวที่ใคร ๆ ก็หมายปอง พวกเคล็ดลับอะไรต่าง ๆ โบราณเขามีอยู่ ถ้าหากว่าเข้าถึงก็ทำได้ขลังกว่าชาวบ้านเขา"

เถรี 26-04-2016 20:16

"อาตมาทำของได้ขลังแต่ก็ไม่ได้มีวิชาความรู้พวกนี้หรอก ขอพระอย่างเดียวเลย ถึงมีก็ไม่เสียเวลาไปทำหรอก เอานิสัยหลวงพ่อวัดท่าซุงมาใช้ หลวงพ่อวัดท่าซุงได้ตำราพระร่วงมาก็เปิด ๆ อ่าน เสร็จเรียบร้อยโยนเก็บ จนกระทั่งพระร่วงท่านต้องมาเอง ท่านไปเป็นพรหมอยู่ข้างบน ให้ทำโน่นทำนี่หน่อย "ไม่เอาหรอก...ยาก" โดยเฉพาะธงมหาพิชัยสงครามท่านบอกว่ายาก ท่านไม่ทำ ต่อรองไปต่อรองมา ท้ายสุดทำแบบให้เขาพิมพ์มาก็ได้ ถ้าเขียนจริง ๆ นี่ผืนหนึ่งนี่คงต้องเขียนเป็นเดือน พิมพ์มาก็เสกไม่เป็น จนพระร่วงท่านบอกว่าเดี๋ยวจะเสกให้ สรุปแล้วก็คือหลวงพ่อมีหน้าที่สั่งให้เขาทำเท่านั้น

แล้วคนที่ลอกแบบออกมาเก่งสุด ๆ เลยก็คือท่านเจ้ากรมเสริม ท่านไม่รู้จักอักขระบาลีสักตัวเดียว แต่ลอกแบบออกมาได้โดยที่เขียนอักขระผิดแค่ไม่กี่ตัว ผิดเพราะเข้าใจว่าเขียนอย่างนั้น ท่านเก่งจริง ๆ"

เถรี 26-04-2016 20:25

ถาม : อักขระเป็นตัวขอมหรือคะ ?
ตอบ : เป็นอักขระขอม บ้านเราที่ใช้มี ๒-๓ อย่าง ถ้าไม่ใช่อักขระขอมก็เป็นตัวฝักขามของทางเหนือ หรือไม่ก็ตัวธรรมของอีสาน แต่เห็นวันก่อนเขาส่งรูปมาให้ดู บอกว่าแขวนตะกรุดมานาน ไม่รู้ว่าหลวงพ่อจารอะไรก็เลยแกะออกมาดู เห็นท่านเขียนข้างในว่า “รักนะ จุ๊บ..จุ๊บ” แหม...หลวงพ่อนี่สุดยอดจริง ๆ แสดงว่าเมตตามาก

ถาม : ตัวบาลี สันสกฤตไม่มีเขียนเป็นยันต์บ้างหรือคะ ?
ตอบ : เขียนยาก โดยเฉพาะสันสกฤต ถึงเวลาจะมีขีดแขวนข้างบน คือคำหนึ่งจากช่วงนี้ถึงช่วงนี้ ๆ ในเมื่อเขามีไม้แขวนเสื้ออยู่ก็ต้องอ่านตามไม้แขวนเสื้อ ไม่อย่างนั้นจะอ่านเป็นคำอื่น

บาลีสันสฤตบ้านเราเป็นบาลีไทย คือเขียนลง “อะ” ลง “อัง” พวกนั้น ส่วนตัวสันสกฤตจริง ๆ ไม่ใช่บาลี บาลีจริง ๆ เป็นภาษาที่ตายแล้ว ไม่มีการพัฒนาแล้ว สันสกฤตยังพัฒนาไปเรื่อย ฉะนั้น...ทางด้านสายมหายานเขาจารึกพระไตรปิฎกด้วยอักษรสันสกฤต ส่วนทางด้านเถรวาทของเราจารึกด้วยภาษาบาลี ในเมื่อภาษาบาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว กี่ปี ๆ ก็ไม่มีการเปลี่ยนคำแปล ความหมายจึงไม่เคลื่อน


ถาม : ก็นิยมแล้วว่าคือตัวไทย ?
ตอบ : ใช้อักษรไทยแต่อ่านแบบบาลี

ถาม : ภาษาเขียนบาลีจริง ๆ มีแบบไทยไหมคะ ?
ตอบ :ไม่มี เพราะบาลีเป็นภาษาอัศจรรย์ เป็นด้วยอักษรอะไรก็อ่านแบบบาลีได้ เขาเรียกตันติภาษา คือ ภาษาที่มีแบบแผนอย่างแน่นอน

เถรี 26-04-2016 20:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าไม่คิดมากก็มีความสุขดี ถ้าคิดมากก็เครียดแล้วก็ทุกข์ ส่วนใหญ่คนเราชอบหาทุกข์ใส่ตัวเพราะคิด จะบอกว่าคิดมากก็ไม่ได้เพราะว่าคิดอยู่คนเดียว ฉะนั้น...อย่าคิดคนเดียว ไม่ใช่อย่าคิดมาก พระท่านว่า “อะตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง, อย่าไปหวนคิดถึงอดีตและอย่าไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ, การที่เราจะเห็นธรรมะได้ต้องอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น”

หยุดใจให้นิ่งแล้วจะเห็นทุกสิ่งได้ มีหลักการปฏิบัติของสายพองยุบเขาบอกว่า ฟุ้งซ่านก็ให้ “ฟุ้งหนอ” นั่นผิดหลักตั้งแต่แรกแล้ว ไปตามรู้อารมณ์ฟุ้งรู้ไปทำไม ? รู้ว่าตัวเองฟุ้งแล้วได้อะไร ? มีแต่ต้องหยุด พอใจสงบแล้วเราถึงจะมองเห็นว่าใจของเราเป็นอย่างไร เหมือนอย่างกับน้ำ พอนิ่งแล้วเราถึงจะเห็นว่าใต้น้ำมีอะไร ไม่ใช่กวนจนตะกอนขุ่นคลั่กแล้วก็ไปนั่งดู คงจะได้เห็นหรอก

แต่ว่าท่านก็ยืนยันของท่านว่านี่แหละวิปัสสนาแท้ ต้องบอกว่าเป็นความเข้าใจผิดในความเข้าใจผิด และคงจะสอนผิด ๆ แบบนี้ไปอีกนาน"

เถรี 26-04-2016 20:38

พระอาจารย์ให้โยมยืมปลัดขิกของหลวงพ่อยิด "เอ้า...ให้ยืม ไปเคาะ ๆ แตะ ๆ ที่ร้าน หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก คาถาเขาว่าอะไรนะ ? กัณหะ เนหะ นะโมพุทธายะ ขอให้ขายดีกว่าเดิม ๕ เท่า ๑๐ เท่าก็ว่าไป ดูว่าจะปางตายไหม ? ขอคืนด้วยนะ ให้ยืมแค่ตอนขายเท่านั้น

พวกลูกศิษย์ดีมากเลย พออาจารย์ตาย ก็ปล้นเลย ตัวนี้เป็นปลัดขิก ๙ หัว หรือ ๙ ยอด หลวงพ่อยิดท่านใส่ไว้ในพานครู หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ประจวบคีรีขันธ์ ใครว่าท่านบวชตอนอายุมาก พรรษาน้อย พรรษาไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่าทำจริงหรือเปล่า ?

ภาวนาตอนเคาะ ๆ แตะ ๆ ขอบารมีท่านสงเคราะห์ ที่เหลือก็ว่าพระคาถาเงินล้านของเราไป"

เถรี 26-04-2016 20:40

:4672615:เก็บตกเดือนเมษายน ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:04


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว