กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5794)

เถรี 21-09-2017 18:51

ถาม : มีพี่ที่เคารพคนหนึ่งแนะนำให้กินมังสวิรัติ เพื่อเป็นการเมตตาต่อสัตว์ ช่วงระยะประมาณ ๒๔ วันค่ะ พอเรากินมังสวิรัติแล้วร่างกายหายใจไม่ออกค่ะ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าเราไม่ได้ฆ่าเอง ไม่ได้ยุให้คนอื่นฆ่า ไม่รังเกียจว่าคนอื่นเขาฆ่าเพราะเรา ก็กินเนื้อสัตว์ไปเถอะ ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าขาดโปรตีนแล้วต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ ผลาญแคลอรี่ไม่ได้ คราวนี้จะอ้วนบรรลัยเลย..!

เถรี 21-09-2017 18:56

ถาม : ถ้าเราเกิดมีลูกน้อง แม่เขาไม่สบาย เราเอาเขาออก แม่เขาเป็นอะไร เราบาปไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกันหรอก ความประพฤติของเขาทำตัวเอง

เถรี 25-09-2017 19:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "Yellow stone ก็คือนรกดี ๆ นี่เอง เพียงแต่ว่าวันไหนจะปะทุขึ้นมาเท่านั้น เป็นภูเขาไฟใหญ่มหึมา

เมื่อวานที่พูดถึงเรื่องการที่โลกเราจะโดนทำลายด้วยน้ำ ด้วยไฟ ด้วยลม แล้วก็โรคภัยไข้เจ็บ อาวุธ ในส่วนของ ดิน น้ำ ลม ไฟ รอถล่มอยู่แล้ว เราก็ยังหาเรื่องรบราฆ่าฟันกันอีก

จะว่าไปแล้วก็เป็นวัฏจักรอย่างหนึ่ง สัตว์โลกชนิดไหนถ้ามีมากจนเกินกว่าที่ทรัพยากรจะรับได้ ก็จะมีพฤติกรรมฆ่าตัวตายหมู่ พฤติกรรมรบราฆ่าฟันกันเอง เพื่อแย่งชิงทรัพยากรก็มี ฆ่าตัวตายหมู่ อย่างเช่นว่า พวกหนู คางคกหรือผีเสื้อ รวมพลทีหนึ่งเป็นแสนเป็นล้าน ถึงเวลาก็เดินทางไปเรื่อย ๆ เจอทะเลขวางหน้าก็โดดลงทะเล ว่ายน้ำไปจนจมตายหมด มนุษย์ของเราส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะของการรบราฆ่าฟันกันเอง

การแพทย์ศึกษาเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่การแพทย์แผนปัจจุบัน ศึกษารู้จักโรคแล้วก็เพาะเชื้อโรคไปทำลายคนอื่นเขาด้วย ทุกอย่างเป็นดาบ ๒ คม ขึ้นอยู่กับคนที่ใช้ว่ามีคุณธรรมเท่าไร

สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ บางประเทศเพาะสัตว์สงครามขึ้นมา สมมติว่าหมา ก็เพาะพันธุ์ให้มีความแข็งแกร่ง โหดเหี้ยม ดุร้าย ทำลายเป้าหมายตามคำสั่ง ที่ร้ายกว่านั้นก็คือพยายามที่จะตัดต่อให้เข้ากับมนุษย์ เพื่อที่จะได้เข้าใจคำสั่ง ควบคุมได้ง่าย ปัจจุบันนี้โครงการทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่ว่าโดนทิ้งไป หากแต่ว่ามีการทดลองกันแบบลับ ๆ อยู่ ถ้ายังควบคุมได้ก็ไม่เป็นไร วันไหนควบคุมไม่ได้ก็ตัวใครตัวมัน..!"

เถรี 25-09-2017 20:40

พระอาจารย์กล่าวว่า "วิชาการจัดการองค์กร มีอยู่ตอนหนึ่งกล่าวถึงการจัดการความเสี่ยง อาตมาเคยนึกว่า น่าจะเชิญอาจารย์พิเศษมาบรรยาย เพื่อที่นิสิตจะได้รับรู้วิธีการจัดการความเสี่ยงจากประสบการณ์จริง

อาจารย์พิเศษที่อยากเชิญมาบรรยายก็คือ บรรดาพวกที่ไปทำหน้า ผ่าตัด เสริมจมูก เหลากราม เพราะว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเสี่ยงมาก ถ้าคนไหนทำออกมาแล้วสวย แบบที่เขาชมกันว่า "สวยเหมือนกระเทยเลย" ต้องเอาคนเหล่านั้นมาบรรยายว่า จัดการความเสี่ยงอย่างไร เพราะว่าเขาทำตอนที่เราสลบ...ใช่ไหม ? ตอนที่สลบทำอะไรไม่ได้เลย เสี่ยงร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่รู้ว่าสั่งหมอแล้วจะได้อย่างที่ต้องการหรือเปล่า

วันก่อนดูข่าวว่ากระเทยลาว สั่งหมอว่าทำอย่างไรก็ได้ ให้ออกมาเหมือนใหม่ ดาวิกา ช่างเป็นความฝันที่พวกเราไม่กล้าอาจเอื้อม แต่เขาก็กล้าเสี่ยง แสดงว่าเขาต้องมีวิธีจัดการความเสี่ยงอยู่แล้ว

เรื่องของการผ่าตัด ไม่ว่าจะเป็นการเสริมการแปลงอย่างไรก็ตาม มีปัจจัยเสี่ยงอยู่รอบด้าน ทำออกมาแล้วไม่สวยบ้าง จมูกเบี้ยวบ้าง ปากแทนที่จะเป็นรูปกระจับก็กลายเป็นปากนกแก้วแทน ในเมื่อมีความเสี่ยงทุกรูปแบบ คนที่ทำออกมาสวยก็ไม่ใช่ว่าจะรอดตัว เพราะว่าวันดีคืนดีก็อาจจะบีบสิวเม็ดหนึ่งแล้วดั้งหลุดออกมาด้วย เคยเห็นรูปเขาส่งมาให้ดูแล้วก็สยดสยอง เป็นสิวที่ปลายจมูก พอบีบสิวดั้งจมูกก็หลุดออกมาด้วย

ทำแล้วไม่สวยก็ไม่รู้ว่าจะแก้อย่างไร เพราะแก้แพงกว่าที่ทำมาอีก ทำแล้วสวยก็ยังต้องเสี่ยงว่าจะมีผลข้างเคียงทีหลัง"

เถรี 25-09-2017 20:41

"ไปนึกถึงไมเคิล แจ็กสัน ที่ผ่าตัดแปลงตัวเอง กระทั่งไปฉีดสีผิว เพราะต้องการจะตอบสนองอะไรบางอย่างในใจของตัว จริง ๆ แล้วก็คือสภาพจิตใจต้องการความสงบ แต่ไม่มีความเข้าใจในหลักตรงจุดนี้ ก็เลยไปทำอะไร ๆ เกี่ยวกับร่างกาย ซึ่งเป็นคนละส่วนกับจิตใจ เกิดความพอใจขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราว พูดง่าย ๆ ว่า สนองกิเลสแล้วกิเลสสงบลงก็คิดว่าใช่แล้ว พอถึงเวลากิเลสกำเริบใหม่ก็ไปทำเพิ่มใหม่ กลายเป็นเปลี่ยนแปลงที่เปลือกนอก ซึ่งไม่ใช่ส่วนที่เป็นสาเหตุที่แท้จริง

ก็น่าเสียดาย เพราะถ้าเขามีหลักธรรมสักนิดหนึ่ง ก็คงจะได้ดีกว่านี้ แล้วไม่ต้องใช้ยาเกินขนาด เพื่อที่จะลดความเครียดตัวเองจนถึงแก่ความตาย"

เถรี 25-09-2017 21:39

พระอาจารย์สอนว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า "อย่าติดในสุข อย่ากังวลในทุกข์ ปล่อยวางในสิ่งทั้งปวง ยอมรับกฎของกรรม" คือ ถ้าเราไม่ได้ทำเราก็จะไม่โดน ถ้าโดนก็มานั่งพิจารณาว่า สมัยก่อนกูนี่เกเรน่าดูเลย

ยอมรับกฎของกรรมแล้วสบายใจที่สุด เห็นว่าธรรมดาทุกอย่างเป็นอย่างนี้ เราไม่สามารถที่จะห้ามคนอื่นได้ แต่เราสามารถที่จะรักษาใจตัวเองได้"

เถรี 25-09-2017 21:53

ถาม : ช่วงนี้สวดพระคาถาเงินล้านแล้วรู้สึกอึดอัดค่ะ ?
ตอบ : ทำสบาย ๆ แต่อย่าบังคับตัวเองมากเกินไป ถ้ารู้สึกว่าทำแล้วเครียดก็ให้แบ่งเป็นเวลา เช่น ถ้าเราสวด ๑๐๘ จบ ก็แบ่งเป็นเช้า ๓๖ จบ เที่ยง ๓๖ จบ เย็น ๓๖ จบ ถ้าไปบังคับตัวเองมากเกินไป สมาธิทรงตัวมาก บางคนก็เหมือนกับแบตเตอรี่เต็ม อัดไม่เข้าแล้ว จะอึดอัดมาก

เถรี 26-09-2017 15:05

ถาม : หนูไปที่วัดหนึ่ง หลวงพ่อที่วัดนั้นก็ทำนายกรรมหนูมา ว่าในอดีตชาติหนูไปฆ่าคนเป็นน้องสาวเมื่อ ๑๑๘ ปีที่แล้ว และเมื่อ ๕๕๗ ปีที่แล้ว หนูไปฆ่าคนที่เป็นแม่ หลวงพ่อที่วัดนั้นบอกว่า หนูต้องไปบวชทำกรรมฐานที่วัดนั้นเป็นเวลา ๑ เดือน ๑๔ วัน หนูก็สงสัยว่าถ้าหนูไปฆ่าเขา ทำไมตกนรกน้อยจริง ไม่รู้หนูโดนหลอกหรือเปล่า ?
ตอบ : ไปถามท่าน ถามคนอื่นจะไปรู้ได้อย่างไรวะ ? จำไว้ว่าได้ยินได้ฟังอะไรอย่าเพิ่งเชื่อ พระพุทธเจ้าตรัสว่า มา สมโณ โน ครูติ แม้สมณะนี้เป็นครูของเราก็อย่าเพิ่งเชื่อ ไม่อย่างนั้นต้องขุดบ้านจนพังก็ยังหาตอตะเคียนไม่เจอ แล้วจะรู้สึก...!

ถาม : หนูก็ทำแบบนี้ไปตามของหนู ก็ถูกต้องแล้วนะคะ ?
ตอบ : ชอบไปตามสำนักแบบนั้น เขาทำนายแล้วก็มาเครียดอีก ถามหลวงพ่อท่านไปสิว่า หลวงพ่อรู้หรือเปล่าว่าชาตินี้หนูกำลังจะฆ่าพระอีก..!

พวกเราก็ดูเหมือนรักเมืองไทยกันจริง ๆ คราวหน้าบอกหลวงพ่อบ้างสิว่า หัดให้หนูเกิดประเทศอื่นบ้าง ไม่ใช่เกิดแต่ประเทศไทย ตูยังไปเกิดเสียหลายประเทศ สมัยนี้กี่ชาติ ๆ ก็เกิดในประเทศไทยไม่เบื่อแย่หรือ ? ไม่อยากเจอโอปป้าบ้างหรืออย่างไร..?

เถรี 26-09-2017 15:25

ถาม : ตอนนี้โยมลาออกจากงานแล้ว เป็นงานที่ทำเพื่อสาธารณกุศลแต่ก็ได้เงินเดือนด้วย พอลาออกก็รู้สึกโหยหางานเดิม พอค้นหาความโหยหาก็รู้ว่า จริง ๆ แล้วไม่ได้อยากช่วยเขาหรอก จริง ๆ แล้วตัวเองต้องการทำให้ตัวเองรู้สึกว่าเป็นคนดี ถ้าต้องการให้ตัวเองเป็นคนดี ไม่เห็นต้องไปช่วยคนอื่นขนาดนี้เลยเราก็เป็นคนดีได้ ก็เลยเริ่มงงว่าตกลงเราต้องทำดีต่อไปแบบไม่ต้องทำงานเพื่อได้เงิน ก็ช่วยเขาไปนั่นแหละ แต่ก็ยังยึดติดกับของเดิม ๆ อยู่ค่ะ พอค้นลึก ๆ ลงไปจริง ๆ ตัวเองก็มีความกลัวค่ะ เป็นความกลัวอะไรไม่รู้บางอย่างค่ะ ?
ตอบ : ท้ายสุดคือกลัวตาย กลัวว่าถ้าเราไม่เป็นคนดี จะไม่เป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง เมื่อไม่เป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง เดี๋ยวเราจะอยู่ไม่ได้ ท้ายสุดไปลงตรงตายทั้งหมดนั่นแหละ สรุปก็คือเราจะทำอะไรก็ได้

ถาม : ต้องทำอะไรกับความกลัวนี้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำหรอก นั่นเป็นสัญชาตญาณ ความกลัวเป็นสิ่งที่ดี ทำให้เรารอบคอบขึ้น แต่ว่าเราสามารถที่จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาในลักษณะทำอย่างจริงจัง คนเขาก็เห็นว่าเราเป็นคนดีเหมือนกัน ท้ายสุดก็ไม่มีอะไร ท้ายสุดไม่ว่าคนดีหรือไม่ดีก็ตายหมด เหลืออยู่อย่างเดียวว่าตายแล้วจะไปไหน ต้องตั้งเป้าชีวิตให้ชัดเจนไว้ ต่อไปเราก็ประเภททำการช่วยเหลือคนอื่นแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ทำงานอะไรของเรา เราก็สามารถเสียสละเพื่อคนอื่นเขาได้

เถรี 26-09-2017 17:05

ถาม : ซึมเศร้า...คิดมาก ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คืออย่าไปคิดต่อ ส่วนใหญ่แล้วเราจะไปคิดต่อ ทำให้ซ้ำหนักขึ้น แต่การที่จะหยุดความคิดได้นั้น สมาธิต้องดีพอ ก็คืออยู่กับลมหายใจปัจจุบันโดยไม่ไปคิดต่อ ถึงเวลาซักซ้อมการเข้าออกสมาธิให้คล่องตัว พอเรารู้สึกจะซึมเศร้าขึ้นมา เราก็หนีไปอยู่กับสมาธิ ก็จะรอดไปชั่วคราว

เถรี 26-09-2017 17:46

ถาม : ความมั่นใจเชื่อว่าเราทำได้ จำเป็นไหมครับ ? หรือว่าเราทำไปเรื่อย ๆ วางใจธรรมดาว่าถ้าได้ก็ได้ ?
ตอบ : การที่จะทำอะไรด้วยความเชื่อมั่น ต้องมีคุณสมบัติสองอย่าง อย่างแรกสมาธิต้องทรงตัวเข้มแข็ง จะเกิดความมั่นใจกว่าคนอื่นเขา ประการที่สอง มีประสบการณ์ต่อสิ่งนั้น ๆ มาก่อน ทำให้เกิดความมั่นใจว่าเราเคยผ่านมาแล้ว ครั้งนี้ก็ต้องทำได้ คราวหน้ามีความมั่นใจ มีประสบการณ์ จะทำให้ทำได้ดีกว่า ส่วนที่พวกทำไปเรื่อย ๆ เหมือนกับปลาตายลอยน้ำ เอาดีไม่ได้เหมือนกัน

ถาม : ถ้าเราไม่ได้มีสมาธิ และไม่เคยทำมาก่อน เราจะมั่นใจได้ไหมครับ ?
ตอบ : ยาก...คนขาดสมาธิมักจะกลัว ๆ กล้า ๆ จะทำก็กลัวผิดพลาด ไม่ทำก็กลัวเจ้านายตื้บ..!

เถรี 26-09-2017 19:15

ถาม : การที่พยายามฝึกสิ่งทั้งหลายเพื่อการตายโดยเฉพาะ จริง ๆ แล้วควรจะทำตั้งแต่ตอนไหน ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็ควรที่จะทำได้ตั้งแต่ตอนมีชีวิตอยู่ คนที่ตั้งหน้าตั้งตาฝึกหัดเพื่อเป้าหมายของตัวเองไม่ใช่คนโง่ แต่เป็นคนฉลาดที่เตรียมพร้อมโดยไม่ประมาทต่ออนาคตที่จะมาถึง

เถรี 26-09-2017 19:18

ถาม : จำเป็นไหมครับว่าเวลาสวดมนต์ต้องสวดเวลา ๒๓.๒๐-๑๒.๐๐ น. ?
ตอบ : ใครเป็นคนบอกมา ?

ถาม : มีคนบอกมาครับ แต่ผมไม่แน่ใจ ?
ตอบ : ไปถามคนนั้น

ถาม : แปลว่า ถ้าเราตั้งใจจะสวดมนต์ตอนนั้นก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : สรุปว่าถ้าตายห่...ก่อนก็ไม่ได้ทำ เพราะฉะนั้น...ควรที่จะทำก่อนไหม ?

เถรี 26-09-2017 19:20

ถาม : คำทำนายของโหรเชื่อได้ไหมครับ ?
ตอบ : เชื่อได้นิดหนึ่ง

ถาม : นิดหนึ่งหรือครับ ? ถึงแม้ดูดวงดาวเหมือนโหรสมัยก่อน ?
ตอบ : เต็มที่ไม่เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ อย่างน้อยก็มี ๒๐ เปอร์เซ็นต์ที่ผิด ถ้าเกิดว่าเราดันไปเจอ ๒๐ เปอร์เซ็นต์นั้นก็บรรลัย พระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ในเมื่อทุกอย่างไม่เที่ยง โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงจนเกิดความผิดพลาดก็มีได้เสมอ

เถรี 26-09-2017 19:26

ถาม : เราโกหกแล้วเราไม่สบายใจ เรามาบอกความจริงทีหลัง เราผิดศีลหรือไม่ ?
ตอบ : ผิดไปแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม ส่วนที่เราบอกทีหลังอาจจะซ้ำเติมสถานการณ์ให้ย่ำแย่หนักเข้าไปอีก หรือกลับร้ายกลายเป็นดี ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของคนที่รับรู้

เถรี 26-09-2017 19:29

ถาม : ถ้าคนที่ไม่ได้สร้างเหตุให้มีบริวารในชาตินี้มาแต่ก่อน จะมาสร้างในชาตินี้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : สร้างในชาตินี้ก็ไปรอชาติหน้า

ถาม : ก็ต้องเจอระบบใหม่ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้สร้างเหตุเอาไว้ ก็ไม่มีโอกาสเข้าถึงระบบหรอก ...(หัวเราะ)...

เถรี 26-09-2017 19:30

ถาม : การจะได้ฌานต้องมีศีลห้าบริสุทธิ์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ตอนที่ทรงฌาน ศีลจะบริสุทธิ์ แต่ก่อนหน้านั้นอาจจะขาดอาจจะแหว่งบ้าง เพราะว่าโลกียฌานสำคัญตรงความมั่นใจ ถ้ารวบรวมกำลังใจตรงนั้นได้ ก็ทรงฌานได้ แต่ขอให้เข้าใจว่า ตอนที่ทรงฌานอยู่ ศีลของเราไม่ขาดอย่างแน่นอน

เถรี 26-09-2017 19:34

ถาม : การที่เราให้กำลังใจคนอื่น ก็คือการที่เราให้กำลังใจตนเอง ?
ตอบ : ดูว่าเขาต้องการกำลังใจจากเรา หรือเราต้องการกำลังใจจากเขา ถ้าเขาต้องการกำลังใจจากเรา เราสามารถพูดจนเขาเกิดกำลังใจ คิดจะต่อสู้ฟันฝ่าขึ้นมาได้ ถ้าเราทำแบบนั้นสำเร็จบ่อย ๆ เราก็จะเกิดความมั่นใจขึ้นมาเองว่า เฮ้ย...เราก็ทำได้นี่หว่า..! ก็เท่ากับว่าเราสร้างกำลังใจให้ตัวเอง

เถรี 26-09-2017 19:39

ถาม : ฉันทะเป็นอวิชชาหรือครับ ?
ตอบ : ฉันทะที่ไหนเป็นอวิชชา ? ฉันทะ ถ้าเป็นในส่วนที่กระทำสิ่งที่ดีก็เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นส่วนของปัญญา แต่ถ้าฉันทะในการทำความชั่วความเลว ส่วนใหญ่จะเป็นการบงการของตัณหา ถ้าในลักษณะอย่างนั้นกลายเป็นส่วนของมิจฉาทิฏฐิ ก็เป็นส่วนของอวิชชา แสดงว่าต้องอธิบายทั้งหมด ไม่อย่างนั้นคุณชอบอ่านแล้วจับมาแค่มุมเดียว

เถรี 26-09-2017 19:44

ถาม : การที่มีลูกแก้ว ช่วยในการภาวนาได้ดี ทำให้เราเข้าถึงสมาธิได้ง่ายขึ้น ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าจะเอาหรือเปล่า ? ถ้าไม่เอา..ต่อให้อะไรก็ช่วยไม่ได้

ถาม : เพราะเราจะเข้าช้ากว่าคนอื่น ไม่เหมือนกับเวลามีลูกแก้ว ?
ตอบ : วัตถุมงคลหลายอย่างช่วยเสริมการปฏิบัติให้ดีขึ้น เพราะว่าบุคคลที่สร้างท่านสะอาดบริสุทธิ์จริง ๆ ก็เท่ากับว่าเหมือนกับเราอยู่ที่ร้อน พอไปใกล้ก็รู้สึกเย็น เมื่อรู้สึกเย็น จิตใจผ่อนคลายลง ก็เข้าเป็นสมาธิได้ง่ายขึ้น ในเมื่อรู้วิธีแล้วก็อาศัยบ่อย ๆ จนกำลังของเราพอก็ไม่ต้องอาศัยท่านอีก

เถรี 26-09-2017 19:47

ถาม : ถ้าศีลขาด จริง ๆ เราต้องไม่เสียกำลังใจ ต้องไม่เสียการภาวนา ต้องพยายามทำกำลังใจให้ผ่องใสตลอดเวลา ?
ตอบ : ต้องหน้าด้านทำต่อไป เพราะถ้าศีลขาดแล้วมัวแต่เสียเวลาคร่ำครวญอยู่ ก็เท่ากับว่าเราเสียระยะทางที่ควรได้ เหมือนกับคนหกล้ม ลุกได้แล้วไปต่อเลย กับคนที่หกล้มแล้วนั่งครางอยู่นั่นแหละ...เจ็บเหลือเกิน ก็ไปไม่ได้สักที

เถรี 26-09-2017 19:49

ถาม : การปฏิบัติธรรมบนสวรรค์ง่ายกว่าบนโลกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ยาก...เพราะว่าส่วนใหญ่จะไปเพลินกับทิพสมบัติ ไปเพลินกับความสุขที่ได้รับ แล้วก็ลืมไปว่าการปฏิบัติธรรมคืออะไร ไม่อย่างนั้นเทวดานางฟ้าก็บรรลุก่อนมนุษย์ไปหมดแล้ว

ถาม : แต่เวลาอยู่บนโลกมนุษย์ มีกรรมเก่าเยอะ บางทีพบกับความทุกข์ ?
ตอบ : ถ้ามีปัญญา ความทุกข์จะเป็นบันไดส่งให้เราหลุดพ้นได้ดีที่สุด แต่ถ้าปัญญาไม่พอ ก็เชิญหมกมุ่นกับความทุกข์นั้นต่อไป

เถรี 26-09-2017 19:55

ถาม : การที่เราเห็นจิตอีกจิตหนึ่ง คือญาณหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าทิพจักขุญาณ

ถาม : ทำไมเราถึงแยกจิตกับจิตได้ครับ ?
ตอบ : ในสภาพของความเป็นทิพย์เหมือนอย่างกับว่า เรามองดูมือตัวเอง ทำไมเราเห็นมือได้ ทั้ง ๆ ที่มือกับตาเป็นตัวเราเหมือนกัน เพราะว่าต่างก็ทำหน้าที่ของตัวเอง

ถาม : อันนี้คือญาณ ?
ตอบ : ญาณคือเครื่องรู้ที่เกิดขึ้น คราวนี้ในส่วนของการรู้เห็นสิ่งอื่น ๆ เขาเรียกทิพจักขุญาณ

เถรี 26-09-2017 19:58

ถาม : เราฟังแล้วไม่รู้สึกค้าน เพราะไม่อยากค้าน อย่างนี้เป็นปัญญาไหมครับ ?
ตอบ : ก็ต้องดูด้วยว่าสิ่งที่เขาว่ามาเหลวไหลจนเราไม่มีอารมณ์จะค้าน หรือสิ่งที่เขาว่ามาเป็นความจริงจนเราค้านไม่ได้

ถาม : ถ้าเหลวไหลแล้วเราไม่ค้าน ?
ตอบ : ก็แปลว่าไม่ควรที่จะไปยุ่งกับเขา ถือว่าเป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็เถียงกันไม่รู้จบ พระพุทธเจ้าตรัสแล้วว่า เราไม่ควรพูดในสิ่งที่เป็นเหตุให้เถียงกัน

เถรี 26-09-2017 19:59

ถาม : หยิ่งเกิดจากอะไร ?
ตอบ :ส่วนใหญ่ความหยิ่งในสายตาของคนทั่ว ๆ ไป ก็เป็นมานะ ถือตัวถือตน เห็นว่าตัวเองดีกว่าเขา

เถรี 26-09-2017 20:01

ถาม : จะแก้คนอื่นอย่างไร ?
ตอบ :แก้คนอื่นก็โง่ตายชัก...! คุณแบกโลกไหวไหมล่ะ ? เรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องของโลก จะไปแก้อะไรไหว ? แก้ที่ตัวเรา คนอื่นจะมองอย่างไรอยู่ที่เขา ส่วนตัวเราทำอย่างไรอยู่ที่เรา เราแก้ไขตัวเราเองได้ แต่เราแก้คนอื่นไม่ได้

เถรี 27-09-2017 18:46

มีผู้นำดาบหลวงพ่อรุ่ง วัดหนองสีนวล มาถวาย "เนื้อเหล็กเก่าได้อายุจะเป็นลักษณะอย่างนี้ คือ เป็นสนิมขุมที่กินในตัว ไม่ใช่สนิมที่กินเนื้อเหล็กจนกร่อน ถ้าหากว่าขยาย จะเห็นเป็นรูเล็ก ๆ ๆ ถี่ยิบ

............................................................................................สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อ......ในตน
............................................................................................กัดกินเนื้อเหล็กจน.........กร่อนขร้ำ

คนเรามี รัก โลภ โกรธ หลง เกิดในใจตัวเอง ถ้าไม่รู้จักขัด ไม่รู้จักถู ก็โดนสนิมกินใจจนผุ พรุนไปหมดเหมือนกัน"

เถรี 27-09-2017 18:54

พระอาจารย์เล่าว่า "สมัยก่อนไปกราบหลวงปู่บุดดา ก็ต้องวิ่งไปวัดหลวงพ่อกวย แล้วก็วัดหลวงพ่อโมที่ห้วยกรด วนไปวนมากราบครูบาอาจารย์สายนั้น ท่านที่ไม่อยู่ ก็ไปกราบรูปปั้น ถึงเวลาขากลับก็บูชาวัตถุมงคลมา มาทีไรทหารที่วัดแห่กันมาขอกันจนหมด พอบอกว่าของหลวงพ่อวัดท่าซุงมีตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว เขาบอกว่า แต่ของหลวงปู่ผมยังไม่มี เอาไปจนได้"

ถาม : ทันหลวงพ่อเชื้อไหมครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อเชื้อ ท่านแสงชวนไปตั้งแต่ท่านออกมีดหมอรุ่นแรก อยากได้ใจจะขาด เพราะรุ่นพี่พกมีดหมอหลวงพ่อเชื้อแล้วมอเตอร์ไซค์ล้ม ไถไปกับถนนลูกรัง ไม่เป็นอะไรเลย ปกติต้องไปให้หมอคีบลูกรังออก

เถรี 27-09-2017 18:57

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนมีคนถามว่า สมัยก่อนทรงจำพระไตรปิฎกในลักษณะมุขปาฐะ ก็คือปากต่อปาก จะแม่นหรือ ? ขอยืนยันว่าแม่นแน่นอน เพราะคนเป็นสิบเป็นร้อยสวดพร้อมกัน ถ้าคนไหนจำผิดทิ่มผิด ก็ชัด ๆ เลยว่าคุณผิด ต้องแก้ตามส่วนใหญ่ที่ถูก"

เถรี 27-09-2017 19:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตอนช่วงเรียนทหารจะเข้าใจว่า เรื่องการทำงานเป็นทีมสำคัญอย่างไร แต่เพื่อนเขาไม่ค่อยให้ความสำคัญ เขามักจะใช้คำว่า "มึงจะจริงจังอะไรกับชีวิตนักวะ มึน ๆ ไปเดี๋ยวก็จบแล้ว"

ในความรู้สึกของอาตมาก็คือ ทุกอย่างต้องทำให้เต็มที่ เต็มกำลัง แต่เขาใช้คำว่า "หลบ ๆ อู้ ๆ พอสู้ได้ ไม่หลบไม่อู้สู้ไม่ไหว" คือ ไม่ได้คิดที่จะเอาดี ขอแค่ให้ผ่าน พอถึงเวลาก็มีการสอบผ่านแล้ว ก็มีการเลือกว่าจะไปลงที่ไหนกัน ครูฝึกเขาก็ด่าผู้บังคับบัญชาว่า ไอ้พวกเก่ง ๆ ก็เอาไปหมด เหลือแต่ไอ้พวกไม่เอาไหน เอาไว้ให้ฝึกรุ่นน้องออกมา แล้วจะดีได้อย่างไร ?"

เถรี 28-09-2017 10:14

ถาม : โดยส่วนตัวแล้ว เชื่อว่าไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ถ้าเราจะทำโดยใช้ร่างกายตามปกติ มีข้อจำกัดแค่ไหนคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับกำลังใจแล้วก็กำลังกาย กำลังใจนี่เป็นการฝึกฝนข้างใน กำลังกายเป็นการฝึกฝนข้างนอก ถ้าถึงพร้อมทั้ง ๒ อย่างนี่แทบจะไม่มีขีดจำกัดเลย

ถาม : แต่ร่างกายก็มีสภาพไม่เที่ยง เจ็บป่วยได้ และเสื่อมถอยลงเรื่อย ๆ ก็จะไม่พร้อมใช้งานได้ตลอด ?
ตอบ : กำลังกายมีจำกัด กำลังใจไม่จำกัด

ถาม : อย่างนี้หมายถึงว่ากำลังกายถ่วงกำลังใจได้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ถ่วง อยู่ในลักษณะที่ว่า ถ้าหากว่าใจไม่ไหว กายก็ไปไม่ได้ ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ากำลังใจถึง เดี๋ยวก็พาเจ้าตัวนี้ไปด้วยเองจนได้

เถรี 28-09-2017 10:15

:4672615: เก็บตกเดือนกันยายน ๒๕๖๐ หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และเผือกน้อย


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:27


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว