1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380704600 สิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลในปัจจุบันนี้ ๑. ดับพิษไฟพิษร้อนทุกชนิด ขนาดน้ำเดือด ๆ เทใส่แก้ว เอาเหล็กไหลหย่อนลงไป ก็สามารถยกขึ้นดื่มได้เลย หากทิ้งไว้ครู่เดียว จะเย็นจนมีไอน้ำเกาะ เหมือนกับน้ำที่เทออกมาจากตู้เย็น ถ้าเอากล่องไม้ขีดทาบไว้สักครู่หนึ่ง แล้วลองเอามาขีดดู หัวไม้ขีดจะเปื่อยเหมือนกับแช่น้ำไว้ ไม่สามารถที่จะติดไฟได้ ๒. หยุดอาวุธมีดหรือปืนได้ ไม่มีปืนหรือระเบิดชนิดใด ที่อยู่ในรัศมีพลังงานของเหล็กไหลแล้วจะสามารถทำงานได้ อาจจะเป็นเพราะดินปืนหรือดินระเบิดเปียกชื้นหมด จึงไม่สามารถที่จะจุดระเบิดขึ้นมาได้ แม้แต่อาวุธมีดก็หมดคมไปเฉย ๆ เหมือนกับเอาเหล็กที่ลบคมแล้วมาเฉือนเนื้อ ลื่นไปโดยไม่มีร่องรอยใด ๆ ปรากฏเลย ๓. ดับเครื่องยนต์และเครื่องไฟฟ้าทุกชนิด ถ้าเอาเหล็กไหลเข้าไปใกล้จนรัศมีพลังงานคลุมถึง เครื่องยนต์และเครื่องไฟฟ้าทุกชนิดจะดับหมด ถ้าจะนำเหล็กไหลขึ้นยานพาหนะ ต้องหุ้มด้วยขี้ผึ้งหนา ๆ จนพลังงานของเหล็กไหลแผ่ออกมาไม่ได้ จึงจะสามารถนำไปได้ เหล็กไหลจะแพ้เพียงขี้ผึ้งแท้อย่างเดียวเท่านั้น ๔. ถ่ายรูปไม่ติด ขนาดเครื่องยนต์ยังดับหมด แล้วกลไกของกล้องถ่ายรูปจะทำงานอย่างไรได้ ฉะนั้น..ที่เห็นมีรูปมากมายนั้น เป็นได้แค่ "เหล็กเหลวไหล" เท่านั้น ๕. มีรัศมีในตัวเอง แม้จะเอาไว้ในห้องที่ปิดทึบจนมืดสนิท เหล็กไหลก็จะเรืองแสงได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยแสงสะท้อนใด ๆ เลย ๖. ลนไฟให้ยืดได้ เมื่อใช้เทียนขี้ผึ้งจุดไฟลน เหล็กไหลจะยืดตัวยาวออกมาเรื่อย ๆ สามารถยืดได้จนเล็กเหมือนเส้นด้าย พอแตะต้องเข้าก็จะหดกลับไปเป็นรูปเดิม ๗. กินน้ำผึ้งได้ เหล็กไหลธรรมชาติ ถ้าเอาน้ำผึ้งไปล่อ จะยืดลงมากินน้ำผึ้งได้ ถ้าเป็นเหล็กไหลที่ตัดมาได้แล้ว เอาแช่ลงในน้ำผึ้งได้เลย ทั้งสองอย่างน้ำผึ้งจะพร่องให้เห็นทันตา ไม่ใช่ทิ้งไว้จนข้ามวันข้ามคืนแล้วจึงพร่อง |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380704802 สิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลในปัจจุบันนี้ การทดสอบนั้น สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งก็คือ ถ้าเหล็กไหลกระทบพื้นเมื่อไร จะหายวับไปต่อหน้าต่อตา ถึงเป็นพื้นหินขัดเรียบลื่นก็หายไปได้แบบไม่มีร่องรอย ท่านอาจจะต้องชดใช้แก่เจ้าของจนสิ้นเนื้อประดาตัว และที่ต้องระวังให้จงหนักก็คือ "เหล็กทาบ" บรรดาผู้ที่หากินกับเหล็กไหล จะกลึงโลหะให้เป็นรูปร่างดังที่ตนเองต้องการ แล้วเอาไปทาบติดกับเหล็กไหลแท้ไว้ ๓ - ๕ วัน เหล็กชิ้นนั้นก็จะมีอานุภาพเหมือนกับเหล็กไหลชั่วคราว เหมือนกับเอาเหล็กธรรมดาไปทาบไว้กับแม่เหล็ก เพียงไม่กี่วันเหล็กชิ้นนั้นก็สามารถดูดโลหะได้เหมือนแม่เหล็ก แม้จะมีอานุภาพเพียงไม่กี่วัน แต่ก็พอเพียงที่จะทดสอบและซื้อขายเปลี่ยนมือกัน ให้ทดสอบว่าเหล็กไหลชิ้นนั้นเรืองแสงในที่มืดได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้แปลว่าโดนมือดีเอาเหล็กทาบมาหลอกเข้าให้แล้ว |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380705036 สิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลในปัจจุบันนี้ ชนิดของเหล็กไหล ชนิดของเหล็กไหลนั้น น่าจะแยกออกตามสีของเหล็กไหลมากกว่า เท่าที่มีผู้ประสบพบกับเหล็กไหลของแท้มา แยกแยะเหล็กไหลออกเป็น ๔ สี ดังนี้ ๑. เหล็กไหลสีปีกแมลงทับ เป็นชนิดที่มีสีเขียวเข้ม เปรียบได้กับสีของปีกแมลงทับ เหล็กไหลส่วนใหญ่ที่พบมา มักจะเป็นสีนี้แทบทั้งสิ้น ๒. เหล็กไหลสีปีกแมลงภู่ เป็นชนิดที่มีสีน้ำเงินเข้มเลื่อมพราย คล้ายกับสีปีกของแมลงภู่ พบเห็นได้น้อยมาก ๓. เหล็กไหลสีน้ำตาลอ่อน เป็นสีน้ำตาลอ่อนแวววาว เปรียบได้กับสีท้องปลาไหล เป็นชนิดที่พบรองลงมาจากชนิดสีปีกแมลงทับ ๔. เหล็กไหลสีเงินยวง เป็นสีเงินแวววาว มักมีสัณฐานเหมือนดอกบัวตูม เป็นสุดยอดของเหล็กไหล พบเห็นได้ยากที่สุด มีพลังงานสูงที่สุด ขนาดบางคนแตะถูกก็ชักกระตุกเหมือนกับแตะโดนไฟฟ้าเป็นหมื่น ๆ โวลต์ เหล็กไหลทุกชนิด มีรูปทรงที่ไม่เหมือนกันเลย ต่อให้เป็นสีเดียวกันก็มีรูปทรงที่แตกต่างกันไป แต่ที่สังเกตได้ก็คือ จะมีขอบของรูปทรงกลมมนเรียบลื่นเสมอ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมี "เหล็กไหล" ที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะ ดังที่เห็นอยู่เต็มท้องตลาดในทุกวันนี้ |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380705322 สิ่งที่เรียกว่าเหล็กไหลในปัจจุบันนี้ วิธีการตัดเหล็กไหล เมื่อต้องการครอบครองเหล็กไหล ก็ต้องให้ได้มาซึ่งเหล็กไหลนั้นก่อน การจะได้มาซึ่งเหล็กไหลนั้น มีหลายวิธีการ ดังนี้ ๑. ตัดด้วยคาถาอาคม หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง เคยตามไปดูเขาตัดเหล็กไหล ที่ตำบลทะเลซับ (มักเขียนเป็นทะเลทรัพย์) จังหวัดชุมพร ท่านเล่าว่า ผู้ตัดยืนลูบคลำก้อนเหล็กไหล ภาวนาคาถาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง มีเสียงดัง "ฉัวะ" เหมือนกับเสียงขวานฟันใส่หิน แล้วเหล็กไหลก้อนนั้นก็หลุดติดมือผู้ตัดมาเลย หลวงพ่อท่านเล่าอีกว่า เมื่อสมัยที่ออกธุดงค์ไปในป่าดงดิบของจังหวัดกาญจนบุรี เมื่อปักกลดในตอนประมาณห้าโมงเย็น มีรัศมีสีเขียวเจิดจ้าแผ่ออกมา จนกระทั่งกลดก็เป็นสีเขียวไปหมด ครั้นถามพระภูมิเจ้าที่ดู ปรากฏว่าเป็นรัศมีที่เปล่งออกมาจากเหล็กไหล วันรุ่งขึ้นพระภูมิเจ้าที่พาหลวงพ่อฤๅษีฯ ไปดูเหล็กไหลก้อนนั้นที่ในถ้ำ ก้อนใหญ่ขนาดหม้อข้าว พอเอาเทียนลนก็ยืดย้อยลงมา เมื่อเอามือแตะถูกก็หดกลับไปดังเดิม ครั้นถามพระภูมิเจ้าที่ว่าตัดอย่างไร พระภูมิบอกว่า "ตัดด้วยคาถา แต่บอกไม่ได้" เพราะท่านมีหน้าที่เฝ้าดูแลเหล็กไหลก้อนนั้นอยู่ ๒. ตัดด้วยขวานที่ปั้นจากเทียนพรรษา เท่าที่พบมามีอยู่รายเดียวที่ใช้วิธีนี้ ท่านเป็นพระภิกษุ เก็บรวบรวมขี้ผึ้งใช้แล้วที่เหลือจากเทียนซึ่งจุดตลอดพรรษา เอามาปั้นเป็นรูปขวาน ขัดเกลาจนได้รูปร่างและขนาดตามที่ต้องการ วิธีการนี้ไปพ้องกับที่เหล็กไหลนั้นแพ้ขี้ผึ้งแท้ ประกอบกับผู้เล่าเป็นพระ พิจารณาแล้วว่ามีความเป็นไปได้ ๓. ตัดด้วยบ่วงอาถรรพ์ วิธีนี้ผู้ตัดใช้กันเป็นส่วนใหญ่ เมื่อผู้ตัดล่อให้เหล็กไหลยืดลงมากินน้ำผึ้งแล้ว จะใช้บ่วงอาถรรพ์ที่ถักจากเส้นผมสาวพรหมจารีที่ไม่ได้โกนผมไฟ ชุบด้วยประจำเดือนจากเด็กหญิงแรกเกิด คล้องแล้วกระตุกให้ขาดตกลงในภาชนะที่เตรียมเอาไว้ ในทางการแพทย์นั้น ทารกหญิงแรกเกิดบางราย มีโลหิตไหลออกมาจากช่องคลอด เหมือนกับประจำเดือนของหญิงสาววัยเจริญพันธุ์ หมอไสยศาสตร์ที่ได้ข่าวนี้ จะรีบติดต่อขออนุญาตจากพ่อแม่ของเด็ก เพื่อขอเลือดมาใช้ในงานไสยศาสตร์ของตน ๔. เจ้าของเอามาให้เอง ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ได้เหล็กไหลมาด้วยวิธีนี้ มักจะเป็นพระธุดงค์ผู้ทรงศีลทรงธรรม ถึงเวลาเจ้าของเหล็กไหลจะนำมาถวายเอง จะเป็นการทดสอบกำลังใจหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ บางทีก็เอามาหย่อนลงในบาตรให้เลย แต่พอทักท้วงเข้าก็ยินดีรับคืนไป และมักจะคอยอุปถัมภ์ค้ำชู ตลอดระยะเวลาที่พระท่านอยู่ในเขตนั้น |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380705643 สิ่งที่เรียกกันว่าเหล็กไหลในปัจจุบันนี้ ส่งท้าย เหล็กไหลในปัจจุบันที่มีอยู่เต็มท้องตลาด ไม่ใช่เหล็กไหลที่แท้จริง มิหนำซ้ำยังมีการเขียนประวัติเรื่องราวให้สอดคล้องกับลักษณะสิ่งของที่มีอยู่ เพื่อผลทางการค้าโดยเฉพาะ จึงเป็นเรื่องที่ควรจะอยู่ห่างให้มากที่สุด โบราณกล่าวว่า "เหล็กไหลไพลดำ พูดพล่ามทำบ้า เล่นแร่แปรธาตุ ผ้าขาดตั้งวา คิดสะระตะโสฬส นอนอดเหมือนหมา" อะไรที่โบราณกล่าวไว้ มักเป็นประสบการณ์ที่ตกผลึกแล้ว สามารถเชื่อถือได้แทบทุกเรื่อง จึงควรที่จะสังวรระวังไว้ให้มาก เหล็กไหลทุกก้อนมีเจ้าของเฝ้าดูแลด้วยความหวงแหน ต่อให้ใช้คาถาอาคมบังคับเอามา ถ้าเขาไม่ยินดีที่จะอยู่ด้วย ก็จะหาทางหนีไปจนได้ ถ้าไปเจอก้อนที่เจ้าของเป็นพวกอสูร ก็อาจจะบันดาลความวิบัติฉิบหายแก่ผู้ที่ครอบครองก่อนแล้วจึงหนีไป แม้ว่าเหล็กไหลจะมีอานุภาพเพียงใดก็ตาม ผู้ที่ครอบครองก็ใช่ว่าจะปลอดภัยแน่นอน เพราะว่าเหล็กไหลแม้จะหยุดอาวุธมีด ปืน ระเบิดได้ แต่ถ้าผู้ครอบครองถูกจับมัดถ่วงน้ำ รัดคอ หรือทุบด้วยของหนัก ก็ถึงแก่ความตายได้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่ออายุขัยมาถึง ต่อให้ครอบครองเหล็กไหลก็ไม่อาจจะหนีพ้นความตายไปได้ ถ้าต้องการความอยู่ยงคงกระพัน ไม่แก่ไม่ตายจริง ๆ แล้ว ให้ปฏิบัติตามมรรค ๘ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด จะพาท่านพ้นภัยได้อย่างแท้จริง พระครูวิลาศกาญจนธรรม วันพุธที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ |
1 Attachment(s)
อาถรรพ์เสือไฟ เสือไฟเป็นแมวป่าขนาดใหญ่ เชื่อกันว่าเป็นสัตว์ที่มีอาถรรพ์ร้อนแรง สัตว์อื่น ๆ จะเกรงกลัวมาก พื้นที่ใดที่มีเสือไฟอาศัยอยู่ จะไม่มีสัตว์อื่นอาศัยอยู่ในรัศมีใกล้เคียง แม้แต่เสือโคร่ง เสือดาว ที่ใหญ่กว่าหลายเท่า ก็ยังไม่กล้ารุกล้ำอาณาเขตของเสือไฟจนกระทั่งเรียกเสือไฟกันว่า “พญาเสือ” ในหนังสือ ๘๔ ปีหลวงพ่ออุตตะมะ “เทพเจ้าของชาวมอญ” ได้เล่าถึงการเดินธุดงค์ไปยังต้นแม่น้ำสาละวิน เพื่อไปดู “มักกะลีผล” ท่านได้พบกับพญาเสือหรือเสือไฟ โดยอธิบายว่า เสือไฟมีน้ำลายเป็นพิษ สัตว์อื่นจึงเกรงกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้ แต่เสือไฟก็มิได้ทำอันตรายใด ๆ ต่อหลวงพ่อเลย |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1380802304 เขี้ยวเสือไฟ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ชาวบ้านโดยเฉพาะชาวล้านนา เชื่อกันว่าเขี้ยว ขน หรือหนังเสือไฟ มีอำนาจข่มอาถรรพ์ป่าได้ทุกชนิด ภูตผีปิศาจจะกลัวเกรงไม่กล้ากรายใกล้ ใครมีหนังเสือไฟพกติดตัวไว้ หากเผชิญกับอาถรรพ์ป่า แค่เผาขนเสือไฟเพียงเส้นเดียว ก็สามารถสยบอาถรรพ์ลงได้ ชาวบ้านจึงนิยมเอาเขี้ยวเสือไฟ ไปให้พระเกจิอาจารย์แกะเป็นรูปเสือ หรือเอาหนังเสือไฟมาทำเป็นตะกรุด ติดตัวไว้เป็นมหาอำนาจ ป้องกันภูตผีปิศาจอาถรรพ์ร้ายทุกชนิด หรือเอาหนังเสือไฟชิ้นเล็ก ๆ ใส่ไว้ใต้ที่นอน ตอกติดกับบ้านเรือนหรือคอกสัตว์ เชื่อว่าป้องกันอันตรายตลอดจนโรคระบาดต่าง ๆ ได้ นับได้ว่าเสือไฟทั้งที่มีชีวิตอยู่ หรือเหลือเพียงส่วนเสี้ยวของร่างกาย ก็ยังมีอาถรรพ์เป็นมหาอำนาจอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1381896138 เขาควายเผือกฟ้าผ่า เกจิอาจารย์และฆราวาสผู้เรืองเวทมนต์สมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็นไทยและลาว จะเสาะแสวงหาเขาควายเผือกที่ถูกฟ้าผ่าตาย ซึ่งเป็นของทนสิทธิ์ ที่มีฤทธิ์ในตัว เชื่อเรื่องของคุณวิเศษว่า กันภูตผี กันเสนียด มีฤทธิ์ มีอำนาจ แก้อาถรรพ์ต่าง ๆ ได้ รวมถึงเรื่องเมตตามหานิยมก็ไม่เป็นรอง แล้วนำเขาควายเผือกที่แสวงหาได้แล้วนี้ มาทำการแกะเป็นรูป เป็นสิ่งต่าง ๆ ตามสายวิชาที่ได้ร่ำเรียนมา เช่นพระปิดตา พระขรรค์ แพะ ปลัดขิก ด้ามอาวุธ และอย่างอื่นอีกมากแบบ ที่เห็นโดดเด่นก็มี พระขรรค์ของหลวงพ่อโศก วัดปากคลองบางครก จ.เพชรบุรี แพะหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก จ.ระยอง ล้วนเป็นที่แสวงหาของผู้อยากครอบครอง เอาไว้ใช้พกติดตัว ติดบ้าน จากประสบการณ์ที่เล่าลือมาช้านาน |
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1381896642 พระขรรค์ของหลวงพ่อโศก วัดปากคลองบางครก จ.เพชรบุรี การสร้างพระขรรค์ตามตำราโบราณของท่านกำหนดว่า เขาควายนั้นจะต้องประกอบด้วยลักษณะดังนี้ เขาควายเผือก ต้องตายโหง คือ ถูกยิงตาย ขวิดกันเองตาย หรือถ้าถูกฟ้าผ่าตายได้ก็ยิ่งวิเศษ เขาควายนั้นจะต้องไม่ถูกต้มมาก่อน กล่าวคือเมื่อควายตายลง ก็ต้องชำแหละตัดเขาออกสด ๆ ไม่ต้องรอให้ชำแหละออกเป็นส่วน ๆ แล้วจึงนำหัวมาต้มเพื่อเอาเขาออก นำเขาควายนั้นมาแกะเป็นรูปพระขรรค์ เวลาแกะให้ตัดออกเป็นชิ้นพอเหมาะกับการแกะ ให้จำไว้ว่าทางไหนทางโคนเขา ทางไหนทางปลายเขา ให้ทำเครื่องหมายไว้ เวลาแกะให้แกะจากโคนเขาไปหาปลายเขา เป็นทางเดียวตลอดเวลาการแกะจนสำเร็จเท่านั้น ถ้าทวนแม้แต่ครั้งเดียวใช้ไม่ได้ ต้องทิ้งไป ขั้นต่อมาจึงนำพระขรรค์ที่แกะเสร็จแล้วมาลงอักขระ ในที่นี้จะแยกออกเป็นสองลักษณะ เพราะเป็นการลงเต็มและลงย่อ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจาก พระขรรค์ของหลวงพ่อมีทั้งขนาดใหญ่ไว้บูชาประจำบ้าน การลงอักขระก็จะลงเต็มบท ถ้าขนาดเล็กจะลงหัวใจของพระคาถาเท่านั้น คาถากำกับพระขรรค์มีดังนี้ ให้ตั้งนะโมฯ ๓ จบ แล้วตามด้วยพระคาถาว่า "พุทโธ ปัพพะชายาโน สัพพะศัตรู วินาสสันติ ธัมโม ปัพพะชายาโน สัพพะศัตรู วินาสสันติ สังโฆ ปัพพะชายาโน สัพพะศัตรู วินาสสันติ" มีเรื่องเล่ากันว่า...เสือขาว ลูกศิษย์หลวงพ่อดิ่งแขวนพระปิดตา และตะกรุดหลวงพ่อดิ่ง แต่ไม่ประพฤติตนเป็นคนดี เป็นที่ต้องการตัวของตำรวจอย่างมาก อาวุธปืนไม่สามารถทำอันตรายเสือขาวได้แต่อย่างใด ทางตำรวจจึงมากราบหลวงพ่อดิ่ง ผู้เป็นอาจารย์เพื่อปรึกษาหาแนวทางในการคัดของเสือขาว หลวงพ่อดิ่งท่านว่าไม่มีอะไรคัดของของท่านได้ ยกเว้นอย่างเดียว คือ พระขรรค์หลวงพ่อโศก ผู้เป็นสหธรรมิกของท่านเพียงรูปเดียว โดยให้ใช้ปลายพระขรรค์เขียนคาถาตามที่ท่านให้ลงที่ลูกปืน ผลสุดท้ายเสือขาวต้องจบชีวิตการเป็นโจรด้วยเหตุแห่งการล้างอาถรรพ์คัดของ โดยพระขรรค์หลวงพ่อโศก วัดปากคลองบางครก อันศักดิ์สิทธิ์นี้เอง (เป็นเรื่องเล่าคัดลอกบางส่วนจากอินเตอร์เน็ต) |
1 Attachment(s)
"แพะ" สุดยอดเครื่องราง หลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก กล่าวถึงเครื่องรางของขลัง ที่แกะเป็นรูปลักษณ์ของ “แพะ” นั้น ตามความเชื่อที่ว่า แพะเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถปกป้องคุณไสยและเวทย์มนต์ต่าง ๆ ที่จะมาทำร้ายผู้เป็นเจ้าของได้ เพราะแพะจะรับไปเอง ทำให้เจ้าของปลอดภัย หลวงพ่ออ่ำ หรือ พระครูเทพสิทธา (อ่ำ) เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดหนองกระบอก ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๑ - ๒๔๙๐ ที่ชาวบ้านทั้งไกลใกล้ให้ความเคารพนับถือมาก ปู่ ย่า ตา ยาย เล่าต่อกันมาว่า ท่านมีอาคมเข้มขลัง เป็นพระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งของเมืองระยอง ท่านมีลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังต่อมา คือ หลวงพ่อเริ่ม วัดจุกกะเฌอ จังหวัดชลบุรี และหลวงพ่อลัด วัดหนองกระบอก จังหวัดระยอง สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ หลวงพ่ออ่ำท่านมีชื่อเสียงมากในการสร้าง “เครื่องรางของขลังรูปแพะ” ซึ่งได้สืบทอดวิชาต่อมาจากหลวงปู่แตง วัดอ่างศิลา จนได้สมญาว่า “หลวงพ่ออ่ำแพะดัง”และเป็นที่ต้องการของผู้เลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก แพะหลวงพ่ออ่ำ สร้างจากเขาควายฟ้าผ่าตาย ซึ่งมีความเชื่อกันว่า เขาอันนั้นได้รับพลังจากเทพ แล้วนำมาแกะเป็นแพะ ท่านบรรจุวิชาอาคม เวทมนต์คาถาที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา โดยวางไว้บนถาด บางทีก็แช่น้ำมันหอม น้ำมันว่านสมุนไพร น้ำมันจันทน์ พอท่านจะมอบให้ก็จะทำพิธีปลุกเสกอีกครั้ง จนปรากฏว่าแพะที่วางไว้บนถาดหรือที่แช่ไว้ในน้ำมัน เคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิต ท่านจึงจะหยิบขึ้นมาจากโหลหรือขวด แล้วแจกให้กับบุคคลนั้น แพะตัวผู้หนึ่งตัว สามารถดูแลปกครองแพะตัวเมียได้เป็นสิบ ๆ ตัว ด้วยความรู้รักสามัคคี เกื้อหนุนจุนเจือซึ่งกันและกัน จึงเชื่อกันว่า ผู้ใดมีแพะแกะจากเขาควายเผือกหลวงพ่ออ่ำพกพา ผู้นั้นจะเป็นนักปกครองที่ยิ่งใหญ่ และนักรักที่มีคนนิยมชมชอบมาก และมีเสน่ห์เมตตามหานิยม มั่งคั่งสมบูรณ์ ค้าขายเจริญรุ่งเรือง และอายุยืน (บทความบางส่วนจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖) |
4 Attachment(s)
]
ต้นมะขามเป็นต้นไม้ที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน ด้วยประโยชน์ในการใช้งานสารพัด รวมถึงเป็นส่วนประกอบของอาหารที่สำคัญหลายประเภท โดยใช้ฝักและใบอ่อนเป็นส่วนประกอบ และด้วยคุณสมบัติที่เนื้อไม้นั้นเหนียว แข็งแรงทนทาน เราจึงเห็นอุปกรณ์ใช้สอยในครัวอีกชิ้นหนึ่งคือ เขียงรองทำอาหารนั่นเอง และน่าจะเป็นประโยชน์ทั่วไปที่คนส่วนใหญ่มองเห็น คนโบราณมีความรู้หลายอย่างหลายแขนง ตลอดจนรู้ว่ามีสิ่งใด วัตถุใดบ้างที่มีดีในตัวเอง มีความเร้นลับที่เรารู้กัน และโดยรวมเรียกว่า “ของทนสิทธิ์” แก่นมะขามก็เป็นของทนสิทธิ์อีกชนิดหนึ่ง เพราะโดยทั่วไปต้นมะขามจะไม่เห็นแก่นโดยง่าย ต้นที่มีแก่นก็พบเพียงต้นที่มีอายุเยอะเป็นร้อยปี หรืออาจจะไม่พบเลย แต่คนโบราณก็สังเกตอีกว่า ต้นไหนเกิดวันอังคารมักจะมีแก่นให้เห็น แต่ก็ไม่มีการพิสูจน์อย่างชัดเจน เป็นเพียงเรื่องบอกเล่าสืบ ๆ กันมา บูรพาจารย์และฆราวาสที่มีความรู้ความสามารถเรื่องคาถาอาคม รวมถึงการสัมผัสพลังงานแห่งธรรมชาตินี้ได้ มักจะเสาะแสวงหา “แก่นมะขามโปร่งฟ้า” ด้วยมีคุณสมบัติพิเศษ เหนือแก่นมะขามทั่ว ๆ ไปขึ้นไปอีก ด้วยลักษณะของต้นนั้นจะมีแก่นดำถัดจากเนื้อไม้ และมีรูอยู่ตรงกลางต้น ตั้งแต่รากจนถึงปลายของลำต้นเลยทีเดียว โดยเฉพาะต้นที่ตายพราย คือยืนตายเอง และมีคุณสมบัติดังกล่าว แต่หากต้นไหนที่ฟ้าผ่า ถือเป็นสุดยอดของแก่นมะขามโปร่งฟ้า โบราณเขาว่ากันมาอย่างนั้นครับ หลังจากที่พลีไม้จากต้นแล้ว ก็จะต้องปลูกต้นใหม่ไว้แทน เพื่อเป็นที่อยู่ของเจ้าของเดิม แล้วนำแก่นมะขามโปร่งฟ้าที่ได้ ไปกลึง ไปแกะ เป็นเครื่องรางของขลังที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นด้ามมีด เสือ สิงห์ พระพุทธรูปปางต่าง ๆ ไม้เท้า และลักษณะอื่น ๆ ตามโครงร่างของไม้ หรือตามแบบของผู้แกะ พร้อมบรรจุพลังแห่งเวทย์มนต์คาถาของแต่ละสายที่ร่ำเรียนมา ว่ากันว่า หากผู้ใดได้ครอบครองแก่นมะขามโปร่งฟ้า ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีวาสนาดี มีบารมี และอำนาจ เป็นที่น่าเกรงขาม แก่คนทั่วไปเหมือนชื่อมงคลนี้แล |
อันนี้เป็นเรื่องที่ปู่เล่าให้ฟังนะคะ เกี่ยวกับคดสุนัขที่ปู่ชม (พ่อตาของปู่) กับเพื่อนได้ประสบมา ปู่ชมไปพบคดสุนัขเข้าโดยบังเอิญกับเพื่อนประมาณ ๓-๔ คน สุนัขตัวนั้นตายจนเหลือแต่ซาก แต่สามารถร้องเอ๋งๆ ได้อยู่ ส่วนที่เป็นกะโหลกยังขยับได้ ปู่ชมจึงเอาไม้ทุบดู พบว่ามีคดอยู่หนึ่งชิ้น (จำลักษณะไม่ได้แล้วค่ะ) ยังตกลงกันไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของ เลยผลัดกันถือ คนแรกถือได้ไม่นานก็ขอเปลี่ยนให้คนอื่นถือบ้าง
คนที่สองที่สามก็เป็นแบบนี้ จนมาถึงปู่ชมซึ่งเป็นคนสุดท้าย ท่านจึงได้รู้ว่าทำไมใคร ๆ ก็ถือคดสุนัขได้ไม่นาน สมัยก่อนนั้นส้วมของชาวบ้านก็คือท้องทุ่ง เมื่อเดินในทุ่งก็ต้องพบปะกับอุจจาระเป็นของธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือ พอเห็นก็เกิดน้ำลายสออยากกินขึ้นมาทันที แต่ก่อนแต่ไรไม่เคยเป็น พอมีเจ้าคดสุนัขก็เกิดอยากจะกิน ปู่ชมกับเพื่อนพิสูจน์กันอีกรอบ ว่าสาเหตุมาจากคดสุนัขจริงหรือไม่ ผลก็คือถ้าไม่ได้ถือคดก็เป็นปกติแต่ถ้าถือคดเดินผ่านกองอุจจาระ จะอยากกินขึ้นมาทันที สุดท้ายจึงต้องโยนคดทิ้งไป เลยไม่รู้ค่ะว่ามีอานุภาพด้านไหน |
3 Attachment(s)
ป้าตุ่นมี คดปรอท กับ ปรอทเพชร
พี่หม่อมให้มา ก่อนลาจากโลกไปค่ะ รูปที่ ๑ คือ คดปรอท รูปที่ ๒ กับ ๓ คือ ปรอทเพชร พี่หม่อมบอกมาเช่นนั้น ค่ะ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:06 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.