กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2314)

เถรี 18-12-2010 18:44

หลังจากนั้น พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "โชคดีที่อาตมาอ่านตำรามามากหน่อย เวลาเขาถามเลยไม่จนแต้ม ถ้ามีน้อยหน่อยคงจะตายแน่ เพราะแต่ละคนแง่มุมจะไม่เหมือนกัน ต่อให้คล้ายกันก็ไม่ใช่อย่างเดียวกัน พระพุทธเจ้าจึงต้องสอนไว้ตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์

เมื่อสอนถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เราจำเป็นต้องเรียนทั้งหมดหรือไม่ ? ไม่จำเป็น..อย่างใดอย่างหนึ่งก็พอ เพียงแต่ว่าก่อนจะจบ อย่างหนึ่งที่ต้องผ่านแน่เลย ก็คือในเรื่องของกายคตาสติ การพิจารณาร่างกายให้เห็นทุกข์เห็นโทษ ถ้าผ่านตรงจุดนี้ได้จริง ๆ สิ่งทั้งหมดที่ผ่านมาก็จะรวมลงที่เดียวกัน

ที่ว่ารวมลงเป็นที่เดียวกัน เราจะเห็นว่าในพระธรรมบทหรือพระไตรปิฎกกล่าวเอาไว้ว่า "บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ เป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก" ตรงจุดนี้หลวงพ่อฤๅษีท่านเคยสงสัยมาแล้ว ท่านบอกว่าเป็นไปได้อย่างไร คนไม่เคยเรียนไม่เคยศึกษามาก่อนเลย อยู่ ๆ กลายเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก

หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม พุทธสรมหาเถระ) วัดอนงคารามจึงบอกว่า "แกลองไปพิจารณาดูสิ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ มีอะไรที่กล่าวห่างไปจากร่างกายนี้บ้าง" สรุปแล้วทั้งหมดลงที่เดียวกัน ในเมื่อทั้งหมดลงที่เดียวกัน รู้จริงอย่างหนึ่งก็เท่ากับรู้ทั้งหมด จึงกลายเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกไปเลย"

เถรี 19-12-2010 12:03

ถาม : หนูทำงานเกี่ยวกับที่ดิน
ตอบ : มีรูปในหลวงหรือเปล่า ? ให้ตั้งใจบูชาพระบรมรูปในหลวง ในหลวงคือพระเจ้าแผ่นดิน เป็นเจ้าของที่ดินทุกผืนในประเทศนี้ ถึงแม้จะมีโฉนดแต่ก็ต้องได้รับพระบรมราชานุญาตก่อน

ให้ตั้งใจบูชารูปในหลวง แล้วกราบขอพรท่าน ว่าขอให้เราทำงานเกี่ยวกับเรื่องที่ดินได้โดยสะดวกทุกอย่าง เวลาเราทำบุญอะไร ให้อุทิศถวายเป็นพระราชกุศลและอุทิศให้แก่เทวดาที่รักษาพระองค์ท่าน ที่ช่วยสงเคราะห์อำนวยความสะดวกให้ด้วย

ถาม : ในการทำงาน เพื่อนร่วมงานเขาไม่จริงใจ
ตอบ : ทุกคนล้วนแล้วแต่เอาประโยชน์ของตนเป็นใหญ่ เราเองจริงใจกับเขาหรือเปล่า ? ส่วนเขาจะจริงใจกับเราหรือไม่ เราไม่ต้องไปหวัง จงทำตัวประเภทโง่ ๆ ให้เขาเอาเปรียบได้ แล้วเราจะอยู่อย่างมีความสุข ถ้าไปฉลาด พวกนี้ไม่ยอมหรอก เบียดเบียนเราตายเลย

ธรรมชาติของมนุษย์มันเป็นอย่างนี้ เอาตัวกูของกูไว้ก่อน เหยียบคนอื่นขึ้นไปยังทำกันเป็นปกติ..!

เถรี 19-12-2010 12:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีหลายคนที่ทำบุญอย่างน่าชื่นชมมาก คือ ทำบุญอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำมากนะ แต่ทำอย่างสม่ำเสมอ ๑๐๐ บาท ๒๐๐ บาท ทำอย่างนั้นทุกเดือน

ประเภทนี้ถือว่าดีมาก ๆ แสดงว่าเป็นคนมีระเบียบวินัย โดยเฉพาะว่ามีวินัยในการทำความดี หาได้ยาก เท่ากับว่าความดีเขามีอยู่แล้ว บุญประจำเขาทำอยู่แล้ว ส่วนอื่นที่เพิ่มขึ้นมาถือว่าเป็นกำไรต่างหาก"

เถรี 19-12-2010 12:07

ถาม : โยมมีปัญหาทางบ้าน พอย้ายออกมา ฝันเห็นหลวงพ่อมา ในฝันมีโยมคนหนึ่งเอาดินมาให้ท่าน แล้วท่านก็บอกว่าดินก้อนนี้ใช้ได้ อยากจะทราบว่าหลวงพ่อท่านมาบอกอะไร ?
ตอบ : คราวหน้าถามท่านตรงนั้นเลย เรื่องของปริศนาธรรมต่าง ๆ บางทีต้องรอจนเหตุเกิดขึ้น เราจึงจะรู้ได้ ถ้าให้ตีความโอกาสที่จะผิดพลาดมีเยอะมาก

แต่ถ้าเรามานึกว่า ในส่วนของธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบขึ้นมาเป็นร่างกายของเรานี้ มีธาตุดินเป็นโครงสร้างหลัก จะสวยงามแค่ไหนก็ตาม ท้ายสุดก็จะชำรุดทรุดโทรมและผุพังไปในที่สุด นึกเสียว่าท่านกำลังใบ้ให้เราพิจารณาธรรมะก็แล้วกัน

เถรี 19-12-2010 19:51

พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าใครมีเงินเหลือใช้สัก ๒,๐๐๐,๐๐๐-๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้บอกด้วยนะ อาตมาว่าจะทำซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษาถวายในหลวงสักซุ้มหนึ่ง จะติดชื่อเจ้าภาพให้ด้วย ทางด้านหลังซุ้มตั้งใจจะทำเป็นพระเจดีย์สามองค์ เอาไว้สำหรับให้เจ้าภาพบรรจุอัฐิของบรรพบุรุษหรือผู้ใหญ่ในตระกูล

เมื่อปี ๒๕๔๕ ทำซุ้มประตูหน้าวัดท่าขนุนไป เฉพาะค่าแรงอย่างเดียว ๕๓๐,๐๐๐ บาท ยังไม่รวมค่าของ ฉะนั้น..ปีนี้ยังไม่รู้ว่าทั้งค่าแรงค่าของ ราคา ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาทจะอยู่หรือเปล่า ?

ซุ้มประตูที่จะทำนี้ จะไม่เขียนว่าวัดท่าขนุน แต่จะเขียนว่าสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ (วัดท่าขนุน) ตรงซุ้มกลางจะเป็นตราสัญลักษณ์ ๘๔ พรรษาของในหลวง แต่ต้องทำหนังสือทูลขอใช้ตราสัญลักษณ์ก่อน

ถ้ามีเจ้าภาพก็จะทำ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ทำ เพราะไม่ใช่เรื่องรีบด่วน"

เถรี 19-12-2010 22:25

ถาม : เราเสียสละให้กับคนที่มีมิจฉาทิฏฐิ ที่เขาจองล้างจองผลาญเรา ?
ตอบ : จะว่าไปแล้ว ถ้าเราเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย จริง ๆ ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราก็จะปฏิบัติต่อเขาด้วยความเมตตากรุณา

ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ถือว่ากำลังใจของเราดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าในส่วนที่เขาทำไม่ดีนั้น ก็เป็นกรรมของเขาเอง เราไม่จำเป็นต้องไปรับรู้ด้วย

ถาม : มีคนไปรับกรรมแทนคนอื่นได้หรือไม่ ?
ตอบ : ไม่มี กรรมของใครก็คนนั้นรับไป เพียงแต่ว่าบางคนทำกรรมมาคล้ายคลึงกัน ไปรับกรรมในส่วนที่เหมือนกัน จนกระทั่งดูคล้ายเหมือนกับว่า บุคคลนั้นรับกรรมแทน แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่

ทั้งสองคนมาอยู่ด้วยกัน เพราะมีเหตุที่ผูกกรรมเนื่องกันมาตั้งแต่อดีต ดังนั้น..สิ่งที่เขาทำมาในอดีตอาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน จึงต้องมารับกรรมคล้าย ๆ กัน

เถรี 20-12-2010 00:10

พระอาจารย์เล่าให้ฟังถึงชาวบ้านที่ทองผาภูมิว่า "ทองผาภูมิตอนนี้อากาศเย็นมาก ญาติโยมก็ดีกันเหลือเกิน ไม่ว่าจะหนาวแค่ไหนก็ตาม ยังตื่นมาใส่บาตรจนได้ คนที่ทำบุญสม่ำเสมอแสดงว่าเขาทรงฌานในจาคานุสติ หรือทรงฌานในทานบารมี ถึงเวลาก็ต้องลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่เขาคุ้นชินจนได้

มีอยู่บ้านหนึ่ง สามีภรรยาเป็นคนต่างด้าว ยังหนุ่มยังสาวอยู่ ตอนแต่งงานเขาก็นิมนต์พระวัดท่าขนุนไป อาตมาได้รับกิจนิมนต์ไปพอดี ญาติโยมเขาบอกว่าดีใจมาก ไม่นึกว่าพระอาจารย์จะมาเอง เพราะบ้านเขาจนมาก อาตมาจึงบอกว่า "โยม..แม้แต่อาตมาเองยังไม่รู้เลยว่าจะได้ไปกิจนิมนต์ที่ไหน เพราะผู้ที่จัดเวรกิจนิมนต์ก็คือพระครูน้อย เขาจัดไปไหนอาตมาก็ต้องไป"

เวลาเช้า ๆ สามีภรรยาคู่นี้จะออกมาใส่บาตรทุกวัน บางวันหุงข้าวไม่ทัน จนกระทั่งอาตมาบิณฑบาตขากลับแล้ว เขาถึงขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ตามมา แล้วแซงหน้าเพื่อใส่บาตร อย่างไรเขาก็ต้องใส่บาตรของเขาให้ได้ทุกวัน จะช้าจะเร็วเขาก็ต้องทำ"

เถรี 20-12-2010 00:13

"เรื่องของผู้หญิง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้หญิงมีความทุกข์มากกว่าผู้ชาย ๕ ประการ ได้แก่
๑. ต้องมีระดู (ประจำเดือน)
๒. ต้องตั้งครรภ์
๓. ต้องคลอดบุตร
๔. ต้องบำเรอสามี
๕. ต้องดูแลญาติของสามี

เพราะฉะนั้น..ถ้าผู้หญิงไม่แต่งงาน ความทุกข์ลดไปหลายอย่าง เหลืออยู่อย่างเดียวที่เป็นธรรมชาติที่แก้ไขไม่ได้ ก็คือ ต้องมีระดู

แต่ในเรื่องของครอบครัว หนักนิดเบาหน่อยก็จะต้องมีกระทบกระทั่งเป็นธรรมดา เพราะว่าไม่ใช่พระอริยเจ้าอย่างพระสกิทาคามี การกระทบก็ยังแรงอยู่ เหมือนลิ้นกับฟัน จะมากจะน้อยก็ต้องมีปัญหา

พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสมชีวิธรรมว่า บุคคลที่จะแต่งงานเป็นครอบครัวเดียวกัน ต้องมีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน มีการบริจาคเสมอกัน เป็นต้น

อย่างโบราณเขาบอกว่า ผัวเทวดาก็ต้องเมียนางฟ้า ถ้าผัวเทวดาแต่เมียเป็นนางยักษ์ก็ไปกันไม่ได้ ถ้าผัวเทวดามีเมียมนุษย์ไปกันได้ แต่ก็ไม่เสมอกันอยู่ดี"

เถรี 20-12-2010 12:12

ถาม : พระสกทาคามีมีครอบครัวได้หรือครับ ?
ตอบ : เขามีครอบครัวไปแล้วถึงไปเป็นพระสกทาคามี ถ้าพระสกทาคามีจริง ๆ โอกาสที่จะมีครอบครัวแทบจะเป็นศูนย์ เพราะอารมณ์ใจที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเพศแทบจะไม่มีแล้ว ถ้าจะดูตัวอย่าง ต้องดูพระมหากัสสปะกับนางภัททกาปิลานี นอนหันหลังให้กันเป็นปี ๆ ประเภทหนุ่มสาวทั้งคู่ จับคลุมถุงชนกันทั้ง ๆ ที่ไม่อยากแต่ง ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายขี้ริ้วนะ สุดสวยสุดหล่อด้วยกันทั้งคู่

ถ้าไม่ได้กำลังใจอย่างพระสกทาคามี ไม่มีทางที่จะไปรักษาพรหมจรรย์อยู่ได้ จึงขอฟันธงว่า พระมหากัสสปะกับนางภัททกาปิลานี จะต้องเป็นพระอริยเจ้าลงมาเกิด และจะต้องเป็นพระอริยเจ้าระดับสกทาคามี ที่เรียกว่าเอกพิชี เกิดครั้งเดียวแล้วเข้านิพพาน พระโสดาบันเอกพิชี ก็คือ พระสกทาคามีนั่นเอง

เถรี 20-12-2010 12:18

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องทานบารมีว่า "ในเรื่องทานบารมี บุคคลที่มาทางสายหลวงพ่อฤๅษีทานบารมีจะล้น เห็นเป็นไม่ได้ เห็นเป็นทำ ที่ขำที่สุดก็คือ มีโยมคนหนึ่งเอาขันทองเหลืองมาถวายให้อาตมาหล่อพระ พอเขาวางลงอาตมาก็ให้พร ลืมตาขึ้นมาเห็นเงินอยู่ครึ่งขัน คนรอบข้างเขาแย่งกันหย่อนใส่ เห็นขันเห็นบาตรเป็นไม่ได้ เห็นเป็นต้องใส่เอาไว้ก่อน

บุคคลที่สร้างทานบารมีไว้มาก ถ้าเกิดใหม่คงจะรวยจนนับไม่ได้ ทานบารมีทั่ว ๆ ไปให้อานิสงส์ในเรื่องของโภคสมบัติและทรัพย์สมบัติต่าง ๆ โดยเฉพาะทานบารมีที่ตั้งใจถวายเป็นสังฆทาน มีผลเป็นมหาเศรษฐีอย่างเดียว โดยเฉพาะมหาเศรษฐีนั้นจะมีทรัพย์ไม่ต่ำกว่า ๘๐ โกฎิ ก็คือ ๘๐๐ ล้านบาท แต่ ๘๐๐ ล้านสมัยก่อน นับเป็นสมัยนี้ต้องคูณเข้าไปไม่รู้ตั้งกี่เท่า ถ้าทำมากก็มีมากกว่า ๘๐๐ ล้าน

แต่ถ้าเอาถึงขั้นท่านเมณฑกเศรษฐี ก็มีเงินจนนับไม่ได้ ถึงเวลาต้องตวงใส่เกวียนเอา รอบ ๆ บ้านหน่อไม้งอกเป็นทอง แถมยังมีแพะทองคำตัวเท่าช้างยืนล้อมรอบบ้านอีก ๕๐๐ ตัว ในปากแพะทองคำมีสายกลไก อยากได้อะไรไปดึงเอา ดึงแล้วคิดว่าอยากจะได้อะไร แพะก็จะคายของชนิดนั้นออกมา น่าจะเป็นสถิติเศรษฐีคนเดียวที่ไม่รู้ว่าตนเองมีเงินเท่าไร"

เถรี 20-12-2010 12:36

"เมื่อเมณฑกเศรษฐีให้ของขวัญวันแต่งงานแก่หลานสาว ก็คือ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านให้เงิน ๕๐๐ เล่มเกวียน ให้ทอง ๕๐๐ เล่มเกวียน ให้ภาชนะ ๕๐๐ เล่มเกวียน ฯลฯ นี่เป็นแค่ของขวัญวันแต่งงาน ยังไม่ได้ให้มรดกเลยนะ

นอกจากนี้ยังให้ลูกน้องไปยืนเป็นระยะตลอดหนึ่งโยชน์ (๑๖ กิโลเมตร) ให้คนเหล่านั้นถือฆ้องไว้ แล้วเปิดคอกปล่อยวัวเดินไป ถ้าวัวเดินไปได้ระยะทางหนึ่งโยชน์ให้ตีฆ้องบอก จะได้ปิดคอก ลองคิดดูว่า วัวเดินเต็มถนนเป็นระยะทาง ๑๖ กิโลเมตรเท่ากับวัวกี่หมื่นกี่แสนตัว ? ปรากฏว่านางวิสาขาทำบุญไว้ดี ถึงปิดคอกแล้ววัวก็ยังกระโดดข้ามคอกไปจนหมดเกลี้ยงเลย..!

เพราะว่าในอดีตชาตินางวิสาขาทำบุญแล้วชอบแถม เพิ่มนิดเพิ่มหน่อยไปเรื่อย พอนางวิสาขาเดินทางไปถึงเมืองสาเกต ก็ไล่แจกเงินแจกทอง แจกวัว แจกของแก่ชาวสาเกต บาลีเขาบอกว่า "ยังทุกคนในเมืองให้มีฐานะเสมอกัน" แปลว่า ถ้าคนนี้มีหนึ่งแสนก็เอาไปเก้าแสน คนนี้มีแปดแสนเอาไปสองแสน ทุกคนมีหนึ่งล้านเท่ากันหมด

มีใครเคยสงสัยหรือไม่ ว่าทำไมเพชรเม็ดใหญ่ ๆ จึงต้องไปจากประเทศอินเดีย ? สมัยที่ประเทศอังกฤษเขาครองอินเดีย เขายึดเพชรไปเยอะ เพราะเขาไปขุดพบพระสถูปเจดีย์ที่พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเป็นพุทธบูชา

พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทิ้งแก้วมณีไว้ก้อนหนึ่ง แก้วมณีคือโคตรเพชร มีจารึกไว้ด้วยว่า "กาลต่อไปข้างหน้า ถ้าพระมหากษัตริย์ท่านใดมีฐานะยากจน มีของที่จะถวายเป็นพุทธบูชาไม่สมแก่กำลังใจ ก็ให้ถือเอาแก้วมณีก้อนนี้ไปถวายเป็นพุทธบูชา" บรรดาเพชรก้อนโต ๆ ที่ไปจากอินเดีย น่าจะเป็นเพราะพระเจ้าอโศกมหาราชทิ้งเอาไว้"

เถรี 20-12-2010 12:44

"พระมหากษัตริย์ที่มีคุณูปการต่อพุทธศาสนา ในสมัยแรก ๆ คือ พระเจ้าพิมพิสาร ท่านประกาศตนนับถือพุทธศาสนา เพราะบรรลุพระโสดาบัน หลังจากนั้นก็เป็นพระเจ้าปเสนทิโกศล ที่ชัดเจนที่สุด ก็คือ พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้อุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑

การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๑ ทำอยู่ ๗ เดือนเต็ม ๆ โดยพระอรหันต์ทั้งหมด ๕๐๐ องค์ เราลองคิดดูว่าพระ ๕๐๐ องค์ ท่านต้องฉันกันวันหนึ่งขนาดไหน ? ๒๑๐ วันเป็นอย่างน้อยจะหมดเงินไปเท่าไร ? ไม่ใช่แค่เรื่องอาหารอย่างเดียว ที่อยู่อาศัย ของใช้ไม้สอย ผ้าผ่อนต่าง ๆ พระเจ้าอชาตศัตรูท่านถวายหมด ถ้าไม่ใช่ระดับพระมหากษัตริย์เป็นองค์อุปถัมภ์ก็ไปไม่รอดหรอก

น่าเสียดายที่พระเจ้าอชาตศัตรูทรงทำปิตุฆาต ก็คือฆ่าพ่อ ฆ่าพระเจ้าพิมพิสารเพื่อแย่งราชสมบัติ กลายเป็นอนันตริยกรรม ปิดมรรคปิดผล ไม่สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้ ขนาดได้ฟังสามัญญผลสูตรจากพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้แต่ปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะกรรมใหญ่ไปบังเสียแล้ว"

เถรี 20-12-2010 18:36

"ลำดับถัดมาก็เป็นพระเจ้ากาลาโศกราช ห่างจากสมัยพระเจ้าอชาตศัตรู ๑๐๐ ปีเต็ม พระองค์ทรงอุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๒ ที่เมืองเวสาลี แต่องค์อุปถัมภ์พุทธศาสนาที่โด่งดังจนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลก ก็คือ พระเจ้าอโศกมหาราช

พระเจ้าอโศกมหาราชทรงจัดการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ หลังจากพุทธปรินิพพานไปแล้ว ๒๓๖ ปี เมื่ออุปถัมภ์การสังคายนา ชำระพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์แล้ว ยังให้ขุดรวบรวมพระบรมสารีริกธาตุทั่วทั้งชมพูทวีปมารวมไว้ แล้วสร้างพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ทั่วทั้งชมพูทวีป แบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุ

นอกจากนั้นแล้ว ยังตามหาสถานที่ ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และ ปรินิพพาน หรือที่เราเรียกกันว่า สังเวชนียสถาน ๔ ตามหาว่าอยู่ที่ไหนบ้าง แล้วสร้างเสาอโศกก็คือต้นเสาที่มียอดเป็นสิงห์ ๔ ตัวหันหลังชนกัน จารึกอักษรระบุสถานที่ไว้ว่าตรงนี้คือที่ไหน

ทำให้มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่าพระพุทธเจ้าของเรามีตัวตนอย่างแท้จริง สถานที่ซึ่งพระท่านเกิด สถานที่ตรัสรู้คือเรียนจบ สถานที่แสดงปฐมเทศนา คือ เปิดการสอนครั้งแรก และสถานที่ปรินิพพาน ในภาษาของชาวบ้านก็คือที่ตาย นั้นมีอยู่จริง เพราะว่าห่างจากสมัยพุทธกาลแค่ ๒๓๖ ปี ถ้าเป็นสมัยนี้ไปงมหา ไม่รู้ว่าจะเจอหรือเปล่า

อย่างประเทศพม่าหลายต่อหลายแห่ง เป็นที่ซึ่งเขาตั้งใจสร้างเรื่องขึ้นมาให้เกี่ยวข้องกับพุทธกาล แล้วระบุว่าเป็นที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ถามว่าใช่หรือไม่ ? หลายต่อหลายแห่งไม่ใช่ แต่ถามว่าดีหรือไม่ ? ก็ดี..เพราะทำให้คนยึดในพุทธานุสติ คือ นึกถึงพระพุทธเจ้าได้"

เถรี 20-12-2010 19:03

"องค์ต่อมาซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าทำคุณแก่พุทธศาสนาอย่างมหาศาล ในช่วงประมาณพุทธศักราช ๗๐๐ คือ พระเจ้ากนิษกะมหาราช นอกจากทรงอุปถัมภ์การสังคายนาพระไตรปิฎกแล้ว ยังมีแนวความคิดที่เปิดกว้างมาก

พระองค์นิมนต์ทั้งพระที่เป็นเถรวาทและมหายานมารวมกัน แล้วยังนิมนต์พราหมณ์มาร่วมงานด้วย ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกแล้วจารึกพระไตรปิฎกจำนวน ๑๐๐,๐๐๐ โศลก ถ้าเป็นในปัจจุบันคือ ๑๐๐,๐๐๐ หัวข้อ เป็นภาษาสันสกฤตแล้วนำไปถวายให้กับประเทศต่าง ๆ

โดยเฉพาะการจารึกพระไตรปิฎก มีการจารึกเป็นภาษาสันสกฤต ทำให้คนทั่ว ๆ ไปสามารถที่จะอ่านเข้าใจได้ การสังคายนาพระไตรปิฎก ๓ ครั้งแรก เป็นการจารึกด้วยตัวอักษรบาลี ซึ่งเป็นภาษาที่ตายแล้วไม่มีคนใช้

สาเหตุที่จารึกด้วยอักษรที่ไม่มีคนใช้ เพื่อป้องกันไม่ให้คำสอนผิดเพี้ยนไป ความหมายจะได้คงเดิมตลอด รักษาพุทธวจนะได้อย่างมั่นคง แต่พอมาจารึกเป็นสันสกฤต ความหมายสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป คำพูดหนึ่งก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไป

อย่างสมัยก่อนเขาเรียกว่า "ชิ้น" สมัยถัดมาเป็น "คู่รัก" สมัยถัดมาเรียกว่า "แฟน" ปัจจุบันก็มี "กิ๊ก" อีก คำพูดเปลี่ยนไปเรื่อย ความหมายก็จะเปลี่ยน แต่ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาที่คนอินเดียใช้กันเป็นปกติอยู่แล้ว ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปอ่านเข้าใจ ทำให้พุทธศาสนาเผยแผ่กว้างไกลขึ้นได้

ดังนั้น..พระมหากษัตริย์ที่มีคุณูปการแก่พระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกจริง ๆ ก็ต้องนับพระเจ้าอโศกมหาราชและพระเจ้ากนิษกะมหาราช สำหรับท่านอื่น ๆ ผลงานของท่านยังอยู่ในวงแคบ ทั่วโลกไม่ได้รู้จักชัดเจนเหมือนสองพระองค์นี้"

เถรี 20-12-2010 22:16

"ถ้ากล่าวถึงประเทศไทย โชคดีที่สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรา ตั้งแต่มีประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน ก็คือสมัยสุโขทัยเป็นต้นมา พระมหากษัตริย์ของเราต่างเป็นพุทธมามกะมาโดยตลอด จนกระทั่งสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระมหากษัตริย์เสด็จออกบวชเองเลย และได้สร้างพระพุทธรูปใหญ่สามองค์ ก็คือ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ไว้ให้ประชาชนทั่วไปได้กราบไหว้บูชา

ทำให้กษัตริย์ยุคหลัง ๆ มา ถือเป็นแบบอย่าง ถึงเวลาก็เวนราชสมบัติให้ผู้อื่นดูแล แล้วเสด็จออกบวชชั่วคราว กลายเป็นธรรมเนียมประเพณี พอถึงสมัยอยุธยาช่วงกลาง รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ใครที่เข้ารับราชการ ถ้าไม่บวชจะไม่ให้รับราชการ ต้องเป็นผู้เคยบวชมาก่อนเท่านั้น

ดังนั้น..ถ้าผู้นำประเทศนับถือศาสนาไหน ศาสนานั้นก็จะเจริญรุ่งเรือง โชคดีที่พระมหากษัตริย์ของเรานับถือศาสนาพุทธมาโดยตลอด ที่น่าเกรงกลัวที่สุด ก็คือ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพราะทางพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ขอให้พระองค์นับถือศาสนาคริสต์ การขัดใจมหาอำนาจสมัยนั้น มีแต่จะนำสงครามและความเดือดร้อนมาสู่ประเทศชาติ แล้วทำไมพระองค์ท่านจึงไม่นับถือศาสนาคริสต์ ?

สมเด็จพระนารายณ์มหาราชตรัสว่า "ถ้าหากพระเจ้ามีพระประสงค์จะให้พระองค์เป็นคริสตศาสนิกชน ก็คงจะทรงดลบันดาลให้พระองค์ถือคริสต์ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ในเมื่อพระเจ้าทรงดลบันดาลให้ถือศาสนาพุทธ ก็ถือว่าเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ที่จะให้พระองค์นับถือศาสนาพุทธ" ทำเอาอีกฝ่ายเถียงไม่ออก เพราะฝรั่งเขาจะอ้างความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้ากันทั้งนั้น"

เถรี 21-12-2010 01:28

"ในครั้งนั้น ถ้าศาสนาคริสต์เข้ายึดกุมพระมหากษัตริย์ได้ คิดว่าประเทศของเราน่าจะเป็นคริสต์ไปแล้ว แต่เมื่อกล่าวถึงตรงจุดนี้ ก็อยากให้ดูความดีของศาสนาหนึ่ง ก็คือศาสนาพราหมณ์ฮินดู

ศาสนาพราหมณ์ฮินดูสมัยแรก ๆ มีการเข้าถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ โดยเฉพาะพระราชพิธีแทบจะเป็นพิธีพราหมณ์ล้วน ๆ เพิ่งจะมีการแทรกศาสนาพุทธเข้าไปในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงครองราชย์ เพราะพระองค์ทรงผนวชมาถึง ๒๗ พรรษา เวลามีพระราชพิธีก็ทรงให้แทรกพิธีสงฆ์เข้าไปด้วย

ปัจจุบันกลายเป็นพราหมณ์กับพุทธกลืนกัน แทบจะแยกกันไม่ออก ว่าอย่างไหนเป็นพิธีพราหมณ์ อย่างไหนเป็นพิธีพุทธ ที่เห็นชัด ๆ ก็คือพิธีแรกนาขวัญ นี่เป็นพิธีพราหมณ์อย่างแน่นอน

ศาสนาพราหมณ์เข้าถึงองค์พระมหากษัตริย์ เป็นที่เชื่อถือและปฏิบัติตามอย่างชัดเจนตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่จนบัดนี้ ศาสนาพราหมณ์ก็ยังคงมีศาสนิกแค่ไม่กี่คน เพราะเขาไม่ได้กดดันพระมหากษัตริย์ให้บีบบังคับประชาชนนับถือศาสนาพราหมณ์ เราลองนึกดูว่า ถ้าเป็นศาสนาอื่นจะทำอย่างไร ?

สมัยที่ราชวงศ์ไศเรนทร์ครองความเป็นใหญ่ทางด้านนครศรีธรรมราชไปจนถึงเกาะสุมาตรา อาณาจักรพุทธศาสนาแผ่กว้างใหญ่ไพศาลมาก มีบรมพุทโธเป็นอนุสรณ์สถาน ยืนยันถึงความยิ่งใหญ่ของศาสนาพุทธ

แต่พอเปลี่ยนมาเป็นราชวงศ์มัชปาหิต ซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ศาสนาพุทธแทบจะขาดสูญไปจากอินโดนีเซีย แม้กระทั่งปักษ์ใต้ของเรา ศาสนาอิสลามก็ลามขึ้นมา จนกลายเป็นอิสลามเกือบหมด

เราจะเห็นว่าการเผยแผ่ศาสนาของแต่ละศาสนาจะไม่เหมือนกัน ศาสนาอิสลามโดยส่วนใหญ่เผยแผ่โดยวิธีสงคราม บุกเข้าไปยึดแล้วบังคับให้นับถือ อย่างเช่น บุกเข้าไปยึดอินเดีย ทำลายศาสนาอื่น แล้วบังคับให้นับถือศาสนาอิสลาม เป็นต้น ส่วนศาสนาพุทธของเราใช้วิธีธรรมยุทธ เผยแผ่โดยธรรม คุณจะเห็นดีเห็นงามแล้วนับถือตามหรือไม่เราไม่ว่ากัน"

เถรี 21-12-2010 13:08

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยที่พรหมเทวดาทั้งหมดพร้อมใจกันไปอัญเชิญสันดุสิตเทพบุตรลงมาจากชั้นดุสิต เพื่อจุติลงมาตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา มีธรรมเนียมอยู่อย่างหนึ่งว่า ท่านต้องพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะ ก็คือความพร้อม ๕ อย่าง

๑) กาล ทรงเลือกอายุกาลของมนุษย์ ถ้าหากมนุษย์ในสมัยนั้นอายุยืนเกินไป เมื่อเอ่ยถึงความไม่เที่ยง เขาก็จะเห็นไม่ชัด ถ้าอายุน้อยเกินไป โอกาสที่จะบรรลุธรรมก็มีน้อย เพราะจะชิงตายไปเสียก่อน

สันดุสิตเทพบุตรก็พิจารณาว่า ช่วงนี้อายุขัยมนุษย์มี ๑๐๐ ปีเป็นประมาณ ท่านเห็นว่าไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป สามารถที่จะกล่าวถึงความไม่เที่ยง และความเป็นทุกข์ให้คนเห็นได้ง่าย

๒) ทวีป ทรงเลือกว่าควรจะจุติไปสู่ทวีปไหน ในทวีปอื่น ๆ นั้น มนุษย์ล้วนแล้วแต่อายุยืน อย่างน้อยก็หลายร้อยปีขึ้นไป จึงเห็นชมพูทวีปเหมาะที่สุด

๓) ประเทศ ทรงเลือกกรุงกบิลพัสดุ์เป็นที่เกิด เพราะอยู่ในมัธยมประเทศ จะได้ง่ายต่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

๔) ตระกูล ส่วนใหญ่แล้วพระพุทธเจ้าจะจุติในตระกูลที่เป็นพราหมณ์หรือเป็นพระมหากษัตริย์ แล้วแต่ว่าในยุคนั้นนิยมอย่างไหนว่าเป็นตระกูลที่สูงกว่า

สันดุสิตเทพบุตรได้จุติมาในตระกูลของศากยวงศ์ในแคว้นกบิลพัสดุ์ เพราะว่าเนื่องด้วยเหตุข้อต่อไปก็คือ บุคคลที่จะเป็นพุทธมารดา

๕) พุทธมารดา จะต้องเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยความดีทั้งปวง และประกอบด้วยเบญจกัลยาณี ๕ ประการ และอิตถีลักษณะที่งามสมบูรณ์พร้อมอีก ๖๔ ประการ พูดง่าย ๆ ว่า สวยสมบูรณ์พร้อม หาที่ติไม่เจอ เมื่อเห็นว่ามีความพร้อมแล้วจึงได้รับอาราธนาลงมาเกิด

โดยทั่วไปแล้วความเปลี่ยนแปลงของอายุขัยจะเกิดขึ้น ก็คือ ๑๐๐ ปีผ่านไป อายุจะลดลงปีหนึ่ง จากสมัยพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันผ่านไปแล้ว ๒๕๕๓ ปี แปลว่า จะลดลงไป ๒๕ ปีเศษ ๆ เพราะฉะนั้น..อายุขัยของคนในปัจจุบัน อยู่ที่ประมาณ ๗๔ ปีกว่า อาจจะ ๗๔ ปีและอีก ๕ เดือน ดังนั้น..ใครอายุเกินกว่านี้ถือว่าเริ่มมีกำไรแล้ว"

เถรี 21-12-2010 13:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องไม่กลัวตาย ต้องยกให้กับนักบินไทย เขาไปแสดงฝีมือเอาไว้ตั้งแต่รุ่นแรก ๆ รุ่นที่ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ส่งไปเรียนต่างประเทศ อาจจะเป็นเพราะว่าคนไทยเราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ เวสารัชชกรณธรรม การกระทำที่ทำให้กล้า ประกอบไปด้วย ศรัทธา ศีล พาหุสัจจะ วิริยารัมภะ ปัญญา

ความศรัทธาเชื่อมั่นนั้น ประกอบไปด้วย
๑) เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย ถ้าเราเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยจนมั่นคง จะมีความกล้า ไม่กลัวตาย
๒) เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างเช่น วัตถุมงคลต่าง ๆ ที่เรานับถือ ต่อให้ไม่ใช่รูปพระ เป็นวัตถุอย่างอื่น เช่น เหล็กไหล ปรอทสำเร็จ ก็ได้
๓) เชื่อมั่นในผู้นำ ถ้าผู้นำเก่งกล้า มีความสามารถ ลูกน้องก็จะกล้าตาม
๔) เชื่อมั่นในตนเอง สำคัญที่สุดก็คือ มีความเชื่อมั่นในตนเอง ถ้ายังไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ยังต้องอาศัยผู้อื่นตลอด ก็จะยังไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

ในเมื่อนักบินไทยมีความเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยเป็นปกติอยู่แล้ว เพราะแขวนพระ เชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็สงเคราะห์เข้าข้อเดียวกัน เชื่อมั่นในผู้นำ มีบารมีพระเจ้าอยู่หัวคุ้มครอง ท้ายสุดเชื่อมั่นในตนเอง รุ่นนั้นจบกลับมา เป็นคุณหลวง คุณพระกันหมด

เขาบอกว่าเวลาฝึกซ้อมบิน จะมีการฝึกซ้อมที่ดับเครื่องแล้วปล่อยเครื่องร่อนลงมาอย่างใบไม้ร่วง ถ้าจำไม่ผิด เขาให้ร่อนลงใกล้พื้นดินได้มากที่สุด ๒๐๐ เมตร ต่ำกว่านั้นไม่ได้ หลังจากนั้นค่อยติดเครื่องแล้วดึงเครื่องกลับขึ้นไป

ไม่รู้เหมือนกันว่าทหารไทยของเราลืมขั้นตอนไป หรือใจถึงกันแน่ พ่อปล่อยเครื่องจนจะถึงยอดไม้อยู่แล้วค่อยดึงเครื่องขึ้น รุ่นนั้นกลับมาในหลวงรัชกาลที่ ๖ พระราชทานยศให้หมด อย่างคุณพระทะยานอากาศ คุณหลวงสันทัดยนตรกรรม เป็นต้น นับเป็นนักบินรุ่นแรก ๆ ของประเทศไทย"

เถรี 21-12-2010 16:34

"นักบินที่โด่งดังที่สุดก็คือ จอมพลอากาศขุนรณนภากาศ ฤทธาคนี หรือ "ปู่ฟื้น" ปกติแล้วเวลาทหารเกษียณเขาจะมีบำเหน็จบำนาญ ปู่ฟื้นท่านรับบำนาญจนกองทัพแทบจะเจ๊งเพราะอายุเกือบร้อยปี

ปู่ฟื้นเป็นจอมพลอากาศท่านเดียวที่ได้มาโดยฝีมือ อย่างท่านจอมพลอากาศเฉลิมเกียรติ วัฒนางกูร ท่านตายในขณะปฏิบัติหน้าที่ จากยศพลอากาศตรีเขาจึงเลื่อนท่านเป็นจอมพลอากาศ แต่ปู่ฟื้นได้มาด้วยฝีมือจริง ๆ

ช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา ปู่ฟื้นเอาเครื่องบินปีกสองชั้น ไปดวลกับเครื่องบินไอพ่นคอร์แซร์ของฝรั่งเศส ดวลกัน ๑ ต่อ ๔ เหมือนกับเอาแท็กซี่ไปดวลกับโรลส์รอยซ์ แถมยังเป็นโรลส์รอยซ์ ๔ ลำด้วย ปรากฏว่าปู่ฟื้นมีฝีมือดีกว่า ดับเครื่องทิ้งตัวหลบกระสุนลงไปถึงยอดไม้แล้วค่อยดึงเครื่องขึ้น ใครจะกล้าตาม เพราะเขากลัวตาย..!

ต่างฝ่ายต่างยิงกันจนกระสุนหมด ปู่ฟื้นจึงบินกลับ เครื่องบินไอพ่นฝรั่งเศส ๔ ลำนั้น บินตามมาส่งถึงสนามบินจันทบุรี ตอนนั้นกองทัพไทยแตกตื่นกันหมด นึกว่าฝรั่งเศสบุกจันทบุรี ความจริงเขาบินมาส่ง เขารักฝีมือของปู่ฟื้น อำลากันตรงสนามบินแล้วก็พวกเขาก็บินกลับ"

เถรี 21-12-2010 21:48

"ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนั้นไทยรบชนะฝรั่งเศส ทั้ง ๆ ที่อาวุธสู้เขาไม่ได้ แต่ฝีมือเหนือกว่า จึงได้พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณมาเป็นของเรา ตอนหลังโดนกดดันจึงต้องคืนเขาไป แต่ขอให้ภูมิใจว่า เรารบชนะประเทศมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสในสมัยนั้นมาแล้ว และฝรั่งเศสก็ไม่ได้เอาทหารของตัวเองมาทั้งหมด เขาเอาทหารโมร็อคโคมารบแทน เพราะว่าตอนนั้นโมร็อคโคเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส

ปู่ฟื้นจึงได้เป็นท่านขุน รัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งให้เป็นขุนรณนภากาศฤทธาคนี ยศของท่านเจริญมาเรื่อย ๆ จนเป็นจอมพลอากาศ

เราจะเห็นว่าสมัยนั้นยศทหารก็ไม่ได้ใหญ่ เช่น พันเอกพระยาทรงสุรเดช หัวหน้าคณะปฏิวัติ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา พันโทมังกร พรหมโยธี คณะราษฎร์ที่ปฏิวัติในหลวงรัชกาลที่ ๗

ยศนายพลเพิ่งจะมาเฟ้อในสมัยเรานี่เอง นายพลเดินชนกันไปเดินชนกันมา ยศร้อยตรีเวลาเข้ากรุงเทพฯ เขามองไม่เห็นหัวเลย ขนาดยศพันโทพันตรียังต้องเดินตัวลีบ แต่พอไปอยู่ต่างจังหวัด ยศร้อยตรีร้อยโททำไมใหญ่จัง ? ราคาต่างกันมาก เพราะฉะนั้น..ยอมลำบากอยู่บ้านนอกเป็นหัวหมาดีกว่า..!"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:26


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว