กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2447)

เถรี 13-02-2011 10:47

ถาม : อยู่ดี ๆ พี่เขยก็ความดันสูง เส้นเลือดในสมองแตก หมอยังบอกว่ามีโอกาส ควรจะทำบุญอะไร เพื่อที่จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ?
ตอบ : ไม่ใช่ทำบุญ แต่ให้หาดีหมีให้ได้ หาแถวร้านขายยาจีนเยาวราชน่าจะมี แต่ราคาแพง เอาเหล้าขาวมาประมาณครึ่งแก้ว ขูดดีหมีลงไป จะเป็นเศษ ๆ ผง ๆ ขูดใส่จนกระทั่งเหล้าเป็นสีชา แล้วให้กินเข้าไป จะละลายลิ่มเลือดได้หมด

หลังจากนั้นก็เป็นฝีมือหมอรักษาแล้วว่าจะเอาอยู่หรือไม่อยู่ เพราะถ้าไม่ละลายลิ่มเลือดหมดก็จะเป็นอัมพาตเลย แต่ดีหมีแพงมากจ้ะ อาตมาเคยซื้อเมื่อ ๒๐ ปีก่อน ลูกหนึ่ง ๗,๐๐๐ บาท ตอนนี้ไม่รู้ราคาเท่าไรแล้ว

เหล้าขาวนะจ๊ะประมาณครึ่งแก้ว เราก็ขูด ๆ ดีหมีให้เป็นผง พอลงไปแล้วจะละลายกลายเป็นสีเหมือนกับน้ำชา อย่าให้เข้มมาก เพราะถ้าเข้มมากเดี๋ยวเลือดจะไม่ยอมหยุด เอาแค่ละลายลิ่มเลือดได้

ถาม : ตอนนี้นอนอยู่โรงพยาบาล ๒ วันแล้วครับ ?
ตอบ : ยังทันอยู่ เป็นแค่ไม่กี่วัน มีอยู่รายหนึ่ง คุณปรีชา บ้านอยู่ยะลา อยู่ ๆ ก็ล้มตึงไปเฉย ๆ ญาติเขาโทรมา อาตมาถามว่า มีดีหมีไหม ? พอดีบ้านเขาเป็นคนจีนก็เลยมี จึงบอกให้ทำอย่างที่ว่า ให้บีบจมูกกรอกปากไปเลย เพราะเขาหมดสติไปแล้ว ปรากฏว่าหาย

แต่แขนข้างซ้ายใช้งานไม่ได้เป็นปี เขาเป็นคนถนัดซ้าย พยายามทำกายภาพอย่างไรก็ไม่หาย พอไปหาหมอสมัยใหม่เอ็กซเรย์ ผลปรากฏว่า ตอนที่เขาเพิ่งล้มใหม่ ๆ คนไปช่วยยกจนไหล่หลุด โดยที่เขาไม่รู้ตัว คิดว่าเป็นเพราะเส้นเลือดในสมองแตกจึงทำให้เป็นอัมพฤกษ์ พอไปให้หมอรักษา หมอบอกว่า ไหล่หลุดมาตั้งครึ่งค่อนปี พังผืดขึ้นหมดแล้ว ก็ต้องเจ็บตัวไปให้หมอผ่าตัดใหม่ นั่นถือว่าซวยจริง ๆ

เถรี 13-02-2011 10:49

ถาม : คนที่จำอะไรไม่ค่อยได้ เรียนรู้เข้าใจยาก ทำกรรมอะไรมาคะ ?
ตอบ : น่าจะเป็นแบบเดียวกับพระจูฬปันถกเถระ ในอดีตชาติพระจูฬปันถกเถระเป็นคนเก่ง ท่องปาฏิโมกข์ได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน แต่เพื่อนของท่านท่องไม่ได้สักที พระจูฬปันถกเถระจึงไปหัวเราะเยาะเพื่อนว่าโง่

พอมาเกิดชาติใหม่ พระจูฬปันถกเถระท่องกลอนสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้าแค่สี่ประโยค ใช้เวลาสามเดือนยังท่องไม่ได้ เพราะฉะนั้น..อย่าไปดูถูกใครว่าโง่ เดี๋ยวกรรมตามทันเราจะแย่กว่าเขาอีก

เถรี 13-02-2011 10:51

ถาม : ทำไมเวลาถวายสังฆทาน ท่านให้พรหลายคาถา แต่ละคนไม่เหมือนกัน ?
ตอบ : จริง ๆ มีสิบกว่ายี่สิบบท นึกบทไหนได้ก็ให้ไปเรื่อย

ถาม : เกี่ยวกับคนไหมคะ ?
ตอบ : เกี่ยวนิดหน่อยจ้ะ

ถาม : ดูจากอะไรเจ้าคะ ?
ตอบ : ความต้องการของเขาเป็นหลัก รองลงไปก็บุญที่เขาทำมา ถ้าของเก่าเขามี ควรจะได้อะไรก็ว่าอย่างนั้นไป

เถรี 13-02-2011 13:45

ถาม : หนูเพิ่งเริ่มปฏิบัติ ดูลมหายใจกับบริกรรมพุทโธ สงสัยว่าคำบริกรรมสำคัญไหม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วคำภาวนาเป็นเครื่องช่วยโยงใจให้เป็นสมาธิจ้ะ ถ้ากำลังสมาธิทรงตัวแล้ว เราจะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ตาม ใจนึกจะให้เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เพราะว่ากำลังของเราพอแล้ว

ดังนั้น..ตอนนี้คำภาวนาไม่ต้องไปใส่ใจ เอาให้ใจเราเป็นสมาธิเพราะคำภาวนานั้นก่อน พอสมาธิทรงตัว คราวนี้จะใช้บทอะไรก็ได้แล้ว เหมือนกับหาเงินใส่กระเป๋าไว้ก่อน พอมีเงินแล้วเราจะซื้ออะไรก็ได้

ถาม : คำภาวนาอะไรก็ได้หรือคะ ?
ตอบ : ถ้าคำภาวนายาวไป บางทีอาจจะไม่เหมาะกับเรา ให้ใช้พุทโธของเราไปก่อน ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวเป็นสมาธิ ต่อไปจะใช้สมาธิในการทำอะไร แค่คิดก็เป็นแล้วจ้ะ ต้องขยันทำบ่อย ๆ นะจ๊ะ ถ้าไปทำ ๆ ทิ้ง ๆ เดี๋ยวกิเลสตีเราตายเสียก่อน

เถรี 13-02-2011 13:48

ถาม : อาสวักขยญาณ เป็นตั้งแต่ผู้ที่จะบรรลุอรหัตผลเท่านั้นหรือ ?
ตอบ : ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป อาสวักขยญาณ แปลว่า ญาณอันทำให้กิเลสสิ้นไปได้ ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปสามารถทำให้กิเลสหมดไปบางส่วน เขาเรียกว่าเป็นอาสวักขยญาณ

ถาม : จะต้องผ่านฌานอะไรเป็นอย่างน้อย ?
ตอบ : ปฐมฌานเป็นอย่างน้อย เพราะกำลังปฐมฌานขึ้นไป เพียงพอที่จะตัดกิเลสเบื้องต้นในสังโยชน์ได้แล้ว

เถรี 13-02-2011 15:37

ถาม : ปฐมฌานเป็นพื้นฐานขั้นแรกก็พอแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าใช้คำพูดผิดไปแม้แต่คำเดียว จะทำให้หลักธรรมของพระพุทธเจ้าผิดไปด้วย

ถาม : ขอประทานอภัยครับ
ตอบ : คุณใช้คำว่าปฐมฌานก็พอ แล้วเขาจะไปทำถึงฌานสี่ทำซากอะไร..! อย่างน้อยต้องถึงปฐมฌานจึงจะใช้ได้ ไม่อย่างนั้นกำลังไม่พอตัดกิเลส

ถาม : คำว่าน้อมไปเพื่อความสิ้นอาสวะ เขาทำกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไล่ไปตามสังโยชน์ ตัดไปทีละข้อ ๆ อาสวกิเลสหยาบที่สุดก็คือนิวรณ์ ๕ ถ้าเราทรงปฐมฌานได้ นิวรณ์ ๕ ก็กินเราไม่ได้ หลังจากนั้นก็เป็นในส่วนของกรรมกิเลสก็คือในส่วนที่เราละเมิดแล้วผิดศีล หลังจากนั้นก็จะเป็นสังโยชน์คือกิเลสที่ร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏฏะ ไล่ไปทีละระดับ

เรารู้จักศีลอย่างเดียวว่าห้ามทำนั่นห้ามทำนี่ แต่ตัวที่ทำแล้วผิดศีล เขาเรียกว่ากรรมกิเลส (การกระทำที่เกิดจากกิเลส) ฆ่าสัตว์ก็เพราะโทสะกิเลสบังคับไว้ ลักทรัพย์เพราะโลภะกิเลสบังคับไว้ ฯลฯ เขาจึงเรียกว่ากรรมกิเลส

ถัดจากนิวรณ์ก็ต้องแก้ไขกรรมกิเลส จากนั้นก็อาศัยกำลังของศีลซึ่งเกิดจากการที่เราระมัดระวังรักษาเอาไว้ไม่ให้เกิดกรรมกิเลส ทำให้เกิดสมาธิ ก้าวขึ้นไปสู่การตัดสังโยชน์เบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด

แต่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งสังโยชน์ออกเป็นสองส่วน เขาเรียก โอรัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องต่ำ) กับ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ (สังโยชน์เบื้องสูง) สังโยชน์เบื้องต่ำ ก็คือ สังโยชน์ข้อที่ ๑-๕ สังโยชน์เบื้องสูง คือ ข้อที่ ๖-๑๐ แค่สังโยชน์ข้อ ๑-๕ ก็แทบปางตายแล้ว โดยเฉพาะข้อที่ ๔ กับ ๕

เถรี 13-02-2011 21:28

ถาม : เขาบอกว่า ต้องทรงฌานให้มากที่สุด เกี่ยวไหมครับ ?
ตอบ : จำเป็นต้องมี ถ้าสมาธิหลุดเมื่อไรกิเลสก็กินเรา เพียงแต่ให้ทรงในลักษณะที่มีสติ มีปัญญาประกอบรู้อยู่เสมอว่า นี่เป็นเครื่องมือที่จะพาเราให้พ้นกิเลส ไม่อย่างนั้นคนจำนวนมาก จะไปหลงติดอยู่ในสุขของฌานที่ปราศจากกิเลส และไม่คิดจะขยับขยายไปทำอะไรอีก ถ้าอย่างนั้นก็จะเป็นรูปราคะสังโยชน์หรืออรูปราคะสังโยชน์ แล้วแต่ว่าตัวเองได้รูปฌานหรืออรูปฌาน

ถาม : ถ้าเราทรงปฏิภาคนิมิตในกสิณใดกสิณหนึ่ง เราจะน้อมไปเป็นอาสวักขยญาณได้หรือไม่ ?
ตอบ : ได้..ลักษณะเดียวกัน เพราะตัวปฏิภาคนิมิตในกสิณนั้น ต้องเป็นฌานสี่จึงจะเป็นปฏิภาคนิมิตเต็มที่ เราก็ใช้กำลังของฌานในการละนิวรณ์ ๕ หรือเรื่องการระมัดระวังศีลของเรา หรือใช้ในเรื่องการตัดสังโยชน์

ถาม : การพิจารณาองค์ฌาน ถือว่าเป็น..?
ตอบ : เป็นการซักซ้อมให้เกิดความคล่องตัว ถึงเวลาจะได้หนีกิเลสได้ทัน ต้านกิเลสได้ทัน

ถาม : การพิจารณาองค์ฌาน ยังไม่ใช่อาสวักขยญาณ ?
ตอบ : การพิจารณาองค์ฌานเป็นสมถกรรมฐาน ต้องตัดสังโยชน์ให้ได้อย่างน้อยได้ ๓ ข้อแรก จึงจะเป็นอาสวักขยญาณ

เถรี 13-02-2011 21:35

ถาม : จักรวาลในวิทยาศาสตร์และในพุทธศาสนาต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่วิทยาศาสตร์รู้ไม่เท่าพระพุทธศาสนา จักรวาลทางวิทยาศาสตร์ก็คือหมู่ดาวหมู่หนึ่ง ที่มีดาวฤกษ์คือดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง จักรวาลของพระพุทธศาสนาก็ลักษณะเดียวกัน แต่พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่าจักรวาลไหนมีมนุษย์อยู่บ้าง และพระองค์ท่านหรือพระอรหันต์ก็เสด็จไปโปรดเขาเป็นประจำ

แต่ในเรื่องของวิทยาศาสตร์ แค่ดาวพฤหัสกว่าเขาจะส่งยานเข้าไปในบริเวณที่สามารถสำรวจได้ใกล้เคียง ก็ใช้เวลาเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีทั้งหมดแสนโกฏิจักรวาล ไม่น่าเชื่อว่าเยอะขนาดนั้น สุดชายขอบจักรวาลจึงเริ่มเป็นเขตของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา

มีพระสูตรหนึ่ง กล่าวถึงฤๅษีองค์หนึ่ง ท่านอยากจะรู้ว่าจักรวาลนี้กว้างใหญ่เท่าไร ท่านจึงใช้อำนาจอภิญญาเริ่มเหาะจากโลกมนุษย์ไปเรื่อย ๆ มุ่งตรงไปอย่างเดียว ปรากฏว่าท่านหมดอายุของความเป็นมนุษย์เสียก่อน ยังเหาะไม่พ้นเขตจักรวาลเลย นั่นขนาดไปด้วยอำนาจอภิญญานะ ท่านก็เล่าให้เป็นอุทาหรณ์ว่า เรื่องพวกนี้สงสัยไปก็เสียเวลาเปล่า เพราะท่านตายฟรีมาแล้ว..!

ถาม : ตายแล้วไปเป็นพรหมหรือครับ ?
ตอบ : เป็นพรหม เพราะตายด้วยกำลังของอภิญญา จำไม่ผิดน่าจะอยู่ในเทวตาสังยุต ของสังยุตตนิกาย ลองไปหาอ่านดู

เถรี 13-02-2011 21:37

ถาม : ขอให้ช่วยอธิบาย การเร่งรัดบารมี
ตอบ : จริง ๆ ก็คือ ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ให้มากเข้าไว้ การทำให้มากเข้าไว้ ไม่ได้หมายถึงทุ่มเทที่เวลา แต่จริง ๆ คือ รักษากำลังใจให้ต่อเนื่อง ถ้าเราสามารถรักษากำลังใจให้ต่อเนื่องกันได้ ความที่จิตเคยชินกับความสงบ สมาธิทรงตัวได้ง่าย ปัญญาเกิด ก็จะเห็นช่องทางว่าจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะก้าวหน้า

ถาม : ขี้เกียจนี่เป็นกิเลสหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เป็นกิเลสหยาบมากเลย เป็นส่วนหนึ่งของถีนมิทธะนิวรณ์ ถีนมิทธะนิวรณ์ไม่ใช่ง่วงเหงาหาวนอนอย่างเดียว แต่ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติด้วย ถ้าตราบใดที่จิตยังทรงฌานไม่ได้ เราทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เสร็จแน่ ๆ เพราะฉะนั้น..ต้องตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อย่างน้อยให้ทรงปฐมฌานได้จึงจะพ้น

เถรี 13-02-2011 22:14

ถาม : ท่านสอนปฏิบัติสายไหนหรือคะ ?
ตอบ : สอนแบบกลาง ๆ ทั่วไป จะเป็นอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออกควบกับการภาวนา แล้วก็อธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่จะต้องพบเห็น หรือว่าสิ่งที่นักปฏิบัติจะต้องพบเจอ แล้วควรที่จะแก้ไขอย่างไร

จริง ๆ แล้วที่อาตมาเรียนมาเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการที่เราจะไปดูนรก สวรรค์ เพื่อพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เท่าที่มีประสบการณ์มา ส่วนใหญ่คนเอาไปใช้ผิด ในเมื่อไปใช้ผิดก็เลยไม่สอน สอนธรรมะกลาง ๆ ดีกว่า เพราะถ้าผิดแล้วจะติดนาน

อาตมาเองก็เคยไปหลงติดอยู่สามปีเต็ม ๆ คนนั้นให้ดูเรื่องนั้น คนนี้ให้ดูเรื่องนี้ พอถูกต้องแม่นยำก็ชม แล้วเราก็ตัวลอย กลายเป็นคนรับใช้เขาโดยที่ไม่ตั้งใจ ใครต้องการรู้เรื่องอะไรก็มาถาม จนกระทั่งต้องเลิกไปเอง เพราะเวลาคนมาหา เขาจะเอาแต่เรื่องของตัวเอง โดยที่ไม่สนใจว่าเราจะว่างหรือไม่ว่าง

เถรี 13-02-2011 22:32

ถาม : คนที่เขาเป็นโรคไต ถึงขั้นฟอกไตแล้ว พอจะรักษาได้ไหมคะ ?
ตอบ : ใช้เซี่ยงจี๊หมู ๑ ข้าง ล้างให้สะอาด ฝานบาง ๆ แกะพวกเอ็นขาว ๆ ออกให้หมด แล้วก็ต้มกับน้ำฝน ๓ ชาม ต้มให้เหลือน้ำแค่ ๑ ชาม ระหว่างที่ต้ม ให้เอาเมล็ดลิ้นจี่ ๗ เม็ด ทุบให้แตก ห่อผ้าขาวบางต้มไปด้วย ถึงเวลากินให้หมดทีเดียว แล้วจะฟื้นสภาพไตชนิดที่ไม่ทำงานแล้ว ให้ทำงานใหม่ได้

แต่ถ้ายังไม่ถึงขั้นฟอกไต ให้ใช้หญ้าหนวดแมวสัก ๓ - ๕ ช่อมาต้มน้ำ กินแทนน้ำไปเลย มีสรรพคุณในการขับปัสสาวะ ต้องขยันเข้าห้องน้ำหน่อย จะช่วยล้างไตให้สะอาด

ถาม : อย่างนี้คนทั่ว ๆ ไปก็ล้างไตได้ ?
ตอบ : ทำได้จ้ะ ช่วงไหนที่เราไม่ได้ออกไปไหน ก็ลองดูสักวัน

ถาม : แล้วล้างลำไส้ละคะ ?
ตอบ : ใช้ใบชุมเห็ดสักก้านหรือสองก้าน ย่างไฟพอเกรียม ๆ แล้วก็ใส่ไปในหม้อน้ำร้อน กินแทนน้ำ แต่ถ่ายดุเดือดน่าดูเลยนะ

ถาม : ต้นชุมเห็ดหรือคะ ?
ตอบ : จ้ะ ใช้ใบชุมเห็ด อย่าให้เกินสองก้านนะจ๊ะ ถ้าใช้เยอะ เดี๋ยวจะถ่ายข้ามวัน ไม่ได้ไปทำงานกันพอดี

เถรี 13-02-2011 23:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "อะไรก็ตามที่เป็นงานที่สมควรทำ เป็นงานของพระ เป็นงานของพระศาสนา ถึงเวลาจะไปได้เอง ไม่มีอะไรที่น่ากังวลเลย

บางคนเขาเห็นว่าอาตมารวย อาตมาก็นั่งหัวเราะ บางวันมีเงินเหลือติดกระเป๋าไม่ถึง ๔๐ บาท เขาเห็นแต่ตอนที่เราจ่ายเท่านั้น

ท่านเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๑ โทรมาหา

"อาจารย์เล็ก..ผมยืมเงินจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างสักสี่แสนก่อนสิ ผมติดร้านค้ามาเป็นปี ยังไม่มีจ่ายเลย"
"ท่านอาจารย์ยืมผิดที่แล้ว ผมมีเสียที่ไหน.."

"อาจารย์เล็กรวยจะตายไป.."
"ที่คุณเห็นว่าผมรวย เพราะผมจ่ายหมดทุกบาททุกสตางค์ แต่คนที่ไม่เคยจ่ายให้เห็นเลย คุณไปยืมเถอะ มีเงินทุกคนแหละ"

อาตมาได้มาเท่าไรก็ใช้หมด พอใช้หมดเขาจะเห็นว่าเรารวย เพราะมีใช้อยู่ตลอด วัดนั้นให้ช่วยสร้างอย่างนั้นก็สร้างให้ วัดนี้ให้สร้างอย่างนี้ก็สร้างให้ ไหนจะวัดของตัวเองอีก เขาจึงเห็นว่าเรารวย ความจริงแล้วได้มาเท่าไรก็ใช้หมด"

เถรี 13-02-2011 23:32

ถาม : ยันต์เกราะเพชร มีคุณอะไรคะ ?
ตอบ : เอาไว้ป้องกันไสยศาสตร์จ้ะ แต่ต้องสวดอิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ทุกเช้าประมาณ ๓ จบ พอกำลังใจมั่นคง นึกขอบารมีพระท่านช่วยคุ้มครอง จะป้องกันได้ทั้งวัน ใครทำไสยศาสตร์ใส่เราจะย้อนคืนหมด กลายเป็นว่า ใครคิดร้ายต่อเรา เขาจะซวยเอง..!

วิชานี้สืบสายมาจากตำราพระร่วง มาดังสมัยหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค และมากระหึ่มอีกทีสมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านจัดงานเป่ายันต์ทีคนไปเป็นแสน

ถ้าเราไม่เคยไปรับเป่ายันต์ เราก็พกผ้ายันต์ติดตัวไว้ แต่แปลก..ผ้ายันต์เกราะเพชรของอาตมา มีคนเขาเอาไปใช้ในทางค้าขายแล้วขายดี ก็เลยมีคนตามไปหาถึงวัด อาตมาก็สงสัยว่าตั้งใจสร้างในทางป้องกัน กลายเป็นค้าขายได้อย่างไร ? อ๋อ..ที่แท้ พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ถ้าเราศรัทธาจริง ๆ และมีบุญเก่าหนุนเสริม อธิษฐานอย่างไรก็ได้อย่างนั้น

เถรี 13-02-2011 23:37

ถาม : เวลาจับภาพพระ ผมรู้สึกเหนื่อยอย่างไรก็ไม่รู้ ต้องแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : นานแค่ไหนที่คุณว่าเหนื่อย ?

ถาม : สักพักหนึ่ง
ตอบ : ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคุณทำถูกวิธีหรือเปล่า ? เอาเป็นว่าก่อนที่คุณจะจับภาพพระ ให้หายใจเข้าออกยาว ๆ สักสองสามครั้ง ระบายลมหยาบให้หมด ถ้าสมาธิทรงตัว ลมจะละเอียด ถ้าลมหยาบยังค้างอยู่ บางทีจะรู้สึกว่าเหนื่อยมาก แต่ถ้าทำอย่างนี้แล้วยังเป็นอีก เขาเรียกว่าขันธมารมาขวาง ถ้าเราเกิดอาการเหนื่อยแล้วท้อใจหรือกลัวตาย เลิกปฏิบัติไป เราก็เสียผลเอง ต้องตัดสินใจว่าตายเป็นตาย แล้วลุยเข้าไปเลย..!

เถรี 14-02-2011 00:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "บัวบ้านเรามีแค่ ๓ ตระกูล ก็คือ ตระกูลบัวหลวง ตระกูลบัวสาย และตระกูลบัวผันหรือบัวเผื่อน

ตระกูลบัวหลวง สีขาวคือปุณฑริกา สีแดงคือปัทมา
ตระกูลบัวสาย สีขาวจะเป็นโกมุทหรือกมุท สีแดงจะเป็นสัตบุษย์หรือสัตบรรณ
ตระกูลบัวผันหรือบัวเผื่อน สีเหลือง คือ จงกลนี สีน้ำเงินคือนิโลตบลหรือนิลุบล

ถาม : แล้วสีบานเย็น ?
ตอบ : เป็นบัวต่างประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว สีบานเย็นน่าจะจัดอยู่ในพวกนิลุบล ที่โบราณเขาเรียกว่าบัวเขียว

สีม่วง สีเขียว หรือสีน้ำเงิน โบราณจะเรียกว่าสีเขียวทั้งหมด

เถรี 14-02-2011 00:10

ถาม : การเดินจงกรม เราควรจะใช้ในลักษณะพิจารณาการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือเราควรจะใช้ในการจับภาพมโนมยิทธิแล้วเดินครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่ที่ความถนัดของเรา ทำอย่างไรก็ได้ ให้นิวรณ์กินใจของเราไม่ได้ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว

ถ้าเราพิจารณาการเคลื่อนไหวของร่างกาย สติอยู่กับปัจจุบัน รัก โลภ โกรธ หลงก็เกิดไม่ได้ ถ้าจับภาพแบบมโนมยิทธิ ถ้าใจเกาะมั่นคง กิเลสก็กินไม่ได้เหมือนกัน เขาต้องการแค่ความสะอาดของจิต ท้ายสุดก็ให้มีปัญญาตัดกิเลส รู้อยู่เสมอว่าเราเดินอยู่บนกองทุกข์ กำลังก้าวไปหาความตายอยู่ทุกก้าว ถ้าเราตายแล้วเราจะไปไหน ?

ถาม : แต่พอยิ่งเดิน ยิ่งช้าไปเรื่อย ๆ ช่วงท้ายเหมือนกับผมจะระเบิด เกิดความรู้สึกว่า อยากพบคน อยากคุยกับคนไปหมด
ตอบ : นั่นกิเลสชวนแล้ว พอเราบังคับอยู่ในกรอบ กิเลสก็จะดิ้น เป็นเรื่องปกติ ถ้าเป็นสายพองหนอยุบหนอ เขาบอกว่าสภาวธรรมกำลังเกิด แต่ส่วนใหญ่จะเกิดเป็นโทสะแทน

ถาม : ใช่ครับ คิดว่าเมื่อไรจะจบสักที ส่วนที่เราต้องทำต่อก็คือเราควรจะพิจารณาใน..?
ตอบ : เปลี่ยนอิริยาบถก็ได้ เปลี่ยนไปนั่งบ้าง หางานหาการทำบ้าง จะกวาดบ้านถูบ้านก็ได้ แต่ต้องเอาสติอยู่กับปัจจุบัน

เถรี 14-02-2011 01:34

ถาม : ธรรมะของผู้ครองเรือนเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ธรรมะของผู้ครองเรือน บาลีเรียก ฆราวาสธรรม ประกอบไปด้วย สัจจะ มีความจริงใจต่อกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่นอกใจกัน ทมะ คือ มีความข่มกลั้น เกิดการกระทบกระทั่งกันขนาดไหนก็ตาม ก็ต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้

ขันติ ทนต่อความยากลำบากในการครองชีวิต ในการทำมาหากิน ท้ายสุด จาคะ ต้องมีความเสียสละ สละความสุขส่วนตัวเพื่อคู่ครองของเรา

ถาม : ถ้าปฏิบัติมโนมยิทธิ เราจะครองเรือนได้ไหม ? มโนมยิทธิจะเสื่อมไหมครับ ?
ตอบ : เขาไม่ได้ห้าม อยู่ที่เรา ถ้าขยันซ้อมจะไปเสื่อมอะไร ยกเว้นว่าไม่สนใจเท่านั้นเอง

ถาม : หมายถึงเวลาที่เราครองเรือนครับ ?
ตอบ : ก็ครองไปสิ ไม่ได้ห้ามหรอก

ถาม : แบ่งเวลาเป็นช่วงได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้ อย่าลืมว่า แม้แต่พระโสดาบันท่านก็ยังมีคู่ มีลูกมีหลาน เราเองยังไม่ถึงระดับนั้น ถ้าทรงกำลังใจระดับโสดาบันได้เมื่อไร เราก็ใช้มโนมยิทธิไปนิพพานเป็นปกติอยู่แล้ว

ถาม : ถ้าเราภาวนาสัมปะจิตฉามิ และเราจับภาพพระไปด้วย เราจะมีอานิสงส์เหมือนกับจับภาพพระไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือนกัน ถ้าทำเป็นจริง ๆ จะได้มากกว่า คาถาสัมปะจิตฉามิถ้าทำขึ้นจริง ๆ เราสามารถใช้อภิญญาได้เหมือนกับฝึกกสิณ ๑๐ มา พูดง่าย ๆ ก็คือ แทนที่เราจะไปแต่ใจ เราก็ไปทั้งตัวเลย

เถรี 14-02-2011 09:35

ถาม : เวลาเราทำงานต้องมีเรื่องที่พูดเลี่ยงออกไป แต่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อน จัดเป็นการละเมิดศีลข้อมุสาหรือไม่ ?
ตอบ : ศีลยังด่างยังพร้อยอยู่ แต่เราไม่ได้โกหกทั้งวัน ระยะเวลาที่เหลือเราก็รักษาศีลของเราให้ดี

ถาม : ถ้าคิดแล้วไม่ทำผิด..?
ตอบ : การคิดก็เป็นมโนกรรมแล้ว

ถาม : อยากได้ของคนอื่น เกิดกรรมแล้วใช่ไหมครับ ?
ตอบ : มโนกรรม กรรมที่เกิดจากใจคิด ตายตอนนั้นก็ลงนรกเลย ขาดทุนมาก

ถาม : ศีลข้อสาม รวมคนในปกครองด้วยหรือไม่ ?
ตอบ : ทุกประเภท ถ้าผู้ปกครองไม่ได้ยินยอม กระทั่งท้ายสุดแม้กระทั่งกฎหมายไม่ได้ยินยอม ถือว่าผิดทั้งนั้น

ถาม : แม้ตัวเขาจะยินยอมก็ผิดในธรรม ?
ตอบ : ผิด..เพราะเขาหมายเอาถึงคนที่ยังมีผู้ปกครองอยู่

เถรี 14-02-2011 09:39

ถาม : ในแง่ของกามราคะที่เกิดขึ้น ด้านความคิดมีความกำหนัด ไม่ว่าจะเกิดจากการเห็น การมอง ก็เป็นมโนกรรมอยู่ตลอดเวลาสิครับ ?
ตอบ : เป็นอยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าเราสร้างกรรมอยู่ตลอดเวลา ถึงได้บอกว่า เราต้องชำระจิตของเราให้ผ่องใสให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นกามวิตก (การระลึกตรึกถึง) กามราคานุสัย (กามที่นอนเนื่องอยู่ภายในใจ) ตราบใดที่ยังไม่มีคนไปสะกิดให้รู้ตัว ก็ยังมีอยู่ แต่พอสะกิดเข้าจึงรู้ว่ายังมีอยู่เต็ม ๆ

ถาม : บางทีนั่งสมาธิแล้วคิดถึงเรื่องกาม
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เขาตั้งใจจะกวนเราอยู่แล้ว เขามาชวนว่าเรื่องนั้นสนุกกว่า

เถรี 14-02-2011 09:41

ถาม : ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ถ้าเราปฏิบัติธรรมภาวนา จะช่วยคนอื่นได้ไหม ?
ตอบ : สำหรับเรา..ถ้าปฏิบัติจนกำลังใจมั่นคง ก็ถือว่าปลอดภัย แต่ถ้ากำลังของเราน้อยเกินไป ก็อาจจะช่วยคนอื่นไม่ได้ ถ้าตัวเราเอาตัวเองรอดได้ ก็เท่ากับไม่เป็นภาระให้กับคนอื่น ดังนั้น..เราปฏิบัติของเราให้เต็มที่ไว้ก่อน ส่วนที่เหลือจะเป็นภาระแก่พรหม เทวดาเท่าไร ก็แล้วแต่เวรแต่กรรม


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:43


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว