กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4586)

เถรี 12-09-2015 14:14

ถาม : ถ้ามีนักเลงมาล้อมอยู่รอบทิศทาง ถ้าผมล้มเขาได้ ผมควรจะสู้อย่างไรครับ ?
ตอบ : นั่งเฉย ๆ ก็ให้เขาล้อมไปสิ นั่งเฉย ๆ ดูใครจะอึดกว่ากัน

ถาม : ทำอะไรก็เข้าทางมารตลอด บางทีก็ท้อครับ ?
ตอบ : ยังไม่ทันจะเกิดมาก็อยู่ใต้อุ้งเท้าเขาอยู่แล้ว แล้วไม่ใช่แค่นี้ แต่หลายชาติมาแล้ว ป่วยการที่จะไปท้อ วันก่อนที่มีข่าวชายอินเดียคนหนึ่งใช้เวลา ๑๒ ปีขุดภูเขาจนทะลุ

ถาม : ที่เขาขุดเพราะภรรยาตายเนื่องจากหมอมารักษาไม่ทัน ?
ตอบ : ใช่...เพราะว่าภูเขาขวางอยู่ต้องอ้อมไป ตำราลุงโง่ย้ายภูเขานี่มีจริง ๆ ฉะนั้น..ต้องอึดให้ได้แบบนั้น..!

ถาม : อย่างนั้นเรียกว่าเพียรหรือเรียกว่าบ้าครับ ?
ตอบ : คนจะเพียรได้ต้องบ้า คนจะไปพระนิพพานได้ต้องบ้ากว่าคนปกติอย่างน้อย ๔ เท่า

ถาม : ผมท้อ ?
ตอบ : เขาเรียกว่ากำลังใจเฮงซวย กำลังใจแค่นั้นจะไปสู้มาร..!

ถาม : บ้าคือยอมไม่ได้ อย่างไรต้องผ่านให้ได้ สุดท้ายเจอแต่... ?
ตอบ : ก็สู้ต่อไป…ถ้าอาตมาถอยหลังตั้งแต่แรก วันนี้ไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก..! แต่ละอย่างที่มานี่ แหม...สารพัดลีลาเลย ทุกอย่างล้วนแล้วแต่บั่นทอนกำลังใจของเราให้หมดอารมณ์ที่จะปฏิบัติทั้งนั้น…! เขาแค่อาศัยปากคนอื่นเท่านั้นเอง แล้วเราก็ดันไปปรุงแต่งต่อ ถึงได้บอกว่านั่งเฉย ๆ ก็คืออย่าไปปรุง ถ้าไม่คิดแล้วจะเอาทุกข์จากไหนมา ? อย่างเก่งก็แค่ทุกข์ตามสภาพร่างกาย ส่วนใหญ่คนเราทุกวันนี้ทุกข์เพราะความคิดตัวเอง

เถรี 12-09-2015 14:39

ถาม : ที่พระเจ้าตากทรงช้างพังเข้าไปในเมืองจันทบุรี เป็นเพราะตอนนั้นหาช้างพลายไม่ได้หรือครับ ?
ตอบ : แล้วบังคับหรือว่าต้องขี่ช้างพลาย ?

ถาม : ก็ช้างพลายตัวผู้น่าจะแข็งแรงกว่าช้างพัง
ตอบ : อุตส่าห์ตีความได้นะ พังตัวนี้ไม่ใช่ช้างตัวเมีย พังคีรีบัญชรคือทลายได้ทั้งภูเขาและประตูโว้ย..!

เถรี 12-09-2015 16:28

ถาม : ผมเลี้ยงกุมารไว้ ไม่ทราบว่าจะขอลาภอย่างไรครับ ?
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยทำ สงสารกุมารทองเมืองไทย ป่านนี้เป็นเบาหวานหมดทุกตัวแล้ว ไม่รู้ตำราใครที่ให้เลี้ยงแต่น้ำแดง สมัยก่อนที่เคยได้ยินมา ก็คือเรากินอะไรก็จัดอย่างนั้นให้เขา สมัยนี้เล่นแต่น้ำแดง

ถาม : ควรจัดอาหารให้เขาเท่าที่เรากิน หรือเป็นถ้วยเล็ก ๆ พอ ?
ตอบ : จัดเท่าที่เรากินก็บ้าแล้ว..!

เถรี 12-09-2015 16:35

ถาม : ตะกรุดกับธงมหาระงับมีอานุภาพเหมือนกันหรือเปล่า ?
ตอบ : ใช้คนละอย่างกัน ไปนึกถึงลูกศิษย์หลวงปู่สายรุ่นเก่า ๆ เขามีธงหลวงปู่ จัดงานหน้าฝนอย่างเย้ยฟ้าท้าดิน บอกว่าถ้ามีธงหลวงปู่รับรองว่าฝนไม่ตก มานึกได้ว่าต้องเป็นธงมหาระงับแน่นอน

เถรี 15-09-2015 11:41

ถาม : ถ้ามีชื่อหลายชื่อ แล้วเวลาทำบุญจะลงชื่อไหนคะ ?
ตอบ : กลัวนายทะเบียนข้างล่างจะสับสนใช่ไหม ? การทำบุญแค่คิดเราก็ได้บุญแล้ว ไม่ใช่ว่าต้องใส่ชื่อถึงจะได้ ถ้าจะใช้ก็ใช้ชื่อล่าสุด ไอ้พวกประเภทเปลี่ยนชื่อเดือนละครั้ง เปลี่ยนจนตัวเองยังจำไม่ได้เลย..ใช่ไหม..?!

เถรี 15-09-2015 11:42

ถาม : โสรัจจะคือความอดกลั้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ความสงบเสงี่ยมเจียมตัว ถ้าไม่มีความอดทนอดกลั้นก็ทำไม่ได้

เถรี 15-09-2015 12:19

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครเข้าเฟซบุ๊กพวกการเมืองได้บ้างไหม ? ช่วยถามให้ทีว่า พวกสปช.ที่ไม่ออกเสียงนั้นไม่ออกเสียงไปทำเหี้..อะไร ? มีหน้าที่รับกับไม่รับดันไม่ออกเสียง แล้วจะกินเงินเดือนไปทำอะไร ? ถ้าคุณเทียนฉายก็ไม่เป็นไรหรอก ท่านเป็นประธาน ไม่ออกเสียงถือว่าทำตามมารยาท แต่ที่เหลือไม่ออกเสียงนี่โคตรจะเสียมารยาทเลย กินเงินเดือนเขาไปตั้งเท่าไร ต้องบอกว่าถ้าระดับนั้นแล้วยังไม่รู้จักว่าหน้าที่ตัวเองคืออะไร แล้วจะไปตั้งความหวังอะไรกับประชาชนทั่ว ๆ ไป หรือเขาไม่ให้ใช้คำว่าประชาชน ต้องใช้คำว่าพลเมืองอีก ? คำว่ารากหญ้าก็ห้ามใช้แล้ว ให้เปลี่ยนเป็นผู้มีรายได้น้อย เปลี่ยนแปลงแต่เรื่องที่ไม่เจ็บไม่คัน ช่วยโพสต์ถามให้ที บอกว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนถามมา

ใครถอดบันทึกเสียงช่วยเน้นตรงนี้ออกมาเด่น ๆ ใส่ตัวใหญ่ ๆ เลย อยากรู้จริง ๆ ว่าเป็นถึงขนาดนั้นแล้วทำไมถึงไม่รู้หน้าที่ตัวเอง ? คนที่เขาประกาศตัวชัดเจนว่าเขาสนับสนุนหรือคัดค้านก็ปกติ แต่พวกงดออกเสียงนี่อาตมาขอเรียกว่า "อีแอบ" เป็นพวกที่ แอบแฝงหาผลประโยชน์ทางการเมืองทุกอย่าง พอถึงเวลาต้องรับผิดชอบกลับหลบบังเสาไว้ก่อน ทุเรศจริง ๆ เลย..!

อาตมาเจอกับเสธ.นิด (พลตรีศรชัย มนตริวัต) ตั้งแต่ตอนที่ทหารยึดอำนาจใหม่ ๆ แล้วบอกว่าตามโรดแมปแล้วจะมีการเลือกตั้งปลายปี ๕๘ หรือต้นปี ๕๙ เสธ.นิดท่านบอกว่า “๖๐ ได้เลือกก็ดีแล้วครับ” นั่นแสดงว่าผีย่อมเห็นผีด้วยกัน บุคคลที่ขึ้นไปอยู่บนอำนาจแล้วยอมสละอำนาจนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก"

เถรี 15-09-2015 19:12

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : เข้าสมาบัติ ๘ ได้ไหม ? ถ้าหากว่าเข้าได้ก็พอช่วยได้ ถ้าเข้าสมาบัติ ๘ หรือว่าฌาน ๔ ได้ ก็ใช้คาถาหัวใจราชสีห์หรือว่าตวาดป่าหิมพานต์

เถรี 15-09-2015 20:40

ถาม : การบูชาพระพุทธรูปรวมถึงเทพเทวดาต่าง ๆ ควรจะทำอย่างไรให้ท่านโมทนาด้วย ?
ตอบ : ปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา อะไรก็ได้ จะสวดมนต์หรือภาวนาก็ได้ แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้น

ถาม : แล้วอย่างองค์เทพเทวดาควรหันหน้าไปทิศไหนคะ ?
ตอบ : ทิศเหนือหรือตะวันออกก็ได้ หันตามพระ เพียงแต่ให้อยู่ต่ำกว่าพระหน่อยหนึ่ง

เถรี 15-09-2015 21:34

ถาม : ในระหว่างผมอาราธนาจะหลับตลอด ?
ตอบ : สมาธิเริ่มทรงตัวแต่สติตามไม่ทัน เปลี่ยนจากนั่งอาราธนาเป็นเดินอาราธนาแทน แต่ระวังนะ..เดินก็หลับได้ สมาธิเริ่มทรงตัวเพียงว่าหยาบไปหน่อยหนึ่ง สติตามไม่ทัน ต้องบอกว่าถ้าอาราธนาตอนนั้นจะได้ผลมาก

เถรี 15-09-2015 21:41

ถาม : การสร้างความดีเพื่อเข้าพระนิพพานไปตามลำดับ คือ ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องทำในระดับไหนจึงจะพอ อย่างเรื่องของทาน มีตัวอย่างสมัยพุทธกาล พระภิกษุบางรูปที่บรรลุอรหัตผล แต่ไม่สามารถจะรับบิณฑบาตอาหารได้ แสดงว่าท่านไม่ได้สร้างทานไว้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : นั่นคุณสรุปเอง ต่อให้ทำมายิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ถ้าหากว่าแรงกรรมมีอยู่ กรรมก็จะขวางไว้ก่อน ท่านเคยสร้างความดีมาขนาดไหนก็ตาม แต่กรรมที่ท่านทำกับพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นหนักกว่า กรรมดีในส่วนของทานจึงให้ผลไม่ได้ ท่านก็ต้องอยู่ในลักษณะของนรกบนดิน ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ ๒๐ ปีไม่เคยได้กินข้าวเกิน ๗ เม็ดต่อมื้อเลย เพราะฉะนั้น..อย่าเพิ่งไปสรุปอย่างนั้น ความดีส่วนความดี ความชั่วส่วนความชั่ว ในเมื่อความชั่วหนักกว่าก็ย่อมให้ผลก่อน แต่ว่าความดีที่ท่านได้ปฏิบัติมาก็สามารถทำให้เข้าถึงอรหัตผลได้เช่นกัน

ถ้าถามว่าทานต้องทำในระดับไหนถึงจะพอ ? ก็ต้องเป็นระดับปรมัตถบารมี คือสามารถสละได้ทุกที่ สละได้ทุกเวลา สละได้แม้แต่ชีวิต ในเรื่องของศีลก็คือตัวตายดีกว่าศีลขาด ในเรื่องของการภาวนาอย่างน้อยต้องทรงฌาน ๔ หรือถ้าได้สมาบัติ ๘ ก็ยิ่งดี

เถรี 15-09-2015 21:43

ถาม : บุคคลที่ไม่เคยได้ฌาน ๔ ในอดีตชาติก่อนมาเลย ในชาตินี้จะไม่มีโอกาสบรรลุอรหันต์เลยไหมครับ ?
ตอบ : คุณก็ทำให้ได้ในชาตินี้สิ ...(หัวเราะ)... ถ้าเป็นคนที่เริ่มเจริญสมาธิภาวนาในชาติแรก โอกาสที่จะเข้าถึงฌานสมาบัติแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ต้องผ่านการสั่งสมมาชาติแล้วชาติเล่า ชาตินี้ของเราจึงไม่ใช่ชาติแรกที่ทำก็ได้

เรื่องของสมาธิไม่ใช่จะเกิดจากการนั่งฝึกอย่างเดียว การพิจารณาธรรมก็เกิดสมาธิได้ การระมัดระวังไม่ให้ศีลบกพร่องก็เกิดสมาธิได้ การให้ทานบ่อย ๆ จนจิตใจจดจ่อแน่วแน่ก็เป็นสมาธิได้

เถรี 15-09-2015 21:44

ถาม : การฟังธรรมในเรื่องต่าง ๆ เพื่อประดับความรู้ หากไม่ได้เกี่ยวกับศีล สมาธิ ปัญญาจะทำให้บรรลุธรรมได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่เรื่องของศีล สมาธิ ปัญญา โอกาสบรรลุธรรมก็ยาก แต่ก็เป็นพื้นฐานสร้างสมาธิให้เกิดได้เพราะตั้งใจฟัง

เถรี 15-09-2015 21:56

ถาม : ข้อที่ว่าไม่ยอมให้ศีลขาดจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ความรู้สึกตรงนี้จะเกิดขึ้นได้จะต้องมีอะไรเป็นนิมิต จึงได้มั่นอกมั่นใจขนาดนั้น ?
ตอบ : เห็นประโยชน์ในตรงจุดนั้นแล้วว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมานั้นมีคุณจริง ลักษณะเดียวกับพระที่ท่านออกธุดงค์ พอถึงเวลาก็เหลือแต่ศีล สมาธิ ปัญญาเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับภัยอันตรายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็อ้างคุณของทาน ของศีล ของภาวนาแล้วหลุดรอดมาได้ ก็จะเกิดความมั่นใจขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อความมั่นใจของเราไปถึงระดับที่ไม่คลอนแคลนเมื่อไร ก็เป็นอันว่าตีก็ไม่ไปไล่ก็ไม่หนี อย่างไรชีวิตนี้ก็มอบกายถวายชีวิตให้แก่พระรัตนตรัยแล้ว ก็แปลว่าถ้าลักษณะอย่างนั้นไปบอกให้เขาละเมิดศีล เป็นตายก็ไม่ยอมละเมิด

ถาม : ช่วงเวลาที่ไม่มีพระศาสนาเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นไปได้ยากนะครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่เป็นไปได้ยาก เป็นไปไม่ได้เลย เพราะช่วงโลกว่างจากพระศาสนา ส่วนใหญ่เป็นช่วงที่ผู้คนไม่มีศีลไม่มีธรรม แม้กระทั่งคิดจะให้ทานอย่างอังกุรเทพบุตร ตั้งโรงทาน ๘๐ โรง ให้ทานอยู่สองหมื่นปี ให้ทานทั้งกลางวันกลางคืน ปรากฏว่ามีผลน้อยกว่าอินทกเทพบุตรที่ใส่บาตรครั้งเดียว เพราะว่าโลกยุคนั้นหาคนที่มีศีลมีธรรมไม่ได้เลย

เถรี 15-09-2015 21:57

ถาม : ช่วงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว สามารถสั่งสอนคนให้เข้าถึงธรรมเป็นจำนวนมาก แสดงว่าก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้น บุคคลเหล่านั้นต้องมีพื้นฐานอยู่แล้ว ?
ตอบ : ในสมัยก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสรู้ขึ้นมา ส่วนใหญ่แล้วคนจะมีพื้นฐานของสมาธิมาก แต่จะมีพื้นฐานแค่ศีล สมาธิ ในส่วนของปัญญายังเข้าไม่ถึงที่สุด ก็จะเปะปะคาดเดาไปว่าโน่นเป็นของดีนี่เป็นของดี จนกระทั่งพระองค์ท่านตรัสรู้ขึ้นมา เอาหลักธรรมที่แท้จริงมานำเสนอได้ เขาถึงได้รู้ว่าของที่ดีจริง ๆ เป็นอย่างไร

เถรี 16-09-2015 11:42

ถาม : เรื่องสัมมาสมาธิครับ ถ้าสัมมาสมาธิมีคุณเท่าไร มิจฉาสมาธิก็มีโทษเท่านั้น ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นมิจฉาสมาธิกับสัมมาสมาธิในกำลังที่เท่ากัน ก็สำคัญอยู่ที่ว่าเราไปทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์หรือสิ่งที่เป็นโทษ เราจะไปฟันธงว่ามีคุณเท่าไรก็มีโทษเท่านั้นก็ไม่แน่ว่าจะใช่ ขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นเขาเอาไปทำอะไร

ถ้าตั้งหน้าตั้งตาคิดแต่ในสิ่งที่เป็นรัก โลภ โกรธ หลง ก็ยังเป็นแค่มโนกรรมเท่านั้น แต่ว่าสมาธิเกิดแล้ว สำคัญตรงที่ว่าสิ่งที่เขาทำนั้น เขาทำเกินกว่านั้นหรือเปล่า ? ถ้าทำเกินกว่านั้นไป โทษก็จะมากขึ้นไปตามสิ่งที่ตนเองกระทำ


ถาม : คนที่เขาใช้มิจฉาสมาธิแล้วกลับใจได้ มาใช้สัมมาสมาธิ จะมีโอกาสเข้าสมาธิได้ง่ายกว่าคนทั่วไปที่ไม่เคยฝึกไหมครับ ?
ตอบ : ง่ายกว่าเยอะ แต่มีน้อยคนที่จะเปลี่ยนแปลงได้

เถรี 16-09-2015 11:48

ถาม : ถ้าผมจะเรียงลำดับกุศลธรรม จากทาน ศีล ภาวนา แล้วสัมมาทิฐินี่ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ต้องสัมมาทิฐิก่อน ถ้าคุณไม่เห็นถูกต้อง คุณก็ไม่คิดที่จะทำทาน ไม่มีความเห็นที่ถูกต้องก็ไม่คิดที่จะรักษาศีล ไม่มีความเห็นที่ถูกต้องก็ไม่คิดที่จะภาวนา

ถาม : แล้วสัมมาทิฐิกับปัญญาต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ตัวเดียวกัน สัมมาทิฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง สัมมาสังกัปปะ การดำริที่ถูกต้อง เป็นปัญญา
สัมมาวาจา การพูดที่ถูกต้อง สัมมากัมมันตะ การกระทำที่ถูกต้อง สัมมาอาชีวะ การเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง เป็นศีล
สัมมาวายามะ ความเพียรที่ถูกต้อง สัมมาสติ การตั้งสติไว้ถูกต้อง และสัมมาสมาธิ สมาธิที่ดำเนินไปถูกต้อง จัดเป็นส่วนของสมาธิ
ฉะนั้น...ทุกอย่างปัญญาต้องขึ้นก่อน เพราะถ้าไม่เห็นประโยชน์เราก็ไม่ทำ


ถาม : สัมมาทิฐิเป็นกิ่งหนึ่งของปัญญาใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าเป็นปัญญาอะไร เพราะปัญญาก็มีหลายระดับ มีตั้งแต่สุตมยปัญญา ได้ยินได้ฟังมาเกิดความเข้าใจ จินตามยปัญญา คิดแล้วเกิดความเข้าใจ ภาวนามยปัญญา ลงมือภาวนาแล้วรู้แจ้งเห็นจริง จะลึกลงไปตามลำดับ ฉะนั้น..ในส่วนของสัมมาทิฐิต้องบอกว่าเป็นเบื้องต้นของปัญญาและเป็นพื้นฐานของปัญญาทั้งปวง เพราะจะชักนำเราไปสู่ทางที่ถูกต้อง เหมือนกับก้าวแรก ถ้าก้าวผิดก็หลงทางไปเลย

แม้สัมมาทิฐิจะเป็นเบื้องต้นของปัญญา แต่เป็นพื้นฐานที่ใหญ่มาก เพราะว่าเป็นแนวทางที่เราจะก้าวได้ถูกต้องหรือเปล่า

เถรี 16-09-2015 12:07

ถาม : พระยามาราธิราชท่านก็เป็นมิจฉาทิฐิ เพราะท่านมาขัดขวางการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ แต่ท่านจะได้บรรลุธรรมในอนาคตโดยไม่ยากใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถามว่าไม่ยากหรือ ก็ยากนะ...แต่ยากในระดับของท่าน ไม่ใช่ยากในระดับของเรา ถ้าระดับของเราก็ต้องบอกว่าโคตรยากเลย..!

ถาม : แล้วพรหมต่าง ๆ ?
ตอบ : ดูอย่างอดีตท้าวพกพรหมเป็นตัวอย่าง ไปอ่านประวัติของสนังกุมารพรหม ท่านขึ้นไปชวนเพื่อนพรหมด้วยกันมาฟังเทศน์ของพระพุทธเจ้า เพื่อนพรหมบอกว่าเรายิ่งใหญ่ มีฤทธิ์ขนาดนี้แล้วยังต้องไปฟังใคร ว่าแล้วก็เนรมิตร่างกาย ๔ พักตร์ ๘ กร ใหญ่โตมหึมาให้ดู สนังกุมารพรหมต้องแสดงฤทธิ์ให้ยิ่งกว่า แล้วบอกว่าฤทธิ์เรามากกว่าท่านขนาดนี้เรายังต้องไปฟังธรรมเลย แสดงว่าส่วนใหญ่แล้วท่านเป็นมิจฉาทิฐิ

เถรี 16-09-2015 12:30

ถาม : เรื่องการสร้างบารมีในพระพุทธศาสนามี ๓ ระดับ ต้นบารมีต้น อุปบารมี ปรมัตถบารมี
ตอบ : ศาสนาไหนก็เหมือนกัน ไม่ใช่ของพระพุทธศาสนาเท่านั้น

ถาม : บุคคลที่เคยทำกำลังบารมีได้สูงแล้ว อย่างปรมัตถบารมี ถ้าเขาเกิดกำลังใจอ่อน มีโอกาสที่เขาจะตกไปอยู่อุปบารมีหรือบารมีต้นอีกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี...มีแต่ขึ้นหน้าอย่างเดียว ยกเว้นพวกห่วยแตกไม่เอาไหนที่จะเกิดความรู้สึกอย่างนั้น การสร้างบารมีเหมือนกับการเรียนหนังสือ สอบผ่านแล้วจะไม่ตกอีก

เถรี 16-09-2015 13:51

ถาม : มีเรื่องไม่สบายใจ อกหักค่ะ ?
ตอบ : อกหัก ? ก็เลิกหักเท่านั้นเอง ต้องบอกว่าผู้หญิงเราเสียท่า ผู้หญิงเราถึงเวลารักใครก็ทุ่มเทให้เขา แต่ผู้ชายไม่ใช่ ผู้ชายในฐานะสัตว์โลกตัวผู้ มีหน้าที่กระจายพันธุ์ ดังนั้น..เขาไม่จำเป็นต้องรัก แต่ผู้หญิงเราต้องรัก ก็เลยเสียท่าเขามาตลอด ตัดใจเสียเถอะ อย่างที่โบราณเขาบอกว่า "แผ่นดินไม่สิ้นไร้เท่าใบพุทรา" หาใหม่ไม่ได้ก็อยู่คนเดียว

ถาม : ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร ?
ตอบ : ทำตัวตามปกติ หน้าที่การงานอะไรของเรามีก็ทำไป โดยเฉพาะถ้ายังมีพ่อมีแม่อยู่ ดูแลพ่อแม่ให้ดี พ่อแม่เลี้ยงเรามาหลายสิบปี ขณะที่ไอ้บ้าคนหนึ่งมาได้พักเดียว แล้วเราไปเสียอกเสียใจอยู่กับเขา โดยที่ลืมทำหน้าที่กับพ่อกับแม่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล ฉะนั้น..ให้ทำอะไรของเราไปตามปกติ

เจอหน้าเขาก็ยิ้มทักทายเขาตามปกติ เห็นเป็นเพื่อนร่วมโลกคนหนึ่ง


ถาม : ควรจะทำอย่างไรจึงจะปฏิบัติได้ถูกต้อง ?
ตอบ : ถ้าภาวนาได้จะลืมเรื่องพวกนี้ได้เร็ว เพราะกำลังของเราสูง จะตัดออกจากใจได้ง่าย แต่ถ้าสมาธิภาวนาไม่มีก็ติดแหง็กอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครลืมเรื่องอย่างนี้ลงได้ แต่ไม่จำเป็นต้องไปนึกถึงอยู่ตลอดเวลา ถ้ามีโอกาสก็ทำสมาธิเพิ่มขึ้น จะได้มีกำลังในการตัดละเรื่องพวกนี้ได้ง่ายขึ้น

ถาม : มีอะไรอีกที่ควรจะทำเพิ่ม ?
ตอบ : อย่าเชื่อคนง่ายก็พอแล้ว เขาว่าอะไรก็เชื่อเขาหมด เดี๋ยวก็เป็นอย่างนี้อีก ต่อไปใครว่าอะไรกูไม่เชื่อ...จบ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:18


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว