กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2173)

เถรี 19-10-2010 13:08

ถาม : เวลาที่เรานั่งสมาธิได้ดี ๆ มีโอกาสไหมครับที่เจ้ากรรมนายเวรจะไม่มาริดรอนเรา ?
ตอบ : มีเหมือนกัน หมายความว่า ช่วงนั้นกุศลที่เราเคยสร้างมาต้องต่อเนื่องไม่ขาดสาย ถ้ากุศลขาดช่วงเมื่อไร ดีแค่ไหนเขาก็แทรกเข้ามาได้ อย่างพวกเราก็ไม่ค่อยจะต่อเนื่องหรอก ส่วนใหญ่ขาด ๆ เกิน ๆ

อาตมาจึงได้บ่นกับพระที่วัดว่า เกิดใหม่ผมจะเลิกทำบุญเลย ถามว่าทำไม ? โยมเขาให้อะไรมาเยอะจนน่ารำคาญ บางวันเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร ๗-๘ ราย ไม่รู้จะฉันลงไปอย่างไร

ที่แสบที่สุดก็คือ เวลาให้เงินแล้วเณรวิ่งไปซื้อขนมกิน ทั้ง ๆ ที่ขนมมีจนท่วมวัด แต่กลับไปซื้อขนมในตลาด ขนมที่เขาถวายเต็มไปหมดเณรไม่กินหรอก เพราะไม่ตรงกับกิเลสของเขา

ที่อาตมาบอกว่าเกิดใหม่จะเลิกทำบุญ ก็คงเป็นแค่คำพูดเท่านั้นแหละ ถึงเวลาจริง ๆ คงทำไม่ได้หรอก เพราะทำจนเป็นสันดานไปแล้ว เป็นความเคยชินที่สืบเนื่องมานับชาติไม่ถ้วน ถึงเวลาก็ยังคงเป็นไปตามสภาพนั้น

เถรี 19-10-2010 13:19

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ตอนช่วงนั้นอาตมาธุดงค์อยู่ในป่า ที่เกาะพระฤๅษีมีเณรไปอบรม ๘๗ รูป เขาไม่รู้จะติดต่อกับอาตมาอย่างไร เพราะตอนนั้นอาตมาอยู่ในห้วยขาแข้ง เขาเลยใช้วิธีจุดธูปเรียก..!

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา อาตมาประกาศเลยว่า "ใครจุดธูปเรียกกู มันจะต้องเป็นคนไปหาเอง..!" ลองดูได้ อยู่สุดเหนือสุดใต้ยิ่งดี แน่จริงจุดเลย จุดเมื่อไร มึงต้องเดินมาหาตูในป่าเอง..!"


ถาม : เขาจุดธูป แล้วท่านได้ยินได้อย่างไร ?
ตอบ : ไม่ได้ยิน น่าจะได้กลิ่นมากกว่า (หัวเราะ) คนที่จุดธูปเรียก ชื่ออาจารย์เบ็ญจา มีลูกสาวชื่อเบญจพร ที่ใคร ๆ เขาเรียกว่า ป้าเม้าท์

เถรี 19-10-2010 13:25

เวลาอาตมาธุดงค์อยู่ในป่าจะมีความสุขมาก จึงสงสัยว่าเกิดจากอะไร ? ประการแรก เป็นเพราะความรู้สึกที่เป็นอิสระหลุดพ้นจากภาระ แค่ภาระทางโลกบางส่วนที่เรารับผิดชอบอยู่ พอเราปล่อยวางลงแค่ชั่วคราว เรายังมีความสุขขนาดนั้น แล้วภาระใหญ่คือร่างกาย ถ้าเราวางลงได้จะมีความสุขขนาดไหน ?

ประการที่สอง บรรดาสัตว์ที่อยู่ในป่า เขาคิดอย่างไรเขาก็ทำเช่นนั้น ไม่หน้าไหว้หลังหลอกเหมือนกับคน

เวลาพระท่านเลี้ยงหมา เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ ที่เกาะพระฤๅษี อาตมาถามท่านว่า "คุณเคยสังเกตบ้างไหมว่า เวลาคุณให้การสงเคราะห์สัตว์ด้วยเมตตา ทำไมจิตใจจึงสบายกว่าการที่คุณสงเคราะห์คน ?"

ได้บอกกับพระท่านไปว่า "การสงเคราะห์สัตว์ คุณรู้อยู่ว่าเขาตอบแทนอะไรคุณไม่ได้ คุณก็เลยให้การสงเคราะห์โดยไม่มุ่งหวังการตอบแทนใด ๆ แต่การสงเคราะห์คน ความรู้สึกที่ว่าคนรู้ภาษา ต่อให้เขาไม่ตอบแทนอะไร อย่างน้อย ๆ ก็ให้เขาชมเราว่าดีสักนิดก็ยังดี เลยเป็นการสงเคราะห์ที่คับแคบกว่า ไม่เป็นอัปปมัญญา เพราะว่ายังหวังผลตอบแทนอยู่โดยไม่รู้ตัว"

ดังนั้น..จึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมการสงเคราะห์สัตว์จึงสบายใจกว่าการสงเคราะห์คน

ตอนอยู่ในป่ากับพวกสัตว์ก็เช่นกัน พวกเขาตรงไปตรงมา คิดจะไล่ฟัดเราก็ไล่เลย ไม่มีประเภทแอบแทงข้างหลัง สบายใจกว่ากันเยอะ

เถรี 19-10-2010 14:28

ในป่าลึก ๆ พวกสัตว์ไม่ค่อยเจอคน เขาก็เลยไม่กลัวคน บางทีไปเจอกวางเขาก็ยืนมองเฉย เขาแค่ทำหูผึ่งและยกหางตั้งขึ้นเท่านั้น ถ้ากวางยกหางแสดงสัญลักษณ์ให้รู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน เป็นภาษากายของเขา แต่ถ้าสัตว์ที่อยู่รอบนอก ที่เคยโดนคนล่ามา จะเป็นอะไรที่น่าสงสารมาก

บางทีเราเดินคนเดียวเงียบ ๆ พวกสัตว์เขาไม่รู้ตัวก็มี ที่บึงลับแล มีลิงอยู่ฝูงหนึ่งประมาณ ๓๐ ตัว เล่นกันโครมครามเกรียวกราว และจะมีลิงที่เป็นยามอยู่ตัวหนึ่งอยู่บนก้อนหิน คอยดูว่ามีอันตรายหรือไม่ ถ้ายามตัวนี้ไม่ร้อง ทั้งกลุ่มก็จะไม่หนี

แต่ว่ายามตัวนี้ดันตาถั่ว เราเดินไปจนติดหลังแล้วยังหาหมัดหาเห็บง่วนอยู่เลย แต่ก็ขำตรงที่พอเขาหันมาเห็นเรา เขาตกใจขี้เยี่ยวราด ร้องจ๊ากขึ้นมา พรึ่บเดียวเท่านั้นเอง หายเงียบไม่เหลือลิงสักตัว

จึงไม่แปลกใจว่าต่อให้มียามอยู่ ทำไมเสือยังเอาลิงไปกินได้ เพราะบางขณะเขาก็เซ่อเหมือนกัน ขนาดว่าเราเดินไปติดหลังแล้วยังไม่รู้ตัวเลย

เถรี 19-10-2010 14:48

แต่ลิงที่บึงก็น่าสงสาร พอถึงเวลาหน้าหนาวก็หนาวจริง ๆ อาตมาไปอยู่ที่นั่นแล้วก่อไฟ ลิงจะปีนไปตามโขดหินมาขอไออุ่นด้วย พอเขาโดนควันไฟก็ไอค่อกแค่กเหมือนคนไม่มีผิด แต่ถ้าจะเข้าห้องน้ำห้องส้วมต้องเอาย่ามไปด้วย ทิ้งอะไรเอาไว้ลิงค้นกระจายหมด

ตอนที่อยู่ที่นั่น อาตมาเลี้ยงกระแตไว้ ๔ - ๕ ตัว กระรอกกับกระแตนั้นต่างกัน กระรอกหางจะฟู ส่วนกระแตหางจะยาวเรียว พอเวลามีอาหารเหลือเราก็วาง ๆ เรียงไว้ กระแตก็จะวิ่งมาคาบไป แรก ๆ คาบได้เขาก็เผ่น พอนานไป ๆ เห็นว่าเราไม่ทำอะไร เขาก็นั่งกินอยู่ตรงนั้นเลย พวกกระรอกกระแตเวลาจะกินเขาใช้สองมือจับ แล้วก็นั่งแทะ ๆ ดูแล้วน่ารัก เหมือนคนไม่มีผิด

นอกจากนี้ยังมีนก เรียกว่านกเอี้ยงถ้ำ ตัวจะลายจุด ๆ ด้วย เรานั่งกรรมฐานเขาก็คิดว่าเป็นตอไม้ มาหากินอยู่ใกล้ ๆ กระโดดซ้ายกระโดดขวาไปเรื่อย พอเลิกกรรมฐานเราลืมตา เขาก็เอียงคอมอง บางทีก็ร้องเหมือนจะถามว่า "เอ็งไม่คิดจะไปหากินอะไรบ้างเลยหรือ นั่งอยู่ได้" ในสายตาของนก เราเลยกลายเป็นขี้เกียจไปเลย ไม่ยอมทำมาหากินสักที


ในบรรดาสัตว์ต่าง ๆ จะบอกว่าปัญญาเขาน้อยก็ใช่ แต่ความกังวลของเขาก็น้อยกว่าเราไปด้วย เขาไม่ห่วงว่ามื้อต่อไปจะมีกินหรือไม่ คิดแค่ปัจจุบันตอนนั้นจริง ๆ มีก็คือกิน ไม่มีก็หาต่อไป หมดวันหาไม่ได้ก็อดเอา พรุ่งนี้ค่อยหาใหม่ แต่คนเราจะต้องห่วง ต้องสะสม ต้องเตรียมการ ความทุกข์ของเราจึงมีมากกว่าสัตว์เยอะเลย

เถรี 19-10-2010 16:49

เวลาอยู่ในป่า ถ้าสภาพจิตไม่ได้รับการฝึกมาดี จะเกิดอาการหลอกตัวเอง บางคนกางกลดอยู่ ช่วงเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง น้ำค้างเริ่มลง หยด..แปะ..แปะ ยิ่งเวลาน้ำค้างตกใส่ใบไม้ใหญ่ ๆ ที่อยู่บนพื้น เสียงก็ยิ่งดัง เหมือนกับใครมากระโดดดึ๋ง ๆ เราก็จินตนาการว่าเป็นผีกองกอยขาเดียวกำลังกระโดดอยู่ เลยกลัวขวัญหนีดีฝ่ออยู่คนเดียว

บางทีลมภูเขาพัดมา เสียงผ้าสะบัดดัง "ปั๊บ ๆ ๆ" เหมือนกับเสียงคนเดิน นอกจากนี้มีต้นไม้บางประเภท เรียกไม่ถูกว่าต้นอะไร ก้านใบใหญ่มาก เวลาใบแก่ร่วงลงมา จะหมุนควงเอาก้านลงกระแทกพื้นเสียงดัง "ตึ้ก...ตึ้ก..ตึ้ก" ความรู้สึกของเราก็คิดไปว่า สงสัยผีกระโดดลงจากต้นไม้มา เดี๋ยวจะต้องย่องมาหาเราแน่เลย นอนเหงื่อแตกพลั่ก..!

เรื่องพวกนี้เราต้องศึกษาให้ชินเข้าไว้ ถ้าเรารู้เท่าทันก็จะไม่กลัว เพราะในส่วนที่กลัวก็คือกลัวตาย จัดเป็นอวิชชา คือ ความไม่รู้ ความไม่รู้เหมือนกับความมืด ถ้าหากว่าความมืดมีอยู่ ก็จะปิดบังเราไม่ให้เห็นความจริง

พอเราคิดว่าทำไมผีกระโดดบ่อยจัง จึงเปิดกลดออกไปส่องไฟดู ทีนี้เห็นชัดเลยว่าใบไม้กำลังหมุนควงตกลงมาบนพื้น แสงสว่างที่เราส่องออกไปพบต้นตอของปัญหา ก็เหมือนปัญญาของเรา

เมื่อปัญญามาถึง อวิชชาหรือความไม่รู้ที่เป็นความมืดก็ถอยไป คราวนี้จะมากี่ "ตึ้ก" ก็เฉย เพราะรู้แล้วว่าเป็นใบไม้ ไม่ใช่ผีอย่างที่เราคิดกลัวไปเอง

เถรี 19-10-2010 16:54

แต่สัตว์บางประเภทก็น่ากลัวสำหรับพวกเรา อย่างพวกงูจงอาง บางทีอาตมานอนอยู่ ได้ยินเสียงเลื้อยมาชัดเจนมาก จึงส่องไฟไปกระทบตา ตางูก็แปลก..จะสีเขียวก็ไม่ใช่ จะสีแดงก็ไม่ใช่

อาตมาต้องเขย่าไฟฉายให้รู้ว่ามีคนอยู่ทางนี้ ให้เขาเบนหัวไปทางอื่น ถ้าส่องไฟนิ่ง ๆ เดี๋ยวงูจะมาถึงตัว

ตอนอยู่ที่บึงลับแล บางทีฝนตก พวกสัตว์ที่ออกหากินเปียกฝน ก็วิ่งมาทางเรา เราส่องไฟเข้าไปเห็นตาเขียว ๆ ฟ้า ๆ สว่างโร่เลย วิ่งรี่เข้ามา พอกระทบแสงไฟเขาหยุดทันที เห็นแต่ตาเพราะตัวดำปี๋เลย

ปรากฏว่าเป็นเลียงผา จะวิ่งมาหลบฝนในเวิ้งที่เราอยู่ แต่กลายเป็นว่ามีพระอยู่แทนเสียแล้ว ตกลงว่าวันนั้นเขาต้องตากฝนต่อไป สัตว์ทุกชนิดจะกลัวคนโดยธรรมชาติ

อาตมาเคยเดินแล้วฝนตก จึงรีบวิ่งเข้าหาภูเขา เพราะเชื่อว่าจะต้องมีเวิ้งถ้ำหรือชะโงกผาบางส่วนไว้หลบฝนได้ พอเห็นชะโงกผาก็พรวดเข้าไป ไปอยู่กลางฝูงลิง ๓๐ - ๔๐ ตัว

พวกลิงตัวใหญ่ ๆ ประเภทนายทหารหรือจ่าฝูงก็ตะคอกใส่เรา จนหูอาตมาจะระเบิด หลังจากนั้นก็ล้อมส่งเสียงขู่ไว้ไม่ให้เรากระดิกตัว เราก็สงสัยว่าจะทำอะไรก็ไม่ทำ ส่งเสียงขู่อยู่ได้

พอเหลือบตาดู ที่ไหนได้ เห็นลิงตัวใหญ่ ๒ - ๓ ตัว ช่วยกันต้อนตัวเมียกับลูกเล็ก ๆ ให้รีบไป เดินตามกันปีนลงหน้าผาไปเป็นทาง พอตัวสุดท้ายพ้นสายตาของเรา พวกตัวใหญ่ ๆ กระโดดทีเดียวหายวับไปเลย ถ้าเจอลักษณะอย่างนั้นเข้าให้ยืนนิ่งไว้ ถ้าขยับโดนกัดแน่..!

เถรี 19-10-2010 17:04

มีพระอยู่รูปหนึ่งไปอาศัยพักที่วัดท่าขนุน ท่านจะเดินทางเข้าทุ่งใหญ่ แล้วก็ลัดไปห้วยขาแข้ง

ท่านมีแผลเป็นใหญ่มากบนศีรษะ เพราะโดนหมีกัด จึงถามว่า "คุณรอดมาได้อย่างไร ?" ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านเองก็ไม่รู้ว่ามีหมีนอนอยู่หลังขอนไม้ ท่านปีนข้ามไปเหยียบเข้า หมีลุกขึ้นมาได้ก็รัดท่านเอาไว้ อ้าปากขบหัวเลย ท่านบอกว่า เสียงเขี้ยวทะลุกะโหลกศีรษะดัง "โป๊ะ" ได้ยินชัด ๆ เลย แล้วท่านก็หมดสติไป หมีคิดว่าท่านตายแล้วก็เลยวางทิ้ง

ท่านสลบไปหนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน ตื่นขึ้นมามดแดงเต็มไปหมด มดยกขบวนมากินเลือด เพราะเลือดนองพื้นไปหมด ท่านต้องเอาผ้าอาบพันหัวแล้วโซซัดโซเซออกมาหาหมอ รักษาตัวอยู่ตั้งหลายเดือนกว่าจะหาย

ท่านบอกว่า โชคดีที่เขี้ยวหมีฝังไม่ถึงเนื้อสมอง ส่วนที่โดนไม่ใช่ส่วนสำคัญ มิเช่นนั้นท่านอาจจะเป็นอัมพาต ออกไปไหนไม่ได้ ตายอยู่ตรงนั้นเลย..!

จุดที่อาตมานับถือน้ำใจท่าน คือ ท่านกำลังจะเข้าป่าไปใหม่ เป็นพวกเราจะกล้าไหม ? โดนเข้าไปขนาดนั้น แสดงว่าท่านเอาชนะความกลัวของตัวเองได้ ถ้าเอาชนะความกลัวไม่ได้ ไม่มีทางที่จะกล้าเข้าไปอีก

อย่าลืมว่าพระครูหน่อยของเรา ท่านไม่ได้โดนเสือกัดนะ แค่ไปจ๊ะเอ๋มองตากับเสือเท่านั้นเอง กลายเป็นว่าชวนเท่าไรก็ไม่เข้าป่าอีก ท่านไม่ได้โดนกัดเลยนะ แต่พระท่านนี้โดนกัด แล้วแผลดูน่ากลัวมากด้วย

ท่านสามารถเอาชนะความกลัวตาย ซึ่งเป็นเหตุของความกลัวทั้งหมดได้ กลับเข้าไปธุดงค์ใหม่ ต้องนับว่าเป็นสุดยอดกำลังใจ ลองเปรียบเทียบกับพวกเราดู แค่โดนพวกสัตว์ไล่ จะกล้ากลับเข้าไปอีกไหม ?

แต่พระก็เอาชีวิตไปทิ้งในป่าได้ทุกปี ยิ่งระยะหลัง พวกพรานยิงสัตว์เจ็บเอาไว้ เวลาสัตว์เจอคน เขาไม่ได้แยกหรอกว่าพระหรือพราน เขาเห็นว่าเป็นคนที่เคยทำร้ายเขาเท่านั้น จึงมักพุ่งเข้าใส่ก่อนเลย..!

เถรี 19-10-2010 17:08

ในเรื่องการเดินธุดงค์ หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกไว้ว่า การธุดงค์นั้นมี ๒ แบบด้วยกัน แบบที่ ๑ คือ เดินไปหาที่สงบซึ่งเหมาะแก่ใจตนเอง แล้วก็ปฏิบัติภาวนาอยู่ที่นั่น แบบที่ ๒ คือ เดินไปแล้วกำหนดภาวนาไปด้วย

แต่อาตมาถนัดแบบที่ ๒ เพราะฉะนั้น..วันหนึ่งก็เลยเดินประมาณ ๔๐ - ๕๐ กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย ระยะหลังจึงไม่ค่อยมีคนอยากไปด้วย เพราะท่านเหนื่อย เราเดินไปภาวนาไปก็สบาย ส่วนคนที่เดินแล้วกำหนดภาวนาไม่ได้ก็เหนื่อยลิ้นห้อยไปสิ..!

เถรี 19-10-2010 17:13

การธุดงค์มีแต่ความลำบาก แต่ความลำบากนั้นแล จะเสริมสมรรถนะให้แก่เรา ถ้าเราเคยลำบากขนาดนั้น ต่อไปเจอในส่วนที่ลำบากไม่ถึงอย่างคราวก่อน เราจะรู้สึกว่าสบาย

คนกรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นเด็กบ้านนอก แต่พออยู่กรุงเทพฯ ไปนาน ๆ ความสบายเริ่มเกาะ ทำให้เสื่อมสมรรถภาพไปเลย เดินไกลหน่อยก็หอบจนลิ้นห้อย

ตอนที่ท่านก้องจะออกธุดงค์ครั้งแรก อาตมาให้ท่านก้องซ้อมเดินอยู่ทุกวันเป็นเวลา ๑ อาทิตย์เต็ม ๆ ถ้าในสายตาคนอื่นคือ "มันบ้า..!"

วันแรกที่ให้ไปซ้อมเดิน ท่านก้องเดินไป ๑๖ กิโลเมตร ในเมื่อเดินไป ๑๖ กิโลเมตร ก็แปลว่าต้องเดินกลับอีก ๑๖ กิโลเมตร วันนั้นเท้าของท่านก้องพองหมด

อาตมาเห็นจึงบอกว่า "รุ่งขึ้นเอ็งคลานแน่ ทำไมทะลึ่งไปเดินอย่างนั้น" เขาถามว่ามีวิธีแก้ไหม ? อาตมาบอกว่า "มี..พรุ่งนี้ไปเดินให้เท่าเดิม อย่างน้อย ๆ ให้ได้ ๓ - ๔ วันติดกัน จะได้อยู่ตัว แต่ถ้าพรุ่งนี้คุณพัก คุณจะต้องนอนยาวไปอีก ๒ - ๓ วันเป็นอย่างน้อย ถึงจะลุกได้"

สรุปว่าเขาบ้าพอ รุ่งขึ้นเขาก็ไปเดินซ้ำมาอีก ๓๒ กิโลเมตร กลับมาถึง..พลาสเตอร์ยากล่องหนึ่ง ๑๐๐ แผ่นของอาตมาเกือบหมดกล่อง..!

หลังจากที่ซ้อมไป ๑ อาทิตย์ ก็ส่งท่านก้องไปบ้านกะเหรี่ยงตะเพินคี่ ให้ไปซ้อมกับท่านโมเช่อีก ๑๐ วัน แล้วอาตมาค่อยตามไปพาท่านเดินป่าทีหลัง ท่านก้องจึงได้เดินทัน ถ้าไม่ซ้อมไว้ก่อนแล้ว เริ่มเดินครั้งแรกเลย รับรองได้ว่าโดนทิ้งไกลลิบ..!

เถรี 19-10-2010 17:24

ถาม : ตอนท่านบวชอยู่วัดท่าซุงกับตอนที่ออกจากวัดท่าซุงแล้ว ตอนไหนเหนื่อยกว่ากันครับ ?
ตอบ : อยู่ที่วัดท่าซุงเหนื่อยกว่า เพราะตอนที่อาตมาออกมา ทางวัดต้องหาพระไปทำงานแทนอาตมาตั้ง ๕ รูป โปรดนึกเอาเองก็แล้วกันว่า อาตมาหมกงานไว้เยอะขนาดไหน ?

ถาม : แล้วตอนที่ท่านลาไปเฝ้าหลวงปู่มหาอำพันละคะ ?
ตอบ : เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า ทั้งตอนที่อาตมาเป็นฆราวาสและเป็นพระ เวลาคนอื่นลาเราสามารถทำหน้าที่แทนเขาได้ทุกตำแหน่ง แต่พอเวลาเราลาบ้าง เพื่อนกลับทำแทนเราไม่ได้สักที ทุกครั้งเมื่ออาตมากลับมา ต้องมานั่งทำงานที่ค้างอยู่อยู่ประมาณ ๓ วันเป็นอย่างน้อย

หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้แล้วว่า ใครก็ตาม...ถ้าคิดว่าขาดตนเองไปแล้วหน่วยงานจะอยู่ไม่ได้ ถ้าเป็นสมัยก่อนนี่ประหารหมด..! เพราะไม่มีใครสำคัญขนาดนั้น ขาดเราไปอย่างไรต้องมีคนแทนได้ ถึงแม้ว่าต้องใช้คนแทนมากหน่อย แต่อย่างไรก็ต้องแทนได้

เถรี 19-10-2010 17:26

ในวัดท่าซุง ส่วนใหญ่พระที่ไปบวชอยู่ก็หวังปฏิบัติ เมื่อเป็นดังนั้นเขาก็ไม่ค่อยจะทำงานกัน คือ ไม่ค่อยรับผิดชอบงานใดที่ผูกมัดตัวเองมาก

จากประสบการณ์ของอาตมา ไม่ว่าจะเป็นพระและฆราวาส ถ้าเขาเคยใช้งานคนไหน ถึงเวลาเขาก็ใช้คนนั้น ฉะนั้น..คนที่เคยรับงานก็รับเพิ่มไปเรื่อย คนที่ไม่รับก็ทำอยู่เท่าเดิม

ตอนที่ออกมาแล้วกลับไป หลวงพี่อนันต์ท่านบอกว่า ท่านต้องหาใครมาแทนอาตมาบ้าง เราได้ยินแล้วตกใจ พอเราไม่อยู่เขาหามาตั้ง ๕ คน

คนที่ ๑ อยู่เวรหน้าตึกหลวงพ่อ คนที่ ๒ ดูแลโรงครัว คนที่ ๓ ดูแลศาลาหลวงพ่อ ๔ องค์ คนที่ ๔ ดูแลเรื่องเลี้ยงปลา อาหารปลา คนที่ ๕ ดูแลเรื่องเวรยาม

ก่อนหน้านั้นเราทำคนเดียว แปลกใจอยู่ว่าเราแบ่งภาคไปทำงานทั้งหมดนั้นได้อย่างไร ?

เถรี 19-10-2010 17:30

สรุปว่า ตั้งแต่เราเริ่มคุยมาจนป่านนี้ ส่วนใหญ่แล้วกำลังใจของเราเกาะความดีเอาไว้ได้ แต่เรามักจะไม่รู้ตัวกัน มีน้อยคนที่ตั้งใจใช้การภาวนาไปเลย

ถ้าเรายังต้องอาศัยเวลาที่กำหนดไว้ แล้วค่อยมาปฏิบัติ จะไม่มีวันพอรับประทาน เพราะการปฏิบัติ เราต้องทำได้ทุกอิริยาบถ ทุกเวลา เพราะกิเลสไม่ได้เล่นงานเราเป็นเวลา แต่กิเลสเล่นงานเราตลอดเวลา ถ้าอยู่ในอิริยาบถอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การนั่งภาวนา แล้วเราไม่สามารถจะระงับกิเลสได้ แปลว่าเรายังห่างไกลความดีอยู่มาก

พวกเราตอนนี้ อาจจะสงสัยว่าทำไมนิวรณ์ ๕ หรือว่ารัก โลภ โกรธ หลง ทำไมกินใจเราไม่ได้ ? ทั้ง ๆ ที่นั่งฟังมาตั้งนาน เราต้องมานั่งวิจัยอารมณ์จิตตัวเองว่าเป็นเพราะอะไร ?

เพราะเราได้ยินได้ฟังแต่สิ่งที่ดี ไม่ก่อให้เกิดรัก โลภ โกรธ หลง หรือเปล่า ? เพราะกำลังใจของเราคิดตามไปในสิ่งที่ดีทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ไปข้องแวะในรัก โลภ โกรธ หลง หรือเปล่า ?

ถ้าสามารถที่จะแยกแยะได้ว่าเป็นอย่างไร ต่อไปเราก็ทำเองแบบนั้น ในเมื่อเราทำเองได้แบบนั้น ต่อไปผลดีก็จะเกิดแบบนั้น

เถรี 19-10-2010 17:34

เรื่องพวกนี้ พวกเราอ่อนมาก ขาดการวิเคราะห์วิจัยและแยกแยะสภาพจิตของตน ว่าสภาพจิตเราดีเพราะอะไร ? แล้วสภาพจิตไม่ดีเพราะอะไร ? ถ้าเราสามารถวิเคราะห์ได้ แยกแยะออก เราก็เว้นในสิ่งที่ไม่ดี แล้วก็เลือกทำแต่สิ่งที่ดี สภาพจิตก็จะเคยชินกับด้านดี

ดีกับชั่วก็เหมือนกับคนแย่งกันนั่งเก้าอี้ เก้าอี้มีอยู่ตัวเดียว ถ้าดีนั่งได้ ชั่วก็นั่งไม่ได้ เมื่อสภาพจิตรับความดีเข้ามา ความชั่วก็เข้าไม่ได้

ในส่วนนี้ ถ้าจัดอยู่ในโพชฌงค์ ๗ เขาเรียกว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ คือ องค์คุณเป็นเครื่องตรัสรู้โดยการแยกแยะในธรรม

ถ้าจัดอยู่ในมหาสติปัฏฐานสูตรก็เป็นส่วนของ เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม

เถรี 19-10-2010 17:37

ในเมื่อรู้ว่าเราบกพร่องตรงจุดไหน ? อ่อนตรงจุดไหน ? เราก็แก้ไขตรงจุดนั้น ถ้าเราเคยเล่นกีฬา เราจะรู้ว่าเรามีข้อบกพร่องตรงไหน

สมัยก่อนอาตมาเล่นกีฬาแทบทุกชนิด มีกีฬาบางชนิด เช่น ปิงปองหรือแบดมินตัน อาตมาไปเจอคู่ต่อสู้เก่ง ๆ ชนิดที่ถูกเขาโยกจนหัวทิ่มหัวตำ อาตมาก็ต้องหาทางแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง และท้ายสุดก็ฝึกการใช้สองมือ สามารถใช้มือซ้ายได้เกือบเท่ามือขวา

พอคู่ต่อสู้ตีลูกโยกมา คราวนี้ก็ไม่ต้องวิ่งมากแล้ว แค่ก้าวยาว ๆ ก้าวเดียวก็เปลี่ยนมือรับได้เลย เพราะฉะนั้น..ต้องรู้จักแก้ไขจุดบกพร่องตัวเอง ถ้าไม่รู้จักแก้ไข กี่ที ๆ มาท่านั้นก็ร่วงทุกที ถ้าอย่างนี้ ชาตินี้ปฏิบัติไปก็ไม่รู้จะเอาดีได้เมื่อไร

ลีลาของกิเลสจะมาแค่ รัก โลภ โกรธ หลง ๔ อย่าง แต่แตกแขนงแยกย่อยออกไปเป็นหัวข้อนับไม่ถ้วน ถึงแม้ว่าเป็นวิชารัก ก็แยกออกไปไม่รู้ว่ากี่แขนง วิชาโลภ วิชาโกรธ วิชาหลง ก็นัยเดียวกัน เมื่อเป็นดังนั้น เราก็จำเป็นที่จะต้องแก้ไขจุดบกพร่องของตัวเองให้ได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีวันเอาชนะเขาได้เลย..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:34


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว