กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2023)

เถรี 22-08-2010 09:18

ถาม : ผมเข้าใจว่าคนเป็นกระเทย เป็นเพราะผิดศีลข้อกาเมฯ
ตอบ : กระเทยไม่ใช่ผิดศีลข้อกาเมฯ กระเทยส่วนมากมาจากโทษของการตอนสัตว์ คนที่ผิดศีลข้อกาเมฯ มาก ๆ เขาให้เป็นเพศตรงข้ามไปเลย คือ เป็นผู้ชายก็ให้ไปเกิดเป็นผู้หญิง จะได้ช้ำใจเวลาที่สามีไปมีคนอื่นบ้าง

อันนั้นเป็นเศษกรรมของศีลข้อกาเมฯ เงินต้นเขาเก็บในนรกไปแล้ว ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแค่เศษกรรม เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น

เถรี 22-08-2010 09:20

ถาม : ผมจะแก้ไขอย่างไรดี เวลาขับรถภาวนาหรือนั่งลืมตาอยู่ตรงนี้ นึกถึงภาพพระแล้วจะเห็นภาพพระแจ่มใส แต่พอเวลาหลับตาเพื่อทำสมาธิจริง ๆ กลับเห็นภาพพระมัว ๆ ?
ตอบ : ถ้าเราถนัดอย่างไหนก็ให้ทำอย่างนั้น บางคนถนัดหลับตา บางคนถนัดลืมตา แค่ให้สังเกตว่าอารมณ์ใจตอนที่เราเห็นภาพพระชัดเจนแจ่มใส ความมุ่งมั่นที่เราเกาะภาพพระมีมากกว่า หรือรู้ว่าโอกาสที่จะตายมีสูง ก็เลยเกาะมากหน่อย

ฉะนั้น..เราก็เอากำลังใจระดับเดียวกันมาใช้ตอนนั่งสมาธิ ถ้าไม่สังเกตตรงนี้เดี๋ยวจะหาทางไปไม่เจอ แทนที่จะไปดูความชัดเจน ให้เรามาดูความมุ่งมั่นของเรา ว่าตอนนั้นเราใช้กำลังเท่าไร

เถรี 22-08-2010 09:31

ถาม : ศีล ๘ เขาให้รักษาถึงเวลาเที่ยงคืนหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่..เขาให้รักษาตั้งแต่เช้าวันนั้นจนถึงเช้าอีกวัน ก็แปลว่าวันหนึ่งและคืนหนึ่ง ภาษาบาลีท่านใช้ว่า อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง วันและคืนหนึ่ง คำว่าคืนหนึ่งเขาไม่ได้ตีความว่าหลังเที่ยงคืน เขาตีความว่าฟ้าสว่างเลย

ถาม : แล้วข้อวิกาลโภชนา เริ่มไม่กินตั้งแต่กี่โมง ?
ตอบ : ของพระเรานิยมหลังเที่ยง ทีนี้พระคุณหลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า บางคนมีความจำเป็น อย่างที่ทำงานเขาเลิกเที่ยงพอดี ถ้าเราไปกำหนดว่าหลังเที่ยงจะไม่กินอาหาร ก็เท่ากับว่าอดไปเลย

ท่านก็เลยกำหนดว่าไม่เกินบ่ายสอง และให้กินเป็นมื้อ อย่างเช้ามื้อหนึ่ง กลางวันมื้อหนึ่ง ไม่ใช่เราฟาดตั้งแต่เช้าตลอดยันบ่ายสอง ถ้าเป็นอย่างนี้ละก็..กินสามมื้อเป็นปกติจะดีกว่า

เถรี 22-08-2010 09:37

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ทำได้สองอย่าง ถ้าอยากไปก็กำหนดจิตไว้ก่อนว่าเราจะไปไหนแล้วก็ภาวนา ถึงเวลาก็จะไปตามที่เรากำหนด ถ้าไม่ต้องการไป ต้องการความนิ่ง ก็ดึงความรู้สึกทั้งหมดมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา

ถาม : ถ้าทำกรรมฐานตอนเวลาทำงานแล้วง่วง ป๊อกเดียวหัวร่วงลง
ตอบ : ยายบ๊อง..! เวลาทำงานก็เอากำลังใจสนใจกับงานสิ ใครให้ไปนั่งกรรมฐาน เดี๋ยวเขาก็ไล่ออกเท่านั้น

ถาม : มันฟุ้งก็เลยทำ
ตอบ : ทำมากเขาก็หาว่าเรานั่งหลับ ถ้าสมาธิลึกเข้าเดี๋ยวจะแย่ เพราะเวลาเข้าสมาธิลึกความรู้สึกเราว่าแวบเดียว แต่ข้างนอกผ่านไปแล้วเป็นชั่วโมง เดี๋ยวเจ้านายมายืนค้ำหัวตอนไหนก็ไม่รู้ เขาก็ไม่ได้ใส่ใจหรอกว่าเราทำสมาธิ เขาเหมาว่าเราหลับแน่ ๆ ก็มีหวังได้ไปหลับยาวที่บ้าน..!

เถรี 22-08-2010 10:56

ถาม : มีคนทักว่า พี่เขาจะฆ่าตัวตาย
ตอบ : ตัวเรารู้ดีที่สุด ถามพี่เขาว่าอยากฆ่าตัวตายหรือเปล่า ? ถ้าพี่เขาไม่อยาก ก็ไม่ต้องไปสนใจปากหมา ๆ ของใคร..!

ถาม : ฉะนั้นตอนนี้...(ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ต้องถามว่าคนทักนั้นรู้จริงแค่ไหน ? ถ้าหากเราไปเชื่อใครง่าย ๆ ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องเป็นตัวของตัวเอง เขาพูดอะไรก็คล้อยตามเขา ตัวเรารู้ดีที่สุด ว่าเราคิดจะฆ่าตัวตายหรือเปล่า ถ้าเราไม่คิด สิ่งที่เขาพูดก็สักแต่เป็นลมผ่านหูเฉย ๆ อยากจะพูดก็พูดไป

ถาม : เขาบอกว่าถ้าเคยฆ่าตัวตายแล้ว จะต้องฆ่าอีก ๕๐๐ ชาติ
ตอบ : นั่นเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เราแน่ ถึงเราเคยฆ่าตัวตายมา เราก็มั่นใจว่าเราฆ่ามา ๕๐๐ ชาติแล้ว ชาติที่ ๕๐๑ เราไม่ฆ่าแล้ว เราหมดกรรมแล้ว หรือถ้าจะฆ่าอีกก็ฆ่าไอ้คนทักนั่นแหละ..!

คิดอะไรให้เป็นแง่บวก จะได้เหนื่อยน้อยหน่อย คิดในแง่ลบ เดี๋ยวก็ต้องไปสะเดาะเคราะห์ มีอะไรที่จะต้องไปเสียเงินให้เขามาก ๆ มีแต่จะเคราะห์หนักขึ้น

เถรี 22-08-2010 13:46

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่จะไปรักษาศีลในวันทำบุญหลวงปู่สาย ถ้ายังไม่มีชุดขาวจะซื้อเสื้อสะพานบุญก็ได้นะ สีขาวเหมือนกัน อนุญาตให้ใช้ได้

ปีนี้เป็นปีแรกที่จัด เนื่องจากเห็นว่าการทำอะไรถวายครูบาอาจารย์ท่าน ควรจะได้บุญกุศลแก่พวกเราอย่างเต็มที่ด้วย ตั้งใจว่าให้พวกเราสมาทานศีลแปดกันตั้งแต่วันที่ ๑๒ หลังทำบุญวันที่ ๑๔ ก็ลาศีล รับประกาศนียบัตรการปฏิบัติธรรม จะออกประกาศนียบัตรเป็นครั้งแรก ในนามของศูนย์ปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด

ถ้ามีเวลาจะสอนกรรมฐานให้ด้วย ถ้าไม่มีเวลาก็ภาวนาเอาเอง จำกัดจำนวน น่าจะไม่เกิน ๓๐๐ คน ผู้ชายก็รับ ผู้หญิงก็รับ ผู้ฉิงก็รับ ถ้ากางเกงขาวไม่มี ผ้านุ่งขาวไม่มี ก็ใส่ลาย ๆ ไป"

เถรี 22-08-2010 16:32

ถาม : รังปลวกขึ้นบริเวณหน้าบ้านและรอบ ๆ บ้าน
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ถ้าเป็นบริเวณนั้นเราสามารถที่จะเอาออกได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าขึ้นตามข้างฝา ตามกำแพง

ถาม : อยู่ตรงหน้าบ้านเลยครับ
ตอบ : เอาออกเฉพาะที่เกะกะ อย่าให้ถึงขนาดหมด ถ้าหมดแล้วเขาจะไม่มีที่อยู่

เถรี 22-08-2010 16:35

พระอาจารย์กล่าวกับผู้หญิงคนหนึ่งว่า "กำลังใจของเรานั้นไหลลงไปอยู่กับฝ่ายไม่ดีง่ายเกินไป เพราะฉะนั้น..ในแต่ละวันให้พยายามอยู่กับฝ่ายดีให้มากกว่า ไม่อย่างนั้นจะถ้าไหลไปกับรัก โลภ โกรธ หลงเมื่อไร เราจะฟุ้งซ่านไปนาน"

เถรี 23-08-2010 13:07

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "จำไม่ได้ว่าอ่านหนังสือเล่มไหนเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนามหายาน มีคุณยายอยู่คนหนึ่ง เขาศรัทธาในพระพุทธศาสนามหายานมาก อาจารย์ก็สอนให้ภาวนาปรัชญาปารมิตาสูตรทุกวัน

คุณยายถามว่าต้องภาวนาสักกี่จบ ? อาจารย์บอกว่าสัก ๑๐๘ จบก็ได้ คุณยายถามต่อว่าจะภาวนานับอย่างไร ? อาจารย์ก็บอกว่าให้หาลูกประคำมานับ คุณยายนั้นมีฐานะยากจน ลูกประคำก็ไม่มี นึกได้ว่าในครัวมีถั่วลิสงอยู่ ก็เลยเอาถั่วลิสงมาใส่ถาดนับให้ได้ ๑๐๘ เม็ดโดยเอาถาดเปล่าวางไว้อีกข้างหนึ่ง พอว่าจบไปหนึ่งบทก็หยิบเมล็ดถั่วลิสงไปวางไว้ในถาดนั้น

ทำอย่างนี้ทุกวัน ๆ ปรากฏว่าวันหนึ่งอาจารย์ก็อยากรู้ว่ายายแกภาวนาจริงหรือเปล่า ก็เลยไปแอบดู จากแสงตะเกียงก็เห็นว่ายายภาวนาจบหนึ่ง ถั่วก็ลอยไปเองเม็ดหนึ่ง

ยายแกเจ๋งจริง ๆ ภาวนาจนได้อภิญญา ก็เลยสำคัญว่าทำจริงหรือเปล่า ? ถ้ายายคิดว่าอายุมากแล้วไปเกี่ยงว่าทำไม่ไหวหรอก ก็เป็นอันว่าไม่ต้องได้อะไร คราวนี้ยายเขาไม่เกี่ยง ถึงเวลาก็ทำ เครื่องมืออะไรไม่มีก็ดัดแปลงเอา ดัดแปลงได้ดีกว่าที่คิดด้วย จากตอนแรกที่ต้องใช้มือก็ไม่ต้องใช้แล้ว"

เถรี 23-08-2010 13:10

ถาม : การฝึกกสิณเขานึกอย่างไร จะให้ผมนึกเป็นวงกลม นึกเป็นน้ำ ก็นึกได้
ตอบ : กสิณมี ๑๐ อย่าง อยู่ที่ว่าเราชอบอย่างไหนก็เริ่มใช้สิ่งนั้นเป็นพื้นฐานในการฝึก อย่างเช่นว่า ถ้าชอบกสิณดินก็กำหนดดิน กสิณน้ำก็กำหนดน้ำ

ถ้าเราสามารถนึกได้ เราทำให้ภาพนั้นอยู่ได้ตลอดเวลาตามที่ต้องการ ก็ประคองรักษาภาพนั้นไปเรื่อย ๆ พร้อมกับการภาวนา จนเกิดการเปลี่ยนแปลงเองโดยธรรมชาติ


ถาม : แต่ถ้านึกเปลี่ยนแปลงเองก็ไม่ใช่ ?
ตอบ : ไม่ใช่..ถ้านึกเปลี่ยนแปลงได้ จะอยู่ในระดับใช้ผลของกสิณแล้ว ถ้าเรานึกได้ขนาดนั้น เราต้องการให้มีน้ำตรงนี้ก็มีแล้ว ลักษณะของการนึก ใคร ๆ ก็นึกได้ แต่กสิณจะต้องลืมตาหรือหลับตาก็เหมือนเห็นของจริงอยู่ตรงหน้า

ถาม : ลืมตานี่คือระลึกเห็นหรือว่าเห็นเลย ?
ตอบ : สามารถเห็นในห้วงนึก เหมือนเรานึกถึงหน้าคนอื่น ลองไปซ้อมดู ถ้าทำได้คราวนี้คุณแอบลอกข้อสอบได้สบาย

เถรี 23-08-2010 13:13

ถาม : พระปิดตาเนื้อเงินรวมทั้งเนื้อนวโลหะที่ท่านสร้าง มีมวลสารของตะกรุดมหาสะท้อนหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระปิดตาเนื้อเงินมีแน่นอน ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมมหาลาภจึงออกไปแนวบู๊ด้วย

ถาม : ท่านเคยบอกว่าเข้าห้องโออาร์ อย่าเอาตะกรุดมหาสะท้อนเข้าไป ไม่อย่างนั้นเขาจะคลอดไม่ได้ แต่วันนั้นผมเอาพระปิดตาเนื้อเงินไป แต่ไม่ได้เอามหาสะท้อนไป พอดีนึกได้ ไม่แน่ใจเลยต้องถอดออกจากตัวก่อน
ตอบ : ให้ระวังด้วย อาตมาก็ลืมไป..ด้วยความที่คิดว่ามีมวลสารอะไรที่ดีที่สุด..ก็ใส่ไป เลยเอาตะกรุดมหาสะท้อนใส่เข้าไปด้วย

ถาม : มีมวลสารตะกรุดมหาสะท้อน แสดงว่ามีมหาสะท้อนอยู่ในตัวด้วย ?
ตอบ : มีเหมือนกัน

เถรี 23-08-2010 13:16

ถาม : เบิกกรรมแล้วจะเป็นอย่างไร?
ตอบ : ไม่เคยเรียนจ้ะ..เลยบอกไม่ถูก ถ้าจะเบิกก็เบิกบุญดีกว่า แต่อย่าไปเบิกกรรม เบิกกรรมเดี๋ยวจะเดือดร้อน

เคยได้ยินว่าทางสายหลวงพ่อคง วัดเขาสมโภชน์ ท่านจะสอนลักษณะเหมือนเปิดโลกดูกรรม แต่คราวนี้ถ้าเรามั่นใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ในเรื่องของทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ก็ไม่ต้องไปเสียเวลาดู ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี ละความชั่วไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าดีมากกว่าชั่ว ก็พ้นกันไปข้างหนึ่ง

เถรี 23-08-2010 13:26

ถาม : มีอยู่วันหนึ่งเหมือนฝัน เป็นนิมิต เหมือนกับสภาพจิตของเรา ตัวโทสะกับตัวรู้ เป็นเหมือนเล็ก ๆ ดำ ๆ พอเข้าไปยุ่งกับมัน เหมือนอารมณ์เราจะวิปลาส จะบ้า แปลก..เหมือนมันคุม บังคับเราอยู่ พอเราไปสนใจ เหมือนสภาวะร่างกายเราทนไม่ได้
ตอบ : กำลังของเรายังน้อยอยู่ ก็ยังสู้ไม่ได้ ถ้ากำลังของเรามากขึ้นก็พอจะลุ้น
เป็นปกติ ถ้าเราเห็นว่าทั้งหมดมันครอบโลกมนุษย์นี้อย่างไร จะน่ากลัวกว่านี้อีกหลายล้านเท่า


ถาม : เป็นลักษณะพลังที่น่ากลัว ถ้าเราไปหามัน เราเป็นมัน ถ้ามันมาหาเรา เราเป็นเรา
ตอบ : อย่าไปยุ่งกับมัน

ถาม : ควรทำอย่างไรต่อไป ?
ตอบ : รู้ก็สักแต่ว่ารู้ก็พอ

เถรี 23-08-2010 13:29

ถาม : อย่างเวลาทรงอารมณ์ ถ้าเราใช้ลักษณะเป็นความจำ ความจำนั้นจะไปเองเป็นอัตโนมัติ โดยความเป็นจริงแล้วตัวจำ..?
ตอบ : จำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าเผลอ สติขาด ก็จะสะดุด เพราะอย่างน้อยจะต้องมีสมาธิช่วย เราต้องกำหนดสติตามไปด้วย ถ้าไปอาศัยอัตโนมัติอย่างเดียว เดี๋ยวทิ่มผิดก็ร่วงทั้งขบวน

ถาม : คือกลัวจำแล้วจะ..
ตอบ : ถึงจะเป็นอัตโนมัติอยู่ แต่ว่าเราต้องอาศัยสติช่วยด้วย ลำพังให้ตัวจำทำหน้าที่ของเขาอย่างเดียว เดี๋ยวไปไม่รอด

ถาม : ช่วงนี้กำลังติดเรื่องฟังเพลง ปรากฏว่าเหมือนกับตัวเพลงตรงนั้น จะขึ้นมาทีละอย่าง ๆ
ตอบ : รีบดึงเข้าหาลมหายใจเข้าออกไว ๆ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเสร็จมัน..!

เถรี 23-08-2010 19:04

ถาม : ที่บริษัทเขามีงานเลี้ยงลูกค้า และเขาก็มีของเหลือ มีพนักงานแอบเอากลับบ้าน พอดีหนูไปถาม ตอนแรกก็ไม่มีใครเห็นว่าใครเอาไป ทีนี้กล้องวงจรปิดทั่วร้านอยู่แล้ว เพราะเราขายเครื่องเพชร เจ้านายเขาก็เลยถามหนูว่า จะเอาพนักงานคนนี้ไว้หรือไม่ ?
ตอบ : บอกเขาว่าถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่เอาไว้ เพียงแต่ว่าให้เขาหาคนใหม่มาให้เราให้ทันก็แล้วกัน

ถาม : หนูไม่บาปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : เราทำอะไรตรงไปตรงมาจะไปบาปอะไร นั่นเขาทุจริตเท่ากับเขาทำตัวเขาเอง

ถาม : เขาก็สารภาพนะคะ สารภาพก่อนที่เราจะเปิดกล้องวงจรปิดดู เขาก็แอบไปบอกผู้จัดการอีกคนหนึ่งก่อน
ตอบ : บอกตอนนั้นก็ไม่ทันแล้ว ทำความชั่วไปแล้ว..!

เถรี 23-08-2010 20:02

พระอาจารย์เล่าเรื่องการธุดงค์ให้ฟังว่า "ตอนนั้นเข้าป่าห้วยขาแข้ง เดินสวนกับพระธุดงค์ ๔ รูป ท่านห่มดองผ้าสังฆาฏิ สะพายย่ามธุดงค์ หิ้วกาน้ำ แบกกลดมา ท่านตกใจมากเลย ที่เห็นพวกเราไปมีแต่อังสะตัวเดียวกับย่ามใบหนึ่ง

เขาถามว่า "ท่านมาทำอะไร?" ก็บอกไปว่า "มาธุดงค์เหมือนท่านนั่นแหละ และผมมั่นใจว่าผมอยู่ได้นานกว่าด้วย" แสดงว่าเขาไปดูรูปแบบพระรุ่นครูบาอาจารย์ เพราะเวลาธุดงค์จะอยู่ในรูปแบบนั้น เขาไม่รู้หรอกว่า นั่นไปถึงที่แล้วเขาแต่งตัวให้ถ่ายรูป เดินในป่าขนาดนั้นแล้วแต่งตัวเต็มยศ ไม่ต้องไปไหนไกลหรอก แค่บึงลับแลก็ขาดวิ่นแล้ว เพราะหนามเยอะมาก

ถ้าอ่านพระไตรปิฎกทั่วจริง ๆ ก็จะเห็นว่า ถึงเวลาพระเข้าไปในหมู่บ้าน จะใช้คำว่า มีมืออันถือบาตรและจีวร เมื่อเข้าไปถึงโคจรคามแล้ว ก็ห่มจีวรคลุมบ่า ซ่อนบาตรไว้ด้านใน ทำการโคจรบิณฑบาต ก็แปลว่าพระสมัยก่อนท่านก็ไปแบบเรา เพราะสมัยก่อนผ้าหายาก ถ้าหนามเกี่ยวขาด จะหาใหม่ก็หาไม่ได้ง่าย ๆ เหมือนสมัยนี้ อย่างของเราไปแบบโบราณแท้เลย

บางทีเวลาเดินไปเจอพระธุดงค์ก็รู้สึกสลดใจ พวกเราเคยเห็นย่ามธุดงค์ไหม ? ใบจะใหญ่มาก ของเขาใช้ไม้คานหาบย่ามธุดงค์ไป ๔ ใบ ถ้าของเราขนไปขนาดนั้นเท่ากับย้ายวัดไปแล้วนะ..! ยังสงสัยว่า ถ้าขนไปขนาดนั้นตกลงเขาจะไปทำอะไรกันแน่ จะไม่ยอมรับความลำบากกันเลยบ้างหรือ ?"

เถรี 23-08-2010 22:13

"ปัจจุบันนี้ส่วนหนึ่งพวกป่าไม้รังเกียจการธุดงค์มาก เพราะว่าไปก่อไฟแล้วไม่ดับ โดยเฉพาะในห้วยขาแข้ง หน้าแล้งจะแล้งจริง ๆ จะมีเขียว ๆ อยู่เฉพาะริมห้วยเท่านั้นแหละ ไม่ว่าจะเป็นห้วยแม่ดี ห้วยกรึงไกร ห้วยองทั่ง ห้วยขาแข้ง ห้วยองเอี้ยง จะมีสีเขียวแต่บริเวณริมห้วยเท่านั้น นอกนั้นก็เหลืองกรอบ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง เดินออกมาเจอไฟก็เลยดับให้ เห็นว่ารอยยังใหม่ ๆ อยู่ จึงเร่งเดินตามเขาไป ประมาณชั่วโมงหนึ่งก็ไปทันคณะข้างหน้า มีอยู่ ๔-๕ รูป ก็ดึงแขนพระรูปสุดท้ายไว้ "ถามหน่อยครับ เมื่อกี้คุณเดินมาทางนั้น แล้วก่อไฟไว้ ยังไม่ได้ดับใช่ไหมครับ ? มันกำลังลามจะเป็นไฟป่าอยู่.." ท่านตอบว่า "ใช่ครับ..ที่จริงผมดับแล้วครับ แต่เพื่อนว่าเสียเวลายังไม่พอ เขายังเตะไม้เพิ่มเข้าไปอีก ผมก็เลยโกยซ้ำเข้าไปซะ..!"

พวกนั้นแหละที่ทำให้พวกป่าไม้เวลาเจอพระธุดงค์ เขาจะรีบพาตัวเอาออกไปเลย เพราะว่าไฟป่าไหม้ทีหนึ่งเสียหายหนักมาก ความเสียหายที่เราเห็น ๆ ก็คือ ต้นไม้ตาย สัตว์ป่าหนีไม่ทัน โดยเฉพาะเต่า และพวกสัตว์เล็ก ๆ จะตายกันเยอะ แล้วส่วนเสียหายที่เราไม่เห็นก็คือดิน

ถ้าดินโดนไฟเผาร้อนมาก ๆ เข้าก็กลายเป็นอิฐ พอหน้าดินกลายเป็นอิฐก็ไม่ซับน้ำแล้ว น้ำมาเท่าไรคราวนี้ก็ป่าถล่มไปเลย ตรงจุดนี้คนส่วนใหญ่จะไม่รู้"

เถรี 24-08-2010 08:02

"เวลาเข้าป่าปัจจุบันนี้ นอกจากความประพฤติที่ไม่เหมาะสมแล้ว ยังมีอีกหลายประเภท บางประเภทอยู่รวมกับคนอื่นไม่ได้ ก็เลยต้องไปธุดงค์ ฟัง ๆ ดูแล้วก็น่าจะคาดได้ว่าความประพฤติของท่านเป็นอย่างไร

อีกประเภทหนึ่งคือเข้าป่าเพื่อไปดูดยาบ้า พวกนี้ถึงเวลาแล้วคึกมาก วิ่งแข่งกันขึ้นเขา บางทีก็คว้ามีดสปาตาร์คนละอัน เฉาะหัวกัน ก็กลายเป็นว่าการธุดงค์สมัยนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างที่หลวงปู่บุดดาท่านว่า คือ ไม่ใช่ "ธุดงค์" แต่เป็น "ถูดง" ธุตะ+อังคะ แปลว่า องค์คุณเครื่องเผากิเลส ต้องไปเผากิเลส แต่อันนี้เขาไปถูดงอย่างที่หลวงปู่ท่านว่า

ช่วงที่เป็นเจ้าคณะตำบลชะแลอยู่ เป็นตำบลที่อยู่ปากทางทุ่งใหญ่ จะมีพระธุดงค์มาขอหนังสือเพื่อผ่านเข้าทุ่งใหญ่เยอะมาก ปีหนึ่งต้องเซ็นให้เป็นร้อยเลย เราก็มองว่าพวกนี้เขาซื่อดีนะ ตอนเราเข้าไปไม่ว่าจะทุ่งใหญ่หรือห้วยขาแข้ง ไม่เคยมีใบอนุญาตเลย เพราะว่าเขาตั้งเป็นด่านชัด ๆ

เดินไปก็มีป้าย "อีกสามร้อยเมตรจะถึงด่าน" "อีกห้าร้อยเมตรจะถึงด่าน" แล้วเราจะเดินไปทำไม ? เราก็อ้อมเข้าป่าไปเลยสิ ผ่านไปแล้วค่อยออกมาใหม่ พวกนี้เขาซื่อมาก จะต้องผ่านด่านให้ได้ คือ หน่วยป่าไม้ทุกแห่ง เขากลัวว่าเราจะไม่รู้ว่าเขาอยู่ตรงไหน เขาจะมีป้ายบอกเป็นระยะ ๆ ไป พอใกล้ถึงด่านเราก็แวบเข้าป่าไป อ้อมไปอีกทาง พ้นไปไกลค่อยโผล่ขึ้นมาบนถนนใหม่"

เถรี 24-08-2010 09:30

"หนทางในป่านั้น บริเวณที่พวกป่าไม้เดินไปไม่ถึง ก็ไม่ได้แปลว่าพรานจะเดินไปไม่ถึงด้วย ในเส้นทางระหว่างทุ่งใหญ่กับห้วยขาแข้ง จะมีด่านใหญ่อยู่เส้นหนึ่ง เป็นทางช้างเดิน ความกว้างน่าจะถึงสามเมตร ลึกประมาณหน้าแข้ง

ถึงเวลาช้างจะเดินผ่านเส้นนั้น พวกบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ก็พลอยอาศัยไปด้วย อย่างพวกกระทิง พวกเก้ง พวกกวาง ฯลฯ สัตว์พวกนี้ไม่เคยได้กินของอร่อยข้างบน พอเดินตามช้าง ก็ได้อาศัยกินต้นไม้ใบไม้ หรือไผ่ที่ช้างดึงลงมาไปด้วย

พวกพรานก็ไปดักรออยู่แถวนั้น พรานบ้านช่องแป๊ะ บ้านแม่จันทะ แต่ละปีล่ากระทิงประมาณ ๒๐๐ ตัว อาวุธส่วนใหญ่เป็นไรเฟิลทันสมัย ตูมเดียวอยู่ทั้งนั้น เขาขนใส่เฮลิคอปเตอร์มาให้พร้อมกระสุน เฮลิคอปเตอร์ที่เข้าออกปกติเป็นของราชการหน่วยหนึ่ง

เขายิงกระทิงตัวหนึ่งหนักเป็นตัน แต่ตัดไปแค่หัว ขายให้กับพวกราชการ ราคา ๕๐๐ บาทเท่านั้น ส่วนเนื้อที่เหลือเป็นตันก็ทิ้งให้เน่าเฉย ๆ แล้วหัวนั้นก็ไปขายให้พวกข้าราชการเหล่านั้น ถึงเวลาก็เอาเครื่องบินขนออกมา รู้ ๆ อยู่ว่าใครทำ แต่ป่าไม้เขาเข้าไม่ถึง และก็ไม่อยากไปแตะต้องคนมีสี ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย

ที่โป่งจงโคร่ง รอยต่อระหว่างอุ้มผางและห้วยขาแข้ง เป็นโป่งน้ำ สัตว์จะชอบมาก เพราะนอกจากจะได้กินเกลือแล้วยังได้กินน้ำด้วย ไม่ต้องเสียเวลาไปแทะดินแล้วหาน้ำกินอีก ดูดน้ำเกลือเข้าปากก็สบาย เวลาสัตว์เขาขาดเกลือก็จะไปหาดินโป่ง (ดินเค็ม) พวกนี้กิน"

เถรี 24-08-2010 12:14

"พวกพรานเขาไปขัดห้างไว้ ความสูงประมาณเราเอื้อมมือถึง เราก็เลยเดินเลยไป ๒๐๐ - ๓๐๐ กว่าเมตร ยังไม่ทันจะทุ่มเลยก็มีเสียงตูม..! พอสี่ทุ่มก็ตูม..! ตีสองก็ตูม..! ใกล้สว่างก็ตูม..! สรุปว่าคืนเดียว โป่งเดียวสี่ตูมเลย

บางทีเขาก็หิ้วสัตว์ห้อยร่องแร่งมา พอเจอพระก็ทำเป็นเขิน..! แต่ว่าพวกนี้ส่วนใหญ่จะร้ายมาก ถ้าไปเจอพวกป่าไม้เขาจะยิงก่อนเลย เจ้าหน้าที่ของเราน่าสงสารตรงที่ว่าจะยิงก่อนก็ไม่ได้ เขาถือว่าปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าเหตุ ติดคุกหัวโตเลยนะ เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่ห้วยขาแข้งเดี๋ยวหลักก็มาปักเพิ่มอีก หลักหนึ่งก็คือเจ้าหน้าที่หนึ่งศพ เป็นเรื่องปกติ

แล้วเป็นเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ เพราะพรานเขาชำนาญพื้นที่มากกว่า โดยเฉพาะพรานที่ท่านโมเช่เคยกล่าวถึง อย่างอาตมาเดินแล้วพวกเราวิ่งตามใช่ไหม ? แต่อาตมาต้องวิ่งตามท่านโมเช่ แล้วท่านโมเช่ต้องไปวิ่งตามพรานคนนั้น นึกเอาก็แล้วกันว่าฝีเท้าต่างกันขนาดไหน ?

เส้นทางระหว่างอุ้มผางลงไปห้วยขาแข้ง เราต้องไปค้างกลางทางคืนหนึ่ง แต่พรานคนนั้นลงจากช่องแป๊ะแล้วไปหุงข้าวเย็นกินที่ห้วยขาแข้ง เดินเร็วกว่าเราเป็นเท่าตัวเลย"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:16


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว