กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2938)

เถรี 02-11-2011 03:52

พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณลอร่าที่เขียนหนังสือเรื่องบ้านเล็กในป่าใหญ่ ในช่วงก่อนนั้นเขาเขียนเรียงความเพื่อที่จะสอบบรรจุครู ได้รับหัวข้อว่าความมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่บอกด้วยว่าให้เขียนในทางด้านดีหรือเลว ตั้งหัวข้อมาเฉย ๆ

ลอร่าเขาเขียนว่า ความมักใหญ่ใฝ่สูงเป็นผู้ตามที่ดีแต่เป็นผู้นำที่เลว เพราะฉะนั้น..ถ้ามีความมักใหญ่ใฝ่สูงต้องควมคุมเอาไว้ให้เป็นผู้ตาม จะได้สนับสนุนให้เรากระทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จ แต่ถ้าเป็นผู้นำเมื่อไรก็พาเละเมื่อนั้น

พวกประเภทอยากดี อยากเด่น อยากดัง บางทีก็เห็นหลายคนที่ทำลักษณะอย่างนั้น เห็นแล้วก็สลดใจ บางท่านที่เราอยู่ในฐานะที่ตักเตือนได้ก็ตักเตือน แต่บางท่านเขาก็มองคนละแง่ พอตักเตือนไปเขาก็บอกว่า “อ้าว...ก็อาจารย์มีครบแล้วก็พูดได้สิ ผมยังไม่มีก็ต้องดิ้นรนหามา” ถ้าประเภทนี้เหนื่อย เป็นผู้มากด้วยบทบาท โปรดได้ยาก..!

จะว่าไปแล้วความมักใหญ่ใฝ่สูง ความทะเยอทะยานทั้งหลายเหล่านี้เกิดจาก "ตัวกู ของกู" ก็คือสักกายทิฐิบวกอติมานะ ต้องการให้คนเห็นความสำคัญของเรา ต้องการให้คนยกย่องเรา ต้องการให้เขาสรรเสริญเยินยอเรา เป็นต้น ถ้าสิ่งเหล่านี้ถ้านำหน้าเมื่อไร ก็จะเป็นอย่างที่คุณลอร่าบอกไว้ ก็คือเป็นผู้นำที่เลว มีแต่จะพาเราไปทางเสียอย่างเดียว แต่ว่าจะเป็นผู้ตามที่ดีถ้าเราควบคุมเอาไว้ได้ ก็คือทำอย่างไรให้เป็นไปโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม

ทำอย่างไรที่เราจะค่อย ๆ สั่งสมความดีของเราไปเรื่อย ๆ จนท้ายสุดคนเขาเห็นแล้วเขายกย่องเอง ไม่ใช่ไปดิ้นรนตะเกียกตะกายเชียร์ตัวเองจนกระทั่งคนเขาเห็น ถ้าลักษณะอย่างนั้นไม่ได้เกิดจากความจริงใจของตัวเอง สิ่งที่เราทำต่อให้เป็นความดีก็จะไม่ยั่งยืน

อาตมาเคยพูดไว้ว่า “คนทำดีเพราะอยากทำจะทำได้ทน ทำได้นาน แต่คนทำดีเพราะอยากดี เมื่อความดียังไม่สนองตอบ อาจจะเลิกทำดีไปเลยก็ได้ เพราะขาดการอดทนและรอคอย” วาระ จังหวะ และโอกาสในชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนสร้างบุญกุศลเก่าไว้มากก็มาถึงเร็ว บางคนสร้างบุญกุศลเก่าไว้น้อยก็มาถึงช้า"

เถรี 02-11-2011 03:55

"อาตมาอยากจะยกตัวอย่างท่านหนึ่งก็คือหลวงปู่พูล วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ท่านมรณภาพไปแล้ว สมัยหลวงปู่พูลเริ่มพรรษามาก นครปฐมยุคนั้นเต็มไปด้วยเกจิอาจารย์ทั้งจังหวัดเลย ไม่ว่าจะเป็นหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา ฯลฯ

พอสิ้นรุ่นนั้นไปแล้วก็ยังมีหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม กว่าที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะสิ้นหมด หลวงปู่พูลจึงได้โผล่ขึ้นมามีชื่อเสียงตอนอายุ ๙๐ แต่ว่าช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ท่านมีชื่อเสียงอยู่นั้น กลายเป็นอมตะเถราจารย์ในดวงใจของบุคคลไปเลย แม้กระทั่งมรณภาพไปแล้ว ตัวเลขทุกอย่างที่เกี่ยวโยงกับท่านออกเป็นหวยหมด เจ้ามือเจ๊ง แต่ลูกศิษย์รวยอื้อไปตาม ๆ กัน

นั่นเราจะเห็นว่าท่านไม่ได้ไปดิ้นรนไขว่คว้า ท่านยินดีในความสมถะ สันโดษ มักน้อยเป็นปกติ เคยทำความดีอย่างไร ท่านก็ทำความดีอย่างนั้นไปตามปกติ คนเขาเห็น เพียงแต่ว่าท่านที่เขาเด่นกว่ามีอยู่ คนก็ไปหาท่านนั้นก่อน แต่พอสิ่งที่เด่นกว่าทั้งหมดได้สิ้นไปแล้ว ท่านกลายเป็นเด่นที่สุด แล้วคนก็ไปหาท่านเอง เพราะฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องไปชิงดีชิงเด่นกับใคร อะไรที่เป็นของเรา พอถึงเวลาแล้วก็มาเอง ต่อให้ปฏิเสธให้ตายก็มา"

เถรี 02-11-2011 03:58

พระอาจารย์กล่าวสอนโยมว่า "จำไว้ว่า ยกมือวันทา..หมายังไม่กัดเลย หมาจะทำหน้างง ๆ ว่าเราทำอะไร อย่างหลวงพี่กิตติชัยเคยแกล้งกระทิง กระทิงโทนทั้งดุและหวงที่ วิ่งมาจะขวิด หลวงพี่ท่านทำท่าจ๋อยมันก็หยุด พอมันทำท่าจะถอย หลวงพี่ก็ทำท่าเชิดใส่ มันก็วิ่งใส่อีก ท่านบอกว่าลองอยู่ ๓-๔ เที่ยวแล้วถึงได้รู้ว่า กระทิงเกลียดคนหยิ่งมากเลย

ส่วนหมีนี่อันตรายมาก ต่อให้เราทำให้ตกใจ ก็วิ่งหนีไปพักเดียว จากนั้นจะสงสัยว่าเมื่อครู่นั้นคืออะไร แล้วก็จะย้อนมา หมีวิ่งเร็วกว่าเรา ขึ้นต้นไม้เก่งกว่าเรา ว่ายน้ำก็เร็วกว่าเรา เพราะฉะนั้น..มีทางเดียว เวลาเจอหมีนี่ให้วิ่งใส่เลยแล้วตะโกนดัง ๆ พอตกใจมันจะหนีก่อน เราก็รีบเผ่นไปคนละทิศ

ถ้าไปทำแกล้งตายนี่โดนกินเลย..! หมีเป็นสัตว์ตระกูลเสือ กินเนื้อเป็นอาหาร น้ำผึ้งเป็นเพียงของว่างเท่านั้น อาหารหลักคือเนื้อและผลไม้ คนที่เข้าใจว่าหมีกินน้ำผึ้ง ตายฟรีมาเยอะแล้ว"

เถรี 02-11-2011 04:03

"มีพระอยู่รูปหนึ่ง ท่านไปพักที่วัดท่าขนุนก่อนที่จะเข้าทุ่งใหญ่นเรศวร ท่านมีบาดแผลเหวอะหวะที่ศีรษะ ถามท่านว่าคุณไปโดนอะไรมา ท่านบอกว่าโดนหมีกัด คือหมีนอนหลับอยู่หลังขอนไม้ใหญ่ที่ล้มทับขวางทาง ท่านปีนข้ามแล้วไปหล่นลงบนตัวหมีพอดี หมีตกใจตื่นคว้าตัวได้ก็อ้าปากงับหัวเลย ท่านบอกว่าเสียงดังโป๊ะ แล้วท่านก็หมดสติไป

อาจจะเป็นเพราะหมดสติ มือเท้าอ่อนไม่ได้สู้อะไร หมีจึงคิดว่าตายแล้ว จึงทิ้งท่านไว้ตรงนั้น ท่านบอกว่าสลบไปประมาณ ๒ วันก็ฟื้นขึ้นมา เลือดนองเต็มพื้น มดกินเป็นพันตัวเลย ท่านก็เอาผ้าอาบพันศีรษะไว้ เดินโซเซออกมา จนกระทั่งถึงข้างนอก โยมมาพบเข้าก็เอามอเตอร์ไซค์ไปส่ง แล้วต่อรถสองแถวไปโรงพยาบาล รักษาหายแล้วก็กลับเข้าไปใหม่อีก เป็นพวกเราจะกล้าไปไหม ?

พระครูหน่อยของเรานี่แค่จ้องตากับเสือเท่านั้น บอกให้ไปธุดงค์ก็ไม่ไปอีกเลย ท่านบอกว่าทันทีที่สมองรายงานว่าเสือ มารู้ตัวอีกทีก็อยู่บนยอดไม้แล้ว ไม่รู้ว่าขึ้นไปได้อย่างไร นั่งปลอบใจตัวเองให้หายสั่นอยู่ราว ๒ ชั่วโมง แล้วค่อย ๆ ลงมาเดินทางต่อ

เดินไปเดินมา ไม่รู้ไอ้เสือระยำเกิดสงสัยอะไร ดันย่องตามมาดู พอย่องตามมาดูจนเบื่อแล้ว ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ ก็กระโดดแผล็วข้ามถนนไปต่อหน้าต่อตา พระครูหน่อยพอเห็นเป็นเสือความกลัวเดิมกลับมาหมดเลย โกยฝุ่นตลบเลย กว่าจะรู้ตัวก็อ้าปากหายใจไม่ทันแล้ว ยังดีที่ไม่หัวใจวายตายเสียก่อน หลังจากนั้นมาพูดถึงเรื่องธุดงค์นี่ไม่ไปอีกแล้ว

พอ ๆ กับอาจารย์จันทร์ วัดซายากง อาตมาพาไปเจอควายป่าทีเดียว ตั้งแต่นั้นมาชวนไปธุดงค์ด้วยไม่ไปอีกเลย แต่อย่างหลวงพี่ท่านนั้นผ่านความตายมาอย่างฉิวเฉียดก็ยังกลับเข้าไปใหม่ เราต้องชนะใจตัวเองให้ได้อย่างนั้น ถ้าชนะใจตัวเองไม่ได้อย่างนั้นก็แปลว่ายังกลัวตายอยู่ ถ้ายังกลัวตายอยู่ก็แบกสักกายทิฐิเต็ม ๆ

ถ้าเห็นบาดแผลของท่านแล้วเราจะใจหาย พูดง่าย ๆ ว่าหนังศีรษะของท่านเปิดเป็นจุด ๆ หมีขบทะลุกะโหลกเข้าไปเลย หมอต้องผ่าเอาเลือดคั่งภายในออก"

เถรี 02-11-2011 13:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "ระบบการจัดการน้ำของประเทศไทยเราล้าหลังสิ้นดี หวังว่าน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้จะทำให้เขาตื่นจากความเพิกเฉยกันเสียที เพราะเขามีโครงการจะตั้งกระทรวงน้ำมานานแล้ว แต่ไม่สำเร็จ เขาแยกกรมอุทยาน สัตว์ป่าและพรรณพืช ออกมา ไม่รู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับน้ำตั้งเป็นกรมหรือยัง ? แต่ยังไม่สามารถขึ้นเป็นกระทรวงได้ ทั้งที่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ต้องมีการจัดการอย่างรอบด้าน อย่างที่เขาใช้คำว่าบูรณาการไปพร้อม ๆ กัน

แหล่งน้ำธรรมชาติควรจะมีทุกหมู่บ้าน หนองบึงธรรมชาติก็ต้องขุดลอกเพื่อให้รับน้ำได้มากขึ้น ถ้าไม่มีก็ต้องหาพื้นที่ส่วนกลางทำเป็นหนองบึงธรรมชาติที่คนในหมู่บ้านสามารถใช้รวมกันได้ หลังจากนั้นก็จะต้องทำพวกคลองซอยส่งน้ำไปให้ทั่วถึง โดยเฉพาะแม่น้ำสายหลัก ๆ ต้องมีการขุดลอกและกำจัดพวกผักตบชวา สิ่งปลูกสร้างใด ๆ ที่กีดขวางทางน้ำต้องรื้อออกให้หมด

อาตมาถึงได้บอกว่า ถ้าอาตมาเป็นรัฐบาล จะไม่เสียเวลาดำเนินนโยบายใด ๆ เลย แค่ขอโอกาสเข้าไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในหลวงสักเดือนละครั้งสองครั้ง ขอพระราชทานแนวนโยบายว่าจะให้ทำอย่างไร แล้วก็ลุยทำไปเลย เพราะว่าสิ่งที่ในหลวงทำก็เพื่อความสุขของประชาชน รัฐบาลทำก็เท่ากับความสุขของประชาชนทั้งแผ่นดินเหมือนกัน

เคยเห็นกับตาครั้งหนึ่ง ในหลวงเสด็จแล้วบรรดาเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ตามไป ในหลวงมีพระราชดำริว่า ให้ทำการค้นคว้าและวิจัยว่าต้นไม้แต่ละชนิดที่ใบใหญ่ ใบเล็ก ใบยาว ใบสั้น มีการดูดน้ำ คายน้ำ และดูดคาร์บอนไดออกไซด์และคายออกซิเจนเท่าไร ? พระองค์ท่านต้องการที่จะเอาต้นไม้แต่ละชนิดมาปลูกเพื่อปรับปรุงสภาพสิ่งแวดล้อม

แต่คำตอบน่าชื่นใจมาก เขาตอบเลยว่า "ทำไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าหลากหลายจนเกินไป" ในหลวงทรงถามกลับประโยคหนึ่งว่า "ที่บอกว่าทำไม่ได้นั้น ได้ลองทำแล้วหรือยัง ?" ถ้าเป็นอาตมานี่สะอึกนะ..! ในหลวงมีพระราชดำริก็ลุยทำไปสิ ทำให้ตายไปข้างหนึ่งเลย ดูซิว่าจะสำเร็จไหม ?

ในหลวงทรงเป็นสุดยอดของขันติบารมี งานที่พระองค์ท่านทำเพื่อประโยชน์สุขของชาวบ้าน แทบจะไม่มีใครช่วยพระองค์ท่านได้เลย ขนาดพระราชทานพระราชดำริไปต่อหน้าต่อตา เขายังบอกว่าทำไม่ได้ ถ้าเป็นเราจะมีความอดทนอดกลั้นทำเพื่อผู้อื่นขนาดนั้นไหม ? แต่ในหลวงทรงทำงานมา ๖๐ กว่าปีไม่เคยเลิก นี่แหละคือกำลังใจของพระโพธิสัตว์ที่แท้จริง เป็นกำลังใจของบุคคลที่หวังความสุขของผู้อื่นมากกว่าตนเองอย่างแท้จริง

เพราะฉะนั้น..ถ้าใครคุยว่าปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าหากว่ายังทำเพื่อตัวเองอยู่ก็ไปเกิดใหม่เสียนะ..!"

เถรี 02-11-2011 13:23

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1320214826

เก็บตกเดือนตุลาคมหมดแล้วค่ะ พบกันใหม่ในเดือนพฤศจิกายน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:31


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว