กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3787)

เถรี 23-06-2013 20:33

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖
 
พระอาจารย์เล่าว่า "ของบางอย่างแสดงก็ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ทำก็ลำบาก ระยะหลังอาตมาโดนพระขังอยู่ในตึกแดงมาหลายครั้ง จึงบอกท่านว่า "ถ้าผมกลับดึก พวกคุณไปกันหมดแล้วจะไม่ว่าสักคำ แต่นี่ผมมาทำวัตรเย็นอยู่ด้วยแท้ ๆ ยังเสือกทะลึ่งขังผมอีก..!" พอท่านเปิดเสียงตามสายเสร็จ กลับออกไปแล้วก็ปิดประตูจากด้านนอกเลย ส่วนอาตมานอนอยู่ข้างบนก็เรียบร้อยสิครับ โดนขังไป ๓ รอบแล้ว..!

วันก่อนจะไปเอารองเท้ารัดส้นที่เกาะพระฤๅษี คราวนี้ท่านชายไปเรียนหนังสือ เหลือแต่โยมที่เขาจ้างมาทำความสะอาดอยู่ ๒ คน อาตมาก็บอกไปเอากุญแจมา เขาก็บอกว่าไม่มี พอเจอกุญแจแล้วเขาไขเท่าไรก็ไขไม่ได้ อาตมาเลยบอกว่า "เอามา..เดี๋ยวไขเอง" ไขเสร็จแล้วก็เข้าไป ปรากฏว่าทางนี้ไปลองไขกันใหญ่ ไม่เห็นจะไขได้เลย น้องเล็กก็โพนทะนาว่า "หลวงพี่ท่านแหกตาพวกเราแล้ว" อาตมาก็เซ็ง พวกโง่แล้วยังปากสว่างอีก จึงบอกว่า "ไม่เป็นไร ถ้าหันหลังให้จะไขได้" พอพวกเขาหันหลังให้ อาตมาไขปิดเสร็จแล้วก็ไป

ถ้าไม่จำเป็น ก็ต้องยอมรับกฎของกรรมได้ เพราะมีเวลาเพียงพอก็นั่งรอได้ รอให้ช่างเขาใช้ความสามารถของเขา แต่ถ้าจำเป็น เวลาไม่พอ งานรออยู่ข้างหน้าต้องรีบไป แบบนั้นก็ใช้วิธีพิเศษไปเถอะ...

เถรี 23-06-2013 20:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของบัญชี เงินสงฆ์ ของสงฆ์ ถ้ามีรายละเอียดได้มากเท่าไรก็ดีเท่านั้น ตอนไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ อาตมาทำบัญชีโดยไม่มีเงินส่วนตัว รับมาทุกอย่างถือว่าเป็นของสงฆ์ เขาถวายระบุส่วนตัวก็ลงบัญชีสงฆ์ไป ทำงานไป ๘ เดือน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา ก็แปลว่าท่านต้องมรณภาพมาประมาณ ๑ ปีแล้ว..!

ท่านถามว่า “แกมีเงินส่วนตัวเท่าไร ?” กราบเรียนท่านด้วยความภูมิใจว่า “ไม่มีครับ..ผมผลักลงกองกลางเป็นเงินสงฆ์หมด” อยากจะอวดท่านว่าอาตมาไม่โลภ “เออดี..แล้วแกเอาลงไปเป็นเงินสงฆ์เท่าไร ?” “ไม่ทราบครับ” โดนฟาดกบาลเลย..! ถามว่าเอาไปใช้เป็นเงินส่วนตัวเท่าไร ? “ไม่ทราบครับ” เอาไปใช้เป็นเงินสงฆ์เท่าไร ? “ไม่ทราบครับ” โป๊ก..!

ท่านบอกว่าไปรื้อบัญชีทำเสียใหม่ เงินทุกบาททุกสตางค์รับมาจากใคร จ่ายไปในรายการอะไร ถ้าใครเขาสอบสวนต้องชี้แจงเขาได้ คราวนี้ก็เสร็จละสิ ตั้ง ๘ เดือนใครจะไปจำได้ ท้ายสุดก็ตัดใจหั่นทิ้งไปเลย ๘ เดือนแรกไม่มีเงินส่วนตัว เริ่มต้นเดือนที่ ๙ เพื่อความสะดวกในการทำบัญชี

สมัยแรกตอนอยู่วัดท่าซุง เวลาส่งบัญชีครูนนทา อาตมาเป็นประเภทสุดยอดของความซื่อเลย สลึงหนึ่งก็ส่ง ๕๐ สตางค์ก็ส่ง ๓ สลึงก็ส่ง ครูนนทาบอกว่า “ท่านเล็ก..ตัดยอดออกให้เหลือ ๕ บาท ๑๐ บาทได้ไหม ?” ตอนนั้นไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องลำบาก ตอนนี้รู้สึกแล้ว พอเริ่มแก่ตัวก็รู้สึกว่าประเภทเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ลำบากจริง ๆ ต้องตัดเศษให้เหลือยอดเต็มเท่านั้น"

เถรี 24-06-2013 15:26

ถาม : กว่าจะมาถึงที่นี่ใช้เวลาสองชั่วโมงครึ่ง ไม่รู้ว่ารถติดอะไรเหลือเกิน ?
ตอบ : รถติดเราควรจะดีใจ เพราะว่าคนรวยมีเยอะ ก็เลยมีรถขับกันมาก ควรโมทนากับเขาเถอะ

ถาม : ด่าเขาด้วย ?
ตอบ : แสดงว่ากำลังใจไม่ถึง แทนที่จะโมทนา กลับไปด่าเขาเสียนี่ ต้องเห็นเป็นธรรมดาว่ารถมากก็ต้องติด แต่ก็ไม่ได้ติดมากมายหรอก ติดแค่คันที่เรานั่งนั่นแหละ..!

เถรี 24-06-2013 16:26

ถาม : พระอาจารย์มาเข้าฝันผมหรือครับ ฝันว่าท่านเอากล่องแดงมาให้ ?
ตอบ : เรื่องอย่างนี้บางทีก็พูดยาก บางอย่างพระหรือเทวดาท่านสงเคราะห์ให้ แต่คราวนี้ว่าเคยมีอะไรเนื่องกับพระมา ท่านก็สงเคราะห์ผ่าน กลายเป็นว่าอาตมาเองไปสงเคราะห์

เถรี 24-06-2013 16:33

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อ ๒ สัปดาห์ก่อนโดนตำรวจตามล่าทั้ง ๒ สัปดาห์ พล.ต.อ. เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ท่านต้องการนิมนต์ไปทำบุญ ครั้งแรกให้หน้าห้องคือ พ.ต.อ. ไพบูลย์ โทรศัพท์ติดต่อไปทางเลขาฯ วัด อาตมาบอกว่าไม่ไป ท่านเลยให้ตำรวจตามหาตัวว่าอาตมาอยู่ที่ไหน ไป ๆ มา ๆ เล่นเอาผู้กำกับทองผาภูมิต้องมาเอง

เรื่องของตำรวจ การบริการเจ้านายสำคัญที่สุด คุณเป็นผู้กำกับทองผาภูมิ พระรูปเดียวนิมนต์ไปให้เจ้านายไม่ได้ คงต้องโดนย้ายไปดาวอังคารแน่เลย..! สงสารท่านผู้กำกับก็เลยต้องรับปากว่าจะไปให้

อาตมาไม่ค่อยคบคนรวยกับผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินหรอก เพราะว่าคนรวยกับผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินจะมีส่วนของทิฏฐิมานะอยู่ ต่อให้ท่านดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าหากมีอะไรไม่ถูกใจ อาจจะเข้าใจพระผิดไปได้ แล้วอาตมายิ่งง้อชาวบ้านไม่เป็นอยู่ด้วย ไปวัดอื่นเขาจะต้องเอาอกเอาใจ คอยตามดูแลบริการ ไปวัดท่าขนุนคุณก็ราคาเท่ากับตาสีตาสายายมียายมานั่นแหละ วัดอื่นนักการเมืองไป ดาราไป เจ้าใหญ่นายโตไป ต้องไปถ่ายรูปเอาไว้อวดเขา ไปวัดท่าขนุนราคาเดียวกันหมด ถ้ามาผิดเวลาก็รอไปเถอะ

คุณสะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์ กับคุณนฤมล นิลวรรณ ไปตอนกำลังทำวัตรเย็น อาตมาก็ทำวัตรไปเรื่อยเปื่อย ปล่อยให้เขารอไปเถอะ มาผิดเวลาเองนี่นา ท้ายสุดคุณสะอาดอดรนทนไม่ไหวเพราะเวลาไม่มี จะเดินทางต่อ จึงขออนุญาตถวายสังฆทาน ถวายก็จะรับนะ แต่จะให้ไปนั่งสวดมนต์ยาว ๆ ไม่เอา เพราะกำลังทำวัตรอยู่ ดีอยู่อย่างว่าสำหรับอาตมาไม่มี ๒ มาตรฐาน ใครมาก็มาตรฐานเดียวกันหมด"

เถรี 24-06-2013 16:47

"หลายท่านให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ บอกว่าเวลามากรุงเทพฯ ให้โทรศัพท์ไปหาด้วย ถึงขนาดปวารณาไว้ว่า สร้างหนี้ไว้เท่าไร เขาจะช่วยจัดการให้ อาตมาไม่โทรไปหรอก..เสียเวลา เห็นใจว่าเขาเคยยกหูโทรศัพท์ช้าไป ๕ นาที เจ๊งหุ้นไป ๒๐ กว่าล้านบาท แล้วคนประเภทนี้เขาจะมีเวลามาหาหรือ ? ถ้าตอนมาหาพระพอดีหุ้นตกอาตมาก็ซวยสิ..!

บางทีเขาก็น้อยอกน้อยใจ มาถึง “ผมปวารณาไว้ตั้งนานเนกาเล ทำไมท่านไม่ขออะไรบ้างเลย ?” บอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ในกระเป๋ามีเท่าไรเอามาแค่นั้น” เขาเปิดกระเป๋าเอกสาร เทมามีอยู่เกือบ ๔ แสนบาท..! เขาบอกว่าเพิ่งไปจ่ายเงินลูกน้องมา ถ้าไม่จ่ายเงินให้ลูกน้องจะมีให้อาจารย์เยอะกว่านี้ ท่านเหล่านี้ต้องบอกว่านิสัยไม่ดี ทำอะไรชอบทำคนเดียว

อย่างเขาไปเดินดูที่เกาะพระฤๅษี จะมีชื่อเจ้าภาพติดอยู่ กุฏิหลังนี้เจ้าภาพชื่อนี้ ๆ เขาเดินดูทั่วเสร็จสรรพ แล้วถามว่า “แล้วของผมอยู่ไหน ?” อาตมาก็บอกว่า “อ๋อ...ที่เหลือของโยมทั้งวัดนั่นแหละ” ที่คนอื่นถวายเป็นเจ้าภาพมาพอเสียที่ไหนเล่า ? อาคารหลังหนึ่ง ศาลาหลังหนึ่งแพงกว่านั้นตั้งเยอะ แต่คิดเขาไปแค่นั้น ส่วนที่เหลือก็เงินโยมนั่นแหละ เขาก็น้อยใจที่ไม่มีชื่อติด เดี๋ยวก็เอาไปติดหน้าส้วมให้เสียหรอก..!

อาตมาก็เลยไม่ค่อยจะโทรศัพท์ไปหา ปล่อยไปเถอะ เขารู้เมื่อไรเขาก็มาเอง บางรายก็ต้องสั่งเลขาฯ ไว้เลย ช่วยดูวันเวลาให้ด้วย พระอาจารย์มาเมื่อไรเขาจะได้มาหา"

เถรี 24-06-2013 16:51

"ถ้าเป็นวัดอื่น เท่าที่พบมาเยอะต่อเยอะด้วยกัน เขาใช้วิธีโทรศัพท์ตามกัน ในลักษณะให้ความสำคัญ เชิญมาเป็นประธานสร้างนั่นสร้างนี่ เป็นประธานงานนั้นงานนี้ บางทีเขาก็ติดงานสำคัญ บางทีเขาก็มาผิดเวลา วัดอาตมาผิดเวลาไม่ได้หรอก ตรงเวลาเมื่อไรเริ่มงานทันที ประธานไม่มีก็ไม่เป็นไร อาตมาจัดงานเองได้

ขนาดเจ้านาย ท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธิเมธีโทรศัพท์เข้ามา อาตมากำลังทำวัตรเย็นอยู่ เปิดให้ท่านฟังเสียงทำวัตรไป ๕ นาทีกว่า จนท่านทนไม่ไหวต้องตัดสายทิ้งไปเอง งานสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน เป็นงานของพระ ถ้าไม่ทำสิ่งเหล่านี้ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เป็นอริยประเพณี ความเป็นพระของเราจะลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ก็เลยต้องใช้วิธีนี้แหละ ต่อให้เป็นเจ้านายถ้าโทรมาผิดเวลาก็เจอแบบนี้เหมือนกัน"

เถรี 24-06-2013 20:23

ถาม : ผมเคยบวชพระไม่เกิน ๖ วัน เมื่อปี ๒๕๕๓ ครับ สมัยที่บวชได้สนทนากับหลวงพี่รูปหนึ่ง และได้กล่าวพาดพิงถึงพระรูปหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาว่า พระพี่เลี้ยงทำอย่างนั้นไม่ถูก และผมได้พูดเห็นด้วยคล้อยตามไป ก่อนหน้านี้ผมได้เคยแจ้งเรื่องสึกของผมให้พระพี่เลี้ยงทราบไปแล้ว ไป ๆ มา ๆ ผมได้แจ้งให้หลวงพี่อีกรูปจัดการเรื่องการสึกของผม

ทีนี้ผมไม่ทราบว่าพระสองรูปนั้นจะมีปัญหาในการจัดหาพระในวันสึกหรือไม่ แต่ผมกับพระพี่เลี้ยงไม่ได้แตกแยกกัน แต่เข้าใจว่าหลวงพี่คงจัดหาพระมาในวันสึก และอีกส่วนหนึ่งเป็นพระที่พระพี่เลี้ยงจัดหามา หลังจากนั้นพอผมสึกไปแล้ว ถามพระพี่เลี้ยงว่าเคยแตกแยกกับหลวงพี่รูปนั้นหรือไม่ ? ท่านว่าไม่ได้แตกแยกกัน มีการทำสังฆกรรมร่วมกัน แต่ถ้าลงปาฏิโมกข์ ปกติหลวงพี่รูปนี้จะไม่ค่อยลงอยู่แล้ว ลักษณะเช่นนี้ผมเป็นคนยุยงให้สงฆ์แตกกัน ผิดในสังฆเภทหรือสังฆาทิเสสหรือไม่ครับ ?

ตอบ : คุณอยากเป็นไหมล่ะ ? ถ้าอยากเป็นก็เป็นได้ คำว่าสังฆเภทหรือทำให้สงฆ์แตกกัน หมายความว่าสงฆ์แบ่งเป็น ๒ ฝ่าย ต่างฝ่ายต่างลงสังฆกรรมของตนเอง ไม่ลงรวมกันทั้ง ๆ ที่อยู่วัดเดียวกัน แล้วของเราจะเป็นสังฆเภทอะไรเล่า ? นอกจากพระท่านไม่พอใจกัน เหม็นขี้หน้ากันเท่านั้น

ถาม : แล้วสังฆาทิเสสหรือไม่ ?
ตอบ : สังฆาทิเสสตั้งแต่ข้อ ๙ - ๑๓ จะเป็นก็ต่อเมื่อมีการประกาศท่ามกลางสงฆ์ครบ ๓ ครั้งแล้ว คุณนี่อ่านศีลไม่ละเอียด

ถาม : หลังจากผมสึกออกไป ถ้าพระสองรูปนี้มีปัญหากัน ผมก็ไม่เกี่ยวใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เรื่องของเขา ถ้าเราชอบใจฝ่ายไหนก็ไปช่วยชกอีกฝ่ายก็แล้วกัน..!

เถรี 24-06-2013 20:27

ถาม : ระหว่างที่ผมบวช ผมนั่งกับกลุ่มพระวัยรุ่น ทีนี้มีผู้หญิงเดินผ่านไป ในใจผมคิดว่าพระวัยรุ่นน่าจะพูดถึงผู้หญิงที่เดินผ่านไป แต่ผมไม่ได้พูด ผมจะเป็นสังฆาทิเสสไหมครับ ?
ตอบ : จะเป็นได้อย่างไร ? การเป็นสังฆาทิเสส เขาบอกว่าภิกษุเกี้ยวหญิงด้วยจิตกำหนัด เราเองได้พูดเกี้ยวสักคำไหมเล่า ?

ถาม : ระหว่างบวชเราไปถูกมือผู้หญิงโดยไม่ได้เจตนา แล้วเกิดความไม่สบายใจ ไปถามหลวงตาในวัดท่านบอกว่าเป็นสังฆาทิเสส ?
ตอบ : เขาเรียกว่าโดนอาบัติทุกกฎ ต้องปลงอาบัติ การเป็นสังฆาทิเสสท่านกำหนดว่า "ภิกษุมีจิตกำหนัด จับต้องกายหญิง (แม้เด็กหญิงแรกเกิด) ต้องอาบัติสังฆาทิเสส" ของเราไม่ได้จับเขา เป็นการกระทบถูกเข้าโดยไม่ได้เจตนา...

เถรี 24-06-2013 20:32

ถาม : ตอนที่ผมสึกผมได้เอาของสงฆ์มา และเจตนานำไปถวายพระที่วัดอื่น ทำอย่างนี้จะเป็นปาราชิกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เราเอามาตอนเป็นฆราวาสแล้ว เป็นอาบัติปาราชิกไม่ได้หรอก แต่โอกาสที่จะซวยเพราะเอาของสงฆ์มานั้นมีเยอะ ถ้าชิงตายเสียก่อนก็เฮงเลย..!

ถาม : และผมได้นำของใช้ อัฐบริขารกลับบ้านด้วย โดยไม่บอกพระพี่เลี้ยง ถือเป็นปาราชิกหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ตอนเป็นพระหรือฆราวาส ?

ถาม : น่าจะตอนสึกครับ ?
ตอบ : ถ้าสึกไปแล้วก็ติดหนี้สงฆ์..!

ถาม : ถ้ายังไม่สึกล่ะครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่สึกก็ปาราชิก..!

เถรี 25-06-2013 20:17

ถาม : เงินที่คนทำบุญมาในช่วงบวช ผมได้แบ่งให้พ่อแม่ไปบางส่วน ?
ตอบ : บอกท่านให้รีบไปสร้างพระชำระหนี้สงฆ์เสีย ถ้าตายก่อนก็ซวยจริง ๆ ส่วนใหญ่สมัยนี้ลูกก็ไม่รู้ ได้อะไรมาตอนเป็นพระก็ดันเอาไปให้พ่อให้แม่ ให้ญาติให้โยม พาเขาซวยชัด ๆ..!

ถาม : ถือว่าเป็นปาราชิกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เป็น...แต่เป็นการเอาของสงฆ์เข้าบ้าน หาเรื่องเดือดร้อน ปาราชิกต้องขโมย นี่เป็นของเรา แต่ว่าเราได้จากการที่เป็นพระแล้ว เขาเรียกว่าของสงฆ์

ถาม : ต้องไปร่วมสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าใครเขาสร้างก็ต้องร่วมกับเขาไป ถ้าไม่มีก็ต้องรีบสร้างเสียเอง เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะสมัยนี้ส่วนใหญ่บวชตามประเพณี แล้วครูบาอาจารย์หรือพระพี่เลี้ยงก็ไม่สั่งไม่สอน ก็เลยกลายเป็นบวชแล้วมีโทษมากกว่า

อยู่วัดท่าขนุนนี่ทิดกวางจะต้องปากเปียกปากแฉะอย่างน้อย ๗ วัน ย้ำแล้วย้ำอีก ถ้าคนไหนเคยบวชมาก่อน ต้องไล่ถามกันเลยว่าเคยโดนอาบัติสังฆาทิเสสข้อไหนมาบ้าง ไล่ไปทีละข้อ ถ้าใครเคยโดนมาก่อน ให้ไปอยู่ชุดสุดท้าย บวชเสร็จก็ส่งไปอยู่ปริวาสเลย ให้อยู่กรรมให้ครบแล้วค่อยกลับมา เพราะว่าถ้าอยู่ชุดแรกนี่เท่ากับเป็นสังฆาทิเสสคาอยู่ ถึงเวลาบวชเสร็จไปนั่งเข้าสังฆกรรม พระชุดต่อ ๆ ไปก็ไม่เป็นพระแล้ว เพราะกลายเป็นอนุปสัมบัน คนที่ศีลไม่เสมอกันไปอยู่ด้วย สังฆกรรมก็เสียหมด

เถรี 25-06-2013 20:25

ถาม : ถ้าผมตายไปแล้ว มีคนจะเอากระดูกผมไปทำวัตถุมงคล ผมจะทำอย่างไรดี ?
ตอบ : คงไม่มีใครสิ้นสติขนาดนั้นหรอก..! ไม่ต้องไปกลุ้มใจ เราตายไปแล้วไม่ต้องทำอะไร เพราะเป็นคนอื่นทำแล้ว ไม่ใช่เรา เป็นเรื่องของเขา ถ้าใครสิ้นสติขนาดนั้นก็ยกให้เขาไปเถอะ ถึงเวลาอย่าไปตาม “เอาของกูคืนมา” ก็พอ..!

เถรี 25-06-2013 20:29

ถาม : เจ้ากรรมนายเวรมากวน
ตอบ : ปล่อยเขา เราทำเขาเอาไว้เยอะ ถึงเวลาเขามาเอาคืนก็เป็นเรื่องปกติ ก็ค่อย ๆ ทยอยใช้หนี้ไป หรือไม่ก็ประเภท 'ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย' ก็จบ

ถาม : ภาวนาพุทโธไม่ได้เลยค่ะ ฟุ้งตลอด ?
ตอบ : ไม่เป็นไร...พุทโธไม่ได้ก็มองภาพพระ แน่จริงก็มาบังพระไปจากเราดูสิ คืออะไรที่เป็นส่วนของความดี เราเอาตรงส่วนนั้นให้ได้ สมัยที่อาตมาบวชใหม่ ๆ บางที ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ รุมตีเสียจนกระทั่งภาวนาไม่ได้ ฟุ้งไปหมด จึงไปนั่งมองหน้าพระประธาน ดูซิว่าเขาจะมีปัญญาทำอะไรเราได้มากไปกว่านี้ไหม ?

ไม่ต้องไปกังวลหรอก สำคัญที่กำลังใจของเราคิดจะเอาดีไหม ? ถ้าเราคิดจะเอาดีก็นั่งพิจารณาในเรื่องของศีลไปก็ได้ ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่นี่ ศีลของเราบริสุทธิ์ กายของเราไม่ได้ทำชั่ว วาจาไม่ได้พูดชั่ว ถ้าใจอยากคิดชั่วก็ได้นิดเดียว ให้มันไป ส่วนกำไรของเรามีตั้งเยอะ

เถรี 25-06-2013 20:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องศรัทธาของคนนี่น่ากลัวนะ ก่อนหน้านี้เวลาอาตมาไปไหนก็เดินต๊อก ๆ หรือไม่ก็ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ นั่งสองแถว โอ๊ย...มีความสุขจะตาย เดี๋ยวนี้ออกจากวัดได้ที่ไหน พอชาวบ้านเห็นอาตมาเขาขี่มอเตอร์ไซค์หรือขับรถมา เขาก็เลี้ยวมาหา “อาจารย์..นิมนต์ครับ” อาตมาว่า “กูขอไปเองบ้างไม่ได้หรืออย่างไรวะ ? จะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตแล้ว ไม่ได้เดินเองเลย”

ส่วนใหญ่เขาไปวัดแล้วก็ไปดุอาตมาด้วย เห็นทำงานก๊อก ๆ อยู่ เขาก็บอกว่า "ลูกศิษย์มีตั้งเยอะตั้งแยะทำไมไม่ให้เขาทำ ? ทำไมยังต้องทำเองอีก ?" ถ้าให้เขาทำแล้วต้องมาแก้ไข ลำบากกว่าทำเองตั้งเยอะ"

เถรี 25-06-2013 20:43

พระอาจารย์เล่าว่า "มีโยมคนหนึ่งที่พ่อแม่เขาพาไปวัด มีปัญหาเพราะเขาพูดคนละภาษากัน คนหนึ่งเอาแต่ภาษาธรรม ส่วนอีกคนเอาแต่ภาษาโลก ไปด้วยกันไม่ได้ คราวนี้หลวงปู่มหาพล วัดเขื่อนท่าทุ่งนา ท่านก็เลยโทรศัพท์มา “อาจารย์เล็ก...รบกวนหน่อยเถอะ เรื่องนี้เกินกำลังผมแล้ว” อาตมาจึงนัดท่านไปที่วัดท่าขนุน โยมชุดนี้เป็นลูกศิษย์ท่านอยู่

พ่อเขาเป็นคนเริ่มก่อน “ถ้ามีอะไรจะคุยเป็นการส่วนตัว เดี๋ยวผมกับแม่ออกไปก่อนก็ได้” อาตมาก็เลยบอกลูกเขาว่า “สิ่งที่เราพูด คนอื่นเขาฟังไม่รู้เรื่อง เขาก็ว่าเราบ้า” คนเป็นลูกบอกว่า "ทำไมต้องไปสนใจร่างกายนี้ด้วย มีแต่ของเน่า ๆ แล้วทำไมต้องไปคอยดูแลผูกพันอยู่กับลูกด้วย เมื่อถึงเวลาก็ต่างคนต่างไป" เวรกรรม..! คนทั่วไปฟังจะรู้เรื่องไหม ?

อาตมาบอกเขาไปว่าต้องทำตัวอย่างไร "เรายังอยู่กับโลก เราต้องเคารพสมมติทางโลกเขาด้วย การที่เราทำ เราวางได้ก็จริง แต่เป็นการวางใส่หัวคนอื่นเขา คนอื่นเขายังรับไม่ได้ ถึงเวลาเขาตำหนิ เขาด่าว่าขึ้นมา ก็เป็นโทษใหญ่แก่เขา ร่างกายของเราสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่คนอื่น พ่อแม่ถึงแม้จะเป็นคนละบุคคลกัน ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ถึงเวลาต่างคนต่างตายก็จริง แต่ถ้าไม่มีพ่อแม่ เราก็ไม่ได้เกิดมา ในเมื่อไม่มีพ่อแม่ เราไม่ได้เกิดมา แล้วเราจะรู้เห็นธรรมะในส่วนนี้ไหม ? " ต้องค่อย ๆ คุยกับเขา ท้ายสุดคิดว่าพูดกันรู้เรื่องแล้วเชียวนะ เห็นพ่อแม่กลับไปคืนดีกันได้ แต่ที่ไหนได้...คนเป็นลูกหันมาบอกว่า จะพาลูกของตนไปบวชเณร อาตมาก็ว่าเดือดร้อนตูอีกแน่ ๆ เลย..!

สิ่งที่เขาพูดมาใช่ทั้งหมดนั่นแหละ แต่คนที่ยังรับไม่ได้ เขาจะฟังไม่เข้าใจหรอก แล้วก็หาว่าลูกบ้า พ่อจะเข้าใจง่ายกว่าแม่ พ่อเขาบอกว่า “อย่างนี้นะครับท่านอาจารย์ สรุปว่าลูกผมปกติใช่ไหม ?” อาตมาก็บอกว่าปกติ อาการของคนที่ปฏิบัติในตอนแรก ๆ จะยังปรับตัวเข้ากับทั้ง ๒ ฝั่งไม่ได้ จะเป็นอย่างนี้แหละ ต้องรอเขาปรับตัวไประยะหนึ่ง เขาก็ว่า “ถ้าอย่างนั้นผมก็โล่งใจ”

แต่คนเป็นแม่ไม่ยอม “เขาบอกว่าเขาตัดหนูได้ตั้ง ๒ ปีแล้ว เป็นไปได้อย่างไร มาตัดแม่ตัดลูกกัน.!” โอ๊ย...โกรธเสียไม่มี"

เถรี 25-06-2013 20:46

ถาม : เขามาถูกทางหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าเขามาถูกทางแล้ว แต่ออกตัวแรงไปหน่อย พ่อแม่เขาอยากให้มาช่วยกิจการทางบ้าน เพราะมีรีสอร์ทอยู่ คนเป็นลูกก็บอกว่า “แล้วจะมีประโยชน์อะไร เดี๋ยวก็ตายแล้ว ทรัพย์สมบัติก็ขนไปไม่ได้สักอย่าง แล้วทำไมต้องไปทำให้ทุกข์มากขึ้นด้วย ?” ใช่ทั้งนั้นเลย..ใช่ไหม ?

อาตมาบอกกับเขาแล้วว่า ถ้าไม่มีทางก็แวะไปวัดท่าขนุนก็แล้วกัน อย่างน้อย ๆ ตรงนี้พอจะเป็นหลุมหลบภัยให้พักบ้าง


ถาม : นักปฏิบัติส่วนใหญ่มักมีปัญหากับครอบครัวมาก ?
ตอบ : มีมาก เพราะอีกฝ่ายเริ่มต้นคุยเรื่องก.ไก่ แต่อีกคนไปคุยเรื่องปริญญา เขาจะไปรู้เรื่องอะไรเล่า คาดว่าคงจะปรับตัวได้ดีขึ้นหน่อย เพราะว่าพยายามชี้แจงเขาแล้ว บอกว่าสมมติกับวิมุติเหมือนกับเหรียญ ๒ หน้า คุณทิ้งไม่ได้หรอก อย่างไรก็ต้องติดตัวเราไป เพราะฉะนั้น..การปฏิบัติ ควรจะทำตัวเองให้เป็นทุกข์โทษเวรภัยกับคนอื่นให้น้อยที่สุด เรียกง่าย ๆ ว่า เราไม่สามารถสงเคราะห์อย่างอื่นเขาได้ อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยเมตตา อย่าให้ กาย วาจา ใจ ของเราเป็นทุกข์เป็นโทษกับเขาเลย แต่นี่...แม่เจ้าประคุณจะทิ้งอย่างเดียว

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : เขาไม่มีโอกาสไป แล้วคราวนี้หลวงพ่อวัดเขื่อนท่าทุ่งนาบอกพ่อแม่เขา พ่อแม่เขาก็โทรศัพท์หาลูก พ่อแม่เขายังแปลกใจ เอ๊ะ..คราวนี้ลูกเขายอมไป เขาว่าอย่างนั้น พอพ่อแม่เขาออกไป เขาค่อยมากระซิบบอกว่าเป็นเพื่อนกับคุณไพรินทร์ อ๋อ...ที่แท้เขารู้จักอาตมาล่วงมาก่อนหน้าแล้ว

เถรี 25-06-2013 20:51

ตอนแรกก็ว่าเขาคุยกันรู้เรื่องแล้ว อย่างน้อย ๆ กลับไปทุกอย่างน่าจะดีขึ้น ที่ไหนได้เขาหันมาบอกว่า "จะเอาลูกไปบวชเณร" เดี๋ยวพ่อแม่ก็ได้ดิ้นตายเท่านั้นเอง..!

แม่เขาบอกว่า “อยู่เมืองไทย หลานไม่ยอมพูดภาษาไทย พอบอกลูกให้สอนหลาน ลูกก็มากรี๊ดใส่แม่ว่า จะไปห่วงไปใยอะไรนักหนา เดี๋ยวก็ตายจากกันไปแล้ว” ที่เขาพูดมานั่นใช่ทั้งนั้นเลย เพียงแต่ว่าใช้กระบวนท่าผิดจังหวะเท่านั้นเอง เขาเรียกว่าไม่มีกาลัญญุตา ไม่รู้ว่ากาละ เวลา สถานที่ไหนที่เหมาะสม เห็นว่าสิ่งนี้ดีก็พุ่งไปสุดตัวเลย ไม่มียั้ง คนอื่นเขาจึงรับไม่ได้


ถาม : เขาบอกว่าตัดแม่แล้วหรือคะ ?
ตอบ : เขาบอกว่าตัดพ่อตัดแม่ได้มา ๒ ปีแล้ว แม่โกรธ พูดขึ้นมาประโยคไหน แม่เขาจะต้องเอ่ยคำนี้ขึ้นมา “อุตส่าห์เลี้ยงมันมาขนาดนี้ มันบอกว่ามันตัดแม่มา ๒ ปีแล้ว ถึงเวลาเราหวังดีปรารถนาดี มันทำกิจการอะไรเราก็อุตส่าห์หาเงินหาทองไปให้มัน มันดันบอกว่าตัดแม่ได้แล้ว” นึก ๆ แล้วก็ขำดี

ถาม : หนูว่าที่เขาพูดมานั้นใช่ค่ะ ?
ตอบ : ใช่ทั้งหมด แต่เขาใช้ผิดจังหวะ เสียเวลาอธิบายให้เขาฟังเป็นชั่วโมง ก่อนจะกลับหลวงปู่วัดท่าทุ่งนาว่าอย่างไรรู้ไหม ? “สมกับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงบอกว่าเป็นผู้มีปัญญามาก” อาตมาก็บอก “ไม่ใช่หรอกครับหลวงพ่อ ผมแค่เคยผ่านมาก่อน คนอื่นเขาเดินตามรอยมา ผมบอกเขาได้อยู่แล้วครับ”

หลวงปู่ท่านอายุตั้ง ๘๐ กว่าปีแล้ว ท่านไม่มีแรงไปรบกับเขาหรอก กว่าจะอธิบายให้เข้าใจทั้งแม่ทั้งลูก หลวงปู่ก็เป็นลมพอดี

เถรี 25-06-2013 20:53

กรณีอย่างนี้มีบ่อยนะ อย่างเดือนก่อนก็มีเหมือนกัน คนนี้หนีไปถึงจะไปอยู่วัดเลย “หนูเคยอารมณ์พังมาหลายที หนูไม่ยอมแล้วครั้งนี้” ลืมไปว่าพ่อแม่เพิ่งจะพาไปลงทะเบียนที่ ม.อัสสัมชัญเสร็จ รุ่งขึ้นกลับหนีไปวัดเลย ไม่เรียนแล้ว คนอื่นทั้งชีวิตจะเข้าอัสสัมชัญ บางทีได้แต่ฝัน แต่นี่เข้าได้แล้ว ลงทะเบียนเสร็จ หนีไปวัดเลย ดีเหมือนกัน อยู่ ๆ ก็หาภาระมาให้พระได้ลับสมองเล่นอยู่เรื่อย ...(หัวเราะ)...

หยกอย่าทำอย่างนี้ให้พ่อแม่ตกใจนะ ปล่อยสไบเงินไปคนเดียวก่อน ตอนนี้ให้สไบเงินไปเป็นคุณครูแล้ว เขารู้สึกว่าเขาเรียนรู้มาตั้งเยอะแยะแล้วเขาไม่ได้ใช้ประโยชน์ พอดีทางโรงเรียนต้องการครูสอนภาษาอังกฤษ ก็เลยแบ่งไปให้ ๔ ชั่วโมง ให้พระท่านไป ๔ ชั่วโมง เอาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง วันก่อนย่องไปดูที่โรงเรียน เห็นเขานั่งทำงานแล้วมีความสุข อาตมาก็ว่าดีเหมือนกัน เขาไม่เห็นหรอก อาตมาเห็นเขาฝ่ายเดียว

เถรี 25-06-2013 20:59

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปริญญาเอกที่อาตมาเรียนอยู่เป็นสาขา Buddhist Management เพราะฉะนั้น..ทุกอย่างจะเป็นของฝรั่งจ๋าขนาดไหนก็ตาม ท้ายสุดต้องดึงมาเข้าหลักของพระพุทธเจ้าให้ได้ ซึ่งในปัจจุบันคนเขากำลังเริ่มฮือฮาสาขานี้กันอยู่ ว่าของดีอยู่ในบ้านเรา ฝรั่งขโมยไปใช้แท้ ๆ ทำไมเราไม่เอาของเรามาใช้เสียเอง ก็เลยคิดว่าต่อไปใครจบสาขานี้ไปงานคงท่วมหัว เพราะส่วนใหญ่หลักของฝรั่งที่เขาว่ามา จับลงหลักของพระพุทธเจ้าได้หมด เหมือนที่ท่านบอกว่าจะลำธารหรือแม่น้ำกี่สายก็ตาม ท้ายสุดก็ลงมหาสมุทรทั้งหมด

ในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หลักปรัชญาคำว่า "พอเพียง" ควรจะเป็นหลักธรรมข้อไหน ?"


ถาม : สันโดษหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : สายกลางก่อน สันโดษยังรองลงไป มัชฌิมาปฏิปทาก่อน พอเหมาะพอดี ไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง เสร็จแล้วถึงจะเน้นเข้ามาหาเรื่องของสันโดษ ยินดีตามมีตามได้ ยินดีตามที่ตนหาได้ ยินดีตามฐานะที่ตนมีอยู่ คนส่วนใหญ่เขากระโดดข้ามไปสันโดษกันทั้งนั้น

หลักสำคัญจริง ๆ ไม่ได้คิดถึง พระพุทธเจ้าตรัสครั้งแรกก็มัชฌิมาปฏิปทาเลย เสร็จแล้วก็ไล่ไป หลักการเขามีกี่ข้อ วิธีการเขามีกี่ข้อ ต้องดึงเข้าหาธรรมะของเราให้ได้

เถรี 25-06-2013 21:00

เรียนระดับนี้แล้วเห็นชัด ๆ เลยว่า เรื่องของแนวความคิดนั้นสำคัญที่สุด เขาบอกว่าปริญญาตรีเราเรียนรู้ทฤษฎีคนอื่นก็พอแล้ว ถ้าปริญญาโทเราต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่า แนวคิดของทฤษฎีนั้นคืออะไร แต่ปริญญาเอกเขาบอกว่า คุณต้องตั้งทฤษฎีของคุณเอง

แสดงว่าในหลวงเราเกินปริญญาเอกไปเยอะเลย แต่ละอย่างที่พระองค์ท่านบอกมาสุดยอดทั้งนั้นเลย ทฤษฎีเกษตรทฤษฎีใหม่ ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีของพระองค์ท่านไม่รู้ออกมาเท่าไร สรุปแล้ว ๔,๐๐๐ กว่าโครงการ แต่ในหลวงก็ถ่อมพระองค์นะ พระองค์ท่านบอกว่าไม่ใช่สำเร็จทุกโครงการ แต่ถ้าสำเร็จก็จะเป็นประโยชน์แก่ชาวบ้านเขา

แต่ปรากฏว่า ๔,๐๐๐ กว่าโครงการของพระองค์ท่าน สำเร็จเกินร้อยละ ๙๐ ที่สำคัญที่สุดก็คือหลากหลายมาก ครอบคลุมทุกเรื่องที่ชาวบ้านเขาเดือดร้อนแล้วต้องการให้ช่วย

เถรี 26-06-2013 12:33

พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่ถวายสังฆทานว่า "คราวหน้าอุ้มพระมาก็ได้จ้ะ ไม่ต้องถึงขนาดกับเทินหัวมาหรอก แต่ประเภทหิ้วคอพระนั่นเกินไป สภาพจิตหยาบเกิน ส่วนประเภทเทินหัวมาก็จิตละเอียดเกิน การปฏิบัติจะเป็นอย่างนี้แหละ กาย วาจา ใจ ค่อย ๆ ขัดเกลาไปเรื่อย ๆ เขาถึงได้เรียก สัลเลขะตา มีการขัดเกลา อัปปิจฉตา เป็นผู้มักน้อย สันตุฏฐิตา เป็นผู้สันโดษ เป็นต้น"

เถรี 26-06-2013 12:37

ถาม : ลูกสาวหนู เวลานั่งสมาธิแล้วสัปหงก แสดงว่าต้องหลับแน่เลยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ให้นั่งก็แล้วกัน ไม่ต้องไปสนใจว่าเขาจะหลับหรือไม่หลับ จะเป็นถีนมิทธะหรือว่าจะเป็นนิวรณ์ก็ช่างเขา ขอให้ได้ทำ

ถาม : แต่พอเลิกเขาก็ยืนยันว่าเขาไม่ได้หลับ หนูเลยชักไม่แน่ใจ หรือตกลงไม่ได้หลับจริง ๆ ?
ตอบ : สภาพจิตของเขาอาจจะรู้ตัวตลอด แต่อาการข้างนอกพาไป ถ้าลักษณะอย่างนั้นอาจจะเป็นเรื่องของปีติก็ได้ เพราะว่าโอกกันติกาปีติก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว

ถาม : เขาเป็นแทบทุกครั้งเลยค่ะ ?
ตอบ : พอนาน ๆ ก้าวข้ามไปได้ก็เลิก ตอนนี้ยังข้ามไม่ได้ก็ทนไปก่อน

เถรี 26-06-2013 13:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครอ่านเรื่องเจ้าพ่อหลักเมืองสิงคโปร์ในเว็บวัดท่าขนุนบ้าง ถ้าไปสิงคโปร์แล้วมีเรื่องอะไรเดือดร้อนขอให้ท่านช่วย แก้บนด้วยบุหรี่ ๑ มวนนะจ๊ะ จุดติดแล้วก็วางไว้ที่สูงหน่อย ถ้าเป็นซิการ์ฮาวานาได้จะดีมาก"

เถรี 26-06-2013 13:32

ถาม : ช่วงนี้เวลานั่งสมาธิ ผมตั้งใจว่านั่ง ๓๐ นาที เหมือนเป็นช่วงตั้งตัวที่ดีขึ้น จิตจะคลายตัวออกมารับรู้ช่วงหนึ่ง และจะเข้าไปทำสมาธิอีกช่วงหนึ่ง ผมจะทำอย่างไรให้ขยายเวลาได้ยาวอย่างนั้น ?
ตอบ : ช่วงที่คลายออกมานั้นแสดงว่ากำลังใจตันแล้ว ไปต่อไม่ได้แล้ว ก็จะหลุดของออกมาเอง ตอนนั้นให้เราพิจารณาวิปัสสนาญาณต่อไปเลย ถ้าเราพิจารณาวิปัสสนาญาณ จิตจะนิ่งแล้วกลับไปเป็นสมาธิอีกช่วงหนึ่ง แล้วช่วงจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ แต่คุณไม่ได้พิจารณา เอาแต่จะตะบันเข้าไปอีก ก็จะได้ระยะเวลานิดเดียว ใหม่ ๆ เป็นอย่างนี้ทุกคนแหละ จนกว่าจะรู้วิธี

ถาม : บางครั้งผมเคยพิจารณาละเอียดจนภาวนาได้ แต่หลัง ๆ นี่ไม่เป็น เพราะอะไรครับ ?
ตอบ : ก่อนหน้าเคยทำอย่างไรให้ทำอย่างนั้น ย้อนกลับไปดูว่าตอนที่เราพิจารณาได้เราทำอย่างไร สร้างเหตุเหมือนเดิม ผลเดิมก็เกิดอีก

ถาม : เกี่ยวกับผลการปฏิบัติของพระคาถาเงินล้าน ถ้าทำมาหลายเดือนแล้วแต่ไม่ค่อยเห็นผล เราควรจะต้องย้อนกลับไปดูตรงไหนเป็นหลัก ?
ตอบ : อย่าภาวนาด้วยความอยาก เรามีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียว ผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็ช่าง เราก็ว่าของเราไป ถ้าอยากจะโดนตัดไปเลย

เถรี 26-06-2013 13:45

ถาม : เวลาทุกครั้งที่ทำสมาธิ ถ้ากำลังใจคลายออกมาก็คือให้พิจารณา ?
ตอบ : ต้องพิจารณาเลย ไม่อย่างนั้นถ้าฟุ้งคราวนี้ก็สาหัสเลย เพราะเอากำลังของสมาธิไปฟุ้ง เราจะฟุ้งชนิดที่หยุดไม่อยู่

ถาม : ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมบางครั้งถึงทำสมาธิได้ยาว เป็นเพราะสมาธิจิตหรือครับ ?
ตอบ : เพราะสิ่งแวดล้อม เราคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างไร ถ้าทำแล้วดี ก็เท่ากับว่าเราต้องคิดอย่างนั้น พูดอย่างนั้น ทำอย่างนั้น อยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น ถ้าอยู่ผิดที่ก็เหลือสั้นหน่อยเดียว

เถรี 26-06-2013 14:03

ถาม : วัตถุมงคลเกี่ยวกับเสือ เช่น เขี้ยวเสือ เป็นเมตตาตรงไหน ?
ตอบ : มหาอำนาจ ป้องกันภัย ส่วนเมตตานี่เป็นของแถม ในหลวงรัชกาลที่ ๕ สงสัย ถามหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ย ว่า “ขรัวตา..เสือมีเมตตาอย่างไร เพราะเอาแต่ฆ่าสัตว์อื่น” ท่านบอกว่า “มหาบพิตรลองจับเสือมาขังไว้สิ มีแต่คนแห่มาดู” เมตตาตรงเป็นมหานิยมในตัว คนสนใจเพราะเป็นสัตว์ดุร้าย

อย่างตัวที่ให้ท่านเจ้าคุณพระราชปริยัติโมลีดู ตัวนั้นไม่เคยใช้มาก่อนเลย เก่าแห้งไปเฉย ๆ เสร็จแล้วท่านถามว่า “มึงได้มาอย่างไรวะ? กูหามาทั้งชีวิตก็หาไม่ได้” กราบเรียนท่านว่า “เขาตั้งใจขาย ๓,๕๐๐ ครับ ผมเห็นว่าเขี้ยวเก่า ต่อให้ปลอมก็คุ้ม แต่ดันเป็นของแท้” ตัวนั้นเก่าแห้งกรอบเลย ถ้าอยู่กับเนื้อคนตลอด จะฉ่ำเป็นเงาธรรมชาติ


ถาม : เป็นเพราะอะไร ?
ตอบ : เหมือนกับได้รับพลังอะไรบางส่วนจากตัวคนไปด้วย

ถาม : และการที่เราเอาน้ำมันไปชุบ ?
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ เพราะต่างกัน ประเภทค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป กับประเภทไปทีเดียว ต่างกันมากนะ ถ้าคนเขามีตา เขาดูออก เดี๋ยวครั้งนี้จะพาเสือตัวนี้ไปเที่ยวยุโรปด้วย

เถรี 26-06-2013 14:11

เขาบอกว่าวัตถุมงคล ถ้ามีของจริงดูแล้วจะชิน ต่อไปจะได้จำได้ เราจะได้เห็นข้อต่างว่า ของที่เขาไปรมควันมา ทอดน้ำมันมา กับของเก่าจริงนั้นต่างกันเยอะมาก

คนโบราณแกะเก่งจริง ๆ ชิ้นแค่นี้ แกะออกมาเป็นธรรมชาติมากเลย เซียนเขาบอกว่า ต้อง
หูหนู หน้าแมว เขี้ยวโปร่งฟ้า ยันต์กอหญ้า ตาลูกเต๋า ถึงจะเป็นของวัดบางเหี้ยแท้ ๆ แต่ก็อย่างว่า..คนเราได้ยินอย่างเดียว ถ้าไม่มีของจริงเป็นตัวอย่างก็โดนเขาหลอกได้

เถรี 26-06-2013 14:14

พระอาจารย์กล่าวเตือนว่า "ภาษิตจีนเขาบอกว่า ทหารหนีทัพ ๕๐ ก้าว หัวเราะเยาะคนหนี ๑๐๐ ก้าว หาว่าอีกฝ่ายขี้ขลาด ทั้งที่หนีด้วยกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้น..ต่อให้ตัดกิเลสได้มากกว่าเขา เราก็ยังหัวเราะเขาไม่ได้ เพราะยังไม่หลุดจากกิเลสเหมือนกัน"

เถรี 27-06-2013 10:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "จะเล่นพระเครื่องต้องเอาทีละอย่าง ศึกษาทีละเนื้อ ไม่อย่างนั้นแล้วจะมั่วไปหมด แม้กระทั่งศึกษาทีละเนื้อ อย่างเช่นเนื้อผงหรือเนื้อดิน เราก็ต้องรู้ว่าเนื้อนี้สร้างด้วยอะไรบ้าง ต้องรู้ถึงลักษณะเด่นว่าเวลาสร้างขึ้นมาแล้ว จะมีอะไรเป็นจุดเด่นของเนื้อชนิดนั้น ลักษณะของเนื้อใหม่เป็นอย่างไร เนื้อปานกลางเป็นอย่างไร เนื้อเก่าเป็นอย่างไร ซึ่งจะดูยากสักหน่อย

แต่ว่าถ้าเป็นเสียครั้งแล้วก็จะจำได้ตลอดชีวิตเลย ถ้าเล่นหลาย ๆ อย่าง ใครว่าอะไรดีก็แห่ตามเขาไป เดี๋ยวก็เจ๊ง เพราะค่าครูมักจะแพง กว่าจะรู้จริงแต่ละอย่างนี่หมดไปไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร

อาตมาได้เปรียบ เพราะพี่ชายเล่นพระมาตั้งแต่อาตมายังตัวเล็ก ๆ วัน ๆ กับพวกเพื่อนร่วมก๊วน ๔ - ๕ คน มากินน้ำชากาแฟส่องพระกันทั้งวัน เสร็จแล้วพระน้องชายก็มาชอบต่อ ตั้งแต่พวกเรายังเรียนป. ๕ - ๖ ก็มีพระเก่าดี ๆ กันคนละหลาย ๆ องค์ อย่างพระถ้ำเสือพิมพ์ตุ๊กตา พระถ้ำเสือพิมพ์ใหญ่ พระขุนแผนพิมพ์ไข่ผ่าซีก ฯลฯ เพราะตอนนั้นบ้านอยู่กำแพงแสนติดสุพรรณบุรี ก็ต้องเล่นของในพื้นที่ก่อน คราวนี้พอดูเป็นแล้วก็สบาย

บางทีรุ่นใหญ่เขาสอนถึงขนาดให้เอาน้ำหยดใส่พระถ้ำเสือ หยดลงก็หายวาบเลย องค์นี้ตีไปเลย ๘๐ เปอร์เซ็นต์ของแท้ ถามว่าทำไม ? เพราะของที่ผ่านการเผามาเก่านานขนาดนั้น ความชื้นจะมีน้อยมาก ฉะนั้น..ถ้าความชื้นลง จะถูกดูดวูบหายเกลี้ยงเลย เขาจะมีจุดเด่นจุดตาย ลักษณะพิมพ์ทรงที่ต้องจำให้แม่น เรียนทีละอย่างแล้วจะแม่น ถ้าเรียนหลาย ๆ อย่างมักจะมั่ว"

เถรี 27-06-2013 10:15

ถาม : สีของพระผงหลวงปู่ปานล่ะครับ ?
ตอบ : เป็นสีขาว แต่ว่าพอถึงเวลาแล้วเขาอุดด้วยซีเมนต์ เพราะฉะนั้น..ที่ข้างนอกด้านบนจะเป็นซีเมนต์

ถาม : ผมก็คิดว่าเป็นผง ?
ตอบ : ไม่ใช่ ผงส่วนผง ซีเมนต์อุดส่วนซีเมนต์

ถาม : จำเป็นไหมครับที่รอยอุดจะต้องนูนขึ้นมา ?
ตอบ : อยู่ที่คนอุด ถ้าคนอุดประณีตหน่อยก็แทบจะเสมอเลย ถ้าคนอุดไม่ประณีตก็เป็นก้อนเชียว สำคัญตรงพิมพ์ทรงกับเนื้อหา เนื้อพระหลวงปู่ปานจะเป็นดินท้องนา ถ้าคุณเป็นลูกชาวบ้าน เคยเห็นเขาเผาอิฐ จะจำแม่นเลยว่าดินท้องนาเผาแล้วหน้าตาจะเป็นอย่างนี้ ดูทีเดียวจะจำได้เลย ในเรื่องของแบบพิมพ์อะไรก็ตาม สำคัญที่สุดตรงอักขระ อักขระจะมี ๔ ตัว หรือจะเป็นยันต์อะไรของหลวงปู่ก็ตาม อักขระจะคมชัดมาก ถ้าเลือน ๆ นี่ระวังไว้ก่อนว่าไม่ใช่

พระหลวงปู่ปาน ส่วนใหญ่คนได้ไปจะใช้งานเลย เพราะฉะนั้น..ก็มักจะเจอที่เขาใช้งานมาจนกระทั่งเนื้อหาเก่าเยอะต่อเยอะด้วยกัน ประเภทใหม่แล้วไม่ได้ใช้งานเลย ถ้ามาอยู่ถึงมือเรา บางทีเราก็ตีปลอมไปเลย ต้องระวังให้ดี ต้องจำจุดตำหนิพิมพ์ทรงให้แม่น ถ้าดวงเฮง ๆ ไปเจอใหม่เอี่ยมไม่เคยใช้แล้วตีปลอมนี่เจ๊งเลยนะ..!

เถรี 27-06-2013 10:28

ถาม : แล้วจริงไหมว่าที่ว่าด้านหลังเขาจะใช้ไม้ไผ่ช่วยพิมพ์ เพราะบางทีก็มีลายนิ้วมือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่เรา เหมือนกับเราจับพลิกไปมาก็ติดลายไป เพราะฉะนั้น..สำคัญตรงพิมพ์ทรงกับลักษณะของอักขระเลขยันต์ พวกนี้จะเป็นตัวชี้ขาด เนื้อหาก็สำคัญมาก เพราะว่าดินท้องนาต่างจากดินอย่างอื่น ถ้าอยากจะดูพระที่เนื้อใกล้เคียงของหลวงปู่ปาน ให้ดูเนื้อพระของหลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน แต่พระของหลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน ท่านทำเยอะเป็นลำเรือ ก็จะไม่มีเวลามากรองดิน พระของหลวงปู่ปานจึงเนื้อละเอียดกว่า แต่ลักษณะสีสันของเนื้อจะเหมือนกัน

หลวงปู่โหน่งท่านตั้งใจจะทำแค่เป็นพุทธบูชา เพราะฉะนั้น..พิมพ์อะไรสวยท่านทำหมด แต่พระของหลวงปู่ปานท่านทำตามตำราพระร่วง ลักษณะที่พระขี่หนุมาน ทำน้ำมนต์รักษาโรค พระขี่ครุฑก็ออกไปทางอำนาจ พระขี่ปลาก็ไปค้าขายทางเรือ ถ้าพระขี่ไก่ก็เมตตามหานิยม ถ้าพระขี่นกให้ไว้ทำนา ถ้าพระขี่เม่นก็เอาไว้ทำมาหากินเข้าป่าเข้าดง ก็เลยกลายเป็นว่าคุณสมบัติคนละอย่างกัน แต่หลวงปู่ปานท่านทำผงเสร็จแล้ว ท่านเอามาคลุกรวมกัน องค์เดียวก็มีอานุภาพครบทุกอย่าง

พระของหลวงปู่ปาน ถ้าจะเล่นก็เล่นรุ่นหลัง ก็คือรุ่นล่าสุดที่ท่านทำ ถ้าเป็นรุ่นโบราณ มักจะไปปนกับของวัดคู้สลอด เพราะของวัดคู้สลอดหลวงปู่ปานท่านทำ บางคนก็มักง่ายแหกตาชาวบ้าน เอาของวัดคู้สลอดมาหลอกว่าเป็นพิมพ์โบราณของหลวงปู่ปาน

เถรี 27-06-2013 15:22

เล่นพระให้เล่นด้วยตา อย่าเล่นด้วยหู ไม่ใช่เขาชักประวัติว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเชื่อเลย โดนต้มมาเยอะแล้ว อย่างจับพลังนี่อาตมาเจ๊งเลย เพราะจับแล้วมีพลังทุกองค์

ถาม : องค์นี้จริงหรือปลอมครับ ?
ตอบ : พระของหลวงปู่ปานท่านบอกว่า จะจริงจะปลอม จะใหม่จะเก่า ถ้านึกถึงท่านอานุภาพเท่ากันหมด เพราะฉะนั้น..อย่าสงสัย มี ๒ องค์ที่ให้พรไว้อย่างนี้ก็คือ หลวงพ่อวัดระฆังกับหลวงพ่อปาน ๒ องค์นี้ท่านจะพิเศษหน่อย เพราะว่าเป็นสายพระโพธิสัตว์มาก่อน กำลังท่านสูง ก็สงเคราะห์ให้ได้มาก

เถรี 27-06-2013 15:23

อาตมาไม่ชอบเลี่ยมพระให้แกะง่าย ๆ เลี่ยมแกะง่าย ๆ แล้วเขาแกะส่องกันจัง สมเด็จวัดเกศไชโยโดนเขางัดบิ่นไปมุมหนึ่งแล้ว ที่น่าฆ่าที่สุดก็คือ พระโคนสมอเนื้อว่านจำปาสัก เขาดันจิกออกมาดู เอาเล็บจิกจนแหว่งเลย พวกส่องพระแบบนี้ต้องบ้องหู..!

เถรี 27-06-2013 15:27

อาตมาไม่อยากเอาพระผ่านด่านตรวจต่างประเทศ บางรายโหดขนาดที่ว่า “เอายาเสพติดมาปั๊มเป็นรูปพระหรือเปล่า..!?”

ระยะหลังนี่เจอไป ๒ ครั้ง ตอนไปอินโดนีเซีย มัวแต่เพลินดูคนอื่นเขา ลืมอาราธนาพระ เครื่องเลยดัง ตอนไปเขมรเขาเอาลูกมายกให้ รับไปรับมาลืมอาราธนา เครื่องดังอีก กี่ครั้ง ๆ ไม่ดัง ไปดังตอนเผลอทุกที แล้วที่ขำก็คือเรื่องของพระเรื่องของเทวดาท่านสอนให้เรารอบคอบ อาราธนาแค่ไหนได้แค่นั้น กันที่ตัวไปดังที่กระเป๋า กันที่กระเป๋ามาดังที่ตัว..ยุ่งไปหมด..!

เถรี 27-06-2013 19:27

สมัยก่อนอาตมาไม่พกเครื่องรางของขลัง คำว่าสมัยก่อนก็คือ เมื่อรับยันต์เกราะเพชรมาแล้ว ด้วยความที่เคยฝึกมโนมยิทธิมาก่อน พอนึกถึงก็เห็นยันต์สว่างอยู่ในท้อง ก็ไปแล้ว...สบาย ไม่ได้พกอะไรอยู่หลายปีเลย จนกระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ตัวเรามีโอกาสเผลอได้ ถ้าเผลอสติไม่ได้อาราธนา พระท่านก็ไม่ได้คุ้มครองให้ แล้วท่านก็เล่าเรื่องของหลวงปู่ปานให้ฟัง

หลวงปู่ปานมีศัตรูตามจองล้างจองผลาญอยู่ตลอด เพราะเขาหากินทางไสยศาสตร์ ส่วนหลวงปู่ปานรักษาคนที่โดนไสยศาสตร์ เขาก็เลยหากินไม่ได้ เพราะทำแล้วไม่มีประโยชน์ หลวงปู่ท่านแก้ได้หมด เขาก็จ้องเล่นงานหลวงปู่ จนเขาไปได้จังหวะตอนท่านสรงน้ำ ท่านถอดอังสะที่ในกระเป๋ามีพระ แขวนไว้จะสรงน้ำ ท่านล้มทั้งยืนเลย โดนเขาบังฟันเอา ขนาดหลวงปู่ยังโดนเลย..!

หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าวาระกรรมมาถึง จะมีจังหวะปลอด ทำให้เราเผลอพอดี ถ้าเราอาราธนาพระท่านคุ้มครอง ถึงเราเผลอสติ พระหรือเทวดาที่ท่านรักษาพระเครื่อง ท่านก็ปกป้องคุ้มครองให้ ดังนั้นโอกาสที่เราเผลอก็มีเหมือนกัน จึงต้องพกไว้บ้าง

เถรี 27-06-2013 19:33

ถาม : ต้องอาราธนาเช้าเย็นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อาราธนาเช้าเย็นได้จะปลอดภัย ส่วนอาตมาอาราธนาทุกครั้งที่ขึ้นรถ ขนาดนั้นยังชนมาหลายต่อหลายครั้ง เพียงแต่เป็นการชนที่คนไม่เป็นอะไรสักที ล่าสุดก็เพิ่งอัดเสาจนหน้ารถยุบเป็นสี่เหลี่ยมเลย แต่ก็แปลก ไม่ได้รัดเข็มขัดเลย ตัวโยกแค่นิดเดียวเอง โยกเหมือนเรานั่งโยกเล่น แต่พอลงไปดู โอ้โห...รถยุบเป็นคืบเลย หน้ารถกลายเป็นรูปเสาไปเลย

มีอยู่ครั้งหนึ่งแยกตึกชัย ต้องให้เขามาช่วยงัดออกจากรถ เพราะออกจากรถไม่ได้ ตอนที่วิ่งมาไฟเขียวอยู่ ต่างคนต่างก็เร่งจะให้พ้นไฟ พอไปถึงกลางสี่แยก ไฟเหลืองขึ้น คันหน้าเบรกหยุดทันที ลักษณะนั้นต่อให้ไฟแดงยังต้องวิ่งตามกัน ๒ - ๓ คัน แต่พอไฟเหลืองขึ้นรถคันหน้าเบรกหยุด คันขอ
งอาตมาก็ส่งคันหน้าข้ามแยกไปเลย เขามาสารภาพทีหลังว่า ภรรยาบอกให้เบรก แสดงว่ารักเมียมาก อยากได้เมียใหม่เร็ว ๆ การเบรกลักษณะนั้นตายมาเยอะแล้ว งวดนั้นโดนค่าซ่อมไป ๑๘,๐๐๐ กว่าบาทเพราะไปชนท้ายเขา

ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุไม่เคยสนใจว่าตัวเองเป็นอะไร เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าไม่เป็นไรแน่ จะลงไปดูคู่กรณีเขาก่อน ถามเขาก่อนว่าเป็นอะไรไหม ? มีใครบาดเจ็บหรือเปล่า ?

เถรี 27-06-2013 19:43

พระอาจารย์เล่าว่า "สมเด็จองค์ปฐมรุ่นแรกที่อาตมาทำ ใช้แบบของวัดพระธาตุห้าดวง ตอนนั้นวัดพระธาตุห้าดวงสร้างสมเด็จองค์ปฐมทองคำ หน้าตัก ๕ นิ้ว แล้วก็ทำองค์เล็ก อาราธนาหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ กับหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ มาพุทธาภิเษกให้ อาตมาเห็นว่ามีโอกาสดีอย่างนี้ ก็เลยฝากเขาผลิตเพิ่มมา ๕,๕๐๐ องค์ จึงกลายเป็นสมเด็จองค์ปฐมที่แบบเหมือนกับทางวัดพระธาตุห้าดวงทุกประการ คนเสกก็คนเดียวกัน เพียงแต่ว่าเป็นของวัดเกาะพระฤๅษี หรือของวัดท่าขนุนเท่านั้นเอง

เชื่อว่ารุ่นพวกเราคงไม่ค่อยมีใครได้เห็นกระมัง ๕,๐๐๐ กว่าองค์ ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด"

เถรี 27-06-2013 19:52

ถาม : จะเปิดร้านค่ะ ทำที่นี่ดีหรือเปล่า ?
ตอบ : ทำที่ไหนก็ทำไปเถอะ ถึงเวลาก็ถวายสังฆทานอุทิศให้เจ้าที่เขาหน่อย จุดธูปเทียนบอกเขา ขอความสะดวกคล่องตัว ขอให้เจริญรุ่งเรืองอะไรก็ว่าไป

ถาม : เปิดตอนเก้าโมงหรือคะ ?
ตอบ : เวลาไหนก็ได้จ้ะ ฤกษ์พรหมประสิทธิ์ใช้ได้ทั้งวัน

งานที่ต้องอาศัยพึ่งคนอื่นเขา ไม่ค่อยได้อย่างใจหรอก เพราะฉะนั้น..ถ้าทำงานจะเอาสบายใจ ให้ทำแค่พอกำลังของตัวเอง ที่ดอนหวายใกล้ ๆ วัดไร่ขิง มีนายเงี้ยบ ขายเป็ดพะโล้ สัปดาห์หนึ่งทำงาน ๓ วัน ตีเสียว่า ๔ วันก็แล้วกัน วันพฤหัสบดีซื้อเป็ดทำเป็ด วันศุกร์พะโล้ เสาร์กับอาทิตย์ขาย แล้วของแกจำกัดด้วยนะ ขายวันละ ๒๐๐ ตัวเท่านั้น ใครมาช้าก็อด..!

เป็ดพะโล้ ๒๐๐ ตัวควรจะเป็นเงินเท่าไร ? เขาขาย ๒ วัน ก็ ๔๐๐ ตัว เริ่มงานพฤหัสบดีกับวันศุกร์ ขายวันเสาร์กับอาทิตย์ วันจันทร์, อังคาร, พุธนอนตีพุง..สบายไป...

เถรี 27-06-2013 19:56

ถาม : แล้วถ้าเราเปลี่ยนชื่อ เพื่อให้ดีขึ้น ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจแย่ก็กลายเป็นเราแช่งตัวเอง ถ้ากำลังใจดี ทุกอย่างก็ดีหมด เพราะฉะนั้น..ชื่อนี่แทบจะไม่มีอิทธิพลต่อชีวิตเลย ไม่อย่างนั้นปู่ย่าตาทวด ชื่อนายดำ นายแดง นายหมู นายหมา ก็คงอยู่มาไม่ถึงเราหรอก เพราะชื่อไม่เป็นมงคล คงตายหมดแล้ว เพราะฉะนั้น..อย่าเสียเวลาไปเปลี่ยนเลย คนรู้จักก็เรียกชื่อเดิมของเราอยู่ดี

เถรี 27-06-2013 19:59

ถาม : พลังจิตสามารถแผ่ได้ ขอความเมตตาช่วยอธิบายด้วยค่ะ ?
ตอบ : ไม่เห็นมีอะไรต้องอธิบาย ที่วัดก็สอนให้เขาทำอย่างนี้กันทุกวัน เพียงแต่เราแผ่ไปลักษณะเหมือนกับแผ่เมตตา ซักซ้อมกระจายออกแล้วรวมเข้า รวมเข้าแล้วกระจายออก เป็นการซ้อมกีฬาสมาธิ ทำให้สมาธิมั่นคง แล้วก็เป็นฌานใช้งานไปในตัว ถึงเวลาจะทำอะไรก็สะดวก เท่ากับเราซ้อมสมาธิอยู่ทุกวัน

ถาม : ต้องกำหนดรูปพระไหมคะ ?
ตอบ : กำหนดนึกถึงรูปพระ แล้วก็กำหนดให้รัศมีของรูปพระให้แผ่ออกไป

ถาม : แล้วถ้ากำหนดรูปพระไว้ตรงศีรษะ ?
ตอบ : ได้..ไว้ตรงไหนก็ได้ อยู่ที่เราจะทำเอง


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:24


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว