กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3754)

เถรี 19-05-2013 14:10

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖
 
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อกลางวันฉันเพล ได้คุยกับมหาติ๊กเรื่องติดดี คือเมื่อปฏิบัติไปแล้วรู้สึกว่าตัวเองดี พอถามต่อไปว่ารู้ได้อย่างไรว่าตัวเองดี “อ๋อ...เปรียบเทียบกับคนอื่นเขา” ก็โดนเต็ม ๆ เท่านั้นแหละพ่อคุณ..! ถ้าเปรียบเทียบกับคนอื่นก็กลายเป็นสักกายทิฏฐิกับมานะถือตัวถือตน เพราะฉะนั้น..การปฏิบัติต้องพึงระมัดระวังให้หนัก ถ้าเผลอเมื่อไรก็เรียบร้อย

เคยคุยกับโยมว่า สมัยก่อนที่ปฏิบัติธรรมใหม่ ๆ เมื่อทุ่มเทให้กับหลักการปฏิบัติของหลวงพ่อวัดท่าซุง ก็อยู่ในลักษณะที่ว่ามอบกายถวายชีวิต จนเรียกคนอื่นเป็นหลวงพ่อไม่ได้ ปลื้มอกปลื้มใจว่าชีวิตนี้เรามีครูบาอาจารย์ที่สุดยอดอย่างนี้แล้ว ไม่มีใครเหนือกว่า พอปฏิบัติไป ๆ ดูไปดูมา โอ้โฮ...สังโยชน์ตัวใหญ่เบ้อเร่อเลย สังโยชน์ซ้อนสังโยชน์ด้วย ก็คือเป็นทั้งสักกายทิฏฐิ เป็นทั้งมานะถือตัวถือตน
คุณยิ่งปฏิบัติต้องยิ่งดีขึ้น ถ้ายิ่งดีขึ้น ก็ต้องยิ่งลดเรื่องของสักกายทิฏฐิและมานะลงได้ แต่นี่ลดลงไม่ได้ไม่พอ กลายเป็นเหยียบคนอื่นไปอีกต่างหาก กลายเป็นว่าพอทำดีแล้วติดดี ก็ไปไหนไม่รอด แต่กว่าจะรู้ตัวก็นาน

เรื่องอย่างนี้ต้องพิจารณาแบบไม่เข้าข้างตัวเอง ดูให้รอบด้าน ดูให้ทุกเรื่อง ถ้าไม่อย่างนั้นก็แปะอยู่แถวนั้นแหละ ก็ดีเสียแล้วนี่ เลยไม่พัฒนาตัวเองต่อ"

เถรี 19-05-2013 14:12

ถาม : แค่ไหนถึงเรียกว่าอิจฉาคะ ?
ตอบ : ไม่พลอยยินดีกับเขาก็เป็นอิจฉาแล้ว หลุดจากมุทิตาเมื่อไรก็เป็นอิจฉาเมื่อนั้น ให้ดูในลักษณะว่าเราต้องทำให้ได้อย่างเขา ถ้าดูในลักษณะนั้นก็จะกลายเป็นตัวนำเราที่จะก้าวไปสู่ความเจริญ แล้วก็ประสบความสำเร็จ อิจฉาอย่างเดียวจะไม่ได้อะไรขึ้นมา นอกจากใจเศร้าหมอง มีแต่จะพาไปอบายภูมิ..!

เถรี 19-05-2013 14:34

"ตอนอยู่ที่วัดเขาวง คุยกับพระครูวิลาศสรคุณ วัดประยุรวงศาวาส ท่านถามว่าทำไมไม่สร้างรูปหลวงพ่อฤๅษีฯ ให้ใหญ่มหึมาไปเลย เป็นการประกาศเกียรติคุณของหลวงพ่อของเราบ้าง อาตมาก็บอกว่า “สร้างได้ครับ แต่มีเหตุผลอยู่ ๒ ประการที่ไม่สร้าง ประการที่หนึ่งก็คือ หลวงพ่อคนรักก็มาก คนเกลียดก็มาก สร้างไปแล้วคนไม่ชอบเขามองเฉย ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเอ่ยปากไม่ดีคำเดียว ก็เท่ากับหานรกให้เขาแล้ว” ท่านบอกว่า “ก็สมควรแล้ว เขาอยากแส่หาเอง”

อาตมาเลยบอก “ประการที่สอง เราสร้างรูปหลวงพ่อขึ้นมาเป็นรูปเคารพ เป็นสังฆานุสติ หวังให้คนเห็นแล้วระลึกถึงคำสอนหลวงพ่อแล้วปฏิบัติตาม แต่กลายเป็นว่าเขาไปจุดธูปขอหวย ไปจุดธูปบนบานศาลกล่าวกัน แทนที่หลวงพ่อท่านจะเป็นพระผู้บริสุทธิ์ ก็โดนดึงลงมา มีราคาแค่เทพเจ้าแบบฮินดูเท่านั้น”

ท่านฟังแล้วก็ยังงง ๆ ก็เลยบอกว่า “ถ้าปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้ว จะเกิดความรู้สึกว่า เราไม่ควรทำตัวให้เป็นทุกข์เป็นโทษแก่คนอื่น แม้ว่าด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ ที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยง เมตตาเขาบ้าง ไม่ใช่ว่าเห็นชัด ๆ ว่าทำขึ้นมาแล้วคนจะลงนรกเป็นแถว ก็ยังทำขึ้นมาให้สะใจ" ครูบาอาจารย์ของเรา เราเคารพอยู่แล้ว แต่คนอื่นไม่แน่ว่าจะเคารพอย่างเรา ในเมื่อจะเป็นโทษกับคนอื่น จะทำอะไรก็ต้องทำด้วยความระมัดระวัง

ขนาดพระใหญ่หน้าวัดท่าขนุน ตอนนี้คนขับรถผ่านก็บีบแตรกันแล้ว แทนที่จะกลายเป็นพระพุทธเจ้า ก็กลายเป็นเจ้าพ่อไปแล้ว..! สร้างบุคคลที่บริสุทธิ์จนไม่มีใครจะบริสุทธิ์ได้ยิ่งกว่าแล้ว ยังโดนดึงลงมาเหลือแค่เทวดาเท่านั้นเอง แล้วถ้าเป็นเทวดาชั้นสูงก็ไม่ว่า นี่เป็นเทวดาชั้นต่ำอีกด้วย..!

เถรี 19-05-2013 14:35

ถาม : เดี๋ยวนี้เขาสร้างกันเยอะ ?
ตอบ : จะทำก็ทำ เพียงแต่ทำแล้วให้เกิดประโยชน์มากกว่าโทษ อย่างไรเสียถ้าสร้างพระพุทธรูป คนเห็นก็รู้ว่าพระพุทธรูป แต่ถ้าสร้างรูปพระสงฆ์ คราวนี้ปากคนจะเริ่มแล้ว

ถาม : บางทีเขาก็ว่าทำไมสร้างพระพุทธรูปใหญ่กว่าที่อื่นอีก ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือสร้างแล้วให้อยู่ในลักษณะว่าสมพระเกียรติ

เถรี 19-05-2013 15:19

ถาม : ปัจจุบันมีการใช้คำว่า "ศีลจาริณี" (อ่านว่า สี-ละ-จา-ริ-นี) อย่างแพร่หลาย อาทิ บวชศีลจาริณี เป็นต้น จึงกราบขอความเมตตาพระอาจารย์ อธิบายความหมายอย่างถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา และที่มาของคำนี้ด้วยครับ ?
ตอบ : ไม่มี...โบราณมีแต่สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา คำว่า "ศีลจาริณี" เป็นคำสวย ๆ ที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ในลักษณะบุคคลนี้เป็นผู้ปฏิบัติอยู่ในศีลเท่านั้น

ถาม : แปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : ผู้ที่ตั้งใจประพฤติอยู่ในศีล พูดง่าย ๆ ว่ามีศีลเป็นแบบอย่าง

เถรี 19-05-2013 15:50

ถาม : หนูมีความสงสัยในข้อธรรม เรื่องวัญจกธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องหลอกลวง ๓๘ ประการ พยายามที่จะทำความเข้าใจ เพื่อที่จะได้ตรวจตัวเอง และแก้ไขให้ถูกต้อง ขอความกรุณาหลวงพ่ออธิบายเกี่ยวกับข้อธรรมนี้ด้วยนะคะ ?
ตอบ : วัญจกธรรมเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและรายละเอียดมีมาก ถ้าเอาหมด ๓๘ ข้อ วันหนึ่งยังไม่พออธิบายเลย ยกตัวอย่างที่ง่าย ๆ เช่น เราฟุ้งซ่านอยู่ แต่เรากลับคิดว่าเราปรารภความเพียร ก็คือนั่งสมาธิแทนที่จิตจะเป็นสมาธิ กลับไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ทนนั่งไปเรื่อย ๆ คิดว่าตนเองปรารภความเพียรอยู่ แสดงว่าเรื่องนี้กำลังหลอกลวงเราอยู่

ส่วนเรื่องของความลังเลสงสัย ก็บอกกับตนเองว่าเราเป็นคนรอบคอบระมัดระวัง คิดอย่างถ้วนถี่ เป็นต้น ถ้าเผลอเมื่อไรเราจะไปคิดเข้าข้างตัวเอง พูดง่าย ๆ ว่าหลอกตัวเอง หรือ เราเป็นผู้นิยมกล่าวคำหยาบ ด่าคนอื่นบ้าง แล้วก็ไปอ้างว่าเราเป็นผู้มีปกติกล่าววาจาเพื่อสะกดข่มคนชั่ว พูดง่าย ๆ ว่าเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น..!

ฉะนั้น..ในเรื่องวัญจกธรรม เป็นหลักธรรมที่ลึกซึ้งมาก แบบวันก่อนที่บอกไว้ว่า แบกมานะไว้เต็มตัว แต่คิดว่าเราดี ปฏิบัติธรรมไปแล้วคิดว่าตนเองดี ถามว่าดีอย่างไรก็เปรียบเทียบกับคนอื่น อ้าว..เป็นการยกตัวเองเหนือคนอื่น ก็คือมานะดี ๆ นี่เอง ถ้าจะศึกษาวัญจกธรรมลองดูในพระไตรปิฎกได้ มีรายละเอียดมาก แต่ภาษาในพระไตรปิฎกเป็นภาษาที่ค่อนข้างยาก อาจจะทำให้เราเข้าใจยากนิดหนึ่ง เพราะต้องแปลไทยเป็นไทยอีกที


ถาม : เป็นเรื่องที่น่าศึกษาครับ
ตอบ : มี ๓๘ ข้อ บางข้ออย่างเช่น ประจบชาวบ้านแต่กลับคิดว่าเรากล่าววาจาอันเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจของผู้อื่น หลอกตัวเองสองชั้น มีกระทั่งตระหนี่ธรรมะ กลัวคนอื่นรู้เท่าตัวเอง แต่กลับไปอ้างว่าเรารักษาธรรมไว้ไม่ให้สูญหาย ธรรมนั้นจะได้ดำรงอยู่คงมั่นตลอดไป เป็นต้น

เถรี 19-05-2013 18:55

ถาม : เนื่องจากผมพักที่ห้องพักเล็ก ๆ มีห้องน้ำในตัว ผมจะจัดโต๊ะหมู่บูชาพระ ซึ่งมีความจำเป็นต้องวางพิงกำแพงที่เป็นห้องน้ำ พระท่านจะได้หันหน้าไปทิศตะวันออก ซึ่งถ้าจัดให้หันไปทางทิศเหนือ ก็ไม่เหมาะสมเพราะเป็นทางเดินจากประตูหน้า-ไปห้องน้ำ ลักษณะของห้องถูกบังคับให้วางโต๊ะหมู่ด้านนี้เท่านั้น ไม่ทราบว่าจะวางแบบนี้ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : วางโต๊ะหมู่พิงห้องน้ำได้ แต่อย่าไปวางโต๊ะหมู่ไว้ในห้องน้ำก็แล้วกัน..!

เถรี 19-05-2013 19:00

ถาม : ถ้าภิกษุถือธุดงค์ข้อที่ว่า "ของดอดิเรกลาภ ขอสมาทานองค์ของภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร" แล้วไปซื้อน้ำหรืออาหารมาฉัน ธุดงค์ข้อนี้จะขาดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขาดไปเรียบร้อยแล้ว การถือธุดงค์ข้อนี้สรุปง่าย ๆ ว่า ของอะไรที่เขาไม่ได้ใส่ลงไปในบาตร ถ้าไปฉันก็ขาดแล้ว

ถาม : ถ้าไปซื้อของแล้วบอกว่า ใส่เอามาในบาตรสิโยม ?
ตอบ : นั่นตั้งใจให้ขาดเลย..! ในวัญจกธรรมก็มีอยู่ข้อหนึ่ง ที่บอกว่า ไม่ยอมแบ่งบิณฑบาตให้แก่ผู้อื่น แต่กลับคิดว่าตนเองเป็นผู้มีอาชีวะปาริสุทธิศีล แต่ความจริงขี้เหนียวอย่าบอกใคร..!

เถรี 19-05-2013 19:05

ถาม : มีอยู่วันหนึ่ง ผมระลึกถึงพระพุทธคุณที่พระองค์ท่านเมตตากับโลกกับสรรพสัตว์ ใจนึกไปถึงแสงสว่างในโลกนี้ พระกรุณาของพระองค์ท่านมีอยู่ทุกอณู เปรียบเสมือนแสงสว่างในโลก เหมือนท่านแผ่มาให้ ใจผมอิ่มเอิบ ผมก็เลยหลับตาเพราะสงบ ผมเห็นเป็นนิมิตแสงเหมือนสีรุ้งอาบไล้ไปทั่วโลก อาบและไล้ไปตามตึกรามบ้านช่อง และสิ่งต่าง ๆ บนโลก .. แบบนี้เป็นกรรมฐานอะไรครับ ?
ตอบ : เป็นพุทธานุสติกรรมฐาน

ถาม : จนวันนี้ผมยังระลึกถึงพระพุทธคุณที่มีอยู่ทุกอณู ใจก็ยังอิ่มเอิบได้อยู่เลย แต่ภาพที่เห็นตอนหลับตาไม่ชัด ไม่สดเท่าเดิม ไม่เหมือนเดิมครับ และต้องปรับหรือมีอะไรเพิ่มเติมไหมครับ ?
ตอบ : ขอยืนยันว่าแม้แต่การนึกถึงตอนนี้ก็เจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว สำคัญตรงที่ว่าถ้าปฏิบัติได้แล้วต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง คราวนี้เรารักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องไม่ได้ ปล่อยให้หลุดไปแล้ว จะเอาให้ดีเหมือนเดิมก็ยากแล้ว

เถรี 19-05-2013 19:11

ถาม : ถ้าภิกษุถือธุดงค์ข้อที่ว่า "ของดภาชนะที่ ๒ ขอสมาทานองค์ของภิกษุผู้มีการฉันเฉพาะอาหารในบาตรเป็นวัตร" ถ้าโยมถวายน้ำเต้าหู้โดยใส่ถุงแล้วมาใส่บาตรพระตอนเช้า ถ้าเทน้ำเต้าหู้ใส่แก้วโดยไม่เทใส่ในบาตรแล้วฉัน ธุดงค์ข้อนี้จะขาดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขาดเรียบร้อยอีกเหมือนกัน ถ้าอยากจะฉันจริง ๆ เทใส่บาตรแล้วค่อยฉัน แต่การใส่น้ำเต้าหู้ในบาตรนี่ฉันยากอย่าบอกใครเลย เพราะยกบาตรซดก็โดนอาบัติอีก

ถาม : ต้องใช้ช้อนตัก ?
ตอบ : ค่อย ๆ ตักทีละช้อน ในเมื่ออยากนักก็ทรมานเสียให้เข็ด..!

ถาม : ฉันคาวก่อนแล้วเทหวานตาม หรือต้องเทรวม ?
ตอบ : ถ้าสมาทานธุดงค์ต้องเทรวมทีเดียว คาวหวานรวมกัน สรุปว่าอย่าไปถือธุดงควัตรเลย เพราะจะหาเรื่องฉันให้ได้..!

เถรี 19-05-2013 19:27

ถาม : ตามไตรภูมิพระร่วงที่กล่าวถึงลักษณะต่าง ๆ ทั้งด้านภูมิประเทศ วิถีชีวิต หน้าตาหรืออุปนิสัยของมนุษย์ในแต่ละทวีป อันได้แก่ อุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ปุพพวิเทหทวีป นั้นสามารถเชื่อถือได้ไหมครับ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าถ้าไม่เห็นเอง ถ้ามีศรัทธาในพุทธศาสนาก็เชื่อไว้ก่อน รอไว้เห็นเองเมื่อไรก็หายสงสัยเอง

ถาม : ส่วนชมพูทวีปนั้นที่กล่าวว่าเป็นมงคลจักรวาล ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติ องค์สมเด็จพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า หรือแม้แต่พระเจ้าจักรพรรดิก็จะเกิดในชมพูทวีปเท่านั้นใช่ไหมครับ ? แล้วทวีปอื่น ๆ มีพระอรหันต์ไปเผยแผ่พุทธศาสนาไหมครับ ?
ตอบ : ทวีปอื่น ๆ มีพระอรหันต์ไปเผยแผ่ธรรมเป็นปกติ บางครั้งพระพุทธเจ้าก็เสด็จเองด้วย

ถาม : แล้วทำไมพระพุทธเจ้าไม่ไปตรัสรู้ที่โลกอื่นบ้างครับ ?
ตอบ : เพราะคนในโลกอื่นบรรลุยาก เขาบอกว่าอนิจจังก็เห็นได้ยาก เพราะอายุขัยหลายหมื่นปี ถึงแสนปีหรือสองแสนปีก็มี พอบอกว่าทุกขัง เขาอยากได้อะไรก็นึกเอาได้ กดปุ่มเอาก็ได้ ดังนั้น..พอไปบอกว่าทุกข์ เขาก็ฟังไม่รู้เรื่อง ไปเกิดที่นั่นก็เสียเวลาเปล่า

แต่อย่างน้อย ๆ ท่านที่สร้างบารมีมาถึง ได้ไตรสรณคมน์หรือเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็มี บางท่านก็เข้าถึงพระนิพพานไปเลยก็มี แม้จะน้อยแต่ก็มีเช่นกัน พระท่านถึงต้องไปโปรด

ถาม : แม้จะมีหมื่นโลกธาตุหรือแสนโกฏิจักรวาล พวกเราทั้งหมดมีนรก มีสวรรค์ มีพระนิพพาน เป็นสถานที่รองรับผลกรรมเหมือนกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ว่าที่ไหนก็ลงที่เดียว ขึ้นที่เดียวกันหมด

เถรี 19-05-2013 19:28

ถาม : หากเราเห็นพระพุทธรูปขนาดหน้าตักใหญ่กว่า ๔ ศอกชำรุด และเราได้ทำการปิดทองใหม่ทั้งองค์ ถือว่าเราชำระหนี้สงฆ์ทั้งหมด (รวมทั้งคณะ) ได้หรือไม่ครับ ? หรือว่าเราต้องสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาใหม่ และทำการปิดทองทั้งองค์จึงจะสามารถชำระหนี้สงฆ์ (รวมทั้งคณะ) ได้ ?
ตอบ : พระพุทธรูปเก่าองค์ใหญ่แค่ไหนก็ตาม ไม่ถือเป็นการชำระหนี้สงฆ์ ถ้าเราทำอย่างนั้นจะได้อานิสงส์การซ่อมพระพุทธรูปเท่านั้น ถ้าต้องการชำระหนี้สงฆ์ต้องสร้างใหม่เลย

ถาม : ถ้าจะเอาแบบหมู่คณะก็ต้องปิดทองด้วย ?
ตอบ : ปิดทองด้วย

เถรี 19-05-2013 19:28

ถาม : การตั้งเสาเอกใช้ฤกษ์ข้างขึ้น เดือนคู่ วันศุกร์ ควบกับฤกษ์พรหมประสิทธิ์ สมควรหรือไม่ครับ ? หรือต้องใช้ฤกษ์ตามตำราการยกเสาเอกเพียงอย่างเดียวครับ ?
ตอบ : ถ้าได้ฤกษ์ทุกอย่างตรงกันหมดได้ก็ดี แต่ถ้าไม่มีเอาอย่างหนึ่งอย่างใดก็พอ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็ไม่ได้สร้างบ้านเสียที..!

เถรี 20-05-2013 11:41

ถาม : ขอทราบประวัติหลวงพ่อโสธร และหลวงพ่อโสธรเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปหาตำราอ่านเอา มีเยอะแยะไป เสียเวลามาถาม...!

เถรี 20-05-2013 12:09

ถาม : ตารางกิจวัตรในการปฏิบัติภาวนาในแต่ละช่วงเวลาของหลวงพ่อเป็นอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : แต่ละวันนึกถึงลมหายใจเข้าออกให้มากที่สุด

เถรี 20-05-2013 12:10

ถาม : การที่นักบวชหรือนักปฏิบัติติดพวกเกม ไม่ว่าจะเป็นเกมออนไลน์ หรือเกมในมือถือต่าง ๆ เข้าข่ายผิดศีลหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้ขโมยโหลดของเขามาก็ไม่ผิด แต่ถ้าเราไม่สามารถหักห้ามใจของตนเองไม่ให้เล่นเกมได้ ต่อไปเราก็สามารถที่จะละเมิดศีลได้ง่ายเหมือนกัน ถ้าเราสามารถหักห้ามใจตนเองไม่ให้เล่นเกมได้ ถึงเวลาเราก็สามารถหักห้ามใจตนเองไม่ให้ละเมิดศีลได้ เพราะใช้กำลังใจเท่ากัน

เถรี 20-05-2013 12:29

ถาม : ญาติของผมที่ล่วงลับไปแล้วจากอุบัติเหตุ วัย ๑๙ ปี ประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลลอยอังคารไปหมดแล้ว แต่เหตุใดวิญญาณยังสื่อผ่านคนรอบข้าง ร้องไห้เป็นปกติ หลังจากถวายผ้าไตรพร้อมพระพุทธรูปหน้าตัก ๕ นิ้วก็ยังมาสื่อสารด้วยตลอด หมายความว่าวิญญาณรับอานิสงส์ไม่ได้หรือเปล่าคะ ? หรือมีวิธีใดที่สามารถจะบรรเทาทุกข์ให้วิญญาณเหล่านั้นให้มีความสุขได้มากขึ้น ?
ตอบ : บอกผีให้มาใกล้ ๆ แล้วตบไปสักฉาดหนึ่ง...! จำไว้ว่าถ้าผีมาได้แสดงว่าเขาไม่ลำบาก พวกที่ลำบากมาไม่ได้หรอก ฉะนั้น..ถ้าเขาร้องไห้ก็ช่วยตบให้ได้สติสักที..!

ถาม : มีวิธีอะไรที่ทำไม่ให้เขาร้องไห้ไหมครับ ?
ตอบ : ปล่อยให้ร้องไป เหนื่อยเมื่อไรก็เลิกร้องเอง

เถรี 20-05-2013 19:23

ถาม : บุคคลผู้โมทนาบุญ จะได้รับผลเหมือนกับเราทุกอย่างหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้ากำลังของเราไปถึงไหน เขาก็ไปได้แค่นั้น ถ้ากำลังเราไม่ถึง เขาก็ยังไปไม่ได้ สมมติว่าภพภูมิท่านสูงกว่า เราทำแค่ทาน ปกติท่านเป็นพรหมอยู่ ท่านเองท่านโมทนาได้ แต่ภพภูมิท่านไม่เปลี่ยน เพียงแต่ว่ารัศมีกายจะเพิ่มความสว่างมากขึ้น แต่ถ้าภพภูมิเราสูงกว่า อย่างเช่น ท่านเป็นเทวดาหรือนางฟ้า แต่เราทรงฌานสมาบัติได้เป็นปกติ ถึงเวลานั่งกรรมฐานเราอุทิศส่วนกุศล ภพภูมิของท่านจะเปลี่ยนไปเป็นพรหมเลย ไปเท่ากำลังที่เราทำได้

เถรี 20-05-2013 19:33

พระอาจารย์กล่าวว่า "การพุทธาภิเษกที่วัดเขาวง พระพุทธเจ้าท่านเสด็จมาครู่เดียว แล้วก็มอบให้พระปัจเจกพุทธเจ้า เจ้าของพระคาถาเงินล้านท่านเป็นประธานของงานแทน คราวนี้ช่วงท้าย ๆ ท่านเมตตาบอกว่า "วัตถุมงคลรุ่นนี้เป็นวัตถุมงคลเพื่อความสำเร็จ ใครจะทำงานเก่าก็ตาม งานใหม่ก็ตาม ถ้าต้องการความสำเร็จก็ให้บูชาวัตถุมงคลรุ่นนี้ไป"

คราวนี้การบูชา ถ้ามีเวลามากให้สวดอิติปิโสฯ ๓ ห้อง ตามกำลังวัน ถ้าเจอวันพฤหัสบดี (๑๙) หรือวันศุกร์ (๒๑) ก็เป็นลมพอดี แต่ถ้าเวลาไม่พอเอาสัก ๓ จบก็พอ อิติปิโสฯ ๓ ห้อง ๓ จบนี่ก็ไม่นานมาก หรือถ้าฉุกเฉินขึ้นมา มีวัตถุมงคลชิ้นเล็กติดตัวอยู่ ก็เอาแค่ "สัมปะติจฉามิ" ท่านบอกว่าให้อธิษฐานว่า "ในหลวงรัชกาลที่ ๑ ประสบความสำเร็จในการปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ก็ดี การตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นปึกแผ่นมาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันก็ดี พระองค์ท่านประสบความสำเร็จโดยง่ายอย่างไร ก็ขอให้เราประสบความสำเร็จอย่างนั้นด้วย" แล้วก็ภาวนาไปเถอะ

พอถึงเวลาพุทธาภิเษกเสร็จ ก็ไปสะกิดหลวงพ่อท่านเจ้าคุณอนันต์ บอกท่านว่า “เต็มแล้ว” ก็ให้ท่านถวายน้ำหอมเป็นพุทธบูชา คุณเฟิร์สอยู่ใกล้ ๆ ก็บอกว่า “ท่านยังต้องให้บอกอีกหรือ ?” เลยบอก “ท่านรอให้ข้าบอก” เรื่องนี้ในบรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ ทั้งหมด เขายกให้อาตมาหมด

ในบรรดาพระใหม่ ถึงเวลาเขานิมนต์พระวัดท่าซุง เขาก็จะเอาหลวงพี่โอ หลวงพี่นันต์ หลวงพี่ทีป หลวงพี่สุรจิต ที่เหลือก็เป็นพระใหม่ อาตมาเป็นพระใหม่นั่งท้าย ส่วนใหญ่หลวงพี่โอท่านจะนั่งหน้า เพราะว่าท่านอาวุโสกว่าเพื่อน พอถึงเวลาท่านก็ “เอ้า..ท่านเล็กไปจัดการให้หน่อย” เซ็งสุด ๆ บางทีเหนื่อยมาก พอเหนื่อยก็โวยใส่ “โธ่พี่..อยู่กับหลวงพ่อมานานขนาดนี้แล้ว ไม่เรียนอะไรไว้บ้างเลยหรือ ?” ท่านก็บอกหน้าตาเฉยว่า “เป็นแล้วมันเหนื่อย” อ้อ..เข้าท่านะ ท่านพี่เขาสารภาพ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไมท่านยังต้องคอยรออยู่ พอถึงเวลาพุทธาภิเษกทีไร คนอื่นเขานั่งรอ เมื่อไรอาตมาจะให้สัญญาณจบเสียที

พี่ ๆ น้อง ๆ เขาอยู่ด้วยกัน เขารู้ว่าใครเป็นอย่างไร มาระยะหลังนี่ไม่ใช่เฉพาะพี่น้องแล้ว คนอื่นเขาชักรู้เยอะแล้ว ไปพุทธาภิเษกที่วัดทองผาภูมิ เจ้าคณะอำเภอพอถึงเวลาจะพรมน้ำมนต์ ก็เดินตักน้ำมนต์ของท่านนั้นท่านนี้ใส่ ๆ รวมกันไป มาถึงของอาตมาคนสุดท้ายท่านตักทับหน้าแล้วไปพรม ใครบอกเจ้าคณะอำเภอไม่เป็นอะไรสักอย่าง ท่านรู้ยิ่งกว่ารู้เสียอีก พอถึงเวลาท่านถวายไทยธรรม ก็ถือมาถวายอาตมาอยู่คนเดียว ท่านอื่นให้โยมไปช่วยถวาย เออ..ต้องอย่างนี้ถึงเป็นเจ้านายอาตมาได้ เพราะท่านรู้จักใช้คน"

เถรี 20-05-2013 19:40

ถาม : ยังมีอะไรพิเศษอีกไหมครับ ?
ตอบ : อันนั้นเป็นเรื่องปกติ ความสำเร็จยังไม่ถือว่าพิเศษอีกหรือ จริง ๆ แล้วน้อยมากนะที่ท่านจะให้ลักษณะนี้ แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเราสร้างเหตุไว้ดี ถ้าสร้างเหตุไม่ดีผลก็ไม่เกิด ที่ท่านบังคับให้เราภาวนาตามกำลังวันก็ดี หรืออธิษฐานเสร็จแล้วให้ภาวนาคาถาก็ดี ก็คือการที่เราสร้างบุญของเราขึ้นมาเพื่อรองรับ ถ้ากำลังไม่พอ คนอื่นได้เราก็ไม่ได้ หรือไม่ก็คนอื่นได้เร็วเราอาจจะได้ช้า ไม่ใช่ว่าให้แล้วจะได้เหมือน ๆ กันหมด ให้แล้วต้องขยันด้วย

ถามว่าบรรดาพี่ ๆ ก่อนจะเข้าวัดท่าซุงได้ ต้องได้มโนมยิทธิแล้วทุกคน ทำไมต้องรอให้อาตมาบอก ? ก็คือส่วนใหญ่ท่านไปในลักษณะถึงเวลาก็พอใจแค่นั้น แต่อาตมาไม่ใช่ ต้องซ้อมแล้วซ้อมอีก ซ้อมจนโดนครูฝึกไล่ ในเมื่อซักซ้อมไม่เลิก ความคล่องตัวก็มีมากกว่าเขาหน่อยหนึ่ง

สมัยก่อนนั้นหลวงพี่อาจินต์จะเป็นอาจารย์สอนมโนมยิทธิอยู่ ถ้าหลวงพี่อาจินต์เข็นไม่ไหวจะไปตามหลวงตาวัชรชัยมาช่วย ถ้าหลวงพี่กับหลวงตาเข็นไม่ไหวก็จะเอารถมารับอาตมา เพราะมีลูกศิษย์บางคนที่หนักจริง ๆ ส่วนใหญ่พวกนี้จะมาสายพุทธภูมิ แล้วก็จะเป็นคนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ต้องมานึกว่าขนาดสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังเข็นไม่ไป แล้วหลงมาถึงรุ่นเรานั้นจะขนาดไหน ?

เถรี 20-05-2013 19:46

ปรากฏว่าวันนั้นหลวงพี่อาจินต์เอาซูซูกิคาริเบียนคันเล็ก ๆ วิ่งมา หลวงตาวัชรชัยนั่งมาถึงบอก “เฮ้ยเล็ก..ทิ้งงานแป๊บหนึ่งเว้ย” ถามว่าทำไม “ไปเข็นมันหน่อยซิ เรือเกลือมาอีกแล้ว” อาตมาสอนมโนมยิทธิมาไม่เคยเกินครึ่งชั่วโมง แต่รายนั้น ๒ ชั่วโมงครึ่งไปได้แค่จุฬามณี..! เป็นพระสงฆ์ด้วย แล้วเป็นวันสุดท้ายของท่านด้วย ไม่อย่างนั้นหลวงตาคงไม่ปล่อยมือหรอก นี่เห็นว่าวันสุดท้ายแล้วยังเข็นไม่ไป ท่านเลยเอาอาตมาไปช่วยเข็น

ปรากฏว่าท่านนั้นเอารายละเอียดขนาดไล่นับบันไดทีละขั้น จะไปจุฬามณีดันไปนับบันไดทีละขั้น..! ถ้าเป็นมนุษย์ละก็..เอ็งตาย นับไม่ถึงขั้นสุดท้ายแก่ตายก่อน จะเอารายละเอียดขนาดนั้น สอนพวกนี้ทีไรนี่แผ่หลาทุกที ต้องใช้กำลังใจมหาศาลเลย

ก็ได้แต่บอกว่า ถ้าได้แล้วคุณไปซักซ้อมเอาเอง ไปด้วยวิธีนี้แหละ เพียงแต่ว่าต้องซ้อมความคล่องตัวให้มาก ๆ แล้วคราวนี้ถ้าคุณอยู่คนเดียว จะเอารายละเอียดขนาดไหนคุณก็ดูไปเถอะ แต่ถ้าให้ผมมานั่งนำแล้วจะเอารายละเอียดขนาดนี้ ผมไม่มีเวลาพอหรอก ๒ ชั่วโมงครึ่งไปได้แค่จุฬามณี


ถาม : ท่านไม่สอนมโนมยิทธิอีกหรือคะ ?
ตอบ : เลิกสอนไปนานแล้วจ้ะ เพราะสอนแล้วเข้าป่าเข้าดงกันหมด เพราะลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านฉลาด โดนหลอกไม่นาน แต่ลูกศิษย์ของอาตมาฉลาดน้อย โดนหลอกกันหัวทิ่มหัวตำหมด เพราะเรื่องของมโนมยิทธิ ยิ่งรู้เห็นชัดเจนการทดสอบยิ่งแรง โดยเฉพาะมาระยะหลังใช้ผิดกันเยอะมาก มโนมยิทธิท่านให้เรารู้จักพระนิพพานได้ ไปพระนิพพานตรง เมื่อรู้อารมณ์พระนิพพานว่าปราศจากรัก โลภ โกรธ หลงแบบไหน ก็พยายามลงมาทำใจตนเองให้ได้อย่างนั้น จะได้เป็นการรวบรัดตัดตรงเข้าหาพระนิพพาน

แต่พวกนี้ส่วนใหญ่ได้แล้วก็ไปดู ก่อนหน้านั้นเธอเป็นอย่างนั้นกับฉัน เธอเป็นอย่างนี้กับฉัน ดูแล้วแทนที่จะละ จะเข็ดว่ากี่ชาติ ๆ ก็ทุกข์ไม่รู้จบ ดันไปฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ ก็กอดคอกันตายทั้งขบวน แล้วของพวกนี้บางอย่างวาระกรรมมาถึง พอเขาอ้างว่าชาติก่อนเคยเป็นอะไรกัน อีกคนดันทะลึ่งรับสมอ้าง ก็ไปกันใหญ่เลย

เถรี 20-05-2013 19:51

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ก็คงขาดอยู่ดี เพราะว่าศีลพร่องแต่แรก เพราะว่าไม่ได้แสดงคืนอาบัติ ขาดวุฏฐานวิธี คือการออกจากอาบัติ ก็เท่ากับแช่อยู่ทั้งตัว คนพวกนี้ไม่ต้องดูอะไรมากหรอก ออกไปทำมาหากินอะไรก็ไม่เจริญ ปาราชิกกับสังฆาทิเสสโทษหนักมาก..ถ่วงเราหมด

ถาม : จะแก้ไขอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : บวชใหม่ ถ้าบวชหมู่ให้บวชเป็นรูปสุดท้าย ไม่อย่างนั้นถ้าคุณบวชก่อนแล้วคุณไปนั่งร่วม กลายเป็นสังฆกรรมเขาเสีย บวชเป็นรูปสุดท้าย ออกจากโบสถ์ได้ก็ไปอยู่ปริวาสเลย แก้ตัวเองให้เสร็จก่อน

คราวนี้การอยู่ปริวาส ปกติแล้วก็คือโดนอาบัติแล้วปกปิดไว้นานเท่าไร ก็ต้องอยู่เท่านั้น แล้วก็ต้องไปเก็บมานัตต์อีก ๖ วัน ๖ คืน พูดง่าย ๆ คือปิดไว้เท่าไรต้องใช้คืนเท่านั้น แล้วก็โดนลงโทษอีก ๖ วัน ๖ คืน แล้วถึงจะให้พระสวดคืนความเป็นพระให้

คราวนี้ท่านบอกว่า ถ้าจำไม่ได้ให้ใช้สุทธันตปริวาส คำว่า "สุทธันตปริวาส" เขาหมายถึงว่า ให้สงฆ์เป็นผู้กำหนด ว่าจะให้อยู่นานเท่าไร แต่ต้องกำหนดให้มากกว่าไว้เสมอ ปัจจุบันนี้ใช้แค่คำว่าให้สงฆ์กำหนด แล้วมักจะกำหนดให้ ๙ วัน ก็คืออยู่ปริวาส ๓ วัน แล้วก็เก็บมานัตต์ ๖ วัน เราลองคิดดูสิว่า ถ้าต้องโทษประหารชีวิต แล้วเรามาติดคุก ๖ วันก็พ้นโทษ..คิดอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ใช่ไหม ? แต่ปัจจุบันนี้เขามักจะเอาอย่างนั้นกัน

เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไปอยู่ปริวาสในบางสำนัก ถึงเวลาเขาเก็บมานัตต์เราก็อย่าไปเก็บกับเขา บาลีท่านใช้คำว่า ไม่ใช่มานัตตารหบุคคล ก็คือ ไม่ใช่บุคคลผู้ควรแก่มานัตต์ ในเมื่อยังไม่ควร เพราะโทษของเรายังใช้ไม่หมด เราไปเข้าอัพภาณ ย่อมไม่ใช่วิสัยที่จะพ้นโทษได้

เถรี 20-05-2013 19:53

ที่วัดท่าขนุนมีอยู่รูปหนึ่ง ปัจจุบันนี้ขอเรียนต่อปริญญาโทอยู่ นั่นโดนไป ๗ เดือน ถามเขาว่าทำไมถึงโดน ๗ เดือน เขาบอกว่าเขาจำไม่ได้ว่าปกปิดไว้นานเท่าไร ก็เลยถามคุณบวชนานเท่าไร “ผมบวช ๗ เดือน” “คุณไปอยู่ปริวาสเลย ๗ เดือน” ท่านก็ใจถึงพอเหมือนกัน ไปอยู่เสีย ๗ เดือน

คราวนี้วัดที่จะจัดปริวาสเพื่อช่วยคนให้ออกจากอาบัติจริง ๆ มีน้อย ส่วนใหญ่เขาจัดเพื่อประโยชน์เขา จัดแล้วก็ไปโฆษณากันว่าทำบุญกับพระออกปริวาสแล้วจะได้บุญมาก จะไปบุญมากอีท่าไหน ? เพราะพระที่อยู่ปริวาสนี่ต้องศีลใหญ่พร่อง ทำบุญกับพระบวชใหม่ยังได้บุญมากกว่าอีก แต่โฆษณาจนกระทั่งกลายเป็นคนเขาชอบไปทำบุญกัน ก็เลยกลายเป็นการจัดเพื่อหาเงิน วัดที่อาตมาจะส่งพระไปอยู่ปริวาสเป็นประจำก็คือ วัดชากสมอ ที่ชลบุรี ที่นี่จะอยู่ปริวาสชุดละ ๑๕ วัน บอกเขาว่า "ครบ
๑๕ วันคุณไม่ต้องไปเก็บมานัตต์หรอก ถึงเวลาคุณอยู่ต่อไปเลย ครบ ๗ เดือนเมื่อไรแล้วคุณค่อยไปเก็บมานัตต์อีก ๖ วัน ๖ คืนจากนั้นค่อยไปเข้าอัพภาณ ให้สงฆ์สวดคืนความเป็นพระให้.." ท่านก็ไปอยู่มาจนครบถ้วนเหมือนกัน

เถรี 20-05-2013 20:01

ส่วนใหญ่แล้วครูบาอาจารย์สมัยหลังท่านไม่ได้บอกกล่าวยังไม่พอ ความเข้มงวดกวดขันตรงนี้ยังไม่มีด้วย ก็กลายเป็นว่าพอพระบวชเข้าไปก็ไปทำผิดทำพลาด

ปัจจุบันนี้ถ้าใครไปบวชเป็นนาคที่วัดจะมอบให้กับทิดกวาง ซึ่งเคยเป็นพี่เลี้ยงพระใหม่อยู่ประจำ ให้เขาซักซ้อมเรื่องศีลพระให้ก่อน จะตอกย้ำไปเลยว่าสังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ กับปาราชิก ๔ ข้อนี่ ห้ามโดนเด็ดขาด แต่ละข้อมีอะไรบ้าง ช่วงที่ซักซ้อมการบวช หัดขานนาคก็จะให้เขาแทรกเรื่องศีลเข้าไปด้วย คือให้พระใหม่รู้เสียตั้งแต่แรกว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เพราะว่าเรื่องนี้ถ้าพลาดแล้วเสียหายมาก

โดยเฉพาะพระสายหลวงปู่มั่นจะให้เป็นตาผ้าขาวอยู่ ๒ ปี พูดง่าย ๆ ว่าเป็นฆราวาสนุ่งขาวห่มขาวแต่ถือศีล ๒๒๗ ข้อ ถึงเวลาคุณพลาดโทษก็ไม่มี เพราะคุณยังไม่ใช่พระ แต่ถ้าคุณทำได้ เคยชินแล้ว ภายใน ๒ ปี ไปเป็นพระก็รักษาศีลเท่านั้นแหละ ไม่ได้เกินกว่านั้นหรอก

เถรี 20-05-2013 20:03

ถาม : เจ้าแม่กวนอิมไปพระนิพพานหรือยังคะ ?
ตอบ : ท่านแม่กวนอิมไปพระนิพพานแล้วจ้ะ แต่ถ้าใครไหว้ท่านตอนนี้ช่วยได้เยอะกว่าเดิม เพราะภาระส่วนตัวท่านหมดแล้ว

ถาม : ท่านลาพุทธภูมิแล้วหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ลาก็ไปไม่ได้สิจ๊ะ เคยไปสวดมนต์ฉันเพลอยู่บ้านหนึ่ง เห็นเจ้าแม่กวนอิมท่านมาพรมน้ำมนต์ให้ ก็เลยแปลกใจ เล่าให้เจ้าของบ้านเขาฟัง เขาบอกว่าคุณแม่นับถือท่านมาก ขนาดสร้างห้องพระต่างหากเพื่อบูชาท่านโดยเฉพาะ ท่านเลยมาสงเคราะห์ให้เป็นพิเศษ

เถรี 20-05-2013 20:07

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ฮินดูเขาสร้างเทวดาเก่ง เขาไปเที่ยวกำหนดว่าเทวดาองค์นั้นมีอานุภาพอย่างนั้น มีจริตนิสัยอย่างนี้ เสร็จแล้วก็ไปบูชาท่าน คราวนี้การบูชาเทวดาเป็นส่วนหนึ่งของเทวตานุสติในพระพุทธศาสนา ก็เลยลำบากว่า ทางเบื้องบนต้องหาเทวดาที่ศักดานุภาพคล้ายคลึงกับที่เขากำหนดมารับหน้าที่นั้น ๆ ศาสนาฮินดูก็เลยเก่ง สร้างเทวดาได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ พอกำหนดขึ้นมาแล้ว ทางด้านเทวดาพรหมข้างบนก็ต้องหาใครไปรับหน้าที่นั้นจริง ๆ

อย่างพระศิวะท่านปู่พระอินทร์ก็รับไป เจอไปทีเดียวหลายตำแหน่ง พระอินทร์ก็ต้องเป็น พระศิวะก็ต้องเป็น เง็กเซียนฮ่องเต้ก็ต้องเป็น จะว่าไปแล้วคนที่รู้นี่รู้เหมือน ๆ กันนะ คนจีนขึ้นไปเห็นท่านเขียวปี๋เลย นี่เง็กเซียนฮ่องเต้ หยกสีเขียว ๆ ก็รู้เท่ากัน เพียงแต่ว่าลักษณะของเครื่องแต่งกาย เป็นไปตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่เขายึดถือมา ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในโลกมนุษย์แต่งตัวแบบไหน เขาก็ถือว่าผู้เป็นใหญ่ข้างบนก็น่าจะแต่งตัวแบบเดียวกัน

คราวนี้ถ้าแต่งตัวแบบอื่นมาเดี๋ยวเขาไม่ยอมรับ ก็เลยต้องให้เขาเห็นแบบนั้น อาตมายังกลุ้มใจแทนเทวดาเลย เยอะแยะไปหมด วันดีคืนดีจำไม่ได้ว่าประเทศไหนที่เขานับถืออิสลาม อยู่ ๆ ตัวอักขระที่เขาเขียนสรรเสริญพระอัลเลาะห์ เปล่งแสงสีเขียวอยู่เป็นอาทิตย์เลย ก็ยังสงสัยว่าเกิดจากอะไร

ท่านปู่พระอินทร์บอกว่าฝีมือท่านเอง ถามว่าแล้วได้ประโยชน์อะไร ท่านบอกว่า “ถ้าเขานึกถึงตรงนั้นก็คือเขานึกถึงผม อย่างน้อยก็เป็นเทวตานุสติ” แสดงว่าตรงนั้นต้องเคยมีความเนื่องกับท่านมา ไม่อย่างนั้นท่านก็ไม่ไปสงเคราะห์ พวกนั้นก็ดีใจกันใหญ่ ว่าพระอัลเลาะห์ท่านสำแดงฤทธิ์แล้ว ตกลง..ดีไม่ดีท่านปู่พระอินทร์ต้องรับตำแหน่งพระอัลเลาะห์ไปอีกตำแหน่ง

เถรี 20-05-2013 20:09

ถาม : แล้วรัชกาลที่ ๕ ล่ะครับ ?
ตอบ : ไหว้ท่านไปเถอะ ตัวแทนมี ท่านเป็นอดีตพระโพธิสัตว์ เรื่องพวกนี้รู้ไปก็ไร้ประโยชน์ ไปคุยให้คนอื่นฟังก็หาว่าโม้ เราไปโกรธเขาอีก จริง ๆ ก็ควรจะฝึกให้คล่องตัวแล้วไปดูเอง ถ้าไปดูเอง แล้วมาเจอท่านที่รู้เหมือน ๆ กัน ถ้าสอบถามท่านแล้วตรงก็คือใช่ ถ้าไปถามอย่างเดียวก็สงสัยอีก จะใช่หรือ ? ไปดูเองเถอะ

มีบางคนใช้มโนมยิทธิแล้ว ดูอดีตตัวเอง ชาตินั้นเป็นอย่างนั้น ชาตินี้เป็นอย่างนี้ มีแต่ยิ่งใหญ่คับฟ้าทั้งนั้นเลย กลายเป็นว่าไปแบกมานะ ก็คือเอาอดีตมาปนกับปัจจุบัน กลายเป็นสังโยชน์ซ้อนสังโยชน์ ก็คือแทนที่สักกายทิฏฐิกับมานะในปัจจุบันจะลดได้ กลับไปแบกของอดีตเพิ่มเข้ามาด้วย กลายเป็นโทษหนักขึ้นไปอีก

ความจริงหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านก็ทราบว่ามโนมยิทธิอันตรายขนาดไหน แต่ท่านมั่นใจว่าลูกศิษย์ของท่านฉลาดพอที่จะเลือกในสิ่งที่ถูก ท่านถึงได้สอน เท่าที่อาตมาเคยกราบเรียนถามแล้วท่านบอกว่า “ถ้าทำให้คนรู้จักพระนิพพานได้แม้แต่คนเดียวก็คุ้มแล้ว” นั่นขนาดท่านเอาแค่คนเดียวนะ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เท่ากับของท่านเหลือที่จะคุ้มแล้ว เพราะรู้จักกันเยอะไปหมด

เถรี 21-05-2013 20:58

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของข่าวลือต่าง ๆ ถ้าเรามีความมั่นคงในพระรัตนตรัยจริง ๆ ก็จะไม่หวั่นไหวตามไป ถ้ายังหวั่นไหวตามไปแปลว่าเรายังหาความมั่นคงไม่ได้ บุคคลที่หาความมั่นคงในพระรัตนตรัยไม่ได้โอกาสลงอบายภูมิมีสูงมาก ฉะนั้น..พึงระมัดระวังให้ดี"

เถรี 21-05-2013 21:00

มีโยมเอาอาหารเพลมาถวาย พระอาจารย์จึงกล่าวว่า "เวลาหลวงปู่มหาอำพันฉันภัตตาหาร ถ้ามีอาหารอะไรที่แปลก ๆ หรือเป็นของอร่อย ท่านจะเหลือไว้ให้ลูกศิษย์ บางทีลูกศิษย์ก็บ่นว่า “รู้ว่าหลวงปู่ชอบฉันของอย่างนี้ อุตส่าห์เอามาแล้วหลวงปู่ก็ยังเหลือไว้อีก ไม่ฉันให้หมด” หลวงปู่ท่านบอกว่า “แบ่งให้ลูกศิษย์เขาบ้าง”

ท่านบอกว่า “ถ้าข้าวเหนียวมี แต่มะม่วงหมด ลูกศิษย์อดแล้วอาจารย์อิ่มใช้ได้ที่ไหน ถ้าอดก็ต้องให้อดด้วยกัน ถ้าอิ่มก็ต้องให้อิ่มด้วยกัน”

เถรี 21-05-2013 21:07

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่องานวันที่ ๑ พ.ค. ที่วัดเขาวง มีโยมท่านหนึ่งรู้จักกันมานาน บอกว่าตอนนี้กำลังลำบาก ถามว่าไปทำอะไรมา ? เขาบอกว่าไปซื้อขายเงินตราต่างประเทศอยู่ เขาสงสัยว่าทำไมใช้ทิพจักขุญาณดูแล้วว่าตัวนี้จะขึ้น แต่พอซื้อแล้วดันตก ก็เลยทำให้ขาดทุน

อาตมาถึงได้บอกกับเขาไปว่า การใช้ทิพจักขุญาณลักษณะของคุณผิดตั้งแต่แรกแล้ว เพราะว่าสภาพจิตไม่สะอาดพอ เอาความโลภขึ้นหน้าไปก่อน ถ้าจะบอกว่าผิดในเรื่องของการทำมาหากินก็ไม่ใช่หรอก คุณผิดมาตั้งแต่แรกโน้น ที่เที่ยวเอาทิพจักขุญาณไปดูว่าใครเป็นเนื้อคู่ของตัวเอง เรื่องในอดีตคือเรื่องของอดีต ปัจจุบันคือปัจจุบัน อย่าเอามาปะปนกัน ถ้ากระแสกรรมชักนำ โอกาสพลาดจะมีทันที เพราะเมื่อกระแสกรรมชักนำ เราไปดูแล้วเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น ๆ แล้วไปฟื้นความสัมพันธ์กันขึ้นมาใหม่ ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์คนละชาติกัน ต่อให้เป็นจริงก็ตาม ก็เท่ากับว่าเราใช้ทิพจักขุญาณในด้านที่ผิดแล้ว

ทิพจักขุญาณที่หลวงพ่อท่านสอนเรา ท่านต้องการให้เรารู้อดีตเพื่อที่จะได้เห็นว่า จริง ๆ แล้วอดีตทุกชาติที่ผ่านมาก็มีแต่ความทุกข์ ปัจจุบันนี้เราก็ทุกข์อยู่ อนาคตถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก สมควรที่จะพอได้แล้วหรือยัง ? ถ้าพอแล้ว เราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของเราไป

เรื่องทิพจักขุญาณสำคัญที่สุดก็คือ ดูเพื่อที่จะเกรง จะกลัว จะเข็ดกับการเกิดมามีร่างกายนี้ หรือว่ากลัวการเกิดมาในโลกนี้ ไม่ใช่เที่ยวไปดูอย่างนั้นอย่างนี้ โดยเฉพาะในลักษณะของการทำมาหากิน อย่าดูด้วยตัวเอง เพราะว่าตัวเองพอถึงเวลาดูอดมีรัก โลภ โกรธ หลงเข้าไปแทรกไม่ได้ โอกาสที่พลาดจะมีมาก ถ้าจะคนอื่นดูให้ก็ต้องมั่นใจว่าเขามีความแม่นยำถูกต้องจริง ๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะแม่นในระยะแรก พอนานไป ๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขเข้ามา แทนที่จะดูเพื่อสงเคราะห์คนอื่นก็ดูเพื่อลาภ ดูเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ

ในเมื่อความตั้งใจผิดเสียแล้ว ต่อไปเรื่องที่เราดูอยู่ก็จะผิดไปด้วย ได้ยินเขาปรารภก็สงสารเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ต้องบอกว่ากรรมใครกรรมมัน"

เถรี 21-05-2013 21:12

พระอาจารย์อ่านเนื้อหาจากหนังสือให้ฟังว่า "พระสงฆ์อาพาธเพราะฆราวาสทำ

๑. อาหารถวายพระไม่มีคุณภาพ
๒. ถวายแต่น้ำหวานน้ำอัดลม
๓. ถวายแต่เครื่องดื่มชูกำลัง
๔. ถวายแต่ของทอด
๕. ถวายแต่พวกไอศกรีม ขนมเค้ก
๖. ถวายแต่บุหรี่ ยาเส้น
๗. ถวายแต่วิตามิน

หมอเขาก็เขียนอย่างหมอนะ จะมีชาวบ้านสักกี่คนที่เขารู้จักว่า อาหารแต่ละอย่างมีอะไรเป็นโทษบ้าง"

เถรี 23-05-2013 21:06

ถาม : ธรรมทานที่ทำได้อานิสงส์สูงสุดคือ ธรรมทานอย่างไรครับ ? คือการใช้เงินบริจาคเป็นธรรมทาน หรือการบริจาคหนังสือธรรมะ ได้อานิสงส์เท่ากันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อานิสงส์ธรรมทานสูงสุดคือเราปฏิบัติธรรมนั้นได้ สามารถยืนยันผลด้วยตนเอง แล้วนำเอาสิ่งนั้นไปสอนต่อ ทำให้ได้เองก่อนแล้วไปสอนคนอื่น จะได้มีรายละเอียด เวลาเขาซักถามอะไรจะได้ตอบได้

การที่เราบริจาคปัจจัยในเรื่องของธรรมทาน ตัวเราก็ไม่สามารถปฏิบัติธรรมนั้นเองได้ บริจาคเป็นหนังสือหรือพระไตรปิฎกก็ลักษณะเดียวกัน เพราะฉะนั้น..จะเอาอานิสงส์สูงสุดจริง ๆ ต้องตัวเองทำได้และสอนคนอื่นให้ทำได้ด้วย

แม้แต่ตรงนี้อาตมาก็รำคาญมาก เพราะโยมมักจะเอาหนังสือธรรมะมาถวายเยอะแยะไปหมด ไม่ใช่ไม่ต้องการ แต่สงสัยว่าทำไมไม่อ่านแล้วทำเสียเอง ?

เถรี 23-05-2013 21:12

ถาม : การโพสต์ตั้งกระทู้ธรรมะในอินเตอร์เน็ตเป็นการบริจาคธรรมทานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นหลักธรรมคำสอนในพระไตรปิฎก หรือของหลวงปู่หลวงพ่อต่าง ๆ ก็ถือว่าเป็นธรรมทานอย่างหนึ่ง เอาให้แน่ ๆ ก็คือ ตรวจสอบให้ถูกต้อง อย่าให้มีข้อผิดพลาด ขณะเดียวกัน ต้องมั่นใจอย่างแน่ว่าคำสอนเหล่านั้นถูกต้องอย่างแท้จริง ไม่ใช่ประเภทคำสอน "อย่าไปไหว้พระพุทธรูป เพราะเป็นแค่ทองเหลือง" ถ้าอย่างนี้ก็บรรลัย..!

เถรี 23-05-2013 21:16

ถาม : การอภัยทานกับธรรมทานมีอานิสงส์ต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : อภัยทานเป็นในส่วนของพรหมวิหารธรรม ถ้าใครทำได้ จิตใจจะสงบเยือกเย็น ลักษณะนั้นจะสามารถรักษาศีลได้ทุกข้อ จัดเป็นศีลบารมีและเมตตาบารมี ส่วนธรรมทานนั้นจัดอยู่ในส่วนทานบารมี ต่างกันตรงที่ทำอย่างหนึ่งได้บารมีสองข้อ ทำอีกอย่างหนึ่งได้บารมีข้อเดียว

เถรี 23-05-2013 21:18

ถาม : ในอินเตอร์เน็ตมีการบอกว่า "การให้อภัยทานสูงกว่าธรรมทาน" ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ได้สอน อยากจะทราบว่าเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็แปลว่าไม่ได้สอนเท่านั้นเอง..!

เถรี 23-05-2013 21:23

ถาม : ก่อนที่จะรับยันต์เกราะเพชร มีคนสวมรองเท้าผิดไป แล้วทิ้งรองเท้าคู่อื่นไว้เป็นคู่สุดท้าย เราจำเป็นต้องสวมคู่นั้นซึ่งไม่ใช่ของเรา หลังจากรับยันต์เกราะเพชรออกมา เราก็ยังสวมคู่นั้นอยู่ ยันต์จะขาดหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่เหลือ..ไม่ใช่ของของเราแต่ไปเอาของเขามา รู้ด้วย ตั้งใจเอาด้วย ก็เท่ากับตั้งใจขโมย..!

ถาม : ไม่ได้ตั้งใจขโมยครับ เพราะเขาใส่ของเราไปแล้ว ?
ตอบ : ไม่ได้ตั้งใจกินยาผิดก็ตายเหมือนกัน เพราะกินลงไปแล้ว..!

เถรี 23-05-2013 21:28

ถาม : เรื่องน้ำท่วมโลกจะเกิดขึ้นเมื่อไร ? จริงหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ากัปไหนโลกจะโดนทำลายด้วยน้ำ กัปนั้นน้ำย่อมท่วมโลกแน่นอน โลกของเรานั้นแต่ละกัปจะโดนทำลายด้วยน้ำบ้าง ด้วยลมบ้าง ด้วยไฟบ้าง ถ้าอยากให้ท่วมโลกต้องรอกัปที่ทำลายด้วยน้ำ เขาบอกว่าท่วมถึงพรหมชั้นที่ ๑๕ เหลือชั้นที่ ๑๖ เท่านั้น..!

ถาม : อย่างนี้ท่านปู่พระอินทร์ก็โดนด้วยสิครับ ?
ตอบ : ก็ย้ายที่สิวะ..!

เถรี 23-05-2013 21:33

ถาม : บุคคลที่เข้าปฐมฌานอยู่ คนอื่นสามารถฆ่าคนที่กำลังทรงฌานได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ฆ่าได้สบาย บุคคลที่ทรงฌานอยู่ อำนาจของฌานจะแผ่ออกรอบข้าง บุคคลที่กำลังใจอ่อนจะไม่กล้ากล้ำกรายทำอันตราย แต่บุคคลที่มีมิจฉาสมาธิในระดับที่เข้มแข็งกว่า สามารถจัดการได้สบาย

ถาม : แต่ถ้าเข้านิโรธสมาบัติก็ทำอะไรไม่ได้ ?
ตอบ : กรณีนี้หมดสิทธิ์ เพราะไม่มีอะไรที่สูงกว่านั้น แต่ถ้าแค่ปฐมฌานยังเดี้ยงได้

เถรี 23-05-2013 21:37

ถาม : การบริจาคทานโดยการโอนเงินเข้าบัญชีร่วมสร้างพระ วิหารทาน ที่คนเปิดรับบริจาคอยู่ เมื่อโอนเงินเสร็จแล้วแต่ไม่ได้แจ้งเจ้าของบัญชี จะได้อานิสงส์เท่ากับคนที่โอนแล้วเขาแจ้งไหมครับ ?
ตอบ : ได้ตั้งแต่คิดแล้ว อาจจะได้มากกว่าด้วย เพราะคนที่แจ้งอาจจะไม่มีอุเบกขาในทาน กลัวคนไม่รู้ ต้องรีบบอก แต่เราเองอาจจะมีอุเบกขาในทาน ไม่จำเป็นต้องบอกก็ได้ ขอให้ได้ทำก็แล้วกัน

เถรี 23-05-2013 21:43

ถาม : ผู้ที่ปฏิบัติสมาธิหรือทรงฌาน ถ้าแช่งบุคคลอื่นจะส่งผลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงขนาดทรงฌานหรอก คนธรรมดาก็ส่งผลได้ เพราะกำลังใจของเราที่มุ่งดีหรือมุ่งร้ายจะมีพลังงานทั้งนั้น ในเมื่อเราตั้งใจแช่งเขา พลังงานที่ไม่ดีก็จะแผ่ออกไป ถ้าช่วงนั้นอกุศลกรรมเข้า โทษก็จะเกิดแก่เขาได้เหมือนกัน แต่ถ้าเข้าสมาธิทรงตัวแล้วไปแช่งก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ถ้าแช่งเขานี่เป็นมิจฉาสมาธิแน่นอน

ถาม : ถ้าเกิดแช่ง ๆ อยู่แล้วเส้นเลือดในสมองแตกตาย ไปที่ไหนครับ ?
ตอบ : ไปด้วยโทสะลงนรกที่เดียว จิตใจเศร้าหมองแบบนั้น..รอดยาก..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:26


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว