กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3864)

เถรี 28-08-2013 09:18

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖
 
ถาม : คนที่ทำหน้าที่เป็นไวยาวัจมัย นำเงินญาติโยมไปทำบุญ เช่นซื้อของถวายพระ ถวายวัด โดยที่ไวยาวัจมัยไม่ได้ออกเงินทอง แต่ช่วยให้บุญนั้นสำเร็จลงได้ ไม่ทราบว่าไวยาวัจมัยผู้นั้นจะได้อานิสงส์ในส่วนของบุญทานหรือไม่ ? หรือได้เฉพาะในส่วนของไวยาวัจมัย ไม่ได้เกี่ยวกับทาน ? แล้วบุญที่แท้จริงไวยาวัจมัยได้ออกมาในรูปแบบไหนครับ ?
ตอบ : ไวยาวัจมัยเป็นคำขยายกิริยา ไม่ใช่ประธาน ถ้าทำหน้าที่ประธานต้องใช้คำว่าไวยาวัจกร บุคคลที่เป็นไวยาวัจกรคือบุคคลที่ทำหน้าที่นำบุญให้คนอื่นเขา ถ้าตัวเองไม่มีส่วนร่วมในบุญนั้นด้วย ได้แต่ทำหน้าที่เฉย ๆ จะได้อานิสงส์ในการช่วยเหลืองานบุญคนอื่นให้สำเร็จ ที่เรียกว่าไวยาวัจมัยอย่างเดียว

คนประเภทนี้ถ้าเกิดใหม่จะเกิดมาจนแต่เพื่อนมาก แต่ถ้าท่านทำเองด้วย ช่วยงานคนอื่นด้วย เกิดมารวยด้วย เพื่อนมากด้วย แต่ถ้าทำเองไม่ชวนคนอื่น เกิดใหม่รวยแต่เพื่อนไม่มี เพราะฉะนั้น..เลือกเอาก็แล้วกันว่าจะทำแบบไหน

เถรี 28-08-2013 19:08

ถาม : ถ้ามัคคนายกเอาบาตรมาตั้งให้ญาติโยมใส่เงินเวลาพระเทศน์ ถามว่าเงินที่ได้จากการใส่บาตรพระที่เทศน์นั้น จะเป็นของพระที่เทศน์หรือเป็นของวัด ? เนื่องจากที่วัดของโยม เงินนั้นได้มาเท่าไรก็ตาม มัคนายกจะถวายพระเทศน์แค่ ๑๐๐ บาท ส่วนที่เหลือหักเข้าค่าน้ำ-ค่าไฟหมด โดยที่พระก็ไม่ได้เต็มใจ
ตอบ : จริง ๆ แล้วเขาถวายบูชากัณฑ์เทศน์ ถ้าโดยปกติแล้วเขาถือว่าเป็นสิทธิ์ของพระผู้ที่เทศน์นั้น แต่โดยปกติอีกเหมือนกันว่าพระผู้ที่เทศน์นั้นได้มาในฐานะของความเป็นพระ ดังนั้นอย่าไปคิดว่าเป็นเงินส่วนตัว ให้คิดว่าเป็นเงินสงฆ์ไว้เสมอ

แต่คราวนี้ว่าการคิดเป็นเงินสงฆ์นั้นต้องแบ่งส่วนหนึ่งลงเพื่อสงฆ์ อย่างเช่นว่าในส่วนของภัตตาหารพระ เพื่อที่จะได้เป็นส่วนของสังฆทานไป อีกส่วนหนึ่งลงช่วยการก่อสร้างหรือว่าซ่อมแซมวัดอะไรก็ได้ เพื่อที่จะได้ส่วนของวิหารทานด้วย แล้วอีกส่วนหนึ่งค่อยเอาไปใช้ในกิจการของตนเอง

แต่ถ้าตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ ก็คือ ให้ใช้ในส่วนที่จำเป็นเท่านั้น เช่น เป็นค่ารถ ค่ายา ค่ารักษาพยาบาล ค่าอาหารการกิน เป็นต้น ส่วนที่เหลือก็ควรจะผลักเข้ากองบุญการกุศลเพื่อเพิ่มอานิสงส์ให้กับผู้ถวาย แต่คราวนี้ว่ามัคนายกเก่ง ก็เลยบีบคอบังคับพระ คุณเทศน์ไปก็ถือว่าได้ร้อยเดียวแล้วกัน ที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง จะว่าไปแล้วก็ใช้ได้ แต่วัดนี้ต่อไปพระจะน้อยลงเรื่อย ๆ


ถาม : แล้วถ้าตอนถวายพระเทศน์ คนถวายเขาคิดว่าถวายเป็นสังฆทานละครับ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าอย่าคิดว่าเป็นของส่วนตัว ได้มาเพราะเป็นพระ ให้ถือว่าเป็นเงินสงฆ์ไว้เสมอ

เถรี 28-08-2013 19:11

ถาม : มีพระที่วัดป่วยเป็นไข้เลือดออกในช่วงเข้าพรรษา หมอไม่ให้กลับวัดจนกว่าจะหาย พระรูปนั้นจึงโทรศัพท์มาขอสัตตาหะ ถามว่าการทำแบบนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ เพราะพระท่านกลัวจะขาดพรรษา ?
ตอบ : ไม่สมควร...โทรไปบอกหลวงพ่อเจ้าอาวาสให้ส่งพระสงฆ์ในวัดอย่างน้อย ๔ รูป ไปให้ท่านบอกสัตตาหะให้เป็นทางการไปเลย ไม่อย่างนั้นแล้วเดี๋ยวประเภทงานจริงงานไม่จริง ป่วยแกล้งป่วยจริงก็ไม่รู้ โทรลาไปเรื่อย แล้วจะเป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับคนอื่นเขา ทำให้ยากเข้าไว้จะได้ไม่กล้าเบี้ยว

เถรี 28-08-2013 19:13

ถาม : มีพระรูปหนึ่งบอกว่า การที่ญาติโยมบอกให้พระภิกษุทำความสะอาดตรงจุดนั้น หรือทำนั่นทำนี่ตามที่ญาติโยมบอก เป็นการผิดศีลข้อที่ว่าเอาใจโยม ประจบคฤหัสถ์ หนูสงสัยว่าพระรูปนี้ท่านพูดถูกต้องหรือไม่ ? เพราะถ้าโยมไม่บอกให้พระทำ วัดก็สกปรกอยู่อย่างนั้น แล้วท่านก็จะใช้ข้ออ้างนี้ต่อว่าพระไปทั่ว ถ้าไปทำอะไรตามที่โยมบอก
ตอบ : อันตรายมาก...เรื่องพระผิดศีลไม่เท่ากับโยมใช้พระ โยมคนนั้นเตรียมตัวเฮงได้เลย การที่พระจะผิดศีลข้อประจบคฤหัสถ์นั้นก็คือยอมตัวให้เขาใช้ เพื่อที่เขาจะได้พอใจ แต่อันนี้ท่านไม่ได้พอใจ ท่านบอกว่าโดนบังคับใช้ ดังนั้น..โดยสถานะแบบที่ว่ามานี่พระไม่ผิดศีลหรอก แต่โยมเฮงแน่ ๆ ข้อหาใช้พระ อย่าเผลอไปเกิดใหม่ก็แล้วกัน

เถรี 28-08-2013 19:21

ถาม : ถ้าโจทย์และจำเลยขออโหสิกรรมให้กันทั้ง ๒ ฝ่าย ถามว่าทำไมต่อไปยังมีปัญหาเกิดขึ้นอีก ทั้ง ๆ ที่ขออโหสิกรรมแล้ว กรรมไม่ดีต่อกันก็น่าจะหมดลงไปแล้ว ?
ตอบ : ผลของกรรมหมด ไม่ใช่กรรมที่ไม่ดีต่อกันหมดลง ตราบใดที่ยังไม่ตายแล้วยังเหม็นขี้หน้ากันอยู่ ก็จะทำกรรมใหม่ไปเรื่อย แต่ที่ทำมาตั้งแต่ต้นจนจบนั้นสูญไปแล้ว เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่กัน เกลียดขี้หน้ากันมากี่ชาติ อยู่ ๆ จะให้มารักกันย่อมเป็นไปไม่ได้

ถาม : แต่กรรมที่เคยทำกันมาก่อน ๆ ก็จบไป ณ จุดนั้น ?
ตอบ : กรรมเดิมจบไป กรรมใหม่ก็เริ่มต้นใหม่ เดี๋ยวไม่มีอะไรทำก็เบื่อแย่..!

เถรี 28-08-2013 19:30

ถาม : ถ้าพระต้องสังฆาทิเสสเป็นระยะเวลานาน ถ้าจะไปเข้าปริวาสไม่ถึงวันที่ตนเองทำผิด (และปกปิดไว้) เช่น ต้องเข้าปริวาส ๑ เดือนแต่อยู่แค่ ๑๐ วัน เพราะมีกิจอย่างอื่น ถ้าพระรูปนั้นจะเก็บแค่ ๑๐ วันก่อนแล้วค่อยมาเก็บอีกทีหลังจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : เข้าไปเรื่อย ๆ แต่อย่าเก็บมานัต เพราะว่ายังไม่ใช่มานัตตารหาบุคคล คือบุคคลที่ควรแก่มานัต ฉะนั้น..เข้าแล้วก็บวกไปเรื่อย จนกว่าจะได้วันเวลาเท่าจำนวนที่ตัวเองปกปิดไว้ แล้วก็บวกไปอีก ๖ วัน ๖ คืน หลังจากนั้นก็ไปเก็บมานัตได้

ถาม : ไม่ต้องเก็บติดต่อกันก็ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ปกติควรจะติดต่อกัน แต่คราวนี้เขาใช้คำว่าจำเป็น ถ้าจำเป็นก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ

เถรี 28-08-2013 19:33

ถาม : การที่เรารักษาความดีเป็นระยะเวลานาน ๆ จนเห็นในความดีนั้นอย่างชัดเจน เห็น..รับรู้..แล้วเกิดอาการไม่หวั่นไหวว่าคนอื่นจะพูดว่าอย่างไร มีความมั่นใจ ไม่ประมาท เหมือนมีความดีนั้นเป็นเครื่องรองรับเราอยู่ตลอด ตรงนี้เป็นสักกายทิฐิ หรือเป็นการปฏิบัติที่ทำไปถึงจุดหนึ่งแล้วลงอารมณ์นี้คะ ?
ตอบ : ต้องระมัดระวังว่า ถ้าเผลอจะเป็นทั้งสักกายทิฐิ เป็นทั้งมานะ เป็นทั้งสีลัพพตุปาทาน สักกายทิฐิถ้าเผลอจะกลายเป็นว่า “กูดีกว่า” เพราะฉะนั้น..ในเมื่อมีคำว่ากว่า มานะย่อมมาแน่ ๆ และจะกลายเป็นว่าสิ่งที่กูทำดีกว่าคนอื่น เขาเรียกว่ายึดมั่นในหลักการปฏิบัติของตนเองว่าดีกว่า ภาษาบาลีเรียกว่าสีลัพพตุปาทาน เพราะฉะนั้น..โปรดอย่าประมาท ให้คิดอยู่เสมอว่า ตราบใดที่ยังไม่อยู่บนพระนิพพาน ตราบนั้นยังไม่ดีแน่

เถรี 28-08-2013 19:36

ถาม : เรื่องผ้ายันต์เกราะเพชรและผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ถ้าหากเราเลี้ยงกุมารทองหรือพราย เราจะบูชาพกพาหรือนำผ้ายันต์ติดสถานที่อาศัย จะมีผลอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็มีผลว่ากุมารทองหรือพรายไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้..!

ถาม : อยู่ไม่ได้เลยหรือครับ ?
ตอบ : แสงสว่างกับความมืด ถ้าสว่างแล้วมืดจะอยู่อย่างไร ? เพราะตรงกันข้าม ถ้าเสียดายอยากเลี้ยงพรายหรือกุมารทองก็เอาผ้ายันต์ให้คนอื่นเขาไป

เถรี 29-08-2013 19:22

ถาม : เหรียญในหลวงที่มีตราแผ่นดิน ๒๕๐๕ ไว้ใช้ซื้อที่กับเจ้าที่ได้ แล้วเหรียญในหลวงหลังตราครุฑปี ๒๕๑๗ ใช้ซื้อที่กับเจ้าที่ได้เหมือนกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้ามีจำนวนมากตามที่เขาต้องการซื้อได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าเขาบอกว่าตารางวาละแปดแสนห้า ก็หาไปให้เขาแล้วกัน รับรองว่าซื้อได้ ไปเอาความรู้ประเภทนี้มาจากไหนวะ ?

เถรี 29-08-2013 19:29

ถาม : หลังจากนั่งสมาธิในทุก ๆ ครั้งไประยะหนึ่งแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเข้าไปอยู่ที่หนึ่ง ไม่มืด ไม่สว่าง คล้าย ๆ กับว่าหายไปจากโลกนี้ แต่ยังพอได้ยินเสียงภายนอกอยู่ไกล ๆ แต่ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด อยากกราบเรียนถามว่า ลักษณะอย่างนี้คือสภาวะอะไร ? และควรจะปฏิบัติต่อไปอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าอย่างต่ำก็ประมาณอุปจารฌาน ก็คือจิตเริ่มใกล้จะเป็นฌาน ถ้าอย่างสูงก็เป็นปฐมฌาน เหตุที่กล้าฟันธงอย่างนี้เพราะว่ายังได้ยิน ยังเห็นอยู่เป็นปกติ แต่ว่าไม่รำคาญ ซึ่งเป็นอาการของอุปจารฌานหรือปฐมฌานเท่านั้น

ถาม : แล้วควรจะปฏิบัติต่อไปอย่างไรครับ ?
ตอบ : ภาวนาต่อไปเรื่อย ๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เรามีหน้าที่ทำ ส่วนผลจะเกิดอย่างไรก็ช่าง

ถาม : หลายคนพอมาถึงจุดนี้สงสัยเลยเลิกทำ ?
ตอบ : เลิกเลยไม่เป็นไร แต่ถ้าทำต่อไปแล้วอยากได้ตรงนี้จะไม่ได้อีก เพราะว่าใจไม่นิ่งแล้ว ตัวอยากเป็นอุทธัจจะกุกุจจะ ความฟุ้งซ่าน

เถรี 29-08-2013 19:37

ถาม : หากผมเปิดเสียงของหลวงพ่อ หรือพระอาจารย์ หรือท่านอื่น ๆ เช่น ท่านจิตโต เป็นต้น หลายครั้งก็ฟังได้ตลอดจนจบ แต่บางครั้งเกิดการวูบเหมือนขาดสติ ทำให้ไม่ได้ยินเสียง จะต้องประคองใจอย่างไรบ้างครับ ? คือผมจับลมหายใจไปด้วยพยายามฟังไปด้วย แต่บางครั้งผมจะฟังไปภาวนาไป เลยทำให้ไม่ได้ฟัง แต่เอาใจไปจดจ่อที่คำภาวนาแทน อาการวูบไป หรือเสียงหายไปจะต้องมีวิธีแก้อย่างไร ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วการฟังธรรมให้ตั้งกำลังใจที่อุปจารสมาธิ น้อมจิตฟังตามไป ตรงจุดใดที่เราคิดว่าทำได้ ให้ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่าเราจะทำอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้จะเกิดประโยชน์มาก การฟังแล้วภาวนาไปด้วยถือว่าดี แต่ว่าเป็นการอาศัยเสียงที่ฟังนั้นโยงจิตตนเองให้เป็นสมาธิ ถ้าไม่ใช่บุคคลที่คล่องตัวระดับฌานใช้งาน จะไม่สามารถตัดสินใจหรือคิดอะไรตามหลักธรรมนั้นได้ เพราะว่าสมาธิยังดำเนินไปตามปกติของเขาอยู่

ดังนั้น..ควรจะเลือกเอาว่าจะทำแบบไหน ถ้าหากว่าโดยปกติธรรมดาก็คือ เข้าสมาธิให้เต็มที่ก่อน แล้วคลายลงมาเป็นอุปจารฌานหรืออุปจารสมาธิ แล้วค่อยฟัง จะได้กำลังในการที่จะนำมาตัดกิเลสหรือตัดสินใจอีกด้วย


ถาม : แล้วการที่ฟังไป ภาวนาไป จะถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยหรือไม่ ?
ตอบ : จะเรียกว่าปรามาสก็ไม่ใช่ อย่าคิดมาก เพียงแต่ว่าถ้าจะเอาผลจริง ๆ ตอนช่วงนั้นสภาพจิตพอเป็นสมาธิ ถ้าหยาบหน่อยก็เหมือนกับหายไปเฉย ๆ ตอนนั้นคำเทศน์ก็จะขาดประโยชน์ไป แล้วถึงรู้อยู่ ถ้าสมาธิไม่คล่องตัว ก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้ สักแต่ได้ยินไปเฉย ๆ

ถาม : แล้วสมาธิระดับที่พูดถึง กับสมาธิที่เวลาเราเรียนหนังสือแล้วตั้งใจฟังครูสอนนี่ ยังหยาบกว่าไหมคะ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าระดับเดียวกัน เพียงแต่ว่าถ้าเราเข้าสมาธิก่อน เราจะมีกำลังสมาธิหนุนอยู่ สภาพจิตจะจดจ่อแน่วแน่ได้มากกว่า แล้วถ้าจะตัดสินใจอะไร กำลังสมาธิจะช่วยให้ตัดสินใจได้เด็ดขาดกว่ามาก

เถรี 29-08-2013 19:40

ถาม : เนื่องจากศาลพระภูมิที่บ้านรวมถึงศาลตายาย ได้ตั้งอยู่ในทิศตะวันตกค่อนมาทางเหนือของตัวบ้าน ซึ่งได้อ่านมาจากคำสอนของหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า ทิศตะวันตกเป็นทิศที่ไม่ควรตั้งศาลพระภูมิ เนื่องจากเป็นทิศของอากาศเทวดา แต่ศาลนี้ตั้งมานานมาก ประมาณว่าเกินสามสิบปี และที่บ้านก็อยู่เป็นปกติสุขดี จึงขอกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า จำเป็นต้องย้ายตำแหน่งของศาลหรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าอยู่มา ๓๐ กว่าปีแล้วก็คงไม่จำเป็นแล้ว จงอยู่ต่อไปเถอะ ยกเว้นว่าหนักใจก็โยกย้ายเสียให้ถูก

เถรี 29-08-2013 19:44

ถาม : ถ้าผมเปิดร้านรับจ้างปั้นพระ หล่อพระ สร้างวัตถุมงคล ที่ไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกจะเป็นบาปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ทำมาหากินตามปกติ ทำด้วยความเคารพก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าประเภทตั้งร้านวางแบกับดิน ให้คนเดินข้ามไปข้ามมาอย่างนั้นก็สาหัสหน่อย ไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกก็ไม่มีปัญหา แทบจะไม่มีโรงงานไหนเอาไปเข้าพุทธาภิเษกหรอก

ถาม : ถ้าเกิดว่าไม่ได้ไปวางแบกับดิน ทำด้วยความเคารพก็ไม่เป็นไร ?
ตอบ : ควรจะหาที่ตั้งให้เหมาะสม เราจะเห็นว่าโบราณเขาตั้งพระ อย่างน้อยก็ต้องมีตั่ง

ถาม : ถ้าผมเปิดร้านรับจ้างปั้นพระ หล่อพระ สร้างวัตถุมงคล มีบางครั้งที่นำวัตถุมงคลบางรุ่นเข้าพิธีพุทธาภิเษก แล้วจำหน่ายในราคาเดิมก่อนพุทธาภิเษกอย่างนี้ จะเป็นบาปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ได้ทำความผิดอะไรก็ไม่ถือว่าบาป ถือว่าช่วยให้คนที่รับไปได้วัตถุมงคลที่สามารถคุ้มครองตัวเองได้อย่างแท้จริงอีกด้วย

ถาม : ถ้าผมเปิดร้านรับจ้างปั้นพระ หล่อพระ สร้างวัตถุมงคล ที่ไม่ได้เข้าพิธีพุทธาภิเษก ผู้ซื้อเอานำพระไปตกแต่งร้านผับ ร้านบาร์ ร้านคาสิโน สถานอบายมุข ผมจะมีส่วนบาปหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้บอกให้เขาเอาไปตกแต่งไม่เป็นไร คนไปเอาก็โดนเองอยู่ฝ่ายเดียว แต่ถ้าบอกว่า “ต้องพระจากร้านผมนี่ แต่งแล้วเท่สุด ๆ” ก็แปลว่าต่างคนต่างโดนไปด้วยกัน

เถรี 29-08-2013 19:49

ถาม : ถ้าเขาใส่ซองปัจจัยร่วมบวชพระ หรือร่วมเป็นเจ้าภาพบวชพระ แล้วเราเอาปัจจัยนั้นไปจ่ายค่าอาหาร ค่าน้ำ ให้กับแขกที่มาร่วมงานจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ปรับโทษเท่าย้ายเจดีย์

ถาม : ก็เป็นเรื่องของงานบวชเหมือนกันนี่ครับ ?
ตอบ : ทำกี่ครั้งก็ย้ายเท่านั้นครั้ง เขาตั้งใจบวชพระไม่ได้ตั้งใจเลี้ยงคน..! ฉะนั้น..เอาให้ชัดเจน ถ้าเขาบอกว่าเงินช่วยงาน ให้เราทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเขาบอกว่าเงินบวชพระ อย่าเอาไปใช้ผิดงานเป็นอันขาด

ถาม : แล้วเงินบวชพระส่วนนี้ควรจะถวายให้กับพระใหม่ กับวัด กับพระอุปัชฌาย์พระคู่สวดอย่างนี้หรือครับ ?
ตอบ : อะไรที่เกี่ยวข้องกับการบวชทำไปเถอะ แต่ว่าอย่าให้หลุดไปจากการบวช

ถาม : โต๊ะจีนนี่ไม่เกี่ยวใช่ไหมครับ ?
ตอบ : บอกแล้วว่าบวชพระ ไม่ได้เลี้ยงคน

ถาม : ถ้าเงินเหลือจากเครื่องบริขาร เหลือจากการถวายพระอุปัชฌาย์ พระคู่สวดแล้ว เอาไปทำบุญร่วมบวชกับพระอาจารย์ได้ไหมครับ หรือเอาไปถวายสังฆทาน ถวายเพลได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าจะให้ตรงก็ไปร่วมบวชพระรูปอื่น

ถาม : พอสึกแล้ว เงินทั้งหมดที่ได้มาตอนบวชไปถวายพระที่มาร่วมพิธีสึกให้ถูกไหม ? หรือว่าถวายกับพระที่ดูแลได้ไหม? และถวายเป็นค่าน้ำค่าไฟได้ไหมครับ ?
ตอบ : ทำอะไรก็ได้ที่เป็นกองบุญการกุศล จะถวายพระก็ถวายอย่างน้อย ๔ รูป

เถรี 29-08-2013 19:52

ถาม : ได้ฟังพระท่านบอกว่าจิตเดิมแท้ของเราอยู่ที่พระนิพพาน แต่ก็ไม่รู้..ยังมีอวิชชาอยู่ จึงทำให้เรามาหลงติดขันธ์ ๕ แล้วเวียนว่ายตายเกิด จริง ๆ แล้วจิตเดิมแท้ตั้งแต่แรกอยู่บนพระนิพพานหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าอยู่แล้วเสือกทะลึ่งมาเกิดทำไมวะ ? เขาบอกหรือเปล่าว่าวัดไหน ? ถ้าบอกอาตมาจะได้ย้ายวัดไปอยู่ด้วย ไปพระนิพพานง่ายดี

ถาม : แล้วจริง ๆ เป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : สภาพจิตเดิมแท้กำลังสูงสุดไม่เกินอาภัสราพรหม แปลว่าความสะอาดเท่ากับฌานที่ ๒ ละเอียด ไม่เกินนั้น แต่ว่าพอโดนกิเลสท่วมทับไปก็เสื่อมสูญไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งท้ายสุดกระทั่งอุปจารสมาธิก็ไม่มี

เถรี 29-08-2013 20:12

ถาม : ทำไมที่โต๊ะบวงสรวงต้องมีข้าวตอกดอกไม้ ?
ตอบ : เพราะเงินเหลือ ...(หัวเราะ)... การบูชาด้วยข้าวตอกดอกไม้ เขาถือว่าเป็นการบูชาด้วยสิ่งที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าเป็นวัตถุทาน ในเมื่อมีก็แสดงว่าเราเองพยายามสรรหาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาด้วยความพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แสดงออกซึ่งความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง คนรุ่นใหม่ ๆ ที่ไม่รู้ ถ้าใส่ไปเยอะ ๆ หน่อยถึงเวลายังทำข้าวตอกน้ำกะทิได้

ถาม : แล้วทำไมต้องเป็น ๕ กระทงด้วยคะ ?
ตอบ : ต้องการจะใส่เยอะกว่านั้นแต่พื้นที่ไม่พอ สมัยก่อนเขานิยมว่าขัน ๕ เลียนแบบมาจากขันธ์ ๕ คืออัตภาพร่างกายของเรา เป็นปริศนาธรรมส่วนหนึ่งจะไม่ให้เราลืมความจริงว่าร่างกายของเราไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้น..ทำอะไรเขาจึงเกี่ยวโยงถึงขันธ์ ๕ แม้กระทั่งจัดเครื่องบูชาก็จัด ๕ อย่าง แล้วก็เรียกตรง ๆ เลยว่าขันธ์ ๕ เมื่อเป็นดังนั้นเขาก็มักจะจัด ๕ ชุด มาสมัยนี้ก็จัดไปเรื่อย ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

เถรี 29-08-2013 20:20

ถาม : ลูกสาวเริ่มเป็นสาวแล้ว และมีแฟน วัน ๆ เอาแต่คุยโทรศัพท์ พระอาจารย์มีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : ซื้อโทรศัพท์ให้เขาสัก ๕ เครื่อง ดูว่าจะคุยไหวไหม ? เรื่องของวัยรุ่น ถ้าพ่อแม่ไม่เข้มงวดตั้งแต่แรก แล้วจะไปจำกัดตอนเป็นวัยรุ่น ไม่สำเร็จสักราย ขนาดเข้มงวดตั้งแต่แรก เขายังตะแบงข้างไปเลย เป็นทุกคนแหละ ตัวเองก็เป็นมาก่อน อย่าไปว่าลูกเลย สมัยก่อนอาตมาเองไม่มีโทรศัพท์มือถือ ตี ๓ วิ่งไปหยอดตู้โทรหาสาว แม่ก็ต้องทำใจ อะไรเตือนได้ก็เตือน อะไรบอกได้บอก ถ้าทั้งบอกทั้งเตือนแล้วเขาไม่ฟังก็ตัวใครตัวมัน..!

ถาม : กลัววันหนึ่งจะอุ้มหลานกลับมานะสิครับ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร..ก็ช่วยเลี้ยงต่อไป พอหลานโตเป็นวัยรุ่นเดี๋ยวก็ทำอย่างนี้กับแม่ตัวเองอีก เรื่องของวัยรุ่นก็ต้องดูในมัทนพาธา
ความรักเหมือนโคถึก......กำลังคึกผิว์ขังไว้
ก็โลดจากคอกไป........บ่ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้.............ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง..............บ่หวนคิดถึงเจ็บกาย

สิ่งที่เราพูดเป็นเรื่องของเหตุผล แต่สิ่งที่ลูกหลานทำเป็นเรื่องของอารมณ์ คนละคลองกัน ไปกันไม่ค่อยได้หรอก ยกเว้นว่าบุญเก่าเขาดี รู้จักรับฟังผู้ใหญ่ ตั้งสติ ระงับยับยั้งใจได้ ถ้าอย่างนั้นก็แล้วไป ไม่อย่างนั้นก็เตลิดทุกราย เราก็เคยเป็นจะไปโทษใครวะ ? อาตมาเองเคยโดนสาวหนีตามถึงบ้าน..เครียดเลย..! กว่าจะกล่อมให้กลับบ้านได้นี่น้ำลายแห้ง...

เถรี 29-08-2013 20:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องของพระพุทธศาสนา ถ้านั่งรออยู่ในวัดอย่างเดียวไปไม่รอดหรอก เจ๊งแน่นอน ก็เลยต้องใช้วิธีเดินออกจากวัดไป ในเมื่อโรงเรียนเทศบาลเขาขาดครูที่ชำนาญการเฉพาะ แล้ววัดท่าขนุนมี ก็ส่งไปเลย คราวนี้อาตมาเป็นกรรมการการศึกษาอยู่แล้ว และนายกเทศมนตรีซึ่งจะเป็นคนอนุมัติเงินเดือนตำแหน่ง ก็เป็นลูกศิษย์วัดอยู่แล้ว ก็งานง่ายเลย ถึงเวลาก็..ช่วยจัดการให้หน่อย.. เอาพระเอาชีไปสอนได้

เสียดายพระในวัดจบเมืองนอกกันมา พอให้เรียนปริญญาเอกต่อก็ไม่เรียน บอกว่าที่มาบวชเพราะเบื่อเรียน ถ้าอย่างนั้นช่วยไปสอนเด็กก็แล้วกัน

ถ้าเราวางพื้นฐานแนวทางให้เด็ก ๆ เอาไว้ เด็กก็จะคุ้นชินกับพระกับวัด ไม่ใช่ถึงเวลาเข้าวัดแล้วเขิน ทำอะไรไม่ถูก อาตมาบอกกับพระและแม่ชีว่า ให้เขาท่องคำอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร แบบท่องสูตรคูณเลย ให้ท่องทุกเย็นก่อนเลิกเรียน ท่องให้ฝังหัวไปเลย ไปอยู่ที่ไหนจะได้เป็นงาน นี่เป็นนโยบายเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ไม่ใช่นโยบายของโรงเรียน

พอถึงเวลาแล้วตัวเองเป็นพุทธศาสนิกชน เข้าวัดกันไปเป็นร้อยแต่ไม่มีใครอาราธนาศีลเป็นก็แย่ ต่อไปก็ให้เด็ก ๆ รุ่นนี้แหละ อยู่ ป.๓ - ป.๕ ถึงเวลาให้นำปู่ย่าตายายให้ได้อายเสียบ้าง"

เถรี 29-08-2013 20:37

พระอาจารย์กล่าวให้โอวาทกับพนักงาน ThaiPBS ที่มาถวายเทียนพรรษาจากทูลกระหม่อมอุบลรัตน์ฯ ว่า...

"ในความเป็นจริงแล้ว พวกเราทุกคนรู้อยู่ว่าต้องทำอะไร เพียงแต่ว่าการกระทำของเรา บางทีเราก็ไหลตามความต้องการของผู้ใหญ่มากเกินไป ในความเป็นสื่อมวลชน โดยเฉพาะสื่อสาธารณะ ต้องยึดหลักการไว้ก่อน ถ้าหลักการของเขามีไว้ว่าอย่างไร ก็ว่าไปตามวิสัยทัศน์ พันธกิจ ของหน่วยงาน ไม่อย่างนั้นแล้วสิ่งที่เราทำมา จะมีบางส่วนที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก แต่ว่าเป็นไปเพื่อเอาใจคนแค่บางคนเท่านั้น

ถ้าเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นในวงการไหนก็ตาม ความเสื่อมจะมาถึงวงการนั้น ที่ความเสื่อมมาถึงวงการนั้นก็เพราะว่า เมื่อเราไม่ยึดหลักการก็ต้องลอยตามกระแส คราวนี้การลอยตามกระแสของเรา ไม่ใช่แต่เราคนเดียว แต่หมายถึงประเทศชาติบ้านเมืองด้วย เพราะว่าเราเป็นสื่อกระแสหลัก

ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เลยอยากให้การทำงานของพวกเราทุกคน ทำอย่างไรที่จะมีความมุ่งมั่นยึดหลักการที่ถูกต้อง ไม่คล้อยตามความต้องการของผู้มีอำนาจเขา ถึงจะเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นสื่อมวลชนเพื่อมวลชนจริง ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วจะกลายเป็นว่า เพื่อบุคคลที่มีอำนาจแค่ไม่กี่คน ในเมื่อไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม แต่เราเอาภาษีอากรส่วนรวมเขามาใช้ ก็จะกลายเป็นเหมือนกับอกตัญญูไป

ดังนั้น..การทำงานของเราทั้งหลายก็ให้ยึดหลักเอาไว้ว่า ปณิธานหรือว่าความต้องการแรกเริ่มของการก่อตั้งองค์การขึ้นมา เราตั้งใจจะทำอะไรเพื่ออะไร ถึงเวลาแล้วก็ให้รักษาและเดินตามแนวทางนั้น ถ้าเราจะทำเพื่อบุคคล ก็ให้ทำเพื่อบุคคลที่คนทั้งประเทศรักและเคารพ อย่างเช่นทำเพื่อในหลวง เป็นต้น แต่ว่าไม่ใช่ทำเพื่อบุคคลที่มีอำนาจ ชี้เป็นชี้ตายแก่เราได้ ถ้าเราไม่มีความกล้าหาญพอที่จะต่อต้านอำนาจของเขาทั้งหลายเหล่านั้น ประเทศชาติก็จะเจริญได้ยาก

ทำอย่างไรเราถึงจะเป็นที่เชื่อถือของคนทั้งประเทศ ให้เขารู้สึกว่าถ้าเป็นไทยพีบีเอสแล้ว ข่าวที่ออกมา สิ่งที่นำเสนอต่อมวลชน จะต้องเป็นความจริง จะต้องเป็นประโยชน์ต่อคนทั้งหมด"

เถรี 29-08-2013 20:40

"เรื่องเหล่านี้จริง ๆ แล้วพวกเรารู้กันทุกคน แต่ว่าเมื่อมาขอโอวาท ก็อยู่ในลักษณะย้ำเตือนเฉย ๆ ว่า จุดมุ่งหมายที่เราทำอยู่ ให้ตั้งเป้าให้แม่น แล้วเดินให้ตรงเป้า ไม่อย่างนั้นแล้วสิ่งที่เราทำมาทั้งหมด จะไม่สามารถเป็นผลงานที่อวดคนอื่นเขาได้ เพราะว่าปัจจุบันนี้ สื่อกระแสหลักของเราหลายต่อหลายอย่าง มีการเลือกข้างอย่างชัดเจน ในเมื่อมีการเลือกข้าง การนำเสนอก็ไม่ตรงไปตรงมา แต่จะนำเสนอในมุมมองของตน แล้วการนำเสนอในมุมมองของตน ความรัก ชอบ เกลียดชัง ก็จะเป็นไปตามกิเลสเฉพาะตน

ทำอย่างไรที่เราจะลบความรัก ชอบ เกลียดชังเหล่านั้นออกไป ไม่เอาความคิดส่วนตัวแทรกเข้าไปในงาน แล้วนำเสนอสิ่งที่เราเห็นตามที่เป็นอยู่จริง

นี่ก็คือข้อคิดที่อยากจะฝากพวกเราเอาไว้ พวกเราทุกคนมีส่วนสำคัญต่อองค์กรทั้งหมด องค์กรทั้งหมดก็คือเครื่องจักร เราเป็นเฟืองหรือส่วนหนึ่งของเครื่องจักรนั้น ๆ ถ้าการกระทำของเราติดขัด ไม่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ ก็อาจจะกลายเป็นตัวถ่วงขององค์กรไป เราจึงควรจะทุ่มเทให้เต็มที่ในหน้าที่การงานที่เรารับผิดชอบ ต้องใช้คำว่า เมื่อเราทำเต็มที่แล้ว เราก็สามารถตอบตัวเองได้โดยไม่ต้องละอายใคร ไม่ว่าใครเขาจะตั้งคำถามแบบไหน เราสามารถชี้แจงเขาได้เต็มปากเต็มคำทั้งหมด ไปไหนก็แหงนหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน ถึงเวลาก็สามารถที่จะเชิดหน้า ยืดอกต่อสังคมได้ เพราะตัวเราที่เป็นผู้ใหญ่ เป็นปู่ย่าตายาย เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้อง เราได้ทำหน้าที่ของเราเพื่อมวลชนอย่างแท้จริง เอาแค่นี้แหละ เยอะมากเดี๋ยวกลายเป็นด่าไปอีก..!

เอาไว้มีโอกาสแล้วค่อยไปคุยกันที่ทำงานของเรา ขอให้มีความสุขความเจริญกันทุก ๆ คน โมทนาด้วยที่เป็นผู้แทนของทูลกระหม่อมฯ อัญเชิญเทียนพรรษามาถวาย"

เถรี 30-08-2013 09:14

พระอาจารย์กล่าวว่า "สำหรับทูลกระหม่อมอุบลรัตน์ฯ ใช้คำว่า ประทาน ถ้าเป็นในหลวง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามมกุฎราชกุมารี ใช้คำว่าพระราชทาน"

เถรี 08-09-2013 11:52

ถาม : ขณะที่เราเห็นคนอื่นทุกข์ เราเห็นสภาพแล้วเราก็รู้สึกว่าทุกข์ แล้วก็ย้อนมาที่ตัวเรา ว่าเราไม่อยากจะเกิดมาเป็นแบบนี้อีก แล้วก็ร้องไห้ อารมณ์แบบนี้เป็นอะไรคะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าปีติในธรรมจ้ะ ก็คือในส่วนที่เข้าถึงได้ยาก เห็นได้ยาก ทำใจได้ยาก ตอนนี้เราเข้าถึงแล้ว เห็นแล้ว ทำใจได้แล้ว จะเกิดปีติคือเป็นสุขขึ้นมา เป็นสุขในธรรม ถามว่าปีติแล้วทำไมต้องร้องไห้ด้วย ? อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนกับพ่อแม่ทิ้งลูกเอาไว้บ้านนาน ๆ ตัวเองอาจจะไปทำไร่ทำนาแต่เช้าจนมืดค่ำ หรือไปค้าขายในตลาด กว่าจะกลับมาก็ค่ำก็มืด ตอนกลับมาลูกเห็นหน้าพ่อแม่ กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ บางคนก็ร้องไห้โฮเลย

นั่นดีใจใช่หรือไม่ ? ใช่...แล้วร้องไห้ทำไม ? ก็ลักษณะเดียวกัน ในส่วนจิตของเราต้องการความสงบ อย่าลืมว่าจิตของเราทุกคนพื้นฐานมีความสงบมาในระดับของฌานที่ ๒ พอเราเข้าถึงความสงบในตรงนั้น เหมือนกับคุ้นเคยในสิ่งที่หายไปนาน จึงเกิดปีติขึ้นมา นั่งร้องไห้น้ำตาไหลไปเอง


ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แบบเดียวกันจ้ะ ก็คือในส่วนที่เราเห็นว่ามีความสุขจริง ๆ เป็นความทุกข์ทั้งหมด แต่ชาวบ้านเขานิยมอย่างนั้นเพราะว่าเกิดปีติในใจขึ้นมา คราวนี้ปีติของเขาเกิดจากสิ่งที่กระตุ้นภายนอก อาจจะเป็นแสงสีเสียงอะไรก็ตาม แล้วก็เกิดความสุขขึ้นมาชั่วคราว เป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน เดี๋ยวก็ทุกข์ใหม่

แต่ความสุขในการปฏิบัติธรรม เป็นความสุขที่ยั่งยืนกว่า ในเมื่อเราเห็นตรงจุดนั้นก็เกิดปีติขึ้นมาใหม่ ต่อไปถ้าเกิดขึ้นนี่ต้องปล่อยให้ร้องเต็มที่ไปเลย อย่าไปกลั้นไว้ ถ้าปล่อยให้หายไปเพราะอายเขาหรืออะไรก็ตาม เวลาอารมณ์ใจถึงตรงนั้นก็จะเป็นอยู่ตลอด ต้องร้องไห้บ่อย ๆ แต่ถ้าหากเราปล่อยให้เต็มที่ ก้าวข้ามไปทีเดียวจะจบเลย


ถาม : ถ้าเราเห็นแล้วข้ามอารมณ์นี้ไป ?
ตอบ : ถ้าข้ามไปได้จะเห็นเป็นปกติว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ประกอบด้วยความทุกข์ ไม่ได้ถอยหลัง..แต่ว่าก้าวข้ามอารมณ์นั้นไปแล้ว แล้วเราก็เข้าไปสู่ตัวอุเบกขาในสมาธิ จะกลายเป็นฌานไป ไม่มีปีติแล้ว

เถรี 08-09-2013 12:00

ถาม : ...(ไม่ชัด)...ดำเนินตามนั้นหรือ ?
ตอบ : คือจริง ๆ ถ้าเราดูจะดำเนินตามนั้นทั้งหมด แต่คราวนี้เรายังแยกแยะไม่ออก เรายังไม่รู้ถึงสติ ธัมมวิจยะ จริง ๆ เริ่มที่สติก่อน พอเรามองเห็นก็เกิดธัมมวิจยะ ก็คือแยกแยะดู แล้วในที่สุดก็เห็นว่าจริงของเขา ทุกอย่างมีแต่ความทุกข์ ไม่มีความสุข

ถาม : ...(ไม่ชัด)...เป็นเรื่องของการวาง ?
ตอบ : ตัวสุดท้ายจ้ะ เป็นตัวอุเบกขา

ถาม : แสดงว่าเกิดขึ้นเร็วมาก ?
ตอบ : เร็วมาก ทั้ง ๗ ตัวจะเกิดขึ้นเร็วมากเลย บางทีเราก็ยังไม่รู้เลยว่า วิริยะหรือความเพียรที่เราพิจารณาดูนั้นเป็นอย่างไร ถ้าทุกอย่างพร้อมเกิดขึ้นวูบเดียวเอง แต่เราต้องดูว่ากว่าจะพร้อมใช้เวลากี่ปี ?

ถาม : เกิดขึ้นเฉพาะเรื่อง ?
ตอบ : จะค่อย ๆ เกิดขึ้นเฉพาะแต่ละเรื่อง จะค่อย ๆ สั่งสมมา ๆ จนถึงระดับแล้วก็จะเกิดขึ้นเอง ถ้าไม่มีการสั่งสม ไม่มีการเริ่มต้นมา โอกาสที่จะเกิดขึ้นอย่างนั้นน้อยมาก ยกเว้นว่าสร้างบารมีมาสมบูรณ์บริบูรณ์มาตั้งแต่อดีตแล้ว พอมากระทบกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ทุกอย่างก็พร้อมสมบูรณ์ อย่างนั้นก็สามารถที่จะเกิดได้ แต่ว่าในยุคของเรานี้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย

เถรี 08-09-2013 12:19

ถาม : อุเบกขามีหลายอารมณ์ ?
ตอบ : เอาเป็นว่าอุเบกขามีหลายระดับ ระดับแรกก็คือเป็นอุเบกขาในสมาธิ ก็คือตัวเอกัคตารมณ์ ถ้าอุเบกขาในสมาธิ ก็แค่สามารถที่จะดับกิเลสได้ชั่วคราว ถึงเวลาถ้าสมาธิคลายกิเลสก็จะเกิดใหม่ แต่ถ้าเป็นอุเบกขาที่สามารถปล่อยวางตัดขาดได้จริง ๆ จะเป็นอุเบกขาที่เป็นตัวปล่อยวางจากการเกิดปัญญา รู้เห็นปล่อยวางเพราะเห็นความเป็นจริง เมื่อปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง ไม่ไปแตะต้อง ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับต้นเหตุที่เกิดทุกข์ ทุกข์ทั้งหลายก็ไม่เกิดกับเรา

มีหลายส่วนอยู่ด้วยกัน แรก ๆ เราก็เอาอุเบกขาในฌานไว้ก่อน สามารถมีกำลังกดกิเลสอยู่ได้ ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เพราะก่อนหน้านี้กิเลสลากเราไปเรื่อยตลอดเวลา


ถาม : การคิดจนเป็นฌานสมาธิ ?
ตอบ : จะค่อย ๆ สะสมมาเอง ต่อให้เราค่อย ๆ คิด ท้ายสุดก็จะเป็นฌานเอง เพราะว่าจิตจะดิ่งเป็นสมาธิไปทีละน้อย ๆ ไม่อย่างนั้นคิดอยู่อย่างเดียวไม่ได้หรอก ต้องมีกำลังสมาธิมาช่วย

ถาม : การกระทบใจ ?
ตอบ : จะกระทบใจ จะกระทบกาย จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนอื่นหรืออะไรก็ตาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สามารถที่จะรับในส่วนของข้อธรรมต่าง ๆ น้อมเข้ามาพิจารณา โดยเฉพาะเปรียบเทียบกับตัวเอง แล้วในที่สุด ถ้าปัญญาถึง สภาพจิตจะบอกเราเองว่าเราไม่เอาอีกแล้ว

เถรี 08-09-2013 14:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนมีคนบอกว่า มีเพชรจักรพรรดิที่รับมาจากมือหลวงพ่อวัดท่าซุงเอง ใครไม่รู้เอามาลงโฆษณาขายในเฟซบุ๊ก ซึ่งความจริงเพชรจักรพรรดิที่จำหน่ายยังไม่พอเลย แล้วหลวงพ่อท่านจะเอาที่ไหนมาแจก เห็นแบบของเขาแล้ว มีตั้งหลายแบบที่อาตมาไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนในชีวิต อาตมาเป็นคนจำหน่ายเอง ทำไมจะไม่รู้ว่าใช่หรือไม่ใช่

พวกในเว็บถึงเวลาก็อ้างไปเรื่อยเปื่อย บอกว่ารับมาจากมือหลวงพ่อวัดท่าซุง ขนาดเพชรเขาพระงามบูชายังมีไม่พอให้บูชาเลย ถ้ารับมาจากมือหลวงพ่อแปลว่าท่านต้องไปแจก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แล้วใครก็ตามที่บูชาแล้ว ประเภทเอาไปส่งให้หลวงพ่อส่งให้รับกับมืออีก มีหวังโดนไม้เท้าแทน..!"

เถรี 08-09-2013 15:27

"ตอนช่วงที่หลวงพ่อวัดท่าซุงใกล้จะมรณภาพ หลวงพี่วิรัชเปิดคลังจำหน่ายวัตถุมงคล ของเก่าทุกอย่างไม่เหลือ โดยเฉพาะลูกแก้วมณีรัตนะรุ่นแรก (แบบกลีบมะเฟือง)

ปกติหลวงพ่อวัดท่าซุงจะให้เก็บวัตถุมงคลทุกอย่างเอาไว้ส่วนหนึ่ง ทุกรุ่นจะต้องมีเก็บไว้ แต่พอถึงเวลาหลวงพ่อใกล้จะมรณภาพ หลวงพี่วิรัชก็เริ่มจำหน่ายของเก่า พอหลวงพ่อมรณภาพไม่นาน ของทุกอย่างก็ขึ้นราคา ขึ้นราคาเป็น ๒ เท่า ๔ เท่า ๘ เท่า ท้ายสุดก็ ๑๖ เท่า

หลวงพี่วิรัชท่านมีเมตตา ท่านกลัวว่าถ้ารอจนหลวงพ่อมรณภาพแล้วขึ้นราคาตามนั้น คนหลายคนจะไม่ได้ เพราะฉะนั้น..สมเด็จคำข้าว สมเด็จหางหมาก ราคาแรกเริ่มองค์ละ ๑๐ บาท มีบางคนบูชาที ๔๐,๐๐๐-๕๐,๐๐๐ องค์..! แล้วก็ขึ้นเป็น ๑๐๐ บาททันทีเลย หลังจากหลวงพ่อมรณภาพก็เป็น ๒๐๐ บาท ๔๐๐ บาท ๘๐๐ บาท ๑,๖๐๐ บาท

ของบางอย่างฟังอย่างเดียวไม่ได้ ต้องคิดบ้าง ถ้าอยู่ในเหตุการณ์ก็จะรู้ว่าเป็นไปได้หรือว่าเป็นไปไม่ได้ แล้วก็ไม่ต้องไปว่าเขา เพราะว่าบางทีเขาก็ไปรับประวัตินี้มา
จากคนที่ขายให้อีกทีหนึ่ง"

เถรี 08-09-2013 15:39

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : หลวงพี่วิรัชท่านออกจากวัดตัวเปล่า พอออกมาแล้ว ด้วยวิสัยของหลวงพี่วิรัช ก็จะไม่ไปยุ่งกับทางวัดท่าซุง เพราะฉะนั้น..เรื่องถือวิสาสะไปค้นคลังนี่เป็นไปไม่ได้

ทางวัดบอกให้หลวงพี่วิรัชกลับวัด แต่หลวงพี่วิรัชไม่ยอมกลับ เพราะทางคณะสงฆ์ตกลงกันว่า ถ้าใครออกจากวัดเกินกำหนด แปลว่าต้องพ้นวัดไปเลย หลวงพี่อนันต์บอกว่า แต่ผมอนุญาตให้กลับ หลวงพี่วิรัชบอกว่าจะเกิดปัญหาอยู่ ๒ ทาง ทางแรกก็คือคนอื่นจะสงสัยว่าทำไมผมกลับได้ ทางที่สองท่านบอกว่า ถ้าผมกลับ..ผมตอบคำถามพระเล็กไม่ได้ นั่นคือน้ำใจนักกีฬาของหลวงพี่วิรัช เพราะถ้าท่านกลับ แล้วอาตมาไม่กลับ ท่านก็ละอายใจ จึงยอมแบกระเบียบ ยอมลำบากไปด้วยกัน

ท่านเองไม่รู้หรอกว่าอาตมาไม่เคยคิดจะกลับไป แต่ท่านก็เผื่อเอาไว้ เพราะฉะนั้น..ถ้ากลับก็คือกลับด้วยกัน เพราะกติกาตกลงกันในคณะสงฆ์แล้วว่า ถ้าไปเกินกำหนดก็ถือว่าพ้นวัดแล้ว ส่วนพี่ยงยุทธไม่คิดมากขนาดนั้นด้วยซ้ำ แต่ท้ายสุดก็อยู่ไม่ได้..ต้องสึกไป

พวกเราเห็นความจริงจังจริงใจของหลวงพี่วิรัชขนาดไหน เขาเปิดทางกว้างขนาดนั้นให้กลับ ท่านยังไม่กลับเลย ท่านบอกว่าท่านตอบคำถามพระเล็กไม่ได้ ทั้งที่อาตมาเองไม่ใช่คนช่างถามสักหน่อย

แม้แต่วัตถุมงคลของวัดท่าขนุน อาตมาถึงได้บอกว่า รับมาจากไหน ? รับมาจากใคร ? ถ้าเป็นไปได้ให้ทำประวัติไว้นิดหนึ่ง เหมือนโยมเมื่อครู่ เขาจะเขียนติดไว้หมดเลย ว่ารับมาจากใคร รับมาเมื่อไร ในงานไหน ต่อไปกระดาษก็จะเก่าไปเรื่อย ๆ พอถึงเวลา ๓๐ - ๔๐ ปีให้หลัง อาตมามรณภาพไปแล้ว กระดาษเก่าได้ที่ พิสูจน์ความเก่าได้ คนมาดูก็จะรู้ที่มา

เถรี 08-09-2013 16:00

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนพวกเขตการศึกษาขั้นพื้นฐาน รองผู้อำนวยการท่านขึ้นมาขอข้าวสารอาหารแห้งไปแจกพวกที่โดนน้ำท่วม เพราะวัดและโรงเรียนแถวนั้นจมน้ำหมด สงสารพวกครูอาจารย์ที่นั่น

รองผอ.มาถึงก็ไม่ดูตาม้าตาเรือ “พระคุณเจ้าครับ ถึงเวลาที่ท่านจะต้องช่วยเหลือประชาชนแล้วครับ” อาตมาบอกไปว่า “โคตรเตี่_มึ_สิ..! กูช่วยอยู่ประจำ แถวนั้นอย่างน้อยก็เอาของไปแจกให้ปีละ ๒ ครั้ง คุณเองที่เพิ่งจะโผล่หน้ามา ชาตินี้อาตมาเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก” เงียบเป็นเป่าสากไปเลย พวกประเภทชอบคิดว่าพระอยู่เฉย ๆ ไม่เคยทำอะไร

เขาไม่รู้หรอกว่าวัดท่าขนุนช่วยเขาแต่ละปีเท่าไร ข้าวของที่เอาไปทั้งหมดอาตมาไม่เคยเก็บไว้เฉย ๆ พวกบรรดาผู้ที่เดือดร้อนตามป่าตามเขาลึก ๆ แม้กระทั่งวัดวาอาราม หน่วยราชการต้องพึ่งวัดท่าขนุนทั้งนั้น วัดบางแห่งต้องมาตีฆ้องร้องป่าวขอรับบริจาคในตลาดกันเป็นวัน ๆ กว่าจะได้ข้าวสารอาหารแห้งมาหน่อยหนึ่ง อาตมาบอกว่า "พวกเอ็งเอารถไปขนที่วัดท่าขนุนเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปป่าวประกาศ.." ไม่อย่างนั้นเดินกันเป็นวัน ๆ กว่าจะได้มาหน่อยหนึ่ง วัดท่าขนุนบิณฑบาตแต่ละวันข้าวของจะท่วมวัดตาย..!

ถ้าแจกให้ทหารตำรวจตามหน่วยต่าง ๆ แล้วเหลือมาก ก็จะส่งเข้าเรือนจำ แต่ว่าน่าสลดใจที่ไม่ค่อยถึงมือผู้ต้องขัง ถ้าจะให้ถึงผู้ต้องขังเราต้องไปนั่งเฝ้าเอง..!"

เถรี 08-09-2013 17:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติแล้วช่วงที่หมดฝน อยากจะให้ลองอยู่เต็นท์กัน แต่คราวที่แล้วไม่ได้อยู่เต็นท์เพราะอากาศหนาว ตอนช่วงนี้ทองผาภูมิเป็นหน้าฝนก็จริง แต่คนไม่ชินกับอากาศจะหนาว เพราะอากาศอยู่ระหว่าง ๒๑ - ๒๓ องศาเซลเซียส เชื่อไหมว่ามาถึงที่บ้านวิริยบารมี ได้เหยียบพื้นแห้ง ๆ แล้วดีใจอย่าบอกใครเลย เพราะว่าเดินลุยน้ำกันอยู่ทุกวัน เท้าจะเปื่อยตาย คนที่ไม่เคยเห็นแดดมาครึ่งค่อนเดือน พอมาเห็นแดดเข้าแทบจะกระโดดเลย เพราะที่โน่นเสื้อผ้าตากเท่าไรก็ไม่แห้งเสียที"

ถาม : กางเต็นท์จะให้นอนตรงไหน ?
ตอบ : ลานธรรม จะนอนตรงไหนก็ได้เพราะกว้างขนาดนั้น หรือจะลงไปนอนในป่าก็ไม่ได้ว่าอะไร กลัวแต่เวลาหนาว ๆ แล้วงูจะมาหาที่อุ่น ๆ นอน ถึงเวลาจะมาซุกอยู่ด้วย แต่ไม่เห็นเขาทำอะไร เพราะอาตมาเคยโดนงูมานอนอยู่บนอกหลายที พอถึงเวลาก็ว่าอะไรหนัก ๆ พอคลำดู โอ้โห...อย่างกับขวดเบียร์เลย ต้องค่อย ๆ แตะให้รู้ตัว แล้วก็ดึงลงช้า ๆ ถ้าเราไม่กลัวแล้วไม่ไปเคลื่อนไหวพรวดพราด งูก็ไม่กัดหรอก

โดยเฉพาะงู ถ้าอยู่ในที่หนาว ๆ แทบจะเคลื่อนไหวไม่ได้ เพราะว่าหนาวจนแข็ง งูเป็นสัตว์เลือดเย็น อุณหภูมิร่างกายจะเท่ากับข้างนอก จึงต้องหาที่อุ่น ๆ จะได้ไม่ทรมานมาก แล้วที่อุ่นทีไรก็คนทุกทีแหละ..!

ถ้าเราดูพวกหนังสารคดีจะเห็นพวกกิ้งก่าอีกัวน่า ถึงเวลาก็เกาะบนโขดหินเป็นร้อยเป็นพัน เขาไปอาบแดดกัน รอให้ตัวอุ่นพอที่จะเคลื่อนไหวได้ระดับหนึ่ง สัตว์เลือดเย็นจะต้องอาศัยแดดถึงจะไปได้ ดูแล้วน่าสงสารมาก บางทีเดินธุดงค์ในป่าเช้า ๆ เจองูนอนยาวเหยียด เกล็ดมีน้ำค้างเกาะเลย สงสารเหมือนกัน ต้องรออีกนานกว่าแดดจะมาถึง

เถรี 08-09-2013 19:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยมีจดหมายจากเจ้าคณะอำเภอมาถึงอาตมาที่เป็นเจ้าอาวาส เลขานุการใช้คำขึ้นต้นว่า "กราบเรียน" ลงท้าย "ด้วยความเคารพอย่างสูง" เดี๋ยวอาตมาก็บ้องหูร่วงเลย..! ท่านเป็นเจ้านายของอาตมา แต่เลขาฯ ดันพิมพ์มาอย่างนั้น เจ้านายกราบเรียนลูกน้องด้วยความเคารพอย่างสูงหรือ ?"

ถาม : ต้องใช้อะไรคะ ?
ตอบ : จริง ๆ ก็คือใช้ เรียนและขอแสดงความนับถือ

เถรี 08-09-2013 19:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีการถวายช็อกโกแลตกันบ่อย ๆ อาตมาเห็นแล้วก็ขำ ๆ คงเกิดจากพระธรรมยุต ท่านฉันของพวกนี้ช่วงหลังเพล พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาล เนยใส เนยข้น แต่พระธรรมยุตท่านไม่ฉันนมข้น เพราะท่านถือว่ามีส่วนผสมของแป้ง แต่ท่านฉันเนยข้นแทน ก็คือชีส หั่นเป็นชิ้น ๆ และมีการหั่นพริกใส่ แล้วก็เสียบไม้จิ้มฟันไว้ ถึงเวลาก็ฉันกันคนละชิ้นสองชิ้น เขาถือว่าชีสเป็นเนยข้น แล้วพริกเป็นส่วนของเภสัช คือเป็นยาด้วยผล..จึงฉันได้

พวกช็อกโกแลตเป็นส่วนผลของต้นโคคา อาตมาก็ไม่แน่ใจในวิธีการผลิต แต่ในเมื่อมีโยมถวายแล้วท่านไม่รังเกียจรับไว้ เขาก็ถวายช็อกโกแล็ตแก่พระไปด้วย ระวังไว้อย่างเดียวว่าอย่าเอาพวกช็อกโกแลตที่มีไส้ เพราะว่าบางทีเขาก็ผสมถั่วลงไป ส่วนอาตมาไม่ฉันช็อกโกแลตมาตั้งแต่แรก ถวายมาเมื่อไรก็ถือว่าเป็นลาภปากของพระเณรที่วัด แต่กำชับไว้แล้วว่าอย่างไรก็ต้องก่อนเพล เพราะถ้าหลังเพลไปถ้าเจอประเภทผสมถั่วมาแล้วจะเซ็ง เพราะถั่วเป็นอาหาร ฉันหลังเพลไม่ได้"


ถาม : น้ำเต้าหู้กินได้หรือคะ แต่เคยไปอ่านเจอว่าห้ามกิน ?
ตอบ : ฆราวาสมีปัญญาจะกินไปกี่ปีบก็ได้ เขาห้ามพระ พระมีศีลห้ามเอาไว้ว่า สิ่งที่เป็นอาหารถึงทำเป็นปานะก็ไม่ควร คราวนี้ถั่วเป็นอาหาร เขาห้ามเฉพาะพระ ปนกันมั่วไปหมด ฆราวาสไม่ได้ห้าม มีปัญญาก็ว่าไปได้เลย

ถาม : อย่างนี้ศีลแปดก็ได้หรือคะ ?
ตอบ : ศีล ๘ ไม่ได้ละเอียดเท่าศีลพระ ศีลพระเขามีรายละเอียดเยอะ เพราะว่าศีลพระนอกจากพระปาติโมกข์ ๒๒๗ ข้อแล้ว ยังมีศีลนอกพระปาติโมกข์ เรียกว่าอภิสมาจาร จะให้รายละเอียดไว้เยอะมาก พระต้องระมัดระวังอย่างสูง ถ้าพลาดคนจะตำหนิเอาได้

เถรี 08-09-2013 19:44

แบบเดียวกับสมัยที่อยู่วัดท่าซุง พอทำงานหนัก พระบางรูปหิวขึ้นมา ถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า “หลวงพ่อครับ ไอศกรีมฉันได้ไหมครับ ?” หลวงพ่อบอกว่า ถ้าส่วนผสมเป็นแค่นมแค่เนยก็ฉันได้ ไม่ใช่ว่าเอาอย่างอื่นใส่ไปด้วยนะ แต่ท่านบอกว่า “ข้าขอร้องเถอะ ถ้าไม่ถึงขนาดจะตายห่าจริง ๆ แกอย่าไปแดกเลย มันน่าเกลียด..!” ชาวบ้านที่เขาไม่เข้าใจเขาจะด่าเอา

ตอนไปยุโรป พรรคพวกเขาก็ซื้อไอศกรีมฉันกันเกินครึ่ง อาตมาไปเดินหาที่ถ่ายรูปแทน เขาอยากฉันก็ฉันไปเถอะ ไหวไหม ? ไอศกรีม ๒ ลูก ๘๐ บาท..!


ถาม : แล้วพระท่านรู้วิธีทำหรือคะ ?
ตอบ : ไม่รู้วิธีทำ หลวงพ่อบอกว่าถ้าเป็นแค่นมแค่เนยก็ฉันได้ ถ้ามีส่วนอื่นผสมฉันไม่ได้ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ..กันไว้ก่อนดีกว่า ไม่ใช่พอทำกันจนชิน ถึงเวลาตอนบ่ายพระก็ถือไอศกรีมดูดกันคนละแท่ง น่าเกลียดตายชัก..!

เถรี 10-09-2013 10:00

พระอาจารย์เล่าว่า "ที่วัดท่าขนุนป่าไผ่ตกขุยแล้วตาย อาตมาจึงให้ปลูกต้นไม้เพิ่มเติม แล้วทำโครงการร่วมกับทางโรงเรียนทองผาภูมิวิทยา เอาเด็กมาปลูกต้นไม้ ปรากฏว่าพระที่วัดท่านโทรศัพท์มาบอกว่า แม่ชีที่วัดให้คนไปปลูกข้าวโพดเสียเยอะแยะ ท่านไม่รู้ว่าจะไปปลูกต้นไม้ตรงไหน เพราะพื้นที่หายไปแล้ว อาตมาก็บอกว่าปลูกไปสิ..จะเป็นอะไร ต้นไม้ที่เราปลูกเป็นต้นไม้ใหญ่ยืนต้น ส่วนข้าวโพด ๓ - ๔ เดือนก็เก็บแล้ว ต้นก็โดนถอนทิ้งหมด ไม้ใหญ่ของเรา ๓ - ๔ เดือนรากยังไม่ทันจะเดินดีเลย

ก็ปลูกตรงนั้นแหละ แทรกลงไปในแปลงข้าวโพด ถึงเวลาเก็บข้าวโพด ต้นไม้ใหญ่ก็ขึ้นต่อ ถ้าไม่แน่ใจให้เขาหว่านถั่วเขียวอีกรอบก็ได้ เพราะซากต้นถั่วจะกลายเป็นปุ๋ยอย่างดี พระที่วัดท่านไม่เคยเป็นลูกชาวไร่ก็เลยไม่รู้

อาตมาถึงได้บอกว่า ภูมิใจในความเป็นบ้านนอกของตัวเอง รู้เห็นอะไรเยอะกว่าชาวบ้านชาวเมืองเขา"

เถรี 10-09-2013 10:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกบวบหอมบวบเหลี่ยมที่เขาปลูกเอาไว้ ถ้าลูกไหนเอามาทำอาหารแล้วมีรสขมมาก ให้ทราบว่าโดนงูเลื้อยผ่าน เป็นเรื่องแปลกมากเลย งูเลื้อยผ่านบวบลูกไหน บวบลูกนั้นจะขม ลองกิน ๆ ดู ถึงเวลาเจอประเภทบวบหอมผัดไข่ บวบเหลี่ยมผัดไข่ ถ้ารสขม ๆ ให้รู้เลยโดนงูเลื้อยผ่านมา ตรงที่โดนงูเลื้อยกระทบ ที่บริเวณนั้นจะขม ไม่ถึงขนาดต้องขมทั้งลูกนะ แต่บริเวณที่โดนจะขม แปลกดี ตอนเด็ก ๆ คอยสังเกตก็เลยรู้ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้"

เถรี 10-09-2013 10:14

ถาม : บายศรีที่ใช้ในพิธีบวงสรวงทิ้งขยะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ลอยน้ำไป ของไหว้พระเอาไปทิ้งขยะได้..ฮ่วย..! ไม่มีจริง ๆ ก็ทิ้งไว้โคนไม้ใหญ่

ถาม : บางทีหนูภาวนาแล้วออกไป คิดแค่ว่าจะไปกราบพระ แต่ไม่ได้เจาะจงว่าพระท่านไหน บางทีก็ถามท่าน บางทีท่านก็บอกกล่าวแนะนำหนู การที่ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นพระท่านไหนองค์ไหน อย่างนี้เรียกว่าเป็นการไปเปะปะหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก็ถ้าท่านสงเคราะห์ก็แล้วแต่ท่าน

เถรี 10-09-2013 10:18

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนมาทำวัตรพระผู้ใหญ่ แล้วฝนตกหนัก แท็กซี่บอกว่า "ทำไมตกได้ตกดี ทีบ้านผมภาคอีสานไม่เห็นจะตกบ้างเลย" อาตมาก็เลยบอกกับแท็กซี่ว่า โปรดจำไว้ว่าคนโบราณเก่ง สมัยก่อนเขาตั้งบ้านตั้งเมือง เขาต้องหาพื้นที่ซึ่งฝนฟ้าบริบูรณ์ เพราะว่าสำคัญที่สุดคือ ต้องปลูกข้าวเพื่อเลี้ยงไพร่ฟ้าประชากรได้ แล้วโบราณเขาตั้งที่กรุงเทพฯ เพราะว่าฝนบริบูรณ์ทั้งปี

ถ้าสงสัยว่าเขาปลูกข้าวกันด้วยหรือ ? ก็บอกว่าสนามหลวงคือนาข้าวของพระเจ้าแผ่นดิน ก็เลยกลายเป็นว่าที่ซึ่งฝนฟ้าบริบูรณ์ แทนที่จะได้ปลูกข้าวก็ดันมาสร้างตึกกัน เพราะฉะนั้น..โยมไม่ต้องบ่นหรอก ฝนฟ้ายังคงเป็นธรรมชาติตกทั้งปี ฝนยังคงตกทั้งปี แต่คนเลิกปลูกข้าว แทนที่จะปลูกผักผลไม้ เล่นมาปลูกตึก มาขับแท็กซี่กัน แล้วจะบ่นทำไมเล่า..?!"

เถรี 10-09-2013 10:21

พระอาจารย์กล่าวว่า "ตั้งแต่อาตมาเป็นเจ้าอาวาสมา ปีนี้เป็นปีแรกที่วัดไม่มีเณร สามเณรพอบวชแล้ว เริ่มโตเป็นหนุ่มก็สึกกันหมด ปีนี้ส่งจำนวนพระให้เขา ๔๖ รูป มีหลายรูปที่ไปจำพรรษาที่เกาะพระฤๅษีกับวัดพุทธบริษัท ไม่อย่างนั้นอยู่ด้วยกันมาก ๆ ก็แย่ เพราะว่าหลวงปู่สายท่านสร้างกุฏิไว้มีแค่ ๔๐ ห้อง พระอยู่กันทีหนึ่ง ๔๐ - ๕๐ กว่ารูป ที่นอนไม่มี ท่านที่ทนลำบากหน่อยก็นอนศาลา แต่จริง ๆ อาตมาชอบนอนในศาลามากกว่า เพราะโล่งดี แต่ท่านอื่นเขาต้องการความเป็นส่วนตัว ต้องมีห้องเฉพาะของตัวเอง"

เถรี 10-09-2013 10:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนสิงหาคมนี้นอกจากมีงานทำบุญวันแม่แล้ว อาตมายังรับเป็นเจ้าภาพอบรมพระนวกะ ประจำปี ๒๕๕๖ ด้วย บรรดาผู้บังคับบัญชาพอเห็นก็ถาม “เป็นเจ้าภาพอีกแล้วหรือ ? ” เรียนท่านไปว่า “ครับ” “คนอื่นเขาไม่รับหรือ ? ” “เขารับไม่ไหวครับ” ผู้บังคับบัญชาก็ว่า “เออดี..นึกเสียว่าเขาเอาบุญมาให้เรา” “ใช่ครับ..ถ้าไม่นึกอย่างนั้นผมก็ไม่รับเหมือนกัน”

เพราะว่าการเป็นเจ้าภาพอบรมพระนวกะ วัดเราถวายค่ารถให้ทุกท่านที่มา แล้วพระท่าน ๔๐๐ กว่ารูป พระผู้ใหญ่อีกต่างหาก วิทยากรอีก รอบหนึ่งจ่าย ๔๐๐,๐๐๐-๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นอย่างต่ำ

ก่อนหน้านี้เขามีข้อตกลงกันว่า ในคณะสงฆ์อำเภอทองผาภูมิมีอยู่ ๑๐ ตำบล แต่ละปีให้เจ้าคณะตำบลหมุนเวียนกัน เป็นเจ้าภาพในเขตตำบลตัวเองตำบลละครั้ง ก็จะเจอ ๑๐ ปี ๑ ครั้ง แต่พอมาระยะหลัง บางตำบลอยู่ไกลมากเลย อย่างตำบลชะแลเขต ๒ คลิตี้อยู่ห่างจากตัวอำเภอ ๘๗ กิโลเมตร หรือไม่ก็ตำบลปิล็อก ขึ้นเขาไป ๗๐ กิโลเมตร อย่างที่ไม่ไกลนักก็ลิ่นถิ่น พอเดินทางสะดวกก็ ๔๐ กิโลเมตร จึงไม่ค่อยมีใครอยากจะไปกัน พอไม่ค่อยอยากจะไปก็เลยมาเอาวัดที่สะดวก ๆ หน่อย ที่รับเป็นประจำอยู่แค่วัดเขื่อนวชิราลงกรณ วัดปรังกาสี วัดท่าขนุน วัดโชคผาสุกิจ ๔ วัดนี้รับไปเถอะ..!

แต่คราวนี้วัดของอาตมารับปี ๒๕๕๔ พอมาปี ๒๕๕๕ วัดสะพานลาวรับไป พอมาปีนี้กลับมาวัดท่าขนุนอีกแล้ว เพราะวัดปรังกาสีท่านรับเป็นเจ้าภาพสอบพระนวกะ ในเมื่อท่านเป็นเจ้าภาพสนามสอบตั้ง ๔ วัน พระไปอยู่ไปกินกัน ๔ วัน ค่าใช้จ่ายมหาศาล ก็ว่ากันหลายหมื่น ท่านก็เลยบอกว่า “อาจารย์เล็กช่วยหน่อยได้ไหม ?” “ได้เลย..มาเถอะ” ต่อไปคงกลายเป็นว่า ไป ๆ มา ๆ ท่านอื่นก็ปัดมาทางนี้หมด กลายเป็นว่าวัดปรังกาสีรับสอบพระนวกะเป็นขาประจำ วัดท่าขนุนอาจจะต้องรับจัดอบรมพระนวกะเป็นขาประจำหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?"

เถรี 10-09-2013 10:30

"ทาง ททท.จังหวัดกาญจนบุรี เอาการตามประทีป ๑๐,๐๐๐ ดวง ของวัดท่าขนุนไปลง กลายเป็นว่าพวกเราแห่กันเข้าไปดู จากสถิติของเขามีคนอยู่ ๑๔,๐๐๐ คน ตอนนี้กระโดดไป ๑๖,๐๐๐ คน แสดงว่าเข้าไปพักเดียว ๒,๐๐๐ กว่าคน ตอนนี้สำนักงานการท่องเที่ยวกาญจนบุรี กำหนดให้วัดท่าขนุนเป็น ๑ ใน ๙ วัด ของการเดินสายทำบุญ ๙ วัดของจังหวัดกาญจนบุรี

คราวนี้อำเภอไทรโยค ทองผาภูมิ กับสังขละบุรี มีอำเภอละ ๑ วัดเท่านั้น ที่ไทรโยคก็คือวัดสุนันทาวราราม ของหลวงพ่อมิตซูโอะที่เพิ่งสึกไป ทองผาภูมิคือวัดท่าขนุน สังขละบุรีคือวัดวังก์วิเวการาม ของหลวงพ่ออุตตมะ คาดว่าของไทรโยคน่าจะโดนถอดออก พอไม่มีหลวงพ่อมิตซูโอะแล้ว เขาน่าจะเอาวัดป่าหลวงตามหาบัวญาณสัมปันโนขึ้นไปแทน เพราะว่าเป็นวัดที่มีการเลี้ยงเสือ ฝรั่งเรียก Tiger Temple ส่วนอีก ๖ วัดกระจุกอยู่ในเขตอำเภอเมืองทั้งหมด แล้วมีวัดเหนือ วัดใต้ วัดทุ่งลาดหญ้า เป็นต้น

อาตมาบอกกับพระเณรในวัดว่า การขึ้นที่สูงนั้นไม่ยากหรอก แต่ขึ้นสูงแล้วรักษาระดับนั้นยากมาก เขายิ่งยกย่องวัดเราเป็นที่รู้จักมากเท่าไร พวกเราก็จะเหนื่อยกันมากเท่านั้น เพราะต้องทำทุกอย่างเพื่อประคองสถานะ ให้สมกับที่เขายกย่องเรา"

เถรี 10-09-2013 16:36

ถาม : หนูมีรุ่นพี่คนหนึ่งชื่อจี ทำงานอยู่ที่ประเทศนอร์เวย์ เขาเป็นตัวแทนชาวพุทธที่นั่น ครั้งล่าสุดเพิ่งได้รับเป็นตัวแทนรับมอบพระไตรปิฎก ที่นอร์เวย์เขามีการจัดกิจกรรมให้ศาสนาต่าง ๆ มานั่งเสวนากัน เรื่องคำสอนของแต่ละศาสนา เอาคำสอนของแต่ละศาสนามาแชร์กัน ล่าสุดพี่เขามีคำถามที่หนูตอบไม่ได้มาถาม จึงอยากกราบขอความเมตตาช่วยชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ คำถามมีอยู่ว่า "ท่านมีความเห็นกับคำกล่าวที่ว่า..พระเจ้ามีความสำคัญต่อกระบวนการสร้างสันติภาพ..อย่างไร ?"
ตอบ : สันติภาพ คือ ภาวะการเข้าถึงความสงบ พระเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง เพื่อให้ทุกคนทำความดี เมื่อทุกคนเข้าถึงความดี ก็จะเกิดความสงบขึ้น ดังนั้น..พระเจ้าและคำสอนของพระเจ้า จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นวัตถุดิบ (Input) ในกระบวนการแห่งสันติภาพ

ถาม : และในฐานะชาวพุทธ เรามีกระบวนการสร้างสันติภาพในแนวพุทธอย่างไร ?
ตอบ : กระบวนการสร้างสันติภาพในแนวพุทธคือ การศึกษาและปฏิบัติในไตรสิกขา

เมื่อเรามีศีลสิกขา (การศึกษาและปฏิบัติในศีล) จะทำให้เรามีกายและวาจาที่เรียบร้อย ไม่เบียดเบียนใคร สันติภาพก็จะเกิดขึ้นส่วนหนึ่ง

เมื่อเรามีจิตตสิกขา (การศึกษาและปฏิบัติในสมาธิ) ก็จะควบคุมใจไม่ให้คิดชั่ว ซึ่งจะช่วยให้เราไม่พูดชั่ว ไม่ทำชั่ว สันติภาพก็จะเกิดขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

เมื่อเราศึกษาและปฏิบัติในปัญญาสิกขา (การศึกษาและปฏิบัติในปัญญา) ก็จะทำให้เราเห็นจริงว่า ทุกชีวิตล้วนแต่รักสุข เกลียดทุกข์ เป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นกัน เราจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่นแม้ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ กระบวนการแห่งสันติภาพก็จะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:45


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว