กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=40)
-   -   เก็บตกงานทอดกฐิน (ช่วงเช้า) วันศุกร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=8092)

เถรี 24-10-2021 16:25

เก็บตกงานทอดกฐิน (ช่วงเช้า) วันศุกร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔
 
สามวันที่เข้ากรรมฐานไปนี่สนุกสนานมาก วันแรกเลยไปเจอหลวงปู่อินสม สุวีโร กำลังเข้ากรรมฐานอยู่เหมือนกัน ท่านก็เลยชวนไปกราบพระรูปหนึ่ง จำไม่ได้ว่าใคร จนท่านเอ่ยปาก เพิ่งรู้ว่าเป็นหลวงปู่ฟู วัดบางสมัคร โอ้โห...หล่อมาก เวลาท่านอยู่เต็มบุญเต็มบารมีนี่จำไม่ได้จริง ๆ

การเข้ากรรมฐานนั้นมีสองรูปแบบ รูปแบบแรกก็คือ จิตนิ่งอยู่ภายใน แต่จะไม่สนใจอะไรภายนอกเลย ฟ้าถล่มดินทลาย แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ก็ไม่สนใจ

แบบที่สองก็คือ ท่องเที่ยวไปตามภพภูมิต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจในร่างกายเหมือนกัน ปีนี้เที่ยวไปเที่ยวมาไปเจอนางเงือก ชื่อ "น้องทราย" น่ารักมาก ถ้ารูปร่างหน้าตานี่น่าเกลียดมากในสายตาของเรา แต่นิสัยดี น่าคบมาก ถ้ามีโอกาสเดี๋ยวจะแวะไปหาอีก

สรุปว่านางเงือกจริง ๆ หน้าตาน่าเกลียดสุด ๆ ไม่ได้หน้าตาน่ารักเหมือนที่จิตรกรเขาวาดเลยนะ..!

เถรี 24-10-2021 16:26

ถาม : เป็นอสุรกายหรือครับ ?
ตอบ : เป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ พอดีว่าอาตมาเลิกดูคนสวยคนไม่สวยมานานแล้ว ก็เลยคบกันได้ เห็นเขาก็เลยไปชวนคุย เขาพาลงไปดูใต้ทะเล

เถรี 24-10-2021 16:33

เรื่องทำบุญไม่ต้องแย่งกัน..ทำเมื่อไรก็ได้ เพราะว่าอาตมาเข้ากรรมฐานก็หวังสงเคราะห์ทุกคนอยู่แล้ว

คราวนี้การปลุกเสกวัตถุมงคลงวดนี้ ด้วย "ไฟท์บังคับ" ของพี่ณพ (พ.ต.อ. อรรณพ กอวัฒนา) แกสร้างสมเด็จองค์ปฐม สมเด็จองค์ปฐมท่านก็เลยเสด็จมาตั้งแต่วันแรกและอยู่มาจนกระทั่งถึงตอนนี้ ตอนแรกจำพระองค์ท่านไม่ได้ เพราะว่ามาสีขาวใหญ่เต็มจักรวาล หน้าตาเหมือนหลวงพ่อสุคโต คือขาวแบบนั้น แต่สว่างเจิดจ้ามาก สรุปว่าใครบูชาหลวงพ่อสุคโตไปก็โชคดี เป็นสมเด็จองค์ปฐมท่านเสด็จมาสงเคราะห์เอง

ตอนนี้ท่านก็นั่งค้ำฟ้าอยู่นี่แหละ รูปร่างเหมือนหลวงพ่อสุคโต สีขาวสว่างไสวมาก ฉะนั้น...โยมจะสังเกตว่า สามวันนี้กำลังใจของพวกเราจะดี ถ้าไม่ใช่แย่จนเข็นไม่ไหวจริง ๆ ละก็ จะรู้สึกสงบสบายกว่าปกติทั่วไป

ขนาดนอนยังไม่ฝันเลยนะ..เขาห้ามฝัน เวลาบารมีพระท่านสงเคราะห์มา อะไรที่ชั่ว ๆ เรามักคิดไม่ค่อยจะออก

เถรี 27-10-2021 10:16

โดยปกติแล้วพระที่เข้าพรรษาสามเดือนถ้วน ถึงจะมีสิทธิ์รับกฐิน แต่ญาติโยมส่วนใหญ่ไปเข้าใจผิด ว่าวันออกพรรษาก็คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ คือเมื่อวานนี้ แต่การออกพรรษาตามพระธรรมวินัย คือ ออกวันนี้ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ แปลว่าวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ยังไม่สามารถที่จะไปไหนได้

แล้วการจำพรรษาของพระภิกษุ ก็ยังมีพรรษาแรกกับพรรษาหลัง พรรษาแรกจำในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ พรรษาหลังจำแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒

คราวนี้การจำพรรษาแรกนั้น นอกจากอานิสงส์การจำพรรษาได้ผ่อนคลายสิกขาบทหลายข้อไปหนึ่งเดือนแล้ว ยังมีสิทธิ์รับกฐิน ถ้าหากได้รับกฐิน อานิสงส์กฐินก็ขยายต่อไปอีกจนถึงกลางเดือนสี่ แปลว่า บุคคลที่จำพรรษาหลังนั้น ได้แค่อานิสงส์จำพรรษาเท่านั้น และไม่ได้มีโอกาสผ่อนคลายกับใคร เพราะออกพรรษาตอนเขาหมดช่วงกฐินพอดี ก็เลยรับกฐินไม่ได้

เถรี 27-10-2021 10:17

ดังนั้น...ถ้าหากผู้หนึ่งผู้ใดมีความจำเป็น เข้าพรรษาไม่ทันในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งถ้าเป็นวัดท่าขนุนเราจะไม่ให้เข้าในวันนั้น ของวัดเราจะให้เริ่มอธิษฐานพรรษาวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ เลย เพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะต้องนับเป็นวันแรกของการเข้าพรรษา ไม่อย่างนั้นถ้ามาวันแรม ๑ ค่ำ แล้ว เกิดท่านมาอธิษฐานพรรษาตอนค่ำ ๆ ก็จะขาดหายไปครึ่งค่อนวัน

ในเมื่อเป็นดังนั้น ผู้ที่มาไม่ทัน จำพรรษาหลังได้ แต่ไม่ได้อานิสงส์อะไร นอกจากได้จำพรรษา ไม่ผิดพระธรรมวินัย ไม่โดนปรับอาบัติ แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้จำพรรษา ก็เท่ากับว่าบวชปีนั้นเสียเปล่า เขาไม่นับอายุราชการให้ ถ้าหากว่ามีพระใหม่ที่บวชปีนั้นแล้วจำพรรษา ท่านก็แค่มีสิทธิ์นั่งหน้าเขาเท่านั้น นับพรรษาว่ามากกว่าไม่ได้


เถรี 27-10-2021 10:34

อีกประการหนึ่งก็คือการปวารณา เมื่อวานนี้ทางพระสงฆ์ทั่วสังฆมณฑลได้ทำปวารณาต่อกัน มีอาตมภาพคนเดียวที่ทำปวารณาวันนี้ เพราะว่าเข้ากรรมฐานสามวัน ปวารณาร่วมกับเขาไม่ได้

การปวารณามี ๒ รูปแบบ คือ ปวารณา ๑ ครั้ง กับแบบปวารณา ๓ ครั้ง ขึ้นอยู่กับการตั้งญัตติ ถ้าสงฆ์เขาตั้งญัตติ สุณาตุ เม ภันเต สังโฆ, อัชชะ ปะวาระณา ปัณณะระสี, ยะทิ สังฆัสสะ ปัตตะกัลลัง เมื่อสงฆ์ทั้งหลายได้มาพรั่งพร้อมกันแล้ว

สังโฆ ขอสงฆ์ทั้งหลาย เตวาจิกัง ปะวาเรยยะ จงปวารณาต่อกันด้วยวาจาสาม ถ้าอย่างนี้ต้องปวารณากันด้วยกันสามจบ ถ้า เอกะวาจิกัง ปะวาเรยยะ ก็ปวารณาแค่จบเดียว ขึ้นอยู่กับความขยันหรือว่าขี้เกียจ แต่ส่วนใหญ่วัดท่าขนุนจะให้ปวารณาสามครั้งไปเลย

คราวนี้การปวารณาต่อกันนั้นสามารถเลื่อนได้ ไม่จำเป็นต้องปวารณาวันออกพรรษา เนื่องเพราะว่าสมัยพุทธกาลนั้น พระท่านอยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคีกลมเกลียวกันมาก มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน แนะนำกันตลอดพรรษา ทำให้ท่านรู้สึกว่าอยู่กันแล้วมีความสุข ไม่อยากจะแยกจากกัน ถ้าหากปวารณาแล้วเดี๋ยวก็แยกจากกันไป ก็เลยขออนุญาตเลื่อนการปวารณา

พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้เลื่อนไปได้หนึ่งเดือน พอหนึ่งเดือนผ่านไปแล้วยังไม่อยากแยกจากกันอีก พระพุทธเจ้าทรงเลื่อนให้อีกหนึ่งเดือนเป็นสองเดือน สองเดือนครบแล้วก็ยังไม่อยากจากกัน พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ได้แล้ว ยึดติดมากเกินไป ให้ปวารณาต่อกันไปเลย

เถรี 27-10-2021 10:41

ดังนั้น...ในเรื่องของการปวารณาพรรษา บรรดาผู้เรียนนักธรรมจำไว้แม่น ๆ เลยว่า สามารถเลื่อนได้ไม่เกินสองเดือน แบบเดียวกับการโกนผมของพระภิกษุสามเณร พระพุทธเจ้าอนุญาตให้โกนศีรษะได้ ถ้าหากว่าผมยาวเกินสององคุลี ประมาณนิ้วฟุตกว่า ๆ ถ้านับเอาให้ชัด ๆ ก็สามเซนติเมตร ถ้าสามเซนติเมตรนี่ยาวกว่าผมรองทรงอีกนะ หรือว่าสองเดือนโกนครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้บ้านเรานิยมโกนกันทุกวันโกน ขึ้น ๑๔ ค่ำ ก็เลยกลายเป็นโกนหัวกันเดือนละครั้ง

แต่ถ้าไปฝั่งพม่านี่ท่านโกนหัวทุกครั้งที่เดินทาง เพราะฉะนั้น..ถ้าเห็นพระพม่าหัวเกรียนมาเลย ให้รู้ว่าท่านเดินทางไกล ท่านใช้ อัทธานะมัคคะปฏิปัตติ ก็คือการปฏิบัติในช่วงการเดินทางไกลเป็นหลัก ซึ่งพระพุทธเจ้าอนุญาตให้หลายอย่างด้วยกัน อย่างเช่น สามารถฉันภัตตาหารที่เป็นปรัมประ คือฉันแล้วฉันอีกได้ เพราะเวลาไม่แน่ว่าจะตรงกับคนอื่น เนื่องจากเดินทางไกล หรือรอให้ญาติโยมถวายปัจจัยไทยธรรมที่ใช้ในการเดินทาง อย่างเช่นเสบียงอาหาร หรือน้ำมันทาเท้าซึ่งในสมัยนี้น่าจะเป็นพวกเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ

เถรี 27-10-2021 13:57

ช่วงนี้อาตมากำลังเรียนหลักสูตรการสอนออนไลน์อยู่ เขามีอบรมสี่ครั้ง "สอนอย่างไรไม่ให้ตกเทรนด์" ครั้งล่าสุดเขาบอกว่า เวลาเดินทางไกลควรจะเอาอะไรไปถึงจะเหมาะสมที่สุด ? ให้เลือกมาคนละอย่างเดียว

คนนี้ก็เลือกเอาอาหาร คนนั้นก็มีด คนโน้นก็ไฟฉาย อาตมาพิมพ์ไปว่า "เป้พร้อมของทุกอย่าง" เล่นเอาอาจารย์นั่งหัวเราะใหญ่เลย บอกว่า "ของพระครูวิลาศฯ สมบูรณ์สุด" ก็เขาให้เลือกอย่างเดียว เราก็เลือกเป้พร้อมของใช้ทุกอย่าง

แล้วก็มีไม้ขีดเรียงกันเป็นรูปตัวเลข ๕,๐๐๐ ให้ขยับไม้ขีดแค่สองก้านให้ได้ตัวเลขสูงสุด อาตมาขยับได้ ๙,๙๐๐ ปรากฏว่าได้รับรางวัลแต่ไม่ได้อยู่รับ เพราะว่าต้องรีบไปประชุมในเมือง ทางด้านเพื่อนฝูงเขาบอกว่า "เห็นเขาประกาศชื่อพระครูวิลาศฯ อยู่ ๖ ครั้ง เห็นไม่ขานรับ เขาก็เลยให้สละสิทธิ์" อาตมาก็..เออ...ช่างมัน

อาตมาถึงได้บอกว่า ลงไปเรียนหลักสูตรพวกนี้ก็เหมือนกับไปตบเด็ก ก็คือส่วนใหญ่แล้วคนเราจะไปยึดติดในกรอบ

เถรี 27-10-2021 14:01

เขามีจุดเก้าจุด เรียงเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ให้ขีดเส้น ๕ เส้นให้ผ่านได้ทุกจุด อาตมาขีดภายในไม่ถึงครึ่งนาทีก็ส่ง ให้ขีด ๔ เส้นก็ขีดได้ภายในไม่ถึงครึ่งนาที แล้วก็ ๓ เส้น และเส้นเดียว ปรากฏว่าเส้นเดียวน้องเล็กเร็วกว่า ถามว่าทำไม ? เขาขยายปากกาให้ใหญ่ ขีดทับทีเดียวเก้าจุดเลย อาจารย์บอกว่าใช้ได้ แต่อาตมานี่อ้อมโลก เขาไม่ให้ยกปากกานี่ ของเราขีดวนรอบโลกเลย

อาจารย์บอกว่า คนส่วนใหญ่จะยึดติดในกรอบ ในเมื่อยึดติดในกรอบก็ไม่กล้าแหกคอก ก็แบบขีด ๔ เส้นผ่าน ๙ จุด อย่างไรก็ทำไม่ได้ ถ้าคุณไม่ยอมออกจากกรอบ ๙ จุด อาตมาก็ขีดเลยไปลิบเลย แล้วก็ลากกลับมา ก็ต้องได้จนได้แหละ

ตอนสมัยที่เรียนปริญญาเอกอยู่ เรื่องวิธีการคิด เขาให้คิดชั้นเดียว คิดสองชั้น คิดสามชั้น คิดแบบเป็นเหตุเป็นผล คิดแบบปฏิจจสมุปบาท คิดแบบตรรกะ สารพัดวิธีสอนให้คิด อาตมาไม่เคยได้คะแนนเกิน ๒ ใน ๕ เลย เพราะว่าแต่ละชั่วโมงเขามีให้แค่ ๕ คะแนน เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า "มึงจะคิดไปทำไมวะ ?" คิดแล้วฟุ้งซ่าน..!

อาตมาเองก็จะวิ่งไปหาผลเลย ก็คือเขาให้บอกว่าเราไปถึงตรงนั้นได้อย่างไร ทีละชั้น ๆ ๆ นั่นเสียเวลา อาตมาก็บอกถึงผลลัพธ์เลย ท่านอาจารย์ไม่ยอม อย่างเก่งอาตมาก็ได้แค่ ๒ คะแนน ในขณะที่เพื่อนหลายคนได้ ๕ คะแนน เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ายึดติดเหมือนกัน ยึดติดว่าคิดแบบนั้นแล้วจะฟุ้งซ่าน..!

เถรี 27-10-2021 14:02

ดังนั้น...ถ้าพวกเราจะ Think out box. คิดนอกกรอบ ก็จะต้องสำหรับเรื่องที่จำเป็นเท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้ววิชาโลกเรียนเท่าไรไม่รู้จบ มีแต่จะทำให้เราฟุ้งซ่านมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าฟุ้งซ่านมาก ระงับไม่ทัน รัก โลภ โกรธ หลง เข้ามา ตัวเรานั่นแหละจะเดือดร้อน..!

ฉะนั้น...ญาติโยมที่เป็นนักปฏิบัติธรรม เมื่อถึงเวลาก็จิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเราหลุดไปจากปัจจุบัน เราไปเริ่มคิด คราวนี้การคิดของเราไม่ได้อยู่เฉพาะหน้า เพราะว่าขาดการฝึกฝน เราก็จะคิดอยู่ในลักษณะไม่ไปหวนหาอาลัยในอดีต ก็ไปฟุ้งซ่านในอนาคต ซึ่งไม่ว่าจะคิดแบบไหนก็สร้างความทุกข์ให้กับตัวเองทั้งนั้น

เถรี 27-10-2021 17:56

ท่านที่จะร่วมบุญหล่อพระ ปัจจุบันนี้ทองคำพอแล้ว เพราะว่าอาตมาซื้อทีเดียว ดังนั้น...ใครที่จะร่วมบุญ ถ้าหากโอนเป็นเงินหรือทำบุญเป็นเงินสดจะดีที่สุด เพราะถือว่าเป็นเจ้าภาพในการซื้อทองคำด้วย

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะถ้าเราไม่ซื้อทองคำล็อตเดียวกัน ถึงเวลาหล่อแล้ว ทองคำแต่ละร้านมีความบริสุทธิ์ไม่เท่ากัน แล้วแต่ว่าใครจะเอามากเอาน้อย ก็เลยทำให้เนื้อไม่เท่ากัน ถึงเวลาหล่อแล้วพระอาจจะลายทั้งองค์ ท่านทั้งหลายยังมีเวลาทำบุญอีกถึงวันที่ ๑๕ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๔ นี้ เพราะว่าวันที่ ๑๘ ก็จะหล่อพระแล้ว

เถรี 27-10-2021 17:57

ขอประกาศแจ้งกับทุกท่านตรงนี้ว่า เดี๋ยวจะหาฤกษ์บวชพระฉลองหลวงพ่อทองคำอีกชุดหนึ่ง เพียงแต่ว่ายังไม่ได้กำหนดว่าวันไหน น่าจะบวชก่อนหล่อพระ จะได้ไปฉลองกันพร้อมกัน และหลังจากหล่อพระ ถ้ามีฤกษ์ดีก็จะให้สึกฤกษ์ที่ใกล้ที่สุด

ถ้าใครมั่นใจว่าตัวเองมีเวลาบวชแน่นอน ก็ให้สมัครเข้ามา เดี๋ยวจะให้เจ้าหน้าที่เขาประกาศในเว็บให้ ไม่ว่าทาง ศบค. เขาจะกำหนดว่า ห้ามคนเกิน ๒๕ คนอย่างไร อาตมาไม่กลัว เพราะว่าเราจัดพระเข้าบวชทีละชุดก็ไม่เกิน ๒๕ รูปอยู่แล้ว บวชเสร็จก็ออกไป เสร็จแล้วก็มานั่งเว้นระยะ ฟังอนุศาสน์พร้อมกัน

เถรี 27-10-2021 18:06

ถ้าหากบวชฉลองหลวงพ่อทองคำชุดนี้ ก็เป็นการบวชแทนช่วงลอยกระทงไปเลย เพราะว่าเวลาใกล้เคียงกัน เนื่องจากว่าวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน เป็นวันลอยกระทงแล้ว เราหล่อพระวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน บวชพระน่าจะบวชก่อนนั้น เดี๋ยวจะขออนุญาต มีเวลาแล้วจะดูให้ แล้วจะรีบประกาศบอกให้ทราบ และถ้ามีเวลาจะให้บวชเนกขัมมะฉลองกันไปด้วย

อาตมาบอกกับทุกคนที่นี่ว่า เราถอยให้มากเกินไปจนมารผยองแล้ว พวกเราห่างความดีกันไปมาก ท่านที่กำลังใจไม่ถึง พอถึงเวลาห่างวัดห่างวานาน ๆ ก็ไหลตามกระแสโลกไปแล้วเอากลับได้ยาก เพราะฉะนั้น..ทุกงานที่กำหนดไว้ อาตมาก็จะจัดทั้งหมด ถ้า ศบค. ส่งเจ้าหน้าที่มาดู ก็จะเห็นว่าเราทำตามกฎเกณฑ์กติกาเขาทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องจำนวนคน

เนื่องจากสถานที่วัดของเรามั่นใจว่าใหญ่พอ สามารถเว้นระยะได้ ตรงนี้บางทีผู้ปกครองท้องถิ่น อย่างนายอำเภอก็ดี ท่านนายกเทศมนตรีก็ตาม ก็จะเครียดแทน เหตุที่เครียดแทนเพราะว่าคนเยอะ ๆ แล้วติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ สักคนนี่เดือดร้อนกันหมด แต่บังเอิญวัดท่าขนุนยังโชคดี "สวอบ" มาสามครั้งแล้วยังไม่มีติดสักรายเดียว จนคนเขาไปร่ำลือกันว่า พกวัตถุมงคลวัดท่าขนุนแล้วจะรอดจากโควิด ๑๙ อาตมาบอกว่า "มึงหาเรื่องแล้ว..!"

เถรี 27-10-2021 18:33

เนื่องเพราะว่าคนเราถ้าวาระบุญยังรักษาก็ปลอดภัย ถ้าวาระกรรมเข้ามาก็จะเดือดร้อน เพราะฉะนั้น...ไม่ใช่ไปฟันธงว่าพกวัตถุมงคลวัดท่าขนุนแล้วจะปลอดภัยจากโควิด ๑๙ ไอ้นั่นคนบ้า...!

มีบางคนอยู่บ้านเดียวกัน คนหนึ่งเป็นโควิด ๑๙ อีกคนหนึ่งที่แขวนพระแล้วไม่เป็น แล้วก็ไปคุยกันในเฟซบุ๊ก ทำให้คนเขาแชร์กันออกไปมาก เรื่องพวกนี้ถ้าเราประมาท โอกาสติดเชื้อมีเกินร้อยเปอร์เซ็นต์..!

เถรี 29-10-2021 07:27

เดือนหน้าจะเป็นช่วงนำเข้าเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ แต่ละสายพันธุ์ เพราะว่ารัฐบาลอั้นไม่ได้แล้ว กู้เงินจนเกินพิกัดแล้ว ก็มีอยู่อย่างเดียวคือ ต้องเปิดประเทศเพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้ามา แล้วนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนหนึ่งก็ไม่ยอมฉีดวัคซีน เนื่องเพราะว่าเป็นผู้ที่รับข้อมูลเอาไว้มากว่า การฉีดวัคซีนที่ไม่ใช่การใช้เชื้อโรคโดยตรงมาทำ มีสิทธิ์ที่จะทำให้ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงถึงระดับดีเอ็นเอ

บางคนถึงขนาดกำหนดไว้เลยว่าไม่เกิน ๒ เดือนเห็นผลแน่ แต่จนป่านนี้สองปีผ่านไปก็ยังไม่เห็นอะไร ดังนั้น...บางเรื่องบางทีเราก็ฟุ้งซ่านไปก่อน ขอให้มั่นใจว่าตราบใดที่บุญยังรักษา กรรมยังรักษา เราก็ยังไม่ตายหรอก

เถรี 29-10-2021 07:29

ดูอย่างท่านโลสกเถระ เกิดมาแต่ละวันกินข้าวได้แค่ ๗ เม็ด อยู่มาอย่างไรตลอด ๒๐ กว่าปี ? นั่นคือกรรมรักษา เนื่องจากว่าในอดีตชาติเคยไปกลั่นแกล้งพระปัจเจกพุทธเจ้า เอาของสกปรกไปใส่ในอาหารจนพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านฉันอาหารไม่ได้ ท่านโลสกะในชาตินั้นตายแล้วลงอเวจีมหานรก เกิดใหม่มาเป็นคน กินอาหารได้ไม่เกิน ๗ เม็ดข้าวสุก ก็ต้องไปควานหาเอาในที่ซึ่งเขาล้างถ้วยล้างจานหรือสาดทิ้งเอาไว้ ต่อให้มีมากกว่า ๗ เม็ด ถ้าหากว่ากินได้ครบ ๗ เม็ดแล้ว ส่วนที่เหลือก็จะหายไปหมด มองอย่างไรก็ไม่เห็น

พระสารีบุตรเถระผ่านไปเจอเข้า ก็เลยชวนมาบวช ท่านเองก็เห็นว่าทุกข์ทรมานมา ๒๐ กว่าปีแล้ว วาระสุดท้ายขอเกาะความดี บวชตามพระสารีบุตร ปรากฏว่าพอออกบิณฑบาตก็ไม่มีใครใส่บาตรให้ ให้เดินหัวแถวคนก็ใส่บาตรเลยไปข้างท้าย ให้เดินท้ายแถว คนก็ใส่บาตรแค่ด้านหัว ให้เดินตรงกลาง คนก็ใส่แค่หัวแค่ท้าย เหมือนอย่างกับท่านไม่มีตัวตน

จนกระทั่งพระสารีบุตรต้องบอกว่า "ดูกร..อาวุโส...เธอไม่ต้องออกบิณฑบาตหรอก เราจะออกบิณฑบาตมาให้เอง" พระสารีบุตรได้อาหารเต็มบาตรมาวางไว้ให้ ท่านก็เห็นเป็นแค่บาตรเปล่า ๆ จนพระสารีบุตรต้องเอามือจับบาตรเอาไว้ ท่านถึงมองเห็นอาหารได้

เถรี 29-10-2021 07:30

พระโลสกเถระได้ฉันอิ่มเป็นครั้งแรกในชีวิต พอร่างกายสบายก็มาพิจารณาว่า เราทุกข์ทรมานเพราะร่างกายนี้มาตลอดเวลา ก็เพราะการมีร่างกายเช่นนี้ ขึ้นชื่อการเกิดมาทุกข์แบบนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก พอตัดใจจากร่างกายได้ก็ถอนจิตออกมา กลายเป็นพระอรหันต์แล้วก็นิพพานไปเลย

ถ้าเป็นคนทั่วไปก็ต้องบอกว่ากินจนจุกตาย แต่ความจริงท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว หมดกรรมแล้ว เพราะว่า
ารเป็นพระอรหันต์นี่ กรรมเดิมทั้งหมดถือว่าเป็นอโหสิกรรมทั้งหมด ยกเว้นเศษกรรมที่เกิดกับขันธ์ ๕ เช่น การเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งต้องมีตามปกติ

ดังนั้น...ในเมื่อท่านหมดกรรมแล้วก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำอะไร ก็เลยตัดใจไปพระนิพพานไปเลย นั่นคือกรรมรักษาแล้วอยู่ได้ ส่วนเรื่องของบุญรักษา ส่วนใหญ่ทั่วไปเราก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร

เถรี 29-10-2021 07:31

ดังนั้น...ถ้าหากว่าบุญยังรักษา กรรมยังรักษา เราก็ยังอยู่ได้ แต่คราวนี้จะอยู่ได้แบบไหน ? เพราะว่าการป่วยด้วยเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ถ้าโดนทำลายปอดไปมาก อย่างไรก็ไม่เหมือนเดิม จะต้องอยู่กันอย่างยากลำบาก ทุกข์ทรมาน ร่างกายไม่ปกติ เพราะว่าชำรุดด้วยโรคภัย

ดังนั้น..เราจึงควรที่จะระมัดระวังป้องกันตนเอง อย่าไปอยู่ในที่ชุมชนหนาแน่น ให้ใส่หน้ากากอนามัยป้องกันไว้ หมั่นล้างมือบ่อย ๆ จะหยิบจะจับอะไรก็ควรที่จะพ่นแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อเสียก่อน

เถรี 29-10-2021 07:34

สถิติของกรมการแพทย์บอกว่า ปีนี้คนเป็นไข้หวัดใหญ่น้อยมาก ๆ น้อยกว่าปกติสี่ร้อยกว่าเปอร์เซ็นต์ ก็คือติดลบ เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่าเราใส่หน้ากากป้องกันเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ไข้หวัดใหญ่ที่ไม่หนักเท่าก็เลยอาละวาดไม่ออก ทำให้ปลอดภัยไปได้ชั่วคราว

ที่บอกไปแล้วก็คือ เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ น่าสงสารมาก เหตุที่น่าสงสารมากเพราะว่ามาบ้านเรา พอถึงเวลาคนกินของเผ็ดเชื้อโควิดก็ตาย กินของเปรี้ยวเชื้อโควิดก็ตาย ...(หัวเราะ)....น่าสงสารมาก

ดังนั้น...สำหรับคนไทยของเราแล้วไม่น่ากลัว เพราะว่ามีอะไรที่เปรี้ยวที่เผ็ด โดยเฉพาะอาหารไทยของเรารสจัดจ้านอยู่แล้ว ตำส้มตำสักครกใส่พริก ใส่มะนาวเยอะหน่อย กินเข้าไป เชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ก็ตายเรียบ ลงไปไม่ถึงปอดแล้ว

เถรี 29-10-2021 07:36

อีกประการหนึ่ง ในเรื่องของคุณพระที่รักษาพวกเรานั้น บางอย่างต้องบอกว่า ต้องเป็นไปด้วยการไม่เห็นเขาเป็นศัตรู ในเมื่อไม่เห็นเขาเป็นศัตรู เขาก็ไม่ทำร้ายเรา

ตรงจุดนี้อาตมาเคยทดลองในระยะแรก ๆ ถึงเวลาก็ตั้งใจแผ่เมตตาให้แม้กระทั่งเชื้อโรค รับได้หรือรับไม่ได้ก็เรื่องของคุณ แต่ว่าเราตั้งใจให้ เราไม่เป็นศัตรูต่อกัน ถ้าหากลำบากเดือดร้อนอะไร ถ้าช่วยได้ก็จะช่วย พอตั้งใจลักษณะนี้แล้ว เห็นเชื้อโรคเหมือนกับลูกอ๊อดที่ว่ายน้ำอยู่ ว่ายไปว่ายมา ผ่านไปผ่านมาเต็มไปหมด ก็คือพอลูกอ๊อดรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกัน เขาก็ไม่มายุ่งกับเรา คนไหนไม่ใช่พวกเดียวกัน ไปถึงเขาก็ลุยเลย..!

เถรี 01-11-2021 18:08

ส่วนที่น่าภูมิใจก็คือ วัดท่าขนุนยังไม่มีพระเณรติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ขณะที่วัดอื่นโดนไปตาม ๆ กัน ล่าสุดก็วัดทองผาภูมิ โดนไปรอบที่สอง ไปสอบนักธรรมชั้นตรี ปรากฏว่าตรวจเจอพระที่เข้าสอบติด ก็เลยต้องขอไม่ให้เข้าสอบทั้งสามรูป

เนื่องจากว่าตั้งแต่การระบาดรอบแรก วัดจันเดย์หรือวัดจวบจันทร์วนาราม โดนเป็นวัดแรกเลย ถัดมาก็วัดป่าผาตาดธารสวรรค์ แล้วก็วัดเวฬุวันของหลวงพ่อสาคร ที่ซื้อวัคซีนไฟเซอร์ไปเป็นล้าน เอามาไล่ฉีดให้พระ ปรากฏว่าพระวัดของท่านโดนเอง ต่อมาก็วัดทองผาภูมิ

วัดทองผาภูมิต้องบอกว่าเสี่ยงมาก เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะวัดเป็นตลาดนัด นอกจากนี้ญาติโยมที่ติดเชื้อดันไปถวายสังฆทานกับพระอีก เจอไปสองเด้ง รอบแรกโดนกักตัวไป ๑๔ วัน รอบนี้ก็น่าจะไม่ต่างกัน แต่ขอร้องว่า ถ้าเป็นไปได้ก็กักตัว ๒๑ วันเถอะ จะได้ปลอดภัยแน่นอน เดี๋ยวพรุ่งนี้มีเวลาก็ต้องเอาเสบียงไปส่งท่านเหมือนกัน แล้วก็มีหลายท่านที่กินจุ ข้าวกล่องไม่พอก็บ่น ก็บอกว่าทนเอา แค่สี่วันเท่านั้น

พระเณรของเรามีอยู่ส่วนหนึ่งที่กินไม่ได้อย่างใจ บางทีก็ย้ายวัดไปเลย เป็นเรื่องที่ประหลาดดี อาตมาเองที่ไม่เห็นว่าเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าอารมณ์นี้เป็นอย่างไร อารมณ์ที่ว่ากินไม่อิ่มแล้วกูไม่อยู่ด้วย ใครรู้ช่วยบอกให้ทีว่าเป็นอารมณ์แบบไหน ?

เถรี 01-11-2021 18:29

ในส่วนของวัดท่าขนุนของเรา ช่วงนี้พระใหม่ที่บวชในพรรษากำลังพยายามปรับปรุงวัดกันอยู่ โยมที่มาจะเห็นว่ามีการแขวนโน่นแขวนนี่ โคมไฟก็ต้องดูช่วงกลางคืน เพราะว่าไฟติดแล้วถึงจะสวย และก็มีการทำจุดเช็คอิน และทำป้ายบอกทางเข้าวัด

เนื่องจากว่าหลายคน พอถึงเวลาวิ่งรถก็เลยวัด ยาวเข้าบ้านไปเลย ก็เลยต้องทำป้ายดักเอาไว้ว่า "เข้าวัดทางนี้" ที่เมื่อครู่เห็นนั้นยังไม่เสร็จนะ เพราะว่ายังต้องมีแผ่นสเตนเลสฉลุที่จะติดไฟไว้ข้างใน พอเวลากลาคืนมาก็จะเห็นป้ายบอกทางอย่างชัดเจน เพราะมีรอยฉลุให้แสงลอดออกมาได้

ใครมีแนวคิดอย่างไร ถ้าคิดว่าทำให้วัดดีขึ้น อาตมาเองไม่ได้ว่า มีอยู่อย่างเดียวที่คอยเตือนก็คือ อย่าให้ "เว่อร์" เกินไป วัดเราควรจะอยู่ในลักษณะของสมถะ พอเพียง ไม่ใช่หรูหราจนเกินเหตุ เข้าวัดมาแล้วควรที่จะได้รับการพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่ใช่เข้าวัดมาแล้วมีสิ่งที่สนองกิเลสเสียเต็มที่ ไม่มีโอกาสได้ละอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็เสียเวลาเข้าวัด อยู่บ้านก็ราคาเดียวกัน

เถรี 01-11-2021 18:38

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ต้องเตือนสติพระอยู่เรื่อย ๆ ว่าทำไมโครงการนี้ผมไม่อนุมัติ เพราะว่าบางทีท่านก็คิดเฉพาะแง่ทางโลก ว่าถ้ามีอะไรสวย ๆ นักท่องเที่ยวจะได้มาเยอะขึ้น ซึ่งอาตมาก็ยืนยันว่า ไม่ได้ต้องการคนเยอะ คนมามากเมื่อไรก็ต้องเสียเวลาไปดูไปแลกัน

หลักการบริหารวัดง่าย ๆ ที่โบราณให้ไว้คือ สะอาด สว่าง สงบ อะไรที่มากกว่านั้น โอกาสที่เกินเลยจะมีมากอยู่

เถรี 01-11-2021 18:45

พูดถึงภัตตาหารพระ มื้อเพลบางทีก็มีเจ้าภาพเลี้ยง บางวันก็มา "เว่อร์วังอลังการ" เพียงแต่ที่อาตมภาพขอไว้ คือ หมูกระทะอย่าให้มี

ความจริงพวกชาบู หมูกระทะ พระฉันได้ แต่โยมต้องปรุงมาเลย เพราะว่าพระของเราห้ามหุงต้มเอง ห้ามเก็บไว้เอง ห้ามเก็บไว้ในที่อยู่ เหตุที่ห้ามหุงต้มเอง หลายท่านที่มีฝีมือ อย่างอาตมา ก็จะเลือกทำอาหารอร่อย สนองกิเลสตัวเอง พระพุทธเจ้าก็เลยต้องห้ามหุงต้มเอง ห้ามเก็บอาหารไว้เอง เพราะว่านอกจากต้องห่วง ต้องกังวล ต้องดูแลแล้ว บางทีก็ยังเลือกเก็บแต่ของที่ตัวเองชอบไว้ด้วย

ห้ามเก็บไว้ในที่อยู่ เพราะว่าเก็บไว้ในที่อยู่ก็ไม่รู้ว่าจะแอบฉันตอนกลางคืนหรือเปล่า ? ภาษาบาลีเขาว่า อันโตวุตถะ อันโตปักกะ สามปักกะ พระพุทธเจ้าอนุญาตให้เฉพาะตอนเกิดทุพภิกขภัยเท่านั้น ที่พระอานนท์ต้องนำข้าวเปลือกมาตำเป็นข้าวสาร เพื่อที่จะได้ถวายพระให้นำไปหุงฉันกันเอง เพราะเวลาที่เกิดทุพภิกขภัยอดอยาก ผู้คนล้มตาย ไม่มีใครเขาเสียเวลามาทำอาหารถวายพระกันหรอก

เถรี 01-11-2021 18:55

อย่างที่หลวงพ่อสมเด็จวัดพระพุฒาจารย์ (นวม พุทฺธสรมหาเถร) วัดอนงคาราม ท่านบอกเอาไว้ว่า "ถ้าชาวบ้านอด พระกับหมาก็ตายก่อน" พอถึงเวลาชาวบ้านอด ก็ต้องนึกถึงตัวเองว่า ต้องทำอย่างไรที่จะหาใส่ปากใส่ท้องตนเองให้อิ่มก่อน ไม่มีโอกาสที่จะนึกถึงพระ

ถ้าในช่วงทุพภิกขภัยถึงอนุญาตให้เก็บเสบียงไว้ได้ และอนุญาตให้เก็บไว้ในที่อยู่ของตนเองได้ เพราะว่าเคยมีพระไปฝากชาวบ้านไว้ เนื่องจากว่าพระพุทธเจ้าห้ามเก็บอาหารเอาไว้ พอถึงเวลาไปเอามาทำอาหาร ปรากฏว่าชาวบ้านกินเรียบไปแล้ว..!

อนุญาตให้ของบางอย่างไม่ต้องประเคน อย่างเช่นเหง้าบัว ถึงเวลาก็ไปขุดไปงมในสระมา ล้างสะอาดก็ฉันได้เลย ไม่ต้องให้ใครประเคนให้ เพราะว่าเป็นของที่หามาด้วยตนเอง แต่ถ้านอกเวลา ความแห้งแล้งความอดอยากผ่านไปแล้วก็ให้ยกเลิก ซึ่งตรงจุดนี้ทำให้พระปุราณเถระ ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ มีลูกศิษย์มาก ท่านมาจากทักขิณาคีรีชนบท ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราก็ประมาณสุไหงโกลก ปรากฏว่ามาถึงราชคฤห์ก็เลยเวลาแล้ว มีการถวายพระเพลิงพระพุทธเจ้าไปแล้ว และพระสงฆ์ก็ทำสังคายนาพระไตรปิฎกกันเรียบร้อยแล้ว

เถรี 01-11-2021 18:56

ในเมื่อคณะสงฆ์แจ้งให้ท่านทราบ เพราะว่าท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ มีลูกศิษย์ลูกหามาก ท่านก็บอกว่า "อาวุโส สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำนั้น เราขออนุโมทนาด้วย แต่เรายังจะปฏิบัติเฉพาะในส่วนที่ได้ยินมาต่อเบื้องพระพักตร์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น"

ซึ่งลักษณะอย่างนี้เป็นการกระทำที่ผิดพลาด เพราะว่าหลายอย่างมีการเปลี่ยนแปลง แต่ว่าการประกาศเปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ได้ประกาศช่วงที่ท่านอยู่ ท่านก็ถือว่าอะไรที่กูได้ยินมา กูก็ทำแค่นั้น ก็ทำให้เดือดร้อนตรงที่การปฏิบัติไม่เสมอกัน

แล้วก็กลายเป็นแนวปฏิบัติที่แตกต่างกัน ตั้งแต่การสังคายนาครั้งที่ ๑ หลังจากพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน แล้วก็ไปปรากฏชัดในการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๒ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๑๐๐ ปี ก็ปรากฏว่ายังมีพระเถระรูปหนึ่ง ก็คือพระเรวัตตะเถระ ท่านอยู่ทันสมัยพระพุทธเจ้า เนื่องเพราะว่าท่านบวชเป็นเณรตอน ๗ ขวบ แล้วท่านอยู่จนอายุ ๑๒๐ ปี ท่านก็เลยทันการสังคายนาครั้งที่ ๑

เถรี 01-11-2021 18:58

การสังคายนาครั้งที่ ๒ นี้ มีภิกษุแคว้นวัชชีทำตัวไม่เหมือนคนอื่น อย่างเช่นว่า เก็บอาหารไว้เองได้ เห็นว่าสุรารสอ่อนสีเหมือนเท้านกพิราบพระฉันได้ อย่างนี้เป็นต้น รวมแล้ว ๑๐ อย่างด้วยกัน

ในเมื่อคณะสงฆ์เห็นว่าจะทำให้พระธรรมวินัยผิดเพี้ยนไปมาก จึงทำสังคายนาใหม่ ทางฝ่ายภิกษุแคว้นวัชชีบุตรไม่ยอมรับ ไประดมพวกตัวเองมาเป็นหมื่นรูป มีทำการสังคายนาของตัวเอง อยู่ในลักษณะที่รับรองว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูก ก็เลยกลายเป็นคณะมหาสังฆิกะขึ้นมา ซึ่งตอนหลังก็พัฒนามาเป็นมหายาน

ในส่วนนี้เมื่อถึงเวลาแล้ว กิเลสใครกิเลสมัน "อาจารย์ข้าสอนมา" "อาจารย์ข้าเท่านั้นถึงจะถูก" ก็เลยมีการแยกนิกายต่าง ๆ ออกไปถึง ๑๘ นิกายด้วยกัน ฉะนั้น..พวกนิกายต่าง ๆ นี่แยกออกไปตั้งแต่สมัยการทำสังคายนาครั้งที่ ๒ ห่างจากพุทธปรินิพพาน ๑๐๐ ปี เขาเรียกว่า อาจาริยวาท คือถือคำพูดของอาจารย์เป็นหลัก

เถรี 03-11-2021 00:48

อย่างในปัจจุบันของเรา ในส่วนของอาจาริยวาทเริ่มปรากฏ ถ้าหากว่าปรากฏในลักษณะของการปฏิบัติที่ถูกต้องก็ไม่เป็นไร ถ้าปฏิบัติผิดพลาดเมื่อไรนี่จะเสียหายมาก ในส่วนที่ชัดเจนอย่างที่เห็น ๆ ในปัจจุบันนี้ก็คือ การปฏิบัติสายหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง การปฏิบัติสายหลวงตามหาบัว วัดป่าบ้านตาด เริ่มออกแนวอาจาริยวาทแล้ว ก็คือถือวาทะของหลวงตาเป็นใหญ่ ถือวาทะของหลวงปู่ชาเป็นใหญ่ เป็นต้น

เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว หลวงปู่หลวงตาท่านไม่ได้ทำผิด แต่ลูกศิษย์ลูกหากิเลสมาก ก็เลยไปยึดว่า "อาจารย์สอนอย่างนี้ ต้องแบบนี้เท่านั้น" ในเมื่อไปยึดในลักษณะอย่างนั้น ถ้าหากว่ายึดถูกต้องตามพระธรรมวินัยก็ปลอดภัย ถ้ายึดผิดเมื่อไร โอกาสที่จะเพี้ยนออกนอกลู่นอกทางก็มีสูง

เถรี 03-11-2021 00:50

เราจะเห็นว่าอย่างสายหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ เมื่อออกมาถึงแค่ยุคธรรมกาย ก็มีการสอนผิดเพี้ยนไปมาก เนื่องเพราะว่าธรรมกายนั้น มีผู้บวชที่เป็นคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก ก็เลยเอาหลักการตลาดขึ้นมาใช้ ในเมื่อเอาหลักการตลาดขึ้นมาใช้ ก็ต้องมีการโฆษณา

คราวนี้การโฆษณาของสายธรรมกายเป็นการ "โฆษณาขายบุญ" ในเมื่อโฆษณาขายบุญ จึงต้องพยายามเอาทุกอย่างที่เห็นว่าเป็นบุญขึ้นมาขาย อยู่ในลักษณะที่ดึงดูดญาติโยม โดยที่ลืมไปว่าทานทุกประเภท สูงสุดไปได้แค่กามาวจรสวรรค์ ถ้าหากว่าไม่มีต่อท้าย ทานทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน อะไรก็ตาม ทำขนาดไหน ผลไม่เกินแค่เทวดา นางฟ้า จะไปได้แค่นั้น

ยกเว้นว่าเราปฏิบัติต่อเองเป็น อย่างเช่นว่าทำจนเป็นฌาน เราก็สามารถที่จะไปเป็นพรหมได้ หรือว่าถ้าหากว่าทำเพื่อสลัด ตัด ละ ความโลภของเรา เพื่อให้สภาพจิตของเราเบาสบาย ทำเพราะเห็นประโยชน์ในส่วนของบุญกุศล ทำโดยไม่ยึดติด ประกอบด้วยอุเบกขา ก็คือ รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ถ้าอย่างนี้ถึงจะไปพระนิพพานได้

เถรี 03-11-2021 00:51

แต่ทางธรรมกายโฆษณาขายบุญแค่ระยะต้นเท่านั้น จึงทำให้คำสอนหลายอย่างผิดเพี้ยนไปจากพระพุทธศาสนา ปัจจุบันนี้ก็เลยลำบาก เพราะว่าทางด้านบ้านเมืองต้องยื่นมือเข้าไปแก้ไข ต้องบอกว่าเสียดายในศรัทธาของญาติโยมเป็นล้าน ๆ ถ้าหากว่าตามกันจริง ๆ ก็จะไปได้แค่กามาวจรสวรรค์ ทั้ง ๆ ที่ตนเองมีสิทธิ์ที่จะไปได้สูงกว่านั้นมาก

อาตมาเองคลุกคลีกับสายธรรมกายมาตั้งแต่ก่อนบวช มีเพื่อนฝูงเป็นคณะกรรมการผู้ใหญ่อยู่ข้างในนั้นด้วย ซึ่งตอนหลังเพื่อนฝูงเขาก็ถอนตัวออกมา เพราะว่าไม่อยากเป็นผู้นำบุญที่สร้างความเดือดร้อนให้กับเพื่อนฝูงและคนรอบข้าง เนื่องจากว่าเขาจะมีการบอกต่อกัน ๑ ต่อ ๕

๑ ต่อ ๕ เหมือนกับแชร์ลูกโซ่ หรือระบบขายตรง ถ้าหากว่าใครสามารถทำได้ ก็ได้รับการชมเชยจากเพื่อนจากฝูง ยิ่งสามารถทำยอดบุญได้มาก ก็ยิ่งได้รับการชื่นชมมาก ทำให้หลงผิดหนักยิ่งขึ้น

เถรี 03-11-2021 00:53

เนื่องเพราะว่าการทำบุญนั้น สำคัญตรงสละออก ไม่ได้สำคัญตรงจำนวนยอดเงิน มหาเศรษฐีมีเงินเป็นล้านทำบุญ ๑,๐๐๐ บาท คนยากคนจนมีเงิน ๒๐ แล้วทำบุญมา ๑๐ บาท กำลังใจของใครจะดีกว่ากัน ?

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น หลวงพ่อวัดท่าซุงถึงได้แนะนำว่า การทำบุญนั้น แม้จะทำน้อย ๆ แต่ทำบ่อยครั้ง อานิสงส์จะได้มากกว่า เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าจิตใจมีการสละออกอยู่ตลอดเวลา ส่วนท่านที่ทำมาก ๆ ทำทีเดียว จะมี ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือกำลังใจตก เพราะว่ามัจฉริยะ คือความตระหนี่เกิดขึ้น เนื่องจากว่าทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก คนย่อมหวงแหน ประการที่สองคือการทำมาก ๆ นั้น ทำบ่อยไม่ได้ เพราะว่าทำบ่อยเมื่อไร ตัวเองอาจจะหมดตัว

เถรี 03-11-2021 00:54

ดังนั้น...ตรงส่วนนี้ญาติโยมทั้งหลายโปรดเข้าใจว่า ในเรื่องของการทำบุญไม่ใช่ของไม่ดี เป็นของดี แต่อานิสงส์ส่วนใหญ่แล้ว ไปแค่กามาวจรสวรรค์ ยกเว้นว่าเราทำจนเคยชิน ทำจนเป็นฌาน เราถึงจะไปพรหมได้ หรือว่าถ้ารู้จักอุเบกขา ทำในลักษณะที่รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ ถ้าอย่างนั้น เราถึงจะไปพระนิพพานได้

ในเรื่องพวกนี้ ถ้าเราแนะนำแต่เฉพาะเบื้องต้น โอกาสที่จะทำให้คนหลงยึดติด หลุดพ้นได้ช้าลงจะมีมากขึ้น ตรงจุดนี้เราไม่ได้ตำหนิธรรมกาย เพราะว่าใครเห็นว่าอะไรดีก็ย่อมทำตามนั้น กำลังใจของเขายังไม่เพียงพอ เขาก็จะแนะนำได้แค่กำลังใจของตนเอง ท่านใดที่กำลังใจสูง เมื่ออยู่ไป ๆ รู้สึกไม่ชอบมาพากล เขาก็จะถอนออกมาเอง เหมือนกับคนเข้าร้านอาหาร เมื่อถึงเวลากินแล้วไม่ถูกปาก ไม่ถูกใจก็ไปหาร้านใหม่เอง เป็นต้น

เถรี 04-11-2021 10:20

ตรงส่วนนี้ที่ชี้แจงบอกเหตุให้ ก็เพราะว่าในส่วนของอาจาริยวาท หรือว่าแนวทางปฏิบัติที่เริ่มจะมีแตกแยกกันขึ้นมาในประเทศไทย ซึ่งปกติแล้ว หลัก ๆ ของเราแรกเริ่มก็คือธรรมยุตกับมหานิกาย แต่ตอนนี้เริ่มมีสายสันติอโศก มีสายธรรมกาย มีสายพุทธทาส แล้วก็มีสายหลวงปู่มั่น ที่ตอนนี้เริ่มกระจายออกเป็นสายหลวงตาบัว สายหลวงปู่ชา ทางด้านเหนือก็จะมีสายครูบาศรีวิชัย ที่มีแนวปฏิบัติไม่เหมือนคนอื่น

เรื่องพวกนี้ตราบใดที่เรายึดติด ตราบนั้นเราก็ไปไหนไม่ได้ แม้แต่หลักธรรมของพระพุทธเจ้า ให้เรายึดถือเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเท่านั้น ไม่ใช่ยึดติดในลักษณะของการเคารพกราบไหว้ แน่นแฟ้น ชนิดไม่ยอมปล่อย อะไรที่เรายึด ย่อมทำให้เราเกาะอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นไปได้ ตรงจุดนี้พระพุทธเจ้าแสดงไว้ชัดในปฏิจจสมุปบาท ๑๒ อย่างด้วยกัน

เถรี 04-11-2021 10:23

ท่านบอกว่า อวิชชา ปัจจะยา สังขารา อวิชชาคือความไม่รู้ รู้ไม่ทั่ว ทำให้เกิดสังขาร คือการนึกคิด ปรุงแต่ง ในเมื่อจำเป็นต้องนึกคิดปรุงแต่ง สังขาระ ปัจจะยา วิญญาณัง การปรุงแต่งต้องอาศัยวิญญาณ ไม่เช่นนั้นแล้วไม่สามารถที่จะนึกคิดปรุงแต่งอะไรได้

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น วิญญาณจะอยู่ที่ไหน ? วิญญาณะ ปัจจะยา นามะ รูปัง วิญญาณก็ต้องอาศัยนามรูป นามรูปจริง ๆ ก็คือร่างกายนี้แหละ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาเห็นรูปด้วยจักขุวิญญาณ หูได้ยินเสียงด้วยโสตวิญญาณ เป็นต้น

นามะรูปะ ปัจจะยา สะฬายะตะนัง ในเมื่อมีนามรูป ก็มีอายตนะ ๖ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สะฬายะตะนะ ปัจจะยา ผัสโส ในเมื่อมีอายตนะ ๖ ก็ต้องมีการสัมผัส ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ผัสสะ ปัจจะยา เวทะนา ในเมื่อมีสัมผัส ก็เกิดเวทนา คือความรู้สึก สุขหรือทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์

เวทะนา ปัจจะยา ตัณหา ซวยแล้ว ในเมื่อมีความรู้สึกสุขหรือทุกข์ ไม่สุขหรือไม่ทุกข์ขึ้นมา ก็จะเกิดความอยาก อยากในสิ่งที่ดี รู้สึกดีกับตัวเอง ก็คือสิ่งที่เป็นสุข อยากที่จะไปให้ไกลจากส่วนที่ไม่ดี ก็คือส่วนที่เป็นทุกข์ ตัณหา ปัจจะยา อุปาทานัง ในเมื่อมีความอยากก็เกิดอุปาทาน คือการยึดมั่น ไอ้ตัวเฮงซวยมาแล้ว

อุปาทานะ ปัจจะยา ภะโว ในเมื่อคุณยึด ก็ต้องมีที่ให้ยึด ภพคือการเกิด สถานที่เกิดจึงเกิดขึ้น ในเมื่อ ภะวะ ปัจจะยา ชาติ ในเมื่อมีภพก็ต้องมีการเกิด พอเกิดขึ้นมาก็ซวยยาวเลยคราวนี้..!

เถรี 04-11-2021 10:29

ชาติ ปัจจะยา ชะรา มะระณัง โสกะ ปะริเทวะ ทุกขะ โทมะนัส สุปายาส ตามมาเป็นพรวน การแก่ การเจ็บ การตาย การเป็นทุกข์ การร่ำไร การเสียใจ การเหือดแห้งใจ การคับแค้นใจ การปรารถนา ไม่สมหวัง การพลัดพรากจากของรัก การได้ของที่ไม่ได้รัก คราวนี้เห็นหรือยังว่าการยึดติดก่อให้เกิดชาติภพแบบไหน

หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกว่า อย่าไปอธิบายให้เขาฟัง เสียเวลา บอกแค่ว่าไม่เอาร่างกายนี้ก็จบเลย

ในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท ๑๒ ท่านบอกว่า "ถ้าไม่ถึงความเป็นพระอนาคามี แกอธิบายไม่ได้หรอก" เพราะจะไม่ชัดเจนว่าแต่ละอย่างมันเกิดขึ้นสืบเนื่องกันอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านก็เลยให้สายดับเอาไว้ด้วย เขาเรียกว่านิโรธวาร สายเกิดเมื่อเกิดขึ้น ก็คือ อวิชชา ปัจจะยา สังขารา ไล่ยาวไป คราวนี้พอมาสายดับ ท่านบอกว่า อะวิชชายะ เต๎ววะ อะเสวะ วิราคะ นิโรธา ในเมื่ออวิชชาดับ ต้องบอกว่าพอความรู้แจ้งเกิดขึ้น ความไม่รู้ก็ดับไป แสงสว่างเกิดขึ้น ความมืดก็หายไป

ในเมื่ออวิชชาดับลง สังขารก็ดับ สังขารดับลง วิญญาณก็ดับ วิญญาณดับลง นามรูปก็ดับ นามรูปดับลง อายตนะก็ดับ อายตนะดับลง ผัสสะคือสัมผัสก็ดับ ผัสสะดับลง เวทนาก็ดับ เวทนาดับลง ตัวตัณหาก็ดับ ตัณหาดับลง อุปาทานก็ดับ อุปาทานดับลง ภพก็ดับ ภพดับลง ชาติก็ดับ ชรา มรณะ ทุกอย่างดับหมด

ดังนั้น...ในส่วนนี้ของเรา รู้อยู่อย่างเดียวว่าร่างกายนี้ไม่ดี เราไม่เอา พยายามให้ใจละออกได้จริง ๆ แค่นี้ก็พอ

เถรี 04-11-2021 10:33

แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็คือเรียนมาก รู้มาก บางอย่างก็ไม่ใช่ของที่น่าเรียน อย่างอภิธรรมก็ไปเรียนกัน อภิธรรมเป็นของที่พระพุทธเจ้าสอนพรหม เทวดา ที่เป็นอุคฆฏิตัญญูบุคคล ฟังแค่หัวข้อธรรม ก็เข้าใจเลย แล้วคนเราก็พยายามไปเรียนกัน

ที่ขำที่สุดก็คือหลวงพ่ออุตตมะบอกกับปู่ลายว่า "โยมลาย เรียนอภิธรรมแล้ว เดี๋ยวหาพระไหว้ไม่ได้นะ" จะเห็นว่าตัวเองเก่งกว่าพระ แล้วปู่ลายขนาดโดนเตือนก็ยังเป็นแบบนั้น พอถึงเวลาก็มักคิดว่าตัวเองเก่งกว่าพระ ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากว่ามาเป็นมัคคนายกที่วัดท่าขนุน เห็นพระสวดไม่ได้ จะเอาหนังสือมนต์พิธีไปกางไว้หน้าพระเลย แล้วพระที่สวดไม่ได้ก็เป็นถึงเจ้าคณะตำบล เป็นถึงเจ้าอาวาส ก็เลยทำให้ท่านเสียหน้า ไม่มีใครเขาชอบปู่ลาย

ตรงจุดนี้ก็ทำให้ทิฐิมานะเกิดขึ้น เพราะคิดว่าตนเองดีกว่า ตนเองเก่งกว่า หลายคนก็เป็นในลักษณะอย่างนี้ ขอให้พยายาม ลด ละ ลงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การปฏิบัติธรรมเขาวัดกันตรงที่ว่า ใครละกิเลสได้มากกว่ากัน ไม่ใช่ใครรู้ธรรมมากกว่ากัน รู้แล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ก็เหมือนแค่คลังพัสดุ ถ้าเป็นอาตมาก็บอกว่าเป็นถังขยะ ก็คือเก็บใส่ถังเสียเยอะเลย แต่ไม่ได้ใช้งาน ของที่ไม่ได้ใช้งาน อาตมาถือเป็นขยะ..!

เพราะฉะนั้น...ไม่ต้องเก็บมาก เอาแค่พอสมควร เมื่อได้หลักแล้วก็ปฏิบัติไปเลย ปฏิบัติแล้วก็พยายามทำให้เกิดประโยชน์จริง ๆ

เถรี 04-11-2021 10:36

คืนที่สอง เข้ากรรมฐานตั้งแต่ประมาณ ๔ โมงเย็น ไปจนกระทั่งตี ๒ ก็เลยไม่ต้องทำมาหากินอะไรเลย แล้วแต่พระท่านสั่ง ท่านสั่งให้ภาวนาคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ว่าไป ๑ รอบ ท่านเอาอีกรอบหนึ่ง โดนไปอีก ๑๐๘ จบ คราวนี้ ๑๐๘ จบสองรอบต้องรวย ๒ เด้ง..! ถึงได้โดนเสียยาวขนาดนั้น แล้วบางทีอยู่ในสมาธิ จิตไปช้า เวลาก็เลยผ่านไปเร็ว

อย่างสมัยอยู่วัดท่าซุง อาตมาภาวนาคาถาเงินล้านจบหนึ่ง ๒ ชั่วโมงกว่า ทั้ง ๆ ที่ก็ว่าไปเรื่อย ๆ ไม่สะดุดอะไรเลย แต่ด้วยความที่เข้าสมาธิลึกเกินไป จบหนึ่ง ๒ ชั่วโมงกว่า ตั้งแต่ ๐๓.๐๐ น. ไปถึงเวลาบิณฑบาตตอน ๐๕.๔๕ น. สองชั่วโมงสี่สิบห้านาทีได้จบเดียว ก็คือลืมตาขึ้นมาเห็นว่า ๐๒.๕๕ น. เดี๋ยวภาวนาคาถาเงินล้านสักจบหนึ่ง แล้วเราไปล้างหน้า แต่งตัว ไหว้พระ เจริญกรรมฐาน ปรากฏว่าว่าจบหนึ่ง พอลืมตาขึ้นมา ฟ้าสว่างแล้ว คว้าบาตรออกบิณฑบาตแทบไม่ทัน ก็เลยสงสัย

พอรุ่งขึ้นก็สังเกตดู คราวนี้ว่าได้ ๓ จบ สองชั่วโมงกว่าเหมือนกัน พอถึงเวลาถามพระท่าน ท่านบอกว่าถ้าหากว่าสมาธิของเราอยู่ลึก เวลาข้างนอกผ่านไปเร็ว เราจะไม่รู้ตัว ดังนั้น...ท่านทั้งหลายที่เข้าสมาบัติเต็มที่ บางทีไม่รู้หรอกว่าข้างนอกผ่านไปกี่เดือนกี่ปี


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
งานทอดกฐินช่วงเช้า ณ วัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรีและเผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:09


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว