กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1656)

เถรี 09-03-2010 13:09

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๓
 
ถาม : เวลาภาวนาคาถาโสตัตตะภิญญา เมื่อจิตนิ่งมากแล้ว รู้สึกอึดอัดข้างในมากเหมือนจะระเบิด ไม่ยอมคลายสักที หนูไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยเปลี่ยนอิริยาบถ เพื่อให้คลายออกไป หนูติดอยู่ตรงนี้ค่ะ ไม่ผ่านตรงนี้เสียที

ตอบ : เลิกกลัวตายเสียก่อนแล้วจะผ่าน ถ้ายังกลัวตายอยู่ก็ไม่ผ่าน

เถรี 09-03-2010 13:15

ในขณะที่โยมท่านหนึ่งกำลังสั่งสอนลูกหลานตัวเองอยู่ พระอาจารย์ท่านเมตตาบอกว่า "ถ้าโยมยังไม่เปลี่ยนวิธีการ ชาตินี้สอนเด็กไม่ได้หรอก

การสอนเด็กมีอยู่สองอย่าง อย่างแรก คือ ชี้ให้เขาเห็นโทษแล้วเขาจะเลิกทำ อย่างที่สองก็คือ ชี้ให้เขาเห็นประโยชน์ จูงใจให้เขาอยากทำ

โยมจะเอาให้เด็กเขาทำตามใจเราอย่างเดียว เป็นวิธีการแข็งขืน ซึ่งเด็กเขาไม่ชอบ เพราะฉะนั้นทำไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก เพราะยิ่งทำ..เด็กก็ยิ่งดื้อ เราใช้ผิดวิธีการ ที่เรากำลังพูดอยู่เป็นวิธีที่เด็กเขาไม่ชอบที่สุด "


ถาม : อีกสองวัน เขาก็ไปโรงเรียนแล้วครับ ทางโรงเรียนเขาจะอบรม
ตอบ : เขาไปดีที่โรงเรียน กลับมาก็จะเสียเพราะเรา..!

จำไว้ว่า..ความหวังดีเกินไปของเรา อาตมาเคยใช้คำว่า หวังดีแต่ประสงค์ร้าย เด็กเขาไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตเท่ากับเรา เขาไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เขาทำเป็นอย่างไร ? เราต้องค่อย ๆ ชี้แจงให้เขา ไม่ใช่ไปบังคับว่า ต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้


ถาม : พ่อแม่เขาบังคับ ผมเป็นแค่อา
ตอบ : ถ้าอาขนาดนี้ ยืนยันได้เลยว่าพ่อแม่แย่กว่านี้เยอะ..! ในเมื่อเป็นอย่างนั้นไม่ต้องไปหวังหรอก โรงเรียนก็เอาไม่อยู่ เพราะกลับบ้านมาก็เละใหม่..!

เถรี 09-03-2010 13:22

"สมัยนี้น่าสงสารมาก พ่อแม่ยังคิดว่าลูกเป็นดินน้ำมัน จะปั้นให้เป็นอะไรก็ได้ ซึ่งไม่มีทางจะเป็นไปได้ เพราะว่าใจคนไม่เหมือนกัน

อ่านประวัติศาสตร์จีนดูสิ กษัตริย์จีนท่านหนึ่ง พยายามจะช่วยเหลือประชาชนที่โดนอุทกภัยทุกปี เพราะตายกันปีหนึ่งไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร กษัตริย์ท่านนั้นก็พยายามจะสร้างเขื่อนกั้นน้ำ แต่ยิ่งสร้างเท่าไรอุทกภัยก็ยิ่งรุนแรง เพราะว่าพอไปกั้นน้ำเอาไว้ น้ำพอสะสมรวมตัวกันมากเข้า ถึงเวลาที่น้ำพังเขื่อนแล้วกลายเป็นหนักกว่าเดิม

คราวนี้มีคำล่ำลือว่า ที่ภูเขาเซียนมีถ้ำอยู่ ในถ้ำนั้นมีคัมภีร์วิเศษ ถ้าใครสามารถดั้นด้นไปถึง เปิดคัมภีร์ออกมา ถามอะไรก็จะได้คำตอบ กษัตริย์ท่านนั้นก็เลยพยายามไปจนถึง พอเปิดคัมภีร์ขึ้นมา ได้คำตอบก็รีบจัดการแก้ไข และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอุทกภัยที่เคยท่วมหนัก คนตายปีละมาก ๆ ก็กลายเป็นบรรเทาเบาบางลง เพราะว่าคำตอบที่ได้มา เขาบอกเอาไว้แค่บรรทัดเดียวว่า ไม่ใช่กั้นแต่ให้ระบาย เท่านั้นท่านก็สามารถที่จะเอาไปใช้งานได้เลย

เนื่องจากทุกวันนี้ที่ท่านพยายามไปขวางกั้นธรรมชาตินั้นผิดวิธี มีอยู่ทางเดียว คือทำอย่างไรที่จะให้น้ำไปให้เร็วสุดและคล่องที่สุด ดังนั้น..พระองค์จึงขุดคลองซอยให้ได้มากที่สุด และก็ประสบความสำเร็จขึ้นมา

ฉะนั้น...เรื่องของการขวางธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แม้แต่พระพุทธเจ้าสอนธรรมเขาท่านก็คล้อยตาม ไม่เคยขัดใคร ท่านบอกว่าของเขาดีอยู่แล้ว แต่วิธีที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ และก็ชี้แจงไปตามนั้น

คนเราพอรู้สึกว่าตัวเองทำดีอยู่แล้ว ทำถูกอยู่แล้ว พอรู้สึกว่าของเรายังมีดีอยู่ ก็จะไม่คัดค้าน เปิดใจรับฟังได้ แต่ถ้าไปบอกว่าไม่ดี เราพูดอะไรเขาไม่ฟังหรอก ฉะนั้น..ก็ลักษณะเดียวกัน เรื่องของการสอนเด็กเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก เด็กจะดีจะเสียอยู่ที่พ่อแม่เลย ขอร้องไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าไม่มั่นใจว่าสอนเด็กให้ดีได้ อย่าแต่งงานเลย จะกลายเป็นว่าสร้างปัญหาให้กับสังคมทีหลัง"

เถรี 09-03-2010 13:24

ถาม : ถ้าให้เด็กเขาเรียนดนตรี เพื่อฝึกสมาธิ ?
ตอบ : ให้เขาชอบเอง เราอย่าไปบังคับ เราอาจจะนำเขาไปฟังคนที่เล่นดนตรีเก่ง ๆ ก่อน แล้วถามเขาว่าอยากเป็นอย่างนั้นไหม ? หรือไม่ก็ถามเขาว่าสนใจไหม ? อยากจะทำอย่างนั้นได้บ้างไหม ?

ถ้าเขาให้ความสนใจเอง เราก็ค่อย ๆ ให้ ไม่ใช่อยู่ ๆ พาไปเรียน เหมือนกับคนที่ชอบขุดดินฟันหญ้า แล้วเราพาไปเย็บปักถักร้อย เดี๋ยวก็คลั่งตาย..!

เถรี 09-03-2010 13:30

ถาม : ลูกเขาอยากเป็นแบบธาราทิพย์ (นักยิมนาสติกทีมชาติ) แต่จะไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เพราะลูกตัวใหญ่ หนัก หุ่นหนา
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าถูกครูฝึกเขาติ เดี๋ยวเขาก็พยายามที่จะลดหุ่นเอง

ถาม : เขาชอบกินขนม พวกพิซซ่า
ตอบ : ชี้ให้ลูกเขารู้ ว่าที่เขากินนั้นมีโทษอย่างไร ? ไปขัดขวางในสิ่งที่เขาต้องการอย่างไร ? เช่น ถ้าหากหนูทำอย่างนี้ หนูไม่มีทางที่จะเป็นธาราทิพย์ได้ เพราะว่าพอเราอ้วนแล้วจะยกขาไม่ไหว เป็นต้น

บอกแล้วว่ามีอยู่สองอย่าง ก็คือ เห็นโทษอย่างหนึ่ง และเห็นประโยชน์อย่างหนึ่ง เห็นโทษแล้วเขาจะหลีกหนีเอง ถ้าเห็นประโยชน์เขาจะทำเอง หลักการมีง่าย ๆ แค่นี้


ถาม : แต่ต้องพูดมากนะคะ
ตอบ : อย่าลืมว่าเขาเป็นเด็ก เด็กเขาความจำสั้น จึงต้องจ้ำจี้จ้ำไช อย่างที่โบราณเขาบอกว่า ต้องปากเปียกปากแฉะ

ถาม : หนูไม่คิดเลยว่าตัวเองต้องพูดมากอย่างนี้ หนูเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่เขาพูดมากกับเรา
ตอบ : บอกแล้วว่าอะไรที่เคยเจอมาตอนสมัยเป็นลูก ถ้าได้เป็นแม่คนเมื่อไรแล้วจะรู้ ถ้าไม่เป็นพ่อเป็นแม่ไม่รู้หรอก ว่าทำไมท่านทำอย่างนั้น

เถรี 09-03-2010 13:33

ถาม : บอกเด็กเขา บางทีเขาก็ไม่ฟัง
ตอบ : เด็ก ๆ เขามีตัวกูของกูของเขาอยู่ ผู้ใหญ่ก็มีตัวกูของกูเป็นของตัวเอง เขาจะรู้จักรักหน้า คือ กิเลสจะสอนให้เขารู้ตั้งแต่วินาทีแรกเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าเขาทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ต้อง ถ้าเป็นไปได้ก็คือ สอนเขาแค่สองคน อย่าไปพูดในลักษณะประจานความผิดต่อหน้าคนอื่น เด็กเขาจะรับไม่ได้ เรื่องพวกนี้ฝังรากลึกข้ามชาติข้ามภพ

เขาบอกว่า อย่าตำหนิต่อหน้า ให้ชมต่อหน้า แต่ถ้าด่าต้องลับหลังบุคคลที่สาม เขาจะได้ภูมิใจว่าที่เขาทำดีแล้ว..ถูกแล้ว ให้ชมต่อหน้าแต่ว่าด่าลับหลัง อย่างน้อย ๆ ก็ไม่มีคนมาร่วมเห็นการเสียฟอร์มของเขา ถ้าอย่างนั้นเด็กจะพอรับได้

เถรี 09-03-2010 13:35

ถาม : เขาบอกว่า ลูกคนเดียวจะมีปัญหา เพราะไม่มีเพื่อนคุย
ตอบ : ไม่มีหรอก เพราะแม่สามารถเป็นเพื่อนลูกได้ เพียงแต่ว่าแม่จะยอมเป็นเพื่อนลูกไหม ? ส่วนใหญ่แม่มักจะเป็นแม่ และแม่ที่เป็นครูมักแย่ที่สุดเลย เพราะความเคยชินที่ปากเปียกปากแฉะกับเด็กมาจากโรงเรียน พอกลับบ้านมา แทนที่จะเป็นแม่ก็ดันเป็นครูอีก เด็กจะเบื่อสุด ๆ เลย

ถาม : บางคนเขาบอกว่า พอมีลูกคนเดียว โตขึ้นมาเขาจะต้องมาดูแลพ่อแม่สองคน เขาดูแลไม่ไหว
ตอบ : นั่นฟุ้งซ่านเกิน พ่อแม่อาจจะตายเสียก่อน ไม่ต้องให้เขาดูแลก็ได้

เถรี 09-03-2010 13:43

ถาม : ลูกไม่ยอมทานข้าว
ตอบ : ก็ปล่อย ถ้าหิวแล้วเขาจะกินเอง ส่วนใหญ่พวกเราไม่ยอมปล่อยให้ลูกอด ไปยัดให้เขาทั้งวัน แล้วเขาจะกินอะไรไหว

เด็กที่เขาดื้อไม่ยอมทำตามที่เราต้องการ จริง ๆ กำลังใจลึก ๆ ของเขาก็คือ พอเขาไม่ทำแล้ว เราต้องไปง้อเขา เขาจะรู้สึกดี เพราะฉะนั้น..ปล่อยให้เขาอดเสียให้เข็ด อย่างเก่งก็ครึ่งวัน เดี๋ยวก็ตะกายมากินเอง

"ได้เวลาจะกินหรือไม่กิน ถ้าไม่กินก็อดไปเลย" หลังจากนั้นอีกสี่ชั่วโมง ค่อยเอามาให้ ถ้ารู้จักให้เขากินตามเวลา เขาจะจำ ต่อไปเขาจะรู้ว่า ถ้าไม่กินแล้วเขาจะอด


ถาม : แม่พอทำใจได้ แต่พ่อเขาคงทำใจไม่ได้
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นก็เลี้ยงลูกให้เป็นบรรพบุรุษน้อย ๆ ไปก็แล้วกัน ถึงเวลาก็จะสั่งสอนเขาไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าจะจัดการกับพ่อแม่อย่างไร โบราณเขาบอกว่า รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี มือหนึ่งต้องถือขนม มือหนึ่งถือไม้เรียว

ถาม : ถ้าเด็กไม่อึมาสี่วัน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ? ปกติเขาอึทุกวัน แต่พอพี่เลี้ยงกลับไปแต่งงาน เขาไม่อึมาสี่วัน
ตอบ : อ๋อ...เป็นเพราะเครียด วิธีที่ดีที่สุด คือ หายาถ่ายขม ๆ มาให้กิน บอกว่าถ้าหากไม่อึอีก ก็จะโดนอย่างนี้ เขาจะหายเครียดทันทีเลย ยาดี ๆ ก็มีให้กิน แต่อย่าไปเอา เอาที่มันขม ๆ บีบจมูกให้กินไปเลย บอกว่าเพราะไม่อึก็เลยต้องกิน เดี๋ยวเขาก็วิ่งไปส้วมเอง

เถรี 09-03-2010 13:46

ถาม : เขาไม่ค่อยกินอะไร
ตอบ : ไม่ให้กินเสียอย่าง เดี๋ยวก็วิ่งมากินเอง ปล่อยเอาไว้ เดี๋ยวเขาก็ร้อง รอบแรกเขาร้องผ่านไปเราก็เฉย ๆ ร้องจนเพลียหลับไป รอบที่สองร้องใหม่อีก ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ พอรอบที่สามแล้วค่อยถามว่าจะกินใช่ไหม ? หลังจากนั้นเดี๋ยวเขาวิ่งเข้าใส่อาหารเอง

อาตมาเลี้ยงลูกไม่ได้ คนอื่นเขาเห็นอาตมาเลี้ยงหลานแล้วจะหัวใจวายตาย แต่หลานแต่ละคนที่อาตมาเลี้ยง ถ้าหลุดจากมือเราไปแล้ว รับรองได้ว่าเข้าสู่ยุทธจักรได้ ไม่ตายแน่ คนสุดท้ายที่เลี้ยง น่าจะเป็นลูกของพี่อรวรรณ คนนี้เราต้องปั่นจักรยานทีละหลายกิโล อุ้มเขาไปด้วย เพราะว่าอาตมาสามารถขี่จักรยานโดยไม่ต้องจับแฮนด์ได้ ก็เลยอุ้มหลานไปด้วย ปั่นไปด้วย

อาจจะเป็นเพราะเลี้ยงหลานเยอะเกินไป ก็เลยหมดอารมณ์กับพวกวานรน้อย แต่ก็แปลกนะ..ช่วงพรรษาที่ ๕ - ๖ เห็นเด็กน่ารักทุกคนเลย ไม่ว่าลูกเต้าใครมา เห็นแล้วน่ารัก อยากได้ไปหมด ก็เลยมาคิดว่า นี่ถ้าไม่ได้บวช ต้องมีลูกแน่ ๆ เลย เพราะว่าอยากได้ แสดงว่าอารมณ์พวกนี้มาเป็นพัก ๆ เหมือนกัน

เถรี 10-03-2010 14:53

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า เมื่อเช้าของวันศุกร์ท่านตื่นขึ้นมา แล้วเดินเซ เลือดไม่พอเลี้ยงสมอง เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ ท่านกล่าวถึงเรื่องของมารว่า "มารเขาทดสอบเราอยู่ตลอดเวลา เขาใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือ

วันพุธมีเรียนช่วงเช้า กะว่าตอนบ่ายจะได้พักผ่อนสักครึ่งวัน ปรากฏว่าโยมเขามีปัญหา เขาก็เลยต้องพาเราตะลอน ๆ ไปถึงวัดท่าขนุน เวลาพักผ่อนก็หายไป ไปถึงวัดท่าขนุนจัดการแก้ปัญหาให้เขาเสร็จเรียบร้อย ก็ว่าจะพักผ่อน พอนอนลงเท่านั้นแหละ หมาเห่ากันสนั่นหวั่นไหวไปหมด เราก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ลุกขึ้นมาดู ปรากฏว่าแม่ชีเขาจะมาจัดสวนให้ ตรงตึกแดง

ปกติแล้วเวลาแม่ชีไปไหน บรรดาหมาจะแห่ตามประมาณ ๑๐ ตัวขึ้นไป ทีนี้พอหมาไปข้ามเขตแดนของหมาตัวอื่นเข้า หมาทางด้านตึกประจวบดีและตึกเตชะไพบูลย์ก็ไปลุยกับเขา พอแม่ชีเขาเห็นอาตมา "อ้าว..หลวงพ่ออยู่หรือ ?" เขาก็ตัดสินใจกลับ ไม่จัดสวนแล้ว เราก็คิดว่า "เออ..จะได้นอนแล้ว"

พอนอนลงไป คราวนี้ไก่ตัวหนึ่งไข่ พวกนี้พอไข่แล้วต้องประกาศให้ตัวอื่นรู้ว่าไข่แล้ว ก็ร้องกระต๊ากขึ้นมา ไก่ที่เหลือประมาณ ๒๐๐ กว่าตัวก็ช่วยกันแห่ร้อง สนั่นไปหมด เราก็เปิดประตู "กูทำงานก็ได้วะ..!" เพราะรู้ว่าไม่ได้นอนแน่ ถึงนอนต่อเขาก็หาวิธีอื่นมาจัดการอีก

จนกระทั่งทำวัตรเย็นเสร็จ กะนอนตอนหัวค่ำ พอเสียงตามสายรอบสองทุ่มดังขึ้นก็นอน พอสี่ทุ่มก็สะดุ้งตื่น เสียงอะไรดังสนั่นหวั่นไหว ? ตอนแรกคิดว่ามีหนูอยู่ในห้อง พอเปิดไฟดู ก็เงียบ พอปิดไฟจะนอนต่อ เสียงก็ดังอีก คราวนี้เลยรีบลุกขึ้นมาตั้งใจฟัง ปรากฏว่าเสียงดังอยู่ข้างหลังตึก ไม่ได้ดังอยู่ในห้อง ก็เลยลุกไปเปิดหน้าต่างดู โดยไม่เปิดไฟ เลยเห็นพวกหมาวัยรุ่น ไปวิ่งไล่กันบนกองสังกะสี และอาตมาเป็นคนที่ตื่นแล้วจะไม่หลับอีก ก็แปลว่าได้นอนแค่สองชั่วโมง..!"

เถรี 10-03-2010 15:02

"รุ่งเช้าบิณฑบาตเรียบร้อยก็โทรตรวจสอบถึงรถที่จะมารับ เขาบอกว่าเพิ่งจะถึงแคมป์หินตก ก็เหลือระยะเวลาอีกประมาณ ๑ ชั่วโมง เราก็คิดว่าคราวนี้ได้นอนแน่ ๆ

อากาศเช้านั้น ๑๗ องศา เราก็มุดเข้าใต้ผ้าห่มกำลังนอนสบาย โทรศัพท์ก็ดังกริ๊ง.... "หลวงพ่ออยู่ทางไหนคะ ? หนูจะเอาบัญชีมาคืน" พวกธนาคารเขาเอาบัญชีไปตั้งหลายวันไม่คืน ดันเอามาคืนตอนเรานอน เราก็คิดว่า "ก็ได้วะ" พอรับบัญชีจากเขาเสร็จ ไล่ตะเพิดไป ปิดประตูจะนอน

โยมมาอีกชุดหนึ่ง เขาจะมาลากลับ เราก็ต้องมุดจากผ้าห่มมาให้เขาลา อวยชัยให้พรเสร็จ มุดกลับเข้าไปนอนอีก โทรศัพท์กริ๊ง... "มาถึงแล้ว.." ไม่ได้นอนอีกตามเคย

เมื่อวานวิ่งมาก็ต้องมาคุมสอบต่อ คุมสอบจนกระทั่ง ๕ โมงเย็นจึงได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ มา และก็ไม่รู้ว่ารถติดอะไร กว่าจะมาถึงที่นี่ก็เกือบสองทุ่ม...

เราก็มานั่งคิดว่า "จะเจอเหมือนเดิมหรือเปล่า ?" เพราะว่าพอร้านก๋วยเตี๋ยวข้างล่างเลิกงาน เขาจะเล่นคาราโอเกะกัน เขาร้องเพลงกันข้างล่างนี่ พื้นสะเทือนเลยนะ...

ปรากฏว่าคาดผิด เพราะสงบกว่าที่คิด อาจจะเป็นเพราะว่าเราเตรียมรับไว้แล้ว กะจะแผ่เมตตาให้สุด ๆ เลย ดันไม่โผล่มาเลย ก็เลยหลับยาว แต่ร่างกายเราไม่พอ เพราะขาดทุนมาหลายวัน ลุกขึ้นมานี่เดินเซเลย รู้ว่าเลือดไม่เลี้ยงสมอง ก็มานั่งคิดว่าขนาดเรายังไม่คิดจะเว้นเลย ไหนคุยว่าพวกกัน

งานอะไรก็ตามที่เราทำเพื่อส่วนรวมโดยเฉพาะในส่วนของความดี เขายิ่งต้องขวางให้มากเป็นพิเศษ ก็เลยกลายเป็นอะไรที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เจอเข้านี่อย่าเป๋นะ ถ้าไปเสียหลัก หลุดจากอารมณ์เฉพาะหน้าเมื่อไร รัก โลภ โกรธ หลง จะเข้าได้ ทีนี้ยาวเลย นั่นเขาแค่แหย่ให้เราขุ่น พอเราขุ่นเขาก็สามารถที่จะจูงเราไปทางไหนก็ได้ ต้องระวังให้ดี ๆ นะ

ถ้าจู่ ๆ คุณลูกสุดที่รักงี่เง่าขึ้นมาเฉย ๆ จากนางฟ้าน้อย ๆ ก็กลายเป็นลูกปิศาจขึ้นมาเฉยเลย นั่นแหละ..วิธีทดสอบ มันสอบได้แสบมาก ๆ"

เถรี 10-03-2010 15:06

พระอาจารย์เล่าให้ฟังถึงผลสอบปริญญาตรี ปรากฏว่าท่านได้ที่หนึ่งของเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ท่านจึงได้ถามต่อว่า "รู้ไหมว่าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เบอร์ ๒ คือใคร ?"

"คือหลวงอาแสงชัย คราวนี้เชื่อหรือยังว่าเขาแพ้เราอยู่คนเดียว เป็นคนที่เกิดผิดยุค เพราะดันมาเกิดรุ่นเดียวกัน ถ้าเขาไปเกิดยุคอื่น จะดังมากเลย ตั้งแต่เด็กเขาจะเรียนชนะคนอื่นหมด แต่แพ้เราอยู่คนเดียว ตอนมาเรียนปริญญาตรี เขาถามว่า "แล้วผมจะเรียนไหวไหม ?" ต้องบอกว่า "เอ็งจำไว้เลยว่า เอ็งแพ้ข้าคนเดียว..!"

เถรี 10-03-2010 15:31

พระอาจารย์ถามว่า "พวกเราที่อ่านพระไตรปิฎกกันมาบ้าง ได้ฟังเนื้อหาเรื่องราวมาบ้าง ใครสามารถวิเคราะห์ได้บ้างว่า พระฉันนะ ท่านตัวใหญ่หรือตัวเล็ก ?"

ถาม : ตัวใหญ่
ตอบ : เนื่องจาก ?

ถาม : เนื่องจากพระฉันนะบอกว่า จะอุ้มม้ากัณฐกะและเจ้าชายสิทธัตถะข้ามกำแพงไป
ตอบ : อันนั้นก็มีส่วน ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ นายฉันนะมหาดเล็กตั้งใจว่า ถ้าประตูเมืองปิด เขาจะแบกม้ากัณฐกะพร้อมกับพระลูกเจ้ากระโดดข้ามกำแพงไป

ประการที่สองก็คือว่า หลังจากพุทธปรินิพพานแล้ว คณะสงฆ์ต้องไปแจ้งข่าวกับนายฉันนะว่า พระพุทธเจ้าสั่งลงพรหมทัณฑ์ พระอานนท์เป็นผู้ไปแจ้ง ยังต้องขอการอารักขาจากหมู่สงฆ์จึงกล้าไป

ประการที่สาม อันนี้วิเคราะห์จากสภาพแวดล้อมว่า นายฉันนะเป็นมหาดเล็กคนสนิท จะว่าไปก็คือองครักษ์ เขาต้องคัดประเภทสุดยอดมาเลย


ถาม : ตัวก็ต้องใหญ่มากนะคะ
ตอบ : ก็ต้องพิเศษหน่อย ประเภทคนอื่นเห็นแล้วต้องคิดไว้ก่อนว่า ถ้าลงมือแล้วจะคุ้มไหม ?

พระฉันนะพอบวชเข้าไปแล้วไม่มีใครสอนท่านได้ ครูบาอาจารย์ท่านไหนว่า พระฉันนะไม่ฟังทั้งนั้น ท่านใช้คำพูดที่ถอดออกมาเป็นไทยว่า "พระลูกเจ้ายังไม่กล้าว่าอะไรผม แล้วท่านเป็นใคร" ก็เลยกลายเป็นตัวป่วนอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งพระพุทธเจ้าจะปรินิพพาน ก็ตรัสกับพระอานนท์ว่า ให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์กับฉันนะ พระอานนท์ก็ถามว่า "พรหมทัณฑ์ลงอย่างไร ?" ท่านบอกว่า "ไม่ร่วมกิน ไม่ร่วมนอน ไม่ร่วมสังฆกรรม ไม่พูดคุยด้วย"

เถรี 11-03-2010 13:58

ถาม : โลกธรรมที่กล่าวไม่จริง ทำไมนักปฏิบัติจึงไม่ต้องไปแก้ตัว ?
ตอบ : ถ้ายังโง่ไปสนใจอยู่และไปแก้ตัว แสดงว่ายังปล่อยวางไม่ได้..!

เถรี 11-03-2010 14:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนเราจริง ๆ แล้วมีปัญญา เพียงแต่ว่าใช้ปัญญาในทางที่ถูกหรือเปล่า ถ้าใช้ปัญญาในทางสัมมาทิฏฐิ ก็ปฏิบัติในเรื่องที่ช่วยเสริมให้กาย วาจา ใจ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าเป็นปัญญาของมิจฉาทิฏฐิ ก็จะปฏิบัติในสิ่งที่ทำให้กาย วาจา ใจ ของตัวเองเสื่อมลงเรื่อย ๆ"

เถรี 12-03-2010 12:23

ถาม : การฝึกมโนมยิทธิกับการจินตนาการเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไรคะ?
ตอบ : การจินตนาการเราคิดอย่างไรก็ได้ การฝึกมโนมยิทธิต้องใช้กำลังของสมาธิ ต่างกันไหมละจ๊ะ? ไม่มีสมาธิไปไม่รอดหรอก

เถรี 12-03-2010 12:25

พระอาจารย์ท่านเล่าว่าในเรื่องการสอบนั้น ถ้าคนอื่นเขาจะลุ้นว่าสอบผ่านหรือไม่ แต่สำหรับพระอาจารย์แล้วท่านจะลุ้นว่าได้ที่หนึ่งหรือไม่

ท่านกล่าวว่า "สิ่งนี้ต้องบอกว่าเกิดจากสัญญาเดิมของตัวเอง สัญญาเดิมที่เราตั้งความปรารถนาในพระโพธิญาณมาก่อน ในเมื่อตั้งความปรารถนาในพระโพธิญาณมา ก็คือเจตนาที่จะเป็นครูสอนคนอื่นต่อ เพราะฉะนั้นเรียนเรื่องอะไรก็ต้องรู้ให้จริง พร้อมที่จะไปสอนคนอื่นเขา ถ้ายังไม่รู้จริงก็ยังไม่เลิกค้น เลยกลายเป็นนิสัยว่า ถึงเวลาแล้วไม่ว่าเรียนวิชาอะไรก็ตาม ต้องรู้ขนาดสอนเพื่อนได้

เพราะฉะนั้น..ในส่วนของพื้นฐานเดิมช่วยได้เยอะ เพราะว่าพื้นฐานเดิมที่ปรารถนาพระโพธิญาณมา ทำให้อยากจะรู้จริงในทุกเรื่อง รู้แล้วต้องเอาไปสอนคนอื่นเขาได้ในฐานะที่เป็นครู เรียนอะไรต้องให้รู้เป็นครูเขา ถ้ายังเป็นครูเขาไม่ได้ อย่าเพิ่งเริ่ม"

เถรี 14-03-2010 11:13

ถาม : เวลาหนูไปอยู่คนเดียว อยู่ห่างไกลครูบาอาจารย์ จะมีวิธีไหนที่จะรู้ตัวว่ายังเดินถูกต้องตามอริยมรรค อริยผล ไม่ออกนอกทาง ?

ตอบ : เอาศีลเป็นเครื่องวัด ถ้าตราบใดที่ยังไม่ละเมิดศีลก็ยังไม่ออกนอกทาง

เถรี 14-03-2010 12:18

ถาม : ปลาอานนท์มีจริง ๆ ไหมคะ ? อยู่ใต้โลกเราจริง ๆ ไหมคะ ?
ตอบ : พวกนี้เขาอยู่กึ่งทิพย์ ไปดูในปหาราทสูตร ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า ในพระธรรมวินัยนี้ ประกอบไปด้วยบุคคลที่เป็นใหญ่ คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เหมือนในท้องทะเลที่ประกอบไปด้วยปลาใหญ่ ๆ อย่างเช่น ปลาติมิงคละ ปลาติมิรมิงคละ มีอสูร มีนาค มีคนธรรพ์ เป็นต้น

ถ้าหากว่าไม่มี พระพุทธเจ้าท่านคงไม่เอ่ยถึง เพียงแต่เราต้องเข้าใจว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านเอ่ยถึง บางอย่างเขาอยู่ในสภาพกึ่งทิพย์ ไม่ใช่คนทั่ว ๆ ไปจะเจอได้

เถรี 14-03-2010 12:20

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในงานเป่ายันต์ ใครทำบุญทั่วไปแจกพระปิดตาฯ เนื้อผง ถ้าใครทำบุญ ๕๐๐ บาทขึ้นไป แจกพระปิดตาฯ เนื้อชุบทองพ่นทราย"

เถรี 14-03-2010 12:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๔๐ ศอก ยังไม่ทันจะปิดโครงการเลย งานสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๕๐ ศอก โผล่ขึ้นมาแล้ว เขาวางศิลาฤกษ์วันที่ ๑๘ เมษายน ที่วัดพระพุทธบาทเขาน้อย จ.กาญจนบุรี

รอกฐินปลดหนี้สมเด็จองค์ปฐม ๔๐ ศอก เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วจึงจะปิดโครงการ ไปเปิดโครงการสมเด็จองค์ปฐม ๕๐ ศอกต่อ ถึงเวลานั้นแล้วค่อยทำบุญ

เราเองไม่ชอบเปิดศึกหลายด้าน เพราะเปลืองกำลังพล เปิดศึกหลายด้านต้องกระจายกำลังพลออกไป อาจจะมีรบแพ้ในบางที่ เพราะฉะนั้น..เอาทีละด้าน ทุ่มไปเลยที่เดียว"

เถรี 14-03-2010 14:33

พระอาจารย์กล่าวถึง การเปิดตำราดูดวงว่า "การเปิดตำราดูดวงนั้น จะให้จำได้แม่นยำ ต้องอ่านทุกวัน อ่านจนจำได้หมด ประเภทเปิดไพ่ออกมาแล้วบอกความหมายได้เลย หลังจากนั้นค่อยไปหัดดูให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นถ้าไปดูให้คนอื่นเขา ประเภทดูไปเปิดตำราไป จะไม่ขลัง ถ้าจะเปิดตำราดูแล้วขลัง ต้องเป็นพระระดับหลวงปู่หลวงตา เพราะว่าท่านเปิดตำราเพื่อบังตัวเอง

กำนันเถาไปซื้อไม้ที่ปากน้ำโพ หายออกจากบ้านไปเป็นเดือน เมียก็ไปกราบหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก ให้ช่วยดูให้หน่อยว่า "พี่เถาแกหายไปเป็นเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ?"

หลวงปู่จงก็เปิดตำรา "สิทธิการิยะ พระท่านว่า ขณะนี้กำนันเถาเอาเรือมาจอดหน้าบ้านแล้ว" ว่าจบก็ปิดตำรา หลวงปู่เอากระดาษคั่นหน้าไว้เลยนะ หลวงพ่อท่านก็เล็งไว้

พอหลวงปู่เผลอท่านก็คว้าตำรามาเปิดดู "มีที่ไหนวะ ตำรานาคสมพงษ์ หลวงปู่ดูคู่ให้ใครก็ไม่รู้ ?" หลวงพ่อท่านอยากรู้จริง ๆ ว่าตำราไหนที่บอกได้กระทั่งชื่อคน พอไปถามทีหลัง หลวงปู่ท่านก็บอกว่า พูดไปส่งเดชอย่างนั้นแหละ ปรากฏว่าเมียกำนันเถากลับบ้านไป เจอผัวก็เลยหน้าบาน รุ่งเช้าหิ้วปิ่นโตมาถวาย

เพราะฉะนั้น..ถ้าพระแก่ ๆ เปิดตำราได้ เปิดแล้วแม่น ถ้าพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ เปิดตำราแล้วไม่ขลัง"

เถรี 14-03-2010 14:46

พระอาจารย์บอกว่า "คนรุ่นใหม่ใจร้อน อะไรที่ยาว ๆ แล้วข้อมูลมามาก ๆ ไม่ค่อยอ่านกันหรอก อย่างเก่งก็แค่กวาดตาผ่านไปทีหนึ่ง หรือไม่บางคนหนักกว่านั้นอีก เห็นหัวเรื่องแล้วไม่สนใจ ก็ข้ามไปเลย คลิกเข้าไปดูสักหน่อยยังไม่ทำเลย"

เถรี 14-03-2010 15:06

ถาม : ที่หลวงพ่อบอกให้หนูไปดูเรื่องศีล หนูจะมั่นใจตัวเองได้อย่างไรว่าศีลบริสุทธิ์ ?

ตอบ : ไม่ต้องมั่นใจก็ได้ รักษาให้ได้ก็พอ ถ้าสติไม่สมบูรณ์ โอกาสพลาดก็มีบ้าง รู้ตัวก็รีบแก้ไข

เถรี 14-03-2010 15:16

ถาม : คนที่ฝึกมโนมยิทธิได้แล้ว แล้วถ้าศีลบกพร่อง มโนฯ จะลดลงมา?

ตอบ : เวลาใช้มโนฯ ถ้าศีลบกพร่องก็จะมัว แต่ถ้าหากเราไม่คล่องตัวจริง ๆ จะใช้ไม่ได้เลย แต่ถ้าหากมีความคล่องตัวมาก ๆ แล้วศีลบกพร่อง ก็จะไม่ชัดเจน

เถรี 14-03-2010 16:29

ถาม : อยากจะให้อุทิศให้กับพี่สะใภ้ เขามีนิสัยค่อนข้างแรง
ตอบ : คิดต่อเขาด้วยความเมตตา พูดกับเขาด้วยความเมตตา ทำกับเขาด้วยความเมตตา พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้ได้ จะเป็นการยึดโยงบุคคลให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

นั่งแผ่เมตตาให้เขาไป คิดเสียว่าถ้าเขายังไม่รู้ดีรู้ชั่ว ก็ขอบารมีพระสงเคราะห์ให้เขารู้ตัวด้วย เมื่อเราเองรู้ตัวมากกว่า ก็แปลว่า เรายืนอยู่ในฐานะที่ควรจะช่วยเหลือเขา เขาเองก็ควรจะได้รับการช่วยเหลือจากเรา ถ้าหากคิดด้วยใจเมตตาต่อกัน ทุกอย่างก็จะดีขึ้น

เถรี 14-03-2010 16:31

ถาม : ถ้าเมตตาแล้วยังเป็นลบอยู่ละครับ ?
ตอบ : ถ้าเมตตาจริง ๆ จะไม่ลบ ถ้าลบแปลว่าเมตตายังไม่จริง

ถาม : แม้แต่มาร ?
ตอบ : ใครก็ได้ ถ้าคุณเห็นเขาเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย จริง ๆ จะไม่มีลบหรอก เพราะว่าเราไม่เห็นใครเป็นศัตรู

ถาม : ถ้าเมตตาแล้วยังทำร้ายอยู่ แสดงว่ากำลังเราไม่พอใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไปทำให้เยอะ ๆ ไว้ เดี๋ยวก็รู้เอง

เถรี 14-03-2010 23:16

ถาม : หนูเลี้ยงกุมารนี่จะดีไหม?
ตอบ : ก็เลี้ยงไปสิ ดีกว่าอยู่ว่าง ๆ ตั้งเยอะ

ถาม : หนูเอามาด้วย ดีไหมคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับเรา หมั่นปฏิบัติตามแบบที่เขาบอกมา ถ้าหากหมั่นทำเสมอ ก็จะเกิดผลดีแก่เรา ถ้าหากว่าขาดความสม่ำเสมอ บางทีก็ไม่ค่อยจะดี ฉะนั้น..อยู่ที่เรา เขาบอกว่าต้องเลี้ยงวิธีไหน ต้องอาราธนาอย่างไร ก็ทำตามนั้น

ถาม : แล้วอันนี้ดีไหมคะ ? เขาให้มาค่ะ
ตอบ : วัตถุมงคลมีพลังงานส่งเป็นปกติ สำคัญตรงใจเรา ถ้าใจเรายึดมั่น กำลังก็จะสูง ถ้าใจเราไม่ยึดมั่น ขาดความมั่นใจ กำลังก็จะต่ำ
เพราะฉะนั้น..อยู่ที่ตัวเราครึ่งหนึ่ง เครื่องส่งก็ส่งไป สำคัญตรงเครื่องรับ ว่าเปิดรับหรือไม่

วิธีที่เปิดรับที่ดีที่สุด ก็ต้องประกอบด้วยศรัทธา ถ้าไม่ศรัทธา ไม่เชื่อมั่น ก็กลายเป็นว่าขลังสู้คนอื่นเขาไม่ได้ ถ้ามีความศรัทธามาก มีความเชื่อมั่นมาก กำลังใจของเราเปิดมาก ก็ได้ผลเยอะ

เถรี 15-03-2010 00:30

ถาม : ทุกเวลาที่มีสติ จะนึกจับภาพพระตลอด และตอนเช้าจะมีการอาราธนาขอยันต์เกราะเพชรตามที่หลวงพ่อแนะนำ ระหว่างวัน จังหวะที่เราออกไปพบเพื่อนฝูง โดนของ..
ตอบ : ถ้าอาราธนาแล้วตอนเช้า รับประกันได้ทุกครั้งว่าปลอดภัย

ถาม : ในทุกครั้งที่เราเผลอ ก็ไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าหากจะเอาแน่ ๆ ก็อาราธนาเช้าเย็นเลย ถึงเวลาก่อนนอนก็อาราธนาอีกรอบหนึ่ง กันพวกเล่นกลางคืน

ถาม : โดยปกติเวลาเราคุยกับเพื่อน ก็ไม่คิดว่าจะโดนทำของอะไรทั้งสิ้น
ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก ถ้าอย่างนั้นใครทำก็ซวยเอง

ถาม : ก็คือ เราไม่ต้องกังวลสิ่งใดนะเจ้าคะ
ตอบ : กังวลอย่างเดียว อย่าให้แรง เดี๋ยวเขาตายเสียก่อน ถ้าเขาคิดจะทำเราหนัก เขาก็รับหนักเหมือนกัน

เถรี 15-03-2010 20:56

พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "อชครังคเปรต เป็นเปรตประเภทหนึ่ง เปรตพวกนี้จะอยู่ในร่างสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเป็นพวกที่บุญกุศลส่งเสริมอยู่ พยายามถือศีลปฏิบัติภาวนา บางทีเขาก็สามารถจะกลายร่างเป็นคนได้ คราวนี้ถ้าหากว่าฉุกเฉิน สภาพความเป็นสัตว์ก็จะปรากฏ ก็จะเหมือนกับพวกจิ้งจอกในนิยายจีน ที่แปลงร่างเป็นสาว ถ้าเผลอแล้วหางจะโผล่ ต้องคอยเอียง ๆ บัง ๆ ไม่ให้พระเอกเห็น

เช่นเดียวกับพญานาค พญานาคแปลงเป็นคนได้ก็จริง แต่ในวาระสำคัญ ๆ อย่างเช่นว่า อยู่ในเขตของเขาอย่างหนึ่ง เวลาผสมพันธุ์อย่างหนึ่ง เวลาเผลอสติ หลับไปอย่างหนึ่ง จะกลายสภาพกลับไปเป็นร่างเดิม

อย่างกรณีที่มีนาคท่านหนึ่งเข้ามาบวช เพื่อนพระเห็นก็ตกใจ เพราะตอนหลับท่านกลายเป็นงูตัวใหญ่เต็มกุฏิเลย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าต้องสั่งห้ามบวช เนื่องจากเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีโอกาสได้มรรคผล"

เถรี 16-03-2010 00:50

ถาม : ถ้าสร้างพระในที่กลางแจ้ง บุญกับบาปอันไหนเยอะกว่ากัน?
ตอบ : บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาปจ้ะ ถึงเวลาก็ไปรับผลบุญ ถ้าหากพลาดก็ไปรับบาปก่อน

ถาม : แล้วอย่างนี้ถ้ามีคนมาบอกบุญ ให้ช่วยร่วมสร้างพระกลางแจ้ง เราควรจะร่วมบุญด้วยไหม?
ตอบ : ทำไว้ก่อน อะไรที่เป็นบุญทำไว้ก่อน เพราะเราไม่ได้ตั้งใจที่จะสร้างท่านให้ตากแดดอยู่แล้ว คนสร้างเขาทำก็ปล่อยเขาไป

เรื่องนี้ต้องถามอาจารย์เต้ (พระครูประทีปกาญจนธรรม) ท่านเห็นอาจารย์วิโรจน์ (พระครูไพโรจน์ภัทรคุณ) สร้างพระหน้าตัก ๑๐ ศอกบ้าง ๔๐ ศอกบ้าง พออาจารย์เต้คิดจะสร้างบ้าง คืนนั้นก็ฝันเห็นโยมแก่ ๆ ถือไม้เท้า นุ่งขาวห่มขาวเดินมา บอกว่า "อย่าเอาพ่อเรามาตากแดดตากฝนเป็นอันขาด" เห็นอย่างนั้นมาสามคืนติดกัน ท่านก็เลยเลิกคิดที่จะสร้างเลย

พอท่านมาปรารภ ก็เลยบอกท่านไปว่า "คุณคิดถูก" เพราะฉะนั้น..ของอาตมาที่จะสร้างพระชำหนี้สงฆ์ก็แปลว่าต้องสร้างอาคารเสร็จก่อนแล้วจึงค่อยสร้างพระ

เถรี 16-03-2010 17:03

พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๔๐ ศอก จะปิดงานให้ได้ภายในกฐินปีนี้ เพราะว่ากฐินปีนี้จัดเป็นกฐินปลดหนี้สมเด็จองค์ปฐม ๔๐ ศอก ปรากฏว่า ๔๐ ศอกไม่ทันจะเสร็จเรียบร้อย เขาขอให้เป็นประธานช่วยสร้าง ๕๐ ศอกอีกองค์แล้ว แต่อย่าเพิ่งทำบุญมา รอให้ปิดบัญชีของ ๔๐ ศอก แล้วจะเปิดใหม่เป็น ๕๐ ศอกแทน ถึงเวลาจะประกาศบอกให้ทราบ

งานนี้สร้างที่วัดพระพุทธบาทเขาน้อย ที่ตัวเมืองกาญจนบุรี วัดนี้เขาดีตรงที่ว่ามีหน้าผาสูงอยู่ ถ้าอากาศดี ๆ มองจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปก็จะเห็นพระเลย

ท่านอาจารย์เต้ (พระครูประทีปกาญจนธรรม วัดพุน้ำร้อน) เขาก็รออาตมา "ปี ๒๕๕๓ ท่านอาจารย์ไปวางศิลาฤกษ์สร้างเจดีย์ให้ผมหลังหนึ่ง"

ส่วนอาจารย์สมคิด (พระครูบวรกาญจนธรรม วัดตะเคียนงาม) ท่านเซ็งมากเลย ตอนแรกจะปิดทอง ฝังลูกนิมิต ผูกพัทธสีมา ถอนโบสถ์ ปี ๒๕๕๒ เลยย้ายไป ๒๕๕๕ ท่านบอกว่า "รอให้พระอาจารย์ว่างก่อน"


ถาม : ท่านจองไว้ล่วงหน้า?
ตอบ : ไม่ใช่จองไว้ล่วงหน้า ท่านจองก่อนคนอื่นเลย แต่คนอื่นมาเบียด ท่านก็เลยต้องย้ายไปปี ๒๕๕๕

เถรี 16-03-2010 17:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อเช้ามีโยมมาขอฤกษ์แต่งงาน เขาขอฤกษ์มกราคมปีหน้า แต่อาตมายังไม่ได้ดูเอาไว้ให้ บอกว่าปีหน้าค่อยมาขอใหม่

ถ้าหากว่าดูเด็ก ๆ ในยุคปัจจุบันนี้แล้ว สงสารเด็กที่มันจะเกิดมา ถ้าเขาไม่ได้สร้างบุญไว้ดีจริง ๆ ไม่รู้ว่าเขาจะเอาชีวิตรอดจากสังคมในยุคหน้าได้หรือเปล่า ? เพราะว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เร่งรัดเข้ามา ที่ภาษาราชการเขาเรียกว่า บริโภคนิยม ทำให้ทุกคนต้องไขว่คว้าหาทุกอย่างเข้าตัว จนกระทั่งบางทีก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องของศีลของธรรม ขอให้ได้ไว้ก่อน

ก็เลยจะอยู่ในลักษณะแบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนที่แข็งแรงกว่า โหดร้ายกว่า จึงจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ คนที่อ่อนแอกว่าก็จะอยู่ในลักษณะโดนข่มเหง รังแกไปเรื่อย ดังนั้น..เขาแต่งงานเราไม่ได้หนักใจหรอก แต่ถ้ามีลูกเมื่อไร สงสารลูกที่เกิดมา..!"

เถรี 16-03-2010 17:16

พระอาจารย์กล่าวถึงการที่เราไปนั่งขวางทางบุญของคนอื่นว่า

"บางอย่างเราไม่ได้มีเจตนา แต่ก็กลายเป็นกรรม อย่างเช่นเขาจะทำบุญ เรานั่งขวางเขาอยู่ อย่างนี้ก็ซวยไปเลย เวลาพอเราจะทำอะไร แทนที่เราจะได้ กลับมีก้างขวางคอเสียทุกทีไป กลายเป็นคนอื่นเขาเอาไปกินหมด "

เถรี 16-03-2010 19:16

พระอาจารย์กล่าวถึงพระอภิธรรม ๗ บท ว่า "พระพุทธเจ้าขึ้นไปโปรดพุทธมารดา ปรากฏว่ามีพรหมเทวดาบรรลุมรรคผลในตอนนั้นแปดหมื่นโกฏิ (๑ โกฏิ เท่ากับ สิบล้าน)

สมัยก่อนเขาก็เลยถือว่าพระอภิธรรมเป็นมงคลใหญ่มาก เพราะว่าเทศน์แล้วสงเคราะห์ให้ผู้คนเข้าถึงมรรคผลได้มากขนาดนั้น สมัยก่อนเขาก็เลยใช้สวดในงานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน งานทำบุญปีใหม่ งานทำบุญสงกรานต์ ฯลฯ มาตอนหลังเขาเอาไปสวดในงานศพ คนก็เลยถือว่าเป็นอวมงคล แล้วก็เลยกลายเป็นยึดถืออย่างนั้นตลอดมา

พอขึ้น กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เราก็ไปคิดว่าเป็นงานศพ เป็นของอวมงคล แต่ความจริงแล้วถือว่าเป็นมงคลใหญ่ที่สุด"

เถรี 16-03-2010 19:39

ถาม : หนูสู้กิเลสจนแทบตาย พอตอนหลังใช้วิธีรวบรวมกำลังใจ ตายเป็นตาย สุดท้ายกิเลสมันก็เลยยอม
ตอบ : ถ้าเราตาย เขาก็ไม่รู้จะเล่นใคร ถ้าหากเอากันให้ตายไปข้างหนึ่ง งานก็จะง่ายขึ้น

ถาม : ตอนหลังพอโดนตีก็เลยใช้วิธีนี้ อีกอย่างหนึ่งก็คือ จะมีบางคนที่เข้ามาปรึกษาการปฏิบัติกับหนู หนูก็โยนให้ไปทางหลวงพ่อ ไม่อยากให้เขามาอะไรกับหนูมาก บางทีก็กลัวเขาจะมายึดติดอะไรกับเรา แต่ขณะเดียวกัน ถ้าหนูไม่บอกเขา เดี๋ยวเขาจะเคว้งขึ้นมา ควรทำอย่างไรดี ?
ตอบ : แนะนำอยู่ในกรอบของศีล สมาธิ และปัญญา ถ้าไม่กล้าไปไกลก็เอาเบื้องต้นไว้ก่อน

ถาม : เวลาปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น หนูต้องตั้งกำลังใจเพื่อพระพุทธศาสนา เพื่อหลวงพ่อ เพื่อเป็นที่พึ่ง คือ ถ้าตั้งกำลังใจเพื่อตัวเอง จะไม่ฮึด ต้องตั้งกำลังใจเพื่อคนอื่น เพื่ออย่างอื่น
ตอบ : อย่างไหนดีเอาอันนั้น เพียงแต่อย่าทิ้งนิพพานก็แล้วกัน

เถรี 16-03-2010 20:23

ถาม : การที่เรามองเห็นว่า สิ่งที่คน ๆ หนึ่งคิด รู้สึก หรือกระทำ เป็นทางที่น่าสงสาร คือเรารู้สึกสงสาร เศร้าสลด เขาเรียกว่า สลดในธรรมได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เรียกว่า ธรรมสังเวช

ถาม : แล้วความรู้สึกนี้ ทำให้เศร้าหมอง
ตอบ : ไม่ใช่หมอง เราต้องเปลี่ยนเป็นเข็ด เป็นเบื่อ คือ สงสารว่าเขาไม่รู้จักทางที่หลุดพ้น ในเมื่อเราเบื่อแล้ว เราเห็นทางแล้ว เราก็รีบไปของเราให้เต็มที่

ถาม : แล้วความรู้สึกนี้สงสารนี้คาอยู่ในใจ จะผิดพลาดทางเทคนิคอะไรหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ได้ผิดพลาด ตัวนั้นควรจะมีอยู่ แต่ว่าให้ดูข้อผิดพลาดของเขาเป็นบทเรียน แล้วเราก็รีบไปของเรา

ถาม : แล้วทำอย่างไร ที่จะหยุดความรู้สึกนี้ ?
ตอบ : ไม่ต้องหยุด ถ้าหยุดแล้วจะเดินผิดทาง

ถาม : แต่มันห่อเหี่ยวนะคะ
ตอบ : แสดงว่าเราแบก ก็แค่เลิกแบก ดูเป็นบทเรียน เก็บเอามาใช้งาน ดูว่าเขาเป็นอย่างไร เสร็จแล้วก็ใช้อุเบกขา

รู้ไหมว่าพระพุทธเจ้าให้อุเบกขาไว้ เพื่อกันพวกเราบ้า..! ไม่อย่างนั้นก็จะมีแต่เมตตา กรุณา จนไม่บันยะบันยัง พอช่วยเหลือเขาไม่ได้ ตัวเองก็เครียดแทน แล้วก็บ้า ฉะนั้น..ของเราขาดอุเบกขา ใช้พรหมวิหารไม่ครบ รีบเบรกซะ เบรกทั้งสองขาเลย

เถรี 16-03-2010 21:01

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการล็อกประตู ไม่ว่าจะเป็นประตูรถหรือประตูห้อง ถ้าไม่อยู่ควรจะล็อกให้เป็นนิสัย

"หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ถ้าเราไม่เปิดโอกาสให้เขา การลักขโมยก็จะไม่เกิด เพราะว่าบางคนแรก ๆ ก็ไม่คิดจะขโมย แต่พอเห็นโอกาสแล้ว การตัดสินใจชั่ววูบทำให้เขาทำในสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรมได้ ท่านก็เลยให้พวกเราล็อกประตูเสียจนชิน จะได้เท่ากับว่าไม่สนับสนุนเขาให้ทำผิด"

เถรี 16-03-2010 23:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "การเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นเศษกรรมปาณาติบาตโดยตรง ถ้าทำไว้มากก็ป่วยบ่อย ทำไว้น้อยก็ป่วยน้อย ไม่ทำเลยก็ไม่ป่วยเลย พระพากุละเถระ ตลอดทั้งชีวิตท่าน แม้แต่สมอชิ้นหนึ่งที่จะฉันเพื่อรักษาโรคก็ไม่ต้อง สุดยอดของบุญจริง ๆ"

ถาม : ท่านไม่ทำปาณาติบาตเลยหรือคะ ?
ตอบ : น่าจะมีบ้าง แต่ท่านไปได้บุญสร้างส้วมถวายพระมาค้ำเอาไว้ ก็เลยเป็นเกราะป้องกัน อยู่จนเบื่อ อายุ ๑๕๐ แต่ไม่ตายเสียที ท่านก็เลยเข้าสมาธิแล้วไปเฉย ๆ เป็นบุคคลที่อายุยืนที่สุดที่ปรากฏในพระไตรปิฎก

สมัยนั้นบุคคลอายุ ๑๐๐ ปีเป็นประมาณ แต่ส่วนมากมักจะตายตอนอายุ ๑๒๐ แสดงว่าบุคคลที่อายุ ๑๒๐ สร้างปาณาติบาตไว้น้อยมาก

เถรี 16-03-2010 23:55

ในเรื่องของเส้นผมนั้น พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า "บางทีก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา เฉพาะเรื่องผมเรื่องเดียว..คนผมหยิกก็ไปยืด คนผมตรงก็ไปดัด คนไม่มีผมก็อยากจะมี

ถ้าหากว่าตราบใดที่ยังขาดสันโดษ คือ ความยินดีตามมีตามได้ จะเพิ่มทุกข์ให้เราเยอะ ถ้าหากมีสันโดษอยู่ ทุกข์จะน้อยลงมา เพราะไม่ไปดิ้นรนอะไรที่เกินสภาพของตัวเอง"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:53


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว