กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2727)

เถรี 08-06-2011 00:02

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔
 
ถาม : มีหลักเกณฑ์การแปลงหน้าตักของพระที่นั่งว่า ถ้าเป็นพระยืนแล้วจะต้องมีความสูงเท่าไรหรือไม่คะ ?
ตอบ : ไม่มี..มีแต่ขนาดหน้าตักพระนั่ง ความสูงขององค์พระจะประมาณ ๒ เท่าครึ่งของหน้าตัก จะไม่เกินนั้น ถ้าเกินนั้นจะเสียส่วนไป

ถ้าพระยืนความสูงจะเป็น ๘ เท่าของฐานอย่างน้อย ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้ส่วน เพราะฉะนั้น..อะไรที่แหกคอกก็อย่าไปทำ ทำทั้ง ๒ อย่างไปเลยก็หมดเรื่องหมดราว อยากสร้างพระยืนก็สร้าง แล้วก็สร้างพระนั่งไปด้วย

ถาม : หนูไปอ่านหนังสือของหลวงพ่อฤๅษีฯ เจอว่ามีสวนบนพระนิพพาน แต่สวนของท่านจะบรรยายว่าเป็นแก้ว แต่ที่หนูเห็นมาจะเป็นใบ ๆ ดอก ๆ เลยค่ะ
ตอบ : เห็นอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น เพราะข้างบนพระนิพพานนั้น เราต้องการอะไรอย่างนั้นก็มา ไม่ต้องการท่านก็ไป ท่านว่าง่าย ไม่ดื้อหรอก คิดต้องการอะไรสิ่งนั้นก็มา หมดความต้องการสิ่งนั้นก็ไป

ถาม : หนูไปเจอแต่ไม่ได้คิดอะไรเลย แสดงว่าเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
ตอบ : แสดงว่าเราเคยมีความชอบอย่างนั้นมาก่อน ท่านก็เลยจัดให้

เถรี 08-06-2011 00:07

ถาม : แต่ก่อนหนูจะรู้สึกว่าไม่อยากตาย เพราะว่าตัวเองยังปฏิบัติไม่ถึงไหนเลย ถ้าตายไปแล้วคงจะแย่แน่ แต่ช่วงหลังจะมีความคิดเปลี่ยนไปว่าตายก็ดีเหมือนกัน ตายเร็วก็ดีเพราะอยู่ไปก็น่าเบื่อมีแต่ทุกข์
ตอบ : เอาอีกนิดหนึ่ง การปฏิบัติถ้าอยากตายยังไม่ใช่ของดี เพราะว่าการอยากตายนั้นแฝงไว้ด้วยกิเลสมาก นักปฏิบัติที่แท้จริงพอทำไปถึงระดับหนึ่งไม่ได้อยากตาย แต่พร้อมที่จะตาย ต่างกันมากเลยนะ เพราะถ้ายังอยากตายนี่อารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ยังเต็ม ๆ อยู่เลย

ดังนั้น..ตายเมื่อไรก็ไปไม่ดีหรอก มีนักปฏิบัติอยู่จำนวนมากต่อมากด้วยกันที่คิดว่าปฏิบัติถึงระดับที่อยากตายแปลว่าดีแล้ว ขอยืนยันว่าไม่ดีแน่

ถาม : จากนั้นหนูก็มานั่งนึกว่าทำไมความคิดถึงได้เปลี่ยนไป ?
ตอบ : เป็นไปตามสิ่งที่เราสั่งสมมา สติ สมาธิ ปัญญาสูงขึ้น มุมมองก็กว้างขึ้น การรู้เห็นก็มากขึ้น และการรู้เห็นที่ถูกต้องก็มีมากขึ้น

ถาม : หนูก็มานั่งนึกว่า จะเป็นเพราะหนูคิดมั่นใจว่าตายแล้วต้องไปดีกว่าที่กำลังเป็นอยู่นี่หรือเปล่า ? แล้วหนูกำลังโดนหลอกอยู่หรือเปล่า ?
ตอบ : มีส่วนโดนหลอก บอกแล้วว่ากิเลสยังเต็มที่อยู่

เถรี 08-06-2011 00:12

ถาม : ตอนภาวนาแล้วหลุดออกไป อยากจะเห็นตัวเอง หนูเคยพยายามก้มลงมองก็เห็นแต่ส่วนล่าง
ตอบ : ไม่ต้องก้ม กำหนดนึกถึงว่าสภาพตัวเราเป็นอย่างไร เราจะเห็นทั้งตัว เห็นรอบด้าน ไปก้มก็เห็นแต่ตีนสิ..!

ถาม : แต่ละครั้งลักษณะก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันด้วยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสภาพจิตตอนนั้นว่าบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์มากน้อยเท่าใด

ถาม : หนูมีปัญหาเกี่ยวกับการจับลมหายใจค่ะ ปกติหนูจะพยายามรู้ลมอยู่ตลอด ทีนี้เวลายกจิตขึ้นไป หรือภาวนาแล้วหลุดออกไป หนูก็คอยแต่จะกลับมาจับลม ยิ่งตอนหลังระแวงยิ่งหล่นลงมาเร็วใหญ่เลยค่ะ
ตอบ : ถ้าไปแล้วไม่ต้องคิดถึงลมหายใจ การที่เรายกจิตไป เราไปด้วยกำลังที่สูง การนึกถึงลมหายใจเท่ากับเรากลับมาตั้งต้นนับ ๑ ใหม่ ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวแล้วไม่ต้องไปสนใจลมหายใจ ประเภทจบปริญญาแล้วกลับมาเริ่มต้น ก.ไก่ ทุกทีก็เจริญ..! กลับมา ก.ไก่ เมื่อไรก็ร่วงเมื่อนั้น

เถรี 08-06-2011 00:19

ถาม : สมัยโบราณ พระที่ท่านธุดงค์ท่านใช้จีวรสีกรักเหมือนกันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : บางท่านที่ขี้เกียจเปลี่ยนจีวรสีกรัก ท่านก็ใช้สีเหลืองนั่นแหละ เขามานิยมสีกรักในตอนหลังก็เพราะว่าเปื้อนยาก แต่บางท่านก็ไม่ห่วงเรื่องความเปื้อน อาตมาก็เคยลุยด้วยสีเหลืองอยู่หลายป่าเหมือนกัน

ถาม : แล้วสีกรักของโบราณจะแดงกว่าสีกรักสมัยนี้ไหมคะ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตผ้าแค่ ๓ สีเท่านั้น ก็คือ สีเหลืองที่ย้อมจากน้ำขมิ้น สีเหลืองเจือแดงเข้มเพราะย้อมด้วยลูกรัง อย่างของท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ท่านหาไม้มาเพื่อย้อมไม่ได้ ท่านก็เลยใช้ลูกรังต้ม คราวนี้จีวรสีเดิมเหลืองอยู่พอไปผสมกับน้ำลูกรังสีแดงเข้า ก็เลยกลายเป็นสีกลาง ๆ ระหว่างเหลืองกับแดง

อีกอย่างก็คือผ้าย้อมน้ำฝาดประเภทแก่นขนุน จะออกมาเป็นสีกรัก ฉะนั้น...จะมีแค่สีเหลือง สีกรัก และสีเหลืองเจือแดงเข้ม ๓ สีเท่านั้น อย่างไรเสียก็ไม่ไปเกินกว่านี้ ถ้าเกินมาแปลว่าผิดพระวินัย..!

เถรี 08-06-2011 00:28

พระอาจารย์ได้อธิบายเกี่ยวกับนิยายที่หวงอี้แต่ง ว่าทำไมจะต้องรอให้ถึงจุดอับแล้วฝีมือจึงค่อยรุดหน้า "คนเราถ้าไม่ถึงจุดอับ ศักยภาพจะไม่แสดงออกมา แบบเดียวกับนักปฏิบัติ ถ้าไม่ใกล้ตายก็ไม่รู้ว่าต้นทุนของตัวเองมีเท่าไร

นักปฏิบัติอย่างเรา ถ้าทำไปเรื่อย ๆ บางทีก็ไม่รู้ว่าตนเองไปถึงไหน แต่พอใกล้ตายขึ้นมา อารมณ์ตอนนั้นรวมตัว จะรู้เลยว่าเรามีต้นทุนเท่าไร พูดง่าย ๆ ว่า ร้อยละ ๙๙ ต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ตกอยู่ในที่ลำบากก็ไม่ดิ้นรนเต็มที่ ถ้าดิ้นรนเต็มที่ ก็จะรู้ว่าส่วนที่เราเก็บสะสมเอาไว้มีเยอะกว่าที่คิด เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้ใช้"

ถาม: อย่างท่านเองเป็นแบบนั้นด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ก่อนหน้านี้ก็มีอยู่ระยะหนึ่ง แต่พอมีมากกว่าแล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาไปรอ คำว่ามีมากกว่าก็คือ สิ่งที่เราทำได้มีมากกว่าสถานการณ์ที่ต้องใช้ ก็ไม่ต้องไปรอจุดอับ ไม่ต้องดิ้นแล้ว แค่ขยับเพิ่มขึ้นมาหน่อยเดียวเท่านั้นเอง

เถรี 08-06-2011 23:24

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนขณะกำลังเดินทางกลับจากเชียงใหม่ อาตมาภาวนาไปเรื่อย ๆ เห็นท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านโผล่มาอยู่ข้าง ๆ ก็เลยถามว่าท่านมาทำไม ? ท่านบอกว่าวันนี้ว่าง..มีเวลาว่างกับเขาเหมือนกัน ในเมื่อว่างท่านก็เลยมาช่วยดูแล

จึงถามท่านท้าววิรูปักษ์ว่า จะมีวิธีไหนที่ทำให้อาตมามั่นใจเห็นว่าปลอดภัย ท่านก็สลัดอาวุธท่านออกไป พุ่งนำหน้าเหมือนกับยิงจรวดนำวิถีเลย ตั้งแต่ตรงจุดที่กำลังเดินทางอยู่จนถึงปลายทางนี่ราบเป็นหน้ากลอง ท่านแสดงให้ดูว่าจะไม่มีอุบัติเหตุหรือมีอะไรขวางได้ ต้องปลอดภัยแน่นอน อาตมาก็ อ๋อ..ที่แท้จรวดนำวิถีนี่เขามีมานานแล้ว

ความจริงท่านไม่ได้ว่างหรอกนะ ท่านรับผิดชอบงานมหาศาล ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีงานที่เกี่ยวข้องกับโลกมนุษย์โดยตรง โดยเฉพาะงานที่ต้องดูแลสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนา อำนวยความสะดวกให้แก่บุคคลที่ท่านบำเพ็ญกุศล ดูแลรักษาทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ที่เป็นสมบัติของแผ่นดิน

ที่สำคัญก็คือ รับบัญชีบันทึกบุญบาปของชาวบ้านไปส่งให้ปัญจสิกขเทพบุตร ดังนั้น..เทวดาชั้นจาตุมหาราชจะมีเรื่องยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์เยอะมาก เพราะเป็นหน้าที่ท่านโดยตรง เราถึงได้เรียกท่านว่า โลกบาล หรือ โลกะปาละ ผู้รักษาโลก"

เถรี 09-06-2011 00:09

ถาม : เวลานำท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ไปตั้ง ต้องหันหน้าเหมือนพระ คือหันไปทางทิศตะวันออกเหมือนกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : แบบเดียวกัน เอาปลอดภัยไว้ก่อน แต่ถ้าตั้งท่านบนหิ้งพระก็ให้ท่านต่ำกว่าพระนิดหนึ่ง

อย่างของอาตมาจะมีโต๊ะหมู่ตัวใหญ่ และมีตัวเล็กอีก ๙ ตัว ๙ ตัวนั้นก็ตั้งพระพุทธบ้าง ตั้งพระสงฆ์บ้าง ท่านท้าวมหาราชเราก็ตั้งไว้ที่บนโต๊ะใหญ่ ข้างหน้าสุดเลย ท่านแม่ก็อยู่ด้านหนึ่ง ท้าวมหาราชก็อยู่ด้านหนึ่ง พอดีได้ที่เลย

จริง ๆ ท่านแม่จะเอาขึ้นไปเสมอพระสงฆ์ก็ได้เพราะท่านไปพระนิพพานแล้ว แต่ว่าในรูปลักษณ์ที่สร้างขึ้นมา คนที่ไม่รู้เขาจะตำหนิเอาได้ เพราะฉะนั้น..จะทำอะไรต้องเกรงใจคนบ้าง อย่าให้ตัวเราต้องไปสร้างโทษให้คนอื่นเลย

ถาม : อย่างพระนารายณ์ทรงฤทธิ์ของวัดเขาวง เอาไว้ระดับเดียวกันได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้จ้ะ ท่านเป็นเทวดาเหมือนกัน

เถรี 09-06-2011 00:20

ถาม : แล้วอย่างฮก ลก ซิ่ว ของจีนเล่าคะ ?
ตอบ : ฮก ลก ซิ่ว นี่มีตัวจริงบ้างไม่มีตัวบ้าง แต่ในเมื่อเขาเคารพเขาเชื่อถือ ก็ตั้งไปเถอะ อยู่ระดับเดียวกันได้ไม่เป็นไร เพราะนั่นก็ถือเป็นเทพที่คนจีนเขาเคารพอยู่เหมือนกัน

ฮก คืออำนาจวาสนาบารมี ลก คือความร่ำรวย ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ซิ่ว คืออายุวัฒนะ ปราศจากโรค คนจีนเขาถือว่ามีครบ ๓ อย่างนี้ จัดเป็นความสุขสุดยอดของมนุษย์แล้ว แต่อย่างท้ายนี่ยากหน่อย ถ้าไม่ได้สร้างบุญมาดีจริง ๆ อย่างพระพากุลเถระ ไม่มีทางที่จะปราศจากโรคได้

แพ้เหล่าโจ้วที่เป็นเซียนอายุวัฒนะ ท่านอายุได้ ๘๐๐ ปี ลูกก็ตาย หลานก็ตาย เหลนก็ตาย โหลนก็ตาย ส่วนตัวเองยังอยู่ ท่านเบื่อเต็มทีไม่มีคนคุยรู้เรื่องแล้ว ท่านก็เลยไปดีกว่า บันทึกเขาเขียนว่าท่านเดินหายเข้าป่าไปเฉย ๆ หากว่าใครมีความสามารถถึงขนาดปรับธาตุตัวเองได้อย่างท่าน ก็ยืดอายุให้นานได้ แต่ถ้าไม่อยากลำบากก็อย่าไปทำเลย อยู่นานยิ่งหาคนคุยด้วยได้ยาก

ฮก อำนาจวาสนาบารมี ก็ต้องพุทธะปูชา มะหาเตชะวันโต บูชาพระพุทธเจ้า ลก ร่ำรวย ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง เอารวยอย่างเดียวนะ ก็ต้อง สังฆะปูชา มะหาโภคะวะโห การบูชาพระสงฆ์ ถือว่าจะส่งผลให้สำเร็จไปด้วยโภคสมบัติต่าง ๆ เนื่องจากว่าส่วนใหญ่การบูชาพระสงฆ์ ก็คือ เราถวายอามิสทาน โดยเฉพาะเรื่องของการใส่บาตร แต่ซิ่วนี่ต้องไปที่ศีลอย่างเดียวเลย รักษาศีลดีอายุยืนนาน ผู้ไม่มีปาณาติบาตย่อมไม่เจ็บไข้ได้ป่วย มีอายุยืนนาน

เถรี 09-06-2011 00:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่า ทำไมบุญจึงมีความอัศจรรย์ส่งผลได้มากขนาดนั้น ? เพราะว่าบุญอยู่ในลักษณะทวีคูณ ยิ่งสภาพจิตของผู้รับบริสุทธิ์มากเท่าไร ก็เหมือนกับคนแข็งแรง

สมมติว่าคนแข็งแรงหยิบของชนิดหนึ่ง แล้วขว้างออกไป อย่างเราขว้างได้แค่ใกล้ ๆ แต่ท่านสามารถขว้างไปไกลลิบเลย คือส่งผลให้มากขึ้นตามกำลังของท่าน

ฟัง ๆ ดูในเรื่องของบุญ บางทีก็เหมือนกับโฆษณาชวนเชื่อ แต่เราต้องเข้าใจด้วยว่า ส่วนที่เขาทำนั้นจำเป็นที่จะต้องเลือกเนื้อนาบุญ ทั่ว ๆ ไปเราเห็น เราเจอ เราสามารถทำได้ ให้ทำไปเลย ไม่จำเป็นต้องเลือก แต่ถ้ามีโอกาสประกันความเสี่ยง มีให้เลือกได้ เราก็เลือกทำกับเนื้อนาบุญที่ดี พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำได้ทุกที่ ทำไปเถอะ แต่ตรงไหนที่เรามั่นใจเราก็เป็นขาประจำหน่อย"

เถรี 09-06-2011 00:28

ถาม : ถ้าทิศตะวันออกกับทิศเหนือเราตั้งพระหมดแล้ว สามารถตั้งพระทิศตะวันตกกับทิศใต้ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ไม่ควรเสี่ยง แต่จะลองดูก็ได้ จะได้รู้ผล

ถาม : อย่างไรก็ควรพยายามหาทิศตะวันออกให้ได้ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เราจะเชื่ออย่างเดียวไม่ได้ ต้องลอง..! เกิดผลอะไรขึ้นจะได้พูดเต็ม ๆ ปาก ว่าลองมาแล้ว

ถ้าหากหามุมไม่ได้อีกแล้ว วิธีที่ดีที่สุดคืออย่าหามาเพิ่ม..!

เถรี 09-06-2011 00:33

ถาม : บางครั้งเวลาใช้มรณานุสติแล้วผมกดโทสะไม่อยู่ สองสามวันก่อนผมโกรธมาก ถ้าเราตายไปตอนนี้..?
ตอบ : ไม่ต้องห่วง ลงนรกแน่นอน..!

ถาม : ทุกครั้งเอาอยู่ แต่ครั้งนี้คิดว่าเรายังไม่ตาย ขอก่อน ขอโกรธก่อน มีวิธีแนะนำไหมครับ ?
ตอบ : มี..อย่าให้อารมณ์ถึงที่สุด รีบเผ่นออกจากสถานการณ์นั้นก่อน นึกถึงที่หลวงปู่หล้า วัดภูจ้อก้อ ท่านบอกว่า หัดเป็นนักหลบเสียบ้าง อย่าเอาแต่เป็นนักรบอย่างเดียว สถานการณ์ที่รบแล้วตายอย่างเดียวแล้วยังรบอยู่ เขาเรียกว่าโง่..! ชัดไหม ?

เราไม่ยอมออกจากเหตุการณ์ก็ต้องระเบิดอารมณ์จนได้ สมัยก่อนตอนที่อาตมาสู้กับพวกนี้อยู่ อาตมาไม่เกรงใจใครหรอก ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ทำให้เกิดโทสะ ก็จะหันหลังเดินหนีไปเลย ใครจะว่าเสียมารยาทก็ช่างหัวมัน ต้องเอากำลังใจของตัวเองไว้ก่อน ยังดีนะที่คุณยังคิดถึงมรณานุสติได้ ถ้าเป็นอาตมาสมัยก่อนไม่เสียเวลาคิดหรอก ลงมือไปแล้ว..!

เถรี 09-06-2011 00:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครดูข่าวที่หมาคาบเอาใบไม้มาแลกข้าวบ้าง ? เขาเป็นคนแล้วไปเกิดเป็นหมา ยังเคยชิน มีหิริโอตตัปปะอยู่ ว่าไม่ควรเอาของใครฟรี ๆ พอคนให้อาหารเขาก็ไปคาบใบไม้มาให้

หมาที่วัดท่าขนุนก็มีอยู่ตัวหนึ่ง ทำแบบนี้เหมือนกัน พอถึงเวลาเขาจะเอาใบไม้มาแลก ใบไม้ต้องเป็นใบสะอาดด้วยนะ ใบไม้สกปรกเขาไม่เอามา ความรู้สึกของเขายังเป็นคนอยู่ เหมือนกับว่าเวลาไปตลาดแล้วซื้อของต้องจ่ายเงิน เขาจึงหาใบไม้มาแลก จะเอาอย่างอื่นมาแลกก็หาไม่ได้"

เถรี 09-06-2011 00:39

ถาม : แกะทองที่เลี่ยมพระเครื่องออกไปขาย จะมีโทษหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าเจตนาแรกตั้งใจทำถวายเป็นพุทธบูชาแล้วไปแกะทองออก อย่างนั้นจะมีโทษ ถ้าตอนแรกไม่ได้เจตนาก็ไม่เป็นไร

เถรี 09-06-2011 00:41

ถาม : อภัยทานกับธรรมทาน อย่างไหนมีอานิสงส์มากกว่ากันครับ ?
ตอบ : เราต้องเชื่อพระพุทธเจ้า พระองค์ท่านตรัสว่า สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ ในทานทั้งหลาย ธรรมทานนั้นชนะทานทั้งปวง ในรสทั้งหลาย รสแห่งธรรมนั้นชนะรสทั้งปวง

เถรี 09-06-2011 00:42

ถาม : อภิสังขารมารคืออะไรครับ ?
ตอบ : อภิสังขารมาร แปลว่าสิ่งที่ยิ่งกว่าการปรุงแต่ง ก็คือในส่วนของบุญบาปที่เป็นมารได้ อย่างเช่นว่า เราสร้างบุญ แล้วสิ่งที่ตอบแทนมาเป็นความดี ความสุข เราก็เพลิดเพลินติดอยู่แค่นั้น ทำให้เข้าถึงมรรคผลไม่ได้

เราสร้างบาป ก็พาเราตกต่ำลงสู่อบายภูมิ เวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ เท่ากับขวางเราจากทางของความดี เขาก็เลยเรียกว่าอภิสังขารมาร เพราะถือว่าเป็นผู้ขวางหรือผู้ฆ่าเราจากความดีเหมือนกัน

ถาม : มีโทษมากไหมครับ ?
ตอบ : แค่ไปนิพพานไม่ได้เท่านั้นแหละ ไม่มากหรอก..!

เถรี 10-06-2011 04:20

พระอาจารย์เล่าเรื่องอาฬวกยักษ์ให้ฟังว่า "อาฬวกยักษ์อยู่ที่เมืองอาฬวี พระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรด เหล่าบรรดาบริวารของอาฬวกยักษ์ได้ทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าเข้าไปยังสำนัก เหมวตยักษ์กับสาตาครียักษ์ผ่านไปเห็นก็ทำความเคารพพระพุทธเจ้าแล้วรีบไปยังสถานที่ประชุม ไปบอกอาฬวกยักษ์ว่า ลาภใหญ่กำลังเกิดกับท่านแล้ว พระสมณโคดมไปเยือนสำนักของท่าน

ปรากฏว่าอาฬวกยักษ์ไม่ได้รู้สึกดีใจ รีบกลับไปยังสำนักตนเพราะมียักษ์สาว ๆ อยู่เยอะ กลัวพระพุทธเจ้าจะพาไปหมด ต้องบอกว่ากำลังใจของคนที่ต่างกันทำให้คิดต่างกันจริง ๆ

พออาฬวกยักษ์เข้าไปถึงเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ข้างใน บรรดาสาวสรรกำนัลในของตัวเองกำลังปรนนิบัติเต็มที่ ไปถึงก็ไล่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็เดินออกไป เดินไปได้ครึ่งทางอาฬวกยักษ์ก็แปลกใจ ไหนว่าพระสมณโคดมมีอำนาจ ครอบงำตั้งแต่ภควพรหมลงมา พอเราไล่ทำไมไปง่าย ๆ อย่างนี้ ?

อาฬวกยักษ์จึงบอกให้พระพุทธเจ้ากลับมาก่อน พระพุทธเจ้าท่านก็เดินกลับมา อาฬวกยักษ์ก็งงอีก พระพุทธเจ้าสั่งง่ายขนาดนี้เลยหรือ ? จึงไล่อีก ท่านก็ไปอีก"

เถรี 10-06-2011 04:26

"เมื่อเป็นดังนั้น อาฬวกยักษ์จึงทูลเชิญพระพุทธเจ้าเข้าไป และตั้งปัญหาถาม ปัญหามีหลายข้อด้วยกัน อย่างเช่นว่า การข้ามโอฆะ (ห้วงน้ำแห่งกิเลส) ต้องทำอย่างไร ? พอพระพุทธเจ้าแสดงธรรมจบ อาฬวกยักษ์จึงกลายเป็นพระโสดาบัน

ที่เล่ามานี่จะบอกว่าอาฬวกยักษ์ท่านไปพระนิพพานแล้ว สมัยพุทธกาลท่านเป็นพระโสดาบัน แต่ก่อนที่ท่านจะไปพระนิพพานท่านก็แวะมากราบหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่ามาขอลาไปพระนิพพาน แล้วท่านก็ดึงผ้าพันคอของท่านที่ใช้เป็นอาวุธ ถวายหลวงพ่อวัดท่าซุงไว้ใช้งาน

หลวงพ่อวัดท่าซุงถามท่านว่า มีอานุภาพอย่างไร ? ท่านบอกว่า "ถ้าขว้างลงไปกระทบพื้นก็เป็นไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก.." หลวงพ่อบอกว่า "เชิญเอากลับไปเถอะ ไอ้ของระยำอย่างนี้ ข้าไม่เอาหรอก มันรุนแรงเกินไป" อย่าลืมว่านั่นเป็นแค่ยักษ์ระดับมหาอำมาตย์เท่านั้น ยังไม่ใช่องค์จตุโลกบาลนะ แล้วถ้าเป็นระดับมหาราชของท่านทั้งหลายเหล่านี้ อาวุธของท่านจะมีศักดานุภาพขนาดไหน ? ฉะนั้น..โลกมนุษย์ของเรานี่ไม่พอให้ท่านใช้เท้าเหยียบข้างหนึ่งหรอก"

เถรี 10-06-2011 04:36

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยเด็ก ๆ อาตมาชอบมุดเข้าไปในซอกเล็กซอกน้อย ผู้ใหญ่เขาเตือนว่า "ระวังผีจะลักซ่อนนะ.." แต่ก็ไม่กลัวหรอก มุดเข้าไปทุกที่ แต่ว่าเพื่อนบ้านใกล้ ๆ โดนเหมือนกัน หายไปอยู่ ๒ วัน ตามหาเท่าไรก็หาไม่เจอ ตอนหลังพระท่านช่วย ทำน้ำมนต์พรมเสร็จก็เห็นเข้าไปนอนอยู่ในสุ่มไก่ มุดเล่นอยู่ในสุ่มไก่ นอนอยู่เฉย ๆ ๒ วัน

พอถามเขาก็บอกว่าเล่นซ่อนแอบอยู่ มีคุณอา..ไม่รู้คุณอาอะไรของเขา มาชวนไปบ้าน มีขนมให้กิน บ้านคุณอาเขาสวย มีสวนสวย ๆ ไปตลอดทาง กินขนมเสร็จคุณอาก็บอกว่า "กลับบ้านเถอะ แม่กำลังหาอยู่ ๒ วันแล้ว" เวลาต่างกันขนาดนั้น นั่นกินขนมแค่พักเดียวแล้วก็กลับบ้าน"

ถาม : ถ้าไม่กลับมาจะเป็นอย่างไร ?
ตอบ : ถ้าหมดอายุก็ไปเลย ถ้าไม่หมดอายุก็เป็นลักษณะนอนเงียบไปเฉย ๆ แต่ไม่ต้องกังวล เพราะว่าสภาพร่างกายที่ออกไปลักษณะอย่างนั้น เหมือนกับการออกไปด้วยกำลังของฌาน ๔ กำลังฌานช่วยรักษาร่างกายได้

เถรี 10-06-2011 04:52

ถ้าไม่มีอะไรเกี่ยวเนื่องกันมาเขาก็ไม่มาชวนหรอก โบราณเขากลัวผีลักซ่อนก็คือลักษณะนี้ ถึงเวลาเขาก็บังตาไว้ แบบเดียวกับที่เขาใหญ่ตรงจุดใกล้ ๆ เหวสุวัต เขาทำเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ปรากฏว่าเด็กหายไปคนหนึ่ง มีพนักงานป่าไม้ผู้อาวุโสบอกให้จุดธูป ๕ ดอกปักลงดิน ขอเจ้าพ่อที่ศาลตรงนั้นให้หาเด็กเจอ

จริง ๆ เด็กก็อยู่แถวนั้นแหละ คนเดินไปเดินมาอยู่ตลอด เด็กนั่งอยู่ตรงลานหินใกล้ ๆ กับสระน้ำ ตอนเขาหากัน เด็กก็เห็นคนเดินไปเดินมาอยู่ แต่พอคนตะโกนเรียก เด็กเขาบอกว่าไม่ได้ยิน เขาไม่คิดว่าคนมาหา คิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวมาเดินธรรมดา เขารู้สึกว่าเดี๋ยวเดียวเอง แต่ปรากฏว่ากินเวลาไปวันกว่าเกือบ ๒ วัน

สมัยก่อนเรื่องลี้ลับของป่ามีเยอะ พอสมัยใหม่แค่เรื่องไฟฟ้าเรื่องเดียวทำให้ผีหายไปเกินครึ่ง เพราะว่าไฟฟ้าวิ่งด้วยความเร็ว ๕๐ ครั้งต่อวินาที เท่ากับสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา เมื่อผีเขาจะแสดงร่างเขาให้เราเห็น เขาต้องรวบรวมกำลังดึงธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ รอบข้างมารวมเป็นตัวหยาบ

แต่พอไฟกระพริบ ๆ กลายเป็นพลังงานกระแทกกระจายไป จึงทำให้ผีเขารวมไม่ติด ที่โบราณเขาบอกให้เปิดไฟนอนแล้วผีไม่หลอกนี่เป็นเรื่องจริง แต่หมายถึงผีที่มีฝีมือต่ำ ๆ นะ ถ้าไปเจอระดับด็อกเตอร์ผีเข้า เที่ยง ๆ เขาก็มาได้

ฉะนั้น..เราจะเห็นว่าระยะหลังผีหลอกคนน้อยลงเพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะดึงเอาดิน น้ำ ไฟ ลม มารวมเป็นตัวได้ กำลังไฟที่สะเทือนอยู่ตลอดเวลา ทำให้โมเลกุลเกาะกันไม่ติด นี่อธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์แล้วนะ

ถาม : แล้วถ้าอย่างเป็นไฟกองใหญ่ ๆ ?
ตอบ : เหมือนกันแหละ ลักษณะเดียวกัน เพราะเปลวไฟที่สะบัดพรึบ ๆ ตลอดเวลา ส่งพลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอด โดยเฉพาะว่าทำให้ดิน น้ำ ไฟ ลม ตรงนั้นไม่สมดุลกัน ในเมื่อไม่สมดุลกัน คุณจะประกอบร่างท่าไหน คิดจะเอาดินมาปั้นตรงนั้นก็เหลือแต่ไฟล้วน ๆ

เถรี 10-06-2011 04:57

ถาม : เวลาที่เราอ่านนิยายแล้วเรามีอารมณ์รู้สึกคล้อยตามตัวละครในเนื้อเรื่องไปด้วยนี่ ?
ตอบ : มีการปรุงแต่งด้วย เรียกว่าใส่อารมณ์ตาม จิตสังขารนี่ตัวแสบเลย ยิ่งปรุงแต่งมากโอกาสที่เราจะติดอยู่ในรัก โลภ โกรธ หลงก็ยิ่งมาก สังเกตไหม ? บรรดานางร้ายเข้าไปในตลาดแล้วโดนรองเท้าตบ นั่นเขาปรุงเกินเหตุ เรื่องในจอแท้ ๆ คิดว่าเป็นเรื่องจริง

ถาม : เราไม่ชอบตัวละครตัวนี้ ?
ตอบ : ก็แปลว่าอารมณ์ใจของเราไปปรุงแต่งตามโดยไม่รู้ตัวแล้ว ความรักชอบเกลียดชังถึงได้เกิดขึ้น ถ้าหากว่าชอบก็เป็นราคะ ถ้าไม่ชอบก็เป็นโทสะ โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

ถาม : แล้วจะสนุกได้อย่างไรละคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ปรุงก็ไม่สนุก ทุกวันนี้ที่ฝึกอ่านก็เพื่อทำให้ใจไม่คล้อยตามและอ่านรู้เรื่องด้วย รู้ไว้เพื่อคุยกับเขาก็พอ

เถรี 10-06-2011 05:07

ถาม : ทำสังฆทานเป็นชุด มีพระสวดด้วย กับหยอดตู้สังฆทาน แบบไหนบุญมากกว่ากัน ?
ตอบ : ไม่ว่าจะยกมาถวายอย่างนี้หรือหยอดตู้ถวายเป็นสังฆทาน ถ้ากำลังใจดีก็มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้ากำลังใจยังไม่ดี ยังยึดรูปแบบอยู่ ก็ทำแบบเป็นพิธีการ จะได้รู้สึกว่าตัวเองทำจริง ๆ

เพราะฉะนั้น..บุญจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา ถ้าเป็นอาตมาหยอดตู้ทำง่ายกว่า เวลาได้อะไรก็ได้ง่ายกว่า แต่ถ้ากำลังใจห่วย ๆ จะต้องเห็นของให้ครบก่อนถึงจะรู้สึกว่าได้ทำ ก็รอไปก่อน

ถาม : แล้วสร้างอุโบสถกับวิหารทาน อานิสงส์อันเดียวกันหรือเปล่า ?
ตอบ : อานิสงส์เดียวกัน เป็นบุญวิหารทานเหมือนกัน

เถรี 10-06-2011 05:18

ถาม : คนที่ได้มโนมยิทธิ เขาจะสามารถใช้ความสามารถญาณ ๘ ได้หมดทุกอย่างไหม ?
ตอบ : ได้..แต่ความสามารถแต่ละอย่างจะไม่เท่ากัน แล้วแต่บารมีที่สร้างเสริมมา ต่อให้ได้ญาณ ๘ ครบถ้วนทุกอย่างเหมือนกัน ก็จะชำนาญแต่ละอย่างไม่เท่ากัน อย่างเช่นบางคนอาจจะเก่งในทางทิพจักขุญาณ บางคนอาจจะเก่งทางระลึกชาติ บางคนอาจจะเก่งทางรู้ใจคนอื่น

ถาม : บางคนก็ได้ไม่ครบใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้าหากได้ทิพจักขุญาณตัวเดียวอย่างอื่นก็ได้ครบ เพราะว่าเป็นการใช้ทิพจักขุญาณในการรู้เรื่องต่าง ๆ ถ้าเราไปดูอดีตเขาเรียกอตีตังสญาณ ดูอนาคตเรียกอนาคตังสญาณ เป็นต้น เพราะฉะนั้น..ถ้าหากว่าได้ทิพจักขุญาณตัวเดียวเท่ากับได้ครบนั่นแหละ เพียงแต่ว่าจะชำนาญด้านไหนเท่านั้น

เถรี 10-06-2011 19:53

ถาม : พวกฝรั่งเขาไม่ได้ทำบุญในพุทธศาสนา ทำไมเขาจึงมีทรัพย์สินเยอะ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าเราเห็นแค่ชาตินี้ ฝรั่งเขามีการให้ทานเป็นปกติ ในเมื่อเขาให้ทานเป็นปกติ ผลทานก็ย่อมเกิดโภคสมบัติต่าง ๆ สมบูรณ์บริบูรณ์อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่ามีแต่พระพุทธศาสนาของเราเท่านั้นที่ให้ทานแล้วจะให้ผล เรื่องของความดีจะเป็นคนศาสนาไหนก็ตาม ถ้าทำก็ให้ผลอยู่แล้ว

ถาม : ให้ทานคนไม่ดีกับให้ทานกับพระอรหันต์ต่างกันใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต่างกัน สำคัญตรงที่คุณได้ทำหรือเปล่า ? ถ้าคุณมัวแต่รอพระอรหันต์แล้วจึงค่อยทำ ชาติหน้าบ่าย ๆ คงจะมีโอกาส

เถรี 10-06-2011 19:58

ถาม : เคยได้ยินว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย ก็เลยสงสัยว่าสมัยพระพุทธกาลพระพุทธเจ้าพูดภาษาไทยหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู ท่านสามารถใช้ทุกภาษาได้ แต่ว่าภาษาหลักในการเผยแผ่ธรรมะในสมัยนั้น คือภาษาบาลี เหมือนกับประเทศเราในปัจจุบันนี้ที่ใช้ภาษากลางคุยกับคนทุกภาคได้

ที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทยนั้น เกิดจากสมมติบัญญัติของพวกคุณทีหลัง สมัยนั้นไม่มีประเทศไทย มีแต่ชมพูทวีป

ถาม : อินเดียสมัยก่อนอยู่รวมกันทุกเชื้อชาติใช่ไหมครับ ?
ตอบ : แม้ในปัจจุบันเขาก็อยู่กันสามร้อยกว่าเชื้อชาติ เพราะมีถึงสามร้อยกว่าภาษา

ถาม : แสดงว่าคนไทยที่อยู่ในประเทศไทยปัจจุบันนี้ก็โดนไล่ลงมาใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เสียเวลาไปคิด ไปนั่งภาวนาจะดีกว่า

เถรี 10-06-2011 20:02

ถาม : ในเรื่องมโนมยิทธิ ผมนั่งสมาธิแต่ไม่ได้กำหนดภาพพระ พอรู้สึกว่าจิตนิ่งก็เห็นภาพชัดขึ้นมา ใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญตรงที่ว่าใช้งานได้ไหม ? ถ้าเป็นการฝึกปฏิบัติเฉย ๆ เรากำหนดภาพพระอย่างเดียวก็ใช้ได้ แต่ถ้าตั้งใจทำในมโนมยิทธิ ถึงเวลากำหนดภาพพระขึ้นมาแล้ว ในเรื่องญาณคือเครื่องรู้ต่าง ๆ (ญาณ ๘) อย่างใดอย่างหนึ่งเราต้องทำได้ ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าเราใช้งานไม่ได้ก็เท่ากับเป็นพุทธานุสติเฉย ๆ

เถรี 10-06-2011 20:07

ถาม : ทำสังฆทานควรเลือกเนื้อนาบุญหรือเปล่า ?
ตอบ : มีโอกาสก็เลือก ไม่มีโอกาสทำดะไปเลย เพราะสังฆทานเป็นบุญพิเศษ ทำที่ไหนก็อานิสงส์เท่ากัน


ถาม : เลือกกับไม่เลือกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่ว่า ถ้าเลือก..โอกาสทำจะน้อย สังฆะคือหมู่สงฆ์ ผู้รับเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้น เพราะฉะนั้น..จะทำที่ไหนก็อานิสงส์เท่ากัน

ถาม : แล้วพระรูปเดียวรับสังฆทาน ?
ตอบ : เหมือนกัน เพราะท่านเป็นตัวแทนเฉย ๆ

ถาม : แล้วถ้าเจาะจงบุคคลเล่าครับ ?
ตอบ : อานิสงส์จะลดลงมาหน่อยเพราะไม่ใช่สังฆทาน

เถรี 10-06-2011 20:26

ถาม : ในช่วงวันหนึ่ง ไม่รู้ว่าผมใช้มโนมยิทธิหรือเปล่า ? แต่ในใจผมนึกถึงแต่คำว่านิพพานอย่างเดียว ใช้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : จัดเป็นอุปสมานุสติ กำลังใจเกาะพระนิพพาน ใช้มโนมยิทธิไม่เป็นก็ไม่เป็นไร ขอให้นึกถึงพระนิพพานได้ก็แล้วกัน

ถาม : ถ้าผมตายตอนนี้ ผมจะไปไหมครับ ?
ตอบ : ไปแน่ แต่..ไม่รู้ว่าไปไหน..!

ถาม : แล้วผมจะได้ไปนิพพานไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มีใครบอกได้ จนกว่าจะถึงเวลานั้นเอง กำลังใจมุ่งตรงต่อเป้าหมาย พยายามปฏิบัติในกติกาที่ทำให้เราไปพระนิพพานได้ ส่วนจะไปได้หรือไปไม่ได้..ช่างมัน

เถรี 12-06-2011 20:11

พระอาจารย์เล่าว่า "หลวงปู่ทวดเป็นพระที่มรณภาพแล้วดัง ตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่ก็ดังเหมือนกัน เพราะท่านเป็นสมเด็จพระสังฆราชอยู่ระยะหนึ่ง

สาเหตุที่ท่านดังมากหลังจากมรณภาพแล้ว เพราะว่ามีรถไฟสายใต้ขบวนหนึ่งวิ่งผ่านหน้าวัดช้างให้ เนื่องจากพนักงานขับรถไฟเป็นคนภาคอื่น จึงคิดลองของ โดยท้าทายว่าถ้าหลวงปู่ทวดศักดิ์สิทธิ์จริงช่วยแสดงอภินิหารให้ดูหน่อย

ปรากฏว่ารถไฟวิ่งไปถึงหน้าวัดช้างให้แล้วหยุดอยู่กับที่ทั้งที่เครื่องเดินเป็นปกติ ไม่ว่าเครื่องจะเดินดีขนาดไหนแต่ว่าตัวรถขบวนไม่ไป จนต้องลงไปจุดธูปขอขมาท่าน รถไฟจึงวิ่งต่อไปได้"

เถรี 12-06-2011 20:19

ถาม : สูตรของดีหมีที่ผสมกับเหล้าขาวแก้อัมพาตจากเส้นเลือดในสมองแตก ต้องใช้ปริมาณเท่าไรครับ ?
ตอบ : ใส่ดีหมีลงไปจนสีของเหล้าเปลี่ยนเป็นสีชา อย่าเอาชาแก่นักก็แล้วกัน ต้องเป็นดีหมีแท้นะ เพราะปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นถุงอัณฑะของแพะ เอามาขูดให้บางแล้วเคี่ยวน้ำตาลจนไหม้ใส่ลงไปแทน ปลอมได้เนียนมาก

ถาม : ใช้ดีวัวแทนได้ไหม ?
ตอบ : ไม่ได้..เขาบอกว่าดีหมีของแท้ ถ้าเรากำไว้ในมือ เลียหลังมือยังขมเลย ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ? ไม่เคยลองเหมือนกัน

เถรี 12-06-2011 20:27

ถาม : ตอนเข้าสมาธิกรรมฐาน ดูลมสามฐาน ใช้คำบริกรรมพุทโธและยกจิตไว้ที่กระหม่อมค่ะ เกิดสภาวธรรมก็คือ จิตไปจับอยู่ที่กระหม่อมระยะหนึ่ง จิตก็ลืมลมหายใจ พอมีสติรู้ว่าลมหายใจเป็นอย่างไรก็ตัดกลับมาที่ลมหายใจ รู้สึกว่าละเอียดขึ้น แต่สภาวะตรงนั้นที่สัมผัสจะเบา ๆ ตรงที่กระหม่อม
ตอบ : ของเราทำข้ามขั้นตอนไปจ้ะ พวกนั้นต้องคนที่ฝึกมาอย่างชำนาญมาแล้ว ถ้าหากว่าทั่ว ๆ ไปเขาให้เอาความรู้สึกทั้งหมดไหลไปกับลมหายใจ ลมหายใจไหลเข้าเราไหลตามไปด้วย ลมหายใจไหลออกเราไหลตามไปด้วย ถ้าหากว่าเรายังไม่ชำนาญแล้วไปทำอย่างนั้นก็จะงง ๆ ว่านี่คืออะไรกันแน่

ถาม : สงสัยว่าสิ่งที่กระทำอยู่ เอาจิตไปจับอยู่ที่กระหม่อม ก็เหมือนกับการที่จิตระลึกรู้อยู่ที่เดียว โดยการบังคับให้อยู่ และลืมกายลืมใจหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วใช้ได้จ้ะ เพราะทำให้จิตสงบแล้วนิวรณ์กินใจของเราไม่ได้ แต่ว่าจะไม่ทรงตัวมากไปกว่านั้น
ถ้าจะให้อารมณ์ใจทรงตัวมากไปกว่านั้น ความรู้สึกทั้งหมดต้องไหลไปกับลมหายใจเข้าออกโดยไม่ไปอยู่ที่อื่น กำหนดรู้ลมตลอดไปเลย ยิ่งละเอียดมากเท่าไรก็ยิ่งกำหนดรู้ชัดขึ้น ท้ายที่สุดก็จะไม่มีฐานลม คำว่าไม่มีฐานเพราะว่ารู้ตลอดตั้งแต่เข้ายันออกตลอดทางเลย

ถาม : แล้วการพักที่ฐานที่กระหม่อมเป็นอย่างไรคะ ?
ตอบ : ไม่เป็นอย่างไร เป็นการแยกจิตไปอยู่ที่หนึ่ง แล้วความรู้สึกอยู่อีกที่หนึ่งเท่านั้นเอง สำหรับคนที่ชำนาญมาก ๆ เขาแยกได้เป็นสิบ ๆ ที่พร้อมกัน

เถรี 12-06-2011 20:33

ถาม : มีอารมณ์เกิดขึ้น คือ ระลึกรู้เองว่ามีเปลวไฟ เป็นมโนมยิทธิแต่ไม่ใช่ตาเนื้อ และเห็นเป็นกระดูก พิจารณาว่าเป็นกระดูกในตัว นั่นเป็นสิ่งที่เราสมมติขึ้นมา หรือว่าจิตเราบอก ?
ตอบ : เราไม่ได้ปฏิบัติธรรมมาเพียงชาติเดียว แต่ละคนกว่าจะมาถึงนี่ปฏิบัติกันมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว กรรมฐานเก่า ๆ ในอดีตที่เคยทำได้มีอยู่ ส่วนไหนที่คล่องตัว ถ้าจิตสงบได้ที่ก็จะมาเอง

การเห็นโครงกระดูกก็เป็นอัฏฐิกอสุภะ การเห็นไฟก็เป็นเตโชกสิณ ถ้าความรู้สึกของเราทรงตัวมั่นคงแล้ว นิวรณ์กินใจไม่ได้แล้ว จะหันไปพิจารณาโครงกระดูกนั้นแทนก็ได้ ให้เห็นว่าสภาพร่างกายของเราก็ดี คนอื่นก็ดี สัตว์ทั้งหลายก็ดี ไม่มีแก่นสารอะไร ท้ายสุดก็ตายเหลือแต่โครงกระดูกแบบนี้ ให้ใจของเราเบื่อหน่าย หมดความอยากมี อยากได้ ในร่างกายของตัวเองและคนอื่น

หรือไม่ก็ถ้าหากว่าเปลวไฟปรากฏชัด เราก็กำหนดเปลวไฟเป็นเตโชกสิณ การกำหนดก็แค่เอาสติจดจ่ออยู่กับภาพตรงนั้น กำหนดว่าเตโชกสิณังไปเรื่อย ๆ ภาพไฟก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ยิ่งทำนานเท่าไร ความจางลง บางลง ของภาพนั้นก็จะมีมากขึ้น จนในที่สุดก็จะขาวสะอาด พอเราสามารถบังคับให้ใหญ่เล็กตามใจของเราได้ ก็ลองอธิษฐานใช้ผลของกสิณดู

แต่ว่าการปฏิบัติจริง ๆ แล้ว ถ้าเราทำอย่างไหนอยู่ให้ทำอย่างนั้นให้ตลอดไปก่อน จนอารมณ์ใจทรงตัวเต็มที่จริง ๆ ถ้าเป็นกรรมฐานทั่ว ๆ ไปคือให้ได้ฌาน ๔ ไปเลย แล้วหลังจากนั้นแล้วค่อยเปลี่ยนกองใหม่ ไม่อย่างนั้นเรามัวแต่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ การทรงตัวก็จะไม่มี ผลที่จะเกิดจริง ๆ ก็ไม่ได้

ถาม : แล้วของโยมควรจะทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : เอาของเก่าก่อน ถ้าเราดูลมก็ทำเต็มที่จนถึงทรงฌาน ๔ ไปเลย แล้วหลังจากนั้นแล้วค่อยเปลี่ยน ของที่เคยทำได้แล้ว ถึงเวลาขยับเปลี่ยนไปพักเดียวก็ได้แล้ว

เถรี 12-06-2011 20:38

ถาม : การรู้ตัวอาการของจิต เห็นความโกรธ ความโลภ ความเป็นอัตตาของตัว แต่ก็ยังฟู
ตอบ : ถ้าจิตละเอียดมากขึ้นก็จะเห็นมากขึ้น แต่ว่าให้เห็นในลักษณะเป็นผู้ดู คือรู้ว่าตอนนี้อารมณ์ใจอย่างนี้เกิดขึ้นกับเรา แล้วก็สักแต่ว่ารับรู้ไว้ ไม่ไปยินดียินร้ายด้วย ถ้าอย่างนั้นก็จะกลายเป็นวิปัสสนา ก็คือเห็นจริงอยู่กับปัจจุบัน แต่ถ้าหากว่าเราไปยินดียินร้ายด้วย จิตใจก็จะเศร้าหมองไม่ผ่องใส ถ้าตายตอนนั้นก็ขาดทุน

ถาม : ถ้าเห็นแล้วเรารู้สึก เหมือนระลึกรู้ แล้วจิตเกิดปีติขึ้น ?
ตอบ : ก็ดีจ้ะ แต่ก็เป็นแค่ปีติ ปีติก็เป็นเรื่องแค่กามาวจร ถ้าเราหวังหลุดพ้นจะต้องก้าวข้ามไปให้สูงกว่านั้น ไม่ไปยินดียินร้ายด้วย สักแต่ว่ารู้เห็น ให้สติระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน ให้เห็นว่าสภาพของจิตของเราจริง ๆ นั้นคบหาไม่ได้เลย เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เดี๋ยวรัก เดี๋ยวโลภ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวหลง เกิดมาเมื่อไรก็จะเจออย่างนี้ ในที่สุดก็จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด ไม่ต้องการ หมดความยึดมั่นถือมั่น จิตก็จะถอนออกมาแล้วหลุดพ้นไปเอง

ถาม : ให้กลับไปดูลมหายใจ ?
ตอบ : กลับไปดูลมหายใจใหม่ แล้วก็กำหนดรู้อยู่กับปัจจุบันของเรา อะไรมาให้รู้อยู่เฉพาะหน้า อย่าไปยินดียินร้าย อย่าไปปรุงแต่งด้วย มาเท่าไรกองเอาไว้ตรงนั้นแหละ

ถาม : เรารู้อยู่ว่าจิตส่งไปทางไหนของร่างกาย พอเรามีสติรู้เราก็มาดูลมหายใจอีก ?
ตอบ : ถ้าเราทำจนคล่องตัวแล้ว จะรู้อัตโนมัติไม่ต้องบังคับ เราก็แค่ประคองการรู้อัตโนมัตินั้นไว้เท่านั้น

ถาม : การรู้ลมหายใจต้องกำหนดคำบริกรรมไหมคะ ?
ตอบ : แรก ๆ ต้องกำหนดจ้ะ แต่พอทรงตัวแล้วจะเป็นเองอัตโนมัติ เราไม่ต้องภาวนา ไม่ต้องกำหนดก็ภาวนาเอง เราไม่ต้องกำหนดก็รู้ลมเอง แล้วเราก็ประคองรักษาสภาพนั้นเอาไว้

เถรี 12-06-2011 21:41

ถาม : ตอนที่เดินจงกรม รู้สึกว่าเวลากำหนดแล้วอึดอัด พอรู้ว่าเคลื่อนไปเป็นธรรมดา กลับมาที่ตากลับมาที่ใจจึงสบาย อย่างนี้ไม่ต้องกำหนดองค์บริกรรมก็ได้ ?
ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ เพราะว่าการกำหนดองค์บริกรรมจริง ๆ เพื่อให้หมู่คณะได้ทำโดยพร้อมเพรียงกัน ปกติแล้วถ้าหากว่าทำจนกระทั่งเข้าใจว่าขั้นตอนมีอย่างไรแล้ว เขามักจะให้แยกไปปฏิบัติคนเดียว

แต่การปฏิบัติที่เขามักจะทำเป็นหมู่พร้อม ๆ กัน ก็เลยทำให้คนที่มีความก้าวหน้ามากกว่าบางทีรู้สึกรำคาญ เพราะต้องไปนับหนึ่งกับเขาอยู่ตลอด จริง ๆ แล้วก็คือเราแยกไปทำตามสบายของเรา อันไหนที่ทำแล้วจิตของเราสบาย ทรงตัว กิเลสกินไม่ได้ ถือว่าใช้ได้ทั้งนั้น

เถรี 12-06-2011 21:44

ถาม : เวลาภาวนาจับลมหายใจจะหนักหัวตรงนี้ แล้วก็เปลี่ยนที่ไปเรื่อยค่ะ ?
ตอบ : ปล่อยให้เป็นต่อไป ไม่ต้องไปใส่ใจ มัวแต่ไปห่วงกังวลอยู่ ก็ไม่ต้องไปไหนสิ รู้สักแต่ว่ารู้ ทำได้ไหม ?

ถาม : มีดพับที่เอาไปเข้าพิธีเป็นวัตถุมงคล จะเอาไปใช้ตัดทั่วไปได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..ใช้ไปเถอะ ก็เขาให้ใช้นี่ เพียงแต่ว่าใช้อย่างมีสติแล้วกัน

เถรี 12-06-2011 21:48

ถาม : ผมภาวนาคาถาเงินล้านพร้อมกับจับลมหายใจ ภาวนาไปลมหายใจหายไปเหลือแต่คำภาวนา ต้องถอยลงมาพิจารณาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องจ้ะ ปล่อยยาวไปเลยจนกว่าจะครบตามเวลาหรือตามจำนวนจบที่เราต้องการ เสร็จแล้วหลังจากนั้นเราค่อยคลายอารมณ์ออกมาพิจารณา

เรื่องของคาถาต้องทำจริงจังและสม่ำเสมอ เคยทำวันละเท่าไรต้องทำวันละเท่านั้น ถ้าหากว่าเริ่มเป็นอย่างของคุณว่านี่ ทำต่อเนื่องได้สัก ๒ เดือน ต่อไปเงินทับตาย..!

เถรี 12-06-2011 21:53

พระอาจารย์แนะนำโยมที่ตั้งครรภ์ว่า "พยายามรักษาศีลปฏิบัติธรรมให้เป็นปกติ โดยเฉพาะสมัยนี้พวกอาหารการกินต่าง ๆ อุดมสมบูรณ์มากเกินไป ทำให้เด็กพลังงานล้นเกิน เด็กที่พลังงานล้นเกินจะอยู่นิ่งไม่ได้

ถ้าหากว่าเรานั่งสมาธิทุกวันจนกระทั่งอารมณ์ทรงตัว จะส่งผลไปถึงลูกด้วย ต่อไปลูกก็จะนิ่งเป็นตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่อย่างนั้นให้เด็กนั่งนิ่ง ๆ นี่ตายแน่เลย ต้องจับมัดกันอย่างเดียว

ทำไปทุกวัน รักษาศีล ๘ ได้ยิ่งดี"

เถรี 13-06-2011 11:06

ถาม : อาการแพ้ท้องนี่มีผลมาจากกรรมปาณาติบาตหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นอาการปกติของคนท้อง แต่จะเรียกว่ามีกรรมก็ได้ บางคนก็ไม่เคยแพ้เลย บางคนก็แพ้ตั้งแต่วันแรกยันวันคลอดเลย

พวกที่ไม่เคยแพ้เพราะเขาไม่รู้ว่าต้องแพ้ ร่างกายจึงไม่ได้ตั้งระบบไว้ว่าต้องแพ้ พวกที่ไม่เคยแพ้เลยถ้าหากว่ากินยาคุมก็ไม่มีอาการอะไรเลย ส่วนพวกที่แพ้ท้องมาก ๆ นี่ยาคุมก็กินไม่ได้ กินแล้วก็อาเจียน ความจริงเขาไม่ได้แพ้เพราะเด็ก แต่อาการแพ้เกิดจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง

เถรี 13-06-2011 11:08

ถาม : ก่อนวันเกิดนี่จะมีเคราะห์หรือคะ ?
ตอบ : ประมาณก่อนเกิดเดือนหนึ่งและหลังเกิดเดือนหนึ่ง จะเป็นช่วงรอยต่อของกรรม เพราะฉะนั้น..ช่วงนั้นถ้ามีอะไรดีหรือร้ายเข้ามา จะหนักกว่าเวลาอื่น เขาให้ทำบุญกันเอาไว้ก่อน

อย่างของอาตมารู้ว่าของจะหาย เพราะว่าตอนนี้ราหูกำลังจะออกพ้นไปจากราศีเกิด ก็ไปปล่อยนกส่งท่าน แล้วต้องไปปล่อยที่วัดเชียงมั่นด้วยนะ ที่อื่นไม่ปล่อย เพราะสนิทกับคนขายที่นั่น การปล่อยนกมีอานิสงส์ป้องกันของหายได้

เถรี 13-06-2011 11:11

ถาม : ปล่อยปลาอานิสงส์เหมือนกันไหมคะ ?
ตอบ : ไม่เหมือนเพราะว่าปลาเขาจะเอาไปฆ่า การปล่อยปลาจึงมีอานิสงส์ต่อชีวิต ส่วนนกนี่เขาไม่ฆ่าหรอก เขาเก็บไว้ให้เราปล่อย แต่ว่าถ้าเป็นปลาเขาตั้งใจเอามาขายให้เราปล่อยนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง

อย่างท่านอาจารย์วิโรจน์ วัดสระพัง ถึงเวลาก็มาชวน "อาจารย์เล็ก..ปล่อยปลาด้วยกันไหม ?" อาตมาบอกว่า "ไม่เอาหรอก..ปล่อยอย่างคุณจะไปได้อะไร เล่นไปสั่งเขาตีอวนมาที ๓ - ๔ ตัน ปลาอยู่ในบ่อยังสบายกว่าโดนเขาลากขึ้นมาตั้งเยอะ" แต่ว่าไปแล้วทำอย่างท่านอาจารย์วิโรจน์นั้น จะมีอานิสงส์ได้บริวารมาก

เถรี 13-06-2011 13:45

ถาม : วันที่ ๒๔ เขาไหว้เจ้า เขาบอกว่าราหูเคลื่อนจากราศีธนูเข้าสู่ราศีพิจิก เป็นมหาอุจจ์
ตอบ : คำว่า "อุจจ์" ตัวนี้เป็นบาลี แปลว่าสูงมาก เช่น อุจฺโจ รุกฺโข อันว่าต้นไม้ซึ่งสูงมาก

ดังนั้น..มหาอุจจ์ตัวนี้ ก็แปลว่ากำลังกุมชะตาเต็มที่แล้ว แต่ว่าราหูเข้าก็ดี ถ้าเราทำพิธีรับแล้ว ส่วนใหญ่ต้องการอะไรจะได้อย่างนั้น ต่อไปอะไรที่ยากก็จะง่ายขึ้น

ถาม : เราจะดูอย่างไรว่าราหูจะมา ราหูจะไปเมื่อไร ?
ตอบ : เปิดตำราพระเคราะห์เสวยอายุในพรหมชาติก็ได้ เขาจะมีบอกไว้ เราก็ไล่ดูไปเรื่อยว่าอายุกี่ปีกี่เดือนกี่วัน ราหูจะเสวยอายุในช่วงไหน

ปกติแล้วเราเกิดวันไหนจะเริ่มต้นที่ดาวนั้น อย่างอาตมาเกิดวันอาทิตย์ ก็คือพระอาทิตย์เสวยอายุ ๖ ปีแรก ถัดไปอีก ๑๕ ปีพระจันทร์เสวยอายุ เป็น ๒๑ ถัดไปอีก ๘ ปีพระอังคารเสวยอายุ ก็ไปถึง ๒๙ ถัดไปอีก ๑๗ ปีพระพุธเสวยอายุ ก็เป็น ๔๖ ก็แปลว่า ปัจจุบันนี้ของอาตมาก็คือ ๑๙ ปีของพฤหัสบดี แต่ไม่ใช่พฤหัสบดีเสวยอายุอย่างเดียว เพราะว่าจะมีดาวจรแทรกเข้ามาเป็นระยะ ๆ อย่างราหูบ้าง ศุกร์บ้าง พุธบ้าง ตามแต่จังหวะการโคจรของเขา

แต่ว่าดาวหลัก ๆ ตอนนี้คือดาวพฤหัสบดี คราวนี้ถ้าดาวพฤหัสบดีเสวยอายุอยู่มักจะต้องอ้วน เพราะเป็นดาวใหญ่ที่สุดในนพเคราะห์ทั้งหมด แต่เขามีข้อแม้ว่าถ้าคนไหนไม่อ้วน จะรวยแทน เพราะฉะนั้น..ตอนนี้อาตมาจะรวยใหญ่ไปถึงอายุ ๖๕ พอ ๖๕ ไปแล้วก็จะรวยใหญ่ขึ้นไปอีก สรุปแล้วหาดี เอ๊ย..หาชั่วไม่ได้ มีแต่ดีอย่างเดียว เพราะทุกอย่างอยู่ที่กำลังใจเรา


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:38


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว