กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2109)

เถรี 16-09-2010 11:08

ถาม : โทรไปตรวจสอบมาแล้วครับ น้ำท่วมสุโขทัยแต่ไม่มีคนตายครับ
ตอบ : ไม่มีหรอก ก็อาตมาไปขวางเอาไว้

ถาม : นี่เป็นกรรมของท่านด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : เขาแค่ทดสอบว่า เรายังไปยุ่งกับกรรมของชาวบ้านอยู่หรือเปล่า แต่เชื้อเดิมของเราที่คิดจะสงเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งหลาย อย่างไรก็อดใจไม่ได้หรอก คราวนี้เห็นหรือยังว่าสันดานนั้นแก้ยากแค่ไหน

สันดานเป็นภาษาไทย บาลีเขาเรียกว่า สันตติ คือความสืบเนื่อง มีการสั่งสมสืบเนื่องมาชาติแล้วชาติเล่า บำเพ็ญบารมีมาเพื่อจะสงเคราะห์สรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ทีนี้พอทำมาแล้ว เวลาเห็นเขาจะทุกข์จะตาย ก็อดไม่ได้ แล้วเวลาในการตัดสินใจก็ไม่มี มีเวลาแค่ ๒ - ๓ วินาทีเท่านั้นเอง เพราะที่เราเห็นน้ำป่าห่างหมู่บ้านแค่ไม่กี่ศอกแล้ว ไม่อย่างนั้นได้ตายกันยกหมู่บ้านแน่

บางทีนิมิตพวกนี้ก็แสดงให้เห็นว่า เชื้อเก่าของเราทำไว้เยอะเหลือเกิน เมื่อทำเอาไว้เยอะ เมื่อถึงเวลาตัดสินใจเพื่อตนเองเพื่อผู้อื่น ก็มักจะตัดสินใจเพื่อผู้อื่นอยู่เสมอ นึกถึงตอนที่ไปขอลาพุทธภูมิ พระท่านห้ามไว้สองครั้ง พอครั้งที่สามท่านบอกลาได้ แต่งานเก่าให้ทำไปก่อน

อาตมาฟังแล้วก็งง ๆ ว่าตกลงได้ลาหรือไม่ได้ลา คือ ลาได้แต่งานเก่าทำไปก่อน ก็แปลว่าถ้าเอ็งแน่จริงก็ไปนิพพาน ถ้าไม่แน่จริงก็เป็นต่อไป..!

ในประวัติของกีสาโคตมีเถรี เอตทัคคะปาลิ ขุททกนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสกับนางกีสาโคตมี ที่อุ้มลูกไปขอให้ท่านรักษา ทั้ง ๆ ที่ลูกตายแล้ว "ภคินิ...ดูก่อนน้องหญิง ในแต่ละชาติที่เธอเกิดมา ต้องเสียน้ำตาเพราะคนที่รักจากไป เมื่อรวมกันแล้วน้ำตาของเธอทั้งหมด ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่เป็นไหน ๆ" คิดดูสิว่าเกิดมากี่ชาติ น้ำตาไม่กี่หยดรวมกันจนมากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่เสียอีก..!

เถรี 17-09-2010 09:32

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อวันที่ ๑๙ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙ ไปนั่งปรกอธิษฐานจิตงานหล่อพระที่วัดบวรฯ พระท่านบอกว่าให้เป่ายันต์ปลายปีนี้ ก็คือ วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๓"

เถรี 17-09-2010 09:44

พระอาจารย์เล่าเรื่องสมัยที่ท่านเป็นทหารให้ฟังว่า เป็นคนไม่กลัวเจ้านาย ด้วยเหตุผลที่ว่าเจ้านายตัวเล็กนิดเดียว ส่วนเราตัวใหญ่กว่าจะต้องไปกลัวเขาทำไม

"มีโอกาสได้คุยกับบรรดาทหาร ว่าทำไมจึงกลัวผู้บังคับบัญชานัก เขาบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน นายท่านนี้สงสัยจะมีนะหน้าเสือ ตัวเล็ก ๆ ก็จริง แต่ใครเห็นก็สั่น

ความจริงไม่ใช่หรอก นั่นเกิดจากตบะที่ท่านสั่งสมมาวันแล้ววันเล่า อยู่ในลักษณะที่เป็นผู้นำเขามามาก ทำให้พลังจิตของเขาเหนือกว่า ถึงได้บอกว่าถ้าเรารู้สึกว่ามีใครสักคนหนึ่งที่เราต้องการจะข่มเขาให้ลง ให้นึกถึงกำลังใจในชาติที่เราใหญ่กว่าเขา แล้วก็ดึงเอากำลังใจตรงนั้นมาใช้"


ถาม : พลังจิตสั่งสมมาหรือคะ ?
ตอบ : สั่งสมมาเรื่อย ขณะเดียวกัน ถ้าของเราสั่งสมมาแล้วของเขาเล่า ? เขาก็สั่งสมมาเหมือนกัน ก็เลยต้องไปเลือกชาติที่เราใหญ่กว่าเขา แต่ต้องบอกว่าโบราณของเราดี ตรงที่ว่ามีอะไรก็ยกเอาบารมีครูบาอาจารย์ขึ้นมาก่อน

อย่างสมัยก่อนตอนที่ยังเป็นเด็ก ได้เรียนคาถาบทหนึ่งชื่อโองการมหาทมื่น เขาจะมีกล่าวถึงครู "โอม..กูจะอ่านโองการมหาทมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกง ไม้ไร่ก็แหลกเป็นผุยผงไปทั่วทั้งสกลชมภู เมื่อกูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้ครูกูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูว่าพระคาถา... ฯลฯ"

โองการมหาทมื่นเป็นคาถาที่ยาวมาก แต่เป็นคาถาที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อความปลอดภัย จะในน้ำ บนบก กลางวัน กลางคืน จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง อาวุธทุกประเภท เขาเอ่ยถึงหมด ลองไปค้นในกูเกิ้ลดู น่าจะมี

คาถานี้เขาทำขึ้นมาเพื่อป้องกัน อาวุธสารพัดมีเอ่ยเอาไว้หมด แต่เชื่อเถอะท้ายสุดก็ต้องมีจุดอ่อนจนได้ แบบแสนตรีเพชรกล้าอะไรก็ฟันไม่เข้า แต่ท้ายสุดก็โดนหลาวทะลวงก้นตายจนได้..!"

เถรี 17-09-2010 09:51

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนที่ไปรับประกาศนียบัตรของพระนิสิต ป.บส. (ประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์) หลวงพ่อสมเด็จวัดปากน้ำ ท่านให้โอวาทว่า ท่านขอแสดงความยินดีด้วยที่นักศึกษาสำเร็จการศึกษามารับประกาศนียบัตร

สิ่งที่ทุกท่านเรียนไปนั้นเอาไปใช้ประโยชน์ได้มาก โดยเฉพาะประโยชน์ในการบริการกิจการคณะสงฆ์ แต่สิ่งนี้เป็นปัญญา มีเฉพาะปัญญาอย่างเดียวเราจะเอาตัวไม่รอด ต้องให้มีสติควบคุมกันไปด้วย โบราณเขาถึงได้ใช้คำว่า สติและปัญญาควบคู่กันไป ปัญญาเป็นความรอบรู้ แต่สติเป็นความรอบคอบ ถ้ารอบรู้อย่างเดียวแต่ไม่รอบคอบ ก็จะผิดพลาดได้ง่าย

ไม่รู้คนอื่นฟังแล้วรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับอาตมารู้สึกว่าท่านจี้ถูกจุดเลย เพราะต้นตอของปัญหาทั้งปวงเกิดจากคนมีปัญญาแต่ขาดสติ ในเมื่อขาดสติก็จะทำอะไรขาด ๆ เกิน ๆ

หลวงพ่อสมเด็จวัดปากน้ำท่านอายุแปดสิบกว่าขึ้นไปก็จริง แต่ท่านกล่าวให้โอวาท กล่าวเปิดโดยไม่ต้องดูโพยเลย ส่งเล่มไปให้ท่าน ท่านก็วางเฉย ๆ แล้วก็ว่าเอาเอง คนอายุ ๘๐ กว่าแล้วสมองยังดีขนาดนี้ สุดยอดจริง ๆ"

เถรี 17-09-2010 11:18

ถาม : ฝันเห็นจระเข้
ตอบ : ตีความได้สองอย่าง อย่างหนึ่งโบราณเขาว่าจะมีคนปองร้ายหรือติดสินบน (บนเอาไว้แล้วไม่ได้แก้บน) อย่างที่สองก็คือ กิเลสในใจของเราเอง

ถาม : แล้วถ้าฝันเห็นเต่า
ตอบ : ไม่เห็นหรือว่าเต่ามีอะไรบ้าง ๑ หัว ๔ ขา ๑ หาง รวมแล้ว ๖ ถึงเวลาอะไรกระทบก็หดเข้ากระดอง เอาตัวรอดไว้ก่อน คนเราถ้าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอะไร เราก็หลบไม่ไปรับไว้ แล้วจะสบายไหมเล่า ?

ถาม : ถ้าเราฝันเห็นเต่าแล้วกลายเป็นจระเข้
ตอบ : แปลว่ากิเลสจะเจริญงอกงามถึงขนาด จะแปลงจากเชื่องช้าเชื่องเชื่อ กลายเป็นอาละวาดแล้ว ระวังให้ดี..!

เถรี 17-09-2010 12:29

พระอาจารย์เล่าเรื่องหมาให้ฟังว่า "เกี่ยวกับหมาต้องระวังให้มาก ๆ เลย ถ้าหมาได้กินอาหารสักอย่างหนึ่งที่ชอบ ต่อไปเขาจะเลือกกิน อย่างไหนที่ไม่ชอบก็จะไม่แตะเลย

สมัยก่อนที่วัดท่าซุงมีหมาตัวหนึ่งชื่อไอ้แมน เป็นสุดยอดหมาจริง ๆ เลย ผอมจนซี่โครงบาน เดินไปก็เป็นลมล้มตึง ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าเป็นลมเพราะอะไร หลวงตาวัชรชัยบอกว่าลองเอานมให้มันกินสิ พอเทใส่ชามให้ มันซัดจนเกลี้ยงภายในนาทีเดียว..!

ก็คือ ถ้าไม่ได้เนื้อหรือนมไอ้แมนไม่กิน อย่างอื่นมาวางไว้ตรงหน้า เป็นตายก็ไม่กิน ถึงขนาดยอมเป็นลมล้มตึงขนาดนั้น สุดยอดหมาจริง ๆ สมควรที่จะเป็นหมาต่อไป..! ต้องบอกว่าไอ้แมนประกอบด้วยทิฏฐิมานะเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าเราจะเลียนแบบไอ้แมน ก็คือ เราต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำความชั่วให้ได้ มีโอกาสที่จะละเมิดศีล เราจะไม่ยอมละเมิดเด็ดขาด (มองไปที่ใครบางคน) หรือว่ามีวิปครีมอยู่ตรงหน้า เราก็จะไม่กินเด็ดขาด..!"

เถรี 17-09-2010 13:14

ถาม : สิ่งที่เคยสัมผัสในการปฏิบัติธรรมเราได้ผ่านมาแล้ว แต่ทำไมเราย้อนกลับไปเห็นอีก แล้วก็เกิดขึ้นเอง..?
ตอบ : บางอย่างมีนิมิตบอกเหตุล่วงหน้า แต่เราไม่ได้ใส่ใจ พอถึงเวลาแล้วเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ เราจึงนึกได้ว่าที่แท้เรารู้แล้ว

ถาม : หนูก็ไม่มีความมั่นใจในตนเอง กลัวตนเองจะไปเทียบ
ตอบ : ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นของแถมของนักปฏิบัติ ถ้าเราทำไปถึงระดับหนึ่ง จิตเริ่มสงบ ก็จะสะท้อนให้เห็นสิ่งรอบข้างได้

แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเสียมากกว่าดี ที่เสียมากกว่าดีเพราะเราไปติดในนิมิตเหล่านั้น นิมิตเหล่านั้นจะแม่นยำได้ก็ต่อเมื่อเราไม่เอาจิตไปปรุงแต่งให้เกิดรัก โลภ โกรธ หลง สักแต่ว่ารับรู้เฉย ๆ แต่ทันทีที่เราไปอยากรู้อยากเห็น อาจจะอยากรู้เพื่อที่จะเอาไปบอกคนอื่น หรืออยากรู้เพื่อจะไปอวดใคร คราวนี้เราจะโดนหลอกให้เป๋ได้ง่าย

ทำไม่รู้ไม่ชี้นั่นแหละ มาก็รับรู้ไว้ด้วยความเคารพแล้วก็กองไว้ตรงนั้น


ถาม : มักจะกระโดดกลับไปกลับมา
ตอบ : เรื่องของนิมิตนั้นไม่มีต้นมีปลาย นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป กว่าจะรู้ส่วนใหญ่ก็เมื่อเหตุนั้นเกิดขึ้นแล้ว

เถรี 17-09-2010 13:27

พระอาจารย์เล่าเรื่องถูกหวยให้ฟังว่า "เมื่อปี ๒๕๒๖ น้ำท่วม บ้านอาตมาอยู่ซอยอ่อนนุช เลยแยกศรีนครินทร์ไปหนึ่งป้ายรถเมล์ ตรงนั้นก็คือ ซอยอ่อนนุช ๖๖

ปรากฏว่ารัฐบาลเขาช่วยกันกั้นเขื่อนแค่ถนนศรีนครินทร์ บ้านเราน้ำก็เลยสูงถึงอก ท่วมอยู่ ๘ เดือน แต่ยังคงไปวัดตามปกติ กินบุญเก่าไปเรื่อย เงินก็จะหมด

วันนั้นหลังเที่ยงแล้วมีการฝึกมโนมยิทธิ พอฝึกเสร็จ ครูฝึกก็มารายงานยอดว่า วันนี้มีผู้ฝึกสามารถไปนิพพานได้ ๙๘ คน อาจารย์ยกทรงก็ถามว่า "ออกไหมครับ ?" พวกก็ฮากันครืน หลวงพ่อก็บอกว่า "เอาอย่างนี้สิ ๓๐๐-๙๘ เหลือเท่าไรวะ ?"

อาจารย์ยกทรงก็นั่งเงียบ หลวงพ่อพูดว่า "ไอ้ขี้หมา..แค่นี้ก็คิดไม่ทัน" จำไว้เลยว่าถ้าหลวงพ่อพูดแล้วทิ้งเลย ไม่ได้พูดเล่นต่อ แสดงว่าเลขนั้นออก แต่ถ้าท่านพูดเล่นต่อด้วยนี่ไม่ออกหรอก เราก็มานึกถึงเลข ๒๐๒"

เถรี 17-09-2010 13:39

"ตอนแรกคิดจะซื้อหวยเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ไม่เคยเล่น ก็ไม่ได้จดจ่อที่จะซื้อ

พอเลิกจากบ้านสายลมแล้ว ขี้เกียจกลับบ้านเพราะน้ำท่วม ดันนั่งรถเมล์ไปลงหน้ากองสลาก แม่ค้าเขาถามว่า "พี่เอาเลขอะไร ?" เราก็มอง ความคิดของเราก็คือ แม่ค้าคนหนึ่งเขาได้โควตาสองเล่ม เลขท้ายสามตัวอย่างเก่งสองเล่มก็มีแค่สองใบ

แต่แทนที่จะบอกว่าเอา ๒๐๒ สองใบ ดันไปบอกว่า "มี ๒๐๒ ไหม ? เท่าไรก็เอาหมด" ปรากฏว่า แม่ค้าสะกิดบอกต่อ ๆ กันไปเลย "ใครมี ๒๐๒ เอามาเลย พี่เขาซื้อหมด" เราไม่รู้ว่าเลข ๒๐๒ นั้นเพิ่งออกไป เขาส่ง ๒๐๒ มาทั้งหมด อยู่ ๆ เลขที่ขายไม่ได้มีคนมาเหมาซื้อถือว่าบ้าชัด ๆ..!

ทีนี้จะกลับบ้านก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ก็เลยนั่งรถเลยไปเยี่ยมแม่ที่บ้านกำแพงแสน อยู่กับแม่หลายวัน กลับมาวันหวยออกพอดี ก็ไม่รู้ว่าหวยออก

ตอนเย็นผ่านกองสลากประมาณห้าโมงเย็น พอดีท่านแสงเขามาด้วย เขาสะกิด "พี่ ๆ ถูกหวยว่ะ" เขาชี้ให้ดู ปรากฏว่าตอนนั้นมีเลขท้ายสามตัวถึงห้าครั้ง งวดที่แล้วออกครั้งที่สอง ส่วนงวดนี้ออกครั้งที่ห้า ก็คือออกซ้ำเลขที่ซื้อนั่นแหละ

เท่ากับว่าเขาบังคับให้รวย "มีเท่าไรเอาหมด" พูดไปได้อย่างไร เป็นเพราะสถานการณ์บังคับจริง ๆ ที่แน่ ๆ ตอนนั้นเกือบจะไม่เหลือค่ารถกลับบ้าน เพราะเอาไปซื้อหวยเกือบหมด"

เถรี 17-09-2010 14:30

"จำไว้ว่าหวยเป็นอบายมุข อบาย คือ ทางต่ำ , ทางเสื่อม
มุขะ คือ ปากทาง อบายมุข คือ ปากทางแห่งความเสื่อม

พระพุทธเจ้าบอกว่า ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ย่อมทำให้ทรัพย์สินฉิบหาย ไม่มีผู้ใดเชื่อถือ"

เถรี 17-09-2010 14:40

"เรื่องของบุญกุศลที่ทำไว้ ต่อให้ไม่เล่นหวย ถ้าวาระบุญเข้ามาสนองจริง ๆ ก็จะได้ในทางอื่นแทน

มีคนกวาดขยะเก็บได้รางวัลที่หนึ่ง ช็อกหัวใจวายตาย..! ตอนตายยังกำหวยใบนั้นอยู่เลย คนเขาก็สงสัยว่าได้หวยมาจากไหน ปรากฏว่ามีคนเอามาทิ้งไว้และเป็นหวยของงวดที่แล้วที่เขาไม่ถูก แต่เลขมาตรงกับรางวัลที่หนึ่งของงวดนี้ ตกลงว่าตายฟรี..!

ส่วนจ่าตำรวจที่ตาคลี นครสวรรค์ ซื้อหวยมา ๘๐ บาท รู้สึกเสียดายเงิน ตอนเย็นกินเหล้าก็เอาหวยไปยัดเยียดให้เพื่อน เพื่อนก็ไม่เอา จนกระทั่งท้ายสุดลดเหลือ ๕๐ บาท เพื่อนก็เลยต้องจำใจซื้อไป เขาเก็บหวยไว้เฉย ๆ

ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นถูกหวย ๖ ล้าน จ่าตำรวจที่ขายหวยให้เพื่อนไป ๕๐ บาท คว้าปืนจะเอามายิงหัวตัวเอง เพื่อนต้องห้ามกันอุตลุด เขาโกรธตัวเองที่โยนเงิน ๖ ล้านให้เพื่อนในราคา ๕๐ บาท แล้วบังคับให้เขาเอาด้วยนะ แสดงว่าคนเราสร้างบุญเอาไว้ ถ้าบุญจะสนองอย่างไรก็ต้องมา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง"

เถรี 17-09-2010 15:05

มีโยมมาจากสหรัฐอเมริกา เล่าให้พระอาจารย์ฟังว่า ตะกรุดมหาสะท้อนที่ตัวเองพกอยู่นั้นใช้ได้ผล พระอาจารย์จึงกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

"จริง ๆ แล้วถึงเราไม่มีตะกรุดมหาสะท้อน ใช้คาถาอย่างเดียวก็ได้ผล แต่สมาธิต้องทรงตัว เราภาวนา เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ไปเรื่อย ๆ ถ้าสมาธิทรงตัว จะมีอานุภาพเหมือนกับใช้ตะกรุดมหาสะท้อน เพราะตะกรุดก็ปลุกด้วยคาถานี้ ต่างกันแค่พวกเราขาดความมั่นใจเท่านั้นเอง ถ้าสมาธิดีหน่อย มีความมั่นใจ ไม่ต้องไปเสียเงินบูชาตะกรุดแพง ๆ ก็ได้

เมื่อเช้านายทหารเขาเอาเช็คมาให้ เขาบอกว่าทำกระเป๋าเงินหาย แล้วตะกรุดอยู่ในนั้นด้วย ก็เลยต้องเสียเงินอีกหนึ่งหมื่นมาเอาของใหม่ อยากจะบอกว่าเป็นถึงระดับผู้บัญชาแล้ว ไม่ควรงมงายเรื่องนี้ แต่ก็พูดไม่ออก

วัตถุมงคลทุกประเภทสำคัญตรงกำลังใจของคนใช้ วัตถุมงคลเหมือนกับเครื่องส่ง มีการส่งคลื่นอยู่ตลอดเวลา ถ้ากำลังใจของคนใช้ไม่เปิดรับ มีวัตถุมงคลไว้ก็เท่านั้น เหมือนกับไม่มีนั่นเอง

ดังนั้น..เราจะเห็นได้ว่า คนที่เอาวัตถุมงคลไปใช้ ถึงเป็นของรุ่นเดียวกัน อย่างเดียวกันก็จริง แต่ได้ผลไม่เท่ากันหรอก คนที่กำลังใจเข้มแข็งมาก มีความศรัทธาเชื่อมั่นมาก ใช้ได้ผลมากกว่า คนที่อยู่ต่างประเทศใช้ได้ผลมากกว่าคนในประเทศ เพราะว่าอยู่ไกลแล้วไม่รู้จะพึ่งอะไร จึงต้องอาศัยวัตถุมงคลเป็นหลัก"

เถรี 17-09-2010 17:15

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานมีคนคิดมิดีมิร้ายกับรองเท้าของอาตมา รองเท้าเลยต้องหนีไปซ่อน เฟิร์สเขาถามว่า เมื่อไรถึงจะรู้ได้ขนาดหลวงพ่อ ?

อาตมาบอกไปว่า มีสองวิธี วิธีแรก คือซ้อมบ่อย ๆ ให้คล่องตัว วิธีที่สองคือ อธิษฐานทุกครั้งว่า เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด"

เถรี 17-09-2010 18:01

พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "คนเราถ้ายังไม่ถึงที่ตายอย่างไรก็รอด แต่ถ้าถึงวาระจะตายอย่างไรก็ต้องตาย

สมัยอาตมาเด็ก ๆ มีโยมอยู่คนหนึ่ง หมอดูบอกเขาว่า วันนี้จะมีอันตรายถึงแก่ชีวิต แกก็เลยใช้วิธีนอนอยู่ในมุ้ง กะว่าถ้าไม่ออกไปไหนอย่างไรก็ไม่ตาย

ปรากฏว่าตอนสายแม่ไก่ออกไข่ แล้วบินขึ้นไปกระต๊ากบนขื่อ เกาะอยู่บนนั้น แต่ไก่ไปเกาะที่ปลายหอกพอดี พอน้ำหนักกดลง หอกก็พุ่งปราดลงมาเสียบคามุ้งเลย ฉะนั้น..อยู่ในมุ้งก็ตาย

หากไม่ถึงคราวตายวายชีวาตม์....ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ
หากว่าถึงคราวตายวายชีวัน......ไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือกก็เสือกตาย"

เถรี 18-09-2010 09:06

พระอาจารย์กล่าวให้โยมฟังว่า "ที่มานั่งรับสังฆทานที่นี่ จริง ๆ แล้วไม่ได้มานั่งเอาเงิน ถ้ามานั่งเพื่อเงินไม่มานั่งหรอก ทรมานขนาดนี้

มาที่นี่ก็เพื่อสงเคราะห์ญาติโยมเขา อย่างน้อยให้เขาทำความดีอะไรบางอย่าง ที่เป็นปัจจัยไปสู่ภพภูมิที่ดีในภายภาคหน้าได้เราก็พอใจแล้ว

จะมานั่งเอาเงินหรือ ? อาตมากลับไปนอนที่วัดดีกว่า เพราะถ้าได้เงินมาก็ต้องทำนั่นทำนี่..เหนื่อยจะตายชัก ถามว่ากลัวเหนื่อยไหม ? ไม่ได้กลัวหรอก แต่เบื่อว่ะ..!"

เถรี 18-09-2010 09:10

ถาม : เราทำงานร่วมกับพี่เขา ร่วมหุ้นทำกิจการกัน แล้วจะมาเกลียดกันทีหลังหรือเปล่า ? กลัวทำด้วยกันแล้วมีปัญหา
ตอบ : ของอย่างนี้ไม่มีใครรับรองให้คุณได้หรอก ต้องดูในธรรมบท มีชายคนหนึ่งต้องการจะทำบุญก่อน พระโมคคัลลานเถระก็ไปบอกเศรษฐีเจ้าของกิจนิมนต์ว่า ช่วยสละให้ชายคนนั้นก่อนได้ไหม เศรษฐีบอกว่าถ้าพระโมคคัลลานเถระประกันให้เขาได้สามอย่าง เขาก็จะให้ก่อน ถามว่าประกันอะไรบ้าง

๑. ประกันศรัทธา ศรัทธาเขาต้องไม่ถอย เขายังต้องคิดทำบุญอยู่
๒. ประกันฐานะ ฐานะเขายังต้องดีอยู่เหมือนเดิม เขาจึงจะได้ทำบุญ
๓. ประกันชีวิต ถ้าหากวันนี้ไม่ได้ทำ พรุ่งนี้เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ เขาจึงจะได้ทำบุญ

พระโมคคัลลานเถระบอกว่าประกันฐานะกับประกันชีวิตให้ได้ แต่ประกันศรัทธาไม่ได้ ศรัทธาเป็นกำลังใจของท่านเองจะขึ้นหรือจะลดก็แล้วแต่ท่านเศรษฐี

เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ตอนไหนที่สติสัมปชัญญะเราดี ก็ดีกัน..ใช่ไหม ? แต่ถ้าหน้ามืดตามัวขึ้นมาหรือผลประโยชน์ขึ้นหน้า แล้วใครจะไปประกันให้คุณได้ ? เรื่องพวกนี้ถ้าไปถามหมอดู หมอดูก็คงรวย เดี๋ยวเขาก็คงหาวิธีสะเดาะเคราะห์ให้

ไม่มีอะไรที่ประกันความเสี่ยงได้หรอก ถ้าจะทำก็ทำ อย่ามาจับพระเป็นตัวประกัน..!

เถรี 18-09-2010 09:17

ถาม : โรคภัยไข้เจ็บตัวใหม่ที่เกิดขึ้น เราจะมีวิธีป้องกันอย่างไร ?
ตอบ : ตอบแบบกำปั้นทุบดิน อย่าไปคลุกคลีกับคนที่ป่วย

ถาม : หมายถึงว่า ถ้าจะอาราธนาบารมีพระ หรือวัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสก ?
ตอบ : ต้องมีความมั่นใจจริง ๆ กำลังใจต้องทรงตัวจริง ๆ และเวรกรรมเก่าตามไม่ทันจริง ๆ ถ้าตามทันอย่างไรก็ไม่รอด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลหรอก

สมัยก่อนโรคเอดส์ระบาด แล้วมีแค่ยันต์เกราะเพชร ความรู้สึกของอาตมาบอกชัดว่า "ชีวิตนี้เอ็งไม่เป็นเอดส์แน่ แค่ยันต์เกราะเพชรอย่างเดียวก็กันได้แล้ว.." รุ่งขึ้นเลยไปถามหลวงพ่อว่า "จริงหรือเปล่าครับ ที่ความรู้สึกผมบอกว่าแค่ยันต์เกราะเพชรก็กันเอดส์ได้แล้ว ?"

ท่านบอกว่า "ยันต์เกราะเพชรเขาเอาไว้กันไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ละเอียดกว่าเชื้อโรคเยอะ ในเมื่อเรามีความมั่นใจจริง ๆ สิ่งที่หยาบกว่าทำไมจะกันไม่ได้" แต่ที่รอดจากเอดส์มาได้จนทุกวันนี้ เพราะไม่เคยยุ่งกับใคร..!

เถรี 18-09-2010 09:29

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บว่า "เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าไม่ไปใส่ใจนัก ก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก

คุณยายประคิน อยู่เชียงใหม่ อายุ ๘๐ กว่าแล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ตลอด แต่บ้านนั้นแปลก ทั้งบ้านมีประสบการณ์ตายแล้วฟื้นทั้งนั้นเลย

ยายแกก็นั่งรอวันตาย บางวันยายก็นั่งหัวเราะ ลูกสาวก็ถาม "แม่ ๆ หัวเราะอะไร ?" ยายก็บอกว่า "แม่กำลังดูโรค มันไม่รู้หรอกว่า ถ้ามันเล่นข้าตาย มันก็โดนเผาไปด้วย" ยายแกหัวเราะขำเชื้อโรค

ตรงนี้เราจะเห็นชัดว่า คนที่เห็นความตายเป็นเรื่องปกติ เขาไม่ได้รู้สึกว่าความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะก็แค่เปลี่ยนรูป เปลี่ยนขันธ์ เปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิไปตามกรรมที่เราทำมา ทำสิ่งที่ดีไว้ก็ขึ้นสูง ทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มากก็ลงต่ำเท่านั้นเอง

คนที่นั่งรอความตาย ถึงขนาดหัวเราะให้กับความตายได้ นี่หายากมาก"

เถรี 18-09-2010 10:41

ถาม : ทำบุญโดยถวายเครื่องปรับอากาศจะมีอานิสงส์อย่างไร ?
ตอบ : เกิดมาชาติใหม่ น่าจะเย็นกายเย็นใจ ประเภทอยู่เย็นเป็นสุข

เถรี 18-09-2010 11:57

ถาม : นั่งสมาธิต้องนั่งอย่างไร ?
ตอบ : นั่งอย่างไรก็ได้ แต่เวลายืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ไม่ไปคิดเรื่องอื่น

ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าสมาธิเราก้าวไปอีกขั้นแล้ว ?
ตอบ : ไปศึกษาเรื่องการทรงฌาน แล้วทำให้ต่อเนื่อง อย่าให้ขาดช่วง ถ้าทำแล้วขาดช่วง กิเลสกินได้ สมาธิจะถอยหลัง ก็เลยอยู่ที่เราจะต้องใช้สติประคับประคองกำลังใจให้ต่อเนื่องเข้าไว้ อย่าให้ขาด ถ้าทำได้ไม่ขาดช่วง เวลาสมาธิก้าวหน้าขึ้นเราจะรู้ได้ เพราะผลที่เกิดก็เหมือนกับที่ตำราบอกเอาไว้


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:50


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว