กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุุกร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6088)

เถรี 18-03-2018 22:02

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุุกร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๑
 
ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราเอาไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ตามที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ จากสภาพของเหตุการณ์บ้านเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น จะทำให้พวกเราเห็นว่า การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม เปรียบเหมือนกระแสคลื่นที่สาดซัดพวกเรา ถ้าร่างกายของเราไม่แข็งแรง ไม่มั่นคง ก็จะหลุดลอยตามกระแสคลื่นไป เมื่อหลุดไปตามกระแสคลื่นแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าจะปะทะกับอะไรจนถึงกับบาดเจ็บหรือถึงแก่ชีวิตบ้าง

ดังนั้น...จึงจำเป็นที่จะต้องฝึกฝน กาย วาจา ใจ ของพวกเราให้มีความมั่นคง จะได้ต่อต้านกระแสสังคมหรือกระแสโลกทั้งหลายเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะถ้าเรามีสติ รู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก มีกำลังสมาธิ ก็จะระงับยับยั้งไม่กระทำในสิ่งที่ผิด มีปัญญาก็จะได้เลือกกระทำแต่ในสิ่งที่ถูก

การปฏิบัติธรรมที่สร้างสติ สมาธิ ปัญญาให้แก่พวกเรานั้น ก็คือการที่เรามานั่งกำหนดลมหายใจเข้าออก มานั่งภาวนานั่นเอง เพียงแต่ว่าการภาวนานั้น ส่วนใหญ่แล้วเราจะรู้สึกว่าแห้งแล้ง ขาดแรงจูงใจ หรือว่าทำเท่าไรก็ไม่ก้าวหน้า เนื่องจากว่าการภาวนา ถ้าหากว่าไม่มีพรหมวิหารสี่คอยหนุนเสริม ก็จะเกิดสภาพดังที่กล่าวมา แต่ถ้าหากมีพรหมวิหารสี่ โดยเฉพาะตัวเมตตาคอยหนุนเสริมอยู่ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะเราต้องรักตัวเอง เมตตาต่อตัวเอง กลัวว่าตัวเราเมื่อตายไปแล้วจะตกสู่อบายภูมิ ต้องไปเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ในเมื่อเรารักตัวเอง เราเมตตาต่อตัวเอง เราก็ไม่ละเมิดศีล ในเมื่อเรารักตัวเอง เราเมตตาต่อตัวเองอยากจะไปเกิดในภพภูมิที่ดี ๆ นอกจากการรักษาศีลแล้ว ก็ยังต้องเจริญสมาธิภาวนาให้เป็นปกติ เพราะว่าสมาธิภาวนาที่ทรงตัวตั้งมั่นย่อมนำสุคติมาให้

เถรี 18-03-2018 22:06

เรารักตัวเอง เราเมตตาตัวเอง ไม่อยากให้ตัวเองเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนแบบนี้ ไม่อยากเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์แบบนี้ เราก็ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า สภาพร่างกายนี้ก็ดี ร่างกายคนอื่นก็ดี สัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุสิ่งของก็ดี หรือแม้กระทั่งโลกใบนี้ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด

ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นว่ามีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา แล้วสิ่งเหล่านั้นสลายตัวไป เราก็จะมีแต่ความทุกข์ เพราะว่าท้ายสุดแม้แต่ตัวเราก็ไม่มีอะไรให้ยึดถือมั่นหมายเป็นตัวเราของเราได้ ต้องเสื่อมสลายตายพังไปเช่นกัน

เมื่อเห็นเช่นนั้น ถ้าปัญญาของเราถึง ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ไม่อยากเกิดมาในโลกนี้อีก ไม่อยากเกิดมามีร่างกายนี้อีก เราก็เอาจิตสุดท้ายเกาะเอาไว้ที่พระนิพพาน ตั้งใจว่าถ้าเราหมดอายุขัยตายลงไปก็ดี หรือว่าเกิดอุบัติเหตุอันตรายถึงแก่ถึงชีวิตก็ตาม เราขอมาอยู่ที่พระนิพพานนี้แห่งเดียว

เมื่อทุกท่านสามารถกำหนดกำลังใจสุดท้ายเกาะพระนิพพานเอาไว้ได้ ก็กำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้ายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ กำหนดดูกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไป ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ กำหนดคำภาวนาไปด้วย

ถ้าลมหายใจเบาลงหรือว่าหายไป ให้กำหนดรู้ว่าตอนนี้ลมหายใจเบาลงหรือว่าลมหายใจหายไป ถ้าคำภาวนาหายไป ให้กำหนดรู้ว่าตอนนี้คำภาวนาหายไป อย่าพยายามทำให้เป็นเช่นนั้น และอย่าพยายามดิ้นรนให้พ้นจากสภาวะเช่นนั้น เรามีหน้าที่กำหนดดูกำหนดรู้อย่างเดียว



ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย พลภัทร)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:41


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว