กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=20)
-   -   ตูมันอ้วน!! (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=480)

ตัวแสบจำเป็น 21-05-2009 13:48

ตูมันอ้วน!!
 
เนื่องจากมีเสียงเรียกร้องเข้ามา ว่าอยากอ่านเหลือเกินเรื่องอ้วน ๆ ของหยก
กับพระอาจารย์หลาย ๆ องค์ ที่ได้เมตตาเทศน์เกี่ยวกับความงามในสรีระของหยก (?)
(คิดไหมคะ? ว่ามันช่างเป็นคำร้องขอที่ใจร้ายมาก ๆ :onion_no:)

"เอิ่ม" ขอเกริ่นนิดหน่อยนะคะ เพื่อประกอบความท่ามาก (ด่าตัวเองเพื่อ?)
ท่านผู้ใดอยากอ่านเรื่องเล่าแล้ว ข้ามไปได้เลยค่ะ (เจสสิกา ส่งคุณผู้อ่านที่
ความคิดเห็น ๑ เลยจ้ะ) เข้าเรื่องต่อ.. เนื่องจากหยกติดตามชาวคณะ
(และบางครั้ง ชาวคณะติดตามหยก?) ไปกราบบ้าง ไปฟังธรรมบ้าง
กับหลวงพ่อ หลวงพี่ หลวงตา หลาย ๆ องค์เลย ซึ่งท่านก็เมตตา
เล่าเรื่องโน้น เรื่องนี้ ให้หยกฟัง เก็บไปคิด ไปปฏิบัติ ได้บ้าง ไม่ได้บ้างตามประสา

และด้วยความที่เป็นคนหน้าตาดี งามสะดุดตา ("เหรอ?") พระอาจารย์
ก็มักจะทักทายหุ่นที่อวบน้อย ๆ (?)ของหยก เยอะบ้าง น้อยบ้างตามประสา
ทำให้มีเสียงเรียกร้องว่า เอามาเล่าหน่อยเถอะ เล่าให้ฟังบ้างเถอะ คุณขา...
มันช้ำใจนะคะ อยากฟังกันจริง ๆ หรือคะ? (กัดผ้าเช็ดหน้า)

เอาเถอะ.. ไหน ๆ ก็หน้าด้านตั้งกระทู้ชม(?)ตัวเองแล้ว กลั้นใจเล่าก็ได้ค่ะ :e111de78:

เพิ่มเติมจ้า
ตอนนี้นำตอนใหม่มาลงเพิ่มให้แล้ว เป็นเรื่องเล่าตอนที่ไป
กราบหลวงตาวัชรชัยค่ะ จึงมาเพิ่มเส้นทางลัดให้ค่ะ
http://www.watthakhanun.com/webboard...=8000#post8000

ตัวแสบจำเป็น 21-05-2009 13:48


 
เรื่องที่ ๑ เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาสด ๆ ร้อน ๆ ค่ะ
เหตุเกิดเมื่อวันวิสาขบูชา (๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒) ที่ผ่านมา
ที่บ้านสบายใจ เมื่อหยกอดรนทนไม่ได้ ถามท่านจิตโตขึ้นมาว่า

"หลวงพี่คะ เวลาพิจารณาอาหาเรฯ ต้องพิจารณาจนรังเกียจในอาหารหรือเปล่าคะ?"

ท่านมองหน้านิดหนึ่ง เว้นจังหวะ แล้วตอบว่า
"อื้ม.. อย่างหนูต้องพิจารณาอาหาเรฯ แบบนี้ ลูก"

ท่านเว้นจังหวะให้คนหัวเราะค่ะ หัวเราะกันทำไมคะ? มีอะไรน่าขำกันคะนี่ :onion_you:

แล้วท่านก็เทศน์ต่อว่า :fea27916:
"อร่อย ๆ ๆ ๆ ๆ" อันที่จริง ท่านออกเสียงว่า "อา-หย่อย" แถมยังมีเว้นวรรค
ให้คนหัวเราะ ทุกครั้งที่ท่านออกเสียง "อา-หย่อย" เสียงหัวเราะก็ยิ่งดัง
สุดท้ายท่านเองก็พูดไป ขำไป หัวเราะไป :cebollita_onion-21:

ตัวแสบจำเป็น 21-05-2009 14:08


 
"บางทีมันเป็น เขาเรียกว่า 'แรงกรรม' นะลูก" ท่านจิตโตเริ่มเข้าเรื่องแล้วค่ะ คุณผู้อ่าน

"จะว่ากรรมดี ก็กรรมดี เพราะเราไม่ได้ไปทำให้คนอื่นเขาอดอยาก
กรรมดีคือเราอยากให้เขาอิ่มหนำสำราญ มีอาหารการกิน อ้วน ๆ
กินเยอะ ๆ อ้วน ๆ"
(เอ๊ะ! ไม่เกี่ยวกับอาหาเรฯ นี่ค่ะ
แล้วคนฟังหัวเราะกันทำไมคะ? :fea27916:)

"ไอ้คำพูดเหล่านี้เราก็ไม่ได้พูดกับคนอ้วน ๆ หรอก ก็พูดกับ
พวกหมา พวกอะไร เฮ้ย! กินเยอะ ๆ เว้ย อ้วน ๆ มันเป็นอย่างนั้น
มันก็เป็นอานิสงส์ของเราเองนั่นแหละ ทำให้เราต้องพยายาม
ที่จะกินเข้าไป มันจะอยากอยู่เรื่อย"
(โปรดทราบ.. ที่หยกกินเก่ง
มันเป็นแรงกรรมค่ะ ท่านผู้อ่าน)

"หมาบางพันธุ์มันก็หยุดความอยากของมันไม่ได้เหมือนกัน
เดี๋ยวมันหิว เดี๋ยวมันจะกิน เราก็ให้มันกิน กินเข้าไปเยอะ ๆ อ้วน ๆ
จะได้อ้วน ๆ อะไรอย่างนี้นะลูก"
:33c4b951:

ตัวแสบจำเป็น 21-05-2009 14:15


 
"แต่ตามจริงแล้ว การพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา ไม่ได้ว่าเหมาะ
กับจริตคนไหน ๆ หรอกนะ แต่มันก็เว้นไว้กับพุทธจริตเท่านั้น
กับพุทธจริตนี่ถึงบางคนจะไม่ได้มีพุทธจริตนำ แต่มันก็มีพุทธจริต
อยู่ใช่ไหม มันก็คิดได้ทุกคนแหละ รวมความแล้วก็คิดได้ทุกคน
คิดง่าย ๆ ก็ได้ลูก กินก็ตาย ไม่กินก็ตาย ถึงเราจะอ้วนเราก็ตาย
ถึงเราจะผอมเราก็ตาย ช่างมันเถอะนะ เออ เอาเท่านี้นะ
ไม่ต้องไปกังวลกับมันหรอก เราไม่ได้กินเพื่ออยู่"

ท่านจิตโตเว้นให้คิด อา.. ขำกันเข้า ขำกันเข้าไป แล้วทำไมท่าน
มองหน้าหนูเล่าคะ? หนูหรือคะ ที่ไม่ได้กินเพื่ออยู่ :msn_smilies-02:

"ถูกไหม คตินี้ถูกไหม? " (ท่านจิตโตหัวเราะ)

"ฉันก็อยากอ้วน ดันผอมเอา ผอมเอา คราวหลังเวลาเลี้ยงหมา
ต้องพูดบ้างว่า อ้วน ๆ กินเยอะ ๆ นะ จะได้อ้วน ๆ นั่นก็อย่างหนึ่ง"

ตัวแสบจำเป็น 21-05-2009 14:33


 
"อีกอย่างหนึ่งคือไปติคนอื่นเขา ชอบพูดแซวคนอื่น 'ไอ้อ้วน' 'อีอ้วน'
เฮอะ ๆ เลยเข้าตัวเลย"
(นั่น.. มีการ "เฮอะ ๆ" ด้วย :onion_no:)

"กรรมเหมือนกัน กรรมที่ทำให้เรากินอะไรก็อร่อย อยากกิน
อร่อย กินไม่รู้จักอิ่ม อร่อยไปหมด แรงกรรมเป็นอย่างนี้ลูก
ของมันเกิดจากกรรม ไม่ได้เกิดจากอะไร"


"แต่เราก็ไม่ได้ฝืนกฎของกรรม ก็ช่างมันเถอะ เป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ
เราก็เป็นคนที่ไม่พอใจการเกิดแล้วนี่"
แหม ๆ ๆ แอบภูมิใจ :l43841274qn5:

"มันก็เป็นอย่างที่พูดให้ฟังน่ะ เราจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ
ชาตินี้ดีที่สุดสำหรับเรา ถึงจะอ้วนกว่าชาติก่อน ๆ"
ผู้คนประสานเสียงหัวเราะ
(ขำกันเข้าไป "ชิ" :onion_you:)

"อ้าว! แต่ก่อนไม่อ้วนนะ" ท่านหันไปบอกคนอื่น ๆ :332f960b:

"แต่ก่อนเอวเล็ก เอวบาง" เริ่มมีเสียงแซวจากผู้คนค่ะท่านผู้อ่าน

"เห็นไหมล่ะ? กรรมใจดี เขาเรียกว่ากรรมใจดี ก็บอกแล้วว่า
ชาตินี้จะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถิดนะ มันไม่สำคัญหรอก เราพอใจ
ที่จะไม่กลับมาเกิดก็พอแล้ว ถือว่าดีที่สุดแล้วกับการที่เกิดชาตินี้นะ"

โอย.. ไอ้หยกเป็นปลื้ม :onion_love:

"หิวก็กินนะลูก อร่อยก็กินมากหน่อย ไม่อร่อยก็อย่าไปกินมัน
กินแล้วอย่าลืมความตายก็แล้วกันนะ กินก็ตาย ไม่กินก็ตาย
ไอ้สกปรกมันรู้อยู่แล้ว สกปรกอย่างไรเราก็กิน มันหิวนี่ จริงไหมล่ะ?"

อุ๊ย! จะรีบน้อมรับไปปฎิบัติค่ะ :af48944b:

"เออ.. เอาอะไรสะอาดที่ไหนล่ะ จะรอของสะอาดก็โน่นแล้ว
อาหารทิพย์ อาหารบนโลกนี้ไม่มีสะอาดหรอก ก็สกปรกทั้งนั้นแหละ
ไม่ว่าอะไร น้ำต้มเดือดร้อยองศาก็สกปรก อยู่ในนั้นอาจสะอาด
ออกมาปุ๊บเจออากาศก็สกปรกแล้ว อย่างนี้ มันไม่มีอะไรสะอาด

อย่างนั้นเราจะคิดอย่างไร เราก็กินของสกปรก พิจารณา
เราจะพิจารณาไปทำอะไร พิจารณาเพื่อให้เรากินน้อยลง?
เพื่อให้เราลดอาหารลงไป นั่นคือการทำร้าย ความเป็นปกติของมัน
ปกติเราต้องกิน"

ตัวแสบจำเป็น 21-05-2009 14:45


 
"สมัยก่อนที่ฉันปฏิบัติแรก ๆ เราก็โง่แบบนี้แหละ อาหาเรฯ เหมือนกัน
ไม่เหล่ด้วย อยู่แค่ไหนแค่นั้น กินมันแค่มือตก อร่อยไม่อร่อยเราก็ไม่สนใจ
กินมันอิ่ม ก็เลิก มันก็ไม่จัดว่าดี จัดว่าเคร่งไป เขาเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค
ตั้งใจเกินไป ร่างกายมันก็ทรุดโทรม"

"พอร่างกายทรุดโทรม ถึงเราจะพยายามรักษาฌานสมาบัติเราดี
แต่ว่ามันทำให้การคิดของเรามันไม่ผ่องใส คือมันไม่โปร่ง
มันไม่เหมือนร่างกายเราดี ๆ เวลาเราคิดอะไร มันโปร่ง
เหมือนคนสมองโปร่ง เวลาอาหารน้อย ๆ เลือดเลี้ยงสมอง
ก็พลอยน้อยไปด้วย ลมในร่างกายก็ต่ำ การควบคุมอารมณ์ตัวเองก็ต้องใช้
กำลังสมาธิสูงเข้าควบคุม ถ้าสมาธิน้อย ๆ ก็ควบคุมไม่อยู่ แสดงว่า
อารมณ์อาจจะแปรปรวนมากกว่านี้ เพราะร่างกายเราทรุดโทรม ทรุดโทรมเกินไป"

"ฉะนั้น ขึ้นชื่อว่าเราจะกินอย่างไรก็ช่างเถอะ ที่แน่ ๆ สัญญาของใจเรา
ที่เรารู้อยู่ชัด ๆ ว่า มันคือสิ่งที่สกปรกทั้งนั้น ไม่มีอะไรสะอาด อร่อยก็สกปรก
คิดไปอย่างนั้นลูก ของที่ว่าอร่อยก็สกปรก ไม่ใช่ของสะอาด สกปรกทั้งสิ้น
แต่ก็ต้องกิน กินเพื่อไม่ให้มันทุกขเวทนาทรมานเรา มันอยากกินก็กินเข้าไป
ไม่ให้มันกินก็ทรมานใจเรา ถ้ากรรมมันเป็นอย่างนั้น ก็ปล่อยมันไปลูก"

เอ้า! ท่านจิตโตว่าอย่างนั้น เราก็ไปกินต่อได้ :onion_eiei:

"ถ้าตัวมันหนัก กินไม่ไหว มันก็เลิกกินเองน่ะลูก" อ้าว :4519626a:

"เอาแค่นี้นะ ให้รู้ว่าสกปรกพอ สกปรกทั้งหมดแหละ อย่าไปคิดว่า
ไอ้นี่สะอาด เปล่าหรอก มันสกปรก กินของสกปรก ร่างกายมันก็สกปรก
เป็นธรรมดา มันไม่มีร่างกายของใครสะอาดหรอก สกปรกเหมือนกัน
"


สรุปว่า หนูยังกินได้ตามปกติใช่ไหมคะ? ที่เป็นแบบนี้ มันเป็นกรรมใช่ไหม?

"เย้.." ไปฉลองดีกว่า :332f960b::onion_emoticons-13::onion_emoticons-14::70bff581:

ทาริกา 21-05-2009 16:01

ไหน ๆ เจ้าของกระทู้เปิดโอกาสให้แซวแล้ว ก็ไม่ควรปล่อยโอกาสให้เลยผ่านไปเหมือนสายน้ำไหล
ขอต่ออีกนิดดีกว่า

บางท่านที่เคยพบปะกับเจ๊หยกมาแล้วจะเห็นด้วยกับคำพูดของหลวงพี่สมปอง ที่ว่า

"แต่ก่อนเอวเล็ก เอวบาง"
"เห็นไหมล่ะ? กรรมใจดี เขาเรียกว่ากรรมใจดี ก็บอกแล้วว่า
ชาตินี้จะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถิดนะ ....."


เพราะเจ๊ใจดีจริง ๆ ค่ะ หนูซึมซับได้ตั้งแต่ตอนเจอกันครั้งหลัง ๆ
(แรก ๆ ยังไม่ค่อยเห็น เจ๊แกชอบเชิดหน้าคล้ายหยิ่งแต่ไม่หยิ่ง)
และแม้จะอ้วน(จากแรงอธิษฐานกระมัง) แต่สิ่งที่ปิดไม่ได้คือ
"ผิว" ค่ะ
ผิวพรรณที่นวลเนียนเหมือนเด็กน้อย แสดงออกถึงการทับถมสั่งสมของความมีเมตตามาข้ามภพข้ามชาติ
(อันนี้ก็เดาค่ะ ๕๕๕)

เริ่มรู้สึกว่าไม่ค่อยมีสาระ หนูขอพอก่อนดีกว่าค่ะ
รอเจ๊แกมาเล่าเพิ่มแล้วค่อยต่อ

สไบเงิน 21-05-2009 16:39

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ตัวแสบจำเป็น (โพสต์ 7377)

"ไอ้คำพูดเหล่านี้เราก็ไม่ได้พูดกับคนอ้วน ๆ หรอก ก็พูดกับ
พวกหมา พวกอะไร เฮ้ย! กินเยอะ ๆ เว้ย อ้วน ๆ มันเป็นอย่างนั้น
มันก็เป็นอานิสงส์ของเราเองนั่นแหละ ทำให้เราต้องพยายาม
ที่จะกินเข้าไป มันจะอยากอยู่เรื่อย"
(โปรดทราบ.. ที่หยกกินเก่ง
มันเป็นแรงกรรมค่ะ ท่านผู้อ่าน)

"หมาบางพันธุ์มันก็หยุดความอยากของมันไม่ได้เหมือนกัน
เดี๋ยวมันหิว เดี๋ยวมันจะกิน เราก็ให้มันกิน กินเข้าไปเยอะ ๆ อ้วน ๆ
จะได้อ้วน ๆ อะไรอย่างนี้นะลูก"
:33c4b951:


โปรดทราบ ที่เจ๊หยกกินเก่ง นอกจากเป็นแรงกรรมแล้ว ยังเป็นเพราะฝีมือทำอาหารของแม่ ที่ "อร่อยขั้นเทพ" ด้วยค่ะ

แม้อุปนิสัยการให้อาหารสัตว์เยอะ ๆ จะมีมาตั้งแต่ในอดีตชาติ แต่ในชาติปัจจุบันก็ยังคงเหลือเชื้ออยู่ค่ะ

"ไอ้ปั๊ก" หรือ ด.ช. นัทธีร์ น้องหมาพันธุ์ปั๊กที่บ้านเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดีในเรื่องนี้ค่ะ (อวบมาก ๆ ค่ะ ขนาดแม่คุมเข้มเรื่องน้ำหนักตัวของมันแล้วก็ตาม)

เวลาเจ๊หยกหยิบเค้กมากิน
ไอ้ปั๊กก็วิ่งรี่ไปหา ทำสายตาเว้าวอน
สุดท้าย เค้ก ๑ ชิ้น ไอ้ปั๊กกินไป เศษ ๕ ส่วน ๖ ชิ้นค่ะ
อีก เศษ ๑ ส่วน ๖ เป็นของเจ๊หยก
ช็อกโกแลต เอแคลร์ ไอศกรีม ขนมปังเนยสด คุกกี้ ก็เป็นแบบเดียวกันหมดเลยค่ะ
หมายเหตุ: เนื่องจากเรารักไอ้ปั๊กหมาของเรามากเสมือนเป็นน้องชายคนเล็กของบ้าน เราจึงไม่ให้ขนมที่มีผงชูรสแก่ไอ้ปั๊กค่ะ มันจึงเป็นหมาไฮโซ กินแต่ขนมฝรั่งค่ะ :l43841274qn5:

จะเห็นได้ว่า ปริมาณการกินของเจ๊หยกนั้นน้อย (เพราะไอ้ปั๊กมันช่วยกินไปเยอะมาก) แต่ขนาดตัวของเจ๊หยกไม่ได้ลดลงเลย:onion_no:

แปลได้ว่า เป็นเรื่องของกรรมจริง ๆ ค่ะ:a03cbf1e:

ตัวแสบจำเป็น 25-05-2009 17:14

เรื่องที่ ๒
 
กลับมาแล้วค่ะ ในที่สุดก็ถึงฤกษ์ดี คือฤกษ์ไอ้หยกสะดวก ฮ่า ๆ :70bff581:
ขอเชิญพี่ ๆ น้อง ๆ กลับมาสู่ท้องเรื่อง "ตูมันอ้วน!!" ต่อนะคะ
วันนี้จะเล่าเรื่องที่ไปกราบหลวงตาวัชรชัย ที่วชิรพยาบาล เมื่อวันที่
๒๔ เมษายน ๒๕๕๒ เมื่อครั้งที่หลวงตามาทำ "บอลลูนหัวใจ" ค่ะ

ในครั้งนั้น หลวงตาใจดี มานั่งที่เก้าอี้หนังนิ่ม ๆ สีขาวบุนวมอย่างดี(มั้ง)
ข้าง ๆ เตียงผู้ป่วย ทั้ง ๆ ที่หลวงตาเพิ่งจะทำบอลลูนไปเมื่อวันก่อน
ใบหน้าของหลวงตา ยิ้มแย้มแจ่มใส กระแสเมตตาส่งมาให้หยก และชาวคณะ
ตั้งแต่พวกเราเหยียบย่างเท้าเข้าไปที่ห้องผู้ป่วยแห่งนั้น เนื่องจากเกรง
จะเป็นการใบ้หวย ถึงไม่ขอบอกหมายเลขห้องค่ะ (อันที่จริงแล้ว จำไม่ได้ :54bd3bbb:)

เมื่อไปถึง โชคดีของหยก ได้ที่นั่งชั้นริงไซด์ นั่งตรงหน้าหลวงตาพอดี
แค่เงยหน้า ก็สบตาหลวงตาได้ :af48944b:
แต่ถึงจะโชคดีปานนั้น แต่ปากมันหนัก หัวมันทึบ เลยได้แต่นั่งบื้อ
ฟังหลวงตาคุยกับคนนั้น บอกกับคนนี้ แต่ตัวเองไม่มีปัญญาหาเรื่อง
ไปชวนหลวงตาคุย แต่ถึงกระนั้น ท่านก็เมตตายิ่ง เอ่ยถามหยกขึ้นมาว่า

"คนน้ำหนักเยอะมันน่าจะนั่งได้นานนะ น้ำหนักมันดี เฮอะ ๆ"
นั่น.. มี "เฮอะ ๆ" อีกแล้ว :fea27916:

เห็นไหมคะ? บอกแล้วว่าขันธ์ห้าของไอ้หยก มันสะดุดตา :onion_emoticons-18:

ตัวแสบจำเป็น 25-05-2009 17:23


 
ในเมื่อจะเล่าถึงหลวงตาในวันนั้นแล้ว ก็จะขอนำเอาเรื่องที่หลวงตา
เทศน์ มาเล่าให้ฟังกัน เพื่อว่ากระทู้นี้จะได้มีสาระบ้าง :332f960b:

ถึงเรื่องที่หลวงตาเทศน์ จะไม่เกี่ยวกับไอ้อ้วนโดยตรง แต่ก็พอจะมี
อ้อม ๆ มาพอให้สะดุ้งกันบ้างค่ะ เข้าเรื่องเลยดีกว่า :onion_emoticons-13:

เมื่อทุกคนหาเรื่องมาถามหลวงตาไม่ได้แล้ว หยกที่นั่งอยู่ข้างหน้าหลวงตา
รู้สึกอึดอัด อัดอั้นตันใจมาก เพราะว่า ที่นั่งอยู่ต่อหน้าเรานี้ คือหลวงตา
คือพระอริยะชั้นแนวหน้า คือองค์ที่เป็นที่พึ่งให้แก่เราได้ แต่ไฉนวันนี้
เรากลับไม่มีคำถามมาถามหลวงตากันนะ คิดสิ คิดเข้า ไอ้หยกเอ๋ย..
เรื่องที่ทำอยู่ การปฏิบัติที่คั่งค้าง อะไรที่มันยังสะสางไม่ได้ อะไรที่เรา
ติดขัดอยู่ ไม่มีแล้วหรืออย่างไรหนอ.. ท่านมาอยู่ตรงหน้าเรานี้แล้ว ทำไมหนอ..
ทำไมคิดไม่ออกหนอ เราติดขัดอะไรหนอ คิดวนเวียนมันอยู่นั่นแหละ
จะถามอะไรดี อย่าให้เสียโอกาส นั่งคิดอยู่อย่างนั้นนานพอสมควร
หลวงตาคงฟังอยู่นานแล้ว (ถ้าท่านฟังสิ่งที่เราคิดออกนะ ๕๕)
หลวงตาจึงเอ่ยออกมาว่า

ตัวแสบจำเป็น 25-05-2009 17:36


 
เหลืออย่างเดียว สรุปแล้วทั้งหมด ต้องนึกให้ได้ว่าบุญที่เราทำมาทั้งหมด
ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันนี้ วันนี้ ตอนนี้ ที่นึกตอนนี้ เป็นเวลาที่บุญสะสมตัวสูงที่สุด
และสมบูรณ์ที่สุด
เพราะว่า พรุ่งนี้ยังไม่ได้ทำเพิ่ม แต่เราไม่รู้ว่าแค่ไหน
และเป็นอย่างไร ก็เพียงแต่นึกว่า ขอครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีคุณ
ทั้งหลาย โปรดชักนำให้ลูกได้รู้จักบุญของเราเอง
และใช้บุญของเราเองให้เต็มที่ที่สุด เท่าที่จะทำได้..
นะลูก
แค่ขอของของเราเองเท่านั้นแหละ แค่นั้นก็พอแล้ว
แล้วก็นั่นแหละ แล้วหนูก็ทำไป


เพียงแค่นี้ ขอบตาไอ้หยกก็ร้อนผ่าว.. ปลื้มหนอ ปลื้มจริงหนอ :fea27916:
หลวงตาใจดีจริงหนอ เรื่องนี้สินะ ที่เรายังขาดอยู่ แล้วหลวงตาก็
เทศน์ต่อว่า


อดีตที่ผ่านมา บาปอบายภูมิก็หมดสิ้นไปแล้ว เพราะว่า ถ้าหากยังมี
เชื้ออบายภูมิอยู่ ก็ยังเป็นคนไม่ได้ ต้องเป็นคนง่อยเปลี้ยเสียขาก่อน
หมาบ้าง จิ้งเหลนบ้าง ใช่ไหมลูก มันไล่ขึ้นมาจนหมดระยะบาป
ที่ทำค้างในชาติก่อน จนกระทั่ง ลอยตัวขึ้นมาได้ร่างกายมนุษย์
ที่มีตระกูลอยู่ในเขตพระพุทธศาสนา และมาวัดได้ มาฟังธรรมด้วย
ความสนใจได้ ก็ถือว่า บุญเดิมนี่ส่งเสริม ผลักดันตัวเองของจิตมา
ให้มาเจอ ให้มาอยู่ตรงนี้ ถือว่าบุญสมบูรณ์ที่สุด ตามที่เราทำมา
ไม่เท่าใคร และใครก็ไม่เท่าเรา ไม่เหมือนใคร และใครก็ไม่เหมือนเรา
เต็มตามลวดลายวาสนาบารมีเสมอ


อา.. ช่างไพเราะจับใจ คำพูดธรรมดา ๆ แต่ออกมาจากปาก
ของบุคคลไม่ธรรมดา เป็นธรรมที่ไพเราะ จับหัวใจคนฟังมากมาย

ตัวแสบจำเป็น 25-05-2009 17:38


 
ทำอย่างไรหนอ.. เราถึงจะอ่านบุญเราออก ใช้บุญเราเป็น
และทำบุญให้มันถึงพร้อม เท่าที่มันขาด ให้มันตรงกับวาสนาเดิม
ถ้าไม่ตรง มันก็เข้ากันไม่ได้ เดี๋ยวก็ท้อ

นี่ถ้ามั่นใจแบบนี้ เราจะรู้สึกว่า นี่คือสาระของเรา เราเกิดมานี่เป็นคนมีบุญ

ตัวแสบจำเป็น 25-05-2009 17:44


 
"แต่ที่นึกถึงบุญไม่ออก เพราะว่าหนึ่ง เรานึกถึงบาปใหม่ ตั้งแต่เกิด
จนมาถึงปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้น ท่านถึงได้บอกว่า หน้าที่อันแรกก็คือ
ละเว้นความชั่วด้วยประการทั้งปวง ที่มันผิดศีลห้า ทั้งนั้นแหละ
อย่าให้การผิดศีลห้ามันมาเกาะใจเราได้ ทำบุญเหมือนทองคำ
เป็นพระพุทธรูปองค์อ้วน แบบนี้นะ เต็มตัวอย่างนี้นะ"

แล้วหลวงตาก็ชี้มาที่หยก ไอ้ตอน"อ้วน" นี่แหละ บอกแล้วว่า
หยกนั่งอยู่ตรงนั้น มันแสนสะดุดตา
:55318906:

"ตั้งแต่เกิดมา เป็นอนุบาลมา แข่งกันตีแมลง ตบกบ อะไรต่ออะไร
มันเป็นเรื่องของประเพณีของเด็ก ซึ่งกระแสของวัฏฏะมันสอนให้เรา
ลืมนึกถึงบุญ ให้ไปนึกถึงความสนุกในบาปบ้าง อะไรบ้าง บาปเหล่านั้น
ก็ค่อย ๆ พอกเข้ามา ให้เปื้อนทีละเล็กทีละน้อย ถ้าทำโดยเจตนาเป็นอาจิณ
จนกระทั่งเป็นอาชีพ ก็เหมือนกับมันคลุมเป็นหน้ากาก เหมือนใส่ชุดกันน้ำ
คลุมเข้ามา แต่ข้างในก็คือทองคำ คือบุญของเราทั้งหมด ไม่ได้หายไปไหน"

"แต่ว่าบาปใหม่ที่เราทำเสริมเข้ามา ทำให้เราไปสนใจ แต่เฉพาะกิจกรรม
ของร่างกาย ของบาป ทำให้เรานึกถึงบุญไม่ออก ใครพูดถึงบุญก็ท้อใจ
มองไปก็เห็น นี่ก็ดำ นั่นก็แดง ไอ้นี่ก็เปื้อน ไม่รู้จักแหวกบุญออกมาดู"

ตัวแสบจำเป็น 25-05-2009 17:50


 
"ถึงต้องมีครู ถึงต้องฟัง พอฟังแล้วรู้สึกสะเทือนใจ รู้สึกปลื้มใจ
รู้สึกร้องไห้ รู้สึกอะไร แสดงว่ามันตรงกับเรื่องข้างในแล้ว
ก็ต้องอธิษฐานขอให้ครูบาอาจารย์หรือใครก็ได้ ที่มีร่างกายก็ดี
ไม่มีร่างกายก็ดี ที่กระทำต่อ ๆ กันมา ขอให้ลูกได้เห็นบุญตัวเอง
เข้าใจบุญตัวเองได้ ใช้บุญ เข้าไปอยู่ในบุญ ให้บุญตัวเองคุ้มครอง
ตัวเราได้
ถึงจะเริ่มทำบุญใหม่ได้"

"หรือบางทีก็ฉลาดกว่านั้น คือว่าทำอะไรสักอย่าง ซึ่งก็คือ ศีล สมาธิ
ปัญญา นะลูก อย่างใดอย่างหนึ่ง ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละนะ
บุญสรุปแล้วก็ไม่เกิน ๔ อย่างนี้ละนะ 'พุทโธ' สักคำหนึ่ง ถวายค่าอาหารพระ
หรือให้ขอทาน หรือเลี้ยงคนแก่ แล้วทำให้ใจเรารู้สึกว่า เราเป็นผู้ให้
ใจมันเบา มันผ่องใส บุญที่เราทำ บำเพ็ญทาน หรือบำเพ็ญภาวนา
มีประโยชน์ มีความสุขแก่เรานะ"


"ณ บัดนี้ ขอบุญได้จงเชื่อมโยงกับบุญเดิมที่มีทั้งหมด ขอให้บุญจงแสดงตัว
ครอบคลุมใจเราตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทำไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็จะเข้าหากันได้
ทั้งหมด เหมือนเว็บไซต์ที่เราบันทึกไว้ ป๊อก ๆ ๆ ค่อย ๆ ทำ เดี๋ยวมันก็ปัง
ออกมาหมด เพราะมันอยู่ข้างในแล้ว แล้วข้อสำคัญก็คือว่า อย่าทำบาปใหม่"

ตัวแสบจำเป็น 25-05-2009 17:53


 
"บาปเก่าที่เราทำตั้งแต่เด็ก จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ยังทำให้เรา
ลงอเวจีไม่ได้ ยังห้ามมรรคผลเราไม่ได้ เพราะเรายังไม่ได้ฆ่าพ่อ
ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำสังฆเภทยุให้สงฆ์แตกกัน ทำสังฆกรรมกันไม่ได้
และยังไม่ได้ทำร้ายพระพุทธเจ้า เพราะชาตินี้เราไม่ได้เกิดมาเจอ
ร่างกายท่าน กรรมหนัก ๕ อย่างนี้ ห้ามมรรคผล ไม่มีสำหรับเรา
เพราะฉะนั้น อย่าไปหนักใจ พยายามที่อย่าทำบาปใหม่เท่านั้นแหละ
อย่าผิดศีลห้า"

"แล้วไอ้บาปเก่าที่มีอยู่ก็ค่อยมอง วิธีที่ชำระบาปเก่าก็คือ มองแล้ว
รังเกียจมัน แล้วจะไม่ทำอีก คือบาปนี้มันไม่มีอะไรไปตัดมันได้หรอก
มันเป็นกระแสคลื่น กระแสดอกไม้เหม็น ที่มีอยู่ในโลก ใช่ไหมลูก
ของบางอย่างก็เหม็นเข้ามา โคลน..ใครไปถูก ก็เปื้อนเข้ามา เผลอไปเหยียบ
เผลอไปผ่าน มันก็เหม็น มันก็เปื้อน เราเห็นโทษแล้ว อะไรที่มันเป็นเหตุ
ให้เหม็นก็คือ เสือกเดินใกล้มันทำไม เสือกเดินไปเหยียบมันทำไม
เราก็ไม่ไปเหยียบ และไม่ไปใกล้เหตุแห่งบาป นั่นก็คืออยู่ในเขตของศีลห้า"

ตัวแสบจำเป็น 25-05-2009 17:56


 
"มันก็ผ่องใสขึ้น บุญใหม่บุญเก่าก็จะแสดงตัว แล้วก็ไปเจอะพระ
หรือเจอหนังสือสักเล่มหนึ่ง ที่อ่านแล้ว อู๊ย... จับจิตจับใจ
เหมือนมันตอบคำถามเราได้ทั้งหมด แล้วก็นั่งภาวนาตามนี้ไป
นั่นแหละ คือจุดที่ท่านจะตอบเรามา พอใจเราล้างความสกปรก
พอสมควรแล้ว ท่านจะให้เห็น
นั่นแหละ"

"ไม่นานนัก ไม่เกิน ๗ เดือน ก็จะพบทาง ๗ เดือนนี่ท่านก็บอกว่า
แย่แล้ว นานเกินไปแล้ว เกิดตายเดือนที่ ๕ ก็แย่แล้ว แล้วก็ทำอย่างนี้นะ
อธิษฐานแต่บุญเรามีอยู่ตามความเป็นจริง ไม่มีใครจะปิดบังเรา
หรือว่าห้ามเราไม่ให้นึกถึงบุญได้ เช่นเดียวกัน ให้ลืมบาป อย่าผิดศีลห้า
ในปัจจุบัน พอผ่องใสปั๊บ รีบผูกเลย ว่าบุญที่ลูกมีอยู่นิดหน่อยนี้
นึกได้นิดหน่อยนี้ ยังผ่องใสเบิกบานขนาดนี้ ถ้าบุญของพระอรหันต์
ของพระพุทธเจ้าจะขนาดไหนหนอ.."

ตัวแสบจำเป็น 25-05-2009 18:01


 
"ลูกขอน้อมจิตผูกพัน กราบเคารพ ณ ที่ใดก็ตาม ที่พระพุทธเจ้า
พระธรรม พระสงฆ์ พระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านสถิตอยู่ ลูกขอเอาจิต
นึกเข้าไปอยู่ตรงนั้น เหมือนพระอาทิตย์เต็มองค์ทรงกลดอยู่ ณ ที่ใด
เราขอเป็นแสง แสงหนึ่งที่เข้าไปอยู่กลางตรงนั้น ไม่ต้องดูทิศเหนือทิศใต้
เพราะทิศทางมันมีไว้สำหรับมนุษย์ที่มีร่างกาย มีตา มีหู แต่ใจเรานี้
ไม่มีทิศทาง มีแต่ความตรงเสมอ

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป บุญที่เรามีอยู่ทั้งหมด ขอเชื่อมโยงผูกพัน
ถวายชีวิตเข้าไปในองค์ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ขอพระองค์ได้โปรดจำว่า ลูกนี้นั้นเป็น อนุพุทธะ คือเป็นหน่วยหนึ่ง
เป็นสะเก็ดหนึ่งของบุญของท่าน อยู่ด้วยกัน ไม่มีจางคลายต่อไปอีกแล้ว
แต่ว่า เนื่องจากชีวิตนี้ยังไม่สิ้น ก็เหมือนกับว่า แสงของบุญของท่าน
ส่องลงมาจับร่างกายตรงนี้ ทำจนกว่าร่างกายนี้จะหมดโอกาสใช้
แล้วเราก็จะกลับไปสู่พระนิพพาน แล้วการลงมาบริหารร่างกายนี้
เราจะมีศีลห้าบริสุทธิ์แน่นอน เราจะไม่ยอมละเมิดชีวิต ทรัพย์สินบุคคล
หรือจะเอาวาจาไปโกหกพกลม เพ้อเจ้อส่อเสียด เพื่อที่จะไปคดโกงคนอื่น
มาเลี้ยงร่างกายที่เราต้องทิ้ง เราไม่เอาอีกแล้ว เราไม่โง่อีกแล้ว
เพราะร่างกายเมื่อตายไปแล้ว มันก็เป็น ดิน น้ำ ลม ไฟแล้ว
แต่เรากลับต้องไปตกนรกแทนมันมานานแสนนานแล้ว
เพราะไปทำกรรมแทนร่างกายของเรา จะเลิกโง่แล้วชาตินี้"

ตัวแสบจำเป็น 25-05-2009 18:06


 
"รักษาศีลห้าให้บริสุทธิ์ เชื่อมใจไว้กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ปรารถนาว่าท่านอยู่ที่ไหน ที่นิพพาน เมื่อลูกสิ้นบาปแล้ว ลูกจะไปนิพพาน
แม้ในชาตินี้ลูกไปได้ ลูกก็จะไป ไปมันในชาตินี้ คือไปมันในชาตินี้แหละ

เอาให้ใจมันถึง ให้ใจมันสบาย แล้วเอาใจที่สบายย้อนลงมาดู เหมือนกับ
ลงมาดูไอ้อ้วน อีหัวโล้นนี่ บอกว่า นี่.. ฉันรู้จักแกแล้ว แกทรมานฉัน
มาหลาย ๆ ๆ ๆ แสนร่างแล้ว ร่างนี้ฉันจะดูแลแก จนกว่าแกจะสิ้นชีวิต
แกพาฉันไปทำเลวแทนแกมานานแล้ว ตามสมควร ต่อไปนี้นะ ฉันจะ
จับแกขึ้นมา เดินจงกรม มาสวดมนต์ มาไหว้พระ เอาบุญให้ใจฉันบ้าง
ก็เริ่มบังคับมันได้ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ทำไปทำมา เดี๋ยวก็ชำนาญ"


เฮ้อ.. แสนยาว จบแล้วค่ะ ถ้าอ่านแล้ว
นึกถึงเสียงหลวงตาประกอบด้วย จะทำให้ in ยิ่งขึ้น
:4672615:

ตัวแสบจำเป็น 26-05-2009 09:13

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ เถรี (โพสต์ 8025)
สุดยอดค่ะเจ๊ เหมือนหลวงตาท่านมาเทศน์เองเลย
จับใจจริง ๆ ค่ะ :6f428754:

๕๕ เขิน(เว้ย) :l43841274qn5:

คุณความดีงามทั้งหมดนั้น ล้วนมาจากครูบาอาจารย์ทั้งสิ้น
ท่านสอนดี พูดชอบแล้ว หากสิ่งใดด่างพร้อย ล้วนมาจาก
ไอ้หยกล้วน ๆ นะเจ้าคะ :875328cc:

ตัวแสบจำเป็น 27-05-2009 15:56

เรื่องที่ ๓
 
มาแล้วค่ะ.. อย่างรวดเร็ว(?) เรื่องที่จะเล่าวันนี้เป็นตอนที่
ไปกราบหลวงพี่เอกค่ะ :d16c4689:

ครั้งแรกที่ไปกราบหลวงพี่เอก ท่านก็มอง ๆ หยก แล้วก็เหมือน
จะแซว ๆ ว่าตัวอ้วน ๆ หรืออะไรสักอย่างน่ะค่ะ แล้วหลังจากนั้น
อีก ๒-๓ ครั้ง ทึ่ได้ไปกราบท่าน ท่านก็อดรนทนไม่ได้ ถามขึ้นมาว่า

"ถามหน่อยสิ อ้วน ๆ นี่ อึดอัดไหม?" :a47173954nr0::e111de78:

หยกก็อ้อมแอ้ม ๆ ตอบท่านไปว่า

"ใหม่ ๆ ก็อึดอัด แต่ตอนนี้ชินแล้วค่ะ"
(นั่น.. ยังอุตส่าห์จำได้อีก ว่าตอนอ้วนใหม่ ๆ มันเป็นอย่างไร :55318906:)

ตัวแสบจำเป็น 27-05-2009 16:05


 
แล้วหลังจากนั้น ก็มีโอกาสได้ไปกราบหลวงพี่เอกอยู่เนือง ๆ
เวลาที่ท่านลงมากรุงเทพฯ แม้ว่าจะต้องเดินทางข้ามจังหวัดก็ตาม
(เอ๊ะ.. รู้แล้วโปรดทราบ ย้ายบ้านด่วน พี่ไปลำบาก เอิ๊ก ๆ)

ล่าสุดที่ไปกราบท่าน ได้มีโอกาสถามท่านเรื่องการทำพรหมวิหาร ๔
ซึ่งท่านก็เมตตาตอบมาแบบสไตล์ของท่าน เชิญทัศนาได้ค่ะ

ไอ้หยกถาม
"หลวงพี่คะ.. ถ้าเราจะทรงพรหมวิหารสี่ คือเราต้อง
แผ่เมตตาบ่อย ๆ ใช่หรือไม่คะ?"


แล้วหลวงพี่ก็ตอบว่า
"โอย..อย่างนี้ต้องไปเข้าร้าน ให้เขาเติมมาอีก ๓ หน้า ใช่ไหม
ไม่อย่างนั้นเขาไม่รู้ว่าทรงพรหมวิหาร หาที่อยู่แล้วหาศาลด้วย"

:a47173954nr0::3070242c::5c745924::154218d4::7f5341cc:

ตัวแสบจำเป็น 27-05-2009 16:17


 
แล้วหลวงพี่เอกก็พูดต่อว่า...
"ทรงพรหมวิหารนี่ มันไม่ต้องไปนั่งท่อง ถ้าจะเอาตามตำรานะ
ตื่นนอนตอนเช้าก่อนสวดมนต์ภาวนานี่ ให้ทรงกำลังใจเต็ม
เต็มกำลังเลย ว่าวันนี้ เราจะเป็นมิตรกับคนทุกคน เราจะรักคน
ทุกคน และสัตว์ทั้งหลาย เสมอเหมือนกับตัวเรา ต้องเข้าใจใน
คำ ๆ นี้นะ หมาก็หิวเป็น เราก็หิวเป็นเหมือนหมา หมาอยากกินน้ำ
เราก็อยากกินน้ำเหมือนหมา มันเป็นแบบนั้น เขาก็คือเรา
เราก็คือเขา คือจิตใจเดียวกัน นี่มันเป็นอารมณ์ของคนทั้งหมด
สัตว์ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นนิโกร ไม่ว่าจะเป็นฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น
เกาหลี หรืออะไรต่ออะไรนี่ แต่วงเล็บว่าต้องหล่อ ๆ ด้วย (อันนี้แซว)
ต้องถูกสเปคด้วย นี่ อันนี้คือตัวเมตตาความรัก"

"กรุณาคือความสงสาร คนและสัตว์ทั้งหลาย เสมอเหมือนตัวเรา
มุทิตาก็คือว่า เราจะยินดี จะไม่อิจฉาริษยาใคร ใครทำดี เราขอ
โมทนาด้วยทั้งหมด และเราจะวางเฉย เมื่อกฎของกรรมเข้ามาถึงแล้ว
นี่ก็เป็นตัวอุเบกขาในบารมี ๑๐ ด้วย เราจะวางเฉย เราพร้อมช่วยเหลือ
คนอื่นเสมอ ถ้ามีอะไรให้ช่วย แต่ถ้าช่วยไม่ได้ เราก็จำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะวางเฉย แต่ว่าเฉย ก็ต้องเฉยในเมตตาอย่างที่ว่านะ ไม่อย่างนั้น
เมตตาพาตกเหวได้"

ตัวแสบจำเป็น 27-05-2009 16:18


 
"มีคนอยู่ ๔ คนเดินมา ไอ้คนชื่อเมตตามันเดินไม่ดี เดินไม่ระวัง
ตกไปในเหว ไอ้คนชื่อกรุณาก็เอาไม้แหย่ลงไป 'อ้าว.. มึงจับไม้
จับอะไร' ไอ้คนชื่อเมตตา มันเมตตาหนักไปหน่อย ตัวอ้วนใช่ไหม
มันอ้วน มันก็หล่นลงไปด้วยเลย ไอ้ตัวมุทิตาก็ ตาย..เพื่อนเรา ๒ คน
หล่นไป เราต้องช่วย ก็เลยหล่นไปอีกคน ไอ้ตัวอุเบกขามาตัวที่ ๔ เห็น
โห้.. ตั้ง ๓ คน เกินกำลัง ช่วยไม่ไหว เลยรอดอยู่คนเดียว
บางครั้งต้องใช้อารมณ์นี้"

"อันนี้เป็นอุเบกขาในเรื่องของสาวกภูมิ ถ้าเป็นอุเบกขาของพระโพธิสัตว์นี่
มีนิดเดียว ช่วยไม่ได้นี่ กูทุกข์ ต้องไปวานองค์นั้น องค์นี้มาช่วย"

"คือการที่จะวางอุเบกขาให้ได้ มันต้องมีปัญญาก่อน ว่าสัตว์ทั้งหลาย
มีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด
ถ้ามันรู้หลักอย่างนี้จะอุเบกขาเป็น ไม่อย่างนั้นมันอุเบกขาไม่ได้
มันจะช่วยไปหมด ไปช่วยหมดมันเกินกำลังเรา แล้วเรามาทุกข์ทีหลัง
ถ้าเราสามารถช่วยได้ โดยที่เราไม่ทุกข์ มันก็ไม่เป็นไร ใช่ไหม"

ตัวแสบจำเป็น 27-05-2009 16:19


 
"หูย.. คนนี้ไม่มีตังค์เลย ทำอย่างไรดี กู้หนี้ยืมสินมาช่วยเขา
แล้วพอตอนหลังมันหนีไป แล้วหนี้มาตกอยู่กับเรา เพราะเราเป็นคน
ค้ำประกันมัน จะมานั่งบ่นไม่ได้ เพราะเราเมตตาเอง ใช่ไหมเล่า?
ถ้าเมตตาต้องพร้อมไปด้วย ต้องพร้อมในส่วนของการผิดหวัง
เผื่อของการนี้ด้วย แต่ส่วนใหญ่ทำใจไม่ได้ ตรงนี้ถ้าทำไม่ได้แบบนี้
ใช้อุเบกขาไปก่อนดีกว่า ก็อธิษฐานไว้ในใจว่า ถ้าฉันพร้อม ฉันจะช่วย
เธอทันที แต่ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อม นี่..แบบนี้เขาเรียกว่า
อุเบกขาซ่อนไปด้วยเมตตา"

"อย่างนี้ถึงจะเป็นพรหมวิหารแท้ ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเป็นอุเบกขาควาย
กินหญ้าอย่างเดียวเลย(ลากเสียง) กูไม่สนใจใคร ฝนจะตก แดดจะออก
กูไม่รู้ แบบนี้เรียกว่าอุเบกขาควาย เขาไม่ใช้กัน อันนี้มันตรงตามตำรา
ไปหน่อย อุเบกขา เฉย เฉย (ทำเสียงสูง) แบบนี้มันไม่ใช่"

ตัวแสบจำเป็น 27-05-2009 16:25

"เมื่อเราพิจารณาได้ ๔ อย่างตรงนี้แล้ว เมตตา กรุณา มุทิตา
อุเบกขา ก็ทรงอารมณ์อันนั้น พยายามน้อมนำ ทรงอารมณ์อันนั้นไว้
แล้วเสร็จแล้วก็สวดมนต์ไหว้พระ ทำจิตให้ผ่องใส นึกถึงพระนิพพาน
เป็นการ build อารมณ์ให้มันง่ายหน่อย ในการเข้าสู่กระแสธรรมนั้น
แล้วก็ทรงอารมณ์จิต

เมื่อเข้าถึงอารมณ์พระนิพพานแล้ว ก็อาราธนาสมเด็จพ่อประทับตลอดทั้งวัน
แบบที่สอนไป เพราะวันนี้ ไม่รู้ลูกจะตายตอนไหน ถ้าตายแล้ว ลูกขอไปอยู่
กับสมเด็จพ่อที่เดียว

อ้าว.. พอตกดึก พอเรานอนแล้วตื่นมาตอนเช้า อ้าว..ยังไม่ตายนี่
อ้าว..วันนี้มันยังไม่ตาย ชีวิตยังอยู่อีกวันหนึ่ง อย่างนั้นก็ หนูจะทำความดี
ถวายเป็นพุทธบูชา อธิษฐานบุญตรงนี้ จะถวายสมเด็จพ่อทุกวัน
ถ้าตายเมื่อไหร่ ขออยู่กับสมเด็จพ่อที่เดียว วันนี้ขอเป็นวันสุดท้ายในการที่จะมีชีวิตอยู่

เพราะฉะนั้น วันนี้ทำให้ดีที่สุด อะไรที่ครูบาอาจารย์ท่านบอก
เอามารวบรวมอยู่ในอกในใจ พยายามทำให้ดีที่สุด อันนี้เรียกว่า
'ทำวันนี้ให้ดีที่สุด' ตามตำรับตำราจริง ๆ ไม่ใช่ตามตำราดารา
กินเหล้า เมากาม แล้วมาบอกว่า 'ทำวันนี้ให้ดีที่สุด' (ดัดเสียง)
คติของมัน (ทำเสียงดูแคลน) มันไม่ใช่

ภาพพจน์ อันนั้นคือภาพพจน์ ถือแก้วเหล้าแล้วบอกว่า ผมจะทำวันนี้
ให้ดีที่สุดครับ มันไม่ใช่"


ชอบเวลาที่หลวงพี่เอกพูดถึงสมเด็จพ่อค่ะ เวลาท่านพูด เหมือนท่าน
จูงมือเราขึ้นไปกราบสมเด็จพ่อด้วยกันกับท่านเลย ความนอบน้อม
เคารพต่อพระรัตนตรัยของหลวงพี่ มันล้นออกมาจากใจ จนแสดง
ออกมาทางวาจา และทางกายจนสามารถรับรู้ได้ โดยไม่ต้องตั้ง
อารมณ์ใจเพื่อรับรู้ในกระแสนั้นเลย
:baa60776:

เถรี 30-05-2009 14:37

หลวงพ่อเล็กบอกว่า ท่านเป็นคนที่น้ำหนักขึ้นยากมาก เคยอ้วนที่สุดตอนเป็นทหาร ตอนนั้นท่านหนัก ๖๓ กิโลครึ่ง
พอตอนหลังตั้งใจจะบวช ก็เลยถือศีลแปดก่อนบวชเป็นเวลา ๒ ปี น้ำหนักลดลงมาเหลือ ๕๔ กิโล หายไป ๙ กิโลครึ่ง

ท่านบอกว่า "จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลา ๒๕ ปีแล้ว ได้คืนมา ๒ กิโล เลยอิจฉาเด็ก ๆ เห็นเด็กอ้วน ๆ ไม่ได้ รู้สึกหมั่นเขี้ยว อยากงับ เมื่อไหร่เราจะอ้วนแบบนั้นบ้าง"

มิ่งเมือง 30-05-2009 14:59

อยากจะถวายน้ำหนักบูชาพระคุณหลวงพี่เล็ก ท่านสัก ๑๐ กิโลกรัมจะดีหรือไม่ครับ
อึดอัดสุด ๆ ครับ

การที่ร่างกายมันอ้วน มันทำให้เราเห็นทุกข์ได้ง่าย ๆ เหมือนกันครับ
ยิ่งตอนนี้ช่วงลดน้ำหนักได้พิจารณาอาหาเรฯ อย่างมากทีเดียว
คิดก่อนกิน ไม่ใช่อิ่มมากแล้วค่อยมาคิดว่า "ไม่น่ากินเข้าไปเลย"

สไบเงิน 02-06-2009 00:30

พี่ทิดคะ

ที่พี่ทิดเคยทักว่าเจ๊หยกจะถูกครูบาเหนือชัยทักอีกหรือไม่นั้น สไบเงินมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบค่ะ

ว่าเจ๊หยก เป็นเอตทัคคะในเรื่องนี้จริง ๆ ค่ะ

ครูบาฯ ท่านทักเจ๊หยกแล้วค่ะ

ตัวแสบจำเป็น 09-06-2009 12:51

ครูบาเหนือชัย
 
กลับมาอีกครั้ง กับกระทู้ลำเค็ญ (?) :onion_no:
แหม ๆ ๆ พี่น้องคะ.. ครูบาฯ คุยกับหนูจริง ๆ หรือคะ?
แม้ว่าตอนท่านพูด จะมองหน้าหนู แต่หนูก็ไม่กล้าเข้าข้างตัวเอง
หรอกค่ะ ว่าท่านหมายถึงหนู :l43841274qn5:

แต่ว่า.. ไหน ๆ ก็มีเสียงเรียกร้อง อยากฟัง (อ่าน) เรื่อง
ที่ครูบาฯ สอน หนูจะนำมาเล่าสู่กันฟัง (เพลงพี่เบิร์ดอีกสักเที่ยว)
นะเจ้าคะ :af48944b:

เรื่องอาจจะกระท่อนกระแท่นไปบ้าง ทั้งนี้เพราะญาติโยมที่ต้องการ
ให้ครูบาฯ สงเคราะห์มีเยอะ จึงบางทีก็มีแทรกมาบ้างในบางเนื้อหา
อา.. ว่าจะไม่ตำหนิใครแล้ว แต่เอาสักหน่อย ไหน ๆ ก็บาปแล้ว
เตือน ๆ พี่น้องนิดนะคะ เรื่องการวางกำลังใจ ถ้าวางกำลังใจผิด
อาจจะกลายเป็นการใช้พระได้ เราล้วนแต่เป็นผู้ที่กำลังปฏิบัติ
บางคนเป็นพุทธภูมิ บางคนก็ต้องการนิพพานชาตินี้ อย่าให้กรรม
เล็ก ๆ น้อย ๆ มาบั่นทอนมรรคผลที่เราพึงจะได้รับเลยนะคะ

มาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ.. เดี๋ยวจะอารมณ์เสีย
:a03cbf1e:

ตัวแสบจำเป็น 09-06-2009 12:56


 
เรื่องที่จะเล่านี้ ได้รับฟังจากครูบาเหนือชัย เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๒
ที่ผ่านมาค่ะ ที่บ้านเฮียตือผู้อารี (ขอบพระคุณนะคะ แม้ว่าหยกจะไม่ได้หม่ำ
มาม่าของเฮียก็ตามค่ะ อิอิ) วันนั้นช่วงเช้าครูบาฯ ติดกิจนิมนต์ค่ะ พวกเรา
ไปนั่งรอกันตั้งแต่บ่าย (พวกนกรู้) จนในที่สุด ครูบาฯ ก็มาให้เราชื่นใจกัน
ในตอนหนึ่ง ครูบาฯ เทศน์ว่า


ศีลเป็นภาษาอินเดีย แปลเป็นภาษาไทยว่าปกติ คนผิดศีลก็คือ
คนผิดปกติ คนมีศีลก็คือคนปกติ คนกินเหล้าคือคนผิดปกติ
คนโกหกคือคนผิดปกติ คนชอบไปเป็นชู้คนอื่นเขาคือคนผิดปกติ
คนชอบขโมยเงินเมียคือคนผิดปกติ (ฮากันไป) คนที่ชอบ
เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น ฆ่าผู้อื่นคือคนผิดปกติ คนปกติเขาจะ
ไม่ฆ่าใครใช่ไหม? จะไม่ลักขโมยของใครใช่ไหม? คนปกติจะ
ไม่นอกใจคนรักใช่ไหม? คนปกติจะไม่โกหกใครใช่ไหม?
คนปกติจะไม่เมาเหล้า เมายาบ้า ยาเสพติดใช่ไหม?

นี่.. ทีนี้ รักษาศีล ก็คือการรักษาความปกติของใจไว้ใช่ไหม?
รักษาศีลกับผิดศีลอันไหนง่าย? หา..ผิดศีลง่าย? ลองฆ่าคน
ที่อยู่ใกล้ ๆ นี้ให้หน่อยสิ ไหนลองดูสิ

ตัวแสบจำเป็น 09-06-2009 12:59


 
ที่จริงอยู่เป็นปกติง่ายกว่า ใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นก็เป็นพุทธเพียงแค่
ในทะเบียนบ้านใช่ไหม? ในบัตรประชาชนใช่ไหม? ในสำมะโนครัว
ใช่ไหม? ในเมื่อเรารู้จักศีล ก็เป็นปริยัติ ปริยัติเขาให้รู้จักใช่ไหม?
ก็เอาศีลนี่ยัดไว้ในใจ จะเอาศีลยัดไว้ในใจ ต้องมี มนสิการ คือการกำหนดใจ
คนที่จะรักษาศีลได้ ต้องกำหนดใจ กำหนดจิตเลยว่า
ฉัน จะ รัก ษา ศีล (เน้นทีละคำ)

เธออย่างี่เง่า ฟังฉันอย่างเดียว ตื่นเช้าเตรียมตัว ช่วยฉันทำกับข้าว
ไปถวายพระ บอกให้รักษาศีล ฟังธรรมด้วยกัน ถ้าไม่มีการกำหนดจิต
กำหนดใจ จะรักษาไม่ได้นะ

ตัวปริยัติทำให้รู้จัก ตัวปฏิบัติทำให้รู้จริง เมื่อยัดเข้าไว้ในใจแล้ว
ก็กำหนดจิตเข้าสู่ เนกขัมมบารมี มีกำลังใจที่จะตัดความกังวลทุกอย่าง
ตอนนี้ฉันจะไปฟังพระเทศน์ ๑ ชั่วโมงนี้ ห้ามมีกังวลเด็ดขาดเลย
ล็อกไว้เลย ความกังวลเอาไว้ข้างล่างก่อน ไว้ที่บ้าน ในระหว่าง
ที่ฟังธรรม ห้ามเอามาไว้ข้างบน

ตัวแสบจำเป็น 09-06-2009 13:03


 
เนกขัม แปลว่าตัดกังวล บารมีแปลว่ากำลังใจ เนกขัมมบารมี คือมี
กำลังใจตัดกังวล เมื่อมีกำลังใจตัดความกังวลได้แล้ว ก็จะรู้ทันที
ว่าใจสงบ เป็นสมาธิ คนที่ตัดกังวลได้นี่ เข้าสู่การปฏิบัติแล้วนะ
เออ.. ปฏิบัติทำให้รู้จริง ปริยัติทำให้รู้จัก ต้องรู้จักจริง
ถ้ารู้จักอย่างถ่องแท้ก็ยัดไว้ในใจเลย มนสิการเลย ปฏิบัติปั๊บ
ก็รู้จริงเลยว่าสงบหรือเปล่า ถ้าใครตัดกังวลได้ มันจะสงบไวมาก
มันเป็นสมาธิได้ไว ก็เข้าสู่ความสว่าง นั่นคือปัญญาบารมี มีกำลังใจ
ที่ทำให้ใจตัวเองสว่างไสว พร้อมที่จะรู้ เห็น จำ คิด ฟังธรรมดี ๆ
เพื่อให้เกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญาแล้ว ก็จะรู้แจ้ง ตัวรู้แจ้งนั้นเป็นปฏิเวธ
ปริยัติทำให้รู้จัก ปฏิบัติทำให้รู้จริง ปฏิเวธทำให้รู้แจ้ง

เมื่อแจ้งชัดในใจแล้ว ก็รู้ว่า ชีวิตนี้มีน้อยจริง ๆ มีสิทธิ์ได้ใช้คนละร้อยปี
หักเวลานอนหลับไปครึ่งหนึ่ง เหลือ ๕๐ ปี หักเวลาสำมะเลเทเมา
จับผิดจับถูก งี่เง่าเต่าตุ่นออกไปอีกครึ่งหนึ่ง เหลือ ๒๕ ปี น้อย.. น้อยจริง ๆ
ก็เริ่มมีกำลังใจที่จะอดทน ขันติบารมี เริ่มมีกำลังใจที่จะพากเพียรขยัน
ก็มีเวลาน้อยนิดนี่ ๒๕ ปี ยิ่งตัดเวลาจับผิดจับถูก ทะเลาะเบาะแว้งอีก ๕ ปี
ก็เหลือ ๒๐ ปี บางคนใช้เวลาเปล่า ๆ ไปอีก ๑๐ ปี เหลือ ๑๐ ปี

นี่..เห็นไหมล่ะ? ชีวิตนี้น้อยจริง ๆ อย่าประมาท แต่มันมีค่ามาก
สำหรับสร้างบารมี บำเพ็ญเพียรเพื่อความหลุดพ้น

ตัวแสบจำเป็น 09-06-2009 13:07


 
เมื่อรู้ว่าตัวเองคำนวณแล้วมีเวลาน้อย ก็เพียรขยัน เกิดวิริยบารมี
วิริยะคือความพากเพียร ขยัน บารมีคือกำลังใจที่เต็มเปี่ยม
มีกำลังใจแกร่งกล้าขึ้น เพียรขยันจะไม่ย่อท้อ ทั้งกลางวัน กลางคืน
เพื่อนเฮงซวย เพื่อนงี่เง่า ก็ขี้เกียจไปหามันแล้ว ขยันไปในสิ่งที่ดี ๆ
ดีกว่า สิ่งที่ไม่ดีก็ขี้เกียจทันทีเลย เมื่อมีความเพียรมากเข้า ๆ
ความอดทนก็ต้องเพิ่มขึ้น หน้าที่การงานก็รัดตัว ความเพียรพยายาม
ของเราต้องมาก กำลังใจต้องแน่วแน่ ความอดทนต้องเพิ่มขึ้นมาก
เพราะเรา (เขาเรียกว่า) ตกบันไดพลอยโจนมานานแล้ว (ก็ว่าได้นะ)
คือหลงไปกับโลกนานแล้ว ต้องเพิ่มความอดทนให้มาก ๑. จะต้องอด
ทนฟันฝ่าอุปสรรคนานับประการในชีวิตทางโลก นั่นก็ลูก นั่นก็ผัว
นั่นก็เมีย นั่นก็ญาติพี่น้อง นั่นก็หนี้สิน บารมีก็ต้องสร้าง ต้องอดทน
ยิ่งกว่าเก่าร้อยเท่าพันเท่า 'หน่อมแน้ม' ไม่ได้

ในเมื่ออดทนแล้ว ต้องมีความจริงใจด้วย ต้องมีกำลังใจที่ต้อง
จริงใจกับชีวิตของตัวเอง กับครอบครัวของตัวเอง แล้วพระพุทธศาสนา
คือต้องตั้งสัจจบารมี ต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอบารมี
คือกำลังใจเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด ที่ครูบาอาจารย์ท่าน ฝึกฝนใจจนสำเร็จแล้ว
มาเป็นมเหตะเดชา เป็นตบะเดชะ เพิ่มพูนกำลังใจให้เรา เพิ่มพูนบารมี
ให้เรา สิ่งไหนที่ครูบาอาจารย์บอกว่า ให้รวบรัด เร่งรัดบารมี


'ไป ๆ ไปทำห้องน้ำ' ก็รีบช่วยกันไปทำ
'ไป ๆ ไปทำถนนหนทาง' ก็รีบช่วยกันไป
'ไป ๆ ๆ นั่นวิหารทาน วิมานคือของพวกเธอ' ก็รีบไปแล้ว

ตัวแสบจำเป็น 09-06-2009 13:10


 
มีความจริงใจ มีกำลังใจ จริงใจ รักใครต้องมีความจริงใจ
ไม่ใช่รักแบบชาวโลก รักแบบชาวโลกียะ ถูกใจก็รัก ไม่ถูกใจก็เกลียด
ต้องฉลาดรักแบบชาวพระนิพพาน ลากคอมาให้ตั้งสัจจบารมีเลย
เธอนี่โชคดีนะ มาตั้งสัจจะด้วยกัน สมาทานศีลห้า สมาทานการให้ทาน
แล้วมาสร้างบารมีด้วยกัน รักแบบนี้รักแบบพ้นทุกข์แล้ว
ดึงกันออกจากวัฏฏสงสาร

เห็นไหมล่ะ? เหมือนพระพุทธองค์ ที่ไปโปรดพระนางพิมพา
ผลสุดท้ายพระนางพิมพาก็บรรลุพระอรหันต์ พระราหุลก็บรรลุ
พระอรหันต์ เรียกว่ารักแบบชาวพระนิพพาน ดึงกันออกจากวัฏฏสงสาร
แล้วอธิษฐานบารมี เมื่อมีสัจจะ จริงใจ ไม่มีหลอกกันแล้ว
มุ่งมั่นต่อพระนิพพาน ต้องขยันอธิษฐาน เพราะว่าอุปสรรคนานับ
ประการนี่ มันกวนใจมาก นั่นก็เมียเก่า นั่นก็แฟนเก่า นั่นก็ผัวเก่า
นั่นก็แฟนใหม่ โอ๊ย.. นั่นก็ญาติเก่า นั่นก็ญาติใหม่ กวนใจมาก ๆ
เป็นเจ้ากรรมนายเวร หลับตา

อธิษฐาน เคยอธิษฐานไหม? อธิษฐานเป็นไหม? ถ้าไม่เป็น.. กล่าวตามนะ

ตัวแสบจำเป็น 09-06-2009 13:19


 
ต่อไปนี้ เป็นคำอธิษฐานที่ครูบาฯ สอนให้พูดตามค่ะ
เป็นคล้าย ๆ คำอาขยานนะคะ ส่วนที่เป็นภาษาบาลี
หยกพยายามแกะเต็มที่แล้ว แต่ความรู้น้อย ๆ บางที
อาจมีผิดพลาดบ้าง ขอให้พี่ ๆ ที่เชี่ยวชาญ โปรดชี้แนะด้วยนะคะ :875328cc:
(แหะ แหะ อุตส่าห์พยายามถาม google แล้ว
แต่พบว่า google รู้น้อยเช่นกัน)


สัมมาอะระหัง อะระหังสัมมา
สัมมาอะระหัง อะระหังสัมมา
สัมมาอะระหัง อะระหังสัมมา
สัมพุทโธภะคะวา พุทธังภะคะวันตัง อภิวาเทมิ
สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ธัมมังนะมัสสามิ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆังนะมามิ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุท ธัสสะ
นะโมตัสสะ ตัสสะนะโมตัด ตัดกิเลสตัณหาอุปาทาน ด้วยนะโมตัสสะ
ตัสสะนะโมตัด นะโมตัสสะ ตัสสะนะโมตัด ตัดเจ้ากรรมนายเวร
จงถอยห่างออกไป ตั้งสติตั้งใจ โมทนาในผลบุญ ในบุญพระกรรมฐาน
ขอถวายพระสังฆทาน วิหารทาน ให้พระพุทธศาสนา จงมาโมทนา
สาธุการเถิด เจ้ากรรมนายเวร จงยกโทษงดโทษ อ่อนอกอ่อนใจ
อโหสิกรรม ให้กับข้าพเจ้าด้วยเถิด บุญทุกอย่างที่ทำ ในเขตพระพุทธศาสนา
จงอนุโมทนา ในบุญกุศลทุกครั้งเถิด อย่าได้รบกวนจิตใจ ข้าพระพุทธเจ้า
จะสร้างบารมี บารมีทั้งหลาย มีทานบารมี มีศีลบารมี เนกขัมมบารมี
ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี
อุเบกขาบารมี เจ้ากรรมและนายเวร ทุกรูปทุกนาม ทุกดวงจิตทุกดวงวิญญาณ
มีบิดามารดา ทุกภพทุกชาติ ครูบาอาจารย์ ทุกภพทุกชาติ ญาติพี่น้องวงศา
ทุกภพทุกชาติ มิตรรักสหาย เพื่อนสาราสัตว์น้อยใหญ่ สรรพสัตว์ผู้มีชีวิตชีวา
จงมาโมทนา ในบุญพระกรรมฐาน ถวายพระสังฆทาน วิหารทาน
ในพระพุทธศาสนา จงโมทนาสาธุการเถิด อานิสงส์แห่งบุญ
ขอให้ข้าพระพุทธเจ้า พ้นทุกข์เข็ญใจ พบสุขพระนิพพาน โดยง่ายโดยฉับพลันเถิด
แม้นว่ายังอาภัพอยู่ ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสาร ขออย่าได้อาภัพ ๑๘ ประการ
จงเกิดอยู่ในตระกูลที่ดี จงเกิดอยู่ในประเทศที่ดี ที่มีพระพุทธศาสนา
ได้เกิดมาเป็นคนไทย มีใจรักศีลรักทาน ลูกหลานบริวารที่ดี มีคู่ชีวิตที่ดี
มีคู่อุปถัมป์ค้ำจุนที่ดี มีคู่บุญคู่บารมีที่ดี จนแคล่วคล่องการเงินการงาน
แคล่วคล่องสติปัญญา คนชั่วคนพาลสันดานหยาบ อย่าได้พบได้เจอ
จงถอยห่างออกไป ร้อยโยชน์พันโยชน์ จงได้พบแต่คนดี ๆ
มีแต่ความจริงใจ จงได้พบกัลยาณมิตรที่ดี จงได้พบบัณฑิตที่รู้จริง
จงได้พบพระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้า เข้าถึงซึ่งความศักดิ์สิทธิ์
ในพระรัตนตรัย ภายในใจของข้าพเจ้า อุดมด้วยเดช อิทธาฤทธิ์
อำนาจสิทธิ เฉียบขาดฉับพลัน กำลังฤทธิ์รัศมี สว่างไสว ทั่วห้องพระนิพพาน
เข้าถึงซึ่งวิชชา ๘ ประการ แตกฉานในพระกรรมฐาน ทั้ง ๔๐ ทัศ
เข้าถึงอภิญญาสมาบัติ ปฏิสัมภิทาญาณทั้งสี่
รู้เหตุแห่งความเสื่อมและความเจริญ รู้จักเอาอาสวะกิเลสตัณหา
ออกไปให้หมดจากใจ เข้าถึงอริยทรัพย์ภายใน ทั้งภายนอก
ได้เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี โคตรอภิมหาเศรษฐี ใจดีใจบุญ
ค้ำจุนพระพุทธศาสนา ได้ทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ
พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ ด้วยความมหัศจรรย์
ปาฏิหาริย์ก่อเกิด นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คำว่าขาดตกบกพร่อง
คำว่าไม่มี คำว่าไม่สำเร็จ อย่าได้พบอย่าได้เจอ จงมีแต่ความอุดมสมบูรณ์
มั่งมีศรีสุข เจริญงอกงามไพบูลย์ ทุกทิวาราตรี จงมีแต่คำว่ามี
จงมีแต่คำว่าสำเร็จ ตลอดเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน สัมมาอะระหัง
นิพพานังปรมังสุขขัง ขลัง ขลัง ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ อิติปิโสภะคะวา
อะระหัง วะจะโสภะคะวา มะอะอุทุกขัง อนิจจังอนัตตาติ

ตัวแสบจำเป็น 09-06-2009 13:27


 
นี่คือการอธิษฐานบารมี ต่อไปก็เมตตาบารมี เมตตาแปลว่าความรัก
บารมีแปลว่ากำลังใจ ต้องมีกำลังใจรักตัวเอง รักครอบครัวตัวเอง
รักบ้านรักเมือง รักประเทศชาติของตัวเอง รักศาสนาของตัวเอง
คนที่กินเหล้ามาก ๆ ขาดซึ่งเมตตาบารมี เรียกว่าโหดบารมี


๕๕ ถ้าอารมณ์ค้าง ก็โปรดทราบว่า หยกก็เช่นกันค่ะ :onion_you:
นี่คือสิ่งที่หยกบอกอย่างไรเล่าคะ ว่าเนื่องจากญาติโยมมีเยอะ
ที่ต้องการให้ครูบาฯ สงเคราะห์ ก็อาจจะมีมาแทรกกลางแบบนี้บ้าง
เรื่องที่ครูบาฯ สอน จึงดูเหมือนว่ายังไม่ครบบารมี ๑๐ แต่เอาเป็นว่า
เราก็ได้รับความรู้ และได้กำลังใจจากครูบาฯ มามากโข

หยกก็ขอจบ เรื่องเล่าในส่วนของครูบาเหนือชัยแต่เพียงเท่านี้ค่ะ
:967339c1:

สไบเงิน 09-06-2009 14:39

นึกว่าจะมาเล่าเรื่องที่หลวงพ่อเล็กเทศน์ครั้งล่าสุดเสียอีก

ป้านุช 10-06-2009 14:51

ขออนุญาตเพิ่มเติมจ้า

คำอธิษฐานบารมี ครูบาฯเมตตากล่าวนำให้ทุกคนกล่าวตาม แบบที่เรียกว่าทำนองสรภัญญะ(หรือเปล่าหนอ)
เพราะมาก ๆ และเราไม่มีโอกาสได้ฟังจากที่ไหนเลย นอกจากครูบาฯท่านเท่านั้น

ขอบคุณและโมทนาน้องหยกในธรรมทานนี้ด้วยจ้ะ
:d16c4689:

ตัวแสบจำเป็น 12-06-2009 12:50

หลวงพ่อเล็ก
 
พี่น้องครับ.. หลังจากเดือนที่แล้ว หลวงพ่อเล็กเมตตาแซวหนูว่า
เป็นลูกปลาวาฬ T^T เดือนนี้ หลวงพ่อเมตตายิ่งกว่า..
หลวงพ่อบอกว่าให้หนูไปอดอาหารลดความอ้วนค่ะ :33c4b951:

เรื่องราวมันก็มีอยู่ว่า นั่ง ๆ กันอยู่ หลวงพ่อก็เล่านั่นเล่านี้
เราก็ตั้งใจฟังกันไป แล้วท่านก็มองหน้าหยก แล้วก็บอกว่า..

ตัวแสบจำเป็น 12-06-2009 12:52


 
หยกต้องไปดู "โทณปากสูตร" อยู่ในสุตตันตปิฎก กล่าวถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล
พระเจ้าปเสนทิโกศลมีความเคารพรักพระพุทธเจ้ามาก ถึงขนาดว่าทำอย่างไรจะให้
ได้เป็นพระญาติพระวงศ์กับพระพุทธเจ้าท่าน ไปขอเจ้าหญิงของตระกูลศากยะมา
เป็นมเหสี เพื่อจะได้เป็นญาติใกล้ชิดกัน แต่ว่าทางศากยะวงศ์นี่ เขาถือตัวว่า
เขานั้นเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ ไม่เคยให้ตระกูลอื่นมาปนเลย แต่งงานกันใน
วงศ์ญาติพี่น้องตัวเอง เขาก็เลยส่งลูกคนใช้ไปให้ พระเจ้าปเสนทิโกศลก็หลงภูมิใจ

แต่ตรงจุดนี้ไม่ได้กล่าว กล่าวถึงตรงที่ว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลนั้นรักเคารพ
พระพุทธเจ้ามาก ท่านหาโอกาสไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทุกวัน แต่ว่าวันนั้น พระองค์
ท่านเพิ่งเสวยพระกระยาหารเสร็จ เกิดความคิดถึงอยากเฝ้าพระพุทธเจ้าขึ้นมา ล้าง
พระหัตถ์เสร็จ ก็เดินทางไป ไปถึงเชตวันมหาวิหารก็เป็นลม เพราะว่า พูดเป็นภาษา
ชาวบ้านก็คือ ทรงพระอ้วน!!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:22


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว