กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2109)

เถรี 06-09-2010 22:09

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๓
 
สำหรับท่านใดที่ประสงค์จะไปบวชชีพราหมณ์ถือศีลแปดที่วัดท่าขนุน ในวันที่ ๑๒-๑๔ กันยายนนี้ ควรไปถึงก่อนเวลาบ่ายสามของวันที่ ๑๒ กันยายน เพราะพระอาจารย์จะกลับมาถึงวัดแล้วบวชให้ในช่วงนั้น

นอกจากนี้จะมีใบสมัครให้กรอกประวัติส่วนตัว เลขที่บัตรประชาชนพร้อมรูปถ่าย ๑ นิ้ว ท่านใดที่จะสมัครควรเตรียมรูปถ่ายและบัตรประชาชนไปด้วยค่ะ

และพระอาจารย์จะสึกให้ในวันที่ ๑๔ กันยายน พร้อมรับประกาศนียบัตรรุ่นแรกในวันนั้น ซึ่งพอดีตรงกับงานทำบุญครบรอบหลวงปู่สาย และตรงกับงานฉลอง เนื่องในโอกาสที่วัดท่าขนุนได้รับเลือกให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่นประจำจังหวัด งานนี้พระอาจารย์จึงนิมนต์พระในอำเภอทองผาภูมิ จำนวน ๕๐๐ กว่ารูปมาในงานค่ะ

ส่วนเรื่องจำนวนของผู้สมัครนั้นรับไม่เกิน ๓๐๐ คนค่ะ ถ้าใครมีชุดขาวใส่ไปด้วยก็ดี หรือถ้าไม่มีชุดขาวก็เสื้อขาวกางเกงสีอื่นก็ได้ค่ะ

หมายเหตุ : พระอาจารย์ท่านบอกว่า ยิ่งคนสมัครน้อยคนยิ่งดี จะได้ไม่เปลืองค่าพิมพ์ใบประกาศนียบัตร..!

เถรี 06-09-2010 22:59

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันที่ ๑ กันยายน อาตมาเรียนวิชาภาษาอังกฤษสำหรับการจัดการ ท่านอาจารย์ ดร.มนตรา เลี่ยวเส็ง พาพระต่างประเทศมา ๓ รูป มีท่านจารึก จากประเทศกัมพูชา ท่านมังคละปิยะ จากบังคลาเทศ และท่านกุเวระ จากประเทศพม่า

ท่านจารึกเขาเล่าให้ฟังว่า เขาเป็นคนดวงยากเข็ญ เกิดปี ๑๙๗๕ ปีที่เขมรแตกพอดี เขาบอกว่า เขาอยู่ท่ามกลางสงคราม..สงคราม..และสงคราม ใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ตลอดเวลา ประชาชนตกอยู่ในความทุกข์ยาก มีแต่ความเดือดร้อน บาดเจ็บล้มตาย ถูกเข่นฆ่าไปประมาณ ๑,๕๐๐,๐๐๐-๒,๐๐๐,๐๐๐ คน

ตัวเขาเองโดนพ่อแม่หอบหิ้วมา เติบโตอยู่ในค่ายอพยพฝั่งไทย ได้รับการศึกษาจากทางด้านเจ้าหน้าที่อพยพของยูเอ็น จึงได้ภาษาอังกฤษติดตัวมา หลังจากที่สงครามสงบแล้ว เขากลับไปบ้านเกิดของตัวเอง ไปเห็นแต่ความทุกข์ยากเดือดร้อนของชาวบ้าน

มีแต่คนจน คนเจ็บ คนพิการ เขาบอกว่ารัฐบาลปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนไม่ใช่มนุษย์ เขาย้ำว่า พวกท่านทั้งหลายที่เป็นพระเถระเกิดในเมืองไทยเป็นผู้ที่โชคดีอย่างยิ่ง คำนี้เขาใช้คำว่า Most venerable ซึ่งก็คือพระที่มียศมีตำแหน่ง

ท่านบอกว่าคนไทยไปไหน พอบอกว่ามาจากเมืองไทย ชาติอื่นก็ปฏิบัติต่อเราอย่างมีเกียรติ แต่พอเขาบอกว่ามาจากกัมพูชา มีแต่คนดูถูก (look down) เรามาฟังดูแล้ว รู้สึกว่า รัฐบาลห่วย ๆ ของเราก็ยังไม่เลวนะ ดีกว่าประเทศของท่านจารึกเยอะเลย..!

เขาบอกว่าบ้านเราอย่างน้อยก็มีกฎหมายในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายประมง กฎหมายป่าไม้ ฯลฯ แม้แต่พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ของเราก็มี แต่ของเขาไม่มี แม้แต่กฎหมายบริหารประเทศก็มีแค่เล็กน้อยเท่านั้น ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้นำ ความจริงเขาใช้คำพูดแรงว่า "l have a badly leader." เขาบอกว่าสู้เมืองไทยไม่ได้

ที่เขาต้องมาศึกษาที่เมืองไทยเพราะเมืองไทยเป็นประเทศที่เจริญกว่า เขาจะเอาความรู้นี้กลับไปพัฒนาบ้านเมืองของเขา เขาย้ำว่าพระพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว รัฐบาลไหนที่ปกครองโดยยุติธรรม ประเทศชาติก็จะสงบสุข บ้านเมืองก็จะเจริญรุ่งเรือง เรามานึก ๆ ดู เพื่อนบ้านเขามองบ้านเราเหมือนเป็นสวรรค์ แต่บ้านเขาเป็นนรก"

เถรี 07-09-2010 10:04

"พอมาถึงท่านมังคละปิยะ สาหัสกว่าท่านจารึกอีก ท่านเกิดอยู่บังคลาเทศ มีประชากร ๑๖๐ ล้านคน

ท่านเกิดมาท่ามกลางคนถือศาสนาอิสลาม เป็นชาวเผ่าบารัวที่นับถือศาสนาพุทธอยู่ในเมืองจิตตะกอง มีประชาชนในจิตตะกองที่นับถือศาสนาพุทธอยู่ประมาณห้าแสนคน เราได้ยินก็คิดว่าเยอะ แต่ท่านบอกว่าลองเปรียบเทียบตัวเลขกับ ๑๖๐ ล้านคนดูสิ จะเหลือประมาณ ๐.๐๗ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ตอนที่ซักถามเขาก็เลยถามว่า คุณอยู่ท่ามกลางอิสลามย่อมโดนเขารังแก และปฏิบัติอย่างอยุติธรรมอยู่แล้ว คุณมีหลักเกณฑ์อย่างไรที่จะไปใช้รับมือพวกเขา ? ท่านบอกว่าอาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนานั่นแหละ ที่ช่วยให้รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ท่านใช้คำว่า forget & forgive

สุดยอดจริง ๆ เลย ใครเขาร้ายกาจกับเราอย่างไร ให้ลืมซะแล้วให้อภัย เขาบอกว่าเพราะเหตุนี้แหละที่ทำให้พวกเขาไม่ลำบากมากนัก คือ ยอมทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะรังแกอย่างไรก็ให้อภัย ในเมื่อเขารังแกจนพอใจก็เลิกไปเอง

เขาบอกว่าพ่อเขาเป็นหัวหน้าเผ่าบารัว จึงมีฐานะดีกว่าเพื่อนบ้าน พอเขาจบมัธยมแล้วก็เลยส่งไปเรียนต่อที่ศรีลังกา เขาบอกว่าเป็นภาพที่ตัดกันอย่างชัดเจนที่สุด อย่างชนิดที่ไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย

คุณเป็นประชากรแค่ ๐.๐๗ เปอร์เซ็นต์ในประเทศอิสลาม ๑๖๐ ล้านคน อิสลามครอบงำไปทุกซอกทุกมุม แต่พอคุณไปอยู่ศรีลังกา ประชากร ๗๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ที่นั่นเป็นพุทธศาสนิกชน และพระมีอำนาจถึงขนาดเป็นรัฐมนตรี เป็น ส.ส. เป็นผู้นำในชุมชน ไม่ว่าไปทางไหนก็มีแต่คนยกย่อง"

เถรี 07-09-2010 10:14

"อาตมาถามท่านมังคละปิยะว่า ทำไมคุณมาเรียนที่เมืองไทย? ท่านบอกว่าเมืองไทยมีการเรียนเปิดกว้างกว่า มีวิชาให้เรียนหลากหลายกว่า เพราะท่านไปเรียนที่ศรีลังกาก็เรียนแต่คัมภีร์ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกาต่าง ๆ เพื่อให้แตกฉานทางศาสนาพุทธอย่างเดียว ท่านก็เลยขอทุนมาเรียนที่บ้านเรา

พวกเราถามท่านว่าในระหว่างสามประเทศ คือ บังคลาเทศบ้านเกิดของคุณ ศรีลังกาที่คุณไปร่ำเรียนศึกษา และเมืองไทยที่คุณมาเรียนต่อ ถ้าหากคุณเรียนจบแล้วคุณจะเลือกอยู่ประเทศไหน ?

ท่านบอกว่า เป็นการตัดสินใจที่ยากมาก บังคลาเทศเป็นบ้านเกิด คนที่เป็นเลือดเนื้อเดียวกันกับท่าน รอท่านกลับไปช่วยเหลือ แต่ท่านรู้ถึงความเลวร้ายชนิดไม่อยากจะกลับไปเลย พูดง่าย ๆ ว่าถ้ากลับไปก็ตกอยู่ในภาวะจำยอม

ศรีลังกา..พระมีอำนาจกว่าไทยเยอะมาก ไปไหนก็ได้รับการยกย่อง แต่เมืองไทยทุกคนเป็นมิตรกับเขาหมด เขาบอกว่าถ้าให้เขาเลือกระหว่างศรีลังกากับไทย เขายังตัดสินใจไม่ได้ แต่เขาไม่อยากกลับบ้าน จริง ๆ แล้วท่านมังคละปิยะเขาเป็นเจ้าชายนะ เพราะพ่อของท่านเป็นหัวหน้าเผ่า"

เถรี 07-09-2010 13:12

"ส่วนท่านกุเวระ ท่านเกิดที่ทวาย ทางภาคใต้ของพม่า ก็คือมณฑลตะนาวศรี ท่านพยายามจนได้บวชเณร แล้วขอพระอาจารย์เข้ามาเรียนในย่างกุ้ง จนกระทั่งจบธัมมจริยะ ถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับจบประโยค ๙ ของบ้านเรา

ท่านบอกว่าตลอดระยะเวลา ๑๐ ปีที่ท่านเรียนอยู่ ท่านต้องกินอาหารบูด ๆ เน่า ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่กินก็ไม่มี คนที่ไม่เคยไปพม่าจะไม่เห็นภาพนี้ แต่อาตมาไปมาหลายปี

ไปพักที่สำนักบุปผารมย์ ที่หงสาวดี เป็นสำนักเรียนมีพระ ๔๐๐ กว่ารูป เขามีกับข้าวอย่างเดียว พี่เลี้ยงเขาจะหิ้วหม้อยักษ์มาสองคน คนที่สามจะตักข้าวใส่จานตรงหน้าให้ ข้าวคุณเติมได้ตลอดเวลา แต่กับข้าวมีอย่างเดียว

เราเองเป็นอาคันตุกะไป นอกจากแกงถ้วยนั้นแล้ว เขายังมีปลาทอดให้สองตัว มีของหวานเป็นกล้วยอีกสองผล วางอยู่ตรงโต๊ะข้างหน้า แต่อาตมาฉันไม่ลงเพราะเณรเขามอง มองในลักษณะที่ว่า ถ้าสายตาของเณรกินได้ก็ไม่เหลือแล้ว ลองคิดดูแล้วกัน ว่าบ้านเขาอดอยากขนาดนั้น..!

ท่านบอกว่า ต้องบิณฑบาตตั้งแต่ตีสี่ ฉันเช้าเสร็จก็เก็บอาหารไว้ แล้วก็ไปเรียนจนถึงสิบเอ็ดโมงครึ่ง กว่าจะได้ฉันเพลอาหารก็บูดหมดแล้ว แล้วก็เรียนต่อจนถึงห้าทุ่มจึงได้นอน ตอนเช้าตีสี่ต้องตื่นขึ้นอีกแล้ว

ที่ท่านขวนขวายเรียน เพราะท่านเชื่อว่าความรู้คืออำนาจ ถ้าไม่มีความรู้ก็จะโดนปิดบังอยู่ตลอดเวลา อยู่บ้านท่านไม่มีโอกาสที่จะพูดถึงเรื่องการปกครองหรือประชาธิปไตยแม้แต่คำเดียว พูดเมื่อไรไม่ติดคุกก็ตาย..!

ถามท่านว่าการเรียนเบื้องสูงของพม่ายังมีอยู่ ทำไมไม่เรียนต่อ ? ท่านบอกว่าการเรียนเบื้องสูงขึ้นไป คือ บาลีปารคู การใช้ภาษาบาลีในชีวิตประจำวันก็ดี หรือว่าการเป็นตรีปิฏกะบัณฑิต การเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกก็ดี ก็ยังเป็นเรื่องในแวดวงพระพุทธศาสนา

ท่านอยากเรียนรู้อะไรนอกจากเรื่องหลักธรรม ที่เอากลับไปช่วยชาวบ้านได้บ้าง พอรู้ว่าเมืองไทยเปิดกว้างกว่า มีการเรียนวิชาต่าง ๆ นอกเหนือจากพระไตรปิฎกก็เลยอยากเรียน ดิ้นรนจนมาบ้านเราได้ แล้วท่านก็ย้ำอีกเหมือนกันว่า คนไทยโชคดีมากที่มีประชาธิปไตย บ้านเขาขนาดเป็นพระยังทำอะไรไม่ได้เลย

ฟังไปฟังมา เราก็คิดว่าบ้านเรานี่เป็นกบเลือกนายจริง ๆ รัฐบาลที่เราเห็นว่าไม่เอาไหนเลย ในสายตาของชาวโลกกลับกลายเป็นดี คือ อย่างน้อยก็ยังเป็นประชาธิปไตย"

เถรี 07-09-2010 22:52

"คราวนี้เรามาดูว่าท่านจารึก ท่านเกิดอยู่ท่ามกลางสงคราม พ่อแม่ต้องหอบหิ้วอุ้มข้ามมาเมืองไทยเพื่อเอาตัวรอด เมื่อย้อนกลับเข้าไปประเทศตนเอง ญาติพี่น้องก็ตายหมด ตัวเองต้องดิ้นรนจนกระทั่งบวชพระได้ เข้ามาเมืองไทยเพื่อศึกษาต่อ โดยตั้งความหวังไว้ว่า จะกลับไปช่วยคนในชุมชนของท่าน

กำลังใจในลักษณะอย่างนี้ เป็นกำลังใจที่เปิดกว้างมาก อยู่ในลักษณะของพรหมวิหารสี่แบบอัปมัญญา คาดว่าต้องเป็นกำลังใจของพระโพธิสัตว์ ประโยคที่ท่านบอกว่า คุณไปไหนคุณบอกว่าเป็นคนไทย ต่างชาติเขาปฏิบัติต่อคุณอย่างมีเกียรติ แต่ท่านไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนั้น พอบอกว่าเป็นกัมพูชา มีแต่คนดูถูกเขาเหมือนกับเป็นพลเมืองชั้นสอง

ถ้าเราไม่ได้โดนเองก็จะไม่ซาบซึ้ง ตอนแรกเขาใช้คำว่า suffering คือ ความทุกข์ แต่เขาก็รู้สึกว่ายังไม่ได้อย่างใจเขา พอเขาใช้คำว่า painful ค่อยเห็นชัดหน่อย คือเป็นความเจ็บปวดจริง ๆ เกิดเป็นคนแต่คนอื่นเห็นเหมือนกับว่าไม่ใช่คน..!

ท่านมังคละปิยะ เหมือนกับน้ำหยดเดียวอยู่ท่ามกลางทะเลทราย จะระเหยหายไปเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะประชากรห้าแสนคน ไม่รู้ว่าจะขยับขยายขึ้นมาได้หรือเปล่า แต่ท่านบอกว่า ท่านพยายามตั้งสมาคมชาวพุทธต่าง ๆ ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะให้กำลังใจ

ให้กำลังใจในการดำรงอยู่ในความเป็นชาวพุทธของตน โดยไม่ถูกอิสลามครอบงำและดึงไปหมด และพยายามจะสร้างเว็บไซต์ติดต่อกับโลกภายนอก เพื่อที่จะให้ชาวโลกรู้ว่า ยังมีชาวพุทธอยู่จุดหนึ่งในเมืองจิตตะกอง ถ้าหากอิสลามจะทำอะไรรุนแรง อย่างน้อยก็จะเกรงใจบ้างว่า ยังอยู่ในสายตาของชาวโลก

ท่านเองก็สารภาพตามตรงว่า เรียนจบก็ไม่อยากกลับบ้าน แต่ท่านก็ต้องไป เราลองเทียบกำลังใจดูซิว่า ถ้าเราพ้นจากนรกมา แบบท่าน เราคิดจะกลับไปไหม ? แต่ท่านต้องไป ที่ต้องไปเพราะผู้ที่รออยู่ก็คือพี่น้องของท่าน ก็คือ ประชาชนของท่าน

กำลังใจประเภทนี้ก็คงไม่แคล้วพระโพธิสัตว์อีกเหมือนกัน โดยเฉพาะสถานภาพของท่านเหมือนกับเป็นเจ้าชาย จะต้องกลับไปดูแลคนในเผ่าของตน"

เถรี 08-09-2010 00:26

"ท่านกุเวระ ท่านเกิดในประเทศพม่าที่เผด็จการทหารครอบงำมายาวนาน พูดง่าย ๆ ว่า ตั้งแต่ได้เอกราชมาจนถึงทุกวันนี้ ๖๐ - ๗๐ ปี มีแต่เผด็จการทหารปกครองมาตลอด

ท่านต้องดิ้นรนอยู่ด้วยความยากลำบาก ต้องการการศึกษาแต่ไม่มีหนทาง เพราะรัฐบาลไม่สนับสนุน ก็ต้องบวชเพื่อให้มีโอกาสได้เรียน ต้องลำบากและอดทน ต้องอดนอน โดยเฉพาะอาหารบูด ๆ เน่า ๆ ที่ต้องทนฉันเป็นสิบปีเพื่อเรียนให้จบ...

ถ้าเรามาเปรียบเทียบดูว่า กำลังใจในการต่อสู้ในความทุกข์ยากแบบของท่าน กับกำลังใจที่ต่อสู้กับความทุกข์ในบ้านเราของพวกเรา จะแตกต่างกันมาก พวกเราสบายจนกระทั่งไม่ค่อยรู้สึกถึงความทุกข์ พอทุกข์หน่อยก็โวยวาย พูดง่าย ๆ ว่าความเข้มแข็งอดทนไม่มีเลย..!

เรานึกดูว่า ถ้าเราเป็นอย่างทั้งสามท่าน ต้องไปต่อสู้ดิ้นรนในลักษณะอย่างนั้น ท่านทั้งหลายถ้าผ่านสภาวะเหล่านั้นไปได้ จะยืนหยัดเป็นหลักได้ทุกคนเลย เพราะท่านผ่านบทเรียนที่เป็นของจริงมาแล้ว

แต่พวกเราพอเจอทุกข์เข้าก็ถอย คอยไปผ่อนผันให้กิเลส ยิ่งตอนที่เริ่มปฏิบัติไป กิเลสดิ้นรนใกล้จะตาย พอกิเลสรู้ว่าจะตายก็ดิ้น เรามักจะไปผ่อนให้ทุกที เราไปผ่อนให้เพราะเรากลัวว่าเราจะตาย ทั้งที่กิเลสกำลังหลอกเรา เพราะจะว่าไปแล้วกิเลสก็คือเรา พอจะตายก็หลอกว่าเราจะตาย เราก็เชื่อเสียอีก เพราะฉะนั้น..เราจึงเอาดีได้ยาก

แต่ถ้าเราดูกำลังใจของสามท่านที่ดิ้นรน จนกระทั่งได้รับการศึกษา ได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย ต่อสู้กับความยากลำบากทุกอย่าง เข้ามาแล้วการสื่อสารก็ได้แต่ภาษากลาง คือภาษาอังกฤษ และอย่างท่านมังคละปิยะและท่านกุเวระ โอกาสที่จะสื่อสารกับคนไทยได้รู้เรื่องนั้นยากมาก เพราะสำเนียงการพูดของท่านฟังยากจริง ๆ"

เถรี 08-09-2010 16:28

"อยากให้พวกเราลองคิดดูว่า ถ้าเราตกอยู่ในสถานการณ์แบบเขา เราจะทำอย่างไร ? อย่างของท่านจารึก ท่านเกิดมาท่ามกลางสงครามเลย ถ้าไม่ใช่บุญรักษาหรือกรรมรักษา คงไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ ญาติพี่น้องล้วนกลายเป็นโครงกระดูกในทุ่งสังหาร

อาตมาไปชายแดนตาพะยา ช่วงปี ๒๕๒๔ อยู่นั่นปีกว่า เชื่อหรือไม่ว่าในทุ่งมีแต่โครงกระดูก บางโครงยังโดนมัดติดกับต้นไม้อยู่เลย ต้องไปค่อย ๆ เก็บฝังให้เขา เพราะว่าช่วงนั้นทหารญวนเฮงสัมรินลุยเข้ามา ปะทะกันที่โนนหมากมุ่น ตายไปสามร้อยกว่าศพ พวกที่เกิดไม่ทันไม่รู้หรอกว่าทหารต้องลำบากแค่ไหน
อาตมาต้องไปกอดปืนยืนหนาวอยู่กลางป่าเป็นปี

ท่านมังคละปิยะ ท่านเกิดมากลางดงอิสลาม เป็นชนกลุ่มน้อย และศาสนาอิสลามเขาไม่ถือว่าศาสนาอื่นเป็นคนอยู่แล้ว เขาลำบากทุกข์ยากกว่าเรามากนัก

ท่านกุเวระอายุยังน้อยมาก ๒๐ เศษ ๆ ไม่ถึง ๓๐ ปี ก็เลยกลายเป็นว่าตลอดชีวิตของท่านตั้งแต่เกิด รู้ความมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ ประเทศพม่าไม่เคยว่างเว้นจากเผด็จการทหารเลย ต้องการอะไรทหารมาเอาจากชาวบ้านไปหมด

อาจารย์เตชะ เป็นพระธรรมทูตมาอาศัยอยู่วัดท่าขนุน วันนั้นที่ฉันอาหารกันอยู่ ท่านก็หยิบลำไยให้ดู แล้วถามว่า "นี่เรียกว่าอะไร ?" พระครูหน่อยก็บอกว่า "ลำไย..พม่าไม่มีละสิ" พูดในลักษณะหัวเราะ ท่านเตชะก็สั่นหัวเพราะว่าไม่มีจริง ๆ

อาตมาถึงได้บอกว่า "พระครูหน่อย..ในพม่าแค่ปลูกข้าวพอให้ชาวบ้านกินก็ยากแล้ว เขาไม่มีเวลาไปปลูกอย่างอื่นหรอก เพราะเวลาได้ข้าวมา ถ้าทหารอยากได้เขาจะเอาไปหมดเลย เขาไม่สนใจว่าคุณมีกินหรือเปล่า"

ตอนที่ไปอยู่ที่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ มีบ้านมอญ บ้านทวาย ล้อมรอบอยู่สามหมู่บ้าน ถึงเวลาวันตรุษ วันสารท วันสงกรานต์ เดี๋ยวก็ อส. เดี๋ยวก็ ตชด. เดี๋ยวก็ตำรวจ เดี๋ยวก็ทหาร เดี๋ยวก็ผู้ใหญ่บ้าน มาถึงก็จับคนของเขาไป ต้องเอาเงินไปไถ่ตัวคนละสามพันหรือห้าพัน จึงได้ตัวกลับมา แค่อยากได้เงินกินเหล้าเท่านั้น ก็จับไปดื้อ ๆ"

เถรี 08-09-2010 16:33

"อาตมาถามพวกเขาว่า ลำบากขนาดนี้แล้วยังมาเมืองไทยทำไม เขาบอกว่า นี่ยังดี..เขาอยู่เมืองไทย เขาทำแบบนี้เขายังเหลือเป็นครึ่ง ๆ แต่เขาอยู่พม่า ถ้าทหารเอานี่หมดเลย ไม่เหลืออะไรเลย ทหารเขาไม่สนใจว่าคุณจะอยู่หรือจะตาย รู้แต่ว่าเขาจะเอาเขาจะต้องได้

อาตมายังชื่นชมว่าหมู่บ้านหนองบัวมีการจัดการที่ดีมาก บ้านหนองบัวเขาสละพื้นที่ส่วนกลางประมาณ ๓๐ ไร่ ปลูกข้าวให้ทหารโดยเฉพาะ ถึงเวลาคนก็ไปช่วย ๆ กัน พอทหารเขามาก็เอาข้าวส่วนกลางให้เขาไป เรื่องก็จบ

แต่ที่หมู่บ้านอื่นเขาไม่มีระบบการจัดการอย่างนี้ พอทหารไปไม่มีใครรวบรวมให้ เขาก็ไปค้นเอาเอง ไปซุกไปซ่อนอยู่ในโอ่งในไหก็เอาหมด ทั้งสามท่านต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเราโชคดีที่เกิดเป็นคนไทย แล้วพวกเรารู้สึกโชคดีกันบ้างหรือไม่ ?

อยู่บ้านเราทุกข์ยากขนาดไหนก็ยังพอไปได้ แต่อยู่บ้านเขาทุกข์ยากนี่หาทางออกไม่ได้ เขาก็พยายามดิ้นรนสู้กันไป โดยเฉพาะว่าที่อาตมาเขียนลงหนังสือ อ่านแล้วคิดบ้างไหม ว่าทำไมคนพม่าจึงต้องกินข้าวสองมื้อ เพราะเขาไม่มีจะกิน เขากินมื้อสาย ๆ สิบโมงถึงสิบเอ็ดโมง แล้วไปกินอีกทีตอนเย็น

คนเราพอสบายแล้ว กำลังใจในการต่อสู้ฟันฝ่าจะลดน้อย พระที่ออกธุดงค์ก็เพื่อให้เคยชินกับความยากลำบาก ถ้าหากว่าความลำบากทางกายสามารถทนได้ ความลำบากทางใจก็ไม่เท่าไร เพราะว่ากายกับใจเกือบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"

เถรี 08-09-2010 17:02

ถาม : อาราธนาพระเผื่อคนในบ้านได้ไหม เพราะคนในบ้านเขาไม่ได้อาราธนาพระทุกวัน
ตอบ : กินแทนกันได้ไหมเล่า ? กรรมใครกรรมมันจ้ะ

เถรี 08-09-2010 17:11

ถาม : สมัยเด็ก ๆ ไปเคี้ยวพระ บาปหรือไม่คะ?
ตอบ : ไม่เป็นไรจ้ะ ขอขมาก็ใช้ได้แล้ว เอาดอกไม้ธูปเทียนไปกราบขอขมาหน้าพระพุทธรูปจ้ะ อะไรที่เราล่วงเกินด้วยกาย วาจา ใจ จะเจตนาหรือไม่เจตนา ตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้ด้วย

เถรี 15-09-2010 22:12

พระอาจารย์บอกว่า คำว่าสามี แปลว่า เจ้านาย

"พุทธัสสาหัสมิ ทาโส วะ ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พุทโธ เม สามิกิสสะโร พระพุทธเจ้าเป็นนายเหนือข้าพเจ้า"

เถรี 15-09-2010 22:22

ถาม : (เกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บ)
ตอบ : โรคภัยไข้เจ็บเหมือนกับกาฝาก สภาพร่างกายของเราเหมือนต้นไม้ ถ้าจะแยกกาฝากออกจากต้นไม้ได้ จะต้องมองให้เห็นจริง ๆ ว่า ต้นไม้ก็ไม่ใช่ต้นไม้...กาฝากก็ไม่ใช่กาฝาก

ทั้งสองอย่างล้วนเป็นสิ่งที่สมมติขึ้นมา ถ้าหากเราเข้าถึงความจริงแท้ก็จะเป็นปรมัตถธรรม สิ่งที่เป็นสมมติกับปรมัตถ์จะอยู่ร่วมกันไม่ได้อยู่แล้ว ก็จะต่างคนต่างไป ทำให้หายจากอาการเจ็บป่วย

บางทีเราจะสงสัยว่า ทำไมบางคนปฏิบัติธรรมหายจากโรคได้ เพราะว่าท่านเห็นความจริงตรงจุดนี้ ไปลองพยายามดู..ถ้าหากบุญพาวาสนาช่วย เราเข้าถึงจริง ๆ ว่า สิ่งไหนเป็นสมมติ สิ่งไหนเป็นปรมัตถ์ แยกออกจากกันได้ ก็จะกลายเป็นต่างคนต่างอยู่ เขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรเราได้ แล้วเขาก็จะไป ตัวใครตัวมัน

ความเจ็บป่วยเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ทำให้เราเห็นชัดว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา และมีแต่ความทุกข์ ในเมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็หมดความอยากที่จะเกิด เราก็เอาใจเกาะพระเกาะนิพพาน เท่ากับเรามีโอกาสหลุดพ้นสูงกว่าคนอื่นเขา

เห็นทุกข์เห็นสภาพเป็นจริง ว่าร่างกายมีปกติเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็หมดความต้องการ ท้ายสุดก็คิดว่า เราอยู่กับร่างกายแค่ชาตินี้ชาติเดียว ชดใช้กรรมไป จบจากชาตินี้เราก็ไปนิพพานแล้ว


โดยเฉพาะคำว่าชาตินี้ บางทีฟังดูว่าไกล เราต้องคิดว่าเราอยู่กับร่างกายแค่วันนี้วันเดียว หรืออยู่กับร่างกายแค่ชั่วลมหายใจเดียว พ้นจากวันนี้ก็ไม่รู้ว่าเราจะได้เห็นวันรุ่งขึ้นหรือเปล่า หรือไม่ก็เราหายใจออกก็ไม่รู้จะได้หายใจเข้าหรือไม่..ก็จะพ้นไปแล้ว เราจะรู้สึกว่าแค่เดี๋ยวเดียว ก็จะไม่ทุกข์ทรมานมากนัก

บางคนเขาสงสัยว่า พระอาจารย์ป่วยหนักขนาดนี้แล้วอยู่ได้อย่างไร ? ก็อยู่กับร่างกายวันเดียว พรุ่งนี้ก็ไม่มีแล้ว ถ้าอยู่ถึงพรุ่งนี้ ก็อยู่แค่อีกวันหนึ่ง แต่อาการป่วยนี้ดี..ทำให้ไม่อ้วน เพราะว่าโรคเอาไปกินหมด ไม่เหลือไว้ให้เลย..!


ถาม : ถ้าเราคิดว่าเราอยู่แค่วันเดียว ?
ตอบ : นั่นยังหยาบไป เอาแค่ลมหายใจก็พอ หายใจออกเราอาจจะไม่ได้หายใจเข้าก็ได้ หายใจเข้าเราอาจจะไม่ได้หายใจออกก็ได้ ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก เราจะพ้นจากร่างกายนี้ไปแล้ว

ในเมื่อรู้สึกว่าเราจะพ้นจากร่างกายในชั่วอึดใจนี้ ก็จะอยู่ด้วยความปีติปลื้มใจ เพราะเราไม่ต้องทุกข์กับร่างกายนาน แค่ชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น ถ้าพ้นจากตรงนี้ก็ขอไปอยู่กับพระพุทธเจ้าที่นิพพาน ที่อื่นไม่เอาแล้ว


ถาม : รู้สึกแย่
ตอบ : แต่ละคนไม่มีใครไม่แย่หรอก สมัยก่อนรบทัพจับศึกกันมาตั้งเท่าไร ฆ่าเขาเอาไว้ตั้งเท่าไร ใช้คืนเขานิดหน่อยไม่ได้หรือ ?

เถรี 15-09-2010 22:35

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เช้ามืดวันที่ ๑ กันยายน กำลังนอนภาวนาอยู่ นิมิตเห็นน้ำป่ากำลังพุ่งเข้าใส่หมู่บ้านที่สุโขทัย สัญชาตญาณของตัวเองทำให้อดไม่ได้ กระชั้นชิดจนไม่มีเวลาให้ตัดสินใจ

ถ้าใครไม่เคยเห็นน้ำป่า จะไม่รู้ว่าหรอกว่ามาเร็วและมาแรงขนาดไหน ดูจากสภาพแล้วคงจะกวาดไปทั้งหมู่บ้าน และเป็นเวลากลางคืนตีสองกว่า อาตมาก็เลยต้องให้เบนน้ำออก แทนที่จะถล่มทั้งหมู่บ้าน ก็เหลือแค่น้ำท่วมเท่านั้น

ทันทีที่ทำเสร็จ กระแสกรรมที่จะเกิดแก่คนหมู่มากก็ถล่มใส่อาตมา ความรู้สึกเหมือนกับโดนใครยิงด้วยปืนกลหรือไม่ก็ผึ้งฝูงหนึ่งมารุมต่อยพร้อม ๆ กัน พอไปถึงวัดไร่ขิงก็นอนยาว ลุกไม่ขึ้น

คนทดสอบเขาทดสอบได้แสบมากเลย คือ วิสัยเดิมที่คิดจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ อาตมาทำมาเยอะต่อเยอะ ภาพที่เขาทำให้ปรากฏก็ไม่มีเวลาให้ตัดสินใจ เพราะว่าน้ำป่ามาถึงบ้านแล้ว ก็มีอยู่แค่สองอย่าง คือ ช่วยกับไม่ช่วย

ความเคยชินที่คิดจะช่วยเขามาทุกชาติก็ต้องช่วย พอช่วยแล้วก็ต้องรับเละเอง หลังจากที่นอนเลื้อยไปวันหนึ่งแล้ว ลุกไม่ไหว ก็มานึกถึงหลวงปู่พุฒ เจ้าคุณราชอุทัยกวี ท่านเป็นอดีตเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาก มั่นใจเลยว่าท่านมรณภาพเมื่อไรท่านไปพระนิพพานแน่

แต่ปรากฏว่าพอหลวงปู่พุฒมรณภาพ ไปได้แค่พรหมชั้น ๑๒ ถามว่าพรหมชั้นที่ ๑๒ ดีหรือไม่ ? ดี...เพราะเป็นสุทธาวาสพรหม ไม่ต้องเกิดใหม่ บำเพ็ญบารมีไปพระนิพพานข้างบนได้ แต่ก็ทำให้ช้าไปอีกหลายกัป

เหตุที่ท่านไปไม่ได้เพราะว่าก่อนท่านมรณภาพมีนิมิตเป็นสมุดบัญชีของวัด ท่านยังไม่ได้มอบหมายให้ใครรับผิดชอบอย่างเป็นทางการ จิตพะวงอยู่นิดเดียวเอง เลยไปได้แค่พรหม

เรื่องการทดสอบนั้น มีการทดสอบทั้งหลับทั้งตื่น ทุกเวลา ทุกนาที ทุกวินาที เขาทดสอบเราอยู่ตลอด อย่างที่เคยตักเตือนพวกเราว่า มารใช้คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัวเป็นเครื่องทดสอบเราได้หมด ต้องระมัดระวังให้ดี เผลอเมื่อไรก็ไปไม่รอด และทดสอบได้ร้ายกาจจริง ๆ เขาสอบแบบไม่เหลือเวลาให้ตัดสินใจ เพราะอีกไม่กี่ศอกน้ำก็จะถึงหมู่บ้านแล้ว "

เถรี 15-09-2010 22:45

"โดยเฉพาะคนที่เรารัก จะสร้างความสะเทือนใจให้เราได้ง่ายที่สุด ฉะนั้น..เวลาที่มารเขาทดสอบเรา ข้อสอบเขาออกได้โหดมาก ไม่เปิดโอกาสให้เราด้วยประการทั้งปวง เพราะเขาต้องการจะรั้งเราให้อยู่

หลายต่อหลายคนเวลาปฏิบัติธรรมไประดับหนึ่ง พอกิเลสดิ้นทำท่าจะตาย เราก็ไปปล่อย แต่ถ้าเราจะตายกิเลสไม่เคยปล่อยเรา
ก็เลยเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังให้ดี สอบตกก็ต้องเกิดอีกนับไม่ถ้วน สอบได้ก็ผ่านไป

แค่เล่าให้ฟังเฉย ๆ ว่าสองสามวันที่ผ่านมานี้ไปยุ่งกับชาวบ้าน เลยป่วยจนงอมพระราม ลองไปหาข่าวดูว่ามีน้ำท่วมสุโขทัยบ้างหรือไม่ ถ้ามีก็ไม่มีคนตายหรอก เพราะช่วยเขาไปแล้ว"

เถรี 16-09-2010 00:46

"ถ้าใครไม่เคยเจอน้ำป่า จะไม่รู้ว่าน่ากลัวขนาดไหน มาทีอย่างกับภูเขาถล่ม

น้ำป่านั้นเกิดจากท่อนไม้บ้าง ใบไม้บ้าง มาขวางลำธาร พอสิ่งกีดขวางสะสมมากเข้า ๆ ก็เท่ากับเป็นเขื่อนกั้นน้ำ พอเวลาน้ำสูงขึ้น แรงดันก็มากขึ้น พอกั้นไม่อยู่พังโครมลงไปก็เป็นน้ำป่า

เคยธุดงค์อยู่รอบหนึ่ง เจอน้ำป่าด้วย เจอพายุลูกเห็บด้วย ช่วงนั้นเดินตัดทุ่งใหญ่ขึ้นไปทางอุ้มผาง พอตอนเย็นก็ปักกลด ดินฟ้ามืด ๆ พิกล สักพักฝนก็เกรียวกราวมา ประเภทฝนเม็ดโต ๆ บริเวณที่อาตมาอยู่ฝนก็ตก อาตมาก็แปลกใจว่าตาลายหรือเปล่า เพราะเม็ดฝนเด้งได้ กระทบพื้นแล้วกระเด้งกระดอนไปทั่ว

ความจริงนั่นเป็นลูกเห็บ พอตกกระทบพื้นแล้วก็เด้ง แรก ๆ ขนาดเท่านิ้วก้อย สักพักเม็ดเท่านิ้วชี้ สักพักเม็ดเท่านิ้วโป้ง ตกอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ต้นไม้ใบหญ้าปรุหมด จากป่าที่รกกลายเป็นโล่งไปเลย

หลังจากนั้นฝนจริง ๆ ก็มา กระหน่ำอยู่ประมาณสองชั่วโมง โชคดีตอนนั้นมีเพิงหินอยู่หน่อยหนึ่ง พอที่จะมุดหลบเข้าไปได้ พอฝนหยุดตั้งใจว่าเดี๋ยวจะหาฟืนมาก่อไฟ จะได้ตากผ้าที่เปียก

ยังไม่ทันออกหาฟืนเลย เสียงน้ำป่ามาเหมือนกับภูเขาถล่ม ม้วนกลิ้งตูมลงมา ถ้าหนีก็หนีไม่ทัน โชคดีตรงที่ว่า จุดที่ไปหลบฝนอยู่นั้นเป็นเนินเขา ไม่ได้ไปขวางทางน้ำ เลยปลอดภัย

บริเวณด้านข้างเป็นลำห้วยกว้างมาก เป็นห้วยแห้งที่ไม่มีน้ำ เนื่องจากเป็นหน้าแล้ง เพราะฉะนั้น..อย่าไปไว้ใจว่าในป่าหน้าแล้งแล้วจะไม่มีฝน ไปป่าเมื่อไรหน้าไหนก็เจอฝน"

เถรี 16-09-2010 10:00

พระอาจารย์เล่าเรื่องที่โดนมารทดสอบให้ฟังว่า "เมื่อสองสามวันก่อน แฟลชไดร์ฟที่บรรจุข้อมูลได้หายไป มีข้อมูลรายงานสองเล่มที่ยังทำไม่เสร็จคาอยู่ในนั้น ตัดใจว่าทำรายงานใหม่ก็ได้ เพราะหาแฟลชไดร์ฟจนละเอียดทุกซอกทุกมุมแล้วก็ไม่เจอ

ปรากฏว่าเช้าวันที่ไปยุ่งกับกรรมของชาวบ้านนั่นแหละ แฟลชไดร์ฟมาวางอยู่บนกระเป๋าโน้ตบุ๊ค ซึ่งเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเราหิ้วกระเป๋าใบนี้ไปหลายต่อหลายที่ แล้วอยู่ ๆ แฟลชไดร์ฟจะไปวางอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

เรื่องอย่างนี้เจอมาบ่อยเสียจนชินแล้ว จะมีใครบางคนแกล้งขโมยของสำคัญบางอย่างเพื่อทดสอบอารมณ์เรา พอเราไม่ใส่ใจ ทำความกระทบกระเทือนแก่เราไม่ได้ เขาก็จะคืนให้ แต่ก่อนหน้านี้เขาคืนแบบซุก ๆ ไว้ ทำเหมือนกับว่าเราลืม หาไม่ทั่วเลยไม่เจอ แต่คราวนี้เขารู้ว่าเราไม่ลืมแน่

ถ้าเป็นคนอื่นคงไปนั่งคลุ้มคลั่งว่าตัวเองแก่จนเป็นอัลไซเมอร์แล้วหรือ แต่นี่เรามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ เขาก็เลยเอามาคืนให้โต้ง ๆ ว่าเอาไปเองจริง ๆ

อย่างครั้งก่อนตอนฉันข้าวก็เหมือนกัน ปกติฉันเช้าหรือฉันเพล แม่ชีเขาจะเตรียมกาน้ำร้อนเอาไว้ให้ เพราะอาตมาติดนิสัยตอนไปพม่าว่า ประเทศเขาสิ่งของสกปรกมาก ก็เลยลวกน้ำร้อนก่อน จึงติดเป็นนิสัยว่าจะลวกจานลวกช้อนด้วยน้ำร้อนเสมอ

วันนั้นพอขึ้นไปแล้วไม่เห็นกาน้ำร้อน มองซ้ายมองขวา เห็นคนอื่นงานเต็มมือหมด คิดว่าเขาคงจะลืม ก็หยิบเหยือกน้ำเย็นขึ้นมา ตั้งใจจะล้างด้วยน้ำเย็น ปรากฏว่ากาน้ำร้อนเด้งขึ้นมาต่อหน้าต่อตา พระสี่ห้ารูปที่นั่งข้าง ๆ อ้าปากหน้าตาค้าง สงสัยว่ากาน้ำร้อนโผล่มาจากไหน..!

ความจริงก็ตั้งอยู่ตรงนั้นแหละ แต่เขาบังไม่ให้เห็น มาทดสอบเรา ถ้าเป็นคนอื่นประเภทขี้โมโหหน่อย อาจจะด่าไปแล้ว ว่าของที่เคยตั้งอยู่ทุกวันทำไมไม่เอามาให้ แต่เรามองเห็นคนอื่นงานเต็มมืออยู่ก็คิดว่าเขาอาจจะลืม จนกระทั่งบัดนี้พระทั้งสี่รูปนั้นก็ไม่รู้ว่ากาน้ำร้อนโผล่มาได้อย่างไร เราก็ไม่ได้อธิบายให้ฟัง เขาทดสอบแบบนี้สนุกมากเลย

ฉะนั้น..ระวังตัวระวังใจให้ดี ถ้ามารทดสอบใคร แปลว่าคนนั้นมีคุณค่าพอจะให้ทดสอบได้แล้ว ถ้าเขายังไม่ทดสอบแปลว่าเรายังแย่อยู่ เราก็คิดว่าจะทดสอบไปทำไม ไม่มีประโยชน์อะไรสักหน่อย แต่เขาก็ออกข้อสอบได้ทุกที ส่วนใหญ่มักจะชอบทดสอบตอนเราเหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย ประเภทง่วงนอนจนตาปิด คือเขารู้ว่าจังหวะนั้น ถ้ากำลังใจไม่ดีเราก็เสร็จเขา..!"

เถรี 16-09-2010 10:32

ถาม : ที่ผมปฏิบัติมา จะมีบางกระแสที่ช่วยคนที่เขารักษาอยู่ แค่ผมไปสัมผัส เหมือนเราไปรับตรงนั้นมา
ตอบ : ก็ในเมื่อเป็นสิ่งที่เขาต้องรับ เราไปช่วยเขา เราก็รับแทนไปเท่านั้นเอง

ถาม : บางทีผมเองไม่ได้ตั้งใจที่จะช่วย
ตอบ : อาตมาที่แทบจะคลานอยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเหมือนกัน

ถาม : บางทีแค่คิดก็โดนแล้ว
ตอบ : คิดก็เป็นกรรม เขาเรียกมโนกรรม ถ้าพูดออกมาก็เป็นวจีกรรม ถ้าทำเลยก็เป็นกายกรรม

ถาม : มาจากสาเหตุอะไรครับ ?
ตอบ : เราเคยมีกรรมเนื่องกับเขามาก่อน ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

ถาม : ผมจะโดนบ่อยมาก
ตอบ : ไม่อยากโดนก็ต้องควบคุมกาย วาจา ใจ ของตัวเองให้ดี โดยเฉพาะความคิด ถ้ายังควบคุมไม่ได้ก็สมควรที่จะโดน..!

เพียงแต่ว่าคนอื่นจิตค่อนข้างจะหยาบ เวลาโดนจึงไม่รู้ ไปรู้เอาเฉพาะที่หนัก ๆ แต่ของคุณส่วนที่เบาก็ยังรู้ ก็แปลว่าความทุกข์ทรมานจะมีมากกว่าคนอื่นเขาหน่อย

เมื่อครู่เพิ่งจะเล่าให้เขาฟังเรื่องที่ไปยุ่งกับกรรมของชาวบ้าน แล้วตัวเองก็เดือดร้อน พอดีคุณก็มาช่วยยืนยันว่ายุ่งแล้วจะเดือดร้อนจริง ๆ

เถรี 16-09-2010 10:42

ถาม : บางทีเราเข้าใกล้คนที่มีกรณีแรง ๆ แล้วทำไมเราต้องหมดเรี่ยวหมดแรง ?
ตอบ : การรับสัมผัสสิ่งภายนอกก็ต้องใช้กำลัง อย่างเช่นพวกที่ใช้กำลังของทิพจักขุญาณก็ดี หรือพวกที่ใช้กำลังของอภิญญาสมาบัติ คราวนี้ในการใช้กำลัง ถ้าเราขาดการฝึกฝน ก็เหมือนกับการที่มีเงินในกระเป๋าน้อย แต่เราไปใช้ทีเดียวมาก ๆ เงินก็หมดกระเป๋าเท่านั้นแหละ

ถาม : จริง ๆ เราก็ไม่รู้ เขาเข้ามาใกล้ ๆ เท่านั้น
ตอบ : ต้องไปซ้อมให้ดีกว่านี้ ให้รู้ก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้ ๆ จะได้ถีบเขาออกไปไกล ๆ ได้..!

เถรี 16-09-2010 10:50

มีโยมบางคนถวายสังฆทานติด ๆ กัน ก็คือ พอถวายครั้งแรกเสร็จแล้ว ก็ยกถวายต่ออีกทันที พระอาจารย์จึงกล่าวให้ฟังว่า "การทำบุญบางทีก็แสดงออกซึ่งจริตนิสัย อย่างโยมเขายกสังฆทานหลาย ๆ ครั้ง โยมก็สบายใจมีความสุข ถ้าเป็นอาตมาจะถวายครั้งเดียวจบเลย คือ เอารางวัลที่หนึ่งไปเลย ขี้เกียจเอารางวัลเล็ก ๆ บ่อย ๆ

ฉะนั้น..นิสัยคนไม่เหมือนกัน การทำบุญก็จะไม่เหมือนกัน ถ้าเราช่างสังเกตจะเห็นอะไรเยอะ อย่างของโยมถ้าไปเกิดใหม่จะมีลาภผลมาเรื่อย ๆ ไม่ขาด แต่นิสัยของอาตมาชอบทำทีเดียว ถึงเวลาลาภผลก็มาตูมทีเดียว อาจจะโดนภูเขาทองทับตายไปเลย..!"

เถรี 16-09-2010 11:08

ถาม : โทรไปตรวจสอบมาแล้วครับ น้ำท่วมสุโขทัยแต่ไม่มีคนตายครับ
ตอบ : ไม่มีหรอก ก็อาตมาไปขวางเอาไว้

ถาม : นี่เป็นกรรมของท่านด้วยหรือเปล่า ?
ตอบ : เขาแค่ทดสอบว่า เรายังไปยุ่งกับกรรมของชาวบ้านอยู่หรือเปล่า แต่เชื้อเดิมของเราที่คิดจะสงเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งหลาย อย่างไรก็อดใจไม่ได้หรอก คราวนี้เห็นหรือยังว่าสันดานนั้นแก้ยากแค่ไหน

สันดานเป็นภาษาไทย บาลีเขาเรียกว่า สันตติ คือความสืบเนื่อง มีการสั่งสมสืบเนื่องมาชาติแล้วชาติเล่า บำเพ็ญบารมีมาเพื่อจะสงเคราะห์สรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ทีนี้พอทำมาแล้ว เวลาเห็นเขาจะทุกข์จะตาย ก็อดไม่ได้ แล้วเวลาในการตัดสินใจก็ไม่มี มีเวลาแค่ ๒ - ๓ วินาทีเท่านั้นเอง เพราะที่เราเห็นน้ำป่าห่างหมู่บ้านแค่ไม่กี่ศอกแล้ว ไม่อย่างนั้นได้ตายกันยกหมู่บ้านแน่

บางทีนิมิตพวกนี้ก็แสดงให้เห็นว่า เชื้อเก่าของเราทำไว้เยอะเหลือเกิน เมื่อทำเอาไว้เยอะ เมื่อถึงเวลาตัดสินใจเพื่อตนเองเพื่อผู้อื่น ก็มักจะตัดสินใจเพื่อผู้อื่นอยู่เสมอ นึกถึงตอนที่ไปขอลาพุทธภูมิ พระท่านห้ามไว้สองครั้ง พอครั้งที่สามท่านบอกลาได้ แต่งานเก่าให้ทำไปก่อน

อาตมาฟังแล้วก็งง ๆ ว่าตกลงได้ลาหรือไม่ได้ลา คือ ลาได้แต่งานเก่าทำไปก่อน ก็แปลว่าถ้าเอ็งแน่จริงก็ไปนิพพาน ถ้าไม่แน่จริงก็เป็นต่อไป..!

ในประวัติของกีสาโคตมีเถรี เอตทัคคะปาลิ ขุททกนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสกับนางกีสาโคตมี ที่อุ้มลูกไปขอให้ท่านรักษา ทั้ง ๆ ที่ลูกตายแล้ว "ภคินิ...ดูก่อนน้องหญิง ในแต่ละชาติที่เธอเกิดมา ต้องเสียน้ำตาเพราะคนที่รักจากไป เมื่อรวมกันแล้วน้ำตาของเธอทั้งหมด ยังมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่เป็นไหน ๆ" คิดดูสิว่าเกิดมากี่ชาติ น้ำตาไม่กี่หยดรวมกันจนมากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่เสียอีก..!

เถรี 17-09-2010 09:32

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "เมื่อวันที่ ๑๙ ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๙ ไปนั่งปรกอธิษฐานจิตงานหล่อพระที่วัดบวรฯ พระท่านบอกว่าให้เป่ายันต์ปลายปีนี้ ก็คือ วันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๓"

เถรี 17-09-2010 09:44

พระอาจารย์เล่าเรื่องสมัยที่ท่านเป็นทหารให้ฟังว่า เป็นคนไม่กลัวเจ้านาย ด้วยเหตุผลที่ว่าเจ้านายตัวเล็กนิดเดียว ส่วนเราตัวใหญ่กว่าจะต้องไปกลัวเขาทำไม

"มีโอกาสได้คุยกับบรรดาทหาร ว่าทำไมจึงกลัวผู้บังคับบัญชานัก เขาบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน นายท่านนี้สงสัยจะมีนะหน้าเสือ ตัวเล็ก ๆ ก็จริง แต่ใครเห็นก็สั่น

ความจริงไม่ใช่หรอก นั่นเกิดจากตบะที่ท่านสั่งสมมาวันแล้ววันเล่า อยู่ในลักษณะที่เป็นผู้นำเขามามาก ทำให้พลังจิตของเขาเหนือกว่า ถึงได้บอกว่าถ้าเรารู้สึกว่ามีใครสักคนหนึ่งที่เราต้องการจะข่มเขาให้ลง ให้นึกถึงกำลังใจในชาติที่เราใหญ่กว่าเขา แล้วก็ดึงเอากำลังใจตรงนั้นมาใช้"


ถาม : พลังจิตสั่งสมมาหรือคะ ?
ตอบ : สั่งสมมาเรื่อย ขณะเดียวกัน ถ้าของเราสั่งสมมาแล้วของเขาเล่า ? เขาก็สั่งสมมาเหมือนกัน ก็เลยต้องไปเลือกชาติที่เราใหญ่กว่าเขา แต่ต้องบอกว่าโบราณของเราดี ตรงที่ว่ามีอะไรก็ยกเอาบารมีครูบาอาจารย์ขึ้นมาก่อน

อย่างสมัยก่อนตอนที่ยังเป็นเด็ก ได้เรียนคาถาบทหนึ่งชื่อโองการมหาทมื่น เขาจะมีกล่าวถึงครู "โอม..กูจะอ่านโองการมหาทมื่น กูจะโยนตัวกูขึ้นไปเป็นกง ไม้ไร่ก็แหลกเป็นผุยผงไปทั่วทั้งสกลชมภู เมื่อกูเอ่ยถึงครูกู ใครจักสู้ครูกูก็มิได้ ครูกูจึงให้กูว่าพระคาถา... ฯลฯ"

โองการมหาทมื่นเป็นคาถาที่ยาวมาก แต่เป็นคาถาที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อความปลอดภัย จะในน้ำ บนบก กลางวัน กลางคืน จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง อาวุธทุกประเภท เขาเอ่ยถึงหมด ลองไปค้นในกูเกิ้ลดู น่าจะมี

คาถานี้เขาทำขึ้นมาเพื่อป้องกัน อาวุธสารพัดมีเอ่ยเอาไว้หมด แต่เชื่อเถอะท้ายสุดก็ต้องมีจุดอ่อนจนได้ แบบแสนตรีเพชรกล้าอะไรก็ฟันไม่เข้า แต่ท้ายสุดก็โดนหลาวทะลวงก้นตายจนได้..!"

เถรี 17-09-2010 09:51

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนที่ไปรับประกาศนียบัตรของพระนิสิต ป.บส. (ประกาศนียบัตรการบริหารกิจการคณะสงฆ์) หลวงพ่อสมเด็จวัดปากน้ำ ท่านให้โอวาทว่า ท่านขอแสดงความยินดีด้วยที่นักศึกษาสำเร็จการศึกษามารับประกาศนียบัตร

สิ่งที่ทุกท่านเรียนไปนั้นเอาไปใช้ประโยชน์ได้มาก โดยเฉพาะประโยชน์ในการบริการกิจการคณะสงฆ์ แต่สิ่งนี้เป็นปัญญา มีเฉพาะปัญญาอย่างเดียวเราจะเอาตัวไม่รอด ต้องให้มีสติควบคุมกันไปด้วย โบราณเขาถึงได้ใช้คำว่า สติและปัญญาควบคู่กันไป ปัญญาเป็นความรอบรู้ แต่สติเป็นความรอบคอบ ถ้ารอบรู้อย่างเดียวแต่ไม่รอบคอบ ก็จะผิดพลาดได้ง่าย

ไม่รู้คนอื่นฟังแล้วรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับอาตมารู้สึกว่าท่านจี้ถูกจุดเลย เพราะต้นตอของปัญหาทั้งปวงเกิดจากคนมีปัญญาแต่ขาดสติ ในเมื่อขาดสติก็จะทำอะไรขาด ๆ เกิน ๆ

หลวงพ่อสมเด็จวัดปากน้ำท่านอายุแปดสิบกว่าขึ้นไปก็จริง แต่ท่านกล่าวให้โอวาท กล่าวเปิดโดยไม่ต้องดูโพยเลย ส่งเล่มไปให้ท่าน ท่านก็วางเฉย ๆ แล้วก็ว่าเอาเอง คนอายุ ๘๐ กว่าแล้วสมองยังดีขนาดนี้ สุดยอดจริง ๆ"

เถรี 17-09-2010 11:18

ถาม : ฝันเห็นจระเข้
ตอบ : ตีความได้สองอย่าง อย่างหนึ่งโบราณเขาว่าจะมีคนปองร้ายหรือติดสินบน (บนเอาไว้แล้วไม่ได้แก้บน) อย่างที่สองก็คือ กิเลสในใจของเราเอง

ถาม : แล้วถ้าฝันเห็นเต่า
ตอบ : ไม่เห็นหรือว่าเต่ามีอะไรบ้าง ๑ หัว ๔ ขา ๑ หาง รวมแล้ว ๖ ถึงเวลาอะไรกระทบก็หดเข้ากระดอง เอาตัวรอดไว้ก่อน คนเราถ้าตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอะไร เราก็หลบไม่ไปรับไว้ แล้วจะสบายไหมเล่า ?

ถาม : ถ้าเราฝันเห็นเต่าแล้วกลายเป็นจระเข้
ตอบ : แปลว่ากิเลสจะเจริญงอกงามถึงขนาด จะแปลงจากเชื่องช้าเชื่องเชื่อ กลายเป็นอาละวาดแล้ว ระวังให้ดี..!

เถรี 17-09-2010 12:29

พระอาจารย์เล่าเรื่องหมาให้ฟังว่า "เกี่ยวกับหมาต้องระวังให้มาก ๆ เลย ถ้าหมาได้กินอาหารสักอย่างหนึ่งที่ชอบ ต่อไปเขาจะเลือกกิน อย่างไหนที่ไม่ชอบก็จะไม่แตะเลย

สมัยก่อนที่วัดท่าซุงมีหมาตัวหนึ่งชื่อไอ้แมน เป็นสุดยอดหมาจริง ๆ เลย ผอมจนซี่โครงบาน เดินไปก็เป็นลมล้มตึง ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าเป็นลมเพราะอะไร หลวงตาวัชรชัยบอกว่าลองเอานมให้มันกินสิ พอเทใส่ชามให้ มันซัดจนเกลี้ยงภายในนาทีเดียว..!

ก็คือ ถ้าไม่ได้เนื้อหรือนมไอ้แมนไม่กิน อย่างอื่นมาวางไว้ตรงหน้า เป็นตายก็ไม่กิน ถึงขนาดยอมเป็นลมล้มตึงขนาดนั้น สุดยอดหมาจริง ๆ สมควรที่จะเป็นหมาต่อไป..! ต้องบอกว่าไอ้แมนประกอบด้วยทิฏฐิมานะเป็นอย่างยิ่ง

ถ้าเราจะเลียนแบบไอ้แมน ก็คือ เราต้องห้ามใจตัวเองไม่ให้ทำความชั่วให้ได้ มีโอกาสที่จะละเมิดศีล เราจะไม่ยอมละเมิดเด็ดขาด (มองไปที่ใครบางคน) หรือว่ามีวิปครีมอยู่ตรงหน้า เราก็จะไม่กินเด็ดขาด..!"

เถรี 17-09-2010 13:14

ถาม : สิ่งที่เคยสัมผัสในการปฏิบัติธรรมเราได้ผ่านมาแล้ว แต่ทำไมเราย้อนกลับไปเห็นอีก แล้วก็เกิดขึ้นเอง..?
ตอบ : บางอย่างมีนิมิตบอกเหตุล่วงหน้า แต่เราไม่ได้ใส่ใจ พอถึงเวลาแล้วเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง ๆ เราจึงนึกได้ว่าที่แท้เรารู้แล้ว

ถาม : หนูก็ไม่มีความมั่นใจในตนเอง กลัวตนเองจะไปเทียบ
ตอบ : ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นของแถมของนักปฏิบัติ ถ้าเราทำไปถึงระดับหนึ่ง จิตเริ่มสงบ ก็จะสะท้อนให้เห็นสิ่งรอบข้างได้

แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเสียมากกว่าดี ที่เสียมากกว่าดีเพราะเราไปติดในนิมิตเหล่านั้น นิมิตเหล่านั้นจะแม่นยำได้ก็ต่อเมื่อเราไม่เอาจิตไปปรุงแต่งให้เกิดรัก โลภ โกรธ หลง สักแต่ว่ารับรู้เฉย ๆ แต่ทันทีที่เราไปอยากรู้อยากเห็น อาจจะอยากรู้เพื่อที่จะเอาไปบอกคนอื่น หรืออยากรู้เพื่อจะไปอวดใคร คราวนี้เราจะโดนหลอกให้เป๋ได้ง่าย

ทำไม่รู้ไม่ชี้นั่นแหละ มาก็รับรู้ไว้ด้วยความเคารพแล้วก็กองไว้ตรงนั้น


ถาม : มักจะกระโดดกลับไปกลับมา
ตอบ : เรื่องของนิมิตนั้นไม่มีต้นมีปลาย นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป กว่าจะรู้ส่วนใหญ่ก็เมื่อเหตุนั้นเกิดขึ้นแล้ว

เถรี 17-09-2010 13:27

พระอาจารย์เล่าเรื่องถูกหวยให้ฟังว่า "เมื่อปี ๒๕๒๖ น้ำท่วม บ้านอาตมาอยู่ซอยอ่อนนุช เลยแยกศรีนครินทร์ไปหนึ่งป้ายรถเมล์ ตรงนั้นก็คือ ซอยอ่อนนุช ๖๖

ปรากฏว่ารัฐบาลเขาช่วยกันกั้นเขื่อนแค่ถนนศรีนครินทร์ บ้านเราน้ำก็เลยสูงถึงอก ท่วมอยู่ ๘ เดือน แต่ยังคงไปวัดตามปกติ กินบุญเก่าไปเรื่อย เงินก็จะหมด

วันนั้นหลังเที่ยงแล้วมีการฝึกมโนมยิทธิ พอฝึกเสร็จ ครูฝึกก็มารายงานยอดว่า วันนี้มีผู้ฝึกสามารถไปนิพพานได้ ๙๘ คน อาจารย์ยกทรงก็ถามว่า "ออกไหมครับ ?" พวกก็ฮากันครืน หลวงพ่อก็บอกว่า "เอาอย่างนี้สิ ๓๐๐-๙๘ เหลือเท่าไรวะ ?"

อาจารย์ยกทรงก็นั่งเงียบ หลวงพ่อพูดว่า "ไอ้ขี้หมา..แค่นี้ก็คิดไม่ทัน" จำไว้เลยว่าถ้าหลวงพ่อพูดแล้วทิ้งเลย ไม่ได้พูดเล่นต่อ แสดงว่าเลขนั้นออก แต่ถ้าท่านพูดเล่นต่อด้วยนี่ไม่ออกหรอก เราก็มานึกถึงเลข ๒๐๒"

เถรี 17-09-2010 13:39

"ตอนแรกคิดจะซื้อหวยเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ไม่เคยเล่น ก็ไม่ได้จดจ่อที่จะซื้อ

พอเลิกจากบ้านสายลมแล้ว ขี้เกียจกลับบ้านเพราะน้ำท่วม ดันนั่งรถเมล์ไปลงหน้ากองสลาก แม่ค้าเขาถามว่า "พี่เอาเลขอะไร ?" เราก็มอง ความคิดของเราก็คือ แม่ค้าคนหนึ่งเขาได้โควตาสองเล่ม เลขท้ายสามตัวอย่างเก่งสองเล่มก็มีแค่สองใบ

แต่แทนที่จะบอกว่าเอา ๒๐๒ สองใบ ดันไปบอกว่า "มี ๒๐๒ ไหม ? เท่าไรก็เอาหมด" ปรากฏว่า แม่ค้าสะกิดบอกต่อ ๆ กันไปเลย "ใครมี ๒๐๒ เอามาเลย พี่เขาซื้อหมด" เราไม่รู้ว่าเลข ๒๐๒ นั้นเพิ่งออกไป เขาส่ง ๒๐๒ มาทั้งหมด อยู่ ๆ เลขที่ขายไม่ได้มีคนมาเหมาซื้อถือว่าบ้าชัด ๆ..!

ทีนี้จะกลับบ้านก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ก็เลยนั่งรถเลยไปเยี่ยมแม่ที่บ้านกำแพงแสน อยู่กับแม่หลายวัน กลับมาวันหวยออกพอดี ก็ไม่รู้ว่าหวยออก

ตอนเย็นผ่านกองสลากประมาณห้าโมงเย็น พอดีท่านแสงเขามาด้วย เขาสะกิด "พี่ ๆ ถูกหวยว่ะ" เขาชี้ให้ดู ปรากฏว่าตอนนั้นมีเลขท้ายสามตัวถึงห้าครั้ง งวดที่แล้วออกครั้งที่สอง ส่วนงวดนี้ออกครั้งที่ห้า ก็คือออกซ้ำเลขที่ซื้อนั่นแหละ

เท่ากับว่าเขาบังคับให้รวย "มีเท่าไรเอาหมด" พูดไปได้อย่างไร เป็นเพราะสถานการณ์บังคับจริง ๆ ที่แน่ ๆ ตอนนั้นเกือบจะไม่เหลือค่ารถกลับบ้าน เพราะเอาไปซื้อหวยเกือบหมด"

เถรี 17-09-2010 14:30

"จำไว้ว่าหวยเป็นอบายมุข อบาย คือ ทางต่ำ , ทางเสื่อม
มุขะ คือ ปากทาง อบายมุข คือ ปากทางแห่งความเสื่อม

พระพุทธเจ้าบอกว่า ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ ผู้ชนะย่อมก่อเวร ย่อมทำให้ทรัพย์สินฉิบหาย ไม่มีผู้ใดเชื่อถือ"

เถรี 17-09-2010 14:40

"เรื่องของบุญกุศลที่ทำไว้ ต่อให้ไม่เล่นหวย ถ้าวาระบุญเข้ามาสนองจริง ๆ ก็จะได้ในทางอื่นแทน

มีคนกวาดขยะเก็บได้รางวัลที่หนึ่ง ช็อกหัวใจวายตาย..! ตอนตายยังกำหวยใบนั้นอยู่เลย คนเขาก็สงสัยว่าได้หวยมาจากไหน ปรากฏว่ามีคนเอามาทิ้งไว้และเป็นหวยของงวดที่แล้วที่เขาไม่ถูก แต่เลขมาตรงกับรางวัลที่หนึ่งของงวดนี้ ตกลงว่าตายฟรี..!

ส่วนจ่าตำรวจที่ตาคลี นครสวรรค์ ซื้อหวยมา ๘๐ บาท รู้สึกเสียดายเงิน ตอนเย็นกินเหล้าก็เอาหวยไปยัดเยียดให้เพื่อน เพื่อนก็ไม่เอา จนกระทั่งท้ายสุดลดเหลือ ๕๐ บาท เพื่อนก็เลยต้องจำใจซื้อไป เขาเก็บหวยไว้เฉย ๆ

ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นถูกหวย ๖ ล้าน จ่าตำรวจที่ขายหวยให้เพื่อนไป ๕๐ บาท คว้าปืนจะเอามายิงหัวตัวเอง เพื่อนต้องห้ามกันอุตลุด เขาโกรธตัวเองที่โยนเงิน ๖ ล้านให้เพื่อนในราคา ๕๐ บาท แล้วบังคับให้เขาเอาด้วยนะ แสดงว่าคนเราสร้างบุญเอาไว้ ถ้าบุญจะสนองอย่างไรก็ต้องมา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง"

เถรี 17-09-2010 15:05

มีโยมมาจากสหรัฐอเมริกา เล่าให้พระอาจารย์ฟังว่า ตะกรุดมหาสะท้อนที่ตัวเองพกอยู่นั้นใช้ได้ผล พระอาจารย์จึงกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า

"จริง ๆ แล้วถึงเราไม่มีตะกรุดมหาสะท้อน ใช้คาถาอย่างเดียวก็ได้ผล แต่สมาธิต้องทรงตัว เราภาวนา เมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ไปเรื่อย ๆ ถ้าสมาธิทรงตัว จะมีอานุภาพเหมือนกับใช้ตะกรุดมหาสะท้อน เพราะตะกรุดก็ปลุกด้วยคาถานี้ ต่างกันแค่พวกเราขาดความมั่นใจเท่านั้นเอง ถ้าสมาธิดีหน่อย มีความมั่นใจ ไม่ต้องไปเสียเงินบูชาตะกรุดแพง ๆ ก็ได้

เมื่อเช้านายทหารเขาเอาเช็คมาให้ เขาบอกว่าทำกระเป๋าเงินหาย แล้วตะกรุดอยู่ในนั้นด้วย ก็เลยต้องเสียเงินอีกหนึ่งหมื่นมาเอาของใหม่ อยากจะบอกว่าเป็นถึงระดับผู้บัญชาแล้ว ไม่ควรงมงายเรื่องนี้ แต่ก็พูดไม่ออก

วัตถุมงคลทุกประเภทสำคัญตรงกำลังใจของคนใช้ วัตถุมงคลเหมือนกับเครื่องส่ง มีการส่งคลื่นอยู่ตลอดเวลา ถ้ากำลังใจของคนใช้ไม่เปิดรับ มีวัตถุมงคลไว้ก็เท่านั้น เหมือนกับไม่มีนั่นเอง

ดังนั้น..เราจะเห็นได้ว่า คนที่เอาวัตถุมงคลไปใช้ ถึงเป็นของรุ่นเดียวกัน อย่างเดียวกันก็จริง แต่ได้ผลไม่เท่ากันหรอก คนที่กำลังใจเข้มแข็งมาก มีความศรัทธาเชื่อมั่นมาก ใช้ได้ผลมากกว่า คนที่อยู่ต่างประเทศใช้ได้ผลมากกว่าคนในประเทศ เพราะว่าอยู่ไกลแล้วไม่รู้จะพึ่งอะไร จึงต้องอาศัยวัตถุมงคลเป็นหลัก"

เถรี 17-09-2010 17:15

พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อวานมีคนคิดมิดีมิร้ายกับรองเท้าของอาตมา รองเท้าเลยต้องหนีไปซ่อน เฟิร์สเขาถามว่า เมื่อไรถึงจะรู้ได้ขนาดหลวงพ่อ ?

อาตมาบอกไปว่า มีสองวิธี วิธีแรก คือซ้อมบ่อย ๆ ให้คล่องตัว วิธีที่สองคือ อธิษฐานทุกครั้งว่า เหตุใดที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น โดยไม่ต้องกำหนดจิตแม้แต่ประการใด"

เถรี 17-09-2010 18:01

พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "คนเราถ้ายังไม่ถึงที่ตายอย่างไรก็รอด แต่ถ้าถึงวาระจะตายอย่างไรก็ต้องตาย

สมัยอาตมาเด็ก ๆ มีโยมอยู่คนหนึ่ง หมอดูบอกเขาว่า วันนี้จะมีอันตรายถึงแก่ชีวิต แกก็เลยใช้วิธีนอนอยู่ในมุ้ง กะว่าถ้าไม่ออกไปไหนอย่างไรก็ไม่ตาย

ปรากฏว่าตอนสายแม่ไก่ออกไข่ แล้วบินขึ้นไปกระต๊ากบนขื่อ เกาะอยู่บนนั้น แต่ไก่ไปเกาะที่ปลายหอกพอดี พอน้ำหนักกดลง หอกก็พุ่งปราดลงมาเสียบคามุ้งเลย ฉะนั้น..อยู่ในมุ้งก็ตาย

หากไม่ถึงคราวตายวายชีวาตม์....ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ
หากว่าถึงคราวตายวายชีวัน......ไม้จิ้มฟันทิ่มเหงือกก็เสือกตาย"

เถรี 18-09-2010 09:06

พระอาจารย์กล่าวให้โยมฟังว่า "ที่มานั่งรับสังฆทานที่นี่ จริง ๆ แล้วไม่ได้มานั่งเอาเงิน ถ้ามานั่งเพื่อเงินไม่มานั่งหรอก ทรมานขนาดนี้

มาที่นี่ก็เพื่อสงเคราะห์ญาติโยมเขา อย่างน้อยให้เขาทำความดีอะไรบางอย่าง ที่เป็นปัจจัยไปสู่ภพภูมิที่ดีในภายภาคหน้าได้เราก็พอใจแล้ว

จะมานั่งเอาเงินหรือ ? อาตมากลับไปนอนที่วัดดีกว่า เพราะถ้าได้เงินมาก็ต้องทำนั่นทำนี่..เหนื่อยจะตายชัก ถามว่ากลัวเหนื่อยไหม ? ไม่ได้กลัวหรอก แต่เบื่อว่ะ..!"

เถรี 18-09-2010 09:10

ถาม : เราทำงานร่วมกับพี่เขา ร่วมหุ้นทำกิจการกัน แล้วจะมาเกลียดกันทีหลังหรือเปล่า ? กลัวทำด้วยกันแล้วมีปัญหา
ตอบ : ของอย่างนี้ไม่มีใครรับรองให้คุณได้หรอก ต้องดูในธรรมบท มีชายคนหนึ่งต้องการจะทำบุญก่อน พระโมคคัลลานเถระก็ไปบอกเศรษฐีเจ้าของกิจนิมนต์ว่า ช่วยสละให้ชายคนนั้นก่อนได้ไหม เศรษฐีบอกว่าถ้าพระโมคคัลลานเถระประกันให้เขาได้สามอย่าง เขาก็จะให้ก่อน ถามว่าประกันอะไรบ้าง

๑. ประกันศรัทธา ศรัทธาเขาต้องไม่ถอย เขายังต้องคิดทำบุญอยู่
๒. ประกันฐานะ ฐานะเขายังต้องดีอยู่เหมือนเดิม เขาจึงจะได้ทำบุญ
๓. ประกันชีวิต ถ้าหากวันนี้ไม่ได้ทำ พรุ่งนี้เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ เขาจึงจะได้ทำบุญ

พระโมคคัลลานเถระบอกว่าประกันฐานะกับประกันชีวิตให้ได้ แต่ประกันศรัทธาไม่ได้ ศรัทธาเป็นกำลังใจของท่านเองจะขึ้นหรือจะลดก็แล้วแต่ท่านเศรษฐี

เรื่องนี้ก็เหมือนกัน ตอนไหนที่สติสัมปชัญญะเราดี ก็ดีกัน..ใช่ไหม ? แต่ถ้าหน้ามืดตามัวขึ้นมาหรือผลประโยชน์ขึ้นหน้า แล้วใครจะไปประกันให้คุณได้ ? เรื่องพวกนี้ถ้าไปถามหมอดู หมอดูก็คงรวย เดี๋ยวเขาก็คงหาวิธีสะเดาะเคราะห์ให้

ไม่มีอะไรที่ประกันความเสี่ยงได้หรอก ถ้าจะทำก็ทำ อย่ามาจับพระเป็นตัวประกัน..!

เถรี 18-09-2010 09:17

ถาม : โรคภัยไข้เจ็บตัวใหม่ที่เกิดขึ้น เราจะมีวิธีป้องกันอย่างไร ?
ตอบ : ตอบแบบกำปั้นทุบดิน อย่าไปคลุกคลีกับคนที่ป่วย

ถาม : หมายถึงว่า ถ้าจะอาราธนาบารมีพระ หรือวัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสก ?
ตอบ : ต้องมีความมั่นใจจริง ๆ กำลังใจต้องทรงตัวจริง ๆ และเวรกรรมเก่าตามไม่ทันจริง ๆ ถ้าตามทันอย่างไรก็ไม่รอด เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลหรอก

สมัยก่อนโรคเอดส์ระบาด แล้วมีแค่ยันต์เกราะเพชร ความรู้สึกของอาตมาบอกชัดว่า "ชีวิตนี้เอ็งไม่เป็นเอดส์แน่ แค่ยันต์เกราะเพชรอย่างเดียวก็กันได้แล้ว.." รุ่งขึ้นเลยไปถามหลวงพ่อว่า "จริงหรือเปล่าครับ ที่ความรู้สึกผมบอกว่าแค่ยันต์เกราะเพชรก็กันเอดส์ได้แล้ว ?"

ท่านบอกว่า "ยันต์เกราะเพชรเขาเอาไว้กันไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ละเอียดกว่าเชื้อโรคเยอะ ในเมื่อเรามีความมั่นใจจริง ๆ สิ่งที่หยาบกว่าทำไมจะกันไม่ได้" แต่ที่รอดจากเอดส์มาได้จนทุกวันนี้ เพราะไม่เคยยุ่งกับใคร..!

เถรี 18-09-2010 09:29

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บว่า "เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ถ้าไม่ไปใส่ใจนัก ก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก

คุณยายประคิน อยู่เชียงใหม่ อายุ ๘๐ กว่าแล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ตลอด แต่บ้านนั้นแปลก ทั้งบ้านมีประสบการณ์ตายแล้วฟื้นทั้งนั้นเลย

ยายแกก็นั่งรอวันตาย บางวันยายก็นั่งหัวเราะ ลูกสาวก็ถาม "แม่ ๆ หัวเราะอะไร ?" ยายก็บอกว่า "แม่กำลังดูโรค มันไม่รู้หรอกว่า ถ้ามันเล่นข้าตาย มันก็โดนเผาไปด้วย" ยายแกหัวเราะขำเชื้อโรค

ตรงนี้เราจะเห็นชัดว่า คนที่เห็นความตายเป็นเรื่องปกติ เขาไม่ได้รู้สึกว่าความตายเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะก็แค่เปลี่ยนรูป เปลี่ยนขันธ์ เปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิไปตามกรรมที่เราทำมา ทำสิ่งที่ดีไว้ก็ขึ้นสูง ทำสิ่งที่ไม่ดีไว้มากก็ลงต่ำเท่านั้นเอง

คนที่นั่งรอความตาย ถึงขนาดหัวเราะให้กับความตายได้ นี่หายากมาก"

เถรี 18-09-2010 10:41

ถาม : ทำบุญโดยถวายเครื่องปรับอากาศจะมีอานิสงส์อย่างไร ?
ตอบ : เกิดมาชาติใหม่ น่าจะเย็นกายเย็นใจ ประเภทอยู่เย็นเป็นสุข

เถรี 18-09-2010 11:57

ถาม : นั่งสมาธิต้องนั่งอย่างไร ?
ตอบ : นั่งอย่างไรก็ได้ แต่เวลายืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก ไม่ไปคิดเรื่องอื่น

ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าสมาธิเราก้าวไปอีกขั้นแล้ว ?
ตอบ : ไปศึกษาเรื่องการทรงฌาน แล้วทำให้ต่อเนื่อง อย่าให้ขาดช่วง ถ้าทำแล้วขาดช่วง กิเลสกินได้ สมาธิจะถอยหลัง ก็เลยอยู่ที่เราจะต้องใช้สติประคับประคองกำลังใจให้ต่อเนื่องเข้าไว้ อย่าให้ขาด ถ้าทำได้ไม่ขาดช่วง เวลาสมาธิก้าวหน้าขึ้นเราจะรู้ได้ เพราะผลที่เกิดก็เหมือนกับที่ตำราบอกเอาไว้


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:58


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว