เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘
ถาม : เมื่อดิฉันนั่งภาวนาดูลมหายใจ ดิฉันจะมีวิธีการเฉพาะตัว คือ มองคลื่นม่วงพื้นหลังสีดำในตาควบคู่ไปด้วย เมื่อนั่งไปเรื่อย ๆ คลื่นม่วงจะหายไป พื้นหลังจะกลายเป็นสีเทาและสีขาวตามลำดับ เมื่อจิตรวมดีแล้ว จะเริ่มมีอาการหน่วงที่ศีรษะ ตัวเบา รู้สึกเหมือนโดนผลักจิตให้หลุดออกจากร่างกายเสมอ แต่ว่าออกไปไม่ได้ เหมือนกับติดประตู เมื่อถอนสมาธิออกมารู้สึกเหนื่อยมาก อาการที่ดิฉันพบเจอคืออะไร ? ดิฉันควรทำอย่างไรต่อไปคะ ?
ตอบ : เป็นลักษณะของสภาพจิตที่จะออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ให้ตั้งใจภาวนาแบบนั้นไปเรื่อย ๆ ถ้ากำลังพอจะออกไปได้เอง อาการออกแบบมโนมยิทธิเต็มกำลังมีลักษณะอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ สภาพจิตจะควบแน่นเข้า หัวใจจะเต้นเร็วกว่าปกติ อัตราน่าจะเกิน ๑๒๐ ครั้งต่อนาที มีแต่เกินไม่มีขาด หลังจากนั้นถ้ากำลังพอ ก็จะโดนเหวี่ยงหลุดออกไปเลย แต่ถ้ากำลังไม่พอ หลุดออกมาก็เหนื่อยแฮ่ก ๆ แบบที่ว่ามา พยายามซักซ้อมต่อไป โดยเฉพาะให้พิจารณาตัดร่างกายบ่อย ๆ เดี๋ยวกำลังพอก็จะไปได้เอง |
ถาม : ช่วงหลัง ๆ มาเวลาทำสมาธิทีไร มักจะมีอาการตึง ๆ ระหว่างคิ้ว บางทีก็อยู่แถว ๆ สันจมูก บางทีก็ตึงทั้งใบหน้าและบริเวณปาก แรก ๆ จะเป็นเฉพาะเวลาทำสมาธิ หลัง ๆ มาไม่ว่าจะเดินไปไหน เวลานึกถึงลมหายใจก็จะมีอาการอย่างนี้เสมอ อยากทราบว่าอาการอย่างนี้คืออะไรครับ ? เป็นฌานหรือเปล่า ? และถ้าสวดคาถาเงินล้านระหว่างที่อาการอย่างนี้ปรากฏ จะมีผลมากน้อยเพียงไรครับ ?
ตอบ : เอาคำถามแรกก่อน เป็นอาการของสมาธิที่เริ่มทรงตัวตั้งมั่นแล้ว ส่วนจะเป็นฌานหรือไม่เป็นฌาน ไปเปิดหนังสือกรรมฐาน ๔๐ ของหลวงพ่อวัดท่าซุง ดูบทที่ ๗ หน้า ๔๐ พอดี อ่านดู..ถ้าหากว่าตรงกับฌานระดับไหนก็ระดับนั้นแหละ ส่วนถ้าภาวนาคาถาเงินล้านในขณะที่ทรงอารมณ์แบบนี้ ก็ต้องบอกว่ามีผลมากกว่าปกติ เพราะสมาธิเริ่มทรงตัวแล้ว |
ถาม : แม่พระธรณีเป็นตำแหน่งหรือไม่ครับ ? ท่านเป็นเทวดาหรืออริยบุคคลครับ ?
ตอบ : แม่ธรณีเป็นตำแหน่งที่มนุษย์ตั้งขึ้น แล้วเทวดาก็ต้องจัดสรรบุคคลกับที่บารมีใกล้เคียงกับที่เขาสมมติไว้มารับหน้าที่นั้น ๆ ตำแหน่งนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนางฟ้าชั้นจาตุมหาราช โหดสุด ๆ..! ไม่ใช่พระอริยเจ้าที่เป็นบุคคลทั่วไป ภาระหน้าที่ของท่านคือเป็นที่รองรับของมนุษย์และสัตว์ตลอดจนวัตถุธาตุทั้งมวล ต้องบอกว่าอารมณ์ใจของท่านคล้ายคลึงกับพรหมเลย ดังนั้น..อาตมาไม่กล้าที่จะพยากรณ์ว่าท่านเป็นอะไร รู้ว่าท่านเป็นแค่นี้ก็แล้วกัน ถาม : หากต้องการบูชาระลึกถึงท่านควรวางกำลังใจอย่างไร ? ตอบ : ก็นึกถึงท่านเป็นปกติในฐานะเทวดา ว่าทรงคุณความดีอะไรบ้าง หรือจะเรียก “แม่จ๋าช่วยด้วย” ก็ว่าไป |
ถาม : เวลาผมขับรถไปตามเส้นทางต่าง ๆ ผมมักจะเห็นด้วยหางตาว่า มีบางอย่างยืนอยู่หน้าบ้านคนข้างทาง บางบ้านก็รู้สึกว่าท่านที่ผมเห็นยิ้มแย้ม มายืนทักทาย บางท่านยืนหน้าบ้านแบบไม่สนใจผม และรู้สึกว่ารันทด มีความทุกข์ เห็นด้วยหางตาเสี้ยวเวลานิดเดียว แต่เหมือนกับรู้หมดว่าลักษณะแบบไหน แต่งกายลักษณะอย่างไร และอีกแบบหนึ่งที่ผมมักจะเห็นข้างถนน แต่อยู่ใกล้ ๆ เสาบ้าง กองขยะบ้าง ไม่ค่อยเห็นอยู่ที่โล่ง ๆ ที่จะกราบเรียนสอบถามทั้งหมดคือว่า อุปาทานกินไหมครับ ? กลัวว่าไปเห็นเสาบ้าง กองขยะบ้าง แล้วจิตปรุงไปเอง แต่ถ้าจริง ทำไมเขาชอบไปอยู่แถวเสา หรือกองขยะ แม้กระทั่งตู้โทรศัพท์ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าใกล้บ้าแล้ว..! เป็นลักษณะที่สภาพจิตอยู่ช่วงอุปจารสมาธิพอดี จะสามารถเห็นสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ แต่ถ้าเราตั้งใจมองเมื่อไร สมาธิจะเกินช่วงนั้น ภาพนั้นก็จะหายไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เขาไม่ได้ชอบอยู่ตรงนั้น แต่เขาไม่สามารถจะไปอยู่ที่อื่นได้ เหมือนอย่างกับว่าเขามีขอบมีเขตของเขาอยู่ บางคนก็เรียกว่าผีบ้านผีเรือน บางคนก็เรียกว่าสัมภเวสี บางท่านก็ตายก่อนหมดอายุขัย บางท่านถึงหมดอายุขัยแล้วตาย แต่ว่าความดีที่ตัวเองทำมามีน้อยมาก ก็ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพอย่างนั้น ถ้าญาติตัวเองไม่รู้จักทำบุญไปให้ก็รันทดหน่อย ถ้าญาติตัวเองรู้จักทำบุญไปให้ก็หน้าบานเป็นจานเชิง ไปเที่ยวทักคนโน้นคนนี้ |
ถาม : กระผมอยากเรียนถามถึงข้อสงสัย ที่ได้อ่านเทศนาธรรมของหลวงพ่อสดมาครับ ท่านพูดถึงการติดสุขในขั้นต่าง ๆ ไล่ไปตั้งแต่สุขในกาม สุขในฌาณ สุขในอรูปฌาณ จนถึงสุขในนิพพาน ท่านบอกว่าต้องไม่ติดสุขแค่นี้ หาสุขที่ละเอียดขึ้นไป กระผมจึงอยากทราบว่า สุขที่ละเอียดขึ้นไปกว่าสุขในพระนิพพานที่ท่านกล่าวถึง หมายถึงอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : ถ้าอยากรู้จริง ๆ ก็ทำให้ได้เหมือนหลวงพ่อสดแล้วจะรู้เอง ถ้าหากว่าไม่ทำ เรื่องของนกบนฟ้าไปบอกปลาในน้ำ บอกให้ตายปลาก็ไม่เข้าใจ |
ถาม : เนื่องจากมีเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งหนึ่งใช้ให้ลูกศิษย์ตำพระผงองค์เล็ก ๆ ที่ชำรุดแตกหัก เพื่อนำผงที่ได้ไปผสมหล่อเป็นพระผงองค์ใหม่ขึ้นมา ในกรณีนี้ เจ้าอาวาสผู้ใช้ให้ตำพระผง กับลูกศิษย์ที่ตำบดพระตามคำสั่ง ใครโทษหนักกว่ากันครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนถ้าใครฆ่าไก่ ผู้ใหญ่เขาบอกว่า "บาปคนทำ กรรมคนกิน" อันนี้ก็ถือว่าแบ่งกันคนละครึ่งแล้วกัน ยุติธรรมดี ถาม : อานิสงส์ที่ได้สร้างพระผงขึ้นมาใหม่นี้ จะสามารถลบล้างโทษ จากการตำพระผงที่ชำรุดได้หรือไม่ครับ ? ตอบ : การตำพระเป็นการทำลายพระพุทธรูป เป็นโทษที่เป็นอกุศลกรรม การสร้างพระเป็นการสร้างพระพุทธรูป เป็นบุญที่เป็นกุศลกรรม ไม่สามารถที่จะกลบหักล้างกันได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ดีส่วนดี ชั่วส่วนชั่ว ถ้าถึงเวลากำลังด้านไหนหนักกว่าก็เสร็จด้านนั้นแหละ..! ถาม : เราสามารถสร้างพระองค์ใหญ่ ๆ ถวายวัด เพื่อหนีกรรมจากการบดตำพระที่ชำรุดได้หรือไม่ครับ ? ตอบ : บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป ทดแทนกันไม่ได้ ถาม : มีวิธีแก้ผลกรรมจากการบดตำพระผงเพื่อนำมาหล่อสร้างพระขึ้นมาใหม่ได้อย่างไรบ้างครับ ? ตอบ : เท่าที่ทราบมายังไม่ปรากฏวิธี ยกเว้นว่าตั้งใจกราบขอขมาพระรัตนตรัยไปเรื่อย ๆ อาจจะบรรเทาได้สักหน่อยหนึ่ง ถาม : แต่ถ้าสมมติเขาตำมา แต่เราบูชาโดยไม่ทราบ ก็ไม่เป็นโทษใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าไม่รู้ ไม่เห็น คนบูชาไม่เป็นไร แต่ว่าเท่าที่พบมา จำนวนมากด้วยกันที่ตั้งใจอยากได้มวลสารประเภทนั้น ถือว่าโมทนาร่วมกัน ถ้าอย่างนั้นก็ตัวใครตัวมัน..! |
ถาม : อยากทราบว่าถ้าเราให้พระผง, พระพุทธรูป, เหรียญพระ, รูปพระ, ตะกรุด แก่บุคคลอื่น เราจะได้อานิสงส์อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรกก็คือทานบารมี อันดับสองได้จาคานุสติ ถ้าสิ่งที่ให้ไปเป็นรูปพระพุทธก็ได้พุทธานุสติ ถ้าเป็นรูปพระสงฆ์ก็ได้สังฆานุสติ ถือเป็นบุญใหญ่มาก |
ถาม : เลี้ยงสัตว์ไว้ในห้องแต่ไม่ได้ปล่อยออกมาวิ่งเล่นข้างนอก แต่พามาเล่นบางครั้ง ถือว่าบาปไหมครับ ? เป็นการกักขังสัตว์เลี้ยงหรือเปล่าครับ ? ผมเก็บแมวจรจัดที่กระโดดมาอาศัยอยู่หลังห้องมาเลี้ยงครับ
ตอบ : ได้บุญที่เลี้ยงเขา แต่ขณะเดียวกันก็ได้บาปที่ไปจำกัดเขตเขา ถ้าไม่เคยสร้างผลบุญอื่นมาก่อนเลย จะไปเกิดเป็นเวมาณิกเปรต มีความสุขเหมือนเทวดาหรือนางฟ้าหมดทุกอย่าง แต่ออกจากวิมานไม่ได้..! ถาม : แล้วประเภทเอากระต่ายมาเลี้ยง มีเจตนาว่าถ้าออกไปเดี๋ยวจะเกิดอันตราย สัตว์ร้ายจะกัด ด้วยเจตนาแบบนี้จะมีผลอย่างไรบ้างครับ ? ตอบ : ไม่สามารถจะแก้ไขกรรมในการกักขังสัตว์ได้ |
ถาม : โดยปกติพระสามารถบิณฑบาตได้เป็นเวลาไม่เกินกี่โมง ? ในกรณีที่เลยเวลาบิณฑบาต สามารถขอบิณฑบาตสิ่งใดได้บ้าง ?
ตอบ : ถ้าในกรุงเทพฯ มีคำสั่งเจ้าคณะกรุงเทพมหานครตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อพระสุเมธาธิบดี วัดมหาธาตุฯ เป็นเจ้าคณะฯ ระบุไว้ชัดเลยว่า พระในกรุงเทพฯ ห้ามบิณฑบาตเกิน ๘ นาฬิกา เพราะส่วนใหญ่พวกที่บิณฑบาตแล้วอยู่สาย ๆ มักจะเป็นการหากินเสียส่วนมาก แล้วยังมีข้อห้ามพระเดินห้าง ห้ามพระปักกลดในกรุงเทพฯ ห้ามพระพักในบ้าน จะมีข้อห้ามเอาไว้ชัดเจนมาก ส่วนกรณีที่เลยเวลาบิณฑบาตแล้วก็ไม่ควรที่จะไปขออะไรเขาอีก ถาม : การขอบิณฑบาตจากผู้ที่ไม่ใช่พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือญาติ และไม่ใช่ผู้ที่ปวารณาตัวขอเป็นผู้อุปัฏฐาก โดยมีการโน้มน้าวหรือชักจูงให้ผู้นั้นถวายวัตถุสิ่งของที่ตนต้องการ และวัตถุสิ่งของสิ่งนั้นไม่ใช่ปัจจัย ๔ มีโทษประการใด ? ตอบ : ถ้าเป็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านปรับว่าไม่ใช่พระไปเลย..! ถาม : การกล่าวอ้างลอย ๆ ถึงวัตถุสิ่งของว่าควรจะเป็นของตน โดยไม่มีหลักฐานมายืนยัน สามารถทำได้หรือไม่ ? หากมีโทษ จะเป็นโทษหนักหรือเบาประการใด ? ตอบ : ถ้าเป็นของเขาจริงก็กล่าวอ้างได้ ถ้าไม่เป็นของเขาจริงก็อยู่ในลักษณะของการฉ้อโกง เจ้าของเดิมมาก็ตัวใครตัวมัน..! |
ถาม : เราสามารถกล่าวฝากบุญกุศลที่อุทิศไปให้นั้น ฝากท่านพญายมราชว่า ถ้าได้พบเห็นชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิดของผู้ตายนี้ ขอให้ผู้ตายอนุโมทนาบุญจะได้หรือไม่ ?
ตอบ : ก็คงต้องเป็นวันเดือนปีตาย วันเดือนปีเกิดท่านคงไม่รับรู้ด้วยหรอก ...(หัวเราะ)... ถาม : ตกลงได้หรือไม่ครับ ? ตอบ : ถ้าหากว่าผ่านการตัดสินของท่านก็ได้ ถ้าไม่ผ่าน ประเภทขึ้นตรงลงตรง ท่านก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร |
ถาม : เวลาก่อนนอนของทุกวัน ตัวลูกและสามีจะสวดมนต์และนั่งสมาธิ ปัญหามีอยู่ว่าสามีนั่งสมาธิทุกครั้งก็หลับทุกครั้ง อดไม่ได้ที่ลูกเห็นแล้วต้องเตือน การที่ลูกเตือนนั้นเป็นบาปหรือไม่ ? หรือควรปล่อยให้หลับไปแบบนั้น ?
ตอบ : น่าจะบาป เพราะลูกกับสามีเขาทำความดี ตัวเองไม่ทำอะไรแถมไปว่าเขา ก็โยมใช้คำว่า “ตัวลูกกับสามี” ...(หัวเราะ)... แสดงว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไร ถาม : คือตัวเองก็ทำครับ แต่ตัวสามีนั่งสมาธิแล้วหลับ ? ตอบ : การปฏิบัติธรรมอยู่ที่ระดับความสามารถของใครของมัน ถ้าเราตักเตือนเขาโดยเมตตาก็ดี แต่ถ้าตักเตือนในลักษณะที่คิดว่ากูดีกว่า หรือไม่ก็อยู่ในลักษณะที่เห็นเขาแล้วหงุดหงิด เกิดโทสะ เราจะขาดทุนมากกว่า ถาม : ถ้าเป็นบาป จะใช้วิธีขอขมาพระรัตนตรัยได้ไหมครับ ? ตอบ : การทำความดีไม่ใช่บาป เพียงแต่สภาพจิตที่หยาบจะตัดหลับไปเสียก่อน |
ถาม : จะมีโอกาสหรือไม่ที่ท่านจะทำวัตถุมงคลที่เป็นวัวธนูไว้เฝ้าบ้าน ?
ตอบ : จะเอาวัวไว้เฝ้าบ้านซึ่งผิดประเภท ต้องทำหมาไว้เฝ้าบ้าน แล้วหมาธนูอาตมายังไม่เคยเจอ..! วิชานี้ไม่ได้ศึกษาเอาไว้ เพราะฉะนั้น..อาตมาทำแล้วไม่เป็นวัวหรอก เป็นเทวดาหมด สมัยก่อนหลวงปู่คำแสน คุณาลงฺกาโร ท่านศึกษาวิชานี้ในลักษณะที่เข้าถึงจริง ๆ แต่เนื่องจากว่าตอนนั้นยังเล่าเรียนสารพัดวิชาการจากหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ อาตมาจึงไม่มีเวลาที่จะไปกราบขอเรียน ขอศึกษาจากท่าน จนท่านมรณภาพไปก่อน วิชานี้ก็เลยไม่ได้ศึกษามา ถึงเวลาใครเอารูปวัวมาให้เสก ก็กลายเป็นขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ถ้าเทวดารักษาก็ไม่ใช่วัวแล้ว กลายเป็นเทวดาไปหมด |
ถาม : การบนเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถ้าประสบผลสำเร็จตามที่บนไว้ จะแก้ด้วยการบวชเนกขัมมะ ๓ วัน ขอสอบถามว่าระยะเวลาที่บวชเนกขัมมะนั้น ถ้าไม่ติดต่อกัน ๓ วันจะได้หรือไม่ ?
ตอบ : อยู่ที่เราว่าตั้งใจบนไว้อย่างไร แต่ควรจะตรงไปตรงมา ถ้าไม่ได้บอกท่านไว้ว่าจะทำไม่ติดต่อกันก็อย่าไปทำแบบนั้น |
ถาม : ถ้าหากเราปฏิบัติไป แล้วเกิดอารมณ์มีคำถามมากมายล้นทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก หลังจากนั้นสักระยะเราจึงรู้สึกตัวว่าโดนกิเลสเล่นงานแล้ว เราควรวางกำลังใจในการปฏิบัติต่อไป และควรใช้หลักธรรมข้อใดเป็นหลักยึด เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดิมอีกครับ ?
ตอบ : อันดับแรก...พยายามหักห้ามกำลังใจตัวเอง นักปฏิบัติจะมีอยู่ ๒ ส่วนด้วยกัน ส่วนหนึ่งพอปฏิบัติไปแล้วจะเจอคำถามมากมายมหาศาลอย่างที่ว่า จะอยู่ในลักษณะของวิจิกิจฉาสังโยชน์ อีกส่วนหนึ่งก็คืออยากจะสอนคนอื่นเขา บางคนแทบจะไม่สามารถหักห้ามตนเองได้เลย โดยที่ลืมไปว่าถ้าเรามัวแต่สอนคนอื่นโดยที่ตัวเราเองยังไม่รู้จริง ประโยชน์ที่แท้จริงก็จะไม่มีทั้งเขาและเรา ต้องระวังตรงนี้ให้หนัก เพราะจะกลายเป็นมานะสังโยชน์ ส่วนวิธีแก้ไข ท่องคาถาไว้ว่า “กูไม่เชื่อ” ให้สังเกตดู นักปฏิบัติแถว ๆ นี้ก็มี ถ้าวันไหนเจอหน้ากันแล้วไม่พูด เขาอาจจะขาดใจตาย เสร็จตรงนี้หมด ถาม : ก็ต้องใช้คาถาว่า “กูไม่เชื่อ” อันนี้ลงในหลักธรรมข้อไหนครับ ? ตอบ : มีสติ ไม่ประมาท |
ถาม : หลวงพ่อบอกว่า “สามัคคีมีสุข” ก็อยากทำความดีแบบสามัคคี แต่เราเป็นคนที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่ค่อยชอบพูดชอบคุย แบบนี้เราจะทำความสามัคคีได้หรือไม่คะ ? และควรแก้ไขอย่างไร ?
ตอบ : ให้ปฏิบัติในสังคหวัตถุ ๔ ไม่ชอบพูดไม่ชอบคุยก็ให้เขาเยอะ ๆ (ทาน) ถ้าชอบพูดชอบคุยก็ใช้ปิยวาจา พูดดี พูดไพเราะ แต่ว่าอัตถจริยา คือการสร้างประโยชน์เพื่อผู้อื่นนั้นเว้นไม่ได้ ส่วนสมานัตตา เห็นอกเขาอกเราเหมือนกัน เรารักดีเกลียดชั่วอย่างไร คนอื่นก็เป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้น..อะไรที่เป็นของดี เราชอบ เราก็ทำสิ่งนั้นกับคนอื่น อะไรที่เป็นของไม่ดี เราไม่ชอบก็อย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่น ถ้าสามารถทำอย่างนี้ได้ก็แก้ตก ถ้าไม่สามารถทำอย่างนี้ได้ก็จงมีความเป็นส่วนตัวต่อไป |
พระอาจารย์กล่าวว่า "ขอตักเตือนญาติโยมทั้งหลายอีกครั้งหนึ่งว่า การปฏิบัติของเรานั้นจะมีสิ่งขวางอยู่ตลอดเวลา คอยขวางไม่ให้เราเข้าถึงความดีอย่างแท้จริง การที่เราอยากพูด อยากคุย อยากบอก อยากสอนคนอื่น ก็เป็นลีลาหนึ่งที่มารใช้ขวางความดีของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ชัดแล้วว่า อย่ากล่าววาจาอันเป็นเหตุให้ต้องเถียงกัน วาจาอันเป็นเหตุให้เถียงกันทำให้ต้องพูดมาก บุคคลผู้พูดมากจิตใจย่อมฟุ้งซ่าน บุคคลที่ฟุ้งซ่านย่อมห่างจากสมาธิ
ฉะนั้น..ถ้าเห็นใครพูดคนเดียวก็หลีกไปห่าง ๆ คือเขาไม่ได้พูดมาก เขาพูดคนเดียว ปล่อยเขาพูดต่อไป เราก็ไปภาวนาของเรา ระดับของการปฏิบัติ ถ้ามาถึงช่วงนี้แล้วจะเป็นทุกคน คือถ้าไม่ใช่สงสัยไปทุกเรื่องก็จะเป็นอยากจะสอนเขาทุกเรื่อง หรือว่ามีความเป็นส่วนตัวสูงจนหาเพื่อนไม่ได้ อาตมาสมัยก่อนก็เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังประมาณอายุ ๑๖ ปี เริ่มต้นทุ่มเทให้กับการปฏิบัติจนถึงอายุ ๒๕ ระยะเวลา ๙ ปีเต็ม ๆ ไม่พูดกับใครเลย แต่งานไม่เสียนะ เพราะว่าตั้งหน้าตั้งตาทำงาน เวลาที่เหลือก็ทุ่มเทให้กับการปฏิบัติ ไม่มีเวลาพูดคุยกับใคร มาปลายปี ๒๕๒๖-๒๕๒๗ ช่วงนั้นก็เป็นครูฝึกมโนมยิทธิอยู่ที่บ้านสายลมได้ระยะหนึ่งแล้ว เห็นบรรดาท่านที่ไปฝึก พอสงสัยอะไรก็สอบถามบรรดาครูฝึก อาตมาเองได้ยินบางท่านตอบผิด แล้วไม่ใช่ผิดครั้งเดียว ผิดหลายครั้ง ก็เกิดความรู้สึกว่า “ดูท่าเราจะต้องยอมสูญเสียความเป็นส่วนตัวแล้ว” เพราะไม่อย่างนั้นแล้วบรรดาผู้ที่มาฝึกก็จะเสียประโยชน์ เพราะว่าครูฝึกบางท่านก็ไม่รู้จริง จึงหาโอกาสที่จะพูดคุยกับบรรดาพี่ป้าน้าอาในฐานะลูกศิษย์หลวงพ่อด้วยกันนั่นแหละ คุ้นเคยกันมาหลายปีแล้ว แต่อาตมาพูดน้อยจนนับคำได้ เวลาเห็นท่านนั่งคุยกันอยู่ก็เข้าไป “ขออนุญาตครับ ขอผมคุยด้วยได้ไหม ?” ท่านอื่นรู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ แต่เห็นเขาอึ้งกันไปทั้งวง มีป้าชอ(อัญชัน ศุทธรัตน์) ถอนหายใจดังเฮือก..! บอกว่า “โล่งใจไปที ป้าคิดว่าชาตินี้แกจะไม่พูดกับใครแล้ว” ตั้งแต่นั้นมาถ้าเห็นว่าใครคุยผิดก็จะอ้อม ๆ ไปใกล้ ๆ ใช้วิธีจูงให้กลับมาถูกทาง บางทีในเรื่องของการปฏิบัติก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปโอ้อวดบอกคนอื่นเขาว่าเรารู้อะไร ยกเว้นว่าจำเป็นจริง ๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเก็บกดมาหลายปี มาระยะหลังนี้พออาตมาได้พูดก็เลยไม่ค่อยอยากจะหยุด..!" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "วัตถุมงคลวัดท่าขนุนนี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ว่า คนบูชาไปจะต้องมีใครสักคนโดนตัดสิทธิ์เป็นประจำ ไม่ช้าก็เร็ว เป็นเพราะอะไร เงินก็จ่ายแล้วแต่ไม่มาเอา ถ้าตัวเองมารับไม่ได้ก็แจ้งทางด้านเจ้าหน้าที่ว่าจะให้ใครมารับแทน แล้วก็ให้คนนั้นเขาแสดงบัตรมารับไปก็ได้"
|
พระอาจารย์กล่าวว่า "ท่านที่อยากได้วัวธนู อาตมาขอเปลี่ยนเป็นเสือได้ไหม ? ...(หัวเราะ)... แต่คราวนี้เคล็ดการสร้างเสือของหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านให้สร้างปีขาล ถ้าได้ปีขาล เดือนสาม วันอังคาร ยิ่งดี ตอนนี้ก็เลยปีขาลมาเยอะแล้ว
คาดว่าวิชาการเหล่านี้ ถ้าไม่ทำเอาไว้ต่อไปก็สูญ เพราะช่วงก่อนนั้นอาตมาทุ่มเทศึกษาทุกอย่าง ไม่รังเกียจว่าจะเป็นวิชาทางโลกทางธรรม หลวงพ่อท่านก็เหมือนกับตั้งใจให้ ขณะเดียวกัน พี่ ๆ บางท่านอยู่กับหลวงพ่อมา ๑๐ ปี ๒๐ ท่านไม่เอาอะไรเลย โดยใช้คำว่าพูดว่า “เป็นแล้วเหนื่อย” อาตมาก็แปลกใจ อย่างที่ไม่กี่วันก่อนที่ลงภาพให้ดูว่ามีผ้ายันต์แผ่นใหญ่เกือบเท่าผ้าห่ม ที่เป็นลายมือหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเขียนยันต์ เขียนคาถาและประสิทธิ์ประสาทให้ มั่นใจว่าคงไม่มีใครได้รับลักษณะอย่างนั้น จนกระทั่งหลวงน้ามีชัยซึ่งพักอยู่กุฏิเดียวกันแต่คนละห้อง ท่านออกปากว่า “ท่านเล็ก ผมว่าท่านต้องโดนเขาวางยาตายสักวัน” “ทำไมครับหลวงน้า ?” “ไม่เห็นหลวงพ่อท่านสอนวิธีทำตะกรุดแก้ยาพิษยาสั่งกับใคร มีแต่สอนท่าน ท่านต้องโดนแน่เลย” หลวงน้าคิดดีมากเลย แกไม่คิดว่าเราเอาไปช่วยคนอื่นได้" |
"จะมีอาตมากับหลวงลุงสุนทรที่มักจะได้วิชาอะไรจากหลวงพ่อท่านอยู่บ่อย ๆ แล้วอีกท่านหนึ่งนี่ต้องบอกว่าพระค้างคาว คือหลวงพี่ไพบูลย์ เพราะว่าตื่นกลางคืนนอนกลางวัน กลางคืนท่านจะเหมาเวรกลางคืนทั้งคืน ส่วนกลางวันอาตมากับหลวงลุงสุนทรแบ่งกันคนละครึ่งวัน ก่อนหน้านั้นเวรที่เฝ้าหน้าตึกหลวงพ่อมีหลวงพี่ชัยวัฒน์ หลวงน้าอมร หลวงน้าสัมฤทธิ์ แล้วก็หลวงน้ามีชัย ปรากฏว่าพอโดนหลวงพ่ออัดหนัก ๆ เข้า ก็เตลิดเปิดเปิงกันหมด..อยู่ไม่ได้ โดยเฉพาะหลวงพี่ชัยวัฒน์กลัวที่สุด ถึงขนาดย้ายหนีไปอยู่สวนไผ่เลย
อาตมาเองหน้าด้าน อยู่ได้ทนที่สุด เมื่อพี่ ๆ เขาหนีกันหมด จึงต้องชักชวนรุ่นน้อง ๆ มาช่วยงาน ก็มีหลวงลุงสุนทร อาจารย์สมปอง เป็นต้น แต่ว่าหลัง ๆ อาจารย์สมปองท่านบอกว่าไม่มีเวลาภาวนา ขอให้หาคนอื่นมาแทน เลยกลายเป็นว่าต้องเหมาจนหลวงพ่อท่านมรณภาพ แต่ว่าในความที่หน้าด้านหน้าทน โดนด่าเท่าไรก็ไม่ยุบ หลวงพ่อท่านอาจจะชอบใจ ท่านก็เลยให้อะไรไว้มากมาย หลวงลุงสุนทรท่านก็ปรารภว่า “เอ..หลวงพี่ ?” ท่านอายุมากกว่าเยอะนะ ปีนี้ท่าน ๘๘ แล้ว แต่ท่านบวชทีหลัง ท่านเลยเรียกหลวงพี่ “เอ...หลวงพี่ ? ทำไมเรา ๒ คน จำเพาะเจาะจงว่าถึงเวลาแล้วหลวงพ่อต้องให้โน่นให้นี่อยู่เรื่อย” บอกว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ตอนนี้อย่าไปกวนหลวงลุงท่านเลย ๘๘ ปีแล้ว เดินยังไม่ค่อยจะไหวอยู่แล้ว ท่านบวชตอนอายุ ๕๙ เมื่อเดือนก่อนไปเจอกันที่จันทบุรี กลายเป็นคนแก่หลังค่อมแล้ว นอกจากกระดูกเสื่อมแล้วยังหมดกำลัง คาดว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน ท่านเองก็บอกว่าไม่เอาอะไรแล้ว รอเวลาไปพระนิพพานอย่างเดียว แปลว่าอาตมาคงโดนทิ้งให้รับเละอยู่คนเดียว" |
"มีอยู่ครั้งหนึ่งเข้าไปในกุฏิหลวงลุงสุนทรก็ได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ คือหลวงลุงสุนทรจับพระพุทธรูปแขวนคอ ..(หัวเราะ)... อาตมาก็บอกว่า “หลวงลุง...ทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้หรือ ?” คือหลวงลุงสุนทรท่านตั้งใจเพ่งกสิณภาพพระพุทธรูป คราวนี้หลอดไฟของท่านที่ตั้งใจจะเอาไว้หลังพระพุทธรูปแก้วอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง ถ้าตั้งพระพุทธรูปจะอยู่ต่ำกว่า แทนที่ท่านจะหาอะไรหนุนพระพุทธรูปให้ได้ระดับ ท่านกลับเอาเชือกแขวนคอพระพุทธรูปไว้เลย แขวนแล้วก็ผูกให้ได้ระดับ ต้องบอกว่าหลวงลุงท่านเอาง่ายเข้าว่า "แต่ผมว่าอยู่ในแนวปรามาสพระรัตนตรัย ให้เปลี่ยนใหม่เถอะครับ"
พอโดนทักท้วงท่านก็เปลี่ยน ไม่อย่างนั้นท่านก็เพ่งอยู่ทุกวันด้วยความสบายใจของท่าน คนไม่รู้นี่ก็ไม่รู้จริง ๆ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าโทษเป็นอย่างไร ตั้งหน้าตั้งตาจะฝึก ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดอื่น ถึงเวลาเห็นว่าวิธีนี้สะดวกที่สุดก็จับพระแขวนคอเลย ถ้าใครเคยแขวนแบบนั้นก็กราบขอขมาพระรัตนตรัยด้วยนะ ยังโชคดีว่าท่านเอาแค่พระพุทธรูป ๓ นิ้ว ๕ นิ้ว ถ้าเป็น ๙ นิ้วนี่คาดว่าเชือกคงจะรับไม่ไหว จะฟังวีรกรรมของรุ่นเก่า ๆ เขามีเยอะแยะไปหมด แต่ถ้าหากว่าเล่ามาก ๆ กลายเป็นเอาท่านมาขาย..!" |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:08 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.