กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=921)

มายา 23-08-2009 20:31

พระราชวุฒาจารย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
 
1 Attachment(s)

หลวงปู่ฝากไว้
บันทึกคติธรรมและธรรมเทศนา

ของ
พระราชวุฒาจารย์
(หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์

โดย
พระโพธินันทมุนี
(พระมหาสมศักดิ์ ปณฺฑิโต)

มายา 23-08-2009 20:47

ธรรมะปฏิสันถาร

.....เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมหลวงปู่เป็นการส่วนพระองค์
เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงถามถึงสุขภาพอนามัย และการอยู่สำราญแห่งอิริยาบถของหลวงปู่
ตลอดถึงทรงสนทนาธรรมกับหลวงปู่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระราชปุจฉาว่า
"หลวงปู่ การละกิเลสนั้นควรละกิเลสอะไรก่อน"

หลวงปู่ตอบว่า "กิเลสทั้งหมดเกิดรวมอยู่ที่จิต ให้เพ่งมองดูที่จิต อันไหนเกิดก่อน ให้ละอันนั้นก่อน"


ทุกครั้งที่ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์เสด็จเยี่ยมหลวงปู่ หลังจากเสร็จพระราชกรณียกิจในการเยี่ยมแล้ว
เมื่อจะเสด็จกลับทรงมีพระราชดำรัสคำสุดท้ายว่า "ขออาราธนาหลวงปู่ดำรงขันธ์อยู่เกินร้อยปี
เพื่อเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไป หลวงปู่รับได้ไหม"

"อาตมาภาพรับไม่ได้หรอก แล้วแต่สังขารเขาจะเป็นไปของเขาเอง"

มายา 23-08-2009 21:13

ปรารภธรรมะเรื่องอริยสัจสี่

.....พระเถระเข้าถวายสักการะหลวงปู่ในวันเข้าพรรษาปี พ.ศ. ๒๔๙๙
หลังฟังโอวาท และข้อธรรมะอันลึกซึ้งข้ออื่น ๆ แล้ว หลวงปู่สรุปใจความอริยสัจสี่ให้ฟังว่า

"จิตที่ส่งออกนอก........................เป็นสมุทัย
ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก........เป็นทุกข์
จิตเห็นจิต..................................เป็นมรรค
ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต................เป็นนิโรธ"

มายา 23-08-2009 21:29

หยุดเพื่อรู้


เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๐๗ มีพระสงฆ์หลายรูปได้เข้ากราบหลวงปู่เพื่อรับโอวาท
และรับฟังการแนะแนวทางธรรมะที่จะพากันออกเผยแผ่ธรรมทูตครั้งแรก
หลวงปู่แนะวิธีอธิบายธรรมะทั้งเพื่อสอนผู้อื่น และเพื่อปฏิบัติตนเองให้เข้าถึงสัจธรรมนั้นด้วย
ลงท้ายหลวงปู่ได้กล่าวปรัชญธรรมไว้ให้คิดด้วยว่า

"คิดเท่าไร ๆ ก็ไม่รู้
ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้
แต่ต้องอาศัยความคิดนั่นแหละจึงรู้
"

มายา 23-08-2009 22:17

ทั้งส่งเสริมทั้งทำลาย


.....กาลครั้งนั้น หลวงปู่ได้ให้โอวาทเตือนพระธรรมทูตครั้งแรกมีใจความตอนหนึ่งว่า

....."ท่านทั้งหลาย การที่จะออกจาริกไปเพื่อเผยแผ่ประกาศพระศาสนานั้น
เป็นได้ทั้งส่งเสริมพระศาสนาและทำลายพระศาสนา
ที่ว่าเช่นนี้เพราะ องค์ธรรมทูตนั่นแหละตัวสำคัญ คือ
เมื่อไปแล้วประพฤติตัวเหมาะสม
มีสมณสัญญาจริยาวัตรงดงามตามสมณวิสัย
ผู้พบเห็นหากยังไม่เลื่อมใส ก็จะเกิดความเลื่อมใสขึ้น
ส่วนผู้ที่เลื่อมใสแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนองค์ที่มีความประพฤติและวางตัวตรงกันข้ามนี้
ย่อมทำลายผู้ที่เลื่อมใสแล้วให้ถอยศรัทธาลง
สำหรับผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสเลย ก็ยิ่งถอยห่างออกไปอีก
จึงขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้พร้อมไปด้วยความรู้ และความประพฤติไม่ประมาท
สอนเขาอย่างไร ตนเองต้องทำอย่างนั้นให้ได้เป็นตัวอย่างด้วย"

มายา 23-08-2009 22:33

ทุกข์เพราะอะไร


.....สุภาพสตรีวัยเลยกลางคน ๆ หนึ่ง เข้านมัสการหลวงปู่ พรรณนาถึงฐานะของตนว่าอยู่ในฐานะที่ดี
ไม่เคยขาดแคลนสิ่งใดเลย มาเสียใจกับลูกชายที่สอนไม่ได้ ไม่อยู่ในระเบียบแบบแผนที่ดี
ตกอยู่ภายใต้อำนาจอบายมุขทุกอย่าง ทำลายทรัพย์สมบัติและจิตใจของพ่อแม่จนเหลือที่จะทนได้
ขอความกรุณาหลวงปู่ให้ช่วยแนะอุบายบรรเทาทุกข์ และแก้ไขให้ลูกชายพ้นจากอบายมุขนั้นด้วย
หลวงปู่แนะนำสั่งสอนไปตามเรื่องราวนั้น ๆ ตลอดถึงแนะอุบายทำใจให้สงบ รู้จักปล่อยวางให้เป็น

.....เมื่อสุภาพสตรีคนนั้นกลับไปแล้ว หลวงปู่ปรารภธรรมะให้ฟังว่า

"คนสมัยนี้ เขาทุกข์เพราะความคิด"

มายา 23-08-2009 22:50

อุทานธรรม


.....หลวงปู่กล่าวธรรมกถาต่อมาอีกว่า สมบัติพัสถานทั้งหลาย
มันมีประจำอยู่ในโลกนี้มาแล้วอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ขาดปัญญาและไร้ความสามารถ
ก็ไม่อาจจะแสวงหาเพื่อยึดครองสมบัติเหล่านั้นได้ ย่อมครองตนอยู่ด้วยความฝีดเคืองและลำบากขันธ์
ส่วนผู้ที่มีปัญญามีความสามารถ ย่อมแสวงหาทรัพย์สมบัติของโลกไว้ได้อย่างมากมาย
อำนวยความสะดวกสบายแก่ตนได้ทุกกรณี
.....ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านพยายามดำเนินตนเพื่อออกจากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด
ไปสู่ภาวะแห่งความไม่มีอะไรเลย เพราะว่า

"ในทางโลกมีสิ่งที่มี ส่วนทางธรรมมีส่วนที่ไม่มี"

มายา 23-08-2009 23:12

อุทานธรรมต่อมา


.....เมื่อแยกพันธะแห่งความเกี่ยวเนื่องจิตกับสรรพสิ่งทั้งปวงได้แล้ว
จิตก็หมดพันธะกับเรื่องโลก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
จะดีหรือเลว มันขึ้นอยู่กับจิตที่ออกไปปรุงแต่งทั้งหมด และจิตที่ขาดปัญญาย่อมเข้าใจผิด
เมื่อเข้าใจผิด ก็หลงอยู่ภายใต้อำนาจของเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ทั้งทางกายและทางใจ
อันโทษทัณฑ์ทางกายอาจมีคนอื่นช่วยปลดปล่อยได้บ้าง
ส่วนโทษทางใจ มีกิเลสตัณหาเป็นเครื่องรัดรึงไว้นั้น ต้องรู้จักปลดปล่อยตนด้วยตนเอง

"พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านพ้นแล้วจากโทษทั้งสองทาง ความทุกข์จึงครอบงำไม่ได้"

มายา 23-08-2009 23:47

อยากได้ของดี


.....เมื่อต้นเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๒๖ คณะแม่บ้านมหาดไทย
โดยมีคุณหญิงจวบ จิรโรจน์ เป็นหัวหน้าคณะ
ได้นำคณะแม่บ้านมหาดไทยไปบำเพ็ญประโยชน์
สังคมสงเคราะห์ทางภาคอีสาน ได้ถือโอกาสแวะนมัสการหลวงปู่
.....หลังจากกราบนมัสการถามถึงอาการสุขสบายของหลวงปู่
และรับวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกจากหลวงปู่แล้ว
เห็นว่าหลวงปู่ไม่ค่อยสบายก็รีบออกมา
แต่ก็ยังมีสุภาพสตรีท่านหนึ่งถือโอกาสพิเศษกราบเรียนหลวงปู่ว่า
"ดิฉันขอของดีจากหลวงปู่ด้วยเถอะเจ้าค่ะ"

.....หลวงปู่จึงเจริญพรว่า
"ของดีก็ต้องภาวนาเอาจึงจะได้ เมื่อภาวนาแล้ว ใจก็สงบ กาย วาจา ก็สงบ
แล้วกายก็ดี วาจา ใจ ก็ดี เราก็อยู่ดีมีสุขเท่านั้นเอง"

....."ดิฉันมีภาระมาก ไม่มีเวลาจะนั่งภาวนาได้
งานราชการเดี๋ยวนี้รัดตัวมากเหลือเกิน มีเวลาที่ไหนมาภาวนาได้คะ"

.....หลวงปู่จึงต้องอธิบายให้ฟังว่า
"การภาวนาต้องกำหนดดูที่ลมหายใจ
ถ้ามีเวลาสำหรับหายใจ ก็ต้องมีเวลาสำหรับภาวนา"

มายา 25-08-2009 23:23

การค้ากับการปฏิบัติธรรม


...พวกกระผมมีภาระหน้าที่ในการค้าขาย ซึ่งบางครั้งจะต้องพูดอะไรออกไปเกินความจริงบ้าง
ค้ากำไรเกินควรบ้าง แต่กระผมก็มีความสนใจและเลื่อมใสในการปฏิบัติทางสมาธิภาวนาอย่างยิ่ง
แล้วก็ได้ลงมือปฏิบัติมาบ้างแล้วโดยลำดับ แต่บางท่านบอกว่าภาระหน้าที่อย่างผมนี้มาปฏิบัติภาวนาไม่ได้ผลหรอก
หลวงปู่เห็นว่าอย่างไร เพราะเขาว่าขายของเอากำไรก็เป็นบาปอยู่

...หลวงปู่ว่า
..."เพื่อดำรงชีพอยู่ได้ ทุกคนจึงต้องมีอาชีพการงาน และอาชีพการงานทุกสาขา
ย่อมมีความถูกต้อง ความเหมาะความควรอยู่ในตัวของมัน เมื่อทำให้ถูกต้องพอเหมาะควรแล้ว
ก็เป็นอัพยากตธรรม ไม่เป็นบาป ไม่เป็นบุญแต่ประการใด ส่วนการประพฤติธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ควรกระทำ
เพราะผู้ประพฤติธรรมเท่านั้น ย่อมสมควรแก่การงานทุกกรณี"

มายา 26-08-2009 23:13

เป็นการดัดนิสัยหรือเปล่า

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองผ่านพ้นไปแล้วเป็นเวลา ๖ ปี
ผลที่สงครามฝากไว้ให้ก็คือ ความยากจนข้นแค้นแสนเข็ญ
ด้วยความขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภคได้แผ่ปกคลุมไปทั่ว
โดยเฉพาะเครื่องนุ่งห่มขาดแคลนอย่างยิ่ง
พระเณรในวัดต่าง ๆ มีสบงจีวรชุดเดียวก็บุญหนักหนาแล้ว
วันหนึ่ง สามเณรพรมซึ่งเป็นหลานหลวงปู่ เห็นสามเณรชุมพลห่มจีวรใหม่และสวย จึงถามว่า จีวรนี้ท่านได้แต่ไหนมา
เณรชุมพลตอบว่า เราเข้าไปทำวาระถวายหลวงปู่ หลวงปู่เห็นจีวรของเราขาด ท่านจึงประทานให้มาผืนหนึ่ง
เมื่อถึงวาระ เณรพรมจึงห่มจีวรขาดไปนวดเท้าหลวงปู่ ด้วยคิดว่าจะได้อย่างเขาบ้าง
พอเสร็จวาระกำลังจะออกมา หลวงปู่เห็นจีวรขาด จึงลุกไปเปิดตู้หยิบเอาของมายื่นให้ พร้อมกับสั่งว่า

"นี่เอาไปเย็บให้ดี อย่าห่มทั้งที่ขาดอย่างนี้"

สามเณรพรมต้องจำใจรับด้ายกับเข็มจากหลวงปู่อย่างรวดเร็ว

มายา 29-08-2009 00:51

วิธีระงับทุกข์แบบหลวงปู่

ระหว่าง พ.ศ.๒๕๒๐ โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์กำลังครอบงำข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ในกระทรวงมหาดไทยอย่างหนัก คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา
และแน่นอนความทุกข์โศกอันนี้ย่อมปกคลุมถึงบุตร ภรรยาด้วย
จึงมีอยู่วันหนึ่ง คุณหญิงคุณนายหลายท่านได้ไปนมัสการหลวงปู่
พรรณาถึงความทุกข์ที่กำลังได้รับอยู่ เพื่อให้หลวงปู่ได้แนะวิธี
หรือช่วยเหลืออย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่ท่านจะเมตตา

หลวงปู่
"บุคคลไม่ควรเศร้าโศกอาลัยอาวรณ์ถึงสิ่งนอกกายทั้งหลายที่มันผ่านพ้นไปแล้ว มันหมดไปแล้ว
เพราะสิ่งเหล่านั้น มันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างถูกต้องโดยสมบูรณ์ที่สุดแล้ว"

มายา 30-08-2009 19:43

ไม่ยากสำหรับผู้ไม่ติดอารมณ์

วัดบูรพารามที่หลวงปู่ประจำอยู่ตลอดห้าสิบปี ไม่ได้ไปจำพรรษาที่วัดอื่นเลย
เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง หน้าศาลากลางติดกับศาลจังหวัดสุรินทร์
ด้วยเหตุนี้จึงมีเสียงรบกวนความสงบอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะเมื่อถึงงานช้างแฟร์ หรืองานเทศกาลต่าง ๆ
ภิกษุสามเณรผู้ที่มีจิตใจยังอ่อนไหวอยู่ย่อมได้รับความกระทบกระเทือนเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อนำเรื่องนี้กราบเรียนหลวงปู่เมื่อใด ก็จะได้รับคำตอบในทำนองเดียวกันทุกครั้งว่า

"มัวสนใจอะไรกับสิ่งเหล่านั้น
ธรรมดาแสงย่อมสว่าง ธรรมดาเสียงย่อมดัง หน้าที่ของมันเป็นเช่นนั้นเอง
เราไม่ใส่ใจฟังเสียอย่างเดียวก็หมดเรื่อง
จงทำตัวเราไม่ให้เป็นปฏิปักษ์กับสิ่งแวดล้อม เพราะมันมีอยู่อย่างนี้ เป็นอยู่อย่างนี้เอง
เพียงแต่ทำความเข้าใจกับมันให้ถ่องแท้ด้วยปัญญาอันลึกซึ้งเท่านั้นเอง"

มายา 01-09-2009 21:14

รู้จากการเรียนกับรู้จากการปฏิบัติ

ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ที่กระผมจำจากตำราและฟังครูสอนนั้น จะตรงกับเนื้อหาตามที่หลวงปู่เข้าใจหรือไม่

หลวงปู่อธิบายว่า
"ศีล คือ ปรกติจิตที่อยู่อย่างปราศจากโทษ เป็นจิตที่มีเกราะกำบังป้องกันการกระทำชั่วทุกอย่าง
สมาธิ ผลสืบเนื่องมาจากการรักษาศีล คือ จิตที่มีความมั่นคง มีความสงบเป็นพลังที่จะส่งต่อไปอีก
ปัญญา ผู้รู้ คือ จิตที่ว่าง เบาสบาย รู้แจ้งแทงตลอดตามความเป็นจริงอย่างไร
วิมุตติ คือ จิตที่เข้าถึงความว่างจากความว่าง คือ
ละความสบาย เหลือแต่ความไม่มี ไม่เป็น ไม่มีความคิดเหลืออยู่เลย"

มายา 04-09-2009 01:13

โลกนี้มันก็มีเท่าที่เราเคยรู้มาแล้วนั้นเอง

..........บางครั้งที่หลวงปู่สังเกตเห็นว่า ผู้ที่มาปฏิบัติยังลังเลใจ
เสียดายในความสนุกเพลิดเพลินแบบโลก ๆ จนไม่อยากละมาปฏิบัติธรรม

..........ท่านแนะนำชวนคิดให้เห็นชัดว่า
.........."ขอให้ท่านทั้งหลายจงสำรวจดูความสุขว่า ตรงไหนที่ตนเห็นว่ามันสุขที่สุดในชีวิต
ครั้นสำรวจดูแล้วมันก็แค่นั้นแหละ แค่ที่เราเคยรู้เคยพบมาแล้วนั่นเอง ทำไมจึงไม่มากกว่านั้น
มากกว่านั้นไม่มี โลกนี้มีอยู่แค่นั้นเอง แล้วก็ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่แค่นั้น เกิดแก่เจ็บตายอยู่ร่ำไป
มันจึงน่าจะมีความสุขชนิดที่พิเศษกว่า ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น
พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านจึงสละสุขส่วนน้อยนั้นเสีย
เพื่อแสวงหาสุขอันเกิดจากความสงบกาย สงบจิต สงบกิเลส เป็นความสุขที่ปลอดภัยหาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย
"

มายา 04-09-2009 20:00

ทิ้งเสีย

สุภาพสตรีท่านหนึ่ง เมื่อฟังธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่จบแล้ว
ก็อยากทราบถึงวิธีไว้ทุกข์ที่ถูกต้องตามธรรมเนียม เขาจึงพูดปรารภขึ้นว่า
คนสมัยนี้ไว้ทุกข์ไม่ค่อยจะถูกต้องและตรงกัน ทั้ง ๆ ที่สมัย ร.๖ ท่านทำไว้เป็นแบบอย่างดีอยู่แล้ว เช่น
เมื่อญาติพี่น้องหรือญาติผู้ใหญ่ถึงแก่กรรม ก็ให้ไว้ทุกข์ ๗ วันบ้าง ๕๐ วันบ้าง ๑๐๐ วันบ้าง
แต่ปรากฏว่าคนทุกวันนี้ทำอะไรรู้สึกว่าลักลั่นกันไม่เป็นระเบียบ
ดิฉันจึงขอเรียนถามหลวงปู่ว่า การไว้ทุกข์ที่ถูกต้องนั้น ควรไว้อย่างไรเจ้าคะ

หลวงปู่บอกว่า
"ทุกข์ ต้องกำหนดรู้ เมื่อรู้แล้วให้ละเสีย ไปไว้มันทำไม"

มายา 04-09-2009 20:22

หนัก ๆ ก็มีบ้าง

พระอาจารย์สำเร็จ บวชมาแต่วัยเด็กจนอายุใกล้หกสิบปี เป็นพระฝ่ายวิปัสสนา
ปฏิบัติเคร่งครัด ชื่อเสียงดีมีคนเคารพนับถือมาก
แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด เนื่องจากไปหลงรักลูกสาวของโยมอุปัฏฐาก ถึงขั้นมาขอลาหลวงปู่สึกไปแต่งงาน
ทุกคนตกตะลึงกับข่าวนี้มาก ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้
เพราะปฏิปทาของท่านเป็นที่ยอมรับว่าจะต้องอยู่ในสมณวิสัยจนตลอดชีวิต
หากเรื่องเป็นเช่นนั้นจริงก็จะเป็นการเสื่อมเสียแก่วงการฝ่ายวิปัสสนาอย่างยิ่ง
พระเถระ คณะสงฆ์ และสานุศิษย์ของท่านจึงช่วยกันป้องกันทุกวิถีทางเพื่อให้ท่านเปลี่ยนใจที่จะคิดสึกเสีย
โดยเฉพาะหลวงปู่เรียกมาตักเตือนแก้ไขอย่างไรก็ไม่สำเร็จ
สุดท้ายอาจารย์สำเร็จกล่าวต่อหน้าหลวงปู่ว่า
กระผมอยู่ไม่ได้ เพราะนั่งภาวนาเมื่อไร เห็นใบหน้าเขามาล่องลอยปรากฏต่อหน้าอยู่ตลอดเวลา

หลวงปู่ตอบเสียงดังว่า
"ก็ไม่ภาวนาดูจิตของตัวเอง ไปภาวนาดูก้นของเขา มันก็เห็นแต่ก้นเขาอยู่ร่ำไปนั่นแหละ
ไป อยากไปไหนก็ไปตามสบาย ไปเถอะ"

มายา 05-09-2009 23:34

พระหลอกผี

หลวงปู่ชอบแนะนำส่งเสริมพระเณรให้ใส่ใจเรื่องธุดงคกัมมัฏฐานเป็นพิเศษ
มีอยู่ครั้งหนึ่งพระสานุศิษย์มาชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก ทั้งพรรษามากและพรรษาน้อย
หลวงปู่ชี้แนวทางว่า ให้พากันไปอยู่ป่าหาทางวิเวกหรืออยู่ตามเขาตามถ้ำเพื่อเร่งความเพียร
จะได้พ้นจากภาวะตกต่ำทางจิตบ้าง
ก็มีพระรูปหนึ่งพูดออกมาว่า ผมไม่กล้าไปครับเพราะผมกลัวผีหลอก

หลวงปู่ตอบอย่างรวดเร็วว่า
"ผีที่ไหนเคยหลอกพระ มีแต่พระนั่นแหละหลอกผี และตั้งขบวนการหลอกผีเป็นการใหญ่เสียด้วย
คิดดูให้ดีนะ วัตถุสิ่งของที่ชาวบ้านเขาเอามาบริจาคทำบุญนั้นแทบทั้งหมด
ล้วนทำเพื่ออุทิศส่งไปให้ผีทั้งนั้น ผีพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ญาติพี่น้องเขา
แล้วพระเราเล่าประพฤติตนเหมาะสมแล้วหรือ มีคุณธรรมอะไรบ้างที่จะส่งผลให้ถึงผีได้
ระวังอย่ามาเป็นพระหลอกผี"

มายา 07-09-2009 23:53

ไม่ค่อยแจ่ม

กระผมได้อ่านประวัติการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่เมื่อสมัยเดินธุดงค์
หลวงปู่เข้าใจเรื่องจิตได้ดีว่า จิตปรุงกิเลส หรือว่า กิเลสปรุงจิต ข้อนี้หมายความว่าอย่างไร

หลวงปู่อธิบายว่า
"จิตปรุงกิเลส คือ การที่จิตบังคับให้กาย วาจา ใจ กระทำสิ่งภายนอก ให้มี ให้เป็น ให้ดี ให้เลว ให้เกิดวิบาก
แล้วยึดติดอยู่ว่า นั่นเป็นตัว นั่นเป็นตน ของเรา ของเขา
ส่วนกิเลสปรุงจิต คือ การที่สิ่งภายนอกเข้ามาทำให้จิตเป็นไปตามอำนาจของมัน
แล้วยึดว่ามีตัวมีตนอยู่ สำคัญผิดจากความเป็นจริงอยู่ร่ำไป"

มายา 08-09-2009 20:50

ต้องปฏิบัติจึงหมดความสงสัย

เมื่อมีผู้ถามถึง การตาย การเกิดใหม่ หรือถามถึงอนาคตชาติ อดีตชาติ หลวงปู่ไม่เคยสนใจที่จะตอบ
หรือเมื่อมีผู้กล่าวถึงว่าเชื่อหรือไม่เชื่อว่า นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่จริงประการใด
หลวงปู่ไม่เคยค้นคว้าหาเหตุผลเพื่อจะเอามาค้านใคร
หรือไม่เคยหาหลักฐานเพื่อยืนยันให้ใครยอมจำนนแต่ประการใด ท่านกลับแนะนำว่า

"ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้า ชาติหลัง หรือนรกสวรรค์อะไรก็ได้
ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรง ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ
ถ้าสวรรค์มีจริงถึง ๑๖ ชั้นตามตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้วก็ย่อมได้เลื่อนฐานะของตนเองโดยลำดับ
หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ
การฟังจากคนอื่น การค้นคว้าจากตำรานั้น ไม่อาจแก้ข้อสงสัยได้
ต้องเพียรปฏิบัติ ทำวิปัสสนาญาณให้แจ้งความสงสัยก็หมดไปเองโดยสิ้นเชิง"

มายา 14-12-2009 00:44

ตัวอย่างเปรียบเทียบ

มรรค ผล นิพพาน เป็นสิ่งปัจจัตตัง คือ รู้เห็นได้จำเพาะตนโดยแท้
ผู้ใดปฏิบัติเข้าถึง ผู้นั้นเห็นเอง แจ่มแจ้งเอง หมดสงสัยในพระศาสนาได้โดยสิ้นเชิง
มิฉะนั้นแล้วจะต้องเดาเอาอยู่ร่ำไป
แม้จะมีผู้สามารถอธิบายให้ลึกซึ้งอย่างไร ผู้ฟังก็รู้ได้แบบเดา สิ่งใดยังเดาอยู่สิ่งนั้นก็ยังไม่แน่นอน

ยกตัวอย่างเช่น เต่ากับปลา เต่าอยู่ได้ทั้งสองโลก คือ โลกบนบกกับโลกในน้ำ
ส่วนปลาอยู่ได้โลกเดียว คือ ในน้ำ ขึ้นมาบนบกก็ตายหมด

วันหนึ่ง เต่าลงไปในน้ำแล้วก็พรรณนาความสุขสบายบนบกให้ปลาฟัง ว่ามันมีแต่ความสุขสบาย
แสงสีสวยงาม ไม่ต้องลำบากเหมือนอยู่ในน้ำ

ปลาพากันฟังด้วยความสนใจ และอยากเห็นบก จึงถามเต่าว่า...
บนบกนั้นลึกมากไหม เต่าว่ามันจะลึกอะไร ก็มันบก
เอ.. บนบกนั้นมีคลื่นมากไหม มันจะมีคลื่นอะไร ก็มันบก
เอ.. บนบกนั้นมีเปือกตมมากไหม มันจะมีเปือกตมอะไร ก็มันบก

ให้สังเกตดูคำถามที่ปลาถาม เอาแต่ความรู้ที่มีอยู่ในน้ำมาถามเต่า เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ

"จิตปุถุชนที่เดา มรรค ผล นิพพาน ก็ไม่ต่างอะไรกับปลา"

มายา 14-12-2009 01:23

คนละเรื่อง

มีชายหนุ่มสามสี่คนเข้าไปหาหลวงปู่ขณะที่ท่านนั่งพักผ่อนอยู่ที่มุมศาลาการเปรียญ
เขาพูดถึงถึงชื่อเกจิอาจารย์อื่น ๆ ว่าให้ของดีของวิเศษแก่ตนหลายอย่าง
ในที่สุดก็งัดเอาของมาอวดกันเองต่อหน้าหลวงปู่
คนหนึ่งมีเขี้ยวหมูตัน คนหนึ่งมีเขี้ยวเสือ อีกคนมีนอแรด
ต่างคนต่างอวดอ้างว่าของตนดีวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้
มีคนหนึ่งเอ่ยถามหลวงปู่ว่า
หลวงปู่ครับ อย่างไหนแน่ดีวิเศษกว่ากันครับ

หลวงปู่ก็ยิ้ม ๆ แล้วตอบว่า

"ไม่มีดี ไม่มีวิเศษอะไรหรอก เป็นของสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกัน"

มายา 15-12-2009 00:47

เปรียบเทียบให้ฟัง

ความอยากรู้อยากเห็น เพื่อบรรเทาความสงสัยของตนให้ได้นั้น ย่อมมีอยู่ในชนผู้เจริญโดยทั่วไป
วิชาแต่ละศาสตร์ แต่ละสาขา ตั้งไว้เพื่อให้มนุษย์เกิดสงสัยอยากรู้
แล้วเพียรพยายามศึกษาปฏิบัติเพื่อรู้ถึงจุดหมายปลายทางของแต่ละศาสตร์นั้น

แต่พุทธศาสตร์ต้องศึกษาและปฏิบัติอย่างสมดุล และความเพียรขั้นอุกฤษฏ์
เพื่อเข้าถึงสิ่งสูงสุดของพุทธธรรมด้วยตนเอง หมดข้อสงสัยได้เองโดยสิ้นเชิง

เปรียบเหมือนคนบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นกรุงเทพฯ มีคนอธิบายให้ฟังว่า ที่กรุงเทพฯ นั้น
นอกจากมีความเจริญอย่างอื่นแล้ว ยังมีกำแพงแก้วและภูเขาทองทั้งลูกอันมหึมาอีกด้วย
เขาตั้งใจไปกรุงเทพฯ ให้ได้ โดยคิดว่าจะไปเอาแก้วที่กำแพงและไปเอาทองที่ภูเขา
ครั้นเพียรพยายามไปจนถึงแล้ว ผู้รู้ก็ชี้บอกว่า นี่คือกำแพงแก้ว นี่คือภูเขาทอง
เพียงแค่นี้ความตั้งใจและความสงสัยของเขา ก็สิ้นสุดลงทันที

"มรรค ผล นิพพาน ก็เช่นนั้นเหมือนกัน"

มายา 17-12-2009 22:09

สิ่งที่อยู่เหนือคำพูด

อุบาสกผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง สนทนากับหลวงปู่ว่า
"กระผมเชื่อว่า แม้ในปัจจุบันพระผู้ปฏิบัติถึงขั้นได้บรรลุมรรค ผล นิพพานก็คงมีอยู่ไม่น้อย
เหตุใดท่านเหล่านั้นจึงไม่แสดงตนให้ปรากฏ
เพื่อให้ผู้สนใจปฏิบัติทราบว่าท่านได้บรรลุถึงคุณธรรมนั้น ๆ แล้ว
เขาจะได้มีกำลังใจและมีความหวัง เพื่อเป็นพลังเร่งความเพียรในทางการปฏิบัติให้เต็มที่"

หลวงปู่กล่าวว่า

"ผู้ที่เขาตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดว่าเขารู้แล้วซึ่งอะไร เพราะสิ่งนั้นมันอยู่เหนือคำพูดทั้งหมด"

มายา 17-12-2009 22:28

มี แต่ไม่เอา

ปี ๒๕๒๒ หลวงปู่ได้ไปพักผ่อน และเยี่ยมพระอาจารย์สมชายที่วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี
ขณะเดียวกันก็มีพระเถระอาวุโสรูปหนึ่งจากกรุงเทพฯ คือ
พระธรรมวราลังการ วัดบุปผาราม เจ้าคณะภาคทางใต้ได้ไปอยู่ฝึกกัมมัฏฐานเมื่อวัยชราแล้ว

เมื่อท่านทราบว่าหลวงปู่เป็นพระฝ่ายกัมมัฏฐานอยู่แล้ว
ท่านจึงสนใจขอศึกษาและถามถึงผลของการปฏิบัติธรรมกันเป็นเวลานาน
และกล่าวถึงภาระของท่านว่า มัวแต่ศึกษาและบริหารงานการคณะสงฆ์มาตลอดจนถึงวัยชรา
แล้วก็ลงท้ายถามหลวงปู่สั้น ๆ ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม"

หลวงปู่ก็ตอบโดยเร็วว่า

"มี แต่ไม่เอา"

มายา 17-12-2009 22:36

รู้ให้พร้อม

ระหว่างที่หลวงปู่อยู่รักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์นั้น
มีผู้ไปกราบนมัสการ และขอฟังธรรมเป็นจำนวนมาก
คุณบำรุงศักดิ์ กองสุข เป็นผู้หนึ่งที่สนใจในการปฏิบัติสมาธิภาวนา
ได้ปรารภการปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ ถึงเรื่องการละกิเลสว่า
"หลวงปู่ครับ ทำอย่างไรจึงจะตัดความโกรธให้ขาดได้"

หลวงปู่ตอบว่า

"ไม่มีใครตัดให้ขาดได้หรอก มีแต่รู้ทัน เมื่อรู้ทันมันก็ดับไปเอง"

มายา 21-12-2009 21:18

ภาระและปัญหาประจำ

การปกครองและการบริหารหมู่คณะใหญ่ นอกจากจะต้องแก้ปัญหาเล็กใหญ่อย่างอื่นแล้ว
ก็มีปัญหาขาดแคลนพระเจ้าอาวาส เราเคยได้ยินแต่การแย่งเป็นสมภารกัน
แต่ลูกศิษย์หลวงปู่นั้น ต้องปลอบ ต้องบังคับให้ไปเป็นสมภาร
ไม่เว้นแต่ละปีที่มีญาติโยมยกขบวนมาขอให้หลวงปู่ส่งพระไปเป็นเจ้าอาวาส
เมื่อหลวงปู่เห็นว่าองค์ไหนสมควรไปก็ขอร้องให้ไป
ส่วนมากเมื่อไม่อยากไปก็มักจะอ้างว่า กระผมก่อสร้างไม่เก่ง อบรมไม่เป็น เทศน์ไม่ได้
ประชาสัมพันธ์หรือรับแขกไม่คล่อง เป็นต้น จึงยังไม่อยากไป

หลวงปู่ก็สอนว่า

"สิ่งเหล่านั้นไม่จำเป็นเท่าไหร่หรอก เรามีหน้าที่ปฏิบัติกิจวัตรเท่านั้นเอง
บิณฑบาต ฉัน แล้วก็นั่งภาวนา เดินจงกรม ทำความสะอาดลานวัด เคร่งครัดตามธรรมวินัย แค่นี้ก็พอแล้ว
การก่อสร้างอะไร ๆ มันแล้วแต่ญาติโยม เขาจะทำหรือไม่ทำแล้วแต่เขา"

มายา 21-12-2009 21:40

ปรารภธรรมะให้ฟัง

หลวงปู่สรงน้ำวันละหนึ่งครั้ง เวลาบ่ายห้าโมงเย็น
เฉพาะน้ำร้อนที่ผสมให้อุ่นแล้ว กระทำอยู่อย่างนี้จนตลอดอายุขัยของท่าน
หลังจากเช็ดตัวแห้งดีแล้ว ท่านมักจะปรารภธรรมะให้ฟัง
แล้วแต่จะมีธรรมะข้อใดปรากฏขึ้นในขณะนั้น เช่น ครั้งหนึ่งท่านปรารภว่า

"ภิกษุเรา ถ้าปลูกความยินดีในเพศภาวะของตนแล้ว ก็จะมีแต่ความสุข เยือกเย็น
ถ้าตัวเองอยู่ในเพศภิกษุ แต่กลับไปยินดีในเพศอื่น ภาวะอื่น ความทุกข์ก็จะทับถมอยู่ร่ำไป
หยุดกระหาย หยุดแสวงหาได้นั่นคือภิกษุภาวะโดยแท้
ความเป็นพระนั้น ยิ่งจน ยิ่งมีความสุข"

มายา 21-12-2009 22:04

ปรารภธรรมะให้ฟัง

จบพระไตรปิฎกหมดแล้ว จำพระธรรมได้มากหลาย พูดเก่ง
อธิบายได้อย่างซาบซึ้ง มีคนเคารพนับถือมาก ทำการก่อสร้างวัตถุไว้ได้อย่างมากมาย
หรือสามารถอธิบายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างละเอียดแค่ไหนก็ตาม

ถ้ายังประมาทอยู่ ก็นับว่ายังไม่ได้รับรสชาติของพระศาสนาแต่ประการใดเลย
เพราะสิ่งเหล่านี้ยังเป็นของภายนอกทั้งนั้น เมื่อพูดถึงประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ภายนอก คือ
เป็นไปเพื่อสงเคราะห์สังคม เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เพื่อสงเคราะห์อนุชนรุ่นหลัง
หรือเป็นสัญลักษณ์ของศาสนวัตถุ ส่วนประโยชน์ของตนที่แท้นั้น คือ ความพ้นทุกข์


"จะพ้นทุกข์ได้ก็ต่อเมื่อ รู้ จิตหนึ่ง"

มายา 22-12-2009 20:30

อย่าตั้งใจผิด

นอกจากหลวงปู่จะนำธรรมที่ออกจากจิตของท่านมาสอนแล้ว โดยที่ท่านเคยอ่านพระไตรปิฎกจบมาแล้ว
ตรงไหนที่ท่านเห็นว่าสำคัญและเป็นการเตือนใจในทางปฏิบัติให้ตรง และลัดที่สุด
ท่านก็จะยกมากล่าวเตือนอยู่เสมอ เช่น หลวงปู่ยกพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติมิใช่เพื่อหลอกลวงคน
มิใช่เพื่อให้คนมานิยมนับถือ มิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะและสรรเสริญ
มิใช่อานิสงส์เป็นเจ้าลัทธิ หรือแก้ลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้
ที่แท้พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อสังวระ ความสำรวม เพื่อปหานะ ความละ
เพื่อวิราคะ ความหายกำหนัดยินดี และเพื่อนิโรธะ ความดับทุกข์
ผู้ปฏิบัติและนักบวชต้องมุ่งตามแนวทางนี้ นอกจากแนวทางนี้แล้ว ผิดทั้งหมด"

มายา 22-12-2009 20:43

พระพุทธพจน์

หลวงปู่ว่า ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ตราบนั้นย่อมมีทิฏฐิ และเมื่อมีทิฏฐิแล้วยากที่จะเห็นตรงกัน
เมื่อเห็นไม่ตรงกัน ก็เป็นเหตุให้โต้เถียงวิวาทกันอยู่ร่ำไป
สำหรับพระอริยเจ้าผู้เข้าถึงธรรมแล้ว ก็ไม่มีอะไรสำหรับมาโต้แย้งกับใคร
ใครจะมีทิฏฐิอย่างไร ก็ปล่อยเป็นเรื่องของเขาไป
ดังพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

"ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่ามีอยู่
แม้เราตถาคตก็กล่าวว่าสิ่งนั้นมีอยู่
สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่าไม่มี
แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราย่อมไม่วิวาทโต้เถียงกับโลก แต่โลกย่อมวิวาทโต้เถียงกับเรา"

มายา 22-12-2009 20:58

คิดไม่ถึง

สำนักปฏิบัติแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาของหลวงปู่นั่นเอง
อยู่ด้วยกันเฉพาะพระประมาณห้าหกรูป อยากจะเคร่งครัดเป็นพิเศษ
ถึงขั้นสมาทานไม่พูดจากันตลอดพรรษา คือ ไม่ให้มีเสียงเป็นคำพูดออกจากปากใคร
ยกเว้นการสวดมนต์ทำวัตร หรือสวดปาฏิโมกข์เท่านั้น
ครั้นออกพรรษาแล้ว ก็พากันไปกราบหลวงปู่ เล่าถึงการปฏิบัติอย่างเคร่งของพวกตนว่า
นอกจากปฏิบัติข้อวัตรอย่างอื่นแล้ว สามารถหยุดพูดได้ตลอดพรรษาอีกด้วย

หลวงปู่ฟังแล้วยิ้มหน่อยหนึ่ง แล้วพูดว่า

"ดีเหมือนกัน เมื่อไม่พูดก็ไม่มีโทษทางวาจา
แต่ที่ว่าหยุดพูดได้นั้น เป็นไปไม่ได้หรอก
นอกจากพระอริยบุคคลผู้ที่เข้านิโรธสมาบัติขั้นละเอียด
ดับสัญญาเวทนาเท่านั้นแหละที่ไม่พูดได้ นอกนั้นพูดทั้งวันทั้งคืน
ยิ่งพวกที่ตั้งปฏิญาณว่าไม่พูดนั่นแหละยิ่งพูดมากกว่าคนอื่น
เพียงแต่ไม่ออกเสียงให้คนอื่นได้ยินเท่านั้นเอง
"

มายา 19-01-2010 23:14

ผู้ที่เข้าใจธรรมะได้ถูกต้องหายาก

เมื่อไฟไหม้จังหวัดสุรินทร์ครั้งใหญ่ได้ผ่านไปแล้ว ผลคือความทุกข์ยาก
สูญเสียสิ้นเนื้อประดาตัว และเสียใจอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สิน ถึงขั้นเสียสติไปก็หลายราย
บางคนวนเวียนมาลำเลิกให้หลวงปู่ฟังว่า
อุตส่าห์ทำบุญเข้าวัดปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ทำไมบุญกุศลจึงไม่ช่วย
ทำไมธรรมะจึงไม่ช่วยคุ้มครอง ปล่อยให้ไฟไหม้บ้านวอดวายหมด
แล้วเขาเหล่านั้นก็เลิกเข้าวัดทำบุญไปหลายราย เพราะธรรมะไม่ช่วยพวกเขาให้พ้นจากไฟไหม้บ้าน

หลวงปู่ปรารภว่า

"ไฟมันทำตามหน้าที่ของมัน ธรรมะไม่ได้ช่วยใครในลักษณะนั้น
หมายความว่า ความอันตรธาน ความวิบัติ ความเสื่อมสลาย
ความพลัดพรากจากกัน สิ่งเหล่านี้มันมีประจำโลกอยู่แล้ว
ทีนี้ผู้มีธรรมะ เมื่อประสบกับภาวะเช่นนั้นแล้ว จะวางใจอย่างไรจึงไม่เป็นทุกข์ อย่างนี้ต่างหาก
ไม่ใช่ธรรมะช่วยไม่ให้แก่ ไม่ให้ตาย ไม่ให้หิว ไม่ให้ไฟไหม้ ไม่ใช่อย่างนั้น
"

มายา 19-01-2010 23:31

มีปกติไม่แวะเกี่ยว

อยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่เป็นเวลานานสามสิบกว่าปี จนถึงวาระสุดท้ายของท่านนั้น
เห็นว่าหลวงปู่มีปฏิปทาตรงต่อพระธรรมวินัย ตรงต่อการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์อย่างเดียว
ไม่แวะเกี่ยวกับวิชาอาคม ของศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งชวนสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย เช่น
มีคนขอให้เป่าหัวให้ ก็ถามว่าเป่าทำไม มีคนขอให้เจิมรถ ก็ถามเขาว่าเจิมทำไม
มีคนขอให้บอกวันเดือนหรือฤกษ์ดี ก็บอกว่าวันไหนก็ดีทั้งนั้น
หรือเมื่อท่านเคี้ยวหมาก มีคนขอชานหมาก

หลวงปู่ว่า

"เอาไปทำไม ของสกปรก"

มายา 19-01-2010 23:44

ปรารภธรรมะให้ฟัง

"คำสอนทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น
เป็นเพียงอุบายให้คนทั้งหลายหันมาดูจิตนั่นเอง
คำสอนของพระพุทธองค์มีมากมายก็เพราะกิเลสมีมากมาย
แต่ทางดับทุกข์ได้มีทางเดียวคือ นิพพาน
การที่เรามีโอกาสปฏิบัติธรรมที่ถูกทางเช่นนี้มีน้อยนัก
หากปล่อยโอกาสให้ผ่านไปเราจะหมดโอกาสพ้นทุกข์ได้ทันในชาตินี้
แล้วจะต้องหลงอยู่ในความเห็นผิดอีกนานแสนนาน เพื่อจะพบธรรมอันเดียวกันนี้

ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว รีบปฏิบัติให้หลุดพ้นเสีย
มิฉะนั้นจะเสียโอกาสอันดีนี้ไป เพราะว่าเมื่อสัจจธรรมถูกลืม
ความมืดมนย่อมครอบงำปวงสัตว์ให้อยู่ในกองทุกข์สิ้นกาลนาน"

มายา 19-01-2010 23:55

ปรารภธรรมะให้ฟัง

มิใช่ครั้งเดียวเท่านั้นที่หลวงปู่เปรียบเทียบธรรมะให้ฟัง มีอยู่อีกครั้งหนึ่งหลวงปู่ว่า

"ปัญญาภายนอกคือปัญญาสมมติ ไม่ทำให้จิตแจ้งในพระนิพพานได้
ต้องอาศัยปัญญาอริยมรรคจึงจะเข้าถึงพระนิพพานได้
ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์ เช่น ไอน์สไตน์ มีความรู้มาก
มีความสามารถมาก แยกปรมาณูที่เล็กที่สุดจนเข้าถึงมิติที่ ๔ แล้ว
แต่ไอน์สไตน์ไม่รู้จักพระนิพพาน จึงเข้านิพพานไม่ได้
จิตที่แจ้งในอริยมรรคเท่านั้นจึงเป็นไปเพื่อการตรัสรู้จริง ตรัสรู้ยิ่ง ตรัสรู้พร้อม
เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อนิพพาน
"

มายา 22-01-2010 20:30

ปรารภธรรมะให้ฟัง

คราวหนึ่ง หลวงปู่กล่าวปรารภพระธรรมให้ฟังว่า
เราเคยตั้งสัจจะอ่านพระไตรปิฎกจนจบ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๕
เพื่อสำรวจดูว่าจุดจบของพระพุทธศาสนาอยู่ตรงไหน
ที่สุดแห่งสัจจธรรม หรือที่สุดของทุกข์นั้นอยู่ตรงไหน
พระพุทธองค์ทรงกล่าวสรุปไว้ว่าอย่างไร
ครั้นอ่านไป ตริตรองไปกระทั่งถึงจบ ก็ไม่เห็นตรงไหนที่มีสัมผัสอันลึกซึ้งถึงจิตของเรา
ให้ตัดสินได้ว่า นี่คือที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ ที่สุดแห่งมรรคผล หรือที่เรียกว่านิพพาน

มีอยู่ตอนหนึ่ง คือ ครั้งพระสารีบุตรออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ
พระพุทธเจ้าตรัสถามเชิงสนทนาธรรมว่า สารีบุตรสีผิวของเธอผ่องใสยิ่งนัก
วรรณะของเธอหมดจดผุดผ่องยิ่งนัก อะไรเป็นวิหารธรรมของเธอ
พระสารีบุตรกราบทูลว่า "ความว่างเปล่าเป็นวิหารธรรมของข้าพระองค์"
ก็เห็นมีเพียงแค่นี้แหละ ที่มาสัมผัสจิตของเรา

มายา 22-01-2010 20:55

ประหยัดคำพูด

คณะปฏิบัติธรรมจากจังหวัดบุรีรัมย์หลายท่าน มีร้อยตำรวจเอกบุลชัย สุคนธมัต อัยการจังหวัด
เป็นหัวหน้ามากราบหลวงปู่เพื่อฟังข้อปฏิบัติและเรียนถามถึงวิธีปฎิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ซึ่งส่วนมากก็เคยปฏิบัติกับครูบาอาจารย์แต่ละท่านมาแล้ว และแนวทางปฏิบัติก็ไม่ค่อยจะตรงกัน
เป็นเหตุให้เกิดความสงสัยยิ่งขึ้น จึงขอกราบเรียนหลวงปู่โปรดช่วยแนะแนวปฏิบัติที่ถูกต้อง
และทำได้ง่ายที่สุด เพราะหาเวลาปฏิบัติธรรมได้ยาก หากได้วิธีง่าย ๆ แล้วก็จะเป็นการดีอย่างยิ่ง

หลวงปู่บอกว่า

"ให้ดูจิต ที่จิต"

มายา 22-01-2010 21:21

ง่าย แต่ทำได้ยาก

คณะของคุณดวงพร ธารีฉัตร จากสถานีวิทยุทหารอากาศ ๐๑ บางซื่อ
เดินทางไปถวายผ้าป่าและกราบนมัสการครูบาอาจารย์ตามสำนักต่าง ๆ ทางภาคอีสาน
และได้แวะกราบนมัสการหลวงปู่ หลังจากการถวายผ้าป่า
ถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่หลวงปู่ และรับวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกจากท่านแล้ว
ต่างคนต่างก็ออกไปตลาดบ้าง พักผ่อนตามอัธยาศัยบ้าง
มีอยู่กลุ่มหนึ่งประมาณ สี่ห้าคน เข้าไปกราบขอให้หลวงปู่แนะนำวิธีปฏิบัติง่าย ๆ
เพื่อแก้ไขความทุกข์ความกลุ้มใจ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ
ว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงได้ผลเร็วที่สุด

หลวงปู่บอกว่า

"อย่าส่งจิตออกนอก"

มายา 05-02-2010 20:57

พุทโธเป็นอย่างไร

หลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพฯ เมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑
ในช่วงสนทนาธรรม ญาติโยมสงสัยว่า พุทโธ เป็นอย่างไร หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า

เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด
ความรู้ที่เราเรียนกับตำรับตำรา หรือจากครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย
ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็ภาวนาไปให้มันรู้ รู้จากจิตของเรานั่นแหละ
เมื่อจิตของเราสงบ เราจะรู้เอง ต้องภาวนาให้มาก ๆ เข้า เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง
ความรู้อะไร ๆ ให้มันออกจากจิตของเรา

ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด
ให้มันรู้ออกจากจิตเองนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ

ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว อย่าส่งจิตออกนอก ให้จิตอยู่ในจิต และให้จิตภาวนาเอาเอง
ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ พุทโธอยู่นั่นแหละ แล้วพุทโธนั่นแหละจะผุดขึ้นในจิตของเรา
เราจะได้รู้จักว่า พุทโธ นั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง...เท่านั้นแหละไม่มีอะไรมากมาย


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:21


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว