กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=20)
-   -   ธรรมะจากพระเจ้าแผ่นดิน (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2407)

ป้านุช 17-09-2011 00:15

"...ก็เชื่อว่าพวกเราทั้งหลายเข้าใจดีในคำพูดอย่างนี้ เพราะว่าถ้าเราอยู่แล้ว ไม่มีความปรารถนาดีต่อกัน ก็อยู่ทำไม มันแห้งแล้ง ทั้งเป็นสิ่งที่ทำให้ตกต่ำ แต่ละคนถ้าทำดีก็ไม่ตกต่ำ หมู่คณะที่ทำดีก็ไม่ตกต่ำ ถ้ามีบุคคลในหมู่คณะ คำว่าหมู่คณะนี้ก็จะพูดถึงหมู่คณะใหญ่ที่สุด ก็คือประเทศชาติ มีคนที่ทำไม่ดีหรือคิดไม่ดี อันนี้ก็ดึงทำให้คนส่วนใหญ่เขาลงไปเหมือนกัน

แต่ว่าถ้ามีคนทำดีมุ่งทำดี ตั้งใจคิดดีคิดสุจริต ทำสุจริตนั้นนะก็ดึงขึ้น ปัญหาอยู่ที่ว่าจำนวนเท่าไรคนที่ดึงขึ้น และจำนวนเท่าไรคนที่ดึงลง และการดึงลงหรือดึงขึ้นนี่ใครแรงกว่ากัน บางทีคนก็คิดว่าการดึงขึ้นนี่มันเหนื่อย ให้คนอื่นดึงขึ้นเถอะ แต่ว่าคิดอย่างนั้นก็เท่ากับดึงลง

ถ้าแต่ละคนคิดว่าเราดึงขึ้นของเรา นึกดูว่าเราคนเดียวดึงขึ้นไม่มีประโยชน์ คนอื่นทำไม่ดีตั้งเยอะแยะ อย่างนี้คิดไม่ถูก เพราะว่าถ้าแต่ละคนคิดอย่างนั้น ไม่ช่วยกันพยุง ไม่ช่วยกันดึงขึ้น มันก็หย่อนลง

ฉะนั้น บทเรียนที่ได้จากการที่ป่วยครั้งนี้ก็คือ ถ้าหากคิดว่าดึงขึ้นไม่มีประโยชน์ มันลงแน่ จึงต้องถือว่าแต่ละคน คนที่แม้จะตัวเล็กตัวน้อยก็ดึงขึ้น หมายถึงว่าประกอบกิจการที่ดีที่สุจริตที่ถูกต้องตามอัตภาพ หรือตามความสามารถของตนก็ช่วยได้..."

ป้านุช 18-09-2011 00:11

"...เช่นเดียวกับที่บอกว่าเราเป็นคนจนเราจะทำบุญ เรามีเงินน้อยให้ไปบาทสองบาทก็ไม่มีประโยชน์ จะสร้างอะไรที่เป็นบุญเป็นกุศล จะสร้างวัดหรือสร้างโรงพยาบาล หรือสร้างอะไรที่เป็นกุศล บาทสองบาทไม่มีประโยชน์ไม่ให้ อย่างนี้คิดผิด

แต่คนที่ให้แม้จะเพียงไม่กี่สตางค์ก็เป็นคนที่เสียสละมาก สำหรับเขาเองก็ได้ช่วยตนเอง ทำให้ตัวมีความรู้สึกว่ารู้จักหรือฝึกจิตใจให้เสียสละ มันสบายมันเบา นอกจากนั้นถ้าหากไปนึกว่าบาทเดียวสองบาทจะทำอะไรใหญ่โตไม่ได้ มันก็ไม่จริง คนหนึ่ง ๆ ช่วยกันเล็กน้อย ถ้ามีจำนวนมากทำก็สร้างได้มาก คือว่าแต่ละคนเติมเข้าไปนิดหน่อย ก็สามารถที่จะสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง..."

ป้านุช 20-09-2011 23:14

๒๔
อาการป่วย

"...คนเขาเป็นห่วง บอกว่าเป็นโรคหัวใจนี่เดี๋ยวอายุสั้น
ก็ไม่เป็นไรหรอกอายุสั้น
ถ้าถือว่าอายุ ๙๐ อายุสั้นมันก็อายุสั้น
แต่ก็เชื่อว่าอยู่ได้ต่อไป..."

ป้านุช 20-09-2011 23:48

"...อีกอย่างหนึ่งที่จะต้องเล่าให้ฟัง ก็คืออาการป่วยมันเป็นอย่างไร อาจจะไม่ทราบกันว่าเป็นอย่างไร โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นนั้นมาโดยฉับพลัน การที่จะให้คนทราบว่าเป็นอย่างไรก็แถลงออกไป แถลงการณ์ออกทีไรก็ทราบว่ายิ่งเกิดปัญหา

ฟังแถลงการณ์ฉบับที่ ๑ ก็ทราบว่าป่วย แต่ไม่ทราบว่าป่วยอย่างไร เพราะอาจจะไม่กล้าแถลงว่าป่วยแค่ไหน ฟังแถลงการณ์ฉบับที่ ๒ ก็บอกสบายขึ้น แถลงการณ์ฉบับที่ ๓ ก็บอกว่าสบายขึ้น แต่ว่าก็ได้ผ่านวิกฤติการณ์อีกซึ่งไม่เคยแถลง เป็นอย่างนี้

จนถึงเดี๋ยวนี้เป็นฉบับที่เท่าไหร่จำไม่ได้แล้ว บางทีก็ดูว่าทุกครั้งที่แถลงว่าหายเจ็บหายป่วยแล้ว แม้ท่านนายก ฯ กล่าวเมื่อตะกี้ก็ดูเหมือนว่าเห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วว่าสมบูรณ์แข็งแรง เพราะอย่างที่ชาวบ้านเขาว่าตุ้ยแล้ว แต่ว่าโรคนี้มันประหลาด เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป

แต่ว่าโรคเดิมทีเดียวมันเป็นไข้ก็เหมือนไข้หวัด แล้วก็รักษาเหมือนไข้หวัด มันก็ไม่หาย วันแรกที่เป็นมันเป็นวันอาทิตย์ วัดได้ ๓๘.๒ องศาเซลเซียส ก็ดูว่าเป็นไข้ที่ปกติธรรมดา ต่อไปก็วัดไปวัดมาก็ขึ้นไปถึง ๓๙ องศาเซลเซียส ก็เลยบอกว่าอันนี้เป็นประวัติการณ์แล้ว

และต่อไปก็ขึ้นไป เข็นขึ้นไปให้ถึง ๓๙.๘ องศาเซลเซียส เอ๊ะ...ชักจะไม่เลว คือว่าไข้โดยมากถ้าขึ้น เมื่อขึ้นถึงที่สุดแล้วต้องลง ก็นึกว่า ๓๙.๘ ก็คงจวนจะลงแล้ว ทำไปทำมาขึ้นไป ๔๐ ก็นับว่าเป็นไข้ที่สูง และต่อจากนั้นไปไฟก็เลยดับไม่รู้เรื่อง เพราะว่ามันขึ้นไปเรื่อย ขึ้นไปถึงปรอทไม่มีที่จะวัด แต่รู้ว่ามันอาการไม่ดี

อันนี้ก็เป็นเรื่องของไข้ ขึ้นไปอย่างนั้นมันร้อนแล้วก็คงเดือด ถึงทำให้บางทีรู้สึกร้อนผ่าว บางทีเหงื่อออกก็ทำให้รู้สึกเหมือนหนาว มันก็ขึ้นไปอย่างนั้น แต่ว่าถ้าเป็นไข้อย่างนั้นแล้ว มันลงมาก็ไม่เป็นไร ไอบ้างก็เลยพูดไม่ค่อยมีเสียง แล้วก็ลองฟังพระเทศน์ก็มีความสงบจิตใจดี บางทีก็เอาเพลงมาฟัง แล้วก็ไปเอาเทปที่เป็นหนังตลุงมาฟังเรื่องพระนางปทุมทอง เป็นเรื่องที่ได้มาจากภาคใต้ เขาพากย์หนังตลุง เวลานั้นเสียงพูดก็ไม่ค่อยมีเสียง

พูดอะไรนึกว่ามีเสียง คนไม่ได้ยินก็แปลกใจว่า ทำไมคนไม่ได้ยิน ถึงบอกเมื่อตะกี้ว่าเหมือนกลับมาจากแดนสนธยา เราพูดคนไม่ได้ยิน อันนี้เป็นความรู้สึกที่แปลกมาก เพราะว่าโดยมากเวลาพูดคนเขาได้ยินก็มาถามว่าเรื่องอะไร นี่ไม่มีใครถามเลย พูดบอกว่าเป็นอย่างนั้น ๆ ไม่มีใครเอาใจใส่ ก็น่าแปลกมาก..."

ป้านุช 27-09-2011 01:13

"...เพราะว่าโดยมากเวลาพูดคนเขาได้ยินก็มาถามว่าเรื่องอะไร นี่ไม่มีใครถามเลย พูดบอกว่าเป็นอย่างนั้น ๆ ไม่มีใครเอาใจใส่ ก็น่าแปลกมาก เสร็จแล้วเวลากลับมาพูดได้ มีเสียง เสียงออกมาเป็นเสียงหนังตลุง เสียงหรือสำเนียงเป็นปักษ์ใต้ไปหมด คนเขาก็แปลกใจ แล้วก็มีความคิดแปลก ๆ เวลาพูด มีบางคนที่มาเยี่ยมก็อาจจะโกรธไปก็ได้ อาจจะน้อยใจไปก็ได้ เพราะว่าอยู่ที่สวนจิตรฯ ในห้องนั่นเอง

เขาก็ตั้งห้องนั้นเป็นห้องฉุกเฉิน ห้องไอซียู แต่ก็ได้ขู่เอาไว้ว่าถ้าไม่หาย ถ้าไม่สบายขึ้น เดี๋ยวขอย้ายไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนของมูลนิธิอีกแห่งหนึ่ง พวกที่มาเยี่ยมก็คงแปลกใจ ทำไมไม่ไปโรงพยาบาลของสภากาชาด หรือของทางราชการ

แต่อยากจะไปโรงพยาบาลของมูลนิธิ ก็เกิดความคิดอย่างนั้น แล้วบางทีก็เกิดความคิดจะไปสร้างคอนโดมีเนี่ยมที่บางไทร คือมีความคิดแปลก ๆ เวลาเป็นไข้นี่ แต่ลงท้ายเวลาค่อยยังชั่วหน่อยก็มาทบทวนเรื่องราวว่าพูดถึงแผนการที่ดูมันแปลก ๆ ก็ยังยืนยันว่าจะต้องทำโครงการโน้นโครงการนี้ต่อไป

เวลานั้นมีพายุโซนร้อนเข้าก็ไม่รู้ตัวเลย เพราะว่าตอนนั้นอยู่แดนสนธยา แต่ลูกที่ ๒ ที่เข้ามาก็รู้ แล้วก็เห็นว่าน้ำมันท่วม เพราะว่าแพทย์ที่มารักษาบอกว่าออกจากบ้านไม่ได้ ต้องนั่งเรือออกจากบ้าน แล้วก็ต้องสร้างทำนบสำหรับป้องกันน้ำท่วม แล้วบางทีน้ำก็พังทำนบเข้ามาในบ้าน ก็เดือดร้อน เลยเกิดความคิดว่ากรุงเทพฯ นี้อยู่เหนือน้ำหรือใต้น้ำกันแน่

ฉะนั้นก็เลยลองคิดดูว่าวิธีที่จะทำ ทำอย่างไรดี ก็เลยได้วางแผนการในหัว แล้วก็ได้ศึกษาในเรื่องนี้ ที่จริงก็ได้ศึกษามานานแล้ว ก็ได้ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาพบแล้วก็มาพูดกัน ให้ทำแผนการเพื่อที่จะป้องกันและเพื่อที่จะแก้ไขสถานการณ์ ก็เลยพบสิ่งเดียวกันกับที่กล่าวมาเมื่อตะกี้ว่า แต่ละคนต้องทำหน้าที่ และแต่ละคนก็จะต้องช่วยกัน ร่วมกันทำและจะมีผลสำเร็จ..."

ป้านุช 27-09-2011 23:12

"...ก็แสดงให้เห็นว่าหลังจากที่ได้ให้ผู้ที่มีหน้าที่และผู้ที่มีความรู้ในด้านต่าง ๆ มาร่วมกันก็เกิดผลดี ที่ทำให้น้ำที่ท่วม ที่กำลังเดือดร้อนลดลงไป ถ้าหากว่าไม่ร่วมมือกันก็ไม่สามารถที่จะทำให้เป็นผลสำเร็จตามประสงค์

คือผลสำเร็จตามประสงค์นั้นนะ ไม่ใช่เรื่องว่าเราบอกว่าต้องการให้น้ำลด แล้วน้ำลดนั้นเป็นผลสำเร็จ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ผลสำเร็จก็คือประหยัด เพราะว่าถ้าน้ำท่วมอยู่นาน ๆ ก็ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ต้องเสียเงินเสียทองมาก เพราะว่าเจ็บป่วยกันบ้าง มีเจ็บไข้กันมากเพราะน้ำท่วมนี่เอง

นอกจากนั้นทรัพย์สินสิ่งของก็เสียหายไป ส่วนรวมอย่างถนนหนทางก็พังไปมาก ถ้าป้องกันและทำได้สำเร็จแม้จะต้องเสียเงินในการป้องกัน แต่ว่าเสียเงินก็คงน้อยกว่าที่จะต้องเสียเปล่าในการซ่อมแซม แต่ทุกคนก็จะต้องร่วมกันใช้ความคิด ใช้กำลังที่จะช่วยร่วมกัน อันนี้ก็เป็นความคิดที่เกิดในระหว่างที่ไม่สบาย..."

ณญาดา 29-09-2011 10:47

ขออนุญาตป้านุชคัดลอกบทความนี้ไปลงในเว็บพลังจิต ในกระทู้เทิดพระเกียรติขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชนะคะ

ป้านุช 04-10-2011 01:01

"...เมื่อ ๑๐ วันที่ผ่านมานี้ก็ไม่ค่อยสบาย อยู่ดี ๆ ไม่ใช่จิตใจ หัวใจเดี๋ยวมันเต้นอย่าง เดี๋ยวมันหยุดเต้น แล้วบอกเต้นจังหวะต่าง ๆ มันเหมือนเด็กฮาร์ท แล้วหมอก็เป็นหมอฮาร์ท นี่ก็เลยเป็นศัพท์ใหม่ เราเป็นเด็กฮาร์ท แล้วหมอก็เป็นหมอฮาร์ท หมอเขาฟังอยู่เขารู้ว่าเป็นอย่างไร หมอที่เป็นหมอนั้นนะก็เป็นหมอฮาร์ท แต่ว่าหมอที่ไม่ใช่หมอหัวใจนั้นเป็นหมออย่างอื่น ก็เป็นหมอโนฮาร์ท

เขาก็มีการเถียงกันว่าอะไรเป็นอะไร จะทำอย่างไร ท่านประธานกรรมการก็เลยบอกพระจิต ต้องทำพระจิต คือหมายความว่าต้องใช้จิตใจ ก็จริงเหมือนกัน บางทีมันเต้นผิดปกติ ก็บอก เอ๊ะ..หัวใจนี่มันทำสำหรับเต้นให้ดี ไม่ใช่เต้นผิดปกติ มันก็เลยเต้นธรรมดา มันก็ใช้การได้เหมือนกัน

ก็หมายความว่าจิตแล้วก็ใจมันก็ต้องช่วยกัน ฉะนั้นที่พูดอย่างนี้ คำบางคำก็อาจเป็นคำกลวง แต่ว่าถ้าไปพิจารณาก็อาจจะเป็นคำที่ไม่กลวงก็ได้ ก็เลยนึกว่าถ้าถือว่าเป็นคำกลวง ก็ขอให้อย่าถือสา แต่ว่าถ้าเป็นคำที่ดีก็เอาไปคิด ถ้าทำให้สบายใจก็ขอให้สบายใจกันทุกคน..."

ป้านุช 08-10-2011 00:48

"...คนเขาเป็นห่วง บอกว่าเป็นโรคหัวใจนี่เดี๋ยวอายุสั้น ก็ไม่เป็นไรหรอกอายุสั้น ถ้าถือว่าอายุ ๙๐ อายุสั้นมันก็อายุสั้น แต่ก็เชื่อว่าอยู่ได้ต่อไป มานึกดูอายุ ๕๕ ถ้าแต่ก่อนนี้ก็ถึงอายุปลดเกษียณแล้ว แต่ทีหลังเขาก็เลยไปเป็น ๖๐ บางทีถึง ๖๕ ก็ได้ ก็ยังมีเวลา ๖๐ อีก ๕ ปี พอดีโครงการต่าง ๆ ก็เป็นโครงการ ๕ ปี

เวลาโครงการต่าง ๆ มีผลสำเร็จก็พอดีเกษียณ พอดีเกษียณก็หมายความว่า สามารถที่จะไปได้เห็นโครงการมีความสำเร็จ คือโครงการ ๕ ปีไม่พอก็เลยเลื่อนไป บางคนเขาบอกว่าไม่ได้ อายุ ๖๐ ไม่ได้ ต้องอายุ ๘๔ ปี

ได้ไปเล่าให้แม่ฟัง สมเด็จท่านบอก ๘๔ ที่จริงก็มาก เอาสัก ๗๒ นะ แต่สมเด็จท่านก็ ๘๒ แล้ว ท่านบอกว่าแม่ก็แก่แล้วนะ มันก็ต้องเมื่อยบ้าง แต่ท่านก็ยังทำงาน แล้วท่านก็บอกว่า ๘๔ ที่จริงก็มาก ท่าน ๘๒ อีก ๒ ปี แต่เชื่อว่าต่อไป ๘๔ แล้วก็ต่อไปอีก

ไปได้ส่วนตัวทีแรกก็ ๕๕ โบราณเขาบอกว่าแก่แล้ว แต่เมื่อนึกดูอีกอย่างว่าเราทำโครงการ ๕ ปี เราไม่เอาแล้ว ๕๕ ไม่เอาแล้ว โครงการ ๕ ปีก็ไม่ไป ก็เลยต้องถือเอาตามปกติ ๖๐ ค่อยว่ากันใหม่

ป้านุช 09-10-2011 00:35

"...ก็ขอขอบใจท่านทั้งหลายที่มาให้กำลังใจ แล้วก็ให้ท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติงานการอย่างดี รักษาสถานการณ์ให้ดี มีอะไรที่เบียดเบียนกัน คือมีกระทบกระทั่งอะไรกันบ้างก็ให้อภัยกัน แล้วก็ไม่ใช่ให้อภัยเพราะว่าถูกหลักของธรรมะที่จะให้อภัย แต่ให้อภัยกันมันมีประโยชน์ มันทำให้ทุกคนเจริญได้

ถ้ามัวแต่มากระทบกระทั่งกันมากเกินไป มันก็ทำให้คลอน คลอนแล้วมันหลุด หลุดแล้วก็พัง เราก็จะพลอยพังไปด้วย ฉะนั้นก็ขอให้มีกำลังกายกำลังใจกำลังสามัคคี อันนี้ที่เคยพูดอยู่เสมอ กำลังกายใจ กำลังสติปัญญา แต่ว่ายังไม่เคยพูดเรื่องกำลังสามัคคี วันนี้ก็เท่ากับอธิบายเรื่องกำลังสามัคคีเป็นอย่างไร ก็ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จความเจริญทั่วทุกคน..."

ป้านุช 09-10-2011 23:42

๒๕
เมืองไทยอยู่ได้อย่างไร


"...บางทีเขาได้รับข่าวว่าเมืองไทยนี้กำลังปั่นป่วน
มีความเดือดร้อนอย่างยิ่ง มีกลียุค มีความแก่งแย่งกัน
มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอัปมงคล
อันนี้ก็เพราะว่าเขาไม่ทราบ เมื่อเขามาที่เมืองไทยแล้ว
เขาก็ออกปากทีเดียวว่าเมืองไทยนี่น่าอยู่..."

ป้านุช 09-10-2011 23:54

"...ในสมัยปัจจุบันนี้ ทั่วโลกมีความปั่นป่วน เพราะเหตุการณ์ในด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจมีความปั่นป่วนมาก ย่อมทำให้เมืองไทยต้องรับความกระทบกระเทือนมิใช่น้อย แต่ทำไมเมืองไทยยังคงอยู่ไม่ปั่นป่วนมากนัก เป็นสิ่งที่ชาวต่างประเทศเขาออกปากทีเดียวว่า มาเมืองไทยเห็นว่าเมืองไทยนี้ยังอยู่ดี เขาแปลกใจ เพราะว่าอยู่ต่างประเทศหรืออยู่ในประเทศของเขา ห่างไกล เขาไม่ทราบว่าเมืองไทยอยู่ได้อย่างไร

บางทีเขาได้รับข่าวว่าเมืองไทยนี้กำลังปั่นป่วน มีความเดือดร้อนอย่างยิ่ง มีกลียุค มีความแก่งแย่งกัน มีทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอัปมงคล อันนี้ก็เพราะว่าเขาไม่ทราบ เมื่อเขามาที่เมืองไทยแล้วเขาก็ออกปากทีเดียวว่า เมืองไทยนี่น่าอยู่ เมืองไทยนี่คนมีความเสียสละ คนต้อนรับต่างประเทศยิ้มแย้มแจ่มใส คนไทยมีความขยันหมั่นเพียรในการงาน

ข้อเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราเองจะต้องทราบ เพราะบางทีพวกเราเองไปฟังต่างประเทศ นึกว่าข่าวใด ๆ ที่เขาไปปลุกปั่นต่างประเทศ แล้วก็กลับเข้ามาในเมืองไทยเป็นความจริง ไม่เชื่อสิ่งที่ตนเห็นด้วยตาของตนเอง ก็เท่ากับหลอกตัวเองหรือไม่ไว้ใจตัวเอง..."

ป้านุช 10-10-2011 23:42

๒๖
ไทยสร้างชาติ


"...การสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินทอง
หรือการช่วยตัวเองในปัจจุบันนี้
เห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความสงบให้เกิดขึ้นก่อนโดยเร็ว
เพราะถ้าความสงบยังไม่เกิด เราจะคิดอ่านแก้ปัญหา
หรือจะรวมกำลังกันทำการงานช่วยตัวเองไม่ได้..."

ป้านุช 10-10-2011 23:57

"...คนไทยได้สร้างความเจริญมั่นคงทุกอย่างในแผ่นดินขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรง ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน เราก็จะต้องช่วยตัวเองต่อไปด้วยกำลังของเรา การสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินทองหรือการช่วยตัวเองในปัจจุบันนี้ เห็นว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความสงบให้เกิดขึ้นก่อนโดยเร็ว

เพราะถ้าความสงบยังไม่เกิด เราจะคิดอ่านแก้ปัญหาหรือจะรวมกำลังกันทำการงานช่วยตัวเองไม่ได้ ความสงบนั้นภายนอกได้แก่สภาวการณ์ที่เรียบร้อยเป็นปกติ ไม่มีความวุ่นวายขัดแย้ง ไม่มีการเอาเปรียบเบียดเบียนหรือมุ่งร้ายทำลายกัน

ภายในได้แก่ความคิดจิตใจที่ไม่ฟุ้งซ่านหวั่นไหว หรือเดือดร้อนกระวนกระวาย ด้วยอำนาจความมักได้เห็นแก่ตัว ความร้ายกาจเพ่งโทษ ความหลงใหลเห่อเหิม อันเป็นต้นเหตุของอกุศลทุจริตทั้งหมด..."

ป้านุช 11-10-2011 23:43

"...การทำความสงบนั้นต้องเริ่มที่ภายในตัวในใจก่อน เมื่อภายในสงบ ความคิดจิตใจก็ตั้งมั่น สามารถคิดอ่านด้วยเหตุผลความละเอียดรอบคอบ และสามารถค้นหาจำแนกข้อเท็จจริง ถูกผิด ดีชั่วได้โดยกระจ่างและถูกต้อง จึงเกื้อกูลให้บุคคลประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีที่งามตามแนวทางที่สุจริตเหมาะสมได้

และย่อมจะส่งผลสะท้อนถึงภายนอกให้มีความปรกติเรียบร้อยด้วย อีกข้อหนึ่งจะต้องตั้งสัจจะให้มั่นคง ที่จะขวนขวายประกอบแต่กิจการงานซึ่งเป็นประโยชน์และถูกต้องเป็นธรรม งดเว้นหลีกห่างจากสิ่งทุจริตชั่วร้าย ปราศจากประโยชน์อย่างเด็ดขาด พร้อมกับพยายามเร่งรัดปฏิบัติงานประสานกับผู้อื่นโดยเต็มกำลังความรู้และสติปัญญา ให้สัมฤทธิ์ประโยชน์อันเป็นเป้าหมายโดยสมบูรณ์ ทำได้ดังนี้คนไทยก็จะสามารถร่วมกันทำแผ่นดินไทยให้สงบผาสุกและเจริญก้าวหน้าต่อไปด้วยความสวัสดีทุกเมื่อ..."

ป้านุช 13-10-2011 23:29

๒๗

"...ที่เรียกว่าคุณสมิทธิฯ เพราะว่าถ้าเขาลอยในสระในทิศทางหนึ่ง
แปลว่าลมมันเปลี่ยนทิศ
เมื่อลมเปลี่ยนทิศแล้วก็จะรู้ว่า
อากาศจะมีฝนหรืออากาศจะมีลมหรืออากาศจะแห้ง
อาจจะเคยฉงนว่า
ทำไมพยากรณ์อากาศได้อย่างแม่นยำ..."

ป้านุช 13-10-2011 23:53

"...เมื่อห้าปี ได้เล่าเรื่องนกในสวนจิตรฯ นี้ ก็ขอแจ้งว่าเมื่อห้าปีมีนกกระทุงหนึ่งตัว แล้วซื้อใหม่อีกสามตัวเป็นสี่ นกพวกนี้เขาก็มีลูกมีเต้า และก็ไปเชิญชวนเพื่อนฝูงมา มีวันหนึ่งนับได้ ๑๕ ตัว ก็หมายความว่าเขาคงมีความสุข แต่วันนี้ ในสระนี้เหลือลอยอยู่ตัวเดียว ลอยอยู่ตัวเดียวนี้เพราะตัวอื่นคงไปเยี่ยมญาติ (เสียงหัวเราะ) หรืออาจจะตั้งครอบครัวขึ้นมาใหม่ ก็ต้องดูแลครอบครัว

ตัวที่เหลืออยู่นี้ เราให้ชื่อว่าคุณสมิทธิฯ และในที่ประชุมนี้ก็มีคุณสมิทธิฯ สองคน เขามาเดี่ยว ๆ คุณสมิทธิฯ คนหนึ่งมาคนเดียว คุณสมิทธิฯ อีกคนก็มาคนเดียว คนอื่นอาจจะไม่ทราบว่าคุณสมิทธิฯ คือใคร แต่คุณสมิทธิฯ เองรู้ว่าเป็นใคร

คุณสมิทธิฯ นี้ที่เรียกว่าคุณสมิทธิฯ เพราะว่าถ้าเขาลอยในสระ ในทิศทางหนึ่งแปลว่าลมมันเปลี่ยนทิศ เมื่อลมเปลี่ยนทิศแล้วก็จะรู้ว่าอากาศจะมีฝน หรืออากาศจะมีลม หรืออากาศจะแห้ง อาจจะเคยฉงนว่าทำไมพยากรณ์อากาศได้อย่างแม่นยำ

ก็เพราะว่ามีคุณสมิทธิฯ นี่เอง คุณสมิทธิฯ ตัวจริงพยากรณ์และคุณสมิทธิฯ นกกระทุงนี่เขาก็พยากรณ์ ก็มาประกอบกัน จนกระทั่งทราบว่าอากาศทางอุตุนิยมฯ จะเป็นอย่างไร แล้วคุณสมิทธิฯ เอง ก็เคยฉงนว่าทำไมพยากรณ์ได้แม่นยำนัก

เราไม่ได้บอกคุณสมิทธิฯ ตัวจริงว่ามีคุณสมิทธิฯ นกกระทุง เพราะว่าไม่กล้า แต่เดี๋ยวนี้คุณสมิทธิฯ ตัวจริง พ้นหน้าที่อธิบดีกรมอุตุนิยมฯ แล้ว จึงพูดได้ (เสียงหัวเราะ) ว่าคุณสมิทธิฯ ที่เหลือตัวเดียวเป็นผู้พยากรณ์อากาศ และนอกจากนี้ก็ได้รับความช่วยเหลือจาก"นางมณีเมขลา"ด้วย เรื่องนี้ก็เป็นที่ฉงนของคุณสมิทธิฯ ตัวจริง..."

ป้านุช 20-10-2011 01:26

๒๘
เรื่องไปต่างประเทศ


"...เวลาออกจากประเทศไปทีไร แม้จะไปวันเดียวตามกฎหมายก็จะต้องมีผู้สำเร็จราชการ
มิฉะนั้นก็ผิดกฎหมาย ก็มีการโกลาหลยุ่งยากหลายอย่าง
ไม่นับถึงความสิ้นเปลืองก็มาก ผลที่จะได้มาอาจไม่คุ้มผลที่จะต้องเสีย
ฉะนั้นก็คิดรอบคอบแล้วไม่ไปดีกว่า..."

ป้านุช 26-10-2011 00:51

"...เรื่องไปต่างประเทศนั้น ไม่ใช่ในยุโรปหรือในประเทศที่เคยไปเท่านั้นเอง แต่ว่าในประเทศทั่วไปทั่วโลกทุกทวีปและประเทศที่ยังไม่เคยไปก็มาเชิญ จนกระทั่งบางประเทศ ผู้ใหญ่ของประเทศนั้น ๆ มา แล้วก็มาทราบดีว่าไม่ไป ก็บอกว่าถ้าไม่ไปก็ให้ลูกไป ถ้าไม่ให้ลูกไปก็ให้พี่ไป ไม่ให้พี่ไปก็ให้แม่ไป

อันนี้เขาเหมือนว่าทราบแล้วว่าไม่ไป เหตุผลในการไม่ไปนั้นมีง่าย ๆ ว่าเหนื่อย อันนี้เป็นคำตอบอย่างหนึ่งซึ่งอาจไม่เป็นคำตอบที่ถูกต้องนัก เพราะว่าทุกคนก็เหนื่อย แต่ว่าคิดดูการไปอย่างนั้นเราได้ไปแล้วก็หลายประเทศหลายทวีปอยู่ ถ้าไปก็คงได้ประโยชน์บ้าง

แต่ว่าอย่างที่ทูตได้ตอบถูกต้องว่าภารกิจในเมืองไทยก็มีมาก รวมทั้งสุขภาพอนามัยก็อาจด้อยลงไป ตั้งแต่ที่ไม่สบายมาใหญ่ ๆ ๒ ครั้ง มันทอนกำลังลงไป ซึ่งถ้าสังเกตดูว่าโดยเฉพาะตอนหลังนี้อาจไปน้อยกว่าที่เคยไป แล้วไปอาจไม่สมบุกสมบันเท่าแต่ก่อนนั้นนัก เพราะว่านึกดูว่าถ้าหากไปต่างประเทศเขาก็พูดถึง ๒ อย่าง ไปต่างประเทศสำหรับไปเจริญสัมพันธไมตรีอย่างหนึ่ง และไปต่างประเทศสำหรับไปพักผ่อนไปเที่ยว..."

ป้านุช 29-10-2011 21:22

"ในเรื่องที่สองนี้ไปเที่ยว ก็ได้เห็นแล้วว่าการไปเที่ยวต่างประเทศมันไม่ได้ไปเที่ยว ไปแล้วก็ต้องมีการรับแขกหรือถูกรับแขก คือว่าเราก็กลายเป็นแขกไป เขาต้องดูแล ถ้าเขาไม่ดูแลเขาก็กลัวว่าคนไทยนี่เองจะว่า เขาต้องดูแลเรา เมื่อเขาดูแลเราเราก็เหนื่อยยิ่งขึ้น มันก็เลยทำให้ไม่ได้ไปพักผ่อน อันนี้ก็คงเข้าใจหมายความว่าอะไร คราวนี้ไปในด้านไปเจริญสัมพันธไมตรี ก็เข้าใจว่าจะมีประโยชน์บ้าง แต่ว่ามีทูตานุทูต แล้วก็มีคนจะไป ก็อาจเจริญสัมพันธไมตรีได้ดีเหมือนกันเท่า ๆ กัน

ข้อขัดข้องอย่างหนึ่งที่สำคัญ ก็คือเวลาออกจากประเทศไปทีไร แม้จะไปวันเดียวตามกฎหมายก็จะต้องมีผู้สำเร็จราชการ มิฉะนั้นก็ผิดกฎหมาย ก็มีการโกลาหลยุ่งยากหลายอย่าง ไม่นับถึงความสิ้นเปลืองก็มาก ผลที่จะได้มาอาจไม่คุ้มผลที่จะต้องเสีย ฉะนั้นก็คิดรอบคอบแล้วไม่ไปดีกว่า เป็นฤๅษีอยู่ในประเทศดีกว่า

ความจริงว่าเป็นฤๅษีก็ไม่ใช่ฤๅษีเพราะอยู่สบาย ๆ อยู่ในประเทศ แล้วก็ถ้าหากว่ามีปัญหาที่ไหนได้ดูแล้วไปเยี่ยม มันก็ได้ผล แต่ถ้าหากว่าออกไปจากประเทศแม้จะในเวลาไม่นานนัก ทำให้งานที่ทำนั้นมันถอยหลัง คล้าย ๆ ว่าคนเราถ้าทำงานทุกวัน ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ มันก็ทำงานได้สบาย แต่ถ้าหากว่าเกิดพักหรือบอกว่า ๗ วันนี้ไม่ทำงานเลย กลับมาทำงานมันเหนื่อยยิ่งขึ้นมากกว่า ๒ เท่า

ก็เลยนึกว่าทำวันละเล็กละน้อยแล้วก็ค่อย ๆ ทำไปมันดีกว่า ก็เป็นกระต่าย ก็ทำเหมือนกระต่าย คือว่าแข่งกับเต่านี้ไม่สำเร็จ เพราะว่ากระต่ายรู้สึกเปรียวมาก มีกำลังมาก มีความเร็วมากก็ไปนอนพักเสีย กระต่ายเลยแพ้เต่า อันนี้เราไม่อยากแพ้เต่า แล้วเราก็อยากพักผ่อนเหมือนกัน หมายความว่าไปเรื่อย ๆ เดินสบาย ๆ ให้อยู่ข้างหน้าเต่าตลอดเวลาก็ชนะแล้ว ถ้าหากว่าเรานอนหลับ แล้วเต่าก็เดินเตาะแตะ ๆ ไปชนะเราก็เป็นได้..."

ป้านุช 01-11-2011 00:40

๒๙
พึ่งตนเอง


"...คนเราถ้าอยากได้อะไรอยากทำอะไร ต้องพึ่งตัวเองต้องอาศัยตัวเอง
มิใช่ว่าจะไปพึ่งคนอื่นเท่านั้น เราก็ต้องพึ่งคนที่น่าพึ่ง
แต่ว่าคนเราทุกคนจะต้องพึ่งตัวเอง
เพื่อจะได้รับสิ่งที่ดีตามผลที่ว่าเราทำอะไรก็รับผลของกรรมนั้น..."

ป้านุช 01-11-2011 01:05

"...คนเราถ้าอยากได้อะไรอยากทำอะไร ต้องพึ่งตัวเองต้องอาศัยตัวเอง มิใช่ว่าจะไปพึ่งคนอื่นเท่านั้น เราก็ต้องพึ่งคนที่น่าพึ่ง
แต่ว่าคนเราทุกคนจะต้องพึ่งตัวเอง เพื่อจะได้รับสิ่งที่ดีตามผลที่ว่าเราทำอะไรก็รับผลของกรรมนั้น ถ้าเราทำกรรมดีเราก็เจริญได้ เราก็มีทางที่จะมีอนาคตที่แจ่มใส

ความจริงอนาคตของเราก็อยู่ที่ปัจจุบันที่เราทำอยู่นี้ ถ้าเราทำปัจจุบันให้ดีอนาคตก็คงดี ถ้าเราละเลยไม่ทำอะไรเลยข้างหน้าก็คงไม่มีอะไรเลย เดี๋ยวนี้ถ้าเราสบายก็หมายความว่าเรามีบุญ มีบุญเก่า ความจริงบุญเก่านี้ก็อาจจะหมดไปได้

ฉะนั้นถ้าต้องการให้มีอนาคตที่แจ่มใส ก็ทำอะไรที่มีทางที่จะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมา แน่นอนว่าเราก็จะแจ่มใส ทุกคนก็เป็นเช่นนี้ก็เลยเห็นว่าเป็นกฎที่แน่นอนว่าต้องอาศัยตนเอง แต่มิใช่ว่าเราทำดีแล้วทำไมเรามีทุกข์ ไม่สบายใจ ไม่สบายกาย ก็เพราะว่าแต่ก่อนนี้เราไม่ได้ทำ ไม่ได้เตรียม ไม่ได้ทำในทางที่ขยันหมั่นเพียรอดทน ก็มีผลให้ปัจจุบันนี้มีทุกข์บ้าง แต่ว่าถ้าเราขยันหมั่นเพียรอดทนในปัจจุบัน อนาคตไม่มีปัญหา..."

ป้านุช 03-11-2011 22:14

๓๐
ประโยชน์นอกตำรา


"...เจ้าหน้าที่ได้มาสารภาพทีหลังว่า
นึกว่าไม่มีทางแล้ว เขื่อนนี้ต้องพังแน่
จนกระทั่งได้มีการอนุมัติให้ระเบิดเขื่อน
เพื่อที่น้ำจะลดโดยเร็ว
ซึ่งในที่สุด ถ้าระเบิดเขื่อน
ผลก็จะมีว่าน้ำจะท่วมฉับพลันลงไปตลอดลำน้ำมูล..."

ป้านุช 05-11-2011 01:00

"...มีเรื่องว่าที่ตื่นเต้นกันเมื่อฝนตกลงมาแล้วก็ลงในอ่างเก็บน้ำเขื่อนมูลบน ทำให้เขื่อนนั้นชำรุด และทำให้เกิดการกลัวได้ว่าหมู่บ้านต่าง ๆ จะถูกน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งอาจเป็นได้ เขื่อนมูลบนนั้นได้รับน้ำภายในไม่กี่วัน รับน้ำจำนวนมาก คือจากที่มีอยู่ในเขื่อนประมาณ ๔๐ ล้านลูกบาศก์เมตร จนกระทั่งเต็มขึ้นมาเกือบเต็มเขื่อนได้ถึง ๑๓๐ ล้านลูกบาศก์เมตร หมายความว่าในเวลาไม่กี่วันมีน้ำลงมา ๙๐ ล้านลูกบาศก์เมตร

ซึ่งก็น่าจะยินดี เพราะว่าสามารถที่จะไปใช้ประโยชน์เพาะปลูกในหน้าแล้งสำหรับพื้นที่กว้างใหญ่ แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นมา ที่จริงก็แปลกเพราะมีเขื่อนที่อยู่ห่างไม่มากนักคือเขื่อนลำนางรอง ซึ่งจุได้ ๑๕๐ ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อฝนลงหนักนั้นก็ได้รับน้ำเพิ่มเติมเพียงประมาณ ๓๐ ล้านลูกบาศก์เมตร

ซึ่งก็น่าเสียดายถ้า ๙๐ ล้านลูกบาศก์เมตรที่ลงมาในเขื่อนมูลบน ไปลงในเขื่อนลำนางรองนั้น ก็คงจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แต่นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติ..."

ป้านุช 09-11-2011 23:21

"...เมื่อเขื่อนลำมูลบนนั้นชำรุดก็จะต้องช่วยกัน เจ้าหน้าที่ได้มาสารภาพทีหลังว่านึกว่าไม่มีทางแล้ว เขื่อนนี้ต้องพังแน่ จนกระทั่งได้มีการอนุมัติให้ระเบิดเขื่อนเพื่อที่จะให้ลดน้ำโดยเร็ว ซึ่งในที่สุดถ้าระเบิดเขื่อน ผลก็จะมีว่าน้ำจะท่วมฉับพลันลงไปตลอดลำน้ำมูล แต่นายช่างเหล่านั้นก็ได้ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ และทุกฝ่ายก็ได้ช่วย ฝ่ายช่างที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือชลประทาน แล้วก็ช่างในส่วนต่าง ๆ ที่มีเครื่องมือเช่นสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ทางฝ่ายกองทัพภาคที่ ๒ และบริษัทต่าง ๆ ได้เข้ามาช่วยอย่างเข้มแข็ง ทั้งให้เครื่องมือเครื่องใช้และเจ้าหน้าที่มาช่วยระดมกันอย่างเข้มแข็งและไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และน้ำที่มีอยู่ในเขื่อนเวลานั้น ๑๓๐ ล้านก็ลดลงมาถึงประมาณ ๖๗ ล้าน ซึ่งอยู่ในระดับที่ปลอดภัย และก็ยังใช้ได้ในฤดูกาลหน้าแล้งนี้เพื่อช่วยการเพาะปลูก ฉะนั้นก็ไม่เสียหมดและหลังจากนั้นก็จะต้องซ่อม

การที่ผู้ที่ทำงานป้องกันไม่ให้เขื่อนพังนั้น ได้ทำด้วยความเสียสละ ทำงานทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ได้หลับไม่ได้นอนและเสี่ยงต่ออันตรายมาก เพราะว่าบางคนไปอยู่ในที่ที่ถ้าสมมุติเขื่อนยุบลงไป ซึ่งก็มีการยุบลงไปบ้าง ถ้ายุบอย่างรุนแรงก็มีหวังถูกทับ ถูกดินทับหรือถูกน้ำพัดไปตายก็ได้ แต่ว่าเขาก็เข้มแข็งก็ยินดีที่จะสละเพื่อที่จะไม่ให้เกิดเรื่องใหญ่ยิ่งกว่านี้ แล้วก็เป็นผลสำเร็จ ทุกคนก็ย่อมต้องได้รับคำชมเชยในการทำงานครั้งนี้..."

ป้านุช 09-11-2011 23:39

"...ตามหลักวิชานั้นต้องปล่อยให้เขื่อนพัง หลักวิชาจริง ๆ ปล่อยให้เขื่อนพังดีกว่าที่จะเสี่ยงชีวิตเสียเงินเสียทองในการถม จำไม่ได้ว่าถุงทรายที่โยนลงไปในรูนั่นนะกี่ถุง นั่นนะไม่ถูกหลักวิชาเลยแต่ก็ทำ ลงท้ายก็ได้ผล ถ้าทำตามหลักวิชาปล่อยให้เขื่อนพังดีกว่า แต่ว่านึกดูถ้ารอบคอบจริง ๆ หลักวิชาในการปล่อยให้เขื่อนพังนั่นนะ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ถุงกี่พันกี่หมื่นกี่แสนถุงนั่นนะทิ้งลงไป แล้วก็ไม่ต้องเสียค่าเครื่องจักร แล้วก็ไม่ต้องเสี่ยงชีวิต

แต่ในที่สุดถ้าปล่อยให้พังมีความแน่นอนอย่างหนึ่งก็คือ หมู่บ้านต่าง ๆ ที่อยู่ตามเส้นทางของน้ำที่จะลงจากเขื่อนนั้นถูกทำลายแน่นอน เสียเท่าไหร่อันนี้ไม่ได้คิด แต่หลักวิชาสำหรับเรื่องเขื่อนเฉพาะเขื่อนนั่นนะปล่อยให้พัง แต่หลักวิชาของการป้องกันภัยอันตรายต่อหมู่บ้านและต่อประชาชนนั้นไม่พูดถึง

ฉะนั้นถ้าถูกหลักวิชาส่วนเดียว อีกส่วนช่างมัน ไม่ได้ ฉะนั้นก็ต้องทำอะไรตามที่ควร ก็ค่อยทำไป แล้วคราวนี้ก็เป็นผลสำเร็จดี เสียเงินเสียค่าป้องกันค่าปฏิบัตินี้ก็มากไม่ใช่น้อย แต่ก็เอาละได้ผล ในที่สุดไม่ต้องเสียชีวิตและเสียทรัพย์สินของชาวบ้านเป็นอันมาก รวมแล้วก็คงได้ดีกว่าที่จะทำตามหลักวิชา..."

ป้านุช 11-11-2011 19:43

๓๑
การเห็นจิต


"...บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกจิตคืออะไร ก็คือไม่เห็น
คือเขาบอกว่าเขาเรียกว่าจิตใจ บางคนก็นึกว่าอยู่ที่หัวใจบ้าง
หรือคนสมัยใหม่ก็อาจจะบอกอยู่ที่สมอง เป็นจิต เป็นตัวเรา
ที่อยู่ที่ไหนก็ตาม จิตนี้เราจะมองเห็นได้
ถ้าเราทำจิตใจนี้ให้ผ่องใส..."

ป้านุช 11-11-2011 20:20

"...คำว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี้หมายความไปจนถึงไปเข้าวัดฟังธรรม เขาเรียกกันว่าไปนั่งสมาธิ แต่บางทีก็เข้าใจกันไม่ดีว่าการปฏิบัติดีชอบมีอย่างไร มีหลายขั้น ปฏิบัติดีชอบธรรมดานั้นสำคัญ คือแต่ละคนก็มีอาชีพการงาน หรืออย่างเวลาอายุยังน้อย ๆ ก็มีหน้าที่ที่จะเรียนหนังสือให้มาก ต่อมาก็มีหน้าที่ที่จะทำมาหากิน ตั้งแต่ขั้นที่จะปฏิบัติงานคือขั้นที่เป็นงานการที่ไม่ใหญ่โตนัก

ต่อมาก็ได้ความชำนาญ อันนี้ปฏิบัติดีชอบ ก็มีอีกอย่างหนึ่งถึงขั้นสูงอย่างบวชเป็นพระ หรือเข้าไปเล่าเรียนในวัด ปฏิบัติธรรมะทุกขั้นต้องเป็นการไม่ใช่ว่าสูง ชั้นสูง ขึ้นชั้นสูง ไม่เชิงว่าสูงขึ้น แต่ว่ามีหน้าที่ต่างกัน แต่ที่สำคัญมากก็คือ เวลาเราปฏิบัติงานการต่าง ๆ มีหน้าที่งาน จะเป็นงานที่เรียกว่างานส่วนตัว ทำมาหากินทางการค้า หรืองานทำมาหากินแบบเป็นครูหรือเป็นข้าราชการ ก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ต้องทำสิ่งที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น อันนี้เป็นพื้นฐาน

ถ้าหากทำงานในพื้นฐานหรือทำงานในด้านที่จะขัดเกลาจิตใจเหมือนกัน ข้อสำคัญคนเราทุกคนมีที่เรียกว่าจิต บางทีก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกจิตคืออะไร ก็คือไม่เห็น คือเขาบอกว่าเขาเรียกว่าจิตใจ บางคนก็นึกว่าอยู่ที่หัวใจบ้าง หรือคนสมัยใหม่ก็อาจจะบอกอยู่ที่สมอง เป็นจิต เป็นตัวเรา ที่อยู่ที่ไหนก็ตาม จิตนี้เราจะมองเห็นได้ ถ้าเราทำจิตใจนี้ให้ผ่องใส

เมื่อทำจิตใจให้ผ่องใสก็เห็น เห็นจิต ตามธรรมดานั้นพูดถึงว่าจิตนี่ก็เป็นสิ่งที่จะดูยาก ที่จิตดูยากเพราะว่าจิตที่อยู่นิ่ง ๆ ก็จะไม่เห็น อย่างเราดูอากาศหรือดูน้ำ มันไม่ค่อยเห็น อย่างในห้องนี้เราดูอากาศเห็นหรือเปล่า ก็ไม่เห็น

แต่ว่าถ้าเราดูไปทางหน้าต่างเห็นสีฟ้า มันก็เป็นลักษณะอากาศ อากาศมีสีฟ้าก็เห็น แต่เห็นยาก จิตนี้ก็เหมือนกันเห็นยาก แต่ถ้าดูฟ้าหรือดูข้างนอกเราเห็นเมฆ เมฆมันลอยไป เมฆมันลอยไปทำไม ก็เพราะว่าอากาศมันเคลื่อน แต่เราเห็นเมฆนั้นมันเป็นเมฆ ไม่ใช่ลม ไม่ใช่อากาศ จิตเหมือนกันถ้าเราอยู่เฉย ๆ มันไม่เห็น แต่ถ้าสมมุติว่าเรามองเห็น ดูอะไรเราชอบใจ จะเห็นว่าจิตผ่องใส อันนี้เป็นวิธีที่จะดูจิต อันนี้เป็นวิธีที่จะทำให้สามารถรู้จักจิต..."

ป้านุช 15-11-2011 00:09

"...เมื่อรู้จักจิตแล้วควบคุมจิตให้ทำดีชอบ จะดีชอบในด้านไหนก็ได้ ทำงานทำการก็ต้องทำให้ดีชอบ ทำมาหากินโดยสุจริต ก็หมายความว่าไม่ทุจริต ก็ต้องดูจิตว่าเรามีความทุจริตหรือไม่

แม้จะอ่านหนังสือหรือดูหนังสือเพื่ออ่านเล่นหรืออ่านให้เกิดความรู้ก็ดี ให้จิตนี้ต้องอ่าน ถ้าจิตมันฟุ้งซ่านไปที่ไหนอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่ดี อย่างพวกที่อ่านหนังสือสำหรับสอบ ไปเรียนหนังสือแล้วก็ไปสอบ ถ้าอ่านหนังสือโดยที่จิตไม่ใส ก็อ่านไม่รู้เรื่อง จำอะไรก็ไม่ได้ ก็สอบไม่ได้ ไม่สำเร็จ

ทำงานทำการมีงานก็เช่นกัน จิตเราไม่ผ่องใสงานนั้นไม่สำเร็จ เพราะว่าคิดไม่ออก ฉะนั้น ก่อนที่จะทำงานการใดก็ต้องมีจิตที่ผ่องใส จิตที่ผ่องใสนี่หมายความว่า ให้ตัวจิตเองหรือตัวเราเองรู้ว่าเราคิดอะไร รู้ว่าเรามีงานอะไรจะต้องทำ แม้ในสิ่งที่ง่าย ๆ อย่างเช่นท่านทั้งหลายมาที่นี่ต้องเดินขึ้นมา นั่งรถมา แล้วก็เดินขึ้นมาทางบันไดแล้วก็เดินเข้ามาในห้องนี้

ถ้าจิตไม่อยู่ที่จิตไม่รู้เรื่อง เดินก็ไม่เห็นอะไร ไม่เห็นว่าอะไรเป็นประตู อะไรเป็นฝา เดินไปก็ชนฝา อันนี้เป็นความจริง ฉะนั้นเรามีตาที่จะเห็น มีเท้าที่จะเดิน เราเห็นตรงนี้เป็นช่องประตูที่ควรจะเดินเข้าก็เดินเข้ามา ก็เข้ามาโดยสวัสดิภาพ มานั่งที่ที่เหมาะสมที่หาไว้ อันนี้ก็เป็นงานอย่างหนึ่ง เป็นงานอย่างง่าย ๆ ..."

ป้านุช 21-11-2011 00:28

"...แต่ว่าถ้าไม่มีจิตหรือไม่ควบคุมจิต จิตไม่ผ่องใสพอสมควรก็จะไม่สำเร็จ เดินขึ้นมาก็ไม่ถึงที่นี่ ถ้าใครมาบอกว่าขึ้นไปตรงนั้นแล้วก็เลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย ไม่ทำตามหรือจิตไม่อยู่กับหลัก ฟังเขาพูดแล้วไม่ได้ยิน หมายความว่าจะเห็นอะไรหรือฟังอะไรต้องใช้จิตที่ผ่องใส ที่มีความที่เรียกว่าสงบพอสมควรที่จะรับสิ่งใดหรือทำอะไร อันนี้เวลาไปเรียนรู้ไปฟังธรรมที่วัด ท่านก็บอกว่าต้องมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีศีลนี่ก็หมายความว่าปฏิบัติให้ถูกต้อง แต่มีสมาธินี่ก็คือจิตที่เราตั้งให้ผ่องใส แล้วปัญญาก็คงจะเกิด ก็จะรู้ว่าทำอะไรขั้นต่าง ๆ ต้องมีในระดับต่าง ๆ ในระดับชีวิตประจำวัน ในระดับที่เรียกว่าปฏิบัติธรรมะ..."

ป้านุช 24-11-2011 00:57

๓๒
จิตที่ผ่องใส


"...บางทีเมื่อจิตเราเจออะไรที่น่าดีใจ
บางทีก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
หรืออย่างน้อยก็มีการยิ้มหรือหัวร่อ
ถ้าหากว่าเจออะไรที่ไม่พอใจหน้าจะบึ้ง
แล้วก็จะแสดงออกมาเป็นคำว่าเขา หรืออะไรทันที
ทำไมเป็นอย่างนั้น..."

ป้านุช 24-11-2011 01:12

"...การฝึกจิตใจให้ผ่องใสแล้วก็จะสามารถที่จะสำเร็จในงานการที่มีอยู่ขณะนี้ แล้วก็มีความก้าวหน้า เพราะว่าทำสิ่งที่ดีที่งามที่ดีที่ชอบก็ต้องประสบความดี กรรมดีก็สนองด้วย แล้วก็มีความก้าวหน้า

ในเวลาเดียวกันบางคนก้าวหน้ารวยมาก ร่ำรวยมีทรัพย์สมบัติมากแต่ไม่มีความสุขเลย เพราะว่าทำจิตไม่ผ่องใส บางทีคนก็เก่ง ทำงานทำการเก่ง แล้วก็ทำมาหากินได้เงินได้ทองเยอะแยะ

แต่ว่าในเวลาเดียวกันเมื่อได้เงินได้ทองมาแล้วไม่มีความสุข มีบางคนที่บอกว่า โอ๊ย...เงินทองเยอะแยะไม่รู้จะไปใช้อะไร น่าแปลกว่าคนมีเงินมีทองมากไม่รู้ว่าจะไปใช้อะไร อันนี้ก็หมายความว่าเขาไม่ได้มีความสุข

แต่ว่าผู้ที่ทำงานทำการมีเงินมีทองได้ มีฐานะดีขึ้น ในเวลาเดียวกันสามารถที่จะใช้เงินทองในทางที่ดีที่งามแล้วก็ทำให้เกิดความสุข ผู้นั้นนะเป็นผู้โชคดีจริง ๆ ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีความสำเร็จจริง ๆ

อย่างที่เคยบอกกับท่านว่าเมื่อเข้าวัดเอาดอกไม้ไป จะเป็นดอกไม้ก็ตาม เป็นดอกไม้ใส่ในแจกันก็ตาม ไปวางที่พระพุทธรูป เห็นสวยงามจัดการให้ดี นั้นนะเป็นการบูชาพระ เราเป็นผู้ที่ผ่องใส เราจะเป็นผู้ที่กำลังมีความสุข เพราะแม้แต่ดอกไม้ดอกเดียวซึ่งไม่มีราคาค่างวดมากนัก แต่ว่าเป็นความสุขมากถ้าทำด้วยจิตใจที่ผ่องใส จิตใจที่ดีมีศรัทธาเลื่อมใส..."

ป้านุช 07-12-2011 00:33

"...ถ้าหากว่าเรามีเงินมากขึ้นเราก็ไปทำบุญเพิ่มขึ้น ทำบุญด้วยจิตใจที่เป็นกุศลแท้ก็ทำให้เกิดความสุข นี่เป็นกุศลที่แน่นอน อย่างเช่นครั้งพุทธกาล ผู้ที่จนมากได้ร่วมกุศลกับเศรษฐี เศรษฐีก็ใช้เงินเป็นจำนวนถ้าอย่างสมัยนี้ก็เป็นล้านบาท ส่วนผู้ที่จนนั้นนะก็ไปหาเงินมาได้ มาถ้าสมัยนี้ก็เรียกว่าห้าบาทหรือสิบบาท ไม่มากนัก

แต่ว่าห้าบาทกับสิบบาทเปรียบกับล้านบาทเปรียบเทียบกันไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามในสมัยพุทธกาลนั้น ผู้ที่ทำบุญเล็กน้อยได้ผลบุญมากก็มี ท่านว่ากันว่าเทวดาบนสวรรค์ท่านแซ่ซ้องจนกระทั่งฟังเสียงได้ ว่าผู้ที่จนนั่นนะให้หมดทั้งหมด แล้วเทวดาก็แซ่ซ้อง หมายความว่าผู้ที่ทำบุญด้วยจิตใจที่อิ่มใจได้บุญมาก

จิตใจที่อิ่มใจนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เราจะทำอย่างไรให้จิตใจอิ่มใจ ก็ต้องทำอย่างที่ว่า ต้องพยายามที่จะมองดูให้เห็นจิตของตน ถ้ามองด้วยตาเห็นอะไรก็เอามา จิตเรารู้เท่านั้นเองเราจะเห็นจิต..."

ป้านุช 07-12-2011 22:59

"...เห็นอะไรที่น่าพอใจ แล้วก็เห็นว่าจิตนี้ฟู ฟูขึ้นมา ดีใจขึ้นมาจะเห็นจิตว่าดีใจ จิตนั้นนะคล้าย ๆ เต้นได้ ถ้ามีอะไรเข้ามาไม่พอใจจิตนั้นก็จะเต้นได้เหมือนกัน เต้นเร่า ๆ รู้สึก แล้วบางทีเมื่อจิตเราเจออะไรที่น่าดีใจ บางทีก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ หรืออย่างน้อยก็มีการยิ้มหรือหัวร่อ

ถ้าหากว่าเจออะไรที่ไม่พอใจหน้าจะบึ้งแล้วก็จะแสดงออกมาเป็นคำว่าเขาหรืออะไรทันที ทำไมเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าสิ่งที่เข้ามากระทบจิตของเรา จิตของเรานั้นต้องมีปฏิกิริยา แล้วจะเห็นได้หากว่าเราตั้งใจจริง แต่ถ้าเราไม่ตั้งใจจริงก็จะไม่เห็น เมื่อไม่เห็นแล้วก็ผ่านไป ผ่านไปโดยที่ไร้ประโยชน์ แต่ถ้าเราเห็นจิตเรามีอาการอย่างไร ก็จะทราบ จะควบคุมได้ เมื่อควบคุมได้แล้วจะทำอะไรสักอย่าง จะมีผลที่สำเร็จดีแน่มากขึ้น มากกว่าเดิม เพราะว่าจะไม่ประสบอันตราย จะมีความปลอดภัยมากกว่า เราเรียกว่าไม่ประมาท..."

ป้านุช 15-12-2011 00:37

๓๓
คอมพิวเตอร์


"...แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ตั้งแต่อนุบาลขึ้นไปถึงขั้นประถมก็มีความรู้มาก
และความรู้มากนี้ก็ยังกลัวเหมือนกัน
เพราะว่าเมื่อมีความรู้มากก็มีวิชาการเท่านั้นเอง
แต่ว่าวิชาการนั้นเอามาใช้ทำอะไรก็ไม่ทราบ
เพราะว่าบางทีแม้ว่าความคิดในทางศีลธรรมจรรยาก็ไม่มี
เขาไม่สอนแล้วเพราะว่าเป็นวิชาการที่ไม่ใช่วิชา..."

ป้านุช 15-12-2011 00:52

"...ผู้ใหญ่เดี๋ยวนี้ที่ว่าอายุห้าสิบหกสิบ มองเด็กที่อายุสัก ๑๐ ขวบในปัจจุบันนี้ โดยมากมองดูแล้วก็ร้องโอ้โฮ เพราะว่าที่เขาเรียนในโรงเรียนอายุไม่ถึง ๑๐ ขวบนี้ เขาเรียนมากเหลือเกิน ทำไมต้องเรียนมาก ก็เพราะว่าบรรพบุรุษแล้วก็ผู้ที่มาก่อนได้สะสมความรู้มากเหลือเกิน จนกระทั่งจะต้องถ่ายทอดให้แก่ลูกหลานมากมาย มิฉะนั้นลูกหลานพวกนั้นก็จะกลายเป็นคนที่ล้าสมัย

อันนี้เขาคิดว่าอย่างนั้น เขาคิดว่าถ้าไม่มีความรู้พอก็ล้าสมัย อย่างปัจจุบันนี้เด็ก ๆ ถ้าไปจิ้มคอมพิวเตอร์ไม่เป็น ก็รู้สึกว่าค่อนข้างจะล้าสมัย เดี๋ยวนี้เด็ก ๆ อายุ ๑๐ ขวบเล่นคอมพิวเตอร์เป็น อย่างนี้ข้าพเจ้าเองก็รู้สึกว่ามีปมด้อยขึ้นมาว่าเล่นคอมพิวเตอร์ไม่เป็น

เมื่อต้นปีนี้เลยเริ่มเล่นคอมพิวเตอร์บ้างเหมือนกัน หาคอมพิวเตอร์มาเครื่องหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ปี ๒๙ ได้มา เอามาวางไว้เฉย ๆ ประมาณ ๒ เดือน เพราะว่าเอามาดูก่อน ความจริงมีคอมพิวเตอร์นี้มา ๒ ปี หรือ ๓ ปีก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่ากลัวมาก ไม่กล้าจะแตะต้อง จนกระทั่งลงท้ายถามทางหน่วยราชการว่า เขามีความจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือเปล่า เลยให้เขาไปโดยยังไม่ได้แตะต้องเลย..."

ป้านุช 16-12-2011 00:32

"...แต่ว่าคอมพิวเตอร์ที่ได้มาใหม่เมื่อก่อนต้นปีนี้ ก็หมายความว่าประมาณเดือนพฤศจิกายน ๒๙ ได้มาก็มองอยู่อย่างเกรงขาม เพราะไม่รู้มันเป็นอย่างไร คอมพิวเตอร์อันนี้ที่ขอมา ก็เพื่อที่จะมาเขียนโน้ตดนตรี เพราะว่าเคยไปถามที่ไหน ๆ ว่าคอมพิวเตอร์เขียนโน้ตดนตรีได้หรือเปล่า ส่วนมากเขาก็บอกว่าเขียนไม่ได้ หรือเขาต้องไปศึกษาถามที่ไหน คอมพิวเตอร์ใหญ่ ๆ บริษัทใหญ่ ๆ ก็ถามว่าเขาทำได้ไหม เขียนดนตรี เขาก็ตอบว่าต้องไปศึกษา เราก็กลัว เพราะว่าเขาศึกษาพวกบริษัทใหญ่ ๆ โก้ ๆ เก่ง ๆ เขาไม่สามารถที่จะทำ

แล้ววันหนึ่งก็มีคนหนึ่งเอาคอมพิวเตอร์มาให้ บอกว่าอันนี้เขียนดนตรีได้ก็เลยรับเอาไว้ ที่จริงรับเอาไว้เขาไม่ได้ให้ เพราะว่าไปซื้อมา ก็เงินของเราเอง เราซื้อเราก็ยังกลัว มองดูแล้วไม่รู้จะทำยังไง แต่ถึงตอนปีใหม่ ก่อนปีใหม่สักนิดหนึ่งก็เอาคอมพิวเตอร์ขึ้นไปตั้งในห้องทำงานแล้วก็จิ้มไป เขาบอกว่าเขียนหนังสือได้ เขียนรูปได้ ก็เริ่มลองเขียนหนังสือ ก็เขียนสำหรับอวยพรปีใหม่เป็นบัตร ส.ค.ส. แล้วก็เขียนไป ๆ เอ้อ...ออกมาได้ เขียนออกมาเป็นตัวได้ ก็แปลกดี..."

ป้านุช 17-12-2011 00:23

"...แต่เขียนไปเขียนมาเวลาปิดเครื่องมันก็หายไป ยังไม่รู้วิธีว่าเขาทำอย่างไร ต่อไปก็เขียนได้แล้วก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร สำหรับให้พิมพ์ออกมาเป็นตัวเพื่อที่จะส่งไปเป็น ส.ค.ส. เลยไม่สำเร็จ ปีใหม่ก็ผ่านไปไม่มีบัตร ส.ค.ส. เลยต้องเขียนด้วยเครื่องโทรพิมพ์ซึ่งชำนาญ ก็เขียน ส.ค.ส. ด้วยเครื่องโทรพิมพ์ แล้วก็ส่งไปตามสถานีต่าง ๆ เสร็จแล้วก็เอาที่เขียนโทรพิมพ์นี่มาอัดสำเนา แล้วก็ขยายสำเนา เลยเป็นบัตร ส.ค.ส. ใช้โทรพิมพ์เขียน

ตอนที่ไปเชียงใหม่ก็เอาตัวคอมพิวเตอร์นี้ไปด้วย ก็เริ่มกดคอมพิวเตอร์นี้จนเริ่มพอมีความรู้ ก็ไม่น้อยหน้าเด็ก ๆ เพราะว่าเดี๋ยวนี้หลานก็ตัวเล็ก ๆ นั่นนะเขาเริ่มสนใจคอมพิวเตอร์ ก็รู้สึกว่ากลัวว่าเดี๋ยวหลานเขามาถามว่าคอมพิวเตอร์มันเป็นอะไร เราจะไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าพอที่จะอธิบายได้ หมายความว่าเราเป็นผู้ใหญ่ เด็ก ๆ เขาสนใจในเรื่องวิทยาการก้าวหน้ามาก แม้จะอายุไม่เท่าไหร่ก็ต้องการมีความรู้

เพราะฉะนั้นโรงเรียนก็สอนแม้แต่เด็กเล็ก ๆ ตั้งแต่อนุบาลขึ้นไปถึงชั้นประถมก็มีความรู้มาก และความรู้มากนี้ก็ยังกลัวเหมือนกัน เพราะว่าเมื่อมีความรู้มากก็มีวิชาการเท่านั้นเอง แต่ว่าวิชาการนั้นเอามาใช้ทำอะไรก็ไม่ทราบ เพราะว่าบางทีแม้ว่าความคิดในทางศีลธรรมจรรยาก็ไม่มี เขาไม่สอนแล้วเพราะว่าเป็นวิชาการที่ไม่ใช่วิชา..."

ป้านุช 17-12-2011 22:47

"...แต่ในเวลาเดียวกันคำว่าศีลธรรมจรรยานี่เป็นตัวอย่างคือหมายความว่าวิธีคิดที่ถูกต้อง ถูกตรง ขอให้ฝึกไว้ด้วย ถ้าฝึกวิธีคิดที่ถูกตรงที่มีศีลธรรมแล้ว แต่ละคนจะสามารถศึกษาได้สำเร็จแน่นอน ได้ดีเมื่อสำเร็จหรือก่อนสำเร็จด้วยซ้ำ

สามารถที่จะใช้ความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรียนมาเป็นประโยชน์ได้ทันที เพราะว่าตัวเองได้ทำตัวอย่างที่ดีให้กับผู้ที่จะเป็นลูกศิษย์ก็ตาม ผู้ที่เป็นเพื่อนฝูงก็ตาม ผู้ที่แม้จะไม่ได้เป็นลูกศิษย์ไม่ได้เป็นเพื่อน คนทั่วไปจะดูตัวอย่างของนักศึกษาในการศึกษานี้ว่าเป็นคนที่ดี เป็นคนที่มีความรู้และเป็นคนที่มีคุณภาพ..."

ป้านุช 17-12-2011 22:54

๓๔
สัจวาจา


"...เวลาถูกเตือนว่าให้ทำดี ให้อยู่ในศีลในธรรมออกจะรำคาญ
แต่แท้จริงตามธรรมชาติหรือตามความเป็นจริง
ถ้าตั้งใจให้อยู่ในระเบียบหรือในหลัก
ย่อมมีความสำเร็จทุกอย่าง..."


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:15


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว