เก็บตกงานสืบชะตาอายุวัฒนมงคล ๘๓ ปี พระอธิการสิงห์ วิสุทฺโธ
พิธีสืบชะตาในวันนี้ มีพระเถระที่ท่านมาร่วมงานหลายรูปด้วยกัน อย่างเช่น หลวงพ่อพระครูสังฆรักษ์บุญส่ง อุปสโม วัดเขาแร่ ครูบาเหนือชัย โฆสิโต สำนักสงฆ์ถ้ำป่าอาชาทอง ท่านพระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธมฺโม ที่พักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร พระครูสังฆรักษ์พัสวัชร์ ฐิตสีโล สำนักปฏิบัติธรรมอนันต์บูรพาราม พระครูสันตจิตตานุกิจ วัดพระธาตุดอยกวางคำ พระครูปลัดธีร์นวัช ญาณสิทฺธิวาที วัดโลกโมฬี ตลอดจนพระเถรานุเถระอีกจำนวนมากด้วยกันที่ไม่ได้เอ่ยนามถึง
ส่วนคณะญาติโยมก็มีมาจากทั้งที่ไกลและที่ใกล้ โดยเฉพาะจำนวนมากด้วยกันที่เดินทางมาจากภาคอีสาน จากภาคตะวันออก จากภาคกลาง แต่ภาคกลางของพวกเราเป็นภาคใต้ของลำพูน ...(หัวเราะ)... ขออนุโมทนากับกำลังใจอันเป็นบุญกุศลของทุกท่าน สิ่งที่ท่านร่วมบุญกุศลทุกอย่างกับอาตมาในวันนี้ ก็เท่ากับร่วมบุญกับตุ๊พ่อมหาสิงห์ในทีเดียวกัน สิ่งหนึ่งประการใดที่ตุ๊พ่อท่านได้สั่งได้สอน ได้แนะนำแก่พวกเรา ขอให้ทุกคนนำมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด เพราะว่าตุ๊พ่อท่านก็ได้ปรารภว่า ท่านเองนั้นอายุกาลผ่านวัยมามากแล้ว รอวันตายอยู่ทุกวัน เพียงแต่ว่าสำคัญตรงว่า จะวางกำลังใจอย่างไรให้ก่อนตายแล้วไปพระนิพพานได้ |
การทำบุญแสดงออกชัดถึงบารมี ก็คือกำลังของ ทาน ศีล ภาวนา ที่เราสั่งสมมาในอดีตจนถึงปัจจุบัน การที่เราทำอะไรช้า ตัดสินใจช้า แปลว่าบารมียังน้อย
การที่ทำอะไรประณีตขึ้น แต่ยังช้าอยู่ ก็แปลว่ายังสู้เขาไม่ได้ บุคคลที่มาถึงระดับปรมัตถบารมีแล้ว เป็นบุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคเพื่อผลจริง ๆ ทำอะไรจะเร็ว แต่ไม่ขาดความประณีต ไม่ขาดความเรียบร้อย เพราะว่ากำลังใจท่านรวบรัดแล้ว เหลือเป้าหมายสุดท้ายแห่งเดียวแล้ว |
วันนี้ตั้งแต่ช่วงเช้าของเรามา กิจกรรมแรกของเราก็คือบวงสรวงบูชาพระรัตนตรัย แล้วก็พุทธาภิเษกวัตถุมงคล วันนี้มีพิเศษก็คือระหว่างที่พระท่านสงเคราะห์อยู่ เห็นพญานาคตัวใหญ่สีขาวปลอด เลื้อยมาพันโบสถ์ไว้ ก็ถามท่านว่าเป็นใคร ท่านบอกว่า “ลูกน้องพระนารายณ์ครับ ผมชื่ออนันตนาคราช” ถามว่าแสดงออกอย่างนี้เพราะอะไร ท่านบอกว่าปีนี้ภัยทางน้ำมีมาก ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านใดที่ตั้งใจระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ ท่านจะช่วยให้ปลอดภัย ต่อให้ทรัพย์สินเสียหายขนาดไหนก็จะไม่เสียชีวิต
อันนี้ก็ลองไปคุยกับท่านเองแล้วกัน ว่าท่านจะทำได้แค่ไหน เพราะว่าบ้านเราระยะหลังนี้เป็นเรื่องแปลกมาก สถานที่แล้งก็แล้งแทบตาย สถานที่น้ำท่วมก็ท่วมกันปางตายเหมือนกัน เกิดจากการแปรปรวนของธาตุสี่ ที่น่ากลัวที่สุดก็คือประเทศญี่ปุ่น เพราะมีแนวโน้มว่าจะโดนลบออกจากแผนที่โลก อาตมาพูดได้แค่นี้ มากกว่านี้ก็ไม่ได้ |
ดังนั้น..สิ่งที่ญาติโยมทั้งหลายควรทำที่สุดคือ ทำอย่างไรให้กำลังใจของเรายังยึดมั่นในคุณพระศรีรัตนตรัย ถึงเวลาฉุกเฉินอะไรขึ้นมา ต่อให้ถึงแก่ชีวิตก็ต้องมีภพภูมิที่ดีเป็นที่ไป นั่นจึงเป็นเรื่องที่พวกเราทั้งหลายควรที่จะตรึกตรอง และขณะเดียวกันก็เร่งทำให้กำลังใจของเรามั่นคงให้ได้ อย่าให้ รัก โลภ โกรธ หลง เบียดเข้ามาในใจบ่อยนัก กระทบกระทั่งอะไร ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส อย่าให้เข้ามาในใจของเรา เพราะว่าถ้ายินดีก็เป็นราคะ ถ้ายินร้ายก็เป็นโทสะ ถือว่าแย่ทั้งคู่
ทำอย่างไรที่เราจะวางกำลังใจเป็นกลาง ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ โดยเฉพาะการที่มาสร้างบุญสร้างกุศล ต้องมาแบบคนมีปัญญา ทำอย่างไรที่เราจะทำบุญให้เร็วที่สุด ให้คล่องตัวที่สุด แล้วก็ไปนั่งอนุโมทนากับคนอื่นเขา อย่าให้การบุญการกุศลกลายเป็นบาป เพราะว่ากำลังใจไม่พอใจคนโน้น ไม่พอใจคนนี้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราทำเราได้ ไม่ใช่ว่าเราไม่พอใจแล้ว คนอื่นจะเป็นอะไรไปตามที่เราไม่พอใจ ถ้าหากว่าเราไม่พอใจ กำลังใจของเราเสีย ตายตอนนั้นเราก็ลงอบายภูมิ กว่าจะกลับขึ้นมาใหม่นี่นานเหลือเกิน |
ดังนั้น..หน้าที่ในแต่ละวันของเรา ต้องรักษากำลังใจของเราให้ผ่องใสให้มากที่สุด ๒๔ ชั่วโมงกำลังใจของเราต้องอยู่ในด้านดีมากกว่าด้านเสีย อย่าพยายามยินดียินร้ายกับสิ่งรอบข้าง ตั้งสติพิจารณาให้รอบคอบ อะไรที่ทำแล้วความดีเจริญขึ้น กาย วาจา ใจ เจริญขึ้น เราก็ทำสิ่งนั้น อะไรที่พิจารณาแล้วว่าทำไปแล้ว ของเราขาดทุน กาย วาจา ใจของเราเสื่อมทรามลง เราก็ละเว้น
จะว่าไปแล้ว เรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้นง่ายนิดเดียว แค่ดูใจของเราเอง ว่าใจของเรามีความดีอยู่หรือไม่ ? ถ้ายังไม่มีก็ทำให้มีขึ้นมา ถ้ามีแล้วก็ทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ใจของเรามีความชั่วอยู่หรือไม่ ? ถ้ามีก็ขับไล่ออกไป ระมัดระวังไว้อย่าให้เข้ามา หน้าที่เรามีแค่นี้เท่านั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วเราทำผิดหน้าที่ ไปยินดียินร้าย ไปปรุงไปแต่ง ไม่ได้ดูว่าความผิดเป็นของเรา แต่มักจะเห็นว่าความผิดเป็นของผู้อื่น ก็เลยทำให้เรามี กาย วาจา ใจ ที่บกพร่องอยู่เสมอ โอกาสที่จะพ้นทุกข์ได้ก็มีน้อย |
อย่าลืมว่าตุ๊พ่อท่านอายุ ๘๓ ปี อาตมาเองก็ย่าง ๖๒ ปีแล้ว นับวันมีแต่จะแก่ชราลงไปทุกวัน จะอยู่ให้ลูกหลานได้เห็นหน้าไปอีกนานเท่าไรก็ไม่รู้ ? พวกเราจึงต้องทำตัวเองให้แข็งแรง ต้องเดินได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่พึ่งพาแต่ครูบาอาจารย์ ให้คอยฉุดคอยดึง คอยรั้งคอยไล่ต้อนกัน สิ่งนั้นจะทำได้ต่อเมื่อครูบาอาจารย์ท่านยังแข็งแรงพอที่จะทำ ถ้าท่านแข็งแรงไม่พอขึ้นมา แล้วเราไม่พยายามทำด้วยตัวของเราเอง ก็แปลว่าท่านทั้งหลายอาจจะไม่ได้ความดีในส่วนที่ตนต้องการ
โดยเฉพาะพวกเราส่วนหนึ่งตั้งใจว่า ขอถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมาก..! ถามว่าทำไมถึงอันตรายมาก ? ก็เพราะว่าบุคคลที่จะไปพระนิพพานนั้น ต้องเห็นความทุกข์อย่างชัดเจน จนจิตใจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนความยินดีในร่างกายและโลกนี้ออกไปได้ ถึงจะหลุดพ้นไปพระนิพพาน คราวนี้ท่านตั้งใจจะไปพระนิพพาน แต่ กาย วาจา ใจ ไม่สมควรแก่การไป ท่านก็จะโดนบังคับ ในเมื่อไม่ยอมพิจารณาให้เห็นทุกข์ พ่อแม่ญาติพี่น้องข้างบนก็จะบังคับให้เราทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง ครอบครัวแตกแยกบ้าง ทรัพย์สินเงินทองเสียหายบ้าง จนกระทั่งบางทีเราทุกข์ เราเครียดจนอยากจะฆ่าตัวตายก็มี อันนั้นโทษท่านไม่ได้ เพราะเราตั้งใจว่าเราจะไปพระนิพพาน แต่เราไม่ยอมทำตัวเพื่อไปพระนิพพานอย่างแท้จริงเสียที |
แต่ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักพิจารณาให้เห็นว่า การเกิดมาในโลกนี้มีแต่ความทุกข์ ไม่ว่าจะการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ การได้สิ่งที่ตัวเองไม่รัก มีแต่ความทุกข์ทั้งสิ้น พยายามดูอยู่ทุกวัน ถ้าท่านทำอย่างนี้ เขากลัวว่าท่านจะหลุดพ้นไป คราวนี้ไม่ใช่เทวดาบังคับแล้ว คราวนี้มารจะบังคับ จะบังคับให้ร่ำรวยด้วยกามคุณ ๕ จะได้ไม่ไปพระนิพพาน
จะไปยากอะไร ถ้าเขาบังคับให้รวย เราก็รวยเสียให้พอ แต่เราต้องไม่ลืมเป้าหมายของเรา พอถึงเวลาสมมติเขาบอกว่า คนนี้ให้มีสักหมื่นล้าน จะได้ไม่ไปไหน เราก็มีสัก ๙ พันล้านก็พอ..! แล้วเราก็รีบไปพระนิพพาน ต้องรู้จักหักหลังเขาบ้าง อย่าเป็นคนดีจนเกินไป ...(หัวเราะ)... สิ่งที่อาตมาพูดนี้ไม่ใช่พูดเล่นนะ ถ้าเราไม่พิจารณาทุกข์ เราจะโดนบังคับให้ทุกข์ แต่ถ้าท่านรู้จักพิจารณาทุกข์ ทุกสิ่งทุกอย่างจะพลิกกลับ จากดินเป็นฟ้า อะไรที่เคยติดเคยขัด เคยไม่ได้อย่างใจ ก็จะได้อย่างใจหมด เพราะเท่ากับว่าเราเดินถูกทาง ไม่ต้องโดนบังคับแล้ว หนทางก็ปลอดโปร่ง เรื่องพวกนี้ไม่ค่อยมีใครบอกกับโยมหรอก เพราะว่าบอกไปแล้วตัวเองก็อาจจะโดนเสียเอง..! ดังนั้น..ก็อยู่ที่พวกเราจะเลือกทำ เราต้องดูว่าครูบาอาจารย์แต่ละท่านล่วงลับไปเรื่อย หลายคนปฏิบัติธรรมมาหลายสิบปี ยังไม่ได้อะไรเสียที ก็เพราะว่าอ่อนซ้อม ไม่พยายามมองให้เห็นความเป็นจริงว่า ร่างกายของเราก็ดี โลกนี้ก็ดี มีแต่ความทุกข์ทั้งสิ้น ในเมื่อทุกข์ยากลำบากแบบนี้ ถ้าเราไม่ต้องการเกิดอีก ก็ทำทุกอย่างเพื่อให้พ้นไป โดยตั้งเป้าไว้ที่พระนิพพาน |
คราวนี้การจะไปพระนิพพานนั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะว่ามีช่องกลางอยู่นิดเดียว เล็กกว่าปลายเข็ม เอียงซ้ายก็ออกไม่ได้ เอียงขวาก็ออกไม่ได้ ต้องไปตรง ๆ ไปให้พอดี ก็คือ ดีก็ไม่เกาะ ชั่วก็ไม่เกาะ อ้าว..แล้วอย่างนั้นจะทำดีไปเพื่ออะไร ? ทำดีเพื่อให้เรามีกำลังพอที่จะส่งตัวเองให้ไปได้ แต่ตอนที่จะไปต้องไม่ติดดี การติดดีเป็นการยึดเกาะที่ยิ่งใหญ่มาก เราบอกว่าจะไปกรุงเทพฯ แต่เรายืนกอดเสาอยู่ตรงนี้ เราก็ไปไหนไม่ได้ เราต้องปล่อยจากเสาตรงนี้ก่อนถึงจะไปได้
คราวนี้การที่เราจะปล่อยเรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้น ก็อาศัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง แทนที่เราจะยึดจะเกาะเสาต้นนี้ เราก็ไปยึดคุณพระรัตนตรัยแทน บาลีบอกว่า พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ธัมโม อัปปมาโณ คุณของพระธรรมประมาณไม่ได้ สังโฆ อัปปมาโณ คุณของพระสงฆ์ประมาณไม่ได้ ทำไมถึงประมาณไม่ได้ ? เพราะว่ากำลังที่ท่านดิ้นรนจนพ้นจากกิเลสนั้น มหาศาลจนประมาณไม่ได้ บุคคลที่พ้นไปด้วยกำลังใหญ่ขนาดนั้น จะช่วยใครก็เป็นเรื่องง่าย แต่ท่านมีสิทธิ์ช่วยได้แค่บอกทางเท่านั้น |
ญาติโยมลองนึกดูว่าถ้าเราเป็นองค์กรนาซ่า จะส่งจรวดออกไปสู่อวกาศ ต้องใช้ไฮโดรเจนเหลวเป็นตัน ๆ มูลค่าไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนล้าน ส่งออกไปเต็มที่เลย ไปอยู่ในอวกาศพ้นแรงดึงดูดของโลก...แต่ไปติดอยู่ในอวกาศ ถ้าสมมติว่าเราหาเชื้อเพลิงเพียงพออีก ก็ตั้งระบบบังคับด้วยคอมพิวเตอร์ สามารถที่จะขับเคลื่อนจรวดนั้นให้ไปต่อได้ จากที่ท่านติดอยู่ในระบบสุริยจักรวาลของโลกเราใบนี้ ของดวงอาทิตย์ดวงนี้ เราก็จะขับเคลื่อนตัวเองหลุดพ้นออกไปได้ แต่ไปติดอยู่ในกาแล็กซี่ทางช้างเผือก ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มดาวที่คล้ายกับระบบสุริยจักรวาลอีกนับไม่ถ้วน
สมมติว่าเราสามารถหาเชื้อเพลิงได้เพียงพออีก แม้ว่าต้องทุ่มเททรัพยากรสักเท่าไร ฟันฝ่ากันอย่างเต็มที่ หลุดจากกาแล็กซี่ทางช้างเผือกได้ ก็ไปติดอยู่ในเอกภพหรือ Universe ที่ฝรั่งเขาเรียก คราวนี้มีกาแล็กซี่นับไม่ถ้วนเลย กี่ชั้นเข้าไปแล้ว ? แต่ละชั้นนี่ลำบากขึ้นไปอีกเป็นร้อยเป็นพันเท่า หาพลังงานได้เพียงพอส่งตัวเองหลุดพ้นเอกภพไปได้ ก็จะไปติดอยู่แค่ชายขอบของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช ใครที่ได้มโนมยิทธิให้กำหนดจิตตามดูไปเป็นชั้น ๆ เราจะเห็นว่าพ้นจากขอบของเอกภพที่มีจักรวาลสารพัดสารเพนี้ ชายขอบก็คือสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชเท่านั้น พวกเราเองไม่ต้องลำบากขนาดนั้น เพราะเรารู้ว่าอะไรที่ให้พลังงานสูงมาก ก็คือ ทาน ศีล ภาวนา เราก็ตั้งใจให้ทาน ตั้งใจรักษาศีล แค่เบื้องต้นเราก็สามารถเหยียบชั้นจาตุมหาราชได้แล้ว ถ้าถวายสังฆทานเป็นปกติ ก็จะมีดาวดึงส์เป็นที่ไป ตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระ ก็มีชั้นยามาเป็นที่ไป ตั้งใจปฏิบัติเป็นพระโสดาบัน จะมีชั้นดุสิตเป็นที่ไป ตั้งใจสร้างอภิญญาห้าเกิดขึ้น มีชั้นนิมมานรดีเป็นที่ไป ไปเป็นชั้น ๆ แบบนี้ แต่ถ้าหากว่ากำลังใจของท่านยึดมั่น มั่นคงในสมาธิ ก็จะทะลุเลย คราวนี้ไปอยู่พรหมโลก สูงขึ้นไปอีกจนนับไม่ได้ ถ้าสามารถปลดความยินดีในโลกนี้ ในร่างกายของเรานี้ออกไปได้ ส่วนใหญ่ก็จะไปอยู่ที่สุทธาวาสพรหม ก็คือพรหมอนาคามีที่พร้อมจะตรัสรู้ หลุดจากนั้นไปถึงจะไปพระนิพพาน |
คราวนี้เห็นหรือยังว่าทำไมถึง พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้ ? ก็เพราะว่ากำลังที่จะดึงตัวเองพ้นวงโคจรแรงดึงดูดของโลก ของดวงดาวต่าง ๆ ของภพภูมิต่าง ๆ เป็นชั้น ๆ ขึ้นไปทั้ง ๓๑ ภพภูมิ แต่ละภพภูมิต้องรอการสั่งสมบารมีอย่างมหาศาล เวียนว่ายตายเกิดมาทุกข์ยากจนนับชาติไม่ถ้วน ถึงจะสามารถหลุดพ้นไปได้
ดังนั้น..กำลังของพระพุทธเจ้าท่านจึงมหาศาลชนิดที่ประมาณไม่ได้ เมื่อพระองค์ท่านไปแล้วก็ไม่ได้ทอดทิ้งพวกเรา พุทธบารมียังแผ่ไพศาลอยู่ทั่วทุกอณูรอบข้างของเรา กำลังใจของใครยึดเกาะตรงจุดไหนได้ ก็จะอาศัยดึงตัวเองให้หลุดพ้นไปตามลำดับกำลังใจของตน จนกระทั่งท้ายสุดก็จะมีพระนิพพานเป็นที่ไป ฉะนั้น..ขอให้ทุกคน ละชั่วทำดี..ละชั่วทำดี ไปเรื่อย จนกระทั่งท้ายสุดถ้ากำลังใจของเราเต็ม แม้แต่ดีก็ไม่เกาะ ทำดีเพราะรู้ว่าดีถึงทำ ละชั่วเพราะรู้ว่าชั่วถึงละ กำลังใจไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว ตรงกลางนั่นแหละคือพระนิพพาน อาตมาบอกทางให้หมดแล้ว ญาติโยมไปกันเองนะ..! พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. งานพิธีสืบชะตา ฉลองอายุวัฒนมงคล ๘๓ ปี ตุ๊พ่อพระมหาสิงห์ วิสุทฺโธ ณ ศาลาการเปรียญ วัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ วันอาทิตย์ที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย นายกระรอก) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:16 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.