เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๖ |
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพเพิ่งจะมีเวลาว่างไปรื้อบรรดาพัสดุและจดหมายต่าง ๆ ทำให้เห็นว่ามีโลชั่นบำรุงผิวจำนวนมากมายมหาศาลส่งมา เพียงพอที่จะเปิดร้านจำหน่ายได้เลย..! บางอย่างขวดหนึ่งก็ราคาเป็นพัน ๆ บาท
กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วก็เกิดอาการ "น้ำตาจิไหล...!" ไม่ใช่ปีติยินดีที่ญาติโยมทั้งหลายห่วงใยกระผม/อาตมภาพ หากแต่ว่าสงสารที่ญาติโยมทั้งหลายโง่จนเกินไป..! ฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนแล้ว แทนที่จะจับสาระอันเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติธรรมของตนเอง กลับไปจับเอาเรื่องที่ไร้สาระโดยสิ้นเชิง แล้วก็ช่วยกันส่งโลชั่นบำรุงผิวมาเพื่อให้กระผม/อาตมภาพได้ใช้งาน ทั้ง ๆ ที่ไม่มีโอกาสใช้อยู่แล้ว ส่งมาก็ไร้ประโยชน์ ได้แต่ส่งเข้าคลังพัสดุไป เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยของกระผม/อาตมภาพนั้น มีหมอจัดการดูแลเป็นปกติอยู่แล้ว ท่านทั้งหลายไม่จำเป็นที่จะต้องส่งยาหรือสิ่งของต่าง ๆ อะไรมา เพราะว่าข้าวของทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่กลายเป็นของส่วนกลางไปทั้งสิ้น เนื่องจากกระผม/อาตมภาพเป็นคนไม่สะสมอะไรเลย ประการหนึ่ง ประการที่สองก็คือ ในเนื้อหาของบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนั้น ตั้งใจจะให้ญาติโยมทั้งหลายฟังแล้วได้ประโยชน์เป็นอรรถเป็นธรรม แต่ญาติโยมทั้งหลาย บางทีก็ฟังแล้วผ่านหูไปเฉย ๆ ถ้าไม่ใช่เอาหลักธรรมมากรอกหูกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ ก็แทบจะหาประโยชน์จากรายการนี้ไม่เป็น จนกระผม/อาตมภาพคิดว่า ดูท่าจะต้องเลิกบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนเสียแล้ว เนื่องเพราะว่าเหล่าลูกศิษย์ล้วนแล้วแต่โง่จนสุนัขไม่รับประทาน..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าท่านทั้งหลายฟังธรรมแล้ว กลับไปค้นหาว่ากระผม/อาตมภาพทำอะไร ? เป็นอะไร ? แล้วก็ช่วยกันหาสิ่งของยัดเยียดมาให้ ซึ่งลักษณะการฟังแบบนี้ ภาษิตจีนเขาใช้คำว่า "ค้นหากระดูกจากในไข่" ซึ่งไม่มีทางที่จะได้กระดูกเลยแม้แต่น้อย..! |
กระผม/อาตมภาพจึงเลิกแปลกใจว่าเหตุใดพระภิกษุสามเณร แม่ชี ฆราวาส ตลอดจนกระทั่งบรรดาญาติโยมทั้งหลาย ฟังธรรมแล้วถึงไม่ได้อะไรเสียที ต่างจากสมัยพุทธกาลที่ฟังธรรมแล้วก็เป็นพระโสดาบันบ้าง เป็นพระอรหันต์บ้าง ท่านที่จะเป็นพระอนาคามีก็มีไม่มาก ท่านที่จะเป็นสกทาคามีก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปอีก ส่วนใหญ่ก็คือเป็นพระโสดาบันหรือพระอรหันต์ไปเลย เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้ที่สั่งสมบ่มเพาะปัญญาบารมีมาจนแก่กล้าแล้ว
ท่านทั้งหลายที่ฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนในปัจจุบันนี้ ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าตรัสถึงชาดก ซึ่งฟังแล้วก็คือเรื่องนิทานชัด ๆ แต่ว่าผู้ฟังก็บรรลุมรรคบรรลุผลไปตาม ๆ กัน ?? เมื่อองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่านิทาน โดยเฉพาะนิทานในอดีตชาติ ทำไมญาติโยมฟังแล้วได้มรรคได้ผล ? ก็เพราะว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นมีปัญญามาก เล็งเห็นว่าแม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังเวียนว่ายตายเกิดมานานนับอนันตชาติ ล้วนแล้วแต่พบกับความทุกข์ยากต่าง ๆ ตามเนื้อหาชาดกที่ทรงเล่ามา จึงทำให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นพิจารณาแล้วเห็นว่า อัจฉริยมนุษย์สุดประเสริฐอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังประกอบไปด้วยความทุกข์เห็นปานนี้ ตัวเราทั้งหลายที่เป็นปุถุชนธรรมดานั้น ไม่มีทางเลยที่จะไม่มีความทุกข์..! ในเมื่อร่างกายนี้ประกอบไปด้วยความทุกข์ ในเมื่อโลกนี้มีแต่ความทุกข์ยากเร่าร้อน เราก็ไม่ปรารถนาในการเกิดมามีร่างกายนี้อีก ไม่ปรารถนาที่จะเกิดมาในโลกที่ทุกข์ยากเร่าร้อนเช่นนี้อีก ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจึงถอนจิตจากการยึดการเกาะในร่างกายนี้ จากการยึดการเกาะในโลกนี้ ถอนออกมาได้น้อย ก็เป็นพระโสดาบัน ได้ปานกลางก็เป็นพระสกทาคามี ได้มากกว่านั้นก็เป็นพระอนาคามี ได้ถึงที่สุดก็เป็นพระอรหันต์ไปตาม ๆ กัน ญาติโยมทั้งหลายที่ฟังบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนก็เช่นกัน เมื่อฟังว่ากระผม/อาตมภาพต้องทำงานอย่างโน้นอย่างนี้ แทนที่จะคิดว่าหลวงพ่อก็ทุกข์ยาก ก็เหนื่อยยากแบบเดียวกับเรา ในเมื่อความทุกข์ยากมีอยู่ถ้วนทั่วทุกตัวคนเช่นนี้ เราก็ไม่พึงเกิดมามีร่างกายเช่นนี้อีก แต่ท่านทั้งหลายฟังแล้วกลับผ่านหูไปเฉย ๆ ได้ยินว่าหลวงพ่อเจ็บไข้ได้ป่วย แทนที่ท่านทั้งหลายจะรู้สึกว่าเราเองก็ประกอบไปด้วยความป่วยเช่นนี้เหมือนกัน |
ในเมื่อตัวหลวงพ่อก็เจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้ ตัวเราก็เจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าจะเกิดมาแล้วไม่พบกับความทุกข์ยาก คือความป่วยเช่นนี้ย่อมไม่มีเลย เราไม่พึงปรารถนาการเกิดมาเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้อีก แต่ท่านทั้งหลายก็ไม่คิด นอกจากไม่คิดแล้ว ยังเลยไปเฉย ๆ ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ไปควานหาในส่วนของทาน แทนที่จะเป็นในส่วนของศีล หรือว่าในส่วนของภาวนา
กระผม/อาตมภาพเองไม่มีเวลาที่จะมาค่อย ๆ ชี้แจงว่าสิ่งที่พูดไปนั้น ท่านต้องคิดอย่างไร ? ท่านต้องจับประเด็นอย่างไร ? จึงปล่อยให้เป็นไปตามปัญญาเฉพาะหน้าของแต่ละคน แล้วก็เกิดอาการ "น้ำตาจิไหล" ก็คือว่า ทำไมลูกศิษย์ของกูโง่ได้ใจขนาดนี้วะ..! จึงทำให้กระผม/อาตมภาพคิดว่า ถ้าหากว่าเสียเวลาเทศน์เสียงธรรมจากวัดท่าขนุนไปทุกวัน ๆ แล้วไม่ก่อเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย นอกจากทานบารมีเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ญาติโยมทั้งหลายถมมา จนกระผม/อาตมภาพเองก็ไม่รู้ว่าจะขนเอาไปทำอะไร ถ้าเช่นนั้นเราก็ไม่ควรที่จะเทศน์ต่อไปอีกแล้ว เพราะว่าหาประโยชน์แทบจะไม่ได้เอาเสียเลย เป็นต้น เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับครูบาอาจารย์ทั่วไป ถ้าหากว่าสอนแล้ว ลูกศิษย์สามารถเข้าใจได้ รับเอาความรู้ทั้งหลายนั้นไปได้ครบถ้วนสมบูรณ์ สามารถจดจำ นำไปพลิกแพลงใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็ย่อมมีความชื่นใจ มีกำลังใจที่จะสั่งสอนทุกคนต่อไป แต่ถ้าสอนไปเท่าไร ทุกท่านก็ได้แต่นั่งตาลอย จับประเด็นไม่ได้ว่าสอนเรื่องอะไร เนื้อหาหลักคืออะไร ? เนื้อหาย่อยคืออะไร ? อธิบายขยายความแล้วออกมาเป็นอย่างไร ? ถ้าเช่นนั้นเชื่อว่าครูบาอาจารย์ทุกท่านก็คงไม่มีอารมณ์ที่จะสอนต่อเช่นกัน |
กระผม/อาตมภาพนึกถึงตอนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อพิจารณาแล้วว่า หลักธรรมที่พระองค์ท่านตรัสรู้นั้นช่างลึกซึ้งยิ่งนัก จึงเกิดความขวนขวายน้อย ก็คือไม่คิดที่จะสอน เพราะไม่แน่ใจเลยว่าจะมีใครรู้ทั่วถึงธรรมนั้นหรือไม่ ?!
ตอนนี้กระผม/อาตมภาพก็น่าจะอยู่ในอารมณ์ประมาณนี้เช่นกัน สอนไปเท่าไร บรรดาลูกศิษย์แทนที่จะได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ ก็ได้ไปแค่สะเก็ด ได้ไปแค่กระพี้ ไม่มีทางที่จะเข้าถึงเนื้อไม้ หรือว่าแก่นไม้ได้เลย เห็นแล้วก็รู้สึกว่าเหนื่อยใจ ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่คิดจะไป "เสาะหากระดูกจากไข่" กรุณาเสาะหาให้น้อยลง แล้วพยายามที่จะเสาะหาแก่นสารจากไข่ ซึ่งน่าจะเป็นเพชรเป็นพลอยมากกว่า ขึ้นอยู่กับปัญญาของท่านทั้งหลายว่า จะสามารถเสาะหาได้หรือไม่ ? ทุกวันนี้ กระผม/อาตมภาพไม่ได้แปลกใจว่าทำไมพระพุทธศาสนาของเราถึงได้เรียวปลายลงไปทุกที ก็เพราะว่าพวกเราขาดการฝึกฝนอบรมตนเอง เป็นผู้ที่ขาดความขยัน พากเพียร อดทน ตลอดจนกระทั่งขาดปัญญาที่จะพินิจพิจารณาว่า สิ่งใดเป็นสาระเป็นแก่นสาร สิ่งใดเป็นเพียงสะเก็ด เป็นเพียงกระพี้ที่ควรจะทอดทิ้ง คว้าจับเอาแก่นสารแล้วไปประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่กอบโกยเอาไว้ทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็ไปภูมิใจ กลายเป็นแบกกิเลสอีกว่า "กูรู้มาก กูฟังคำสอนของหลวงพ่อมามาก ไม่มีใครที่รู้มากเท่ากูอีกแล้ว..!" ตลอดจนกระทั่งบางท่านที่ยังอุตส่าห์ไปอวดรู้ว่า คำสอนตรงนี้จึงเป็นสาระแก่นสาร คำสอนตรงนี้ไม่ใช่ อยู่ในลักษณะที่อวดโง่ ขยายความโง่ของตนเอง แล้วจะไปชักนำให้คนอื่นโง่ตามตนเองไปอีกด้วย..! เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพขอเวลาพินิจพิจารณาไปอีกระยะหนึ่ง ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายไม่รู้จักจับสาระแก่นสารจากบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนนี้ กระผม/อาตมภาพก็คงต้องหยุดการบันทึก เพราะว่าแต่ละวันต้องมาเสียเวลากับสิ่งที่ท่านทั้งหลายไม่ได้ประโยชน์ กระผม/อาตมภาพนำเอาเวลานั้นไปทำสิ่งอื่นที่เป็นประโยชน์ก็ดูจะเข้าท่ากว่า สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:58 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.