กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1482)

เถรี 07-01-2010 09:59

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๓
 
มีคนถามเกี่ยวกับเรื่องเจ้าที่เจ้าทาง พระอาจารย์เล็กได้ให้คำตอบแก่เขาไปว่า "ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ต่อให้ไม่ดีก็ทำให้ดีได้ เพราะว่าถ้าเรารู้จักเคารพนบไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ไปที่ไหนที่เขาบอกว่าไม่ดี ก็ย่อมดีได้

คุณเฉลิม คงทอง บ้านอยู่ดำเนินสะดวก ต้นตระกูลเขานับถือคริสต์ เปลี่ยนมานับถือพุทธเพราะว่าอยากซื้อบ้านหลังหนึ่ง ปรากฏว่าบ้านหลังนี้เสาตกน้ำมันทุกต้น ไม่มีใครสามารถเอาไปได้ ส่วนใหญ่พอจะซื้อ ขึ้นบ้านไปก็วิ่งหนีทุกราย คุณเฉลิมก็เลยมาถามหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้เอาดอกไม้ธูปเทียน น้ำมันหอม พวกผ้าสามสีหรือเจ็ดสี ใส่พานไป ตั้งใจว่า ท่านทั้งหลายที่อาศัยอยู่บ้านนั้น ขอเชิญไปอยู่ด้วยกัน แล้วจะให้ความเคารพนับถือท่าน ถ้ามีอะไรที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรง ให้บอกกล่าว จะทำให้ตามที่บอก เมื่อคุณเฉลิมจุดธูปบอกกล่าวเสร็จ ปรากฏว่า เดินขึ้นบ้านนี่แทบหงายหลัง ท่านเจ้าที่นั่งอยู่กลางเรือน ศีรษะท่านแทบจะค้ำหลังคา บอกว่า "ถ้าทำอย่างนี้อยู่ด้วยกันได้.."

คุณเฉลิมก็เลยขออนุญาตท่านถอนเสา ท่านบอกว่าแม้แต่เสาที่อยู่กลางลานก็ให้เอาไปด้วย เป็นเสาที่เขาตั้งทิ้งไว้เฉย ๆ ปรากฏว่าเสาที่ตั้งทิ้งไว้เฉย ๆ ก็ยังตกน้ำมัน พอปลูกไปแล้ว ท่านบอกว่าทุกวันพระให้บูชาท่านด้วยไข่ต้ม ๑ ฟอง กับน้ำเปล่าแก้วหนึ่ง อย่างอื่นไม่ขออะไรเลย เอาแค่ความเคารพเท่านั้น แล้วคุณเฉลิมก็ทำมาหากินขึ้น ท่านมาเข้าฝันบอกว่า ปีนี้ราคาอะไรดีให้ทำสิ่งนั้น แกก็เลยรวยเอา ๆ เพราะฉะนั้น...อะไรก็ตามไม่ว่าจะเป็นที่ เป็นบ้านที่มันไม่ดี เราสามารถทำให้ดีได้ แล้วที่โยมถามว่าที่ตรงนั้นดีไหม ต่อให้ไม่ดีเราก็ทำให้ดีได้

เมื่อเจอเหตุการณ์อย่างนี้เข้า คุณเฉลิมจึงหันมานับถือพุทธ ลูกหลานญาติโยมก็ตามมาถือพุทธด้วย..!"

เถรี 07-01-2010 15:08

มีคนนำพระหลวงปู่ดู่มาถวายหลวงพ่อเล็ก ท่านจึงกล่าวว่า "หลวงปู่ดู่ท่านเป็นพระบริสุทธิ์จริง ๆ ใครบอกว่าท่านจะมาเกิดใหม่ อาตมาไม่เชื่อว่ะ"

ถาม : ท่านนิพพานแล้วหรือครับ?
ตอบ : ไปนานแล้ว

เถรี 07-01-2010 15:09

ถาม : ในระหว่างมื้อนี่ ถ้าพระฉันของขบเคี้ยวได้หรือเปล่าครับ?
ตอบ : ไม่สมควร ของพระนี่เขาให้ฉันเป็นมื้อเป็นคราว บาลีว่า โภชเน มัตตัญญุตา

เถรี 07-01-2010 15:16

หลวงพ่อกล่าวถึงชาวท่าขนุนว่า "ปีใหม่ คนส่วนหนึ่งเขาไปเคาท์ดาวน์กัน ปีที่แล้วที่ซานติก้าผับ ตายไปไม่รู้เท่าไร แต่ละเทศกาลที่เป็นที่นิยมกัน คนก็ตายกันมาก ๆ ดูแล้วน่าสลดใจ แต่ขณะเดียวกัน คนอีกจำนวนหนึ่งเขาถือบุญเป็นใหญ่ ถึงเวลาวาระสำคัญก็ทำบุญไว้ก่อน

เมื่อวานที่วัดท่าขนุน กับข้าวกองเป็นภูเขาเลย บิณฑบาตแค่เช้าเดียวเท่านั้น วันนี้อาตมาหนีบิณฑบาตมา ให้พระครูหน่อย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสเขาพาพระไป เพราะว่าวันนี้เทศบาลเขาจัดงานตักบาตรพระ ๙๙ รูป เขาจัดแบบนี้ทุกวันขึ้นปีใหม่ ถ้าอาตมาอยู่ก็จะไปนั่งเป็นประธานบนแท่นคอยพรมน้ำมนต์ ไม่ได้ไปบิณฑบาตกับเขา พอดีปีใหม่ของปีนี้ตรงกับรับสังฆทานที่กรุงเทพฯ เลยไม่ได้ไป

ทางบ้านท่าขนุนก็มีทำบุญปีใหม่กลางหมู่บ้านทุกปี ลักษณะนี้ควรจะทำเพราะเป็นการแสดงออกซึ่งสามัคคีกัน เขาจะทำกับข้าวมาคนละอย่างสองอย่าง แล้วเอามารวม ๆ กัน ทั้งหมู่บ้านรวมแล้วกับข้าวเป็นร้อยอย่าง พระนั่งล้อมวงกัน เอื้อมตักแทบไม่ถึง เพราะวงมันใหญ่ ต้องส่งสลับกันไปสลับกันมา

อีกอย่างหนึ่งที่เห็นคนท่าขนุนเขาทำกันแล้ว รู้สึกว่าเขารักใคร่สามัคคีกันดี ก็คือ ปีที่แล้วเขาสร้างบ้านให้คุณยายคนหนึ่ง คุณยายคนนี้ไม่มีลูกไม่มีหลาน อยู่ตัวคนเดียวลำบาก อาศัยทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ แลกค่าอาหารไปวัน ๆ ชาวท่าขนุนก็ช่วยกันบริจาคคนละเล็กคนละน้อยร่วมกับเทศบาลตำบล สร้างบ้านใหม่ให้ยายหนึ่งหลัง แล้วก็นิมนต์พระไปขึ้นบ้านใหม่ รายจ่ายทั้งหมด นายกเทศมนตรีควักกระเป๋า ไม่ได้ใช้งบประมาณนะ ค่าทำบุญเลี้ยงพระ นายกเทศมนตรีควักกระเป๋าเอง ๒ ชุมชน ๕ หมู่บ้านรวมกัน เขารักใคร่กลมเกลียวกันมากเลย ถึงเวลามีอะไรก็ทำงานพร้อม ๆ กัน

อย่างของวัดท่าขนุน เวลาจัดงานวัฒนธรรมสายใยชุมชน แต่ละชุมชนเขาจะมีของดีมาอวดคนอื่นเขา ทั้งการแสดง งานฝีมือ จักสานหัตถกรรม ถ้าหากทุกหมู่บ้านทำอย่างนี้ได้ รับรองได้เลยว่าประเทศไทยเจริญกว่านี้อีกจนนับไม่ได้ เพราะเขารู้จักห่วงหาอาทรในลักษณะหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเลย เมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมหมู่บ้าน"

เถรี 12-01-2010 09:57

พระอาจารย์เล็กถามว่า "พระพุทธเจ้าประสูติใต้ต้นสาละที่ป่าลุมพินี มีคำถามว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงประสูติที่นั่น?"

ถาม : ถ้าตอบตามตำรา เพราะว่าเป็นระหว่างทางเดินบ้านเกิดฝ่ายหญิง
ตอบ : แล้วทำไมต้องกลับไปที่นั่น?

ถาม : เพราะเป็นประเพณีครับ
ตอบ : ปวดท้องจะคลอดลูกแล้วยังจะไปอีก? ถ้าเป็นประเพณีแสดงว่าทุกคนเวลาจะคลอดลูก ต้องกลับไปคลอดที่บ้าน แน่ใจหรือ?

ถาม : ไม่ค่อยแน่ใจครับ
ตอบ : ต้องเอาให้แน่ ถ้าเป็นขนบธรรมเนียมต้องแน่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่อะไรหรอก ที่สงสัยตรงนี้ก็คือ คนเขียนเขามั่วหรือเปล่า เนื่องจากตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ หนังสือเขาบอกว่าพระชายาประสูติพระโอรสแล้วในวัง แสดงว่าการกลับไปคลอดลูกที่บ้านเกิดฝ่ายหญิงไม่ใช่ธรรมเนียมแน่ ฉะนั้น...คุณต้องไปดูใหม่ในมหาปทานสูตร ยิ่งถ้าได้อ่านในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ยิ่งดี ในนั้นบอกว่า เป็นธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ต้องประสูติในป่า คราวนี้จบเลย ไม่ต้องไปสงสัยว่าทำไมพระราหุลจึงเกิดในวัง แต่ถ้าอธิบายว่าเป็นธรรมเนียมที่ลูกสาวต้องกลับไปคลอดที่บ้านก็เจ๊งเลย

เถรี 12-01-2010 10:12

พระอาจารย์ถามว่า "พระพุทธรูปมีหลายต่อหลายปางด้วยกัน มีอยู่ปางหนึ่ง เรียกว่าปางมารวิชัย รู้จักใช่ไหม?"

ถาม : รู้จักครับ
ตอบ : นับว่าเป็นพระพุทธรูปไหม?

ถาม : เป็นครับ
ตอบ : พวกเราเรียนพุทธประวัติมาแล้ว ว่าพระพุทธเจ้าชนะมารตั้งแต่ยังไม่ตรัสรู้ไม่ใช่หรือ ?

ถาม : อ้าว...ถ้าอย่างนั้นจะเรียกว่าเป็นพระพุทธรูปไม่ได้ เพราะตอนนั้นเจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องบอกว่าเป็นความคิดเห็นของคนสมัยหลัง ตั้งใจสร้างรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา และเห็นว่าการที่จะแสดงออกซึ่งพระบารมีที่ดีที่สุด ก็เป็นตอนที่ชนะมาร เมื่อสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาจึงได้เรียกว่าปางชนะมารหรือปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปแต่ชื่อมารวิชัย ไม่ได้หมายความว่าสร้างแทนตอนพระองค์ท่านชนะมาร ฉะนั้น...ปางนี้ก็นับว่าเป็นพระพุทธรูปอย่างแน่นอน

เถรี 12-01-2010 10:41

ถาม : วันนั้นไปวัดเบญจมบพิตรฯ เจอพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา ?
ตอบ : นั่นก็เรียกว่าพระพุทธรูป เพราะเขาสร้างแทนองค์ท่าน แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากบำเพ็ญเพียรก่อนที่จะตรัสรู้ ไม่ได้หมายความว่าสร้างแทนองค์ท่านก่อนตรัสรู้

ถาม : ก็คือ เป็นอนุสติแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อ่านมาเยอะนะครับ แต่ไม่ได้สังเกต ?
ตอบ : พวกคุณมักจะแค่อ่านเฉย ๆ

เถรี 12-01-2010 11:12

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยหลวงพ่อฤๅษีอยู่ที่วัดประยูรวงศ์ฯ ท่านเคยจ้างหมอไสยศาสตร์ไปทำน้ำมันพราย ท่านอยากรู้ว่า น้ำมันพรายเขาทำอย่างไรถึงมีผลจริง ก็คือ น้ำมันพรายที่มีผลจริงท่านเห็นมาหลายครั้งแล้ว เพราะคนที่โดนน้ำมันพรายป้ายจะหนีตามผู้ชายไปเลย แต่ท่านสงสัยว่าน้ำมันพรายเขาทำกันอย่างไร ท่านก็เที่ยวไปสืบถาม ในที่สุดก็ได้หมอคุณไสยฯที่มีความสามารถมา เขาคิดค่าแรง ๑๐ บาท สมัยนั้นค่าแรง ๑๐ บาท ก็แปลว่าประมาณ ๘,๐๐๐ บาทสมัยนี้

พอเขาหาศพมาได้ เขาก็ส่งข่าวนัดหลวงพ่อไป หลวงพ่อออกจากวัดตอนสองทุ่มกว่า ท่านเดินข้ามสะพานพุทธไปวัดดอน เขาบอกว่าต้องหาศพคนตายวันเสาร์เผาวันอังคารเพราะจะแรงมาก โดยเฉพาะเป็นศพผู้หญิงยิ่งดี ถ้าหากได้ผู้หญิงตายท้องกลมยิ่งดีใหญ่เลย แต่คราวนี้ถ้ารอตายท้องกลมมันหาไม่ได้ ก็เลยเอาที่ตายวันเสาร์หรือวันอังคาร สมัยก่อนเขาไม่ค่อยเผาศพ เขานิยมเก็บ อาจจะไว้ในโกดังหรือฝังฝากเอาไว้ก่อน ทำเครื่องหมายไว้ว่าศพอยู่ตรงนี้ หลวงพ่อท่านก็ไปกับเณรสององค์"


ถาม : เณรนี่ก็ใจถึงมากเลยนะ
ตอบ : ใจถึงมากเลย เกาะจีวรหลวงพ่อเป็นทาง

ท่านบอกว่าพอไปถึง เขาก็ล้อมสายสิญจน์ แล้วกำชับว่าท่านมหาฯ กับเณร ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ห้ามวิ่งเด็ดขาด ถ้าหากวิ่ง เขาไม่รับรองความปลอดภัย สถานเบาก็หัวโกร๋น สถานหนักคือตายเลย หลวงพ่อท่านก็คงไม่เท่าไรเพราะท่านตั้งใจไปดูอยู่แล้ว แต่เณรนี่ต้องคิดหนักหน่อย ท่านบอกว่าพอหมอเขาปลุกเสกไปสักพักหนึ่ง ดินฟ้าอากาศจากที่ธรรมดาก็กลายเป็นมืดดั่งพายุฝนจะมา แล้วศพก็ดันดินแตกขึ้นมา พอศพมันลุกขึ้นมานั่งได้ ตัวมันก็ใหญ่ขึ้น ๆ

หมอผีก็เสกคาถาไปเรื่อย ซัดข้าวสารไปเรื่อย จนกระทั่งมันหดเล็กลงมาเหลือตัวเท่าคนเหมือนเดิม แล้วหมอจึงเอาเทียนไปลนคาง ลนไปก็เสกคาถาไป ได้น้ำมันมาแค่ ๔-๕ หยดเอง ใส่ขวดปิดฝาเสร็จ ก็เสกคาถาสะกดให้ศพกลับลงไปในหลุมตามเดิม ท่านบอกว่าตอนนั้นถ้าเอาไม่อยู่ มันจะตามทวงตลอด แล้วหมอผีก็มอบน้ำมันพรายให้หลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็รับมา ช่วงขากลับก็ต่างคนต่างไป หมอผีรับค่าแรงก็ไป หลวงพ่อก็กลับไป

ท่านบอกว่าท่านเดินข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็โยนขวดน้ำมันพรายลงน้ำไปเลย ท่านแค่อยากรู้เท่านั้นว่าทำอย่างไร


ถาม : น้ำมันพรายนี้ผู้ชายเขาเอาไว้ใช้ ไม่ใช่หรือครับ?
ตอบ : ผู้หญิงก็ใช้ได้

ถาม : ผสมกับน้ำมันงาได้หรือเปล่าครับ จะได้เติมเท่าไหร่ก็ไม่หมด
ตอบ : เอาอย่างนี้ ถ้าใครอยากได้ก็ไปงมเอาในคลอง อาตมาหย่อนไว้ตรงนั้นขวดหนึ่ง ทิ้งเอาไว้เป็นสิบปีแล้ว ตอนนั้นโยมเขาเดือดร้อน เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะเอาอยู่หรือเปล่า เขาเลยเอามาฝากไว้ เราจะเห็นได้ว่า จริง ๆ แล้วหลวงพ่อท่านอยากรู้ทุกเรื่อง แต่ท่านลองแล้วก็เลิก อะไรที่รู้ว่ามีโทษก็ไม่ได้เอามาใช้งาน ทำเสร็จก็ทิ้ง

ถาม : จริง ๆ แล้วมีประโยชน์อะไร ?
ตอบ : ไม่มี..เพราะผู้หญิงที่โดนน้ำมันพราย จะอยู่ในลักษณะที่ว่าสติไม่สมบูรณ์ (บ้า ๆ บอ ๆ)

เถรี 12-01-2010 13:00

ถาม : ช่วงนี้มารเขาตามหนูอยู่เรื่อยค่ะ วัตถุมงคลเขาก็ทำให้หายตลอด หนูเอาวัตถุมงคลเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรแล้วหายไป พอหายไปก็จะไปเจออยู่ในที่ต่ำ ๆ อย่างไปอยู่ในกะละมังซักผ้าอย่างนี้ค่ะ
ตอบ : จะไปเดือดร้อนอะไร ก็เอาขึ้นมา ทำให้แห้งแล้วบูชาใหม่

ถาม : แล้วทำอย่างไรจะไม่ให้มารตามมารบกวนได้คะ?
ตอบ : เลิกเกิด..ถ้าไม่เกิดก็ไม่เจอ..!

เถรี 13-01-2010 14:04

พระอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังเกี่ยวกับพระในวัดท่าขนุนว่า "เคยเตือนแล้วว่า พระเณรถ้าไม่จำเป็นอย่าลากลับบ้าน ไปเมื่อไรจะเป็นส่วนเกินของสังคม ไม่ว่าจะเดินทาง จะกิน จะอยู่ ลำบากไปหมด โดยเฉพาะในตลาด ไม่จำเป็นอย่าเข้าไป เข้าไปแล้วเกะกะเขา ถ้าใครไม่รู้ว่าพระเกะกะอย่างไร ลองไปยืนดูแล้วจะรู้ คนหลีกให้เป็นทางเลย ทำให้โยมเขาเดือดร้อนเปล่า ๆ

ฉะนั้น...อะไรที่ห้ามแล้วยังทำ ก็แปลว่าไม่ฟังกัน ในเมื่อไม่ฟังก็ไม่ต้องอยู่ด้วยกัน พระในวัดก็เลยค่อนข้างจะอยู่กันอย่างอกสั่นขวัญแขวน รักษาตัวรอดได้เป็นดี รู้ว่าไม่รอดแน่ก็เลยรีบขอสึกก่อน"

เถรี 13-01-2010 14:40

ถาม : ถ้ากำลังทรงอารมณ์อยู่ แล้วรู้สึกว่าเบาสบาย ถ้าอารมณ์นั้นมันแน่นเกินไป มันนิ่ง มันจะแข็ง แต่ที่ผมเจอนี่มันเหมือนกลวง มันจะว่าแข็งก็ไม่แข็ง แต่ถ้าถามว่ามันเป็นอารมณ์ที่โปร่งสบายไหม มันโปร่งเบาครับ มันเหมือนกลวงข้างใน

ตอบ : อยู่ที่เราด้วย ถ้าเราไปยินดีในอารมณ์นั้น หรือไปใส่ใจอยู่ในอารมณ์นั้น โอกาสที่จะเข้าถึงที่สุดก็จะยาก ถ้าเราไม่ยินดีไม่ใส่ใจ ทำตัวเป็นผู้ดูเฉย ๆ มันจะไปของมันเอง

เถรี 14-01-2010 08:07

ถาม : การปฏิบัติมันไปลงที่ตัวเห็นจิตในจิตค่ะ ต่อให้กิเลสมันกำเริบหรือแสดงอาการอะไร เราก็จะสักแต่ดูมัน อย่างนี้ใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ตามรู้เฉย ๆ อย่าไปเล่นกับมัน แล้วพอไม่มีคนเล่นกับมัน มันเบื่อเดี๋ยวมันไปเอง เราจะรู้เร็วขึ้น ๆ จนในที่สุดก็หมดอารมณ์เซ็งไปเอง

ถาม : มีคนถามหนูเหมือนกันว่า ถ้าเราแยกมาดูอย่างนี้ กิเลสในตรงส่วนนั้นที่มันกำเริบมันก็หยุดหายไปสิ แต่หนูก็บอกว่า ต่อให้หนูแยกมาดู ก็ยังเห็นกิเลสมันกำเริบอยู่ค่ะ
ตอบ : เป็นปกติอย่างนั้นของมัน แต่ทีนี้พอเราไม่ไปให้ความร่วมมือ มันก็ไปต่อไม่ได้ มันคึกได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวมันก็เหี่ยว

ถาม : ถ้าเป็นเมื่อก่อน ตัวเองจะรู้สึกทรมาน เพราะรู้สึกว่ามันเป็นอย่างเดียวกับเรา แต่จริง ๆ แล้วแม้กระทั่งกิเลสมันก็ไม่ใช่เรา
ตอบ : พอดูไปนาน ๆ แล้วจะเห็นชัด ว่าเป็นคนละส่วนกัน ในเมื่อคนละส่วนกัน เราก็ต้องควบคุมมัน ไม่ใช่ให้มันควบคุม พอท้ายสุดแล้วไม่ยุ่งกับมัน ทั้งเราและมันก็ไม่มีอะไร

เถรี 14-01-2010 10:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในหลวงท่านให้พระบรมราโชวาทแก่ผู้ที่รับพระราชทานสมเด็จจิตรลดาไปว่า ให้ปิดทองทางด้านหลัง คราวนี้ พ.ต.อ.วศิษฐ์ เดชกุญชร (ยศในขณะนั้น ) ท่านก็ทักท้วงว่า มัวแต่ปิดทองด้านหลังอยู่ เมื่อไรคนเขาจะรู้? ในหลวงทรงตรัสว่า ถ้าเราปิดได้มากพอ ทองก็จะล้นออกมาข้างหน้าเอง ก็เลยสำคัญที่ว่า เรารู้จักปิดทองให้มากพอไหม?"

เถรี 14-01-2010 11:17

ถาม : วิธีสร้างกำลังใจของพระโพธิสัตว์ สร้างอย่างไรครับ?
ตอบ : อ๋อ ไม่ต้องทำอย่างไร เกิดบ่อย ๆ เกิดมากเท่าไหร่กำลังใจจะค่อย ๆ เข้มแข็งไปเรื่อย

เถรี 14-01-2010 11:26

ถาม : การเกิดศาสนาของอิสลาม ที่เชื่อถือในพระเจ้า เป็นเพราะการเห็นอะไรบางอย่างของศาสดาด้วยหรือเปล่า?
ตอบ : ด้วย ตรงส่วนนั้นเลย เพราะคนเราส่วนใหญ่จะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์และอัศจรรย์ก่อน แล้วหลังจากนั้นปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติก็ตามมา

ถาม : พระเยซูแสดงปาฏิหาริย์ไม่กี่ครั้ง
ตอบ : ไม่กี่ครั้งซะเมื่อไร ขนมปังสามก้อนเลี้ยงคนทั้งเมือง คนเจ็บไข้ได้ป่วยมาแตะตัวก็หายจากโรค

ถาม : ทางคริสต์เขาจะเชื่อปาฏิหาริย์ของพระเจ้าเขามาก แต่ทางพุทธก็ยังมานั่งงงว่าปาฏิหาริย์จริงหรือเปล่า
ตอบ : ส่วนหนึ่งพยายามที่จะใช้ปัญญา แต่บังเอิญว่าเป็นโลกียปัญญา จึงได้บอกว่าถ้าไม่ประกอบด้วยตถาคตโพธิศรัทธา เรื่องอื่นก็จะไม่ตามมา เราต้องเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก่อน ว่าท่านรู้จริงเห็นจริง ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงสอนมโนมยิทธิแก่พวกเราก็เพื่อพิสูจน์ตรงจุดนี้ ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเป็นจริงตามนั้น

เถรี 14-01-2010 11:30

ถาม : การที่เราใช้ทิพจักขุญาณเพื่อพิสูจน์ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น มันก็เป็นไปได้ยาก แล้วการที่เราจะสอนคนที่อยู่ต่างศาสนา มันจะไม่เป็นการยากยิ่งกว่าหรือครับ?

ตอบ : ถ้าสามารถทำได้ การสอนคนจะไม่ใช่เรื่องยาก ที่สอนยากเพราะยังทำไม่ได้

เถรี 14-01-2010 11:41

ถาม : เวลาเราปฏิบัติตั้งใจรักษาศีล คำสอนของหลวงพ่อ ก็คือ ให้รักษาศีลยิ่งชีวิต แต่ว่าพอเวลาเราผิดพลาดไปแล้ว ก็คือกำลังใจต้องตัดทิ้งทันทีใช่ไหมครับ?
ตอบ : เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ตรงนั้นเลย

ถาม : ทีนี้มันจะหาจุดสมดุลไม่เจอ แต่ถ้าเราตัดทิ้งไปแบบไม่กังวล ก็เท่ากับว่าเราไม่..
ตอบ : ระมัดระวังของใหม่ อย่าไปจมปลักอยู่กับของเดิม เราต้องทำใจว่าโอกาสพลาดมันมี ในเมื่อพลาดแล้วอย่าเสียเวลาไปคร่ำครวญกับมัน เริ่มต้นทำใหม่เลย

เถรี 14-01-2010 11:43

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "สมัยเป็นฆราวาสแขวนพระแบบนี้เหมือนกัน ใช้กรอบสแตนเลสแบบนี้เหมือนกัน แต่ว่าหลังกรอบสเตนเลสมีแบงก์ ๕๐๐ พับอยู่ ๒ ใบ คือ ห้อยพระอย่างนี้คนเขาจะไม่สนใจ เพราะเห็นว่าไม่มีราคา สร้อยสเตนเลสเขาก็ไม่เอา กะว่าถ้าโดนล้วงกระเป๋าจนหมดเนื้อหมดตัว ต่อให้เราอยู่สุดเหนือสุดใต้ก็ยังกลับบ้านได้ สมัยนี้มีแบงก์พันแล้ว ใครจะเลียนแบบก็ไม่ว่านะ"

เถรี 14-01-2010 11:52

ถาม : ผมได้ไล่อ่านกระโถนข้างธรรมาสน์ ถ้าภาวนาคาถาสุปินานัง แล้วจะสามารถเห็นผีเห็นอะไรได้ โดยอาศัยกำลังแค่อุปจารสมาธิ กระผมก็ลองไปภาวนาดู ก็ไล่ไปฌานสามฌานสี่ แต่ทำไมไม่เห็น?
ตอบ : มันต้องเป็นฌานสี่แบบคล่องตัว หรือไม่ก็อุปจารสมาธิ เกินไม่ได้ ขาดไม่ได้ ต้องพอดี ๆ

ถาม : แล้วจะเห็นด้วยตาหรือครับ?
ตอบ : จะบอกว่าตาเนื้อก็ไม่ใช่ จะบอกว่าไม่ใช่ตาเนื้อมันก็เห็นชัด ๆ เพราะว่าตาเนื้อมันมองรอบตัวไม่ได้ แต่อันนี้เขามาทิศไหนเราจะเห็นหมด นั่งอยู่ตรงนี้ถ้าเขามาด้านหลังเราก็เห็นชัด ๆ

ถาม : เห็นด้วยใจก็เหมือนเห็นด้วยตาใช่ไหมครับ?
ตอบ : เหมือนอย่างกับเป็นตาสัปปะรด เห็นทุกทิศเลย บางทีนอนภาวนา แหงนมองฟ้าอยู่แท้ ๆ เขาทำอะไรอยู่ เรามองเห็นรอบบ้านเลย อันนั้นจะบอกว่าเห็นด้วยตามันก็ไม่ใช่ แต่มันเห็นชัด ๆ

เถรี 14-01-2010 11:56

ถาม : ผมเสียดายวิชาของหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่สองวิชา วิชาแรกก็คือ ที่หลวงพ่อเอาไปกอบโรคคนแล้วหาย อีกวิชาหนึ่งก็คือภาวนาแล้วให้คนที่หลับมาตื่นบนตัก
ตอบ : ระวังไว้..คนชื่อซ้ำกันมี ไปภาวนานึกหาน้องกบ เดี๋ยวจะเจอน้องกบยักษ์..!

ถาม : หลวงพ่อสอนเมื่อไรผมขอเรียนคนแรก
ตอบ : ตูไม่ได้เรียนวิชาพวกนี้ ไม่ชอบโดยสันดานเลย..!

เถรี 14-01-2010 12:03

ถาม : การให้ทานนี่ ที่สุดของจาคะ อยู่ตรงไหน?
ตอบ : ที่สุดของจาคะก็คือ แม้แต่ชีวิตก็สละได้เพื่อธรรม ประเภทเดียวกับยอมตายดีกว่าศีลขาด

ถาม : แล้วถ้าอย่างกลาง?
ตอบ : ถ้าหากว่าอย่างกลาง ก็ถอยลงมาหน่อยหนึ่ง ถ้าหากเพื่อธรรมะ เราสละทรัพย์ทั้งหมดได้

เถรี 14-01-2010 12:05

ถาม : ตัวอธิษฐานบารมี ถ้าเต็มนี่มันเป็นอย่างไรครับ?
ตอบ : ถ้าเต็มก็ไม่ต้องทำต่อ

ถาม : วิริยบารมีเต็ม เป็นอย่างไรครับ?
ตอบ : เป็นบุคคลที่ไม่ท้อถอยต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย คืออาการของวิริยบารมีที่เต็ม อาการของบุคคลที่ประสบความสำเร็จในทุกเรื่องที่ปรารถนา ก็คือ การที่อธิษฐานบารมีเต็ม

การที่บารมีทั้งสองตัวนี่จะเต็ม ก็แปลว่าอีก ๘ ตัวต้องเต็มด้วย แปลว่าถ้าไม่เป็นพระพุทธเจ้าไปเลย ก็ต้องเป็นพระอรหันต์ไปเลย

เถรี 14-01-2010 12:56

ถาม : เมื่อสัปดาห์ก่อนผมฝันว่า โดนกลั่นแกล้งด้วยอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ เขาตามแกล้งไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายฟ้าผ่าไล่เลย แล้วก็เจอหลวงพ่อฤๅษี ท่านบอกว่า อสุรกายที่อยู่ในที่พักอาศัย ต้องการความเคารพจากผม ให้ผมสร้างศาลให้ ผมก็สงสัยว่าศาลแบบไหน ในฝันหลวงพ่อท่านก็ตอบว่า ศาลแบบ ๖ เสา ผมก็โอ้โห...แบบเดียวกับอากาศเทวดาเลยหรือครับ แล้วผมก็ตื่นมา
ตอบ : รอฝันใหม่ คือ ถ้าเขามาทวงสัก ๘ - ๑๐ ครั้ง ค่อยแน่ใจ หรือไม่เดินไปไหนฟ้าผ่าจริง ๆ แล้วค่อยว่ากัน

ถาม : ทีนี้เขามาแทรกแซงเราจะทำอย่างไร?
ตอบ : ฝันก็คือฝัน อย่าเอาสาระกับมันมากนัก ถ้าฝันดีเก็บเอาไว้เป็นกำลังใจ ฝันไม่ดีลืมทิ้งไปตรงนั้นแหละ โบราณเขาให้ล้างหน้า แก้ฝันไปกับน้ำเลย

เถรี 14-01-2010 12:59

ถาม : ที่สุดของอภัยทานคืออะไรครับ?
ตอบ : แม้แต่ศัตรูที่เกลียดที่สุด ก็อภัยให้เขาได้

ถาม : แล้วถ้าอย่างกลาง?
ตอบ : ก็ที่เกลียดน้อยหน่อย

เถรี 14-01-2010 13:02

ถาม : ตอนนี้ท่านปู่ท่านย่ายังรักษาหน้าที่อยู่ หรือเข้านิพพานแล้วครับ ?
ตอบ : เหมือนเดิม ถ้าหากว่าเป็นคนทั่วไป ๆ ก็คือ เตรียมเก็บข้าวของ แต่ของท่านไม่มีอะไรให้เก็บ ท่านไปอยู่ตรงไหนก็สมบูรณ์ทุกที่ ไม่ต้องเสียเวลาเก็บ

เถรี 14-01-2010 13:05

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันก่อนทางระยอง บอกว่าเทวทัตมาเกิดแล้ว คนก็ตาลีตาเหลือกมาส่งข่าว อาตมาก็บอกว่า ขอบคุณที่บอกให้ทราบ แต่ถ้าเป็นเทวทัตที่ผมทราบ ยังอยู่ข้างล่างเลย"

เถรี 14-01-2010 13:49

ถาม : วิชาโสฬส หรือพิธีมงคลโสฬส จริง ๆ แล้วเป็นวิชาเกี่ยวกับอะไร?
ตอบ : โบราณ คำว่า โสฬส เขาแทนพรหมทั้ง ๑๖ ชั้น ซึ่งมาจากศาสนาพราหมณ์ เขาถือว่าสูงสุดสำหรับเขาแล้ว แต่ว่ามีที่มาในคัมภีร์ที่ ๔

พราหมณ์เขามีคัมภีร์อยู่ ๓ เล่ม เขาเรียกว่า ไตรเพทหรือไตรเวท ประกอบไปด้วย ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท ตอนหลังพัฒนาการเพิ่มขึ้นเป็น อาถรรพเวท เล่มที่ ๔ ขึ้นมา บรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่เขาเอามาใช้กัน กลายเป็นเรื่องขลัง เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ไป

จากที่อธิบายความเป็นมาเกี่ยวกับพระเจ้า จากพิธีการปฏิบัติตนให้เข้าถึงพระเจ้า จากการอธิบายพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ทำเพื่อพระเจ้า ก็เพิ่มเป็นพวกของศักดิ์สิทธิ์ พวกคาถาศักดิ์สิทธิ์อะไรพวกนี้ ในเมื่อพัฒนามาอย่างนี้ ของเราเองที่รับเอาศาสนาพราหมณ์มาแต่แรก ๆ แล้ว ก็เลยพลอยมีความเชื่อเช่นเดียวกันในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ แต่ของเราก็มาติดตรงที่ศาสนาพราหมณ์หรือบางคนเขาเห็นว่าศาสนาพุทธไปเหยียบย่ำพราหมณ์ ก็คือไปเห็นว่าพระเจ้าของเขาเป็นแค่คนรับใช้พระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง

อย่างเช่นบางพระสูตรจะบอกว่า สนังกุมารพรหมไปเฝ้าประตูให้พระพุทธเจ้า ท้าวสหัมบดีพรหมก็เปรียบดั่งทายก เพราะเป็นผู้อาราธนาพระพุทธเจ้าแสดงธรรม ต้องบอกว่าปัญญาดี แต่คิดสั้นไปหน่อย เขาคิดอยู่อย่างเดียวว่าเป็นการแก่งแย่งชิงดีทางศาสนา ต้องพยายามเหยียดศาสนาอื่นให้ด้อยลงเพื่อยกศาสนาของตนเองขึ้น โดยที่เขาไม่คิดว่าเป็นความจริงหรือเปล่า

จะว่าไปแล้วศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาที่ค่อนข้างจะรักสันติ เพราะว่าเขาเข้ามาในบ้านเมืองเรา ตามที่มีหลักฐาน ก็ตั้งแต่สมัยสุโขทัย และเข้าถึงพระเจ้าแผ่นดินมาตลอด เราจะเห็นว่าพระราชพิธีต่าง ๆ เป็นพิธีพราหมณ์ล้วน ๆ เราเพิ่งจะเอาพิธีพุทธแทรกไปเมื่อไม่นานนี้เอง ลองคิดดูว่าถ้าเป็นอีกศาสนาหนึ่งเข้าถึงได้ขนาดนั้น เราจะได้ผุดได้เกิดหรือเปล่า ?

แต่ศาสนาพราหมณ์กลับไม่ประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ศาสนา แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็ยังเข้าถึงพระเจ้าแผ่นดินอยู่ แต่มีศาสนิกชนไม่มาก แทบจะนับจำนวนได้ ทั้ง ๆ ที่บรรดาครูพราหมณ์ต่าง ๆ ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าแผ่นดินอย่างเป็นทางการเลย

เถรี 14-01-2010 13:53

ถาม : เป็นเพราะเนื้อหาแก่นสารของเขาหรือเปล่า ?
ตอบ : คาดว่าที่เป็นในเมืองไทย เพราะเราถือผีมาก่อน ในเมื่อถือผีมาก่อน พอไปนับถือศาสนาพราหมณ์ ก็เท่ากับว่าไปเหยียดความนับถือของตัวเอง แต่ละคนในใจลึก ๆ ก็ต้องละในฐานที่เข้าใจว่า ของเดิมดีกว่า แล้วศาสนาพราหมณ์ก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องนับถือศาสนาเขา อย่างศาสนาอื่นที่เข้าไปในอินเดีย ถ้าหากว่าใครไม่นับถือศาสนาของเขา ไม่มีโอกาสเจริญก้าวหน้าเลย จะโดนกดตลอด จนกว่าจะยอมไปถือศาสนาเขา จึงจะมีความก้าวหน้า ในเมื่อพราหมณ์เขาไม่ได้ดำเนินนโยบายแบบนี้ในบ้านของเรา เขาอยู่มา ๗๐๐ - ๘๐๐ ปีแล้ว แต่ศาสนิกยังมีไม่มากเท่าไหร่ คริสต์ยังมีมากกว่า

ถาม : แล้ววิชาโสฬส ?
ตอบ : ก็บอกแล้ว ว่าสืบเนื่องมาจากอาถรรพเวทของพราหมณ์ เมื่อศาสนาพุทธเริ่มถือเคล็ดลางทั้งหลายเหล่านี้ เอาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง อย่าลืมว่าหลวงปู่ หลวงพ่อทั้งหลายของเรา เริ่มมาจากไสยศาสตร์ร้อยละ ๙๐

ในเรื่องของการสวด เลขยันต์ต่าง ๆ เขาถือว่าเป็นส่วนของไสยศาสตร์ แต่ว่าครูบาอาจารย์ในสมัยโบราณท่านฉลาด ท่านเอาไสยศาสตร์เป็นพื้นฐานให้ก้าวถึงพุทธศาสตร์ ในเมื่อเป็นสิ่งที่ชวนให้ทำ ทำแล้วเกิดผลได้ง่าย ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำ ครูบาอาจารย์ก็ป้อนให้ไปเรื่อย กว่าจะรู้ก็ได้สมาธิระดับสูง ๆ กันหมดแล้ว ถึงเวลาก็แค่เลี้ยวกลับมายึดในพระรัตนตรัย ปฏิบัติตามอนุสติ ฝึกอสุภกรรมฐาน ๑๐ กสิณ ๑๐ ฯลฯ ก็กลายเป็นวางพื้นฐานเพื่อก้าวเข้ามาสู่พุทธศาสตร์

คราวนี้ในช่วงกำหนดแต่ละอย่าง ก็ยังต้องเชื่อถือตามความเชื่อเก่าของคนที่เขาเชื่อมาอย่างนั้น อย่างเช่นว่า โสฬสก็เชื่อว่าสูงสุด เป็นมงคลที่สุด ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้อีกแล้ว ก็กำหนดเป็นวิชาการขึ้นมา แต่ถ้าเราพิจารณาดูจะเห็นหัวใจคาถาที่มาจากพระไตรปิฎกแทบทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเรียกชื่อให้คนเขาเชื่อถือ ศรัทธา และยอมรับว่าเป็นของดี

ถาม : แล้วพระขรรค์โสฬสมีคุณวิเศษด้านใดบ้างครับ?
ตอบ : ราคาแพง ตรงนี้เด่นที่สุดเลย ไม่มีเด่นกว่านี้อีกแล้ว เด่นชัดมาก หมดทุกเว็บ ประมูลกันทันทีทันใด เราก็นึกว่าจะอยู่สักปีสองปี

เถรี 14-01-2010 14:47

ถาม : คนที่ได้อภิญญาแล้วไปรักษาคน เป็นการฝืนกฎแห่งกรรม แล้วต่างกับการรักษาคนทั่วไปอย่างไรครับ ?
ตอบ : เรื่องของอภิญญานั้น แม้หมอทั่ว ๆ ไปรักษาไม่ได้ แต่คนได้อภิญญารักษาได้ ต่างกันตรงนี้แหละ

ถาม : คนไปที่รักษากับคนที่ได้อภิญญา เวลาเขาต้องตรวจ นี่ต้องตรวจอะไรครับ ?
ตอบ : เขาทำยิ่งกว่าตรวจอีก ทำอะไรมาจึงเป็นอย่างนั้น ? วาระหมดหรือยัง ? ถ้าวาระยังไม่หมด ก็อย่าไปยุ่ง ไม่อย่างนั้นเราจะเดือดร้อนเอง

ถาม : ถ้าเราอธิษฐานกับพระพุทธเจ้า ขอให้ท่านช่วยรักษาเรา
ตอบ : อธิษฐานได้ แต่จะได้อย่างที่รักษาหรือเปล่า ค่อยว่ากันอีกที ส่วนใหญ่คนที่ได้อภิญญาเขาไม่ใช้ให้ตัวเองหรอก ที่ใช้ให้ตัวเองเพราะยังไม่รู้

ถาม : พระเยซู ท่านใช้กำลังอภิญญาช่วยเขาไปหมด วาระสุดท้ายต้องไปไถ่บาปให้เขา
ตอบ : ท่านไม่ได้คิดจะไถ่หรอก โดนบังคับให้ไถ่ เล่นเอาไปตอกตะปูเลย
เราก็ต้องยอมรับว่า ถ้าเราไปฝืนกฎของกรรม เราก็ต้องยอมรับผลด้วย ลูกปืนเขาเล็งมา แล้วเราไปยืนขวาง ก็เตรียมรับไว้ได้เลย ไม่โดนเขาก็โดนเราแน่

เถรี 14-01-2010 14:54

ถาม : การจับสัตว์ไปทำหมัน ก็เป็นกรรมอย่างหนึ่ง ตัวเราเองไม่อยากมีลูก แล้วไปทำหมัน จะเกิดเป็นกรรมไหมครับ ?
ตอบ : ไม่อยากมีลูก ? อย่าไปยุ่งกับเมียก็หมดเรื่อง

อะไรที่ฝืนธรรมชาติ ถ้าถามว่าผิดไหม ? ก็ผิดเหมือนกัน..ผิดธรรมชาติ จะว่าไปแล้วศาสนาพุทธของเราไม่มีบัญญัติอยู่ตรงจุดนี้ เพราะว่าศาสดาก็คือพระพุทธเจ้า สิ้นไปก่อนที่วิทยาการพวกนี้จะปรากฏขึ้น แต่ว่าสมัยก่อนวิทยาการแน่กว่านี้อีก

เขาสามารถแปลงเพศผู้หญิงให้เป็นผู้ชาย แปลงผู้ชายให้เป็นผู้หญิงได้ ในบาลีบอกไว้ชัดเลย เพราะเขาบอกว่าพระห้ามทำอย่างนั้น แต่คาทอลิกเขาห้ามนะ ถ้าหากว่าทำหมันเขาถือว่าบาป มาตอนหลัง พวกเขาจะขอทำแท้ง พวกคาทอลิกต้านชนฝาเลย ขนาดทำหมันยังโดนด่า ทำแท้งไม่แย่ไปใหญ่หรือ ? ฉะนั้น..วิธีที่ปลอดภัยที่สุด..อย่ายุ่งกับเมีย..! ไม่ต้องทำหมันด้วย...


ถาม : แต่ก็เป็นการฝืนธรรมชาติไม่ใช่หรือครับ?
ตอบ : หลวงพ่อพรหมวังโส ไปเทศน์ให้นักโทษในคุกฟัง ว่าเป็นพระต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ต้องตื่นตั้งแต่ตีห้า ต้องสวดมนต์ทำวัตร ต้องเดินไปขอข้าวเขากิน ต้องเดินจงกรมภาวนาเช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า ต้องอดทนอดกลั้นอารมณ์ทั้งปวง ข้าวก็กินได้แค่สองมื้อ สรุปว่านักโทษยกมือ "หลวงพ่อมาอยู่กับพวกผมเถอะ สบายกว่าเยอะเลย"

เถรี 14-01-2010 17:12

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้เป็นปีเสือดุ เป็นปีวิกฤตของในหลวง ทำบุญอะไรให้อุทิศถึงพระองค์ท่าน อุทิศถึงเทวดาที่รักษาพระองค์ท่าน ช่วยประคับประคองให้พระองค์ท่านอยู่ต่อไปอีกสักหน่อย แต่ก็ต้องแลกกัน ถ้าในหลวงอยู่ หลวงปู่หลวงพ่อจะไปเป็นลูกระนาดเลย..!"

ถาม : ไม่เป็นไร หลวงพี่อยู่ก็พอแล้ว
ตอบ : ตอนนี้หลายคนเขาก็เรียกหลวงพ่อแล้ว..!

เถรี 14-01-2010 18:39

ถาม : เวลาใส่เงินลงไปในนี้ แต่ไม่ได้ยกถังสังฆทานมา แต่ตั้งใจทำเป็นสังฆทาน ก็จัดว่าเป็นสังฆทานใช่ไหมครับ?
ตอบ : ความจริงตั้งใจทำอย่างนั้นได้กำลังใจจะสูงกว่า แต่ถ้าทำอย่างนั้นแล้วรู้สึกเหมือนไม่ได้ทำ ก็ให้ไปยกถังสังฆทานมา

เถรี 15-01-2010 06:53

ถาม : สมัยโบราณเขาบรรจุเจดีย์ เขานิยมใช้อะไรบ้างครับ?
ตอบ : ตามตำรา ส่วนใหญ่ที่บรรจุ อันดับแรก สิ่งของมีค่าต่าง ๆ ตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา อันดับที่สอง รูปเปรียบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อสืบพระศาสนา อันดับที่สาม ถ้าหาได้ เป็นสิ่งที่ต้องการสุด ๆ พระบรมสารีริกธาตุ สรุปแล้วหลัก ๆ มี ๓ อย่าง

เถรี 15-01-2010 06:55

ถาม : ที่พระอาจารย์ให้ผมท่องคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ ถ้าผมท่องอย่างนี้ทุกวัน ๑๐๘ จบ ผมจะไปนิพพานได้หรือเปล่าครับ?
ตอบ : มันขึ้นอยู่กับว่ากำลังใจของเรา ว่าละร่างกายได้ไหม? ถ้าละร่างกายได้ คาถาอะไรก็ไปนิพพานได้

ถาม : ตอนนี้ผมท่องคาถานี้ไปก่อนใช่ไหมครับ?
ตอบ : ก็ท่องไปสิ เพื่อประโยชน์ปัจจุบันของเรา ส่วนประโยชน์อนาคตหรือประโยชน์สูงสุดค่อยว่ากันอีกที ว่ามีความสามารถแค่ไหน จริง ๆ ไม่ได้ให้ไปท่องส่งเดชให้มันจบ ให้ไปภาวนา ภาวนานี่มันต้องกำหนดลมหายใจควบ ยิ่งทรงฌานได้ยิ่งดี ไม่ใช่ว่าสักแต่ท่อง ๆ ให้จบ

เถรี 15-01-2010 06:57

ถาม : คาถามงกุฎพระพุทธเจ้า ถ้าทำถึงที่สุด นาน ๆ เข้า แค่จับหนังสือก็ถือว่าอ่าน?
ตอบ : ลองเลย ไม่ต้องถาม อาตมาไม่เคยเสียเวลาถามหรอก เขาบอกมาอย่างไรก็ลองเลย

ถาม : ถึงที่สุดนี่คือฌาน ๔ คล่องตัวหรือครับ?
ตอบ : ถ้าทำถึงสมาบัติ ๘ ได้ก็เอา

เถรี 15-01-2010 07:01

ถาม : จิตกับอทิสมานกาย คือ ตัวเดียวกันหรือเปล่าครับ?
ตอบ : อย่างเดียวกัน มันขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการเห็นลักษณะไหน ถ้าเราต้องการดูสีของจิต จะเห็นเป็นลักษณะสีของดวงจิต แต่ถ้าเราต้องการเห็นของลักษณะกายภายใน ก็จะเห็นเป็นอทิสมานกาย

ถาม : แล้วอย่างพวกอรูปพรหม เราเห็นเป็นดวงจิตอย่างเดียว ทำไมไม่เห็นเป็นกาย?
ตอบ : ก็เขาไม่มีกาย อรูปแปลว่าไม่มีรูป แล้วจะเอาที่ไหนมา

ถาม : ไม่มีรูปเป็นเพราะว่าเขาไม่ต้องการให้มีรูปหรือครับ ?
ตอบ : เป็นผู้เห็นโทษในรูป ก็เลยละรูปเสีย แต่ดันเป็นการละที่ผิดวิธี

ถาม : เรียกว่าละเอาดื้อ ๆ เลยใช่ไหมครับ?
ตอบ : ปัญญาท่านน้อยไปหน่อย แต่จะบอกว่าน้อยก็ไม่ใช่ มากกว่าเรามหาศาลเลย แต่ท่านน้อยกว่าพระพุทธเจ้า ก็เลยละผิดวิธี

ถาม : แล้วว่าในพระอภิธรรมที่อธิบายว่าจิตมีลักษณะอย่างนี้ ๆ หลายแบบ
ตอบ : เชื่อได้ แต่ไม่จำเป็นต้องศึกษาก็ได้ เพราะว่าถ้าทำถึงจะเข้าใจเอง แต่ถ้ามัวไปท่องอยู่ว่า จิตโดยสภาพมี ๘๙ ดวง โดยพิสดารมี ๒๑ ดวง เดี๋ยวก็บ้า..! แล้วต้องไปหาว่าโลภะจิตมีกี่ดวง โทสะจิตมีกี่ดวง กามาวจรจิตมีกี่ดวง...ตายพอดี!

อาตมาไม่เคยท่อง...จำเอา มีพระอยู่รูปหนึ่งเรียนพระอภิธรรมอยู่ที่ชลบุรี บิณฑบาตในตลาดหนองมน โดนรถมอเตอร์ไซต์ชน ศีรษะฟาดพื้น สลบลงไป เป็นเจ้าชายนิทรา แต่ท่านท่องอภิธรรมอยู่ตลอด ทั้ง ๆ ที่สลบไสล ลักษณะนั้นตายแล้วเป็นพรหมแน่นอน คือ มันกลายเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในใจตนเองไปเลย ตอกย้ำตัวเองท่องอยู่ทุกวัน ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นเจ้าชายนิทราก็ท่องอภิธรรมไปด้วย


ถาม : ในเมื่อจิตเป็นของบริสุทธิ์ เมื่อจิตเกิดมาทำไมไม่ไปนิพพานเล่าครับ?
ตอบ : มันบริสุทธิ์แค่นั้น บริสุทธิ์ไม่พอจะไปนิพพาน คำว่าบริสุทธิ์ก็คือบริสุทธิ์แค่นั้น

เถรี 15-01-2010 07:16

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "พระอนุรุทธ พอขอขนมไม่มี จากพระมารดาแล้ว พระมารดาให้ถาดเปล่าไป เทวดาก็ต้องบันดาลขนมให้ เพราะว่าบุญของท่าน เกิดมาจะต้องมีทุกอย่าง พอบันดาลขนมทิพย์ให้ ท่านบอกว่าพอหยิบใส่ปาก รสชาติก็กำซาบซ่าน ไปตามประสาทรับรสทั้ง ๗,๐๐๐ เส้น แสดงว่าท่านแยกรสได้ละเอียดจริง ๆ เราก็มาสังเกตว่า ทำไมเรากินอะไรก็อร่อยไปทุกอย่างเลย? สงสัยว่าลักษณะนี้เหมือนกัน ว่าประสาทรับรสมันจะดีเกินชาวบ้านเขา

พอมาระยะหลัง ๆ เราสามารถบอกได้ว่ากับข้าวมีอะไรเป็นส่วนผสมบ้าง คิดว่านะ...คิดว่าท่านที่รับอาชีพผสมค็อกเทล หรือไม่ก็ชิมไวน์จะต้องมีประสาทรับรสแบบนี้ ไม่อย่างนั้นจะแยกรสไม่ออก

มีอยู่วันหนึ่งโยมนำข้าวต้มมาถวาย ใส่ปากปุ๊บก็บอกว่า "ตกลงว่าต้มน้ำให้เดือด แล้วเอาข้าวเย็นใส่ลงไปใช่ไหม?" เขาก็บอกว่าใช่ เขาหุงข้าวก่อน แล้วก็ต้มน้ำ ตักข้าวสวยใส่ ลิ้นเรามันแยกได้ขนาดนั้น เพราะรสชาติมันไม่เข้ากันระหว่างน้ำกับเนื้อ อันนี้ไม่ใช่ทิพจักขุญาณแน่นอนขอยืนยัน มันเป็นประสาทลิ้นธรรมดา"

ถาม : แล้วคนมีประสาทรับรสขนาดนี้ ไม่เป็นดาบสองคมหรือครับ?
ตอบ : ถ้าไม่ติดหนักไปเลย ก็อาจจะเบื่อไปเลย

ตอนที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดแรก ๆ มันเปิดที่โรงแรมอินทรา เราก็อยากกิน ก็ไปลอง เขาบอกว่าอาหารญี่ปุ่นวิเศษเลิศเลอนักหนา พอสั่งอาหารญี่ปุ่นมา เข็ดไปตลอดชาติเลย.. เราเทโชยุซีอิ๊วญี่ปุ่นลงไปเป็นถ้วย ๆ มันก็ยังแค่หวานปะแล่ม ๆ เท่านั้น จะว่าไปแล้วญี่ปุ่นเขากินอาหารสุขภาพ เพราะว่าเขาทานไม่จัด แต่สำหรับเราแล้ว รสชาติมันจืดชืดไม่เอาอ่าวเลย

อาตมาเป็นคนชอบลอง ลองแล้วรู้ก็เลิก ตอนที่หูฉลามดังนักดังหนา อาตมาก็ไปลองดู สมัยนั้นราคา ๖๐๐ บาทก็มีให้ กินเข้าไปแล้วไม่เห็นปีกมันจะงอกบินได้เลย

เถรี 15-01-2010 07:21

ถาม : การที่เรายังไม่พร้อมที่จะแนะนำธรรมะให้แก่คนทั่ว ๆ ไป อย่างนั้นถือว่าเป็นการขาดเมตตาหรือเปล่าครับ?
ตอบ : เมตตาได้ หาหนังสือ หาเทป หาซีดีที่เรามั่นใจให้เขาไปแทน

เถรี 15-01-2010 07:25

ถาม : ประเทศเรามีภิกษุณีได้หรือเปล่าครับ?
ตอบ : ประเทศไทย ต้องถามว่าคณะสงฆ์อะไร? ของเรามีทั้งมหานิกาย จีนนิกาย อนัมนิกาย ธรรมยุตินิกาย ถ้าว่ากันตามสายเถรวาทของเรามีไม่ได้ เพราะว่าขาดสายไปนานแล้ว ถ้าหากว่าอยากเป็นภิกษุณี บวชตามเถรวาทไม่ได้ แต่ทางสายมหายานเขาบอกว่ายังมีอยู่ ถ้าอยากเป็นจริง ๆ ก็ไปบวชทางสายมหายาน ได้รับการยอมรับบ้าง ถึงแม้ว่าในบ้านเราไม่ยอมรับ แต่ว่าไปร่วมสังฆกรรมกับบรรดาสายมหายานเขายังยอมรับ

ถาม : เถรวาทที่ศรีลังกา ยังมีภิกษุณีอยู่
ตอบ : ศรีลังกา เขาบวชแค่สามเณรี ไม่ใช่ภิกษุณี

ถาม : ทั้งที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ถ้าพระพุทธศาสนามีภิกษุณี จะทำให้พระพุทธศาสนามีอายุสั้นลงครึ่งหนึ่ง เขายังอยากจะบวชกันอีก
ตอบ : อยากมาก มันเป็นสักกายทิฏฐิตัวหนึ่ง คือ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในสภาพของฆราวาส ปฏิบัติแล้วบรรลุมรรคผลได้ง่ายกว่า แต่เขาอยากทำของยาก ถนนมีหลุมอยู่แค่ ๕ หลุม เดินเลี่ยงซ้ายเลี่ยงขวาก็พ้นแล้ว อยากจะเดินทาง ๓๑๑ หลุม ถ้าผ่านไปได้คงจะดัง

เถรี 15-01-2010 07:28

ถาม : พวกฤกษ์ยามต่าง ๆ นั้น หลวงพ่อเคยอธิบายว่า มันเกี่ยวกับการโคจรของดวงดาว แล้วการใส่เสื้อสีตามวันต่าง ๆ มันสามารถอธิบายให้เกี่ยวข้องกับทางหลักวิทยาศาสตร์ได้หรือเปล่าครับ ว่าทำไมมันถึงมีอิทธิพลดีขึ้น?
ตอบ : จิตเราจัดเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง ในเมื่อจิตมันมุ่งมั่นว่าทำอย่างนั้นแล้วดี มันก็เลยส่งผลให้ดีขึ้น

ถาม : เหมือนกับคนเชื่อดวง พอไปแก้ดวงทำนั่นทำนี่ แก้ฮวงจุ้ยสารพัด แล้วเขารู้สึกว่าดีขึ้นอย่างนั้นหรือครับ?
ตอบ : ถ้าทำจริง ๆ ก็มักจะรู้สึกไม่ดี เพราะหมดเงินเยอะ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:13


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว