กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=20)
-   -   กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวของมันเอง (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1235)

วาโยรัตนะ 28-10-2009 20:59

กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวของมันเอง
 
เรื่องราวที่จะเล่าสู่กันฟัง ให้พอเป็นประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน เขียนแบบไม่ได้ใช้สคริปต์,ไม่มีสแตนด์อิน,ไม่ได้ใช้สลิงก์,มีแต่คอยจะระวังว่า "จะสะกดคำผิดหรือไม่":onion_no: ส่วน"พระพุทธศาสนสุภาษิต" ที่ยกมานั้น เป็นข้อสอบตอนสอบ "นักธรรมตรี" วิชาแต่งกระทู้ธรรม ประจำปี ๒๕๕๒ รู้สึกประทับใจ และ อยากประกาศแจ้งบอกให้ทุกท่านทราบว่า

"กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา"
กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวของมันเอง


กาลเวลามันกินทั้งตัวกระผมเอง (โปรดจำเอาไว้ว่า ข้าพเจ้า"สึก"แล้ว) และ กินทุก ๆ ท่านในที่นี้ด้วย "เวลาคือชีวิต ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็จงปฏิบัติกันต่อไปจนตราบเข้าพระนิพพาน"

เพราะคำว่า “ ไม่มีเวลา-เวลาไม่พอ” มักเป็นคำกล่าวอ้างของคนที่มีภารกิจการงานหลากหลายสาขาอาชีพพูดกันบ่อย ๆ และคิดกล่าวว่า เวลาไม่พอกับงานที่ตนเองทำ” พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา แปลความหมายว่า กาลเวลาย่อมกลืนกินชีวิตของสรรพสัตว์โลกพร้อมด้วยตัวของมันเอง ไม่มีสัตว์ในโลกนี้แม้ผู้ใดเลยเรียกร้องเวลาที่หมดไปให้กลับคืนมาได้อีกทั้งที่เวลาจริง ๆ เลยมีเพียงแค่กลางวันและกลางคืนเท่านั้น

หวังอย่างยิ่งว่า เรื่องราวทั้งหมดนับจากนี้ไป คงจะเป็นประโยชน์ในลักษณะของการให้ใน "ธรรมทาน" แก่ท่านทั้งหลายไม่มากก็น้อย

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ (ป.ล. จาก ๑๙ มิ.ย. ถึง ๒๗ ต.ค. ๒๕๕๒):msn_smileys-15:

ใต้ร่มไม้ใหญ่ 28-10-2009 22:26

ผมขออนุโมทนาในกุศลที่ท่านได้ตั้งใจบวชด้วยนะครับ
เเต่สึกมาเเล้วก็ดี จะได้คุยกันง่าย ๆ หน่อย
ไม่ต้องใช้คำศัพท์ที่พูดกับพระ เเวะมารออ่านเรื่องของท่านด้วยใจจดจ่ออย่างยิ่ง

ลูกเจ้าคุณนรฯ 29-10-2009 06:43

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ (โพสต์ 23716)
เรื่องราวที่จะเล่าสู่กันฟัง ให้พอเป็นประสบการณ์ ในการปฏิบัติธรรม อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน เขียนแบบไม่ได้ใช้สคริปต์,ไม่มีสแตนด์อิน,ไม่ได้ใช้สลิง,มีแต่คอยจะระวังว่า "จะสะกดคำผิดหรือไม่":onion_no: ส่วน"พระพุทธศาสนสุภาษิต"ที่ยกมานั้น เป็นข้อสอบตอนสอบ "นักธรรมตรี" วิชาแต่งกระทู้ธรรม ประจำปี ๒๕๕๒ รู้สึกประทับใจ และ อยากประกาศแจ้งบอกให้ทุกท่านทราบว่า

"กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา"
กาลเวลา ย่อมกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเอง


กาลเวลามันกินทั้งตัวกระผมเอง (โปรดจำเอาไว้ว่า ข้าพเจ้า"สึก"แล้ว) และ กินทุก ๆ ท่านในที่นี้ด้วย "เวลาคือชีวิต ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็จงปฏิบัติกันต่อไปจนตราบเข้าพระนิพพาน"

เพราะ คำว่า “ ไม่มีเวลา-เวลาไม่พอ” มักเป็นคำกล่าวอ้างของคนที่มีภาระกิจการงานหลากหลายสาขาอาชีพพูดกันบ่อย ๆ และคิดกล่าวว่า เวลาไม่พอกับงานที่ตนเองทำ” พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา แปลความหมายว่า กาลเวลาย่อมกลืนกินชีวิตของสรรพสัตว์โลกพร้อมด้วยตัวของมันเอง ไม่มีสัตว์ในโลกนี้แม้ผู้ใดเลยเรียกร้องเวลาที่หมดไปให้กลับคืนมาได้อีกทั้งที่เวลาจริง ๆ เลยมีเพียงแค่กลางวันและกลางคืนเท่านั้น

หวังอย่างยิ่งว่า เรื่องราวทั้งหมดนับจากนี้ไป คงจะเป็นประโยชน์ในลักษณะของการให้ใน "ธรรมทาน" แก่ท่านทั้งหลายไม่มากก็น้อย

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ (ป.ล. จาก ๑๙ มิ.ย. ถึง ๒๗ ต.ค. ๒๕๕๒):msn_smileys-15:

ขอเชิญท่านพี่เล่าเรื่องเป็นแบบกลอนได้ไหมครับ

มีคนเรียกร้องมาก และจะได้อารมณ์กว่าเยอะ

แหะ ๆ ๆ

:onion_emoticons-18::onion_emoticons-18::onion_emoticons-18:

วาโยรัตนะ 29-10-2009 11:21

เอาละครับทุกท่านที่ตีตั๋ว "รออ่าน" บัดนี้ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว ขอประเดิมตอนแรกด้วย

๑."เมื่อข้าพเจ้าลาบวช"


๔ เดือนก่อนวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ หลังจากเริ่มทำงานกับบริษัทฝรั่ง ชนิดที่เรียกว่าทำแบบถวายชีวิต มีหลาย ๆ ปัจจัย ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน อาทิเช่น พระขรรค์โสฬสวัดท่าขนุน ร่วมบุญกฐินประจำปี ๒๕๕๒ ที่กระผมและคณะน้อง ๆ (คุณซัน,คุณนรินทร์,คุณต้อม,และ สมาชิกคนสุดท้าย คุณหม่อม ตลอดจนทีมที่ปรึกษา ทิดตู่,คุณอาคนเก่า,เถรี และอีกหลาย ๆ ท่าน) ร่วมแรงร่วมใจจัดสร้างถวายพระอาจารย์ ก็เป็นไปได้ด้วยดีจนต้องบอกว่า "เราทำอะไรทำด้วยใจบริสุทธิ์โดยขอบารมีพระรัตนตรัยและพระอาจารย์ท่านสงเคราะห์ อะไรก็สำเร็จ"

ลูกสาวคนเล็กก็คลอดได้เดือนเดียว เห็นว่าปลอดภัยแข็งแรง หากจะบวชทดแทนพระคุณพ่อ-แม่ ช่วงนี้เหมาะสมที่สุด หากลูกสาวโตขึ้นคงจะหาโอกาสบวชได้ยาก คนเรามันก็ห่วงกันไปตามเรื่องตามประสา
จึงปรึกษาคุณแม่และภรรยา ว่าจะขอลาบวช ๑ พรรษา เรื่องงานนั้นไม่ได้ลาบวช "ลาออกเลย" เพราะคิดว่าเราไม่เหมาะกับบริษัทนั้นเล่นเอาฝรั่ง "งง" (สะใจวัยรุ่นดีเหมือนกัน "ตูจะไปพระนิพพาน" ฝรั่งคงไม่ค่อยจะเข้าใจ เลยให้ออกแบบ "งง ๆ")

เมื่อทางสว่างแล้วเดินสะดวกเช่นนี้จึงตัดสินใจบวชในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ ที่วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง,หลวงปู่แช่ม) เพราะต้องการสงเคราะห์โยมแม่ ให้ท่านได้ทำบุญตักบาตรในช่วงเจ็ดวันก่อนเดินทางไปวัดท่าขนุน (เพราะเรื่องการเดินทางไกล ท่านชราภาพแล้วคงไม่สะดวกเท่าไหร่) เพื่อขอร่วมอยู่จำพรรษา ก่อนหน้านั้นได้โทรเรียนปรึกษาพระอาจารย์ดังนี้

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : กราบนมัสการพระอาจารย์ขอรับ กระผม "รัตน์" จากภูเก็ตขอรับ กระผมจะบวชที่ภูเก็ตแล้วขอไปจำพรรษากับพระอาจารย์ที่วัดท่าขนุนได้หรือไม่ขอรับพระอาจารย์

(เวลาโทรไปขอเรียนปรึกษาท่าน บรรยากาศมันช่างกดดันจริง ๆ ที่ต้องรายงานตัวก่อนนั้น เพราะกลัวท่านจำไม่ได้และเพื่อเป็นการไม่เสียเวลา กราบเรียนแจ้งท่านไปให้ชัดเจนเลยว่า อะไร,อย่างไร เพราะทุกวินาทีมีคุณค่า)

พระอาจารย์ : บวชเมื่อไหร่ ?

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : วันที่ ๑๙ มิถุนายนนี้ครับ ที่วัดฉลอง

พระอาจารย์ : บวชเข้ามาวันไหนก็ได้ แต่สำคัญวันสึกโน่น แล้วจะมาร่วมจำพรรษากี่รูปล่ะ เกิน ๕ รูป ไม่รับนะ...เลี้ยงไม่ไหว

(พระอาจารย์ท่านสอนว่า บวชเข้าวันไหนก็ได้ พระอาจารย์ท่านเคยสอนว่า เราจะหนีจากร้อนเข้ามาหาที่เย็นเข้ามาให้เร็วที่สุด ส่วนการจะออกจากที่เย็น คือสึกจากความเป็นพระนั้น ต้องถือฤกษ์ยามเป็นสำคัญ)

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : รูปเดียวครับ

พระอาจารย์ : เอาได้ ๆ ตั้งใจบวชล่ะ

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ขอรับ กราบขอบพระคุณขอรับพระอาจารย์

วาโยรัตนะ 29-10-2009 20:34

๒."แปลกที่-ผีไม่ดุ"

เมื่อมาถึงวัดท่าขนุน (วันที่ ๒๖ มิถุนายน) เห็นหลวงพ่อกำลังวุ่น ๆ เกี่ยวกับงานรับยันต์เกราะเพชร เข้าไปรายงานตัว พร้อมส่งเอกสารที่ทางวัดฉลองออกรับรองมาให้ งานนี้รู้ตัวก่อนหน้าแล้วว่าหลวงพ่อท่านให้อยู่ที่ "กุฏิแดง" (พวก รัก-ยม ส่งข้อความมาบอก ก๊ากกกกก ๆ )

แต่ยังโชคดีที่มีเพื่อนร่วมห้องคือ ท่านเก้า และ ท่านบอย (ตอนนั้นทั้งสองคนยังไม่บวชจะเรียกว่า "นาค" ก็ได้) งานนี้ก็ไม่ทราบว่าใครจะเป็นที่พึ่งให้ใคร พระพึ่งโยมหรือโยมพึ่งพระกันแน่? เพราะเรื่องของกุฏิแดงนั้นได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมานานแล้ว ว่า "ผีดุ"

ตอนหลวงพ่อท่านนำเดินขึ้นกุฏิ ท่านก็ก้มกราบลงกับพื้น พอถึงหน้าพระท่านก็กราบพระ เคยถามท่านว่า หลวงพ่อที่กุฏิแดงชั้นสองหลวงพ่อกราบอะไรครับ หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า "ผมกราบไปตามเรื่องตามราว" เพื่อความไม่ประมาท เราทั้งสามท่านจึงพากันกราบแทบทุกครั้งไม่ว่าจะขึ้นหรือจะลง "ความนอบน้อมเป็นสมบัติของคนกลัวผี แต่จะทำให้ผีกลัวหรือไม่นั้น..ผมไม่รู้" เซ็งอารมณ์ตรงที่ห้องน้ำมันอยู่ชั้นล่างนอกตัวกุฏิออกไปอีก ตกกลางคืนเล่นต้อง "ทนและทน" สุดท้ายทนอั้นไม่ไหว โรคนิ่วจะรับประทานเสียก่อน งานนี้มันต้องวัดดวงว่าจะเจอ "ท่านผี" ประจำกุฏิแดงไหม หากจะเรียก "นาค" ทั้งสองท่านให้ไปเป็นเพื่อน มันก็เสียภาพพจน์พระใหม่ไฟแรงหมด

จะลุกจะนั่งภาวนากันเอาไว้ก่อน คำภาวนามีเท่าไหร่เอามาใช้หมดแถมพระเครื่องหลวงพ่อก็พกกันชนิดที่ว่า ห่างตัวไม่ได้ เดินขึ้นเดินลงที่ไรมันเสียวสันหลังวูบ ๆ แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไปได้ด้วยดีจนได้ย้ายไปอยู่ "กุฏิเตชะไพบูลย์" ช่วงก่อนเข้าพรรษาเล็กน้อยนั้น พระใหม่ต่างคนก็ต่างยังกลัว ๆ อยู่ แถม "ทิดเอ" ผู้ชำนาญการเพราะบวชมาตั้งแต่สมัยก่อนมาเล่าเรื่องผีให้ฟังกันอีก

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : โยมเมื่อก่อนวัดท่าขนุนผีดุจริง ๆ หรือ โยมเคยเจอบ้างไหมตอนบวช

ทิดเอ : หลวงพี่..ยิ่งกว่าเจออีกครับ ขนาดผมนอนอ่านหนังสือในห้อง คิดว่าเณรที่ไหน มันไม่หลับไม่นอนเที่ยวเดินหน้ากุฏิสองคน แถมเดินคุยกันด้วย พอเลิกสนใจมัน อยู่ ๆ มันเข้ามาในกุฏิผมเลย ทั้ง ๆ ที่ประตูปิดอยู่ กลายเป็นผีผู้หญิงสองตน ผมต้องกระโดดถีบประตูกุฏิออกมา

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::3070242c:(หน้าซีดเล็กน้อย) แล้วแบบอื่น ๆ มีไหม

ทิดเอ : เจอกันบ่อยครับหลวงพี่สมัยนั้น ผมออกมานั่งนอกชานเพลิน ๆ พวกเล่นโผล่มา ตาจะหลุดซะข้างหนึ่ง พระสมัยนั้นก่อนเข้ากุฏิจะต้องท่องคาถาหว่านทรายทุกองค์ใครไม่ท่องมีโดน

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : แล้วตอนนั้นโยมพักกุฏิห้องไหนละ (จะได้ไม่แวะเวียนเดินผ่านไป)

ทิดเอ : ห้องที่หลวงพี่อยู่ตอนนี้นั้นแหละ

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :(หน้าที่ว่าซีด ตอนนี้มันยิ่งกว่าตอนนั้นอีก และแล้วความเงียบก็ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา ขนาดเสียงจิ้งจกร้องทักยังดังเข้าไปสู่ขั้วหัวใจเลย:3070242c:).........จริงหรือทิด? ขอตัว หลวงพี่ขอเข้าห้องก่อนนะ.... หลังจากนั้นไม่นานการเจรจาก็เริ่มขึ้น.....

" คุณผีทั้งหลายครับ หลวงพี่มาบวชหวังตั้งใจจะทดแทนคุณ "พ่อ-แม่" ก่อนบวชก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาเยอะ บุญก็ทำมาเยอะ ยินดีให้ทุกท่าน แต่ขอร้องอย่ามารบกวนกันหรือถ้าจะมาจริง ๆ ก็มาในฝันนะ มาแบบสวย ๆ ด้วยนะ หลวงพี่จะอุทิศบุญให้เต็มที่ บุญสร้างพระขรรค์โสฬสก็มีนะ บุญใหญ่ด้วยนะ ใครมารังแกหรือมาหยอก งานนี้อย่าหวังว่าหลวงพี่จะอุทิศบุญให้นะ ถ้าหลวงพี่เป็นอะไรไป รับรองจะตามล้างตามเช็ดให้ถึงที่สุด:baa60776::fea27916: ขอทุกท่านกรุณารับทราบและสงเคราะห์กันตามนี้นะ"............(บรรยากาศมันน่าขนลุกมาก)

หลวงตาชาติ อยู่อีกห้องหนึ่งข้าง ๆ ถึงกับตะโกนมาแถมหัวเราะว่า "เอาแบบนี้เลยหรือท่านรัตน์"

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w14.jpg

กาแฟ(ขาดไม่ได้)กับประคำทำด้วย "เมล็ดต้นมะค่าโมง" เก็บมาจากข้าง ๆ กุฏิหลวงพ่อ ในรูปนี้ตอนนั้นน้ำหนัก ๘๓ กิโลกรัม ตอนนี้เหลือ ๗๔ กิโลกรัม ตอนแรกไปปรับตัวเข้ากับอากาศไม่ค่อยได้เป็นภูมิแพ้ป่วยตลอด จนทนไม่ไหวตอนหลังทำวัตรเย็นเลยกราบเรียนหลวงพ่อว่า

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับไม่ทราบกระผมเป็นอะไรป่วยตลอด ขอเมตตาหลวงพ่อเคาะหัวให้ทีขอรับ

แล้วหลวงพ่อก็จารยันต์ด้วยมือที่หัวพร้อม ๆ กับหัวเราะแล้วพูดว่า "สงสัยไข้หวัดหมู"

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w13.jpg

ฉันกาแฟอย่างเป็นระเบียบที่"กุฏิเตชะไพบูลย์"

ลูกเจ้าคุณนรฯ 30-10-2009 05:45

ก่อนอื่นต้องขอโมทนากับพี่รัตน์ก่อน

และต้องขอสารภาพว่ากระผมจะติดตามกระทู้นี้จนกว่าจะสิ้นเดือน

เพราะจะเอาใบแดงที่พี่ได้ไปตีหวยครับ

คาดว่าคงได้เรื่องแน่นอน...แดงเดือด

คิก ๆ ๆ

วาโยรัตนะ 30-10-2009 08:32

๓."ผีไม่ดุจริงหรือ? (กุฏิแดงภาคสอง)"

เมื่อเริ่มปรับตัวได้กับสภาพของพื้นที่,ทั้งอาหารการกิน,การหลับการนอน,มีบ้างที่ฝันถึงสาว ๆ (ผีหรือเทวดาหรืออะไรก็แล้วแต่ถ้ามาแบบนี้....ค่อยยังชั่วหน่อย) สงสัยมาทดสอบกามราคะ พวกเล่นมาแบบนุ่งน้อยห่มน้อย เจอกันแทบทุกท่าน บางท่านเจอติด ๆ กันหลายคืนจนทนไม่ไหว มาเล่าสู่กันฟังเพื่อหาวิธีป้องกัน.......

"ท่านเอาจีวรนอนคลุมแทนผ้าห่มเลย รับรองมันเข้ามาไม่ได้หรอก ธงชัยพระอรหันต์" เสียงคำแนะนำลอยมาตามลมและแล้วคนที่นำไปใช้ก็คือ "หลวงพี่โยธิน (ทิดโย)" เพราะปกติท่านกลัวผีแบบขึ้นสมองและแล้วก็ได้บทสรุปตอนเช้า ด้วยหน้าตาที่อิดโรย ขอบตาคล้ำ เดินบิณฑบาตแทบไม่ไหว จะต้องขอหลบไปนอนจำวัดกับ "หลวงพี่ดอย" (พระสันติภพ) คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตาย

หลวงพี่โย :หลวงพี่ ขนาดผมนอนห่มจีวรแล้วกะว่าจะกันพวกนั้นได้ โธ่หลวงพี่..เมื่อคืนมันเล่นมาทีเดียวห้าตนเลย สวย ๆ ทั้งนั้น นางเอกหนังจีนแบบที่ผมชอบทั้งนั้น กระโดดหลบแทบไม่ทัน"

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ผมถามจริง ๆ นะ ท่านกระโดดหลบหรือกระโดดเข้าใส่กันแน่.....:msn_smilies-15:

ปกติทำวัตรเช้าตอน ๐๔.๐๐ น.เริ่มจากนั่งกรรมฐาน ๓๐ นาที แล้วเริ่มทำวัตรเช้า หลวงพ่อท่านจะนำสวดเสมอ พระ-เณร เองต้องตื่นก่อนเวลาเพื่อทำธุระส่วนตัว ใครขยันหน่อยก็ตื่นตั้งแต่ตีสอง หาที่สงบ ๆ ทำกรรมฐานหรือเดินจงกรมตามแต่สะดวกของแต่ละท่าน

ส่วนทำวัตรเย็นจะเริ่ม ๑๘.๑๕ น. เริ่มสวดมนต์ถวายหลวงปู่สายก่อน ถึงประมาณ ๑๘.๕๐ น. มีเวลาให้พระ-เณรทำธุระส่วนตัว ๑๐ นาที ก่อนเริ่มทำวัตรเย็นบนศาลา ๑๙.๐๐ น.หลังจากนั้นประมาณ เกือบ ๆ สองทุ่ม หากหลวงพ่อท่านมีเวลาก็จะสนทนาธรรม,ตอบถามปัญหาในเรื่องการปฏิบัติกับพระ-เณร หลังจากนั้นก็แยกย้ายกัน บ้างก็พักผ่อน บ้างก็หาที่สงบทำกรรมฐานกันต่อ เพราะ ๒๐.๐๐ น. จะเปิดเสียงตามสาย (ธรรมะ) ของหลวงพ่อฤๅษี เป็นตอน,ตอนละ ๓๐ นาที

พระ-เณรส่วนใหญ่ก็มักจะมีคู่หูในการปฏิบัติชนิดว่า ไปไหนไปกันเป็นคู่บ้าง ไปเดี่ยวบ้าง ผมเองก็มักจะไปทำกรรมฐานกับ "หลวงพี่ปราโมช" (หลวงพี่โมช) เสมอ ๆ

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :หลวงพี่เราไปทำกรรมฐานกันที่กุฏิแดงดีกว่าคืนนี้ แต่ผมขอแนะนำก่อนว่าต้องเคารพสถานที่มาก ๆ แบบสงบเสงี่ยมเจียมตัวสุด ๆ ไปเลยนะหลวงพี่

หลวงพี่โมช : แล้วแต่หลวงพี่นำ ผมตามอยู่แล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ภาพหลวงพี่ปราโมชกับเจ้าลูกเจี๊ยบทั้งเจ็ด

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w16.jpg

หลวงพี่ปราโมชกับเจ้าลูกเจี๊ยบที่หลวงพี่ท่านเฝ้าประคบดูแลตั้งแต่ยังเป็นไข่อยู่ในรัง ถือว่าเป็นโชคดีของเจ้าลูกเจี๊ยบพวกนี้ แต่สุดท้ายก็โดนสุนัขในวัดซึ่งจับมือใครดมไม่ได้(จับตีนหมาดมไม่ได้)ว่าเป็นเจ้าตัวไหน? กัดตายหมด ผมเองก็ได้แต่ปลอบใจท่านหลวงพี่โมชไปว่า

"หลวงพี่อย่างน้อยชาตินี้ก็เป็นชาติสุดท้ายที่พวกเขาเกิดเป็นเดรัจฉาน ตอนนี้เจ้าลูกเจี๊ยบทั้งหมดคงไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่าแล้วล่ะหลวงพี่ เพราะเขาจำภาพหลวงพี่ได้ จำภาพพระสงฆ์ที่คอยดูแลเอาใจใส่ค่อยเอาข้าวเปลือก เอาน้ำให้เขากินได้"

วาโยรัตนะ 30-10-2009 10:01

ในใจผมเองก็คิดว่ามีเพื่อนมาร่วมทำกรรมฐาน ไอ้ที่เรากลัว ๆ อยู่นั้นอย่างน้อยก็หารสอง....ถ้าเจอก็เจอทั้งคู่ เอาวะงานนี้ตายเป็นตาย ตบท้ายด้วย "หลวงพี่โมชเจออะไรอย่าวิ่งนะ เอาสงบ ๆ เข้าไว้" (ถ้าวิ่งก็รอผมด้วย)

หลังจากค่อย ๆ เดินขึ้นไปด้วยความเรียบร้อยเจียมตัว กราบตรงยกระดับ แล้วตรงไปหน้าโต๊ะหมู่บูชา ค่อย ๆ บรรจงเปิดไฟล์บรวงสรวงชุมนุมเทวดาของหลวงพ่อ ตามต่อด้วยสมาทานพระกรรมฐาน
บรรยากาศมันช่างชวนให้กลืนน้ำลายไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไหร่
แล้วก็ค่อยหลับตาลงเข้าสู่สมาธิภาวนา....สัมปจิตฉามิ ๆ ๆ ๆ ๆ
พิจารณาความเป็นไปว่า เกิด,แก่,เจ็บ,ตาย เป็นธรรมดาแต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือ อยู่ก็มีเสียงฝีเท้าคนเดินไปเดินมา บรรยากาศค่อย ๆ เย็นลง สักครู่อึดใจก็มีเสียงเหมือนอะไรกระโดดลงมาแล้วก็เดินผ่านไป....หลวงพี่ปราโมชจะเป็นอย่างไรอันนั้นผมไม่รู้ พระท่านบอกว่าห้ามไปสนใจจริยาของคนอื่น แต่ผมว่างานนี้ "เจอ" ของจริงเข้าแล้วก็เร่งภาวนา "เต็มสปีด" จนบรรยากาศค่อย ๆ สบายขึ้นมามีสุขในสมาธิจนถึงเวลาอันควรแล้วจึงค่อย ๆ กล่าวนำหลวงพี่ปราโมชให้ออกจากกรรมฐาน อุทิศส่วนกุศล จังหวะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนสายตาก็กวาดมองไปรอบ ๆ ..............ไม่เจออะไร กราบพระแล้วก็ค่อย ๆ เดินแบบรีบ ๆ เก็บอาการออกมา พอถึงชั้นล่างหน้า "กุฏิประจวบดี" บรรยากาศการสนทนาก็เริ่มขึ้น

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพี่เมื่อกี้ได้ยินเสียงอะไรไหม บนกุฏิตอนเราทำสมาธิ มันเหมือนเสียงคนเดินไปเดินมา แล้วมีเหมือนอะไรตกลงมา (หน้าตาคงจะซีด ๆ ตามเคย)

หลวงพี่ปราโมช : ได้ยินสิหลวงพี่ สงสัยหลวงพี่แอ๋วคงขึ้นไปเดินจงกรมกระมัง เพราะท่านอธิษฐานไม่นอนตอนกลางคืนตลอดพรรษานี้

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ผมว่าถ้าเป็นหลวงพี่แอ๋วก็ดีสิ กลัวมันจะไม่ใช่น่ะสิหลวงพี่ หลวงพี่พอจะทราบเรื่องราวของกุฏิแดงบ้างไหมละ?

หลวงพี่ปราโมช :เปล่า ไม่ทราบเลยครับ

กรรมของกระผมนึกว่าทราบแล้ว เห็นว่าไม่กลัวเลยชวนกันไปเป็นเพื่อน คงจะเป็นที่พึ่งของกระผมได้ งานนี้สรุปใครพึ่งใครกันแน่ ระหว่างเดินขึ้นบันไดกุฏิประจวบดีมองไปเห็นหลวงพี่แอ๋วท่านสนทนาธรรมกับ "หลวงพี่ขวัญชัย" (ครูบาขวัญชัย) อยู่พอดีงานนี้เลยได้สอบถามไปว่า

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพี่ ๆ เมื่อกี้หลวงพี่ไปเดินจงกรมบนกุฏิแดงมาหรือเปล่าครับ

หลวงพี่แอ๋ว : เปล่านี่,ผมก็คุยกับท่านขวัญชัยอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว..ไม่ได้ขึ้นไปเดินจงกรมเลย

งานนี้ผมและหลวงพี่ปราโมชต่างก็มองหน้ากันชนิดที่เรียกว่า "สายตาเป็นสื่อของหัวใจ" ห้องใครห้องมันกุฏิใครกุฏิมันนะหลวงพี่ เอาไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสจะไปแก้มืออีกครั้งที่กุฏิแดง แต่รออีกนานหน่อยกว่ากำลังใจมันจะฟิตเท่าเดิม....โดนงานนี้โดนเต็ม ๆ

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w15.jpg

กวาดทางออกเดินบิณฑบาต บรรยากาศเหมือนวัดป่า ผมแอบมาเดินจงกรมช่วงสาย ๆ อยู่บ่อย แสงแดดที่ลอดผ่านต้นไม้มากระทบพื้นดินเกิดเป็นบรรยายที่สวยงามตางามใจ.......คิดถึงวัดจริง ๆ

วาโยรัตนะ 30-10-2009 14:22

๔."อยากจะสึก อยากได้อภิญญา จะเอาอะไรกันแน่"

หลังจากกระวนกระวายใจว่าเหลืออีกไม่กี่วันก็จะเข้าพรรษาแล้ว งานนี้โดนกรอบของเวลา ๓ เดือนจะอยู่ได้หรือ โธ่มันนานนะ มันเล่นงานจนอยากจะสึก พระใหม่ต่างคนก็ต่างเก็บอารมณ์เหล่านี้เอาไว้ พยายามหาอะไรฆ่าเวลาทำกัน คุยกันบ้างจนคุยกันมากเกินไปไม่เป็นอันปฏิบัติ จนกระทั่งตัวกระผมเองแทบจะเดินไปขอ "สึก" กับหลวงพ่อวันละร้อยครั้ง เหตุการณ์ก็ดำเนินไปแบบนี้เรื่อย ๆ จนเวลาผ่านไปใกล้เข้าพรรษาไปทุกขณะ หลวงพ่อท่านคงทราบเพราะท่านมักจะกล่าวว่า

"พระบวชใหม่ พระใหม่มันก็มักอยากจะสึกวันละร้อยครั้งนั่นแหละ เมื่อก่อนผมเองก็เป็นแบบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาและธรรมชาติ"

มันก็ไม่ได้ทำให้กำลังใจของทุกท่านดีขึ้นเท่าไหร่ ต่างพยายามหาทางออกให้ตัวเองกันไป สุดท้ายหลวงพ่อก็สอนหลังจากทำวัตรเย็นว่า

"พวกคุณจำได้ไหมว่า วันแรกที่คุณบวชเข้ามากำลังใจของคุณมัน "ฮึกเหิม" ขนาดไหน?.... วันนี้ผมเห็นพวกคุณทำท่าจะตายกัน ผมขอบอกเลยว่า ไอ้ที่จะตายน่ะไม่ใช่พวกคุณหรอก "เจ้ากิเลส" ต่างหากมันกำลังจะตาย เพราะมันโดนกดด้วยศีล แล้วตีกรอบด้วยเวลาอีกตั้งสามเดือน มันเลยดิ้น ดิ้นทุกวิถีทางเพื่อจะให้มันรอด..............ในเมื่อมันจะตายแล้วพวกคุณไปสงสารมันทำไม สมาธิทำกันไว้ให้เยอะ ๆ จะได้มีแรงไปสู้กับเจ้ากิเลสมัน ถ้าฟุ้งมากก็หางานทำแล้วก็ภาวนาไปด้วยนั่นแหละเป็นการปฏิบัติทั้งนั้น ไอ้ประเภท เช้าเอน,เพลนอน,เที่ยงพักผ่อน,เย็นจำวัด,ดึก ๆ ตื่นขึ้นมาซัดม่าม่า เดี๋ยวก็ได้สึกกันหมด จำเอาไว้นะ เรามาเพื่อฝึกตน ญาติโยมเขารอบุญจากพวกเราอยู่ ไม่ว่าจะภพใดภูมิใดก็ตาม จำเอาไว้ บวชน้อยก็ให้เป็นเพชรที่มีค่ามีราคา ไม่ใช่แค่กำลังขี้หมาแบบนี้"

งานนี้นั่งเงียบคอตกกันเป็นแถว แต่ก็เชื่อในคำสอนของหลวงพ่อท่าน เอาวะตายเป็นตาย กิเลสตายไม่ใช่ตูจะตายปรับเปลี่ยนกำลังใจกันยกใหญ่,ฟิตกันซะเครื่องร้อนไปหมด......

ไอ้เรื่องที่กระผมมาบวช ก็หวังจะพิสูจน์กำลังของผ้าเหลืองว่า จะทำให้กำลังในการปฏิบัติสมาธิภาวนามันสูงขึ้นหรือไม่ เรื่องนี้เคยได้คุยกับ "ทิดตู่" อยู่บ่อย ๆ และแล้วมันก็เป็นจริง อยู่ ๆ มันก็มีนิมิตของกสิณไฟเข้ามา ประมาณว่าแค่จับเล่น ๆ แต่มันได้นิมิตในอุคหนิมิตมาจริง ๆคราวนี้ก็เที่ยวประกาศบอกสอนคนอื่นเขาไปทั่ว พอกลับมาทำเองคราวนี้มันเข้าอารมณ์นั้นไม่ได้ มารู้ความจริงจากหลวงพ่อว่า

"เรื่องของความเป็นทิพย์ที่ถ้าเรานำไปบอกคนอื่นทั้งหมด,ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้หรอก มันพูดได้เท่าที่ควรพูด ถ้าหากคุณบอกไปหมด อีกสามชาติคุณก็ไม่มีทางได้ฤทธิ์,ได้อภิญญาหรอก"
งานนี้เล่นเอาผมซึมไปเลย กำลังใจที่มันดีใจมันกลับเปลี่ยนเป็นอยากจะ "สึก" อีกครั้งงานนี้มันมากกว่าเดิมร้อยเท่าพันเท่า
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w17.jpg

จารพระขรรค์โสฬสทองเหลือง (หางานทำแก้ฟุ้งตามที่หลวงพ่อสั่ง) ของคณะแม่ชีชื่นที่นำเข้าพิธีโสฬส ให้บูชาที่วัดใครสนใจไปเช่าได้เลยครับ

วาโยรัตนะ 30-10-2009 14:38

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นรินทร์ (โพสต์ 23933)
ความฮึกเหิมก่อนบวชของท่านพี่ทิดรัตน์ครับ :onion_eiei:

๒๒ วันก่อนอุปสมบท -> http://www.watthakhanun.com/webboard...read.php?t=525

ตอนนั้นมันคึก แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วคึกไม่ออกนะ "ใครว่าบวชแล้วง่าย ๆ สบาย ๆ ขอเรียนเชิญครับ ที่วัดท่าขนุนแล้วคุณจะรู้ว่าชีวิตคุณมันเปลี่ยนไป :70bff581:"

วาโยรัตนะ 30-10-2009 15:03

๕."เมื่อฟ้าท่านเมตตา ภาค ๑"

หลังจากที่กระผมกำลังใจตกอย่างมาก เพราะเรื่องการรักษาอารมณ์และการยึดติดมากจนเกินไปว่าต้องได้แบบนั้นแบบนี้ ไม่ยอมปล่อยวาง อยู่ก็ได้รับความเมตตาเหมือนฟ้าประทานให้

หลวงพ่อ : ท่านรัตน์,ท่านปราโมช วันนี้ไม่ต้องบิณฑบาต ห่มดอง,พาดสังฆาฎิ ฉันเช้ากับผมที่โรงครัวตอนตีห้า แล้วเดินทางไปกับผมร่วม ๆ เจ็ดร้อยกว่ากิโลเมตร

คำสั่งแบบสายฟ้าแลบของหลวงพ่อผ่ากบาลของกระผมและหลวงพี่ปราโมชตอนจบทำวัตรเช้า เล่นเอาพระเพื่อนและกระผมงงกันไปตาม ๆ กัน สงสัยไปกรุงเทพฯ

ตอนฉันเช้าหลวงพ่อท่านเมตตาสอนอีกว่า

หลวงพ่อ : ผมสนิทแต่ไม่สนมกับพวกคุณ เพราะมันต้องมีเส้นวางเป็นกรอบเอาไว้ คุณจะเห็นว่าแม้แต่กับพวกโยมเองก็ตาม ผมจะวางตัวแบบนี้เสมอ ๆ ไม่อย่างนั้นจะเหลิงกัน
ไอ้ตรงทางเดินขึ้นมาจากสะพานแขวนตรงนั้นมันเป็น "ทางผีผ่าน" ทีแรกผมว่าจะสร้างกุฏีตรงนั้น แต่มาตัดสินใจว่าไม่สร้างดีกว่าไม่อยากจะเหนื่อยไปรบกับผี

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับแล้วถ้าเราจำเป็นต้องสร้างบ้านตรงทางผีผ่านละครับ ต้องทำอย่างไรครับ

หลวงพ่อ : ก็ต้องเก่งพอ ๆ กัน มันถึงจะพอสู้กันได้.....
อิ่มแล้ว พระใหม่ฉันข้าวกับผมน่ะไม่ค่อยจะอิ่มกันหรอก เพราะผมอิ่มก่อนเสมอ เอาตีห้ายี่สิบออกเดิน เข้าให้น้ำห้องท่าให้เรียบร้อยแล้วไปขึ้นรถที่หน้ากุฏิผม

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ และ หลวงพี่ปราโมช : ครับหลวงพ่อ

หลังจากนั้นรถก็ออกเดินทาง จะไปไหนพวกกระผมก็ยังไม่รู้เพราะไม่กล้าถามหลวงพ่อท่าน ท่านให้ไปเราก็ไป ดีใจได้นั่งใกล้ ๆ ท่านแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว....
ในรถก็ได้มีโอกาสสอบถามพระอาจารย์ชนิดแบบตัวต่อตัวเรื่องของนิมิตกสิน ท่านหัวเราะแล้วก็ตอบว่าให้ทำใหม่เดี๋ยวก็ได้ใหม่

หลังจากนั้นไม่นานกระผมและหลวงพี่ปราโมชก็ทราบว่า หลวงพ่อกำลังเดินทางไปวัดท่าซุงเพื่อไปกราบขอพรหลวงพ่อฤๅษี อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของท่านมาทุกปี จะก่อนหรือหลังวันเข้าพรรษาไปแล้วก็ตาม ถือว่าไปบอกกล่าวเรียนแจ้งครูบาอาจารย์ท่าน ตามแบบฉบับของหลวงพ่อเล็ก ไปถึงก็ตรงไปถวายสังฆทานชุดใหญ่ที่วิหารสมเด็จองค์ปฐม หลังจากนั้นก็เดินทางไปกราบพระศพหลวงพ่อฤๅษีที่วิหารร้อยเมตร พวกกระผมก็ได้อานิสงส์ในงานนี้ด้วย ถือเป็นตัวแทนพระใหม่ทั้งวัดมารายงานตัวต่อหลวงปู่หลวงพ่อ

พอเสร็จแวะฉันข้าวแล้วทำธุระเล็ก ๆ น้อย ๆ ของหลวงพ่อแล้วก็เดินทางกลับวัดท่าขนุนทันที

พอไปถึงพระเพื่อน ๆ รู้เข้าว่า กระผมและหลวงพี่ปราโมชไปวัดท่าซุงกับหลวงพ่อมา ก็พากันจิตตกกัน ต่างกล่าวว่าทำไมตัวเองไม่ได้ไปแบบนี้บ้าง ผมเองก็ได้แต่ปลอบใจว่า ท่านอย่าจิตตกไปเลย พวกผมเดินทางกันเหนื่อยนะ แล้วบุญที่ถวายสังฆทานหลวงพ่อก็ตั้งใจให้ทุกท่านเท่า ๆ กันขอท่าน ๆ จงโมทนาบุญนี้เทอญ

ถึงจะผ่านงานนั้นมา กำลังใจของผมก็ยังไม่ดีขึ้นเพราะยังไม่ยอมปล่อยวางแบบเดิม จนกระทั่งวันหนึ่ง กระผมโทรไปหา เพื่อนรุ่นน้องสอบถามถึงอีเมล์ตอบกลับของครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ซึ่งผมได้ส่งอีเมล์ไปหาท่าน เพื่อเรียนแจ้งท่านให้ทราบว่า กระผมลาบวชและขอพรจากท่านเอาไว้ให้มีความเจริญในทาน,ศีล,ภาวนา ให้เพื่อนรุ่นน้องตรวจสอบว่ามีอีเมล์ตอบกลับจากท่านมาหรือไม่? เผื่อจะเป็นประโยชน์อะไรกับตัวผมบ้าง

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w18.jpg

วาโยรัตนะ 30-10-2009 15:49

๖."เมื่อฟ้าประทาน ภาค ๒"
ฟ้าประทานครั้งแรกคือหลวงพ่อท่านเมตตาสั่งสอนและให้ข้อคิด ตลอดจนท่านเมตตาพาไปวัดท่าซุง
ฟ้าประทานครั้งที่สองคือ กระผมได้รับอีเมล์ตอบกลับมาจาก ครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพยิ่งอีกท่านถึงท่านจะอยู่ไกลแสนไกล ถึงแม้กระผมและท่านจะไม่เคยพบกันทางกายเนื้อ แต่ท่านก็ให้ความอนุเคราะห์กระผมเสมอมาในทุกเรื่องของการปฏิบัติ ท่านตอบมาดังนี้ว่า...(ให้โยมเพื่อนอ่านให้ฟังทางโทรศัพท์ แล้วกระผมก็จดเอาไว้อ่านเตือนใจตัวเองเสมอ ๆ )

"ถูกต้องแล้วโยม การจะเป็นพระดี...มันยาก วันนี้อาตมาอยากให้โยมใช้โอกาสที่ตัดสินใจละทางโลกนี้ให้เกิดประโยชน์
ศึกษาพระธรรมวินัย อย่าได้หวังฤทธิ์เดช หรือสิ่งใด ๆ ในพระพุทธศาสนาเลย หากทำไม่ได้ก็ให้สงบนิ่ง นิ่งและนิ่ง
ไหน ๆโยมก็เลือกเส้นทางนี้แล้วอาตมาก็อนุโมทนาแต่อยากให้ทำจริงจัง ไม่ใช่เพราะอยากเพียงอย่างเดียวความอยากมักให้โทษเสมอ

ชาติหนึ่งเราจะมีโอกาสไม่กี่ครั้งหรอกโยมที่จะได้บวช บางคนครั้งเดียวในชีวิตด้วยซ้ำที่ทำตามพ่อแม่
อาตมาจะเป็นกำลังใจให้อีกแรง

ทำทุกวันให้สุข...สุข....สุข

เจริญพร"


อ่านแล้วกระผมแทบจะร้องไห้ ท่านรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ ท่านให้กำลังใจและข้อคิดเสมอ ถึงเวลาแล้วกระมัง ถ้ากระผมเองจะยืนบนเส้นทาง
แห่งนี้ ต้องปรับกำลังใจใหม่อีกครั้ง จะมานั่งซึมแล้วอยากได้โน่นได้นี่ไม่ได้แล้ว ต้องลุยทำไปก่อน ถ้าทำ,ถ้าปฏิบัติโอกาสยังมี แต่ถ้ามานั่งแบบคนหมดอาลัยตายอยากแบบนี้มันได้เหมือนกัน คือ "แหกพรรษา" แน่นอน

เอาอีกฉบับหนึ่ง ถือว่ากระผมแถมให้ในฐานะที่เรา ๆ ท่าน ๆ เป็นนักปฏิบัติกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

"โยมรัตน์ อาตมาอยากให้โยมนิ่งให้มากกว่าที่เป็น ทุกอย่างไม่มีอะไรได้มาง่ายเหมือนปอกกล้วย เมื่อถึงเวลาอะไร ๆ จะเปิดทางให้โยมเอง หลายต่อหลายครั้งที่โยมก้าวเข้ามาเกือบถึงอาตมาแล้ว แต่ความอยากที่มากไปจนกลายเป็นกิเลสที่เป็นฉากกั้นอยู่ จงจำไว้ว่าจะหาอาตมาไม่ยากหรอก ละความอยากในใจออกให้หมด เมื่อเวลาและกุศลผลบุญอำนวยโยมทั้งสองจะได้พบอาตมาเองอย่าคิดมา "ทางลัด" เพราะมันจะมาไม่ถึงจริงและสิ่งที่เห็นมันจะเป็นแค่ภาพในใจที่โยมปรุงขึ้น

วันหนึ่ง ๔ ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกัน เมื่อทุกอย่างพร้อม

เจริญพร"

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w19.jpg

จากจุดชมวิว "เนินสวรรค์" เส้นทางไปคลิตี้

สณ.นิรนาม 30-10-2009 21:29

ดุ ๆ กันทั้งนั้นเลย แจกอย่างกับแจกทอง ทั้งแดงเหลืองปลิวว่อนไปหมด
สู้ ๆ ครับโยมรัตน์ ผมจะได้ช่วยแจก ฮ่า ๆ

วาโยรัตนะ 31-10-2009 08:29

๗."ความขยันกับขี้เกียจมันอยู่ใกล้กันนิดเดียว"

คืนหนึ่งก่อนทำวัตรเย็น มีกระดาษที่ข่าวใบเล็กพร้อมกับข้อความ
วางอยู่บนอาสนของหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านหยิบอ่านดู จึงประกาศบอกว่าเป็นบัตรสนเท่ห์เขียนไปสอบถามหลวงพ่อดังนี้ว่า

"๑.มีบางท่านบอกว่าเขาบวชมาไม่ใช่เพื่อมาขนอิฐ,ขนทราย แบบนี้มันถูกหรือไม่ขอรับ?"

"๒.การที่เราเห็นเพื่อนพระทำงานกลางฝน แล้วทนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ต้องลงไปร่วมช่วยกันนั้นอยู่ในข้อธรรมแห่ง "พรหมวิหาร๔" หรือไม่ขอรับ?"

อันนี้ผมเองก็เกิดความเสียวไส้ในใจขึ้นทันที เพราะปกติคนที่มักจะตั้งคำถามเรียนสอบถามหลวงพ่อมากที่สุด ตอนหลังทำวัตรเย็นก็คือกระผมเอง ชนิดที่เรียกว่าถามจนพระเพื่อนให้ความไว้วางใจ ใครจะสอบถามปัญหาธรรมกับหลวงพ่อแล้วไม่กล้าถามก็มักจะมาขอความช่วยเหลือให้กระผมถามแทนให้เสมอ (มันน่าจะคิดรายการละ ๒๐ บาทต่อหนึ่งคำถามนะ) กลายเป็น "บุคคลสาธารณะ" (ไม่รู้ว่าท่านเหล่านั้นจะเห็นว่ากระผมเสือกทุกเรื่องหรือไม่ขอรับ:onion_no:) ที่เสียวไส้นั้น เพราะกลัวว่าท่าน ๆ เหล่านั้นจะหาว่าผมเขียนบัตรสนเท่ห์ไปฟ้องหลวงพ่อซิครับ (เดี๋ยวงานเข้าอีก)

มีครั้งหนึ่ง "หลวงพี่ปู" ท่านให้ถามเกี่ยวกับฆาตกรที่ชื่อ "ไอ้ไหล" เพราะเห็นว่าเจ้าฆาตกรคนนี้มันหนีตำรวจได้ทุก ๆ ครั้ง ทั้ง ๆ ที่ตำรวจก็ล้อมจับอยู่เห็น ๆ หลวงพี่ปูท่านสงสัยว่ามันมีวิชาดีอะไรหรือมันทำกำลังใจอย่างไร ทั้ง ๆ ที่มันเอาวิชาเหล่านั้นไปใช้ในทางที่ประทุษร้ายบุคคลอื่น เลยมาฝากกระผมถามหลวงพ่อให้

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับ หลวงพ่อรู้เรื่องฆาตกรที่ชื่อ "ไอ้ไหล" หรือไม่ขอรับ ทำไมเขาถึงใช้วิชาหนีตำรวจได้ทุกครั้งครับ

หลวงพ่อ : ไม่เห็นมีอะไรเลยก็เขามั่นใจในคาถา กำลังใจเขาเต็ม เมื่อกำลังใจเต็มมันก็เกิดผล...ไม่เห็นมีอะไรเลย......

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : แล้วอย่างพวกกระผม "พระใหม่" ควรภาวนาคาถาอะไรดีครับหลวงพ่อ

หลวงพ่อ : ภาวนาคาถา "สัมปจิตฉามิ" ให้ทรงตัว แล้วให้เพื่อนพระเอาขวานจามหัวดูว่าเข้าหรือไม่เข้า

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::154218d4::d33561e9::a47173957fi0::l438412717dh8::17f0f3b0::baa60776::msn_smilies-02::onion_beg::d1eef220::cebollita_onion-21:

พระเพื่อน ๆ ทุกองค์ : เดี๋ยวผมจามให้ :55318906::55318906::b048a2d2:

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::onion_emoticons-23::8dcf9699::215ad82f::onion_sadd: (แน่จริง ! เจอกันหลังกุฏิประจวบดี)

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w21.jpg

ทำไมมันหนักอย่างนี้ ๑๒๐ กิโลกรัม!!!!....เฮ้ย ๆ ข้างบนทำไมยืนยิ้มอย่างเดียวล่ะ โอ้ย!!!ปวดหลังสงสัยแก่แล้ว (บุญใดที่ลูกได้ทำดีแล้ว ขอตะกรุดเมเพิ่มอีกดอกขอรับ หลวงพ่อ)

วาโยรัตนะ 31-10-2009 08:48

ย้อนกลับที่คำถามในบัตรสนเท่ห์ หลวงพ่อท่านเมตตาตอบว่า....

"๑.มีบางท่านบอกว่าเขาบวชมาไม่ใช่เพื่อมาขนอิฐ,ขนทราย แบบนี้มันถูกหรือไม่ขอรับ?"

หลวงพ่อท่าน : "ถูก" แต่ถูกของมันคนเดียวนะ อยากจะรู้ว่าวัน ๆ หนึ่ง มันจะทำสมาธิเข้ากรรมฐานได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงหรือไม่......... งานของพระมีทั้งเรื่องของการฝึกจิตและการฝึกกาย การทำงานก็ทำให้เป็นกรรมฐานได้ เอาจิตจดจ่อกับงานมันเข้าไปสิ งานในวัดพระก็ช่วยกันต้องทำสิ

"๒.การที่เราเห็นเพื่อนพระทำงานกลางฝน แล้วทนไม่ได้ ต้องลงไปร่วมช่วยกันนั้นอยู่ในข้อธรรมแห่ง "พรหมวิหาร๔" หรือไม่ขอรับ?"

หลวงพ่อ : แสดงว่าคุณมีจิตที่ฝึกมาดี ที่พิจารณาได้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ได้กุศลทั้งนั้นแหละงานในวัดถ้าเราตั้งใจทำ อานิสงส์มันคูณแสน,คูณล้าน

งานนี้ได้ข้อธรรมกันไปถ้วนหน้ากัน ต้องโมทนากับ "ผู้เขียนบัตรสนเท่ห์" ฉบับนี้ เพราะกระตุ้นหลาย ๆ ท่านให้รู้และเข้าใจว่า "ทำงานแล้วได้อะไร โดยเฉพาะงานในหน้าที่ของพระ" สะใจพระวัยรุ่นแย้มฝาโลง

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w22.jpg

ถ่ายภาพหมู่หลังงานเสร็จ "สรุปแล้วพ่อนาคทั้งสองคงจะไม่เปลี่ยนใจนะ"

วาโยรัตนะ 01-11-2009 08:47

๘."กุฎิแดงภาคสอง..หลวงพี่...น่ากลัวกว่าผี"

หลังจากวนเวียนหาสถานที่สิงสถิต (ขอใช้สำนวนให้มันดูชวนน่าสนุก) ในการนั่งสมาธิ ก็พบมีหลาย ๆ สถานที่ภายในวัดที่ส่งเสริมในเรื่องของทำสมาธิเป็นอย่างยิ่ง เช่น กุฏิเจ้าที่,วิหารสมเด็จองค์ปฐม,กุฏิหลวงปู่สาย,บนศาลาหน้าองค์,บนพระเจดีย์ที่ยอดเขา (เดิน ขึ้น-ลง สักสามรอบแล้วคุณจะรู้ว่า ข้อเข่าของคุณนั้นยังแข็งแรงอยู่หรือไม่) และสถานที่วัดใจแบบสุด ๆ ได้แก่ "ป่าไผ่ในป่าช้า"

พวกกระผมเคยออกเดินสำรวจช่วงประมาณสองทุ่มมาแล้ว ตอนแรกมีอาสาสมัครอยู่หลายรูป พอไปเข้าจริง ๆ เหลือแค่ ๖ รูป นำทีมโดย "ท่านพระครูน้อย" แรกก็เดินกันห่าง ๆ พอเข้าไปในป่าช้าลึก ๆ บรรยากาศของต้นไม้ก็ดี ความมืดก็ดีมันทำให้สามัคคีกลมเกลียวกันโดยอัตโนมัติ ชนิดที่เรียกว่า "คุณก้าว,ผมก็ก้าว,คุณหยุดผมก็หยุด,หากคุณจะวิ่ง,กรุณาตะโกนบอกและรอผมด้วยนะ" หมั่นเช็คยอดคนอยู่เสมอว่า มา ๖ ท่านมันจะกลายเป็น ๗ หรือไม่ ? หลังจากผ่านป่าช้ามาได้ อะไร ๆ ก็ดูง่ายไปหมด ก็เหลือแค่กุฏิแดงที่ต้องไปแก้มืออีกครั้ง.......

และแล้ว "นัดล้างตา" ก็เกิดขึ้น คราวนี้มีผู้ร่วมอุดมการณ์เพิ่มอีกสามรูป ได้แก่ หลวงพี่ปู,หลวงพี่ต้อม,หลวงพี่ขวัญชัย,กระผมและหลวงพี่ปราโมช กลายเป็นห้าเกลอหัวแข็ง ผีก็ผีเถอะ คราวนี้มากันเป็นหมู่คณะ แต่เพื่อความไม่ประมาทกระผมเองก็บอกเตือนทุกท่านอีกครั้งว่า "กรุณาแสดงความเคารพต่อสถานที่ด้วยนะครับและเจออะไรแล้วกรุณาอย่าวิ่ง ให้ผมดูดี ๆ ก่อนหากกระผมวิ่งก็ตามสุดฝีเท้าได้เลย"

ว่าแล้วก็ค่อย ๆ เดินเกาะกลุ่มกันขึ้นไป ผมเองเรื่องการเก็บอาการนั้นรับรองไม่มีใครสู้ได้ "ทำเป็นนิ่ง" แต่ในใจมันเต้นอย่างกับว่าเสียงหัวใจมันมาเต้นอยู่ที่ต้นคอ

หลังจากกราบพระ,กราบสถานที่แล้วเปิดพัดลมและไฟไว้หนึ่งดวงผมเองก็หาข้ออ้างต่อพระเพื่อนไปว่า "ให้อากาศมันถ่ายเทและเปิดไฟสักดวงสร้างบรรยากาศ:154218d4:" หลังจะเปิดไฟล์เสียงบวงสรวงชุมนุมเทวดาของ "หลวงพ่อฤๅษี" จากโทรศัพท์มือถือเอาฤกษ์เอาชัยแล้ว หลังจากนั้นก็ร่วมกันบูชาพระรัตนตรัย,สมาทานพระกรรมฐาน แล้วกระผมก็นำพระเพื่อนทุกรูป "ตัดร่างกาย,ไล่นิวรณ์" ว่ายังมีข้อใดคั่งค้างอยู่ในใจหรือไม่ เมื่อทุกท่านสงบดีแล้วก็นำไปกราบพระที่พระนิพพาน อารมณ์กำลังสงบได้กำลังได้ความรู้สึก อยู่ ๆ !!!!:3070242c: ไฟที่เปิดเอาไว้ก็ดับลง! กระผมเองพยายามใช้หูให้เป็นประโยชน์มากที่สุดฟังว่ามีใครวิ่งก่อนผมหรือไม่พร้อมกับเร่งคำภาวนาเต็มที่ สัมปจิตฉามิ ๆ ๆ ๆ เท่าที่สังเกตทุกท่านยังนั่งกันเป็นปกติ (งานนี้ตูโดนอีกแล้วใช่หรือไม่....) ใจดีสู้เสือพูดออกไปเตือนสติทุกท่านว่า "เอาใจอยู่ที่คำภาวนา เอาจิตจดจ่ออยู่ลมหายใจ" (ปลอบใจพระเพื่อน ๆ และตัวเอง) หลังจากนั้นไม่นาน "พัดลม" ที่เปิดอยู่ อยู่ ๆ มันก็ปิดเองโดยอัตโนมัติ!!!:onion_emoticons-17:

เหมือนเดิมตามสเต็ปของผมคือพยายามใช้หูให้เป็นประโยชน์มากที่สุดฟังว่ามีใครวิ่งก่อนผมหรือไม่ พร้อมกับเร่งคำภาวนาเต็มที่ สัมปจิตฉามิ ๆ ๆ ๆ เท่าที่สังเกตทุกท่านยังนั่งกันเป็นปกติ ใจดีสู้เสือ พูดออกไปเตือนสติทุกท่านว่า "เอาใจอยู่ที่คำภาวนา เอาจิตจดจ่ออยู่ลมหายใจ เรามาทำกรรมฐาน เรามาทำความดีและความดีนี้เราขอให้ทุกท่านในที่นี้ร่วมโมทนา เรา....." ไม่ทันขาดคำ ไฟที่ปิดอยู่ (มืดสนิท) ก็ติดขึ้นเองอีกครั้ง ทุกท่านเริ่มหวั่นไหวแล้ว ผมเองก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงค่อย ๆ กลั้นใจลืมตาดู (หากเจออะไร คราวนี้กะว่าจะส่งสัญญาให้ทุกท่านวิ่งแล้ว) หลวงพี่ขวัญชัยเองก็เช่นกัน

สิ่งที่เห็นประจักษ์เต็มสองตา ก็คือหลวงพี่ปูกำลังเดินจะเอาปลั๊กพัดลมไปเสียบ!!!

หลังจากนั้นทุกท่านก็ออกจากสมาธิตามเวลาไล่เลี่ยกันและแล้วการสนทนาก็เกิดขึ้น

หลวงพี่ขวัญชัย : หลวงพี่ปู...ทำเอาไรน่ะ คนอื่นเขาตกใจกันหมด มันไม่ดีนะแบบนี้ กลัวมาก ๆ เดี๋ยวมันจะบ้าสติแตกกันไป หลวงพี่ใช่ไหมที่ปิดไฟ,แล้วปิดพัดลม ?

หลวงพี่ปู:ผมไม่ได้ปิดพัดลม..ผมถอดปลั๊กพัดลม ที่ปิดไฟก็เพื่อสร้างบรรยากาศ..ผมอยากฟังหลวงพี่รัตน์นำนั่งมโนฯ แบบชัด ๆ

หลวงพี่ต้อมหันมายิ้มแบบสีหน้าถอดสีพร้อมพูดว่า "ถ้าหลวงพี่ปูเอามือมาจับตัวผมตอนที่ไฟมันดับอยู่ผมคงสติแตกแน่ ๆ"

หลวงพี่โมช : มันอันตรายนะ "หลวงพี่ปู" แบบนี้คนที่เขาจิตไม่แข็งพอจะสติแตกได้

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ผมนึกว่างานนี้เจอของจริงเข้าแล้ว ลองหลวงพี่ปูเอามือมาจับตัวผม ผมก็วิ่งเหมือนกัน แต่ระหว่างเป็นลมก่อนกับวิ่งก่อนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าอันไหนจะเกิดก่อนกัน

หลวงพี่ขวัญ : เราออกไปก่อนดีกว่าวันนี้ โอ้โห......มันน่านะ (ท่านหัวเสียไปเลย)

หลวงพี่ปูก็ยิ้มแบบแห้ง ๆ ไปตามระเบียบและแล้วข่าวการผจญภัยบนกุฏิแดงก็แพร่สะพัดออกไปยังเพื่อนพระท่านอื่น ๆ ต่างก็หัวเราะกันท้องแข็ง.....
---------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w24.jpg

หลวงพี่ขวัญชัยกับภาระกิจที่ได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อ "งานดูแลรองเท้าของพระผู้ใหญ่" ที่มา "งานบุญครบรอบวันมรณภาพ ปีที่ ๑๗ พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) วันจันทร์ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๒"

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w23.jpg

หลวงพี่ปูประจำตรง "โต๊ะรับลงทะเบียนพระ-เณรจากตำบลต่าง ๆ" ที่มา "งานบุญครบรอบวันมรณภาพ ปีที่ ๑๗ พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) วันจันทร์ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๒"

วาโยรัตนะ 02-11-2009 19:03

๙."บันไดปราบเซียน"

เส้นทางการบิณฑบาตสงเคราะห์ญาติโยมของวัดท่าขนุนช่วงเข้าพรรษาจะมีอยู่สี่เส้นทาง คือ ตลาดทองผาภูมิ,ปอมเป,วังใหญ่,บ้านบน ตอนแรกหลวงพ่อท่านประกาศรับอาสาสมัครบิณฑบาตสายปอมเป ก็มีกระผม,พระครูน้อยเป็นหัวหน้าชุด,อาจารย์พงษ์,หลวงพี่ดอย ,หลวงพี่คมสันต์,หลวงพี่อ้น หลวงพี่คมสันต์ท่านมาล้มป่วยเป็นมาเลเรียช่วงงานหลวงพ่อจังหวัดจึงเปลี่ยนเป็น "ขาจร" มาแทน คือใครสนใจหรืออยากเปลี่ยนจะบรรยากาศก็เชิญมาได้เลยยินดีต้อนรับทุกท่าน กระผมเองวันแรกเต็มกำลังใจเต็มที่ แต่กำลังตีน (ฝีเท้า) มันสู้ไม่ไหวบิณฑบาตหรือว่า "แข่งเดินเร็วกันแน่"

พระครูน้อย : หลวงพี่ผมขออภัยด้วยนะ เราต้องกลับไปถึงโรงครัวก่อนสายตลาด

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ครับ ๆ หลวงพี่ (โอ้โห...สุดยอด..ลิ้นห้อย:onion_emoticons-24:)

ช่วงนั้นกำลังใจยังไม่ทรงตัวด้วย อย่างที่บอกว่า "มันอยากจะสึกสักวันละร้อยครั้ง" ช่วงบิณฑบาต "สายปอมเป" ภาวนาอะไรไม่ได้เลย เพราะกังวลเรื่องการเดิน กลัวไม่ทันเพื่อนด้วย เป็นอย่างนั้นอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ เห็นท่าไม่ดีถ้าเป็นแบบนี้เราขาดทุนยับแน่ ๆ ภาวนาก็ไม่ได้ขณะที่เดินแล้วจะเอาอะไรไปสงเคราะห์ญาติโยมเขา....จึงได้กราบเรียนสอบถามหลวงพ่อหลังทำวัตรเย็น

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับผมบิณฑบาต"สายปอมเป" ผมเดินไม่ทันแล้วจับลมหายใจภาวนาก็ไม่ได้ด้วยครับ

หลวงพ่อท่านตอบด้วยประโยคสั้น ๆ แต่มีความหมายกินใจเหลือเกินว่า "ฝีมือยังไม่ถึง" บาดลึกไปถึงทรวงและแล้วกระผมก็ของเมตตาพระครูน้อยเปลี่ยนสายบิณฑบาตเป็นสายตลาดแทน เพราะคิดดีแล้วว่า เราเดินได้,จับคำภาวนา,จับลมหายใจได้ สงเคราะห์ญาติโยมได้เต็มที่และมันจะได้ไม่ขาดทุนในส่วนของเรามากนัก เรื่องนี้หลวงพ่อท่านเคยสอนเสมอว่า เวลาเดินบิณฑบาตให้ภาวนาหรือจับภาพพระไปด้วย ญาติโยมที่เขาใส่บาตรจะได้อานิสงส์เต็มที่

พระหนุ่มก็มีบ้างที่สายตามันจะสอดส่องหาอะไรสวย ๆ งาม ๆ หลายต่อหลายครั้งที่หลวงพ่อหันมามองพระเพื่อน (อันนี้ขอยืนยัน,นอนยัน,ตะแคงข้างยันว่า "ไม่ใช่ผม":onion078:) ชนิดที่ว่า บรรยากาศใส ๆ กับภาพสาวสวย ๆ กลายเป็น "อสุภกรรมฐาน" ทันที:17f0f3b0:

มาถึงช่วงที่ชาวบ้านเรียกว่า "วังลังกา" มีบ้านคุณป้าท่านหนึ่งท่านใส่บาตรเสมอ ๆ ทุกวัน แต่ตรงผนังหน้าบ้านนะสิ..ที่มีปัญหา ผมว่าไม่น่าจะใช่ป้าท่านติดเอง ลูกชายของป้ามากกว่าที่ติดรูป......ไว้หน้าบ้านแผ่นเบ้อเร่อ "งานเข้า" เล่นเอาพระหนุ่มวุ่นวายใจกันยกใหญ่...

ยุบหนอ..พองหนอ...ยุบหนอ..พองหนอ... เฮ้ย ๆ เอาบาตรกด "มัน" เอาไว้สิท่าน หรือไม่ก็ "หักคอไอ้เท่ง" :54bd3bbb::msn_smilies-15::70bff581:( "มัน" คือ โปเตโต้)

ปกติเวลาเดินบิณฑบาตพอรู้ว่าเป็นสาว ๆ ใส่บาตร ก็ก้มหน้าก้มตากันตามระเบียบ แต่มองไปเห็นง่ามเท้า "ขนาดง่ามเท้ายังสวยเลย" (ขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพ จริง ๆ แล้วอยากใช่คำว่า "ง่ามตีน" แต่มันไม่เหมาะสมกับหน้าตาอย่างกระผมจึงใช้คำว่า "ง่ามเท้า" ดีกว่า) พ่อเจ้าประคุณ! อะไรมันจะขนาดนั้น วันนั้นผมเห็น "ง่ามเท้า" ของน้องหญิงคนหนึ่งบังเอิญเธอเหยียบขี้ไก่ด้วยสิ งานนี้มันไม่สวย....อย่างที่คิด เลยได้ "อสุภะง่ามเท้า" มาพิจารณาเป็นกรรมฐานแทน

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w25.jpg

บิณฑบาตสาย "บ้านบน" ร่วมกับคณะหลวงตากวี,หลวงตาอ๊อด,หลวงตาอภิชาติ ชาวบ้านร้านตลาดแถบนี้มีเชื้อสาย "มอญ-พม่า" เยอะมาก แต่ "ศรัทธา" ที่เขามอบให้พระพุทธศาสนาช่างน่ายกย่องยิ่งนักหลายต่อหลายครั้งที่กระผมเห็นภาพคนเฒ่าคนแก่ ค่อย ๆ บรรจงนั่งพับเพียบลงกับพื้นดินแล้วกราบลงแทบเท้า ถึงแม้บางบ้านจะดูจากสภาพบ้านแล้ว นั่นมันบ้านหรือเพิงพัก เขายังให้ความอนุเคราะห์,สงเคราะห์ชนิดที่เรียกว่า "คนเมืองต้องอาย"

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w26.jpg

ชินเชาวน์ 02-11-2009 23:12

พูดถึงเรื่องการบิณฑบาต สมัยบวชอยู่ถ้ำทะลุ และต้องไปบิณฑบาตกับหลวงพี่หน่อย ระยะทางไปกลับประมาณ ๖ กิโลเมตร เรื่องก็มีอยู่ว่า...

ณ สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง มีพระใหม่เดินถือบาตรขึ้นเนินเขาแล้วเหนื่อย พลางบ่นกับพระผู้อาวุโสกว่าว่า
พระใหม่ : หลวงพี่ครับ ทำไมหลวงพี่ไม่เหนื่อยละครับ ?
พระอาวุโส : อาจารย์บอกว่า ถ้าเราเอาจิตเกาะกาย มันจะเหนื่อย
พระใหม่ : :a47173954nr0:
พอถึงช่วงลงเนินเขา
พระใหม่ : หลวงพี่ครับ หลวงพี่อย่าเดินเร็วนักสิครับ ผมตามไม่ทัน
พระอาวุโส : ผมเดินไม่เร็วหรอก แต่อาจารย์บอกว่า การเดินนั้น ก้าวแรกกับก้าวสุดท้ายนั้นต้องก้าวยาวเท่ากัน
พระใหม่ : :d1eef220:

พอกลับถึงวัด พระใหม่เห็นพระผู้อาวุโสกว่า เดินทางมาถึงวัดก่อนตั้งนานแล้ว และยังเดินมาช่วยรับบาตรจากพระใหม่ ในช่วงที่ต้องเิดินขึ้นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขา พร้อมกับถามว่า
พระอาวุโส : เป็นอย่างไร เหนื่อยมากไหม ?
พระใหม่ : ที่สุดของแจ้แล้วครับ หลวงพี่...:5c745924:
พระอาวุโส : มีอยู่วิธีหนึ่ง ถ้าคุณไม่อยากไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน...:4672615:
พระใหม่ : ทำอย่างไรหรือครับ ? :154218d4:
พระอาวุโส : ถ้าคุณขอข้าวเทวดากินได้ ก็ไม่ต้องไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน หลวงพี่อนุญาต :70bff581:
พระใหม่ : :4519626a:

วาโยรัตนะ 04-11-2009 12:10

๑๐."หลวงพี่บาตร-เณรลูกนิมิต"

เณรที่กินจุที่สุดในวัดท่าขนุน ต้องยกนิ้วหัวแม่โป้งทั้งซ้ายและขวาให้กับ "เณรหมี" หากท่านใดไม่เชื่อ ลองเอาทุเรียนหมอนทองทั้งลูกไปถวายดูรับรอง "เณรหมี" ฉันหมดทั้งลูก จะเหลือก็แต่เม็ดทุเรียนกับเปลือกทุเรียนเท่านั้น....อีกเรื่อง,หลวงพ่อเรียกเณรหมีว่า "เณรหมีมือระฆัง" :onion_yom:ไม่ว่าจะใช่เวรตีระฆังของเณรหมีหรือไม่ก็ตาม เณรหมีก็มักจะขึ้นไปให้กำลังใจพระแทบทุกครั้ง ท่านไหนหมดแรงในการตีกลองย่ำรุ่ง-ย่ำค่ำขอให้บอก "มา...หลวงพี่เดี๋ยวผมตีเอง" เท่านั้นเป็นอันเรียบร้อย จะติดปลายนวมสัก ๒๐ บาทเณรหมีก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะรับ.....:onion_emoticons-01:(รับรองไม่กล้าแอบไปเล่นเกมส์แน่นอน....ไม่อย่างนั้นเจอไม้เรียวหลวงพ่อแน่ ๆ)

ไม้ตีหรือจะเรียกว่าไม้กระทุ้งระฆังทำจากไม้แดงรูปร่างคล้าย ๆ "สากตำข้าว" ดีนะที่บนหอระฆังไม่มีกระด้งสักลูกสองลูก วันดีคืนดีเณรหมีแปลงร่างเป็น.......ขึ้นมาแล้วจะยุ่ง เณรก็ซนตามประสาเด็ก

ไม้ตีระฆังถ้าจะถามว่าหนักหรือไม่ ครึ่งนาทีแรกมันไม่หนักเท่าไหร่ แต่จังหวะรัวระฆังนาน ๑ นาทีก็เล่นเอาหน้าซีดเผือดกันไปหลายท่าน
ด้วยรูปร่างอันสันทัดของ "เณรหมี" จึงเป็นที่รักใคร่ของหลวงพี่ทั้งหลาย หน้าที่ประจำคือคอยไปตักน้ำแข็งและหาน้ำหาท่าให้พระฉันตอนทำงาน แต่อาจจะหายไปนานหน่อย เพราะบางครั้งแวะไปเล่นกับสุนัขในวัดอยู่นานสองนาน จนต้องส่ง "หน่วยทะลวงฟัน" ไปตาม ถ้าไม่ใช่ "เณรเจ" ก็จะเป็น "เจ้าโด่ง" เด็กวัด แต่ถ้าส่งเจ้าโด่งไปตามเณรหมี คราวนี้ก็จะหายเงียบไปทั้งคู่เป็นประจำ สุนัขบางตัวแค่ได้ยินเสียงเณรหมีก็วิ่งหนีแทบไม่คิดชีวิตแล้ว

เณรหมี : หลวงพี่รัตน์ หลวงพี่พกบาตรมาด้วยหรือ?

แรก ๆ กระผมก็งง ทำงานขนทรายอยู่ตูจะเอามาได้อย่างไรละเณร
มารู้ว่าเณรหมีหาว่าผมอ้วน "พุงของผมเท่าบาตร" มันน่าจะโดน..

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ถ้าของหลวงพี่เท่าบาตรของเณรหมีก็ใช่ย่อยนะอย่างกับ "ลูกนิมิต" จะเอาไปถวายวัดไหนหรือพ่อคุณเล่นเอาเณรเงียบไปเลย

แต่ในเรื่องของการกินแล้วนั้น หากได้มีโอกาสสังเกตมองช่วงที่เณรหมีฉันข้าว เราจะเห็นว่านั่นคือช่วงที่มีความสุขที่สุดในโลกของเณร.......หลายต่อหลายครั้งที่ทุกสายตาจับจ้องมองแต่เณรหมีเพราะทุกท่านอิ่มแล้ว แต่ "เณรหมียังไม่อิ่ม" จะขึ้น "ยะถา-สัพพี" ก็ยังไม่ได้......หลวงพี่บางท่านทนไม่ไหวตะโกนถาม "เณรหมีอิ่มหรือยัง" เล่นเอาเณรหมีตกใจทุเรียนเม็ดงาม ๆ แทบหล่นจากปากมันช่างขัดลาภปากเณรหมีจริง ๆ

เรื่องของการสวดมนต์ เณรหมีได้ฉายาอีกอย่างจากผมว่า "เณรหมีแปดหลอด" พลังเสียงแบบดับเบิ้ลเซอร์ราวด์:conion-05:เล่นเอาพระหนุ่ม ๆ อายเณรไปเหมือนกัน.......

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w27.jpg

เณรหมีทำงาน (แถมขอ "เล่น" ไปด้วยนะหลวงพี่)

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w28.jpg

หลวงพี่ขอ "หมี" ดังสักคน

เถรี 04-11-2009 12:58

หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังว่า ตอนไปบิณฑบาตชาวบ้านเขาสงสัยว่าทำไมเณรหมีจึงได้อ้วนกว่าตอนก่อนบวช ชาวบ้านก็คาดการณ์ไปต่าง ๆ นานา ว่าเณรหมีต้องแอบฉันมื้อดึกแน่เลย แต่ความจริงหลวงพ่อบอกว่า "ก่อนทำวัตรเย็นมันล่อโอวัลตินไป ๓ แก้ว พอทำวัตรเสร็จมันเอาอีกแก้ว จะไม่ให้อ้วนได้อย่างไร"

นอกจากนั้นแล้วก็มีอีกท่านหนึ่งที่เริ่มส่อเค้าบ่งบอกว่ากำลังเข้าสู่ฐานะ "มีอันจะกิน"

เถรี : หลวงพ่อคะ รู้สึกว่าเณรท่านนั้นแลดูมีน้ำมีนวลขึ้น
หลวงพ่อ : อ๋อ เขาเปลี่ยนจากคำว่า "ฉัน" เป็น "แดก"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:38


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว