กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1180)

เถรี 14-10-2009 16:17

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "พระคณาจารย์ทางมหายานที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมาก ๆ ได้แก่ พระอัศวโฆษ พระนาคารชุน พระอารยะเทวะ พระวสุพันธุ พระธรรมกีรติ ศานตรักษิตะ

โดยเฉพาะพระนาคารชุนประวัติของท่านสุดยอดมาก เป็นประวัติกึ่ง ๆ นิยายเลย ขึ้นสวรรค์ลงบาดาลเป็นปกติ แต่คนเขาไม่เชื่อกัน ตอนหลังท่านเป็นผู้แตกฉานในทุกศาสตร์ แม้กระทั่งแพทยศาสตร์ท่านก็ชำนาญ ก็เลยประกอบยาถวายพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อพระเจ้าแผ่นดินเสวยเข้าไปแล้วไม่ตายเสียที ลูกชายอยากจะครองราชย์แทน เห็นว่าพ่ออยู่ได้ก็เพราะพระนาคารชุน ก็เลยคิดฆ่าพระนาคารชุน โดยย่องเข้าไปตอนท่านนั่งสมาธิ ฟันท่านด้วยดาบ ปรากฏว่าท่านไม่เป็นอะไรเลย

พระนาคารชุนก็เลยบอกว่า ถ้าจะฆ่าท่านอย่าใช้อาวุธอื่น ให้ไปเอาใบหญ้าคามา ถ้าเอาใบหญ้าคามาจึงจะฆ่าท่านได้ เจ้าชายเชื่อตาม ไปเอาใบหญ้าคามา ปรากฏว่าฟันพระนาคารชุนคอขาดได้ แต่ทั้ง ๆ ที่คอขาดก็ยังเทศน์ต่อ บอกว่าให้ดูกฎของกรรมไว้ ขนาดมีความสามารถอย่างนี้ยังเลี่ยงกรรมไม่พ้น

ในอดีตชาติมีอยู่ชาติหนึ่ง ที่ตอนเด็ก ๆ ท่านซน เอาใบหญ้าคาไปหั่นเฉือนตัวสัตว์เล่น อย่างพวกหนอน พวกแมลง แล้วกรรมตัวนี้ก็ตามมา ทั้ง ๆ ที่ท่านได้อภิญญาสมาบัติขนาดนั้น อาวุธอะไรก็ทำอันตรายท่านไม่ได้ แต่ท่านต้องตายด้วยหญ้าคา เล่นเอาเจ้าชายตกใจขวัญหนีดีฝ่อ คนหัวขาดแล้วยังเทศน์ได้ มันเกินไป ท้ายสุดก็เลยสั่งฝังท่านโดยแยกศีรษะท่านกับลำตัว เพราะว่ากลัวจะกลับมาติดกันแล้วฟื้นคืน..!

ถ้าหากว่าอ่านประวัติทางฝ่ายมหายาน จะให้เข้าใจจริง ๆ ต้องลืมทางเถรวาทหมด อ่านเหมือนคนที่ไม่มีความรู้ในพระพุทธศาสนามาก่อนเลยแล้วจะสนุก ถ้าอ่านแบบคนที่มีความรู้มาก่อน อ่านไม่จบหรอก เดี๋ยวนั่งเถียงอยู่นั่น อันนี้ต้องไม่ใช่ อันนั้นต้องไม่ใช่ ยุ่งไปหมด"

เถรี 14-10-2009 16:32

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "วันก่อนมีโยมโทรมา จะขอสัมภาษณ์เอาไปลงเว็บ เขาบอกว่าเขาเที่ยวไล่สัมภาษณ์บุคคลที่มีญาณ เพื่อเอาไปลงเว็บ แล้วเขาก็ร่ายยาวมา มีคนนั้น มีคนนี้ เราก็บอก หยุด ๆ ๆ พอ ๆ ๆ

ถามว่าเป้าหมายของคุณที่ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร เขาบอกว่าเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา บอกเขาไปว่าคุณกำลังจะสร้างกรรมโดยไม่รู้ตัว อันดับแรก คุณรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่คุณเผยแผ่ถูกต้องและเป็นจริงตามนั้นแล้ว ถ้าไม่ถูกต้องและเป็นจริงตามนั้น คุณกำลังทำคนให้เป็นมิจฉาทิฏฐิ

ประการที่สองคุณกำลังสร้างเวรสร้างกรรมให้กับคนที่คุณไปสัมภาษณ์ เนื่องเพราะว่าคนพวกนี้ถ้าปรากฏออกเป็นสาธารณะเมื่อไหร่ มันจะแบ่งเป็น ๒ กระแส กระแสแรกก็คือเขาเชื่อว่าท่านเก่งจริง มีความสามารถจริง คนมันก็จะมากันชนิดหัวไม่วาง หางไม่เว้น เวลาจะพักผ่อนของท่านก็จะไม่มี กระแสที่สองก็คือไม่เชื่อ คิดว่าไม่คนสัมภาษณ์หรือคนโดนสัมภาษณ์มันต้องบ้าไปข้างหนึ่ง กลายเป็นโทษปรามาสพระรัตนตรัย

สรุปถ้าคุณคิดว่าสัมภาษณ์เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อนำไปเผยแผ่เป็นสาธารณะ อาตมาไม่เห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นไปหาสัมภาษณ์คนอื่นก็แล้วกัน ถ้าเขาสัมภาษณ์แล้วนำเอาไปปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เรายังพอมีอารมณ์พูดบ้าง"

เถรี 14-10-2009 17:40

ถาม : หลวงพ่อคะ กำลังใจที่เข้มแข็งเป็นอย่างไร
ตอบ : ไม่ท้อถอยต่อสิ่งต่าง ๆ มีแต่จะต่อสู่ฟันฝ่าจนกว่าจะสัมฤทธิ์ผลตามที่ตั้งความหวังเอาไว้

ถาม : แล้วถ้าเป็นอย่างในกรณีที่ว่า สามารถทำหรือต่อสู้ไปโดยที่ไม่ต้องมีใครมากระตุ้น มาบอก
ตอบ : อย่างนั้นก็ถือว่าในเรื่องของบารมีได้บำเพ็ญมาพอตัวแล้ว ไม่อย่างนั้นแล้วก็เป็นไฟไหม้ฟางอยู่ตลอดเป็นระยะ ๆ ถ้ามันไหม้ได้นานพอก็ยังพอจะทำให้ไก่สุกได้ ถ้าไหม้ไม่นาน ก็ไม่ได้กิน

เถรี 15-10-2009 05:14

ถาม : เวลาคนอื่นพูด แล้วไม่ค่อยได้ยินอะไร
ตอบ : ไม่ได้ตั้งสติอยู่ในสิ่งที่ฟัง ใจมันจะจดจ่อคิดเรื่องอื่นแทน ถ้าจะแก้ก็พยายามฝึกสมาธิแล้วจดจ่ออยู่กับที่ใดที่หนึ่ง ถ้าต่อไปตั้งใจฟังมันจะจำได้

ถาม : แล้วบางทีไปฟังเสียงของคนที่พูดอยู่ข้างหลัง ทำให้ผมไม่ค่อยได้ยิน อย่างนี้เป็นเรื่องของสมาธิหรือเปล่าครับ
ตอบ : ถ้าไปฟุ้งซ่านเรื่องอื่นอยู่ มันก็ไม่ได้ยิน ถ้าเป็นสมาธิเขาเรียกว่ามิจฉาสมาธิ คือใช้กำลังใจในด้านที่ผิด

เถรี 15-10-2009 05:17

ในขณะที่หลวงพ่อกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติของหลวงปู่เณรคำ มีเนื้อหาบางส่วนที่ท่านกล่าวให้พวกเราฟังว่า "เทวดาเขามาบอกหลวงปู่เณรคำให้ไปจำพรรษาที่ศรีสะเกษ หลวงปู่เณรคำถามว่าทำไม เขาบอกว่าเป็นวัดของท่าน

เรื่องลักษณะอย่างนี้มันเป็นเรื่องที่ข้ามชาติข้ามภพมา แต่ว่าสมัยก่อนหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเคยเตือนไว้ ว่าถ้าเราไปอยู่ที่ไหนแล้วรู้สึกว่าคุ้นเคย ให้รู้ว่าที่นั่นในอดีตเราเคยอยู่มาก่อนแล้ว ท่านบอกให้ระวังอยู่อย่างหนึ่งว่า แม้ความสุข ความสะดวกสบายมันจะมีอยู่ ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนเป็นจำนวนมากก็ตาม แต่ว่าคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ เรามีมิตรมาก แต่เราก็ต้องมีศัตรูด้วย เพราะไม่ใครสักคนหนึ่งที่ไม่ชอบใจการกระทำของเรา เขาก็คอยจะหาโอกาสที่จะล้างผลาญจองเวรเราอยู่ ท่านบอกว่า ถ้าอยู่ที่ไหนสบาย ก็อย่าอยู่นาน มีโอกาสก็รีบเผ่นซะ ก่อนที่จะไปสร้างเวรสร้างกรรมกับเขา"

เถรี 15-10-2009 05:18

ถาม : อย่างสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธชินราช กับสมเด็จองค์ปฐมบรมจักรพรรดิ ตั้งบูชาไว้แตกต่างอย่างไรครับ
ตอบ : อย่างไรก็เอาท่านไว้สูงก่อน

ถาม : ต้องเอาองค์ไหนขึ้นสูง
ตอบ : ถ้ามีทั้งคู่ใช่ไหม เอาองค์ไหนขึ้นได้ทั้งหมด อยู่ที่เราชอบ

ถาม : แล้วถ้าเราลงเพชร กับไม่ลง ไม่แตกต่างกันใช่ไหมครับ
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าเอาลงก็ได้อานิสงส์พุทธบูชาเพิ่มขึ้น

เถรี 15-10-2009 05:20

คุณสุรจิตรได้มาขอโอวาทก่อนบวชจากหลวงพ่อเล็ก

ถาม : หลวงพี่ครับ ขอโอวาทก่อนบวชครับ
ตอบ : อย่าพยายามบวชเลย ทำให้ศาสนาเขาเสื่อมเปล่า ๆ

ถาม : ?????......
ตอบ : เป็นโอวาทที่ถูกกิเลสมากเลย
เอาอย่างที่หลวงปู่มหาอำพันท่านบอกสิ ถ้าบวชน้อยก็ขอให้ได้ถึงโสดาบัน ถ้าบวชมากก็เอานิพพานไปเลย

เถรี 18-10-2009 06:15

ถาม : หลวงพ่อเจ้าคะ สงสัยค่ะ จะไปนิพพานต้องรักษาศีล ๕ ได้ แต่ว่าเขายังโกหกเพื่อนอยู่เลย หลวงพ่อสอนศีล ๕ ให้หน่อยค่ะ (สอนให้ลูก)
ตอบ : เราไม่ได้โกหกทั้งวันนี่ เราตั้งใจว่าตั้งแต่กลับจากโรงเรียนมาจนกระทั่งนอน....เราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์
ตั้งแต่เราตื่นจนกระทั่งไปโรงเรียน.....เราจะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ มันได้ตั้งหลายชั่วโมง พอเราทำได้มากขึ้นก็ขยายเวลาออกไป

ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา....ตั้งแต่ไปโรงเรียน....ตั้งแต่เคารพธงชาติ....เราจะรักษาศีลให้ได้ ถ้าหากเพื่อนมา เดี๋ยว ๆ ก่อน หลังเคารพธงชาติเราค่อยคุยกัน แล้วมันจะรักษาศีลเป็นเวลา หลังจากนั้นมันจะได้มากขึ้น ๆ เดี๋ยวก็ทำได้เอง ไม่ได้ยากเลยจ้ะ ขอให้ประสบความสำเร็จไปนิพพานจริง ๆ จ้ะ

เถรี 18-10-2009 06:33

หลวงพ่อกล่าวว่า "ถ้าตารางสอนของ ปปส. มาแล้ว วันสอนไม่ตรงกับวันอังคาร ก่อนกฐินว่าจะเข้ากรรมฐานสัก ๓ วัน ก็จะเป็นวันที่ ๒๐ - ๒๒ ตุลาคม แล้วไปออกเช้าวันที่ ๒๓ ตุลาคม นั่งรับกฐินเลย

จะเข้ากรรมฐานให้นานกว่านั้นก็ไม่ไหว ที่ไม่ไหวด้วยเหตุ ๒ ประการ ประการแรกงานมันเยอะ หนีงานนาน ๆ เข้า ต่อให้ปิดโทรศัพท์ก็ตาม ถ้าเปิดโทรศัพท์ขึ้นมาเจ้านายด่ากระจาย
ประการที่สองคือ ชราแล้ว ร่างกายถ้าหากว่าขาดอาหารนาน ๆ เดี๋ยวมันจะน็อก เดี๋ยวนี้มันก็ไม่มีให้ขาด มันทำวันใช้วันเหมือนข้าวสารกรอกหม้อ สมมติเราพักผ่อนมา ๑ คืน มันจะใช้ได้แค่วันเดียว ถ้าหากเจอลักษณะนั้นเข้า นั่งรับกฐินอยู่ เดี๋ยวจะวูบเอาง่าย ๆ"

เถรี 18-10-2009 09:10

ถาม : หลวงพี่คะ....(ไม่ได้ยิน) ใช่สังขารุเปกขาญาณหรือเปล่า
ตอบ : สังขารุเปกขาญาณมันจะเห็นธรรมดาในทุกเรื่อง โดยเฉพาะธรรมดาในร่างกาย

ถาม : มีความรู้สึกว่า พอเราไม่คิดมันเบามาก มันสบายมาก
ตอบ : เอาเป็นว่าถ้ามันใช่ มันจะทรงอยู่ไม่หายไปไหน แล้วตอนนี้ยังรักษาอยู่ได้ไหม ?

มันหายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว (หัวเราะ) ไปเริ่มต้นใหม่ อะไรที่มันได้ มันเคยถึงแล้ว อย่าไปอยากให้มันได้ อย่าไปอยากให้มันเป็น เราคิดว่าเรามีหน้าที่ปฏิบัติ มันจะเป็นหรือไม่เป็นก็เรื่องของมัน แล้วมันจะมาเอง แต่ถ้าเราทำเพราะไปอยากให้มันได้อย่างนั้น อยากให้มันเป็นอย่างนั้น มันไม่มาหรอก ไปเริ่มต้นใหม่จ้ะ พอได้แล้วพยายามรักษาไว้

ถาม : แล้วที่หนูสัมผัสก็คือ ได้จริง ๆ แล้วใช่ไหมคะ
ตอบ : อ๋อ เขาเรียกว่ามองเห็นสมบัติเศรษฐีแล้ว เหลืออยู่อย่างเดียวก็คือ พยายามไขว่คว้ามาเป็นของเราให้ได้

เถรี 18-10-2009 09:20

ถาม : หลวงพี่ครับ ผมตั้งใจจะฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังครับ ถ้าไปฝึกที่บ้านสายลม จะปลอดภัยไม่มีปัญหาหรือไม่ครับ
ตอบ : ไปเถอะ ถ้าที่ไหนเขาทำตามที่ครูบาอาจารย์บอก ก็ไม่มีอะไรหรอก

ถ้ากลัวมันจะฝึกได้ยาก มันต้อง....บ้าก็บ้าวะ

ถาม : ช่วงหลัง ฝึกแล้วจิตมันเบาบาง เห็นภาพพระขึ้นมาเอง แสดงว่าเป็นมโนมยิทธิแบบอ่อน ๆ หรือเปล่าครับ
ตอบ : ไม่ใช่อ่อนหรอก บางทีมันก็แก่เลย เพียงแต่ว่าบางทีเรารักษาให้มันยืนระยะไม่ได้

ถาม : แล้วถ้าไปฝึกที่บ้านสายลม
ตอบ : ตั้งใจแล้วก็ทำตาม บอกอย่างไรทำอย่างนั้น ความรู้สึกแรกเกิดขึ้นให้เชื่อเลย อย่าไปตั้งใจมากเกิน ตั้งใจมากเกินมันเป็นตัวฟุ้งซ่าน มันจะไม่ได้

ถาม : หลวงพี่ครับ พอดีน้องผมจะสอบเข้า
ตอบ : ไปภาวนาคาถาหลวงปู่พระอินทร์เอาไว้ ถึงเวลาก็ทำตามกติกานั้น

เถรี 18-10-2009 20:17

ถาม : สังเกตตั้งแต่ย้ายที่ทำงานมา รู้สึกว่าเราจะมีอารมณ์โกรธง่ายขึ้น ถึงแม้เราจะยับยั้งได้แต่มันก็เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ค่ะ มันเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมไหมคะ
ตอบ : เกี่ยวเป็นอย่างมาก

ถาม : แล้วอย่างนี้เราจะป้องกันอย่างไร
ตอบ : สติ สมาธิและปัญญาเสริมสร้างให้เยอะขึ้น รู้เท่าทันและวางมันให้เร็วที่สุด

ถาม : เท่ากับว่าเราต้องฝึกให้มากกว่านี้
ตอบ : ตอนนี้มันไม่พอใช้ โดนเมื่อไหร่ไปเมื่อนั้น

ถาม : มีความรู้สึกว่าถ้าร่างกายเราอ่อนเพลีย จะทำได้ยาก
ตอบ : หิวมาก ๆ เหนื่อยมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วย กำลังสมาธิมันจะตก ถ้าไม่ใช่กำลังมันทรงตัวของมันเลย ก็เป็นเรื่องของเรา

ถาม : หลวงพ่อคะ เวลาหนูโดนด่าว่าเป็นพวกกำลังใจอ่อน บารมีอ่อน มันคิดให้ลงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราไม่ได้
ตอบ : ทำไมเล่า ก็ยอมรับไปซะก็หมดเรื่อง ก็บอกว่าถ้าบารมีของเราไม่อ่อน ก็ไปนิพพานแล้วสิ ตอนนี้มันอ่อนอยู่มันยังไปไม่ได้ ถ้าแก่กว่านี้ไปแน่

ถาม : มันก็เข้าใจค่ะ แต่มันยังเคืองอยู่
ตอบ : ไม่เป็นไร อนุญาตให้เคืองได้ แต่อย่าเก็บข้ามวันข้ามคืน โกรธได้แต่อย่าไปเก็บไว้

เถรี 18-10-2009 20:24

ถาม : ถ้ากำลังสมาธิใช้งานได้แล้ว กำลังใจเริ่มจะทรงตัวแล้ว แต่ทีนี้ยังตัดไม่ได้ ตรงนี้ต้องไปเพิ่มตัววิปัสสนาให้มันมากขึ้นกว่าเดิมหรือทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

ตอบ : ถ้าหากจะเร่งรัดก็เร่งในเรื่องของวิปัสสนา

เถรี 18-10-2009 20:33

หลวงพ่อกล่าวว่า "จริง ๆ แล้วเรื่องทุกเรื่องมันไม่มีอะไรเป็นของเรา มันเป็นเรื่องของโลกทั้งหมด แม้กระทั่งร่างกายนี้พระพุทธเจ้าก็ต้องคืนให้โลก ในเมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันเป็นของโลก มันแปลว่าเกินกำลังที่เราจะแบกรับได้ เพราะฉะนั้นรีบ ๆ วาง กองไว้เลย สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าอาศัย สักว่าเป็นที่ระลึก

เราก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของเรา อาศัยมันเป็นเรือเป็นแพข้ามน้ำเท่านั้น พอข้ามน้ำได้แล้วคงไม่มีใครแบกเรือ แบกแพไปด้วย หรือเสียดายจะแบกไปด้วย รู้สึกว่าเรือหรือแพลำนี้ใช้งานดีเหลือเกิน ขอแบกมันไปด้วยเถอะ คนเห็นเขาหัวเราะตายเลย ขึ้นจากน้ำแล้วยังแบกเรือไปอีก"

เถรี 18-10-2009 20:46

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า "เมื่อวานไปไหว้พระแก้ว สวดอิติปิโสถวายในหลวงไป ๑๐ จบ แล้วตัวเองก็หงิก...

เรื่องของประเทศชาติแตะไม่ได้เลยจริง ๆ กรรมมันแรง แต่ก็ยังแตะอยู่เรื่อย ๆ รู้สึกว่ามัน(ส์)"

ถาม : แตะแล้วมันบรรเทาไหมคะ
ตอบ : มันก็คงเหมือนน้ำถังหนึ่ง สาดลงไปในกองไฟใหญ่ ๆ ดับไฟไม่ได้แต่บรรเทาลงนิดหนึ่งก็ยังดี เพราะถ้าไม่มีใครช่วยกันดับเลย มันก็ไปกันใหญ่ ต้องเอาอย่างภาษิตของพระมหายานที่บอกว่า เราไม่ลงนรกแล้วใครจะลงนรก ของเขานี่ถ้าหากเพื่อชาติเพื่อศาสนา ถ้าหากต้องไปรบราฆ่าฟันเขาก็เอา

เถรี 18-10-2009 22:20

หลวงพ่อบอกว่า "วิธีแก้กรรมที่ดีที่สุด เขาบอกว่าศีลทำหนึ่งได้ร้อย สมาธิทำหนึ่งได้หมื่น ปัญญาทำหนึ่งได้ล้าน

เรื่องของศีลเป็นการควบคุมกาย วาจา สมาธิควบคุมทั้งกาย วาจา และใจด้วย มันมากขึ้น ส่วนในเรื่องปัญญานอกจากควบคุมกาย วาจา ใจแล้ว ยังต้องพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริงตามธรรมนั้นด้วย

ถ้าเราสามารถทำในเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้ กรรมหนักต่าง ๆ ตามไม่ทัน แต่ว่าให้ทำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะตัวภาวนาทำไว้เยอะ ๆ มีประโยชน์มากเลย"

เถรี 19-10-2009 09:28

ถาม : มาทำบุญที่นี่แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ญาติ เขาจะได้รับหรือไม่ครับ
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ จ้ะ อาตมาก็บอกไม่ได้ว่าได้รับหรือไม่ได้รับ เพราะโดนหลวงพ่อห้ามไว้ ถ้าอยู่ในที่ที่รับได้...ได้รับแน่นอน ถ้าหากอยู่ในสถานที่ที่รับไม่ได้.....ก็ไม่สามารถจะรับได้ รอจนกว่าจะพ้นมาจึงจะได้รับอีกทีหนึ่ง

สมัยก่อนเฮี้ยน เขาตายแล้วไปไหน หรือหวยออกเลขอะไร ชอบไปบอกเขาเลยโดนห้ามไปเลย


ถาม : ปฏิบัติธรรมแล้วน้ำตาไหล
ตอบ : ปล่อยให้มันไหลให้เต็มที่แล้วมันจะเลิก ถ้าหากเราไปห้ามมันเอาไว้ มันจะเป็นอยู่เรื่อย อารมณ์ใจถึงช่วงนั้นเมื่อไหร่ก็เป็น ต้องใส่ให้เต็มที่ไปทีเดียว บางทีมันไหลเช้าจนเย็นเลย อาตมานี่เช็ดหน้าจนแสบไปหมด

ถาม : ต้องแก้อย่างไร
ตอบ : ไม่ต้องแก้หรอก ปล่อยให้มันขึ้นให้เต็มที่แล้วมันจะเลิก ถ้ามันไม่เต็มที่มันก้าวพ้นไม่ได้ ถึงเวลาอารมณ์ใจถึงจุดนั้นมันก็จะเป็นอีก

ถาม : เป็นอุปจารสมาธิหรือเปล่าครับ
ตอบ : ยังไม่เป็นปฐมฌานหรอกจ้ะ มันเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ปีติเท่านั้น ถ้าจะเป็นอุปจารสมาธิมันต้องลึกกว่านั้นอีกนิด

เถรี 19-10-2009 10:31

หลวงพ่อสอนว่า "จำเอาไว้ว่าเราทุกคนมีหน้าที่ยังพระศาสนาให้เจริญ ถ้าไม่สามารถทำหน้าที่นั้นได้ ก็อย่าเป็นคนทำลายพระศาสนานั้นเอง"

เถรี 26-10-2009 15:07

หลังจากที่หลวงพ่อเล็กเล่าเรื่องท่านไปพม่า แล้วไปเจอแหม่ม ท่านก็ได้กล่าวให้ฟังว่า "เรื่องของแหม่มนักท่องเที่ยวที่ไปพม่า อยากให้พวกเราดูกำลังใจของเขา

เขารู้ว่าไปพม่าแล้วรู้ว่าลำบาก หาความสะดวกไม่ได้สักอย่าง แต่กล้าไป กล้าไปผจญภัย กล้าต่อสู้ พวกเราความกล้าไม่พอ ต้องบอกว่าบารมีเขาสูง เขาจึงได้กล้าไป พวกนี้ถ้าหากปฏิบัติธรรมจะได้ผลเร็ว เพราะเขาเอาจริงเอาจังมาก

พวกเรามันไม่ค่อยเอาจริงกับชีวิต ต้องบอกว่าเป็นหนูอยู่บนถังข้าวสาร ไม่กินข้าวสักที หนูจากที่อื่นมาก็โกยหมด หรือไม่ก็ถ้าแมวมาเสียก่อน ก็ตัวใครตัวมัน"

เถรี 26-10-2009 15:14

มีโยมคนหนึ่งต้องการเปลี่ยนชื่อตัวเอง เลยมาขอให้หลวงพ่อช่วยดูให้ หลวงพ่อท่านก็ดูชื่อให้ ท่านก็ได้ยกตัวอย่างให้ฟังว่า พระบางรูปสึกแล้วสึกอีกหลายครั้ง ก็เลยไปเปลี่ยนชื่อใหม่ แต่สุดท้ายก็สึกอยู่ดี ก็เพราะคนมันจะสึก

"ชื่อมันจะมีอิทธิพลต่อเรา ก็ต่อเมื่อเราไปกังวลอยู่กับมันตลอด ว่ามันไม่ดี...ไม่ดี....ไม่ดี มันเป็นการแช่งตัวเอง แล้วมันก็จะกลายเป็นมโนมยา คือ สำเร็จด้วยใจ ตัวเองแช่งว่าตัวเองไม่ดี มันก็เลยไม่ดี

อย่างอาตมาถือว่าชื่อพ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลที่สุดแล้ว ก็ชื่อเล็กมาตลอด แต่มันเคยเล็กกับใครเสียที่ไหน ไปไหนก็โดนเขาถีบออกหน้าตลอด เพราะฉะนั้นชื่อมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรมากมายหรอก ถ้าเราคิดว่าดีเสียอย่าง มันก็ดีเอง"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:40


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว