กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2314)

เถรี 08-12-2010 14:49

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๓
 
พระอาจารย์กล่าวถึงคนที่ไว้ผมปิดหน้าปิดตาว่า "ถ้าใครไปหาหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า (หลวงพ่อพระมงคลไชยสิทธิ์) แล้วไว้ผมปิดหน้าปิดตา ท่านจะด่าตรงนั้นเลย ท่านบอกว่าเป็นคนแท้ ๆ แต่ปิดหน้าปิดตาเป็นสัตว์ไปได้ สัตว์มันตัดผมไม่เป็น..!

โดยเฉพาะตำราจีน เขาถือว่าหน้าผากเป็นทางชีวิต ถ้าทางชีวิตโดนปิดบัง ทำอะไรก็ไม่สะดวก ดังนั้น..เราจะเห็นรูปคนจีนสมัยก่อน โดยเฉพาะผู้หญิง เขาจะถอนผมบริเวณหน้าผากจนโล่งไปเลย"

เถรี 08-12-2010 15:05

ถาม : ช่วงนี้พอเบื่อมาก ๆ แล้ว ถึงจุดหนึ่งรู้สึกว่าขี้เกียจเบื่อ ก็เลิกเกาะ พอปล่อยแล้วก็โล่ง พอใช้ชีวิตไปสักพักก็จะมาเบื่อใหม่
ตอบ : เพราะนั่นไม่ใช่การใช้ปัญญาปล่อยวางก้าวข้ามจริง ๆ ในส่วนที่จะเป็นปัญญาปล่อยวางจริง ๆ จะเห็นว่า ธรรมดาของทุกอย่างเป็นอย่างนั้น ฉะนั้น..เราไปหาคำว่าธรรมดาให้เจอ ธรรมดาของเขาเป็นอย่างนี้ เราเกิดมาก็ต้องเจออย่างนี้ ถ้าเกิดอีกก็จะเป็นอย่างนี้อีก ถ้าเราเห็นคำว่าธรรมดาต่อไปก็จะสบาย

ถาม : ถ้าเกิดอยู่ดี ๆ ก็ว่างขึ้นมา ก็ให้ดึงเข้ามาเบื่อใหม่ ?
ตอบ : ตอนแรก ๆ อย่าให้ความเบื่อนี้หายไป ถ้าหายไปกว่าจะได้ใหม่ก็อีกนาน อันดับที่สอง ก็คือ มองให้ลงตัวธรรมดาให้ได้ ถ้าเห็นธรรมดาแล้วกำลังใจยอมรับ ก็จะปล่อยวางไปเอง

ถาม : แต่ก็ไปเองนะคะ ไม่ได้นึกอยากจะเลิกเบื่อ เหมือนกับว่าเต็มที่แล้ว ไม่ยอมต่อแล้ว ก็ปล่อยเลย
ตอบ : นั่นแหละ..เพราะเราไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาให้ปล่อยวางได้ กลายเป็นว่าพอถึงเวลาแล้วกำลังก็ตกลงมา หรือไม่ก็มีบางส่วนที่เราก้าวข้ามไปได้ แต่ยังไม่ใช่การปล่อยวางที่แท้จริง ก็จะรู้สึกเบาลงมาหน่อย แล้วเดี๋ยวก็จะวนกลับไปพายเรือในอ่างใหม่อีก

เถรี 08-12-2010 15:12

ถาม : หนูกำลังหาหนี้ใส่ตัวด้วยการซื้อบ้าน เห็นว่าปีหน้าน้ำจะท่วม เลยชะลอการซื้อไปก่อน
ตอบ : ไปซื้อที่ไหน ?

ถาม : ซื้อแถวประชาชื่น แต่แถวนั้นไม่เคยน้ำท่วม
ตอบ : จะช้าจะเร็วน้ำก็ท่วมกรุงเทพฯ เพราะปัจจุบันนี้กรุงเทพฯ ก็ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าช่วงนี้เขาป้องกันดีอยู่ เนื่องจากเป็นเมืองหลวง

ถาม : ห้ามซื้อในกรุงเทพฯ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าจะซื้อ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องสองชั้นขึ้นไป จะได้มีหลังคาเผื่อให้ตะกายหนีน้ำได้บ้าง..!

เถรี 08-12-2010 15:47

ถาม : การทำบุญทุกอย่างเป็นจาคะหรือไม่คะ ?
ตอบ : เป็นจาคานุสติและเป็นทานบารมีด้วย

เถรี 08-12-2010 16:30

ถาม : เวลาเราทำสมาธิ ทำอย่างไรจะขึ้นไปถึงฌานแบบละเอียดได้ ?
ตอบ : อย่าอยาก ถ้าอยากจะไม่ได้ กำลังฌานทุกระดับต้องมีตัวอุเบกขาอยู่ ก็คือตัวเอกัคตารมณ์ ถ้าไม่มีตัวอุเบกขาจะก้าวไปไม่ถึง ความอยากไม่ใช่อุเบกขา ถ้าหมดอยากเป็นอุเบกขาเมื่อไรก็จะไปเอง เพราะฉะนั้น..แค่หมดอยากก็จะง่ายขึ้น

ถาม : หรือหนูเข้าวิปัสสนาเร็วไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ตกลงว่า ที่ตอบไปนี่ไม่ได้ฟังใช่ไหม ?

ถาม : แล้วอารมณ์ที่ปฏิบัติไปยังมีติด ?
ตอบ : นักปฏิบัติทุกท่านมีอุปสรรคอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าให้ใช้ความพยายาม ขณะเดียวกันก็พยายามในส่วนของศีล สมาธิและปัญญาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งดี จะหนุนให้อีกอย่างดีขึ้นไปด้วย

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถ้าทุกอย่างพร้อม สิ่งที่ควรจะก้าวข้ามก็จะข้ามได้ สิ่งที่ควรจะสำเร็จก็สำเร็จ ถ้าทำไปถึงระดับจริง ๆ ญาณเครื่องรู้จะปรากฏขึ้น จะบอกเองว่าเราทำอะไร ไปถึงไหนแล้ว

ถาม : ตอนนี้ที่เป็นนั้นจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : จริงหรือไม่จริงก็อย่าเชื่อ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามกติกาต่อไป เพราะถ้าเราเชื่อว่าจริงและเป็นไปตามนั้นก็เสมอตัว แต่ถ้าไม่จริงและไม่เป็นไปตามนั้น แล้วเราไม่พยายามปฏิบัติต่อก็จะเสียประโยชน์ไป

ถาม : การปฏิบัติของหนูในช่วงนี้ควร..?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ แล้วจะหมดปัญหา ถ้ามัวแต่ถามอยู่จะมีปัญหาไม่รู้จบ..!

เถรี 08-12-2010 17:17

ถาม : หนูขยายพื้นที่ด้านหลังบ้าน มีศาลร้างอยู่ ก็เลยต้องรื้อออก เราต้องสร้างศาลใหม่หรือไม่คะ เพราะที่เดิมมีศาลพระภูมิอยู่แล้ว ?
ตอบ : ถ้ามีศาลอยู่แล้วก็ไม่ต้องสร้างใหม่ แต่ก่อนรื้อต้องจุดธูปบอกกล่าวท่านก่อน

ถาม : ทิศของศาลพระภูมิมีผลต่อผู้อาศัยกี่เปอร์เซ็นต์คะ ?
ตอบ : ถ้าเป็นทิศของตัวบ้านจะร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม แต่ถ้าเป็นทิศหน้าศาลแทบจะไม่มีเลย ยกเว้นว่าบูชาสะดวกหรือไม่สะดวกเท่านั้น

เถรี 08-12-2010 20:33

ถาม : จุดชี่กงอยู่ตรงไหน ?
ตอบ : ชี่กงเป็นพลังในร่างกาย ไม่ใช่จุด

ถาม : แล้วที่เขาบอกว่า รวมพลังลมปราณไว้ที่จุดชี่กง ?
ตอบ : ไม่ใช่จุดชี่กง แต่เป็นจุดชี่ไห่ ชี่ไห่แปลว่าทะเลลมปราณ

ถาม : ลมปราณหน้าตาเป็นอย่างไรครับ ?
ตอบ : เป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวไปมาในร่างกาย โดยปราศจากรูปร่าง แต่สามารถสัมผัสได้ จัดเป็นรูปในนาม

ถาม : เป็นธาตุลมไหมคะ ?
ตอบ : เป็นธาตุลม

ถาม : ถ้าจะฝึกวิชาทารกบริสุทธิ์ ?
ตอบ : วิชาทารกบริสุทธิ์ต้องฝึกตั้งแต่เด็ก ๆ

ถาม : ถ้าภาวนาโสตัตตะภิญญา ถือว่าเป็นกำลังภายใน ?
ตอบ : ไม่ใช่ อภิญญาเป็นกำลังใจ กำลังสมาธิ แต่กำลังภายในเป็นกำลังจากอวัยวะภายใน

อวัยวะภายใน ๕ อย่างที่เป็นหลัก ๆ ก็คือ หัวใจ ปอด ตับ ม้าม ไต จะเป็นแหล่งพลังงานที่เขาถือว่าเป็นตัวแทนธาตุ ก็คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทอง โดยเฉพาะตับที่เป็นแหล่งพลังงาน เขาถือว่าเป็นธาตุทอง

ถาม : ธาตุไม้ละครับ ?
ตอบ : ธาตุไม้ไม่มี ธาตุทั้ง ๕ นี้มีทั้งหนุนเสริมกันเองและหักล้างกันเอง อย่างธาตุน้ำจะหนุนเสริมให้เกิดธาตุลม เราจะเห็นว่ามีแหล่งน้ำที่ไหนจะต้องมีลมพัดที่นั่น ธาตุลมจะไปหนุนเสริมธาตุไฟ ถ้าหากว่าลมแรง ไฟก็ลุกใหญ่ ธาตุดินกำเนิดธาตุไม้ เพราะต้นไม้กำเนิดจากดิน เพราะฉะนั้น..ถึงไม่มีธาตุไม้แต่อาศัยธาตุดินทดแทนก็ได้

เถรี 09-12-2010 06:32

ถาม : เซียนในความหมายของจีน คือ?
ตอบ : เซียนของจีน ส่วนใหญ่หมายถึงบุคคลที่ได้อภิญญา แต่ขณะเดียวกันก็มีพระอริยเจ้าด้วย ถามว่าพระอรหันต์ใช่เซียนหรือไม่..ใช่ แต่เซียนทุกองค์ใช่พระอรหันต์หรือไม่..ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น..คำว่าเซียนส่วนใหญ่ของจีนหมายถึงผู้ที่ได้อภิญญาสมาบัติ

ในประวัติของโป๊ยเซียนอ่านแล้วรู้สึกตลกมาก เพราะที่มาที่ไปของบางคน ไม่น่าจะมาอยู่ร่วมกันได้ ในโป๊ยเซียนมีผู้หญิง ๑ คน มีครึ่งชายครึ่งหญิง ๑ คน มีปิศาจค้างคาว ๑ ตัว ที่เหลือเป็นคนทั่วไป

ปิศาจค้างคาว ก็คือ อชคราทิเปรต เป็นเปรตในร่างสัตว์ เขาใช้คำอธิบายว่า ดูดกลืนพลังจากดวงจันทร์มาสามพันปี สามารถแปลงร่างเป็นคนได้ เอากระดาษมาตัดเป็นรูปลา เสกน้ำมนต์พ่นใส่ก็กลายเป็นลาจริง ๆ แต่มักจะขี่ลาโดยการหันหลังให้ เพราะเขาตั้งใจจะสื่อปริศนาธรรมให้คนทั่วไปคิด เกี่ยวกับการทวนกระแสโลก

ส่วนครึ่งชายครึ่งหญิงก็คือ น้าไช่ฮั้ว

เถรี 09-12-2010 06:36

พระอาจารย์กล่าวกับผู้ที่มาถามว่าจะปฏิบัติตามหลักอะไรดี ? "พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไตรสิกขา สิ่งที่ต้องศึกษา ๓ อย่าง คือ อธิศีลสิกขา ศึกษาในการปฏิบัติศีลให้ยิ่ง อธิจิตตสิกขา ศึกษาในการปฏิบัติจิตให้ยิ่ง อธิปัญญาสิกขา ศึกษาในการปฏิบัติโดยปัญญาให้ยิ่ง นี่เป็นหลักสูตรของพระพุทธศาสนา ถ้าอยู่ในกรอบนี้ใช้ได้ทั้งนั้น

โดยเฉพาะพระอุปัชฌาย์ต้องบอกลูกศิษย์อยู่แล้ว อธิศีลสิกขา สิกขิตตัพพา อธิจิตตสิกขา สิกขิตตัพพา อธิปัญญาสิกขา สิกขิตตัพพา อัปมาเทนะ สัมปาเทถะ บวชเสร็จเมื่อไร พระอุปัชฌาย์ต้องบอก"

เถรี 09-12-2010 06:46

1 Attachment(s)

พระอาจารย์เล่าให้ัฟังว่า "พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์นี้ เกิดขึ้นได้เพราะขบวนการก่อการร้ายที่มีหลวงตาวัชรชัยเป็นหัวหน้า ตอนช่วงนั้นหลวงตาวัชรชัยท่านเป็นพระพี่เลี้ยง คอยดูแลพระใหม่ ถ้าอาตมาจำไม่ผิด ตอนนั้นตัวเองได้พรรษาที่ ๒-๓ ส่วนท่านอาจารย์สมปองเพิ่งบวชเข้ามา

ปรึกษากันว่าสมัยหลวงพ่อเคยจัดงานนิมนต์พระสุปฏิปันโนให้ลูก ๆ ได้ทำบุญ ในเมื่อพ่อทำตัวอย่างไว้แล้ว พวกเราน่าจะทำกันบ้าง แต่ไหน ๆ ก็จะทำแล้ว เราควรจะหาทุนก้อนหนึ่ง ถวายให้หลวงพ่อเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระท่านบ้าง

พอมาคิดพิจารณาดูแล้ว ในเรื่องของการก่อสร้างท่านมีไม่ขาด เพราะพระและเทวดาท่านสงเคราะห์กันเป็นปกติ เราก็ควรที่จะเอาในเรื่องของกองทุนภัตตาหารพระ เพราะวัดท่าซุงขยายใหญ่ไปเรื่อย จำนวนพระเณรจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเราหาจำนวนเงินก้อนนี้มาได้ ก็ถวายท่านฝากธนาคารในชื่อกองทุนภัตตาหารพระ พอนานไปดอกผลมีมากก็เบิกเอามาใช้ในการเลี้ยงภัตตาหารพระเณรในงานต่าง ๆ ได้

คิดว่าวิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือ สร้างวัตถุมงคลสักรุ่นหนึ่ง แล้วนิมนต์พระสุปฏิปันโนมาพุทธาภิเษกเป็นการเฉพาะ และจะได้กราบขอให้ท่านเป็นเนื้อนาบุญแก่ลูกหลานหลวงพ่อด้วย ตอนนั้นคิดรายชื่อกันเป็นการใหญ่ว่าจะนิมนต์ใครบ้าง

ส่วนในเรื่องวัตถุมงคล หลวงตาก็ปรารภเรื่องที่แม่อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เคยบอกว่า พวกเราเป็นหนี้บุญคุณของพระปัจเจกพุทธเจ้ากันมาก อย่างไรเสียก็ช่วยทำรูปท่านให้ปรากฏขึ้นในโลกนี้เพื่อเป็นที่บูชาให้ได้ จึงตกลงกันว่าจะหล่อองค์ท่านด้วยเงินแท้ จะหล่อทองคำก็ไม่ไหวเพราะหน้าตักท่านใหญ่ประมาณ ๓๐ นิ้ว"

เถรี 09-12-2010 08:15

"พวกเราช่วยกันร่างแบบขึ้นมา เหล่าบรรดามโนมยิทธิตาดีต่างก็มาสุมหัวรวมกัน สรุปว่าหน้าตาท่านเป็นแบบไหน แล้วก็ร่างแบบออกมาเป็นแบบนี้ หลังจากนั้นคณะทำงานก็นำทีมเข้าไปกราบหลวงพ่อ ขออนุญาตสร้างโดยบอกว่าจะทำอะไรกันบ้าง

หลวงพ่อเมตตาอนุมัติและติติงแก้ไขแบบ เพราะพวกเราสร้างท่าน โดยองค์ท่านนั่งและมีรัศมีออกมาเป็นรูปของกลีบบัว หลวงพ่อท่านบอกว่า เอาเป็นลอยองค์ธรรมดา ไม่ต้องมีตรงกลีบบัวนั้นก็ได้

พอประกาศงานได้สองวัน โยมก็ช่วยกันบริจาคเงินและทองเข้ามามากมาย เพราะว่าวัตถุมงคลที่ทำจะมีเหรียญทองคำ เหรียญเงิน เหรียญชุบทอง คนที่เขามีทองก็ถวายทองเข้ามาสร้างเลย โดยขอให้เขาได้คืนไปสักเหรียญหนึ่ง

ช่วงประกาศตัวงานสองวันได้เงินเข้ามาสี่แสนกว่าบาท และทองอีกหลายสิบบาท อาตมาก็เห็นว่าความสำเร็จมีแน่ ถ้าทำตามนี้ ราคาวัตถุมงคลตามตัวเลขหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว จะเหลืออยู่ที่ ๒๔ ล้านบาท

วันที่สามหลวงพ่อมีหนังสือสั่งระงับเรื่องเพราะทำให้แตกความสามัคคี ก็คือ มีผู้หวังดีปรารถนาดีไปพูดในลักษณะว่า พวกนี้จะหาเงินใส่กระเป๋าตัวเองกัน"

เถรี 09-12-2010 09:55

"เราจะเห็นว่าหลักการทำงานของหลวงพ่อก็คือ ตัดไฟเสียแต่ต้นลม ท่านจึงรับโครงการนี้ไปทำแทน ปรากฏว่าการสร้างพระ หลวงพ่อให้ช่างประเสริฐเป็นคนทำ ช่างประเสริฐบอกว่าไม่มีแบบ หลวงพ่อท่านจึงให้ทำแบบพระพุทธรูปทั่วไป แล้วให้ทำสัญลักษณ์ที่ต่างจากพระพุทธรูปธรรมดา

ถ้าใครอยากเห็นว่าพระปัจเจกพุทธเจ้ารุ่นแรกหน้าตาเป็นอย่างไร ให้ไปดูองค์ใหญ่ที่อยู่หน้าวิหารร้อยเมตร ลักษณะเหมือนพระพุทธรูปแต่เกศด้านหลังจะแยกแฉกออกมาหน่อย ทำให้ดูว่าต่างจากพระพุทธรูปนิดเดียว ดูแทบไม่ออก

แต่ในเรื่องมโนมยิทธิ หลวงพ่อท่านเป็นปรมาจารย์ เรื่องความชัดเจนท่านเหนือกว่าเราจนนับไม่ได้อยู่แล้ว พอมีเวลาท่านก็เลยให้ช่างทำใหม่ ครั้งแรกที่ทำ ก็คือ สร้างขึ้นมาเพื่อให้สมกับเจตนาญาติโยมที่ตั้งใจบริจาคมาเพื่อสร้างพระอย่างเดียว ไม่รับวัตถุมงคล แต่พอระยะเวลาผ่านไป ท่านก็ทำให้เหมือนกับรูปแบบที่ท่านเห็น จึงได้ออกมาเป็นองค์ใหญ่ที่มณฑปหน้าวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร

จะว่าไปแล้ว กลายเป็นพวกเราสร้างเรื่องเดือดร้อนให้หลวงพ่อโดยใช่เหตุ หลังจากที่ระยะเวลาผ่านไปแล้ว มานั่งวิเคราะห์กันว่าทำไมเรื่องนี้จึงเกิดเรื่องขึ้นมา สรุปได้ว่า เพราะคณะกรรมการชุดนั้นเป็นพระใหม่เกือบหมด"

เถรี 09-12-2010 10:28

"ในเมื่อเป็นพระใหม่เกือบหมด ก็มีสองอย่าง อย่างแรกมองโลกในแง่ดี พวกนี้ทำไม่สำเร็จหรอก อย่างที่สองของการมองโลกในแง่ร้าย พวกนี้คงจะหาเงินเข้ากระเป๋า

เมื่อมีเรื่องขึ้นมา หลวงพ่อจึงสั่งระงับไป ปัญหาใหญ่เกิดขึ้น ก็คือ พวกเราต้องควักกระเป๋าเพื่อโอนเงินคืน โอนเงินคืนคนที่เขาโอนมาแล้ว คนไหนให้ข้าวของมาก็ต้องไปไล่คืนทีละคน โดยแจ้งเขาว่าโครงการนี้ระงับแล้ว ถ้าจะทำให้ไปถวายกับหลวงพ่อโดยตรง มีหลายคนที่แจ้งความจำนงว่าถวายแล้วไม่รับคืน พวกเราจึงต้องไปถวายหลวงพ่อกันเสียเอง ตอนไปก็ต้องทำตัวลีบ ๆ เข้าไป..กลัวโดนด่า

เป็นที่น่าเสียดายอยู่อย่างเดียวว่า รูปพระปัจเจกในลักษณะวัตถุมงคลหลวงพ่อท่านไม่ได้สร้างไว้เลย ที่สร้างไว้ก็มีพระปัจเจกพุทธเจ้าขนาดองค์ ๓๐ นิ้วต้นแบบ ซึ่งอาตมาเป็นเจ้าภาพ ถวายให้วัดพุทธไชโยที่หัวหิน ลักษณะเหมือนพระพุทธรูป แต่เกศมีแยกออกมานิดหนึ่ง จะเป็นเปลวรัศมีเส้นเดียวที่แยกออกมาเอง ถ้าไม่สังเกตก็จะไม่รู้

และองค์หน้าตัก ๔ ศอกที่หน้าวิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร หลังจากนั้นก็เป็นองค์ใหญ่ ๘ ศอกที่เห็นนี้ และองค์เล็ก ๓๐ นิ้วที่เอาไว้ให้เขาปิดทอง สร้างแค่นี้เองในยุคนั้น

อาตมายังตั้งใจอยู่เหมือนเดิม ไว้มีเวลาจะหล่อด้วยเงินแท้ องค์ประมาณ ๓๐ นิ้ว เพราะที่หลวงตาท่านสร้าง ก็กลายเป็นทองคำ ๙ นิ้วไปเสียได้ ในเมื่อพี่ไม่ทำ น้องก็ทำเสียเอง"

เถรี 09-12-2010 11:26

"จริง ๆ แล้วพระเศียรของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นลักษณะเดียวกับพระปัจเจกพุทธเจ้า แต่ปฏิมากรรุ่นหลัง ๆ เขาไปใส่เปลวพระรัศมีให้ ในลักษณะแทนดวงปัญญาอันรุ่งโรจน์ ก็เลยกลายเป็นลักษณะของพระเกศไป

เราจะเห็นว่า ในพระวินัยของพระ ห้ามภิกษุทำจีวรเท่าพระสุคต ถ้าหากจีวรเท่าของพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ดี พระนันทะก็ดี และพระมหากัจจายนะก็ดี เวลาที่แยกกันไป คนจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร ฉะนั้น..เราสามารถสรุปได้เลยว่า ความจริงพระพุทธเจ้าก็มีพระเศียรเหมือนลักษณะของพระภิกษุทั่วไป

พระนันทะเป็นลูกพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ ส่วนพระอานนท์เป็นลูกอา ทั้งสองเป็นพุทธอนุชาก็เลยมีหน้าตาเหมือนกับพระพุทธเจ้า ส่วนพระมหากัจจายนะท่านสร้างบารมีมาเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า จนกระทั่งบารมีใกล้จะเต็มแล้ว ก็เลยมีมหาปุริสลักษณะหลายอย่างที่ทำให้คนเห็นว่าเหมือนพระพุทธเจ้า

เวลาบิณฑบาต แต่ละองค์ไปช้าเร็วต่างกัน คนก็ตำหนิเอาว่าสมณะรูปนี้มักมากจริง มาแล้วมาอีก พระพุทธเจ้าจึงให้ตัดเย็บจีวรไม่เท่ากัน คนจะได้แยกออก ส่วนพระมหากัจจายนะตัดสินใจเปลี่ยนรูปร่างตัวเองไปเลย"

เถรี 09-12-2010 12:36

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ความจริงการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่วัดก็เป็นเรื่องดี เพราะทำให้ได้ถนนมาด้วย ถ้าเขามาตั้งเสาไฟ เขาต้องตั้งเสาด้านที่เราคิดจะขยายถนนพอดี ซึ่งเวลาขยายถนน เราต้องเอาต้นไม้บางส่วนออก เนื่องจากต้นไม้พร้อมที่จะล้มฟาดสายไฟ จึงต้องรื้อต้นไม้เสียตั้งแต่บัดนี้

อย่างแรก ต้องไปตกลงกับบรรดารุกขเทวดาก่อน ตกลงกันว่า ให้ท่านย้ายไปอยู่ที่เสาอาคารตั้งพระชำระหนี้สงฆ์แทน ส่วนทางด้านนี้เราขอรื้อ จะพยายามรื้อให้น้อยที่สุด ต้นไหนที่เว้นได้ก็จะเว้นให้ พอตกลงกันได้ รถแบ็กโฮลก็เริ่มถล่มป่า อาตมาก็ไปเดินดูอยู่ตลอด ช่วงนั้นไม่มีปัญหา

พอรุ่งเช้าติดงานบวชพระ เมื่อบวชพระเสร็จ ปรากฏว่าต้นไม้ล้มทับรถไปเรียบร้อยแล้ว คนขับบาดเจ็บเล็กน้อย ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าใช้ตัวบุ้งกี๋ของรถจัดการดันให้ต้นไม้ล้มเหมือนต้นอื่น ๆ แต่ต้นนี้ไม่ล้มไปข้างหน้า กลับหักกลางฟาดตูมลงมาที่รถเลย อาตมาก็สงสัยว่าคุยกับรุกขเทวดาแล้วทำไมถึงยังเป็นอย่างนี้อีก

ปรากฏว่าอาตมาลืมไป เขาบอกว่าอาคารสร้างพระชำระหนี้สงฆ์ ถ้าสร้างพระแล้วเขาต้องลงมาแบกับดิน เพราะถ้าเขาอยู่เสาก็จะสูงกว่าพระ นี่คือความไม่รอบคอบของอาตมาเอง เขาจึงไม่อยากจะย้าย แต่ไม่ทันได้คุยกันเพราะอาตมามัวแต่บวชพระอยู่ เขาก็เลยจัดการเล่นคนรื้อไปเสียก่อน

ปกติถ้าเราผลักต้นไม้ ก็ต้องล้มไปข้างหน้า..ใช่ไหม ? แต่นี่ผลักแล้วไม่ล้มเหมือนต้นอื่น กลับหักกลางฟาดกลับมาใส่รถ..!"

เถรี 09-12-2010 15:32

"บางทีการที่รู้อะไรมาก ก็ทำให้เดือดร้อนเหมือนกัน ถ้าทำไม่รู้ไม่ชี้รื้อไปเลย ให้เขาโกรธอยู่ฝ่ายเดียวก็หมดเรื่อง แต่ความจริงเทวดาโกรธไม่ได้ เพราะการหมดอายุของเทวดามีอยู่ตัวหนึ่ง คือ โกรธาพลขัย หมดอายุเพราะความโกรธ ไฟโกรธจะเผากายทิพย์ไปเลย และความโกรธอาจทำให้ลงข้างล่างได้ เพราะใจเศร้าหมอง

มีบางคนเขาถามว่า ทำไมเทวดาท่านไม่หักคอคนที่ตัดไม้ทำลายป่าเสียที ? ถ้าเป็นเรา รู้ว่าการทำร้ายคนเท่ากับแลกด้วยชีวิตตัวเอง เราก็คงไม่ทำหรอก

นอกจากนี้ ยังมีอาหารขัย หมดอายุเพราะหมดอาหาร อายุขัย หมดเพราะอายุ"

ถาม : นางไม้องค์นั้นที่เขาหงุดหงิด ลงมานั่งหน้ามุ่ย เขาโกรธเพราะ ?
ตอบ : ตอนนั้นอาตมาธุดงค์ไปอาศัยอยู่ใต้ต้นเขา เขาอยู่ข้างบนไม่ได้ ร่วงมากองกับพื้น เขาก็หงุดหงิดสิ...

ถาม : เขาโกรธแล้วไม่หมดอายุหรือคะ ?
ตอบ : ไม่ได้โกรธถึงขนาดคิดทำร้าย แค่หงุดหงิดเพราะไม่ได้อย่างใจตัวเองเท่านั้น

เถรี 09-12-2010 17:39

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการพยากรณ์มรรคผลว่า "นี่เป็นเรื่องแปลก เป็นส่วนที่อาตมากลัวและระมัดระวังอยู่ คนอื่นกลับเห็นเป็นของสนุก พยากรณ์กันไปเรื่อยเปื่อย คนฟังก็บ้าจี้เชื่อตามไปด้วย

เรื่องการพยากรณ์มรรคผล เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าโดยตรง เราไม่ใช่พระพุทธเจ้าที่จะได้ไปพยากรณ์ผู้อื่น ใครพยากรณ์แทนพระพุทธเจ้าถือว่าผิดมารยาทละเมิดเบื้องสูง อาตมาเองก็ต้องระมัดระวังจนตัวลีบ ว่าจะไม่เผลอไปทำอย่างนั้นเข้า"

เถรี 09-12-2010 19:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "ไม่รู้ว่าใครเป็นคนต้นคิดในจัดสร้างพระบรมรูปในหลวง เขาหล่อแล้วจะเอาไปประดิษฐานที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ประเทศอินเดีย ทำให้อาตมาใจคอไม่ดี เพราะเท่าที่สังเกตมา บุคคลที่ทรงความดีสูง ๆ พอมีรูปแทนตัวแล้วมักจะไปเลย"

เถรี 09-12-2010 20:15

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "วันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ ที่พระมหาเจดีย์ชเวดากอง เหล่าเทวดานางฟ้าพากันมาสักการะพระเจดีย์ ท่านจะมาลักษณะเป็นหมวดหมู่ เป็นสีสัน ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงามมาก มาเป็นชุด ๆ เป็นกลุ่ม ๆ บางกลุ่มก็เป็นร้อย บางกลุ่มก็เป็นพัน อาตมานึกว่ามีแต่ประเทศไทยเราที่แบ่งสีแบ่งฝ่าย จริง ๆ แล้วเทวดาเขาแบ่งแบบนี้มานานแล้ว..!"

ถาม : ที่พระมหาเจดีย์ชเวดากองเป็นพระธาตุส่วนไหนครับ ?
ตอบ : เป็นเครื่องใช้ของพระพุทธเจ้า มีไม้เท้า หม้อกรองน้ำ สังฆาฏิ เป็นต้น

ถาม : เป็นของใช้ของพระพุทธเจ้าองค์ไหน ?
ตอบ : เป็นของสี่พระองค์ที่ผ่านมา องค์หนึ่งก็จะให้ของใช้ไว้ชิ้นหนึ่ง

เถรี 09-12-2010 20:20

พระอาจารย์กล่าวถึงนายฮ้อยว่า "วัฒนธรรมอีสานที่เผยแผ่ไปทั่วประเทศ เพราะคนอีสานเขาไม่ค่อยกลัวในการเปลี่ยนแปลง คนที่กลัวการเปลี่ยนแปลงจะไม่ค่อยกล้าไปที่อื่น หรือย้ายที่ทำกิน เป็นนิสัยรักการผจญภัยของเขาจริง ๆ

สมัยก่อน นายฮ้อยจะเป็นหัวหน้าคุมคาราวานวัวควายไปขายต่างบ้านต่างเมือง นายฮ้อยต้องเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต เพราะขายได้ก็ต้องเอาเงินมาคืนเขา และตัวเองก็รับรางวัลในส่วนที่ควรจะได้ไป

นายฮ้อยต้องเป็นคนกล้าหาญ เพราะการเดินทางจะต้องผ่านป่าผ่านดง ผจญสิงสาราสัตว์ ตลอดจนภูตผีปีศาจและโจรผู้ร้าย และต้องมีวิชาความรู้ติดตัว เพื่อที่จะได้นำคณะฟันฝ่าให้รอดไปได้

สมัยก่อนใครเป็นนายฮ้อยย่อมเป็นที่นับถือของคนทั้งบ้านทั้งเมือง"

เถรี 09-12-2010 20:30

ถาม : พวกนายฮ้อยเขาต้องมีวิชาอะไรบ้าง ?
ตอบ : ๑) วิชาการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นดาบหรือปืน

๒) คาถาอาคม เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

๓) ความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศต่าง ๆ ที่จะไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดิน น้ำ หญ้า เพราะวัวควายไปด้วยเป็นร้อย ๆ ตัว ถ้าไม่รู้พื้นที่ สัตว์อาจจะอดตายได้ แค่จะหยุดให้กินหญ้ากินน้ำก็ลำบากแล้ว

๔) มีมนุษยสัมพันธ์ ไปไหนต้องมีเพื่อนฝูง มีเส้นสาย ต้องรู้จักว่าคนไหนค้าขายด้วยแล้วให้ราคายุติธรรม คนไหนจะมากดราคา

๕) มีความซื่อสัตย์ บางทีไปกันหลายเดือน วัวควายที่ไปตกลูกกลางทาง เขายังไม่ยึดเป็นของตัวเองเลย พอขายได้ก็ให้เจ้าของไป

ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ แต่สมัยก่อนที่เขาทำได้เพราะเขามีสัจจะ เราจะเห็นว่าตัวสัจจบารมีตัวเดียวนี่แหละ ที่ทำให้คนประสบความสำเร็จมาก ในสมัยก่อนแม้กระทั่งพวกเสือปล้น เขาจะถือสัจจะต่อครูบาอาจารย์ ถ้าหากว่าผิดสัจจะเขาอาจจะไม่ประสบความสำเร็จหรือถึงแก่ชีวิต สมัยนี้สัจจบารมีไม่ค่อยจะมีกัน

เถรี 09-12-2010 21:11

ถาม : ผมมีบุญพอที่จะได้พบแร่เพรียงไฟไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาไปสี่ปียังไม่ได้เลย ขาดอยู่อย่างเดียวคือแร่เพรียงไฟ

เหมือนท่านลองใจ บอกว่ามีอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ไม่น่าเชื่อว่าอาตมาไปผิดที่ทุกที ทั้ง ๆ ที่ตอนเรียนวิชาทหาร อาตมาสอบได้ที่หนึ่งในวิชาแผนที่เข็มทิศ แต่เดินผิดที่ทุกทีเลย เป็นเรื่องแปลกมาก ขึ้นไปเราก็ว่าใช่แน่ แต่พอถึงเวลาตรวจสอบกลับไม่ใช่ทุกที

ถาม : น่าจะไม่ถึงเวลาหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : น่าจะประมาณนั้น เพราะถ้าเป็นระยะนี้ พวกนักการเมืองแสนดีเขาจะรวยแทน จะไม่ถึงมือประชาชนส่วนใหญ่

ถาม : แต่ถ้าทำเพื่อชาติละครับ ?
ตอบ : ใคร ๆ ก็ทำเพื่อชาติทั้งนั้นแหละ คุณไปถามนักการเมืองดูสิ..!

ถาม : จุดที่ผมไปขุดจะใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ลองดู..อาจจะใช่ ขนาดของอาตมาเขามายืนยันให้ ยังไม่ใช่เลย

ถาม : อยู่ที่ผาช่อใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่

ถาม : ต้องไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของน้ำตกหรือครับ ?
ตอบ : คุณหันหน้าเข้าหาผาช่อ เยื้องขวาหน่อยเดียว จะมียอดเขาเตี้ย ๆ สองยอด อยู่ยอดที่สอง อาตมาเล็งมาสามสี่ทีแล้ว ขึ้นผิดทุกที ไปขุดจนจอบหักยังไม่ได้อะไรเลย ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อฤๅษีบอกว่าลึกเมตรเดียว ขุดจนจะฝังตัวเองตายก็ยังขุดไม่เจอ

เถรี 09-12-2010 21:33

พระอาจารย์เอ่ยถึงดอกไม้มหาเสน่ห์ให้ฟังว่า "ดอกตะไคร้ อาตมาเคยเอามาใส่ตู้ให้เขาดูอยู่พักหนึ่ง เพราะหาได้ยาก จัดเป็นมหาเสน่ห์ในตัว พวกพ่อค้าแม่ค้าสมัยก่อนเอาไว้ช่วยในการค้าขาย

ดอกตะไคร้จะมีได้ก็คืนที่เกิดจันทรคราส ถ้าเกิดจันทรคราส บ้านใครมีต้นตะไคร้อยู่ให้ไปดู เผื่อว่าจะออกดอก ส่วนใหญ่พอได้มาเขาจะเอามาแช่ในน้ำมันหอม ถึงเวลาก็เจิมหรือพรมสินค้าด้วยน้ำมันดอกตะไคร้นี้

ส่วนว่านดอกทองที่อาตมารู้จัก เป็นว่านที่น่ากลัวมาก กลิ่นลอยไปถึงไหนก็ตะกายหาผัวหาเมียกันที่นั่น กระตุ้นยิ่งกว่าไวอะกร้าเสียอีก ถ้าว่านนี้เกิดขึ้นเหนือน้ำแล้วเกสรตกลงน้ำ พวกที่อยู่ทางท้ายน้ำคงไม่เหลือสักคน..!"

เถรี 09-12-2010 22:16

ถาม : เรามีความรักความเมตตากับบุคคลคนหนึ่ง ก็ให้ความรักความเมตตาสงเคราะห์เขาตลอด จนถึงจุด ๆ หนึ่งที่มอบความรักความเมตตาแล้วก็เกิดความรู้สึกว่าพอแล้ว และทันทีที่เกิดความรู้สึกว่าพอแล้ว อารมณ์ใจก็เกิดความนิ่งสงัด มีอารมณ์นิ่งเรียบเหมือนเป็นเส้นตรง ไม่เกิดอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ ทั้งสิ้น อารมณ์ที่เกิดนี้เป็นอุเบกขาได้หรือไม่?
ตอบ : ที่ว่ามาเกิดจากสองประการด้วยกัน ประการแรก เราก้าวถึงตัวอุเบกขาในพรหมวิหาร ประการที่สอง วาระที่เนื่องด้วยกรรมหมดแล้วพอดี

บางอย่างที่เราไปทำอย่างนั้นอาจจะไม่ใช่ความเมตตา แต่เกิดจากวาระกรรมที่เราต้องไปสงเคราะห์เขา คิดให้ดี ๆ นะ ตรงนี้ต่างกันมาก ถ้าหากเป็นตัวเมตตาในพรหมวิหารจริง ๆ จะมีตัวอุเบกขากำกับอยู่เสมอ คือ สงเคราะห์เสร็จเรียบร้อยก็ตัวใครตัวมัน แต่ถ้ายังมีความผูกพันอันใดอันหนึ่งอยู่ ให้รู้เลยว่านั่นเป็นวาระกรรมมากกว่า

ดูตัวเองให้ดี ๆ ว่า ตั้งแต่ต้นที่ไปสงเคราะห์เขา พอสงเคราะห์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกครั้งเราสามารถปล่อยวาง ตัดทิ้ง ลืมไปได้เลยหรือเปล่า จนกว่าจะเจอหน้ากันใหม่และสงเคราะห์กันใหม่ไปตามวาระ ถ้าอย่างนั้นเกิดจากตัวเมตตาในพรหมวิหาร เพราะมีอุเบกขากำกับอยู่

แต่ถ้าถึงเวลาแล้วต้องไปคิดถึง พะวงอยู่ เขาจะเป็นอย่างนั้นไหม ? เขาจะเป็นอย่างนี้ไหม ? เราไม่ช่วยเขาต้องถึงตายหรือเปล่า ? ถ้าอย่างนั้นให้รู้ว่าเป็นเพราะวาระกรรมมากกว่า


ถาม : แบบนี้จะจบหรือคะ ?
ตอบ : จบไปเรื่องหนึ่ง ถ้าเคยสร้างกรรมไว้มาก เดี๋ยวก็มาอีกรอบ

เถรี 12-12-2010 09:44

พระอาจารย์กล่าวว่า "โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำไปไม่ยั่งยืน โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา นักธรรมเขาออกสอบว่าเป็นคำพูดของใคร ?

เป็นคำพูดของพระรัฐบาลเถระบอกกับพระเจ้าอุเทน พระเจ้าอุเทนถามว่าพระรัฐบาลเถระว่าท่านออกบวชเพราะอะไร ? พระรัฐบาลบอกว่า ท่านเห็นโทษในโลกนี้ก็เลยบวช

พระเจ้าอุเทนตรัสว่า "โลกคือหมู่สัตว์อันชรานำไปไม่ยั่งยืน โยมก็พอเข้าใจ โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตนโยมก็พอเข้าใจ แต่โลกคือหมู่สัตว์พร่องอยู่เป็นนิจ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา โยมไม่เข้าใจ"

พระรัฐบาลเถระกล่าวว่า "ถ้ามหาบพิตรได้ข่าวว่าอีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร มีบ้านเมืองที่เจริญรุ่งเรือง อุดมสมบูรณ์มาก ประกอบไปด้วยทรัพย์สินมหาศาลและผู้คนจำนวนมาก แต่ไม่มีกองทัพเลย มหาบพิตรคิดว่าจะยกทัพไปตีเอามาเป็นข้าขอบขัณฑสีมาหรือไม่ ?" พระเจ้าอุเทนบอกว่าไป

นั่นแหละ...คือโลกยังพร่องอยู่ ไม่เพียงพอ ต้องไปหาเพิ่ม เพราะมีความอยาก คือ ตัณหาเป็นเครื่องนำไป

พระเจ้าแผ่นดินสมัยนั้นท่านมีความฉลาดมาก ฟังแค่นี้ก็เข้าใจทันที"

เถรี 12-12-2010 09:51

ถาม : ถ้าเราทำทานแล้วไม่มีพรหมวิหารสี่จะเป็นอย่างไร ? ถือว่าเราขาดเมตตาต่อตัวเองหรือเปล่า เพราะทำจนเกินตัว ?
ตอบ : คุณเข้าใจพรหมวิหารสี่แค่ไหน ? อย่าลืมว่าพรหมวิหารสี่มีอุเบกขาด้วย ถ้าคุณขาดอุเบกขาในเรื่องใดก็จะเละทุกเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะเรื่องทานอย่างเดียว

เรื่องทานที่คุณว่ามาไม่ใช่ขาดพรหมวิหาร แต่เป็นการขาดปัญญา ในเมื่อขาดปัญญาไม่รู้ว่าอะไรพอดี ก็ทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน คุณต้องเข้าใจใหม่

ถาม : ศีลข้อลักทรัพย์ เราอาจจะไม่ได้ตั้งใจขโมย แต่เขาให้เราเกินมา แล้วเราตั้งใจเก็บเอาไว้ ก็ถือว่าผิด ?
ตอบ : ถ้าไม่มีเจตนาโทษก็ไม่เต็มอยู่แล้ว ทรัพย์นั้นมีเจ้าของ เจ้าของไม่ได้ให้ เราตั้งใจลัก เราลงมือลัก ลักได้สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นขโมยร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม

ถาม : ศีลข้อกาเมฯ อยู่กินก่อนแต่งนี่ผิดศีลหรือเปล่า ?
ตอบ : ผิดแน่นอน ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเช่นกัน

ถาม : ถ้าเราแต่งงานแล้ว จะถูกโดยอัตโนมัติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ถูก ถ้าตราบใดที่พ่อแม่เขายังไม่ได้อนุญาตให้ ตราบนั้นยังผิดอยู่ ไม่ใช่วิ่งไปจดทะเบียนแล้วจบกัน ทางธรรมไม่ใช่อย่างนั้น

ถาม : ต้องไปสู่ขอให้เรียบร้อย ?
ตอบ : ไปสู่ขอให้ถูกต้อง ถ้าหากว่าอยู่กินกันก่อนแต่ง ตอนไปสู่ขอ ก็ขอขมาทางพ่อแม่ฝ่ายนั้นก่อน

เถรี 12-12-2010 17:21

ถาม : ถ้ามีคนเขาบอกว่ากินเหล้าแก้วเดียว นอนอยู่บ้านไม่เดือดร้อนใคร เราจะให้เหตุผลแย้งเขาอย่างไร ?
ตอบ : เขื่อนมีรูรั่วแม้เพียงนิดเดียว ก็มีโอกาสที่จะทำให้น้ำดันออกมาและเขื่อนทั้งหลังพังทลายลงมาได้ สิ่งใดที่ทำแม้เล็กน้อย ก็เป็นความผิดเช่นกัน เหมือนกับเรากินยาพิษ จะกินมากกินน้อยตัวเราเดือดร้อนแน่ ถ้ามากได้ระดับก็ตาย ถ้าไม่มากก็อาจจะดิ้นทุรนทุราย

ถาม : ถ้าเรารักษาศีลโดยไม่มีพรหมวิหารสี่ ?
ตอบ : เป็นไปได้ยากมาก เพราะศีลต้องประกอบด้วยพรหมวิหารเป็นปกติ เราต้องมีความรักความเมตตาเกิดขึ้นในจิตเรา เราจึงจะละเว้นการฆ่าได้ เราต้องมีความรักความเมตตาเขา จึงจะไม่ไปหยิบฉวยสิ่งของ หรือไปแย่งคนที่เขารัก เพราะฉะนั้น..ศีลทุกข้อต้องมีพรหมวิหารมาก่อน

ถาม : ถ้าเป็นตัวอุเบกขา ต้องผ่านเมตตา กรุณา มุทิตา มาก่อนหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องผ่านเยอะมาก จนกว่าปัญญาเกิดจึงจะอุเบกขาได้

ถาม : ไม่อย่างนั้นก็แปลว่าเราไม่สนใจชาวบ้าน
ตอบ : อย่างนั้นคือช่างหัวมัน แต่ไปวางไว้บนหัวคนอื่นแทน..!

เถรี 13-12-2010 00:53

ถาม : อุปกิเลส ๑๐ กับอุปกิเลส ๑๖ ทำไมชื่อเหมือนกัน ?
ตอบ : อุปกิเลส ๑๖ เขาเรียกว่า มลทิน ๑๖ บาลีเขาเรียก มละ มลทินจะมีตั้งแต่ตระหนี่ มายา โอ้อวด เห็นผิด ฯลฯ ส่วนอุปกิเลส เขาหมายถึงอุปกิเลสในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาโดยตรง จะมีอยู่ ๑๐ อย่าง

คนละตัวกัน แต่มีคนไปตั้งชื่อหัวข้อว่าอุปกิเลส ทั้งที่บาลีเขาเรียกว่ามลทิน

ถาม : พอดีได้อ่านข้อความในเว็บไซต์ของท่านจิตโต ท่านเขียนไว้เรื่องการขาดพรหมวิหารสี่ว่า ถ้าขาดพรหมวิหารแสดงว่าโดนอุปกิเลสกินแบบเต็ม ๆ เลย ถ้าเราโดนต้องแก้ไขอย่างไร?
ตอบ : ต้องถามท่าน เพราะเป็นเรื่องที่ท่านพูดถึง ใครเป็นเจ้าของ เราถามตรงคนนั้น ท่านจะอธิบายได้ดีกว่า

ถาม : ถ้าเป็นตัวมานะ กรรมฐานคู่ปรับมีอะไรบ้าง ?
ตอบ : มานะเป็นสังโยชน์เต็ม ๆ เลย และเป็นสังโยชน์ชั้นสูงด้วย ต้องกำลังใจละเอียดมาก ๆ จึงจะคลำเจอและแก้ไขได้ ควรใช้มรณานุสติกรรมฐานให้เป็นปกติ รู้ตัวว่าต้องตายแน่อยู่เสมอ ในเมื่อต้องตายเหมือนกันแล้วจะเอาอะไรไปดีกว่าคนอื่นเขา

ถาม : การตัดกิเลส เคยฟังเทปของหลวงพ่อฤๅษี ท่านเปรียบกิเลสเหมือนกับช้างสี่ขา ถ้าเราตัดตัวไหนได้ก่อน ตัวอื่นก็จะเบาลงไป แต่เราควรจะทำตรงนี้ก่อนค่อยไปจัดการอุปกิเลส หรือควรจะจัดการอุปกิเลสก่อน ?
ตอบ : เวลาเราทำไปเรื่อย ๆ ปัญญาจะรู้เห็นว่าตอนนี้นิวรณ์ กิเลส หรือสังโยชน์ ตัวไหนที่เป็นอยู่เฉพาะหน้า เราก็แก้ไขตัวนั้น พูดง่าย ๆ ว่า สิ่งไหนโผล่มาตอนนั้นก็จัดการตัวนั้นก่อน เอาเรื่องเฉพาะหน้าเป็นหลัก

เถรี 13-12-2010 01:06

ถาม : อย่างตัวผม ตัวโลภอาจจะตัดง่ายมาก
ตอบ : เราก็ตัดโลภด้วยการให้ทานไปเรื่อย ๆ พอตัวอื่นโผล่หน้ามาก็ต่อสู้ไปด้วยไป เพียงแต่ว่าต้องงัดกรรมฐานคู่ศึกมาดวลให้ทันก็แล้วกัน

ถาม : แต่พอทำไป รู้สึกว่าไม่สนใจคนที่บ้าน กลายเป็นว่าโดนกิเลสกิน เรานึกเสียใจ
ตอบ : มีอะไรให้เสียใจ ถ้าเราไม่ได้เริ่มทำเราอาจจะไม่มีปัญญารู้เท่าทันเลยก็ได้ แต่นี่เราทำไปแล้ว บารมีที่เราสั่งสมมาในทาน ในศีล สมาธิ ปัญญา ของเราก็เริ่มส่งผลให้เรามีปัญญา รู้เห็นว่าสิ่งนี้ยังไม่ดีจริง เราค่อยเอาไปปรับปรุงแก้ไข ถ้าไม่ได้ลงมือทำก็ไม่รู้ว่าผิดถูกอยู่ที่ไหน

ถาม : ตอนที่ทำทานไป ไม่ได้มีเมตตากรุณาเลย หวังจะตัดความโลภอย่างเดียว อานิสงส์จะมีไหมครับ ?
ตอบ : ในสิ่งที่เราทำ อันดับแรก ต้องมีปัญญาก่อน รู้ว่าดีเราจึงทำ อานิสงส์นี้ได้แน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ถ้าจะเอาให้กว้างไกลขึ้น ก็ควรจะให้อยู่ในลักษณะของพรหมวิหาร มีเมตตากรุณา มุทิตา แล้วถึงจะมีอุเบกขา

พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำทั้งทีให้ได้มากที่สุด ลงทุนทำทั้งทีก็อย่าให้ได้บุญน้อย

เถรี 13-12-2010 01:10

ถาม : ถ้าเราทำสมาธิแล้วเราไม่กำหนดลมหายใจ ไม่กำหนดภาพ ไม่ภาวนา ไม่พิจารณาอะไรเลย จะถือว่าทำสมาธิหรือเปล่า หรือเรียกว่านั่งหลับตาเฉย ๆ ?
ตอบ : คงจะนั่งหลับตาเฉย ๆ ยกเว้นอย่างเดียวว่า มีความเคยชิน สามารถเข้าฌานระดับใดระดับหนึ่งได้คล่องมาก ถ้าอย่างนั้นเราสามารถจะดิ่งไปสู่ระดับนั้นได้เลย

แต่ถ้าเราไม่มีการกำหนดใด ๆ เลย ไม่มีทางที่จะทรงตัวเป็นสมาธิได้ เพราะจิตเราต้องคิดเป็นปกติ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง

ถาม : หรือจะย้อนมาปฏิบัติเหมือนเดิม จับลมหายใจเหมือนเดิม ?
ตอบ : ลมหายใจเป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกองเลย คุณจะทิ้งลมหายใจไม่ได้

ถาม : แล้วถ้านั่งสมาธิไม่เคยเห็นแสงสี ไม่เคยเห็นภาพ ?
ตอบ : ถือว่าโชคดีที่สุดในโลก ไม่อย่างนั้นคุณจะติดอีกเยอะ

ถาม : สังโยชน์ข้อรูปฌานกับอรูปฌาน เป็นสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ก่อน ?
ตอบ : ต้องทำให้ได้เพื่อความเป็นสุขของจิตเรา เพราะกำลังของฌานสมาบัติจะกดกิเลสให้นิ่งได้ก่อน เมื่อกิเลสสามารถที่จะนิ่งสงบลงได้ ปัญญาจะเริ่มเกิด จะทำให้เราเห็นว่า เราควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร ถ้าเกรงว่าจะเป็นการติดในรูปฌานกับอรูปฌาน เราก็ใช้กำลังนั้นไปเกาะพระนิพพานแทน

ถาม : เหมือนเราคิดว่ารูปฌานก็ดี แต่เราอาจจะผ่านไปเกาะพระนิพพานแทน ?
ตอบ : ถ้าคุณผ่านไปเลยโดยไม่มีกำลังของฌาน คุณก็ตัดกิเลสไม่ได้ คนไม่มีกำลังจะไปแบกดาบแบกขวานขึ้นมาไหวได้อย่างไร จะมากจะน้อยก็ต้องมีกำลังของฌานอยู่บ้าง

เถรี 13-12-2010 11:30

ถาม : ถ้าเราไม่รู้จักพระนิพพาน มโนมยิทธิก็ไม่ได้ ศีลสมาธิก็ไม่ค่อยดี เราจะไปนิพพานอย่างไร ?
ตอบ : อีกหลายชาติ ถ้าหากปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ถ้าหากสิ่งที่เราทำนั้นดี ทำถูกจริง จะสามารถสัมผัสพระนิพพานได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องรู้ชัดเจน เพราะอารมณ์พระนิพพานจะมาสัมผัสกับใจของเราเอง

เพราะฉะนั้น..บรรดาท่านทั้งหลายที่เป็นสุกขวิปัสสโกไม่ได้รู้เห็นอะไรเลย แต่ทำไมมั่นใจหนักหนาว่านี่คือพระนิพพาน เราสามารถไปพระนิพพานได้ เพราะว่าพอทำถึงระดับหนึ่ง ก็จะสามารถสัมผัสได้ด้วยตนเอง

จะเรียกว่าอุปกิเลสเกิดขึ้นก็ได้ ญาณเครื่องรู้บังเกิดขึ้น อุปกิเลสแต่ว่าใกล้กิเลส ยังไม่ใช่กิเลส จะใช่กิเลสก็ต่อเมื่อเราไปยึด

ถาม : ถ้าเราไหว้พระตอนเช้า ไหว้หลวงพ่อฤๅษี ขอหลวงพ่อว่าเวลาเราตายไป ขอหลวงพ่อเมตตามารับเรา
ตอบ : ขอได้ แต่เหมือนกับว่าคุณขออยู่ฝ่ายเดียว แต่คุณไม่เปิดประตูรับ ท่านจะมารับเราได้อย่างไร ? ต้องอาศัยกำลังใจของเรามีจุดเกาะที่มั่นคง หรือไม่ก็อาศัยปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงว่าโลกนี้สภาพนี้ไม่มีอะไรดี แล้วเราต้องการสลัดตัดทิ้งไปเลย เราจึงจะสามารถไปได้

แต่ถ้าเราเอาแต่ขออย่างเดียว ไม่มีการดำเนินวิธีการต่าง ๆ เพื่อที่จะไปได้ ก็รอไปอีกนาน

ถาม : บางทีเราฟังธรรมะเราก็พอเข้าใจ แต่พอเกิดขึ้น ก็ดับไป แต่ทำไมอารมณ์ตรงนี้จึงไม่ติดอยู่ในใจเรา ?
ตอบ : เพราะนั่นยังเป็นแค่สัญญา คือ จำได้เท่านั้น ยังไม่เกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง เข็ดกลัวและเบื่อหน่าย คลายกำหนัดแล้วปล่อยวาง ยังต้องทำอีกหลายขั้นตอน

เถรี 13-12-2010 14:05

ถาม : เวลาเราคุยกับคนอื่น แล้วเรียกหลวงพ่อว่าหลวงพี่ ถือว่าเป็นการปรามาสไหมครับ ?
ตอบ : แล้วแต่สะดวก สื่อให้รู้ว่าเป็นท่านเท่านั้นก็พอ

ถาม : พอดีผมอ่านเจอหนังสือนี้ ประโยคสุดท้ายเขาบอกว่า ติดรูปให้แก้ที่รูป ติดนามให้แก้ที่นาม หมายความว่า ?
ตอบ : จริง ๆ น่าจะไปถามคนเขียนท่านเองนะ

เรารู้เฉย ๆ อย่างเดียวก็ไม่เป็นไร แต่เรารู้แล้วไปปรุงแต่งด้วย ก็จะเป็นโทษหนัก อย่างเช่นติดรูป เราสักแต่ว่าเห็นเฉย ๆ โทษยังไม่เกิด แต่เราไปคิดเพิ่มเติมว่า สวย ไม่สวย ชอบ ไม่ชอบ ก็จะปรุงเป็นรัก โลภ โกรธ หลงขึ้นมา จึงต้องมีสติรู้เท่าทัน อย่าไปปรุงแต่งเพิ่มถึงจะแก้ได้

ส่วนนามก็คือเวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ เป็นส่วนประกอบของร่างกายนี้แหละ แต่เป็นส่วนที่ไม่สามารถจะสัมผัสได้ แต่สามารถกำหนดรู้ได้ด้วยใจหรือด้วยปัญญา ในเมื่อเป็นอย่างนั้นเราก็แก้ไขตามลักษณะของใจ ก็คือใช้ปัญญาประกอบ อะไรเกิดขึ้นก็เพียงสักว่ารับรู้ไว้ แต่ไม่ไปปรุงแต่งด้วย สิ่งนั้นก็จะดับไปเอง

เถรี 13-12-2010 14:43

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในความรู้สึกส่วนตัวของอาตมานั้น ตัดเมียง่าย แต่ตัดลูกยากกว่ามาก ไม่แน่ว่าผู้ชายทุกคนจะเป็นแบบนี้

เราลองนึกถึงพระพุทธเจ้าของเรา พระองค์ท่านมีพระชายาที่เป็นนางแก้ว คำแม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่เคยทำให้สะเทือนใจ มีลูกหัวแก้วหัวแหวนที่เพิ่งจะคลอดวันนั้นเลย เพื่อประโยชน์และความสุขของคนหมู่มาก พระองค์ก็ยังอุตส่าห์ตัดใจไปได้

เพิ่งพูดไปเมื่อหลังเพลว่า มหาการุณิโก นาโถ พระผู้เป็นที่พึ่งซึ่งประกอบด้วยพระกรุณาอันยิ่งใหญ่ หิตายะ สัพพะปาณินัง สร้างประโยชน์สุขแก่สรรพชีวิตทั้งหลาย

อย่างที่พระองค์ท่านตรัสบอกแก่พระภิกษุรุ่นแรกที่ส่งไปประกาศพระศาสนาว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ ดูก่อน..ภิกษุทั้งหลาย ขอเธอทั้งหลายจงเที่ยวไป พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย เพื่อประโยชน์ของคนหมู่มาก เพื่อความสุขของคนหมู่มาก โลกานุกมฺปาย เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก

ไม่มีเพื่อตัวเองเลย เราจะเห็นได้ว่า ที่พระองค์ท่านยิ่งใหญ่ ท่านยิ่งใหญ่ด้วยความดีจริง ๆ ทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น กินเนสบุ๊คได้บันทึกถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้ ในฐานะบุคคลที่มีอนุสาวรีย์รูปเคารพมากที่สุดในโลก แค่ประเทศไทยประเทศเดียวก็นับไม่ถ้วนแล้ว ลองนึกถึงวีรบุรุษต่าง ๆ ของโลกดูสิ มีอย่างเก่งก็คนละแค่ไม่กี่รูป"

เถรี 13-12-2010 16:49

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ที่กาญจนบุรีมีไม้กาหลงอยู่ต้นหนึ่ง อยู่บริเวณใกล้ ๆ กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว ตอนช่วงนั้นคนเขาก็สงสัยกัน เขาสงสัยว่าทำไมแถวนั้นนกตายเยอะจริง ก็คือ พอนกบินไปจับต้นไม้ตรงนั้นแล้วก็ไปไหนไม่ได้ จนกระทั่งอดตายไปเอง

ตอนหลังท่านอาจารย์บูรพา ซึ่งเป็นเจ้าของโรงลิเก และเป็นพระเอกลิเกด้วย เขาไปเจอแล้วเขารู้จักไม้ต้นนั้น เขาเลยใช้วิธีพลีต้นไม้ แล้วก็สร้างศาลขึ้นมาถวายให้ จากนั้นก็ขอเอาต้นที่เหลือไปทำเป็นวัตถุมงคล ปัจจุบันนี้ท่านคือ พระครูวินัยธรบูรพา วัดถ้ำเสือดาว"

เถรี 13-12-2010 17:05

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "อาตมามีมีดจ่าตุ่มอยู่เล่มหนึ่งเป็นเหล็กลาย ด้ามเป็นงาช้างค่อม ตอนนี้ยังเก็บไว้ใช้ส่วนตัวอยู่

ช้างค่อมเป็นช้างเล็ก ๆ ตัวใหญ่กว่าควายหน่อยเดียว สมัยก่อนภาคใต้แถวพัทลุง สงขลา จะมีมาก เมืองนครศรีธรรมราชก็ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า เมืองช้างค่อม"

เถรี 13-12-2010 19:24

พระอาจารย์กล่าวว่า "อยากให้ดูครอบครัวตัวอย่างในปัจจุบัน ก็คือ ครอบครัวคุณสมบัติ เมทะนี เราจะเห็นว่าเขาสามารถรักษาความดีสม่ำเสมอมาตั้งแต่ต้นยันปลาย ไม่มีอะไรเสียหายเลย

ส่วนอีกครอบครัวหนึ่ง ก็คือ ครอบครัวของคุณชรินทร์ นันทนาคร กับคุณเพชรา เชาวราษฎร์ มีคนถามคุณชรินทร์ว่า ในแต่ละวันต้องคอยดูแลภรรยาที่ตาบอดอยู่ตลอดเวลา ลำบากยากเข็ญขนาดนี้ ทำไมไม่หาคนใหม่เพื่อให้เขามาดูแลเราบ้าง ? คุณชรินทร์บอกว่า สมัยนั้นเขาแทบจะไม่มีความหวังเลย ในบรรดาหนุ่ม ๆ ที่ไปจีบคุณเพชรา เขามีคุณสมบัติด้อยที่สุด เพราะฉะนั้น..เขาต้องสู้ฟันฝ่าจึงจะได้มา ของที่ได้มายากขนาดนี้ เขาจึงเห็นคุณค่า ทิ้งไม่ลง

เพลงหยาดเพชร คุณชรินทร์เขาแต่งให้คุณเพชราโดยเฉพาะ "เปรียบเธอเพชรงามน้ำหนึ่ง หวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า หยาดเพชรเกล็ดแก้วแววฟ้า ร่วงมาจากฟ้าหรือไร.." เพลงสมัยก่อนเขาสวย เห็นภาพพจน์ ได้อารมณ์ก็ติดหูคน ไม่เหมือนสมัยนี้ บางทีตั้งใจฟังยังไม่รู้เรื่อง"

เถรี 13-12-2010 20:28

ถาม : ในเรื่องการปล่อยวางนั้น จะมีความลึกเป็นระดับขั้น ๆ ใช่หรือเปล่า ? อย่างบางเรื่อง ณ ตอนนี้เราปล่อยมันแล้ว แต่พอไปถึงอีกจุดหนึ่ง เราจะรู้ว่าที่ปล่อยในครั้งนั้น ยังไม่ใช่จริง ยังมีความปล่อยที่มากกว่านั้นอีก จะเป็นอย่างนี้ไปอีกเรื่อย ๆ ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถูกต้องแล้วครับ..!

ถาม : มีโอกาสเป็นไปได้ไหม ที่เราปล่อยวางเรื่องนี้จนกระทั่งถึงจุดตันที่สุดของเรื่องนั้นแล้ว แต่ในเรื่องอื่น ๆ เรายังปล่อยได้ไม่ถึงที่สุด หรือว่าแท้จริงอารมณ์ปล่อยวางจะต้องเท่ากันหมดในทุกเรื่อง ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วต้องเท่ากันทุกเรื่อง แต่ว่าในแต่ละเรื่อง บางทีความยินดียินร้ายและอารมณ์ปรุงแต่งบางส่วนของเรายังมีอยู่ จึงทำให้เราปล่อยได้ไม่เท่ากัน

ถาม : มาสังเกตว่า แค่บางครั้งตัวสมาธิเราพร้อม ตัวปัญญาและสติของเราก็มาพร้อม เหมือนกับมารวมตัวกัน ตรงนี้แค่เราบังคับให้อยู่ในอารมณ์สมาธิอย่างเดียวไปตลอด เราก็แค่ระวังป้องกัน หรือบางช่วงที่กิเลสยังไม่เข้า เราก็ต้องซ้อมของเราไปเรื่อย ๆ ?
ตอบ : ซ้อมไปเรื่อย ๆ ดีกว่า สติ สมาธิ ปัญญา นั้น จริง ๆ แล้วมาพร้อมกัน แต่สมาธิจะเป็นตัวข้อกลางที่เชื่อมระหว่างสติกับปัญญาอยู่ ถ้าสมาธิทรงตัว สติตั้งมั่น ปัญญาก็เกิดได้ง่าย ถึงเวลาเราก็เอาสมาธิไว้ก่อน และซ้อมเข้าซ้อมออกให้คล่อง หลังจากนั้นก็ซ้อมในการสู้กับกิเลส

แรก ๆ ก็อาจจะเป็นการจินตนาการอะไรขึ้นมาก่อน หลังจากที่เรามีความคล่องตัวในการแก้ไขปัญหาตามข้อกิเลสนั้น ๆ ถึงเวลาจริงก็จะแก้กิเลสได้ง่ายขึ้น จะเห็นช่องทางมากขึ้น

ถาม : บางทีหนูไปลิ้มรสของความรู้สึกที่ไม่มีอะไร พอรู้ว่าไม่มีอะไร เราก็ไม่คิดจะเอาอะไร กลายเป็นว่าสิ่งที่เราคิด พูด ทำ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น ความเป็นตัวเองจะหยุดไปเลย
ตอบ : จะว่าไปแล้วก็คือ รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ แต่ในส่วนของเราที่ว่ามา จริง ๆ แล้วจะอธิบายลักษณะอย่างนั้นได้ ในเมื่อเราเห็นว่าทุกสิ่งไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ทั้งหมดที่เราทำไปก็สักแต่ว่าทำ แต่ทำในลักษณะที่รู้ว่าสิ่งนี้ดี โลกเขานิยมว่าดี เราก็ทำสิ่งนั้น แล้วสิ่งไหนที่ชั่ว คนส่วนมากเขาเห็นว่าไม่สมควร เราก็ละเว้นในสิ่งนั้น

โดยเฉพาะต้องดีของพระพุทธเจ้า และสิ่งที่ท่านว่าไม่ดี ถ้าเราทำดีของพระพุทธเจ้าและละในสิ่งที่ท่านว่าไม่ดีได้ โดยที่สักแต่ว่าทำ ก็กลายเป็นกำลังใจของเราจะก้าวเข้าสู่จุดสุดท้ายได้ง่าย

ถาม : อย่างสักแต่ว่าทำ เช่น ในเรื่องการปฏิบัติ เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำตรงนี้ผลที่ได้คืออะไร แต่ไม่ใช่รู้ขณะช่วงที่เราทำเท่านั้น ก่อนที่เราจะทำหรือหลังที่เราทำ เราก็ไม่ได้คิดถึงผลตรงนั้น คือหยุดแค่ตรงนั้นอย่างเดียว
ตอบ : จ้ะ

เถรี 13-12-2010 20:33

ถาม : อย่างอารมณ์พรหมวิหาร จะใช่ลักษณะอย่างนี้ไหมคะ ? คือ เราลดกำลังใจลงมาให้เท่ากับคน ๆ นั้น ก็ไม่เชิงลดกำลังใจ แต่เป็นลักษณะที่เราเข้าใจหัวอกของเขา เหมือนเรากับเขาเป็นคน ๆ เดียวกันเสียด้วยซ้ำไป พอเห็นอย่างนั้น ก็จะรู้ซึ้งและเข้าใจในความเป็นเขา ไม่แน่ใจว่า ตรงนี้ใช่พรหมวิหารหรือเปล่า ?
ตอบ : หลาย ๆ ส่วนรวมกัน เช่น มีทิพจักขุญาณร่วมด้วย ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ

ถาม : แสดงว่ามีตัววิปัสสนาเข้าไปช่วย ?
ตอบ : โดยเฉพาะมีตัวปัญญา รู้ว่าตรงไหนพอดีสำหรับเขา เราก็ทำ ไม่อย่างนั้นเขาต้องการเพียงแค่นี้ แต่เราให้มากเกินเขาก็รับไม่ได้

ถาม : เมื่อก่อนนี้มองไม่เห็นว่าการปรุงแต่งเป็นอย่างไร ตอนนี้มองเห็นทันแล้วค่ะ
ตอบ : การรู้เห็นนั้นไม่ใช่เห็นเฉย ๆ พอเห็นแล้วเราต้องหยุดตั้งแต่สาเหตุแรก กิเลสถึงจะสร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่เราไม่ได้ ถ้าเราเห็นเฉย ๆ แล้วหยุดไม่ได้ บางทีก็ทุกข์ทรมานยิ่งกว่าเดิมอีก เหมือนกับคนไข้รู้ว่าเจ็บตรงนี้ แต่ก็ยังแก้ไขไม่ได้เสียที

ถาม : แปลกเหมือนกันว่า พอล้มทีไรก็ได้อะไรกลับมาทุกครั้ง
ตอบ : ต้องให้ได้อย่างนั้น ไม่อย่างนั้นล้มแล้วเสียเวลาเปล่า ไม่ได้เก็บของเก่าเอามาเป็นบทเรียน โบราณเขาบอกว่าผิดเป็นครู เพราะฉะนั้น..ก็เอามาเป็นครูเพื่อแก้ไขตัวเรา แต่ถ้าผิดบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เป็นศาสตราจารย์..!

ถาม : อย่างเมื่อก่อนเวลาเราทำอานาปานสติ เราไม่ได้ไปอะไรมาก แค่รู้ว่าเป็นสิ่งที่เราควรทำเพื่อให้สมาธิรวมตัว แต่พอมาตั้งว่า ๒ วันนี้ เราจะเอาแต่อานาปานสติ คือจะเล่นตัวอนุสติไปเรื่อย ๆ กลับแปลกตรงที่ว่า เราตั้งใจจะเอาอานาปานสติเหมือนเดิมก็จริง แต่อารมณ์กลับต่างจากเมื่อก่อน คือ เราทำอานาปานสติก็จริง แต่เราก็เห็นว่าเราทรงอารมณ์อานาปานสติ เหมือนกับตัวอานาปานสติมีอยู่รอบตัวเราตลอด นี่คือ..?
ตอบ : นั่นเป็นสิ่งที่เราทำได้แล้ว แค่มาทบทวนใหม่ โดยการกำหนดเวลาเท่านั้นเอง เมื่อทวนบ่อย ๆ ก็จะเกิดความชำนาญ ทำให้สังเกตอารมณ์ใจได้มากขึ้น จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจมาก แต่บางทีรู้มากไปก็ลำบาก รู้มากก็ยากนาน ยิ่งรู้ก็ยิ่งยาก ไปเจอคนรู้น้อยก็จะพลอยรำคาญไปด้วย

เถรี 14-12-2010 10:45

ดู ๆ ไปแล้วจะเห็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า ท่านมอบสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ให้แก่เรา เราจึงได้มีอาวุธไว้ใช้ในการต่อสู้กับกิเลส ถ้าตั้งใจทำจริง ๆ ถึงแม้ยังเอาชนะไม่ได้ แต่ก็ไม่แพ้อย่างน่าอนาถนัก

ส่วนใหญ่แล้วเราไปแพ้อย่างน่าอนาถ ฉะนั้น..ถ้าเรามั่นคงในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ตั้งใจประพฤติปฏิบัติจริง ๆ จะมากจะน้อยผลก็เกิดขึ้น ถึงแม้ไม่สามารถจะช่วยคนอื่นได้ อย่างน้อย ๆ ก็สามารถรักษาตนเองได้ ถ้ารักษาตัวเองได้นี่ถือว่าดีมากแล้ว

กำลังใจคนนั้น ถ้าแบ่งอย่างหยาบ ๆ ก็มีอยู่สามระดับด้วยกัน

ระดับที่หนึ่ง เอาตัวไม่รอด ช่วยคนอื่นไม่ได้

ระดับที่สอง เอาตัวรอดได้ ช่วยคนอื่นไม่ได้

ระดับที่สาม เอาตัวรอดได้ ช่วยหมู่คณะให้รอดได้ด้วย

ฉะนั้น..อย่างน้อยถ้าจะแพ้ก็ให้ชนะใจคนดู น้องเจนนี่เขาขึ้นไปแข่งเทควันโด เนื่องจากตัวเองเก่งเกินวัย คู่ต่อสู้รุ่นท้าย ๆ มีแต่ตัวใหญ่กว่า เพราะอายุของตัวเองยังน้อยอยู่ ถึงเวลาต้องอาศัยความเร็วต่อสู้เอา พอพลาดโดนคู่ต่อสู้เตะทีก็กระเด็น พอโดนเข้าหลายที กรรมการถามว่าจะยอมแพ้ไหม ? น้องเจนนี่ไม่ยอม บอกว่า "สู้..!" สู้ทั้งน้ำตา คนดูปรบมือกันเกรียวเลย ใจสู้จริง ๆ

ถ้าจะแพ้ก็ต้องแพ้ในลักษณะนั้น คือแพ้แต่ชนะใจคนดู แต่ถ้าชนะได้ก็ดีกว่า เพราะโลกนี้เขาจดจำแต่ผู้ชนะเท่านั้น อย่างเอเชี่ยนเกมส์ที่ผ่านมา อย่างการวิ่งแข่ง ๑๐๐ เมตร คนชนะก็ชนะไป ส่วนคนแพ้ก็แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง แต่คนจำเฉพาะคนได้เหรียญทอง คนได้เหรียญเงินที่วิ่งจี้ตามมากลับไม่จำ

เพราะฉะนั้น..ในเมื่อโลกเขานิยมอย่างนั้น ก็อย่าพยายามแพ้ โดยเฉพาะถ้าแพ้กิเลส เราไม่ได้แพ้ชาติเดียว แพ้กิเลสก็ต้องเกิดอีกหลายชาติ น่ากลัวมาก พิจารณาแล้วจะเกิดภยตูปัฏฐานญาณ เห็นเป็นโทษเป็นภัย เป็นของที่น่ากลัวมาก

เถรี 14-12-2010 11:19

ถาม : ถ้าให้เพื่อนลอกข้อสอบหรือลอกข้อสอบเพื่อน ผิดศีลข้อไหนคะ ?
ตอบ : ไม่ผิดจ้ะ ไม่มีศีลข้อไหนระบุว่าห้ามลอก แต่ในส่วนของสามัญสำนึก เราจะรู้ว่าควรหรือไม่ควร ดังนั้น..ในส่วนที่ผิดจะเป็นผิดมโนธรรมที่เกี่ยวข้องกับสามัญสำนึกของเราเอง

ถ้าเรามัวแต่ไปลอกเขาอยู่ ไม่มีความรู้ที่แท้จริง เมื่อมีสถานการณ์ที่ต้องใช้ความรู้อย่างนั้น เราจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ถ้าเรารู้จักคิดอย่างนี้ เราก็จะไปพากเพียรเรียนให้รู้จริง ๆ

ถาม : ถ้าเพื่อนมาขอลอก ?
ตอบ : ถ้าเพื่อนมาขอลอกก็ให้ลอกไปเถอะ ถือว่าเป็นเมตตา แต่บอกเขาหน่อยว่า ลอกแล้วต้องแปลงข้อความด้วยนะ อย่าให้เหมือนกันทุกคำ..!

ที่จริงแล้วนี่จัดเป็นการทุจริต ทุจริตก็คือประพฤติมิชอบ ไม่ถูกต้องตามกฎระเบียบที่เขาบังคับเอาไว้ ถ้าเราละเมิดในเรื่องแค่นี้ได้ ต่อไปเรื่องที่หนักกว่านี้เราก็จะละเมิดได้ จะเป็นต้นเหตุให้เราทำความชั่วที่หนักกว่านี้ได้ ถ้าละเว้นได้ก็ให้ละเว้นเสีย


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 20:24


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว